แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาและท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือ แสวงหาความรู้เรื่องธรรมะไปประกอบกับหน้าที่การงานหรือการดำเนินชีวิตให้มีคุณค่ายิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือถึงที่สุด ดังนั้น หัวข้อที่จะบรรยายในวันนี้ขอตั้งชื่อว่าเรื่องวิถีแห่งชีวิต ฟังดูมันออกจะเป็นภาษานักประพันธ์ไปหน่อย ไม่ใช่ค่อยภาษาธรรมะในวัด แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี่เราจะพูดเอาแต่เนื้อความ
คำว่าวิถี ๆ ที่นี่ไม่ใช่ way ไม่ใช่ way of life แต่เป็น stream, stream of life ที่มันจะไหลไปบ้า ๆ บอ ๆ อยากจะทำความเข้าใจง่ายด้วยนิยายที่เล่าขานกันอยู่ในหมู่พวกนักศึกษาเซนว่าคนหนึ่งมัน มันไม่ใช่นักขี่ม้า คนธรรมดานี่มันขี่ม้า มันกระโดดขึ้นขี่ม้า ที่มันไม่ใช่คนเคยขี่ม้ามีความรู้อะไรนี้ มันก็บังคับม้าไม่ได้ ม้าก็พาวิ่งไป ๆ ๆ ๆ อย่างบังคับไม่ได้ ไอ้คนนี้ก็ได้แต่ว่าเกาะหลังไว้ อย่าให้พลัดตกลงมาเท่านั้นเอง มีเพื่อนฝูงอยู่ข้างล่างร้องถามว่า นั่นจะไปไหน ๆ นายคนนั้นก็ตอบ โอ้, แล้วแต่ม้าโว้ย ๆ คุณลองคิดดู มันจะเป็นยังไง เดี๋ยวนี้พวกเรากำลังขี่ม้าชีวิตบ้าบอด้วยกิเลสอย่างนั้นหรือเปล่า คุณรู้ว่าชีวิตของคุณจะไปไหน หรือว่ามันอยู่ในสภาพเดียวกับไอ้คน ๆ นั้นที่มันขี่ม้าแล้วมันบังคับม้าไม่ได้ว่าชีวิตนี้จะไปไหนก็แล้วแต่ม้าโว้ย ๆ ชีวิตของคนส่วนมากบังคับไม่ได้ บางทีก็โง่มากถึงกับไม่รู้ว่าจะไปไหนแล้วแต่ม้า แล้วแต่สิ่งแวดล้อม แล้วแต่กิเลส แล้วแต่เรื่องของม้าไม่ใช่เรื่องของคน ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสนใจวิถีแห่งชีวิตว่าจะต้องทำกับมันอย่างไร ตัวท่านเป็นผู้ขี่ชีวิต เป็นม้า แล้วจะควบคุมบังคับมันอย่างไร คือจุดประสงค์ที่เราจะพูดกัน ข้อนี้มันก็ต้องเป็นผู้รู้เรื่องม้า เรื่องชีวิต เรื่องวัตถุประสงค์ที่มันจะไปทางไหนแล้วมันก็ไปอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นมันก็ตกม้าตายกลางทาง บังคับไม่อยู่ บังคับไม่เป็น บังคับไม่ได้ อีกพวกหนึ่ง คนโง่คนขลาด มันก็ไม่กล้าขึ้นหลังม้า ไม่กล้าขี่ม้า ไม่กล้าขึ้นหลังม้า ไม่เหมือนกับคนบ้าบิ่นคนนี้ มันขึ้นหลังม้าแล้วมันก็ควบ ม้าพาไปอย่างแล้วแต่ม้า
ในโลกนี้ไอ้คนทั้งหลายก็มีชีวิตกันอยู่ในรูปนี้ ขี่ม้าก็มี ไม่ขี่ม้าก็มี ขี่ไม่เป็นแล้วแต่ม้าจะพาไปนี้ก็มี ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ความรู้สมัยนี้แล้วบ้าบอที่สุดแล้ว ตั้งแต่อนุบาลถึงชั้นมหาวิทยาลัยมันเรียนแต่เรื่องฉลาด ๆ ๆ ๆ ฉลาดแต่ไม่รู้จะฉลาดกันอย่างไร ขอให้คำนวณในเรื่องนี้ก่อน ฉลาด จนกับอุปมาว่าเหมือนกับเราได้ไปเที่ยวดวงดาวทั้งหลายได้หมด เหมือนกับไปเที่ยวเล่นหลังบ้าน เที่ยวเก็บดอกไม้ในสวนหลังบ้าน นี่มันฉลาด ๆ ๆ กันอย่างนี้ ฉลาด ๆ ยังไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด แม้เรียนถึงมหาวิทยาลัยจบทั้งโลกทุกมหาวิทยาลัยมันก็ไม่รู้เรื่องควบคุมความฉลาด เอากับมันสิ มันก็แล้วแต่ความฉลาด ๆ แล้วฉลาดก็พาไปหาความเห็นแก่ตัวหมด โลกนี้ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น ๆ เพราะคนมีแต่ฉลาดไม่มีธรรมะควบคุมฉลาด นี่คือไอ้บ้าที่มันขี่ม้าแล้วก็แล้วแต่ม้าจะพาไป ขอให้สนใจว่าเดี๋ยวนี้การศึกษาน่ะเป็นอันตรายนะ เขาสอนแต่ให้ฉลาด ๆ มันก็หาวิธีฉลาดที่จะเห็นแก่ตัว เอาเปรียบตัว หรือว่าเอาเปรียบให้แก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่น ฝ่ายหนึ่งก็ฉลาดสำหรับจะควบคุมฝ่ายหนึ่ง มันต้องการจะครองโลก ม้าบ้านี่มันต้องการจะครองโลก โดยที่ไม่ต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม ดังนั้น ขออย่าได้ดีใจว่าเรียนชั้นสูง มหาวิทยาลัยยาวเป็นหาง มันจะเป็นเหมือนคนบ้าคนนั้นที่ขี่ม้าแล้วไม่รู้จะไปไหนแล้วแต่ม้าจะพาไป นี่มันแล้วแต่ความฉลาดของคุณจะพาไป แล้วความฉลาดนั้นไม่มีอะไรควบคุม
เมื่อธรรมะเข้าไปมีส่วนอยู่ในการศึกษา เรียกว่า การศึกษามีธรรมะ เพราะว่าการศึกษามันจัดโดยพระ สมัยโบราณการศึกษาจัดโดยพระโดยวัดนะ ไม่มีโรงเรียน ไม่มีอะไรที่ไหน มันก็เป็นการศึกษาที่มีการควบคุม คือ ธรรมะหรือศาสนานั่นเอง เดี๋ยวนี้ลัทธิบ้าบอ Secularization อะไรก็ไม่รู้ Secularism นี่มันแยกให้ศาสนาออกจากการศึกษา คุณก็คงจะทราบหรือได้ยินว่าบางรัฐในที่บางแห่งออกกฎหมายห้ามเอาเข้ามาปนกับการศึกษา ใครเอาการศาสนามาปนกับการศึกษาก็ผิดกฎหมาย เอากันถึงอย่างนั้น นั่นน่ะมันจะเป็นคนขี่ม้าที่แล้วแต่ม้าจะพาไป ขอให้มองเห็นสภาพความเป็นจริงที่กำลังมีอยู่ในโลกเวลานี้ด้วยกัน แล้วก็มาสนใจในการที่จะมีอะไร ๆ มาควบคุมความฉลาด เมื่อในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยมันไม่ใช้อะไรเลยสำหรับจะควบคุมความฉลาด มีแต่จะเพิ่มความฉลาดเข้าไปอีกจนไม่รู้จะไปกันถึงไหน นี้เราจะแสวงหาสิ่งที่ควบคุมความฉลาด จึงขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับท่านทั้งหลายที่มาที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ คือ จะหาสิ่งที่สามารถควบคุมความรู้ ควบคุมความเฉลียวฉลาดของท่านทั้งหลายเอง ขออนุโมทนา
เอาล่ะ ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องชีวิตหรือม้า ชีวิต ๆ นี่มันกำกวมอย่างทางวัตถุทางวิทยาศาสตร์ มันก็ชีวิตทางวัตถุ ได้ยินว่าชีวิตนิยามไว้ว่า ความที่ยังสดอยู่ของ protoplasm ในทุก ๆ เซลล์ เก่งมากนะ ที่เป็นจุดสูงที่สุด ละเอียดที่สุด สูงสุด รู้ว่าชีวิตคือความสดอยู่ของ protoplasm ในทุก ๆ เซลล์ แต่มันได้ประโยชน์อะไรล่ะ มันได้ประโยชน์อะไรรู้จักชีวิตในแง่นี้ ทีนี้ในทางธรรมทางศาสนานั่นน่ะให้ความหมายคำว่าชีวิตเป็นการดำรงชีวิต การดำรงชีวิตภาษาบาลีมันก็ว่าอาชีวะ แต่ภาษาไทยมันใช้ในความหมายอย่างอื่นกลายเป็นอาชีพไปเสีย จริง ๆ คำว่า อาชีวะ มันแปลว่าการดำรงชีวิตอย่างครบถ้วนและถูกต้อง ดังนั้นชีวิตในทางภาษาธรรมนี่ ภาษาจิตใจ ก็หมายถึงการดำรงชีวิต ๆ จัดแจงเกี่ยวกับชีวิต อย่าให้มันแล้วแต่ว่าม้าพาไปเหมือนตัวอย่าง จะต้องรู้เป็นพื้นฐานว่าชีวิตนี้ธรรมชาติให้มาในฐานะเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ขอให้เข้าใจใจความสำคัญข้อแรกที่สุดก่อนว่า ธรรมชาติให้มาในฐานะเป็นสิ่งที่พัฒนาได้จนถึงที่สุด และต้องพัฒนา ๆ ไม่เช่นนั้นจะเป็นเหมือนกับไอ้คนบ้าบิ่นคนนั้นขี่ม้าแล้วแต่ม้าพาไป มันไม่พัฒนาให้ถูกต้อง คือมันไม่รู้เรื่องนี้ เราจะมีธรรมะ คือเรื่องการพัฒนาชีวิตกันให้เพียงพอ ถ้าไม่ได้รับการพัฒนา มันก็ไม่ได้อะไร ก็ได้แต่ม้าวิ่งไปไม่รู้ไปทิศไหนทางไหน ถ้ามีการพัฒนามันก็วิ่งไปสู่จุดที่ควรจะไปถึง เราใช้คำที่ค่อนข้างจะกำปั้น เหมือนกำปั้นทุบดินสักหน่อยว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตมนุษย์จะพึงได้พึงถึง เอ้า, ถึงขั้นจะคิดว่าจะไปที่ไหน มันก็แล้วแต่ลัทธิความคิดอุดมคติที่ถือกันอยู่ พุทธบริษัทก็ตอบง่าย ๆ ว่าไปนิพพาน แต่บางทีก็ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร กลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน แล้วคงจะมีอะไรได้อย่างใจที่สุด ได้อย่างใจที่เราต้องการที่สุด ดีที่สุด อย่างนี้เรียกว่านิพพาน
ครั้งหนึ่งอาตมาถามผู้หญิงค่อนข้างมีอายุคนหนึ่งว่า ไปนิพพานไหม ต้องการไปนิพพานไหม แกบอกว่าต้องการอย่างยิ่งไปนิพพาน ยกมือเลย แล้วอาตมาก็บอกเขาว่าที่นิพพานไม่มีรำวงนะ ถอนทันที ถอนคำพูดสั่นหัวทันที ขอไม่ไป ขอไม่ไปเพราะแกเป็นนักรำวง เมารำวง คลั่งรำวง ดังนั้น เขาก็เข้าใจนิพพานว่าที่นั่นทำได้อะไรทุกอย่าง กูต้องการอะไรก็เป็นได้หมด หารู้ไม่ว่าที่นิพพานเป็นที่หยุด ที่จบ ที่สิ้นสุดแห่งความต้องการ นี่การศึกษาในโลกมันจะไปมีจุดที่ดีที่สุดอยู่ที่ตรงไหน มันคงไม่รู้เรื่องนิพพานเพราะไม่ได้ไปสอนกันในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย ก็เอาอย่างที่ถือ ๆ กันอยู่ว่าสันติภาพ ๆ จุดหมายปลายทางของทั้งหมดคือสันติภาพ แล้วก็ดูสิมันมีสันติภาพหรือไม่ สันติภาพของมนุษย์น่ะเป็นอย่างไร มีขึ้นมาหรือยัง หรือว่ายิ่งไม่มี ก็อย่างที่ว่ามาแล้ว การศึกษานี่ฉลาด ๆ ๆ มันก็ไปสู่กิเลสตัณหาของไอ้ความต้องการหมด แล้วจะเอาสันติภาพมาแต่ไหน สันติภาพในปัจจุบันนี้ขอใช้คำพูดตรง ๆ ว่าสู้สันติภาพของหมาก็ไม่ได้ เพราะหมามันหยุดความต้องการที่เกินจำเป็น แต่มนุษย์ยังต้องการเกินจำเป็น ๆ ๆ ๆ ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกทีทุกยุคทุกสมัย ความรู้สึกคิดนึกของสัตว์เดรัจฉานมันหยุดนะ ๆ มันไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว มันหยุดแล้วนะ มันคงที่และหยุดแล้ว สัตว์เดรัจฉานยุคหมื่นปีแสนปีมันเห็นแก่ตัวเท่าไร มีปัญหาเท่าไร เดี๋ยวนี้มันก็มีเท่านั้นแหละ มันมีเพียงเท่านั้นแหละ แต่มนุษย์นี่มีความต้องการ ๆ ๆ ๆ ยิ่งขึ้นทุกยุคทุกสมัยจนมาอยู่ในรูปปัจจุบันนี้ มันไกลระดับเดิมไม่รู้กี่ร้อยเท่ากี่พันเท่ากี่หมื่นเท่า มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็ขวนขวายต่อสู้ดิ้นรนกันมากเท่านั้น แล้วใช้อุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือสนองกิเลสโน่น ก่อนนี้มันมือเปล่านะมันสนองกิเลสได้เท่าไร เดี๋ยวนี้มันก็ใช้อุตสาหกรรมเป็นเครื่องสนองกิเลส ทำอะไรสนองกิเลสด้วยเครื่องจักรมันสูงสุด เครื่องมือสูงสุด คอมพิวเตอร์พิวตาร์ ยักษ์ตาบอดนี่เอามาใช้ใหญ่ นี่มันมันไกลมากถึงอย่างนี้ แล้วสันติภาพอยู่ที่ไหน มีสิ่งเหล่านี้ยิ่งมีสันติภาพหรือว่ายิ่งหายไปหมด
เดี๋ยวนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัว ฝ่ายที่นิยมลัทธินายทุนก็เห็นแก่ตัวจัด ฝ่ายเป็นชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัวจัด นายจ้างเห็นแก่ตัวจัด ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัวจัด อะไร ๆ ก็จะเป็นลูกจ้างเป็นนายจ้างกันเสียหมดแล้ว ไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อ ๆ หน้าที่ที่ถูกต้อง อาชีพครูกลายเป็นอาชีพลูกจ้างรับสอน รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวัน ๆ หนึ่ง ไม่มีความเป็นปูชนียบุคคลเสียแล้วนี่เพราะความรู้สึกอย่างนี้มันครอบงำเอา อาชีพหมอก็เป็นพ่อค้ายิ่งขึ้น อาชีพตุลาการ อาชีพอะไรต่าง ๆ ก็กำลังถูกวิพากษ์ เพราะความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น ๆ ๆ ขอให้รู้เถิดว่าเรายิ่งเจริญมากในทางของความเห็นแก่ตัวซึ่งจะพาไปไม่รู้ไปที่ไหนเหมือนกับม้าตัวนั้นพานายคนนั้นไป เราจะต้องรู้ รับรู้ในข้อนี้ในเรื่องนี้ เราจะไม่ทำอย่างนั้น เราจะบังคับม้าได้ บังคับชีวิตให้ถูกต้อง ก็คือมันไม่เห็นแก่ตัว มันจะพัฒนาไปในทางที่ถูกต้อง ๆ ๆ จนไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้ พวกที่เขาถือลัทธิศาสนาที่มีพระเป็นเจ้าน่ะ เขาก็ใช้คำพูดว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้ ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในโลกพระเจ้า หรือบางทีก็ใช้คำว่าเป็นอันเดียวกันเลย united กันเลยกับองค์พระเป็นเจ้านั่นน่ะ สิ่งที่ดีที่สุด จุดหมายปลายทางของมนุษย์ แต่เราชาวพุทธไม่ ๆ พูดอย่างนั้น ไม่ต้องการอย่างนั้น ต้องการนิพพาน ๆ ในความหมายที่ถูกต้องนั้นก็แปลว่าเย็น แปลว่าเย็น แต่ว่าครูบาอาจารย์ในโรงเรียนสอนบ้า ๆ บอ ๆ อะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้มันมีต้นเหตุมาจากไหนล่ะ นิพพาน แปลว่า ตาย แล้วก็ตายของพระอรหันต์ ตายของช้างม้าวัวควายว่าล้ม ตายของคนว่าตาย ตายของพระภิกษุสงฆ์ว่ามรณภาพ ตายของเจ้าแผ่นดินว่าสวรรคต ตายของพระอรหันต์เรียกว่านิพพาน นี่เป็นคำพูดที่ผิด เกินผิด และบ้าบอที่สุดที่มาพูดเป็นว่าพระอรหันต์ตายได้ พระอรหันต์ต้องไม่ตาย พระอรหันต์ต้องถึงอมตธรรมคือความความไม่ตาย ถ้ามันจะตายก็ตายแบบเปลือกของท่านคือร่างกายของท่านน่ะตายได้ แต่คุณธรรมคือความเป็นพระอรหันต์นั้นไม่มีตายหรอก ไม่มีตาย
นี่มันผิดอย่างนี้คือมันนิพพานคือมันเย็น ๆ ๆ นิพพานธาตุ ธาตุแห่งความเย็นมีอยู่ ๒ อย่าง ท่านทั้งหลายคงไม่เคยได้ยินได้ฟังหรอก ไม่ใช่ดูถูกนะ นิพพานธาตุ ๒ อย่าง คือว่าสิ้นกิเลสแล้วแต่ยังรู้สึกสุขทุกข์บวกลบอะไรอยู่ แต่สิ้นกิเลสแล้วนะ นี่เย็นระดับแรก ระดับ ๒ ก็ว่าเย็น สิ้นกิเลสแล้ว แล้วก็หมดความรู้สึกที่จะเป็นบวกเป็นลบเป็นสุขเป็นทุกข์ด้วยนี่เรียกว่า นิพพานขั้นที่ ๒ พระอรหันต์เย็น ๆ นิพพานคือเย็นอย่างนี้ นิพพานก็คือเย็น เย็นอย่างนี้ไม่ได้หมายถึงการตายของร่างกาย แต่การเย็น ความเย็นของจิตใจ นิพพานคำนี้แปลว่าเย็น ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านที่เค้าพูดกันอยู่ไม่ใช่ในวงการศาสนา เค้าก็หมายถึงเย็นทุกความหมาย เย็น ๆ ๆ ของร้อนอยู่ยังกินไม่ได้ก็ต้องรอให้นิพพานเสียก่อน ถ่านไฟดับก็เรียกว่าถ่านไฟนิพพาน เอาน้ำรดอะไรให้เย็นก็เรียกว่าทำให้มันนิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น ถึงที่สุดก็เรียกว่านิพพาน ถ้ายังไม่ถึงที่สุดหรือเป็นขณะ ๆ เป็นนิพพานน้อย ๆ นิพพานตัวอย่าง นี่ก็เรียกว่า นิพพุติ ให้จำไว้ด้วย เพราะว่าคำนี้มันกรอกหูท่านทั้งหลายอยู่ตลอดชาติ เพราะว่ามีการให้ศีลรับศีลที่ไหน พระเค้าก็ให้ศีล แล้วเค้าก็บอกอานิสงส์ศีลว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ แล้วท่านไม่สนใจใช่ไหม อานิสงส์ศีลเต็ม ๆ ก็ว่า สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย ไอ้ นิพพุติง ยันติ หรือ นิพพุตะ คือว่าถึงความเย็น ๆ ชีวิตเย็นชีวิตที่มีความเยือกเย็นเรียกว่านิพพุติ เป็นความหมายของนิพพานแต่ยังไม่ถึงขั้นที่สุด นิพพานแปลว่าเย็น ไม่ได้แปลว่าตาย ไม่ใช่เค้าแช่งให้คุณตายเร็ว ๆ ไม่ใช่เลย เค้าบอกให้คุณถึงนิพพุติ คือความเย็น นี่เราจะต้องไปถึงจุดสุดท้ายคือชีวิตที่เยือกเย็น ไม่ตาย ไม่ต้องตาย กิเลสตาย กิเลสความร้อนตาย ตายหมด เหลืออยู่แต่ความเย็น นั่นนิพพาน
ถ้าอยากจะใช้คำว่าตาย ตายสำหรับนิพพานก็รู้เถอะว่ากิเลสน่ะตาย ความทุกข์ตาย จิตใจเหลืออยู่เป็นความเย็น แล้วก็ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวกูสำหรับจะเย็น เลยไม่อยู่ในขอบเขตของเวลา ของสถานที่อะไร เป็นความเย็นที่นิรันดร ร่างกายจะตายเผาไหม้ไปแล้วก็ช่างหัวมันเถอะ แต่นิพพานยังอยู่ ภาวะที่เป็นความเย็นเพราะไม่มีไฟคือกิเลส คือความร้อน นี่เรียกว่านิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง นี่คือสันติภาพอันแท้จริง สันติภาพสูงสุดในด้านจิต ในด้านวิญญาณ ไม่ใช่ด้านวัตถุ ถ้าด้านวัตถุก็ทำให้เย็นเอาน้ำแข็งมาก ๆ ก็ได้นิพพานทางวัตถุ จุดหมายปลายทางของชีวิตมันจะต้องมีความเย็นทางจิตใจ ขี่ม้าวิ่งไปโดยเร็วให้ถึงจุดนั้นนั่นแหละวิถีของชีวิตที่ถูกต้อง ขอได้สนใจ สนใจในการที่จะถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต
มีคำพูดอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจมาก มันก็มีอยู่ในพระบาลี พระไตรปิฎกก็มี คือคำว่า ชีวิตสังโวหาระ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ชีวิตโวหาระ ชีวิตโวหาร ๆ (ชี-วิ-ตะ) ที่ในภาษาไทยโวหาร ๆ หมายถึง เพียงคำพูดที่เป็นการที่ฉลาดก็เรียกว่าโวหาร แต่คำนี้มันแปลว่าการค้า การค้าก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดกำไรมากขึ้นไป ๆ นี่คือโวหาระ ชีวิตโวหาระ หรือสังโวหาระ ก็คือการทำให้ชีวิตมีประโยชน์ มีกำไรสูง ๆ ขึ้นไป โวหาระ ก็การค้าธรรมดา สังโวหาระก็คือการค้าที่สมบูรณ์ถึงที่สุด คำว่า สัง สังมันแปลว่าพร้อม แปลว่าเต็มเปี่ยม แปลว่าครบถ้วน แปลว่าสูงสุด ชีวิตสังโวหาระ การค้าด้วยชีวิต ก็เหมือนอย่างที่พูดข้างต้นแล้วว่าธรรมชาติให้ชีวิตมาในลักษณะที่พัฒนาได้ คือพัฒนาให้เจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป นั่นแหละตัวสังโวหาระ ที่เราชอบเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าพัฒนา ๆ แต่ว่าคำว่า พัฒนา มันกำกวม ความหมายในภาษาบาลีแท้ ๆ มันก็แปลว่ามากขึ้น ๆ เรียกว่าพัฒนา จะมากในทางดีหรือมากในทางร้ายก็ไม่รู้ มากขึ้นก็แล้วกัน เหมือนคำว่า progress progress ในภาษาละตินมันเป็นคำเดียวกับคำว่าบ้า คือมันมากไปในทางไม่ถูก แต่ก็มันมาก มันมากก็เรียกว่าพัฒนาด้วยเหมือนกัน นี่คำว่าพัฒนานี่ระวังให้ดีนะ พัฒนาไปในทางที่ถูกหรือที่ไม่ถูก จะใช้คำว่าถูก เดี๋ยวนี้ก็ขอให้มันถูกเถอะ พัฒนา ๆ ขอให้สังเกตดูยิ่งพัฒนายิ่งยุ่งใช่ไหม เมื่อโลกไม่พัฒนามันยุ่งน้อยกว่านี้ พอโลกมันพัฒนาก็ยุ่งมากขึ้น ๆ ความรู้เฉลียวฉลาดจากมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนา คือพัฒนาโลกให้มันยุ่งมากขึ้น ให้มันรกมากขึ้นด้วยปัญหาทั้งหลาย
ทีนี้ปัญหาทั้งหลายในโลกมนุษย์มันมาก ๆ ท่วมหูท่วมหัวนะ จึงขอใช้คำหยาบคายเมื่อตะกี้ว่าสู้โลกของหมาก็ไม่ได้ หรือโลกของสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ได้ มันไม่เพิ่มปัญหานี่ ๆ มันไม่เพิ่มความทุกข์ มันไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัว มันไม่เพิ่มกิเลสตัณหา พัฒนาต้องลดกิเลสตัณหา แล้วฝ่ายความดีความงามความถูกต้องเพิ่มขึ้น ๆ เดี๋ยวนี้มันเพิ่มตัณหา มันเพิ่มกิเลสตัณหา มันสร้างเหยื่อของตัณหาด้วยอุตสาหกรรม โลกกำลังบ้าที่จะเป็นอุตสาหกรรม มหาประเทศทั้งหลายก็ใช้อุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือที่จะครองโลกเสียคนเดียว นั่นน่ะพัฒนาอะไรอย่างนั้นน่ะ มันไม่สุจริตนี่ มันไม่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เราสร้างกันมาอยู่กันมาก ๆ ด้วยสันติภาพ นี่มันเป็นบ้าขนาดที่ภาษาบาลีเขาเรียกว่าเป็นทาสของตัณหา คือเป็นทาสของความอยาก มันก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นหรอก เพราะว่าได้มาเท่านี้ หามาได้เท่านี้ตัณหาก็วิ่งออกหน้าต่อไปอีก เอ้า, พัฒนาไล่ตามทันตัณหา ตัณหาก็วิ่งออกไปข้างหน้าเสียอีก ตัณหามันมีลักษณะวิ่งออกหน้าเรื่อยไป ไม่มีทันหรอก นี่ก็เป็นทาสของตัณหา ถ้าพูดให้เป็นธรรมะที่ชัดหน่อยก็พูดว่าเป็นทาสของอายตนะ อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้รู้ไว้ให้ดีเถิด มันเป็นจุดตั้งต้นของเรื่องทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นจุดตั้งต้นของเรื่องทุกเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันต้องการอะไรก็หามาให้ หามาสนองความต้องการของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าอย่างนี้ให้เรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ ใครบ้างที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่เป็นทาสของอายตนะ คุณแสวงหาความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่เรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ ซึ่งมีอยู่ ๖ อย่าง เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากทาส จากความเป็นทาสอันนี้เสียที นั่นน่ะชีวิตที่ถูกต้อง ชีวิตที่มันรอด
เอ้า, ๖ อย่างมากนัก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีตั้ง ๖ อย่างนี่มันมากนัก ไม่เอา เอาคำเดียวเป็นทาสของกิเลสน่ะ เป็นทาสของตัณหา เป็นทาสของกิเลส รับใช้กิเลส เป็นทาสของกิเลส เรียนรู้มาจบ ฉลาดที่สุด เอาความฉลาดที่สุดมาใช้เพื่อเป็นทาสของกิเลสให้ละเอียดให้ลออให้ลึกซึ้ง ให้ไม่มีจุดจบ มีเท่านี้ก็ต้องการมีเท่านั้น ต้องการมีเท่านั้น เดี๋ยวนี้รถยนต์ราคาแสนเขานั่งไม่ได้แล้วเขาต้องการรถยนต์ราคาล้าน บ้านราคาแสนอยู่กันไม่ได้แล้วก็ต้องการบ้านราคาล้าน บางทีเมื่อไหร่จะทัน เมื่อไหร่จะทันกับกิเลสตัณหา มันก็เป็นทาสของกิเลสตัณหาเรื่อยไป ทั้งโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ อย่าหาว่าอาตมามุ่งร้าย เจตนาร้าย พูดร้าย หรือด่าทออะไร ไม่ ๆ ไม่มีเลย มีแต่พูดความจริงว่ามันกำลังเป็นอย่างนี้ ชีวิตมันกำลังเป็นอย่างนี้ เหมือนกับคนบ้าขี่ม้าไม่รู้ว่าไปไหน โลกจะไปไหน ก็ถามดูสิ เจตนาของประเทศมหาอำนาจทั้งหลายมันจะครองโลก แต่ปากมันพูดโกหก มันพูดว่าเพื่อสันติภาพ ชิงกันพูดว่าเพื่อสันติภาพ ๆ แต่เจตนาแท้จริงในหัวใจของมันจะครองโลก จะครองโลกเสียคนเดียว นี่มันบ้าถึงขนาดนี้มันจะครองโลกเสียคนเดียว มันอยู่ได้หรือคนเดียว มันไม่มีทิศทางที่ถูกต้อง มันก็แล้วแต่ม้าจะพาไป ความบ้าของม้านั้นมันก็จะครองโลก นี่วิถีแห่งชีวิตมันกำลังเป็นอย่างนี้ กำลังเรียนมาก ศึกษาให้ดี ศึกษาให้ได้มากจะได้ตำแหน่งที่มีเงินเดือนมาก ๆ ทำงานแต่น้อย ๆ มันคิดจะเอาเปรียบอย่างนี้ คิดว่าจะไม่ต้องออกเหงื่อเลย แล้วก็จะได้เงินเดือนมาก ๆ แล้วก็จะบ้าให้กันอย่างเต็มที่ ในการตามใจกิเลสหรือตามใจอายตนะ บำรุงบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของตัวเอง มีรูปที่สวย มีเสียงที่เพราะ มีอาหารที่อร่อย มีกลิ่นที่หอม มีสัมผัสที่นิ่มนวลไม่รู้จักสิ้นสุด เหล่านี้มันก็เรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ มันก็เป็นการวิ่งเหมือนกับม้าวิ่ง
เอ้า, ทีนี้ก็ความไม่ต้องเป็นอย่างนั้น ความไม่ต้องเป็นอย่างนั้น ความหยุด ความเย็นนี่เป็นสิ่งที่มีได้ไหม ในขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้าที่วิ่งอยู่อย่างนั้นมันก็ไม่ มันไม่รู้สึกว่าจะเป็นไปได้ เพราะมันบังคับม้าไม่ได้ คนโง่มันขี่ม้ามันบังคับม้าไม่ได้ มันก็ไม่มีความหวังที่ว่าจะไปที่ไหน จะไปถึงไหน แล้วก็เห็นพระนิพพานเป็นสิ่งเหลือวิสัยไปหมด จนเดี๋ยวนี้ก็พูดกันว่าฉันไม่ต้องการนิพพาน คือพระโง่เง่าอะไรพ้นสมัยแล้วไม่ต้องการ ฉันต้องการแต่ความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ภาษาธรรมะก็เรียกว่าบูชาเนื้อหนัง เนื้อหนัง ๆ คำนี้มันความหมายด่าที่สุด เลวร้ายที่สุด สกปรกที่สุด หยาบคายที่สุด แล้วโดยเฉพาะความหมายถึงกามารมณ์ซึ่งเป็นเรื่องบ้าวูบเดียว ๆ กิจกรรมทางเพศบูชากันนัก ที่จริงมันเป็นเรื่องบ้าวูบเดียว หาเงินเดือนให้มาก ๆ ก็เพื่อจะสร้างตึก สร้างไอ้อุปกรณ์ต่าง ๆ ส่งเสริมให้กามารมณ์เป็นไปสูงสุด มันก็ยังเป็นเรื่องบ้าวูบเดียวอยู่นั่นแหละ จะไปเอาอะไรกับมัน ต้องรู้ว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องทำให้โง่ ทำให้หลงไม่มีจุดจบ เหมือนกับม้า ม้าบ้าพาไป จะต้องควบคุมให้ได้ ให้มันเย็น ๆ ให้มันหยุด ให้มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง วลีนี้ขอได้จำให้ดีเถิด มันสำคัญที่สุด คงที่อยู่ในความถูกต้อง คงที่อยู่ในความถูกต้องนี้คือความหมายของคำว่า อตัมมยตา อตัมมยตา คำพูดที่ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยิน ๆ คำ ๆ นี้เป็นชื่อของธรรมะสูงสุด ไม่มีอะไรจะสูงไปกว่านี้แล้ว ในภาษาบาลีเรียกว่า อตัมมยตา มีอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครสนใจ ไม่นำออกมาใช้ ก็ไม่รู้จะใช้อย่างไรเพราะไม่รู้ความหมาย ไม่รู้จนถึงกับว่าบางทีคัดลอกผิด เขียนผิดเป็นอกัมมยตาก็มี เป็นอคัมมยตาก็มี เพราะตัวมันคล้ายกัน อักษรขอมโค้งวงกลมเกือกม้าคว่ำ ถ้ามีหัวโตหน่อยก็เป็นตัวตอ ถ้ามีหัวเล็กหน่อยก็เป็นตัวคอ ถ้าไม่มีหัวเลยมันเป็นตัวกอ ที่จริงมันมีตัวมีหัวโตน่ะ เป็นตัวตอ เรียกอตัมมยตา คนเขียนไม่รู้เอาอะไรมาเขียน เผลอไป บางคำเลยกลายเป็นอคัม หัวเล็ก บางทีไม่มีหัวเป็นอกัม เลยใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ อคัมมยตา อกัมมยตตา ไม่มีความหมายใช้ประโยชน์ไม่ได้ ต้องเป็นอตัมมยตา ตัวหนังสือแท้ ๆ น่ะ ความหมายทางตัวหนังสือแท้ ๆ น่ะ ก็คือความที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ สิ่งต่าง ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ คือไม่เป็นไปตามอำนาจของสิ่งปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามอำนาจของสิ่งปรุงแต่ง
ทีนี้ฟังยาก พูดกับชาวบ้านอย่างท่านทั้งหลายมันฟังยาก ไม่มีสิ่งปรุงแต่งมันฟังยาก จึงขอใช้คำใหม่ให้ฟังง่ายว่าความคงที่ เมื่อคงที่ก็ปรุงแต่งไม่ได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ คงที่ ๆ คงที่อยู่ในอะไร คงที่อยู่ในความถูกต้อง ถูกต้องอะไร ถูกต้องสันติภาพ สันติภาพนี่ถูกต้อง คงที่อยู่ในความสงบนั่นน่ะคงที่อยู่ในพระนิพพาน คงที่อยู่ในความถูกต้อง ในความหยุด ในความสงบ ในความเย็นคือนิพพาน คงที่อยู่ในความถูกต้อง ความที่คงที่อยู่ในความถูกต้องเรียกว่า อตัมมยตา ไม่มีอะไรเข้ามาปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ เพียงอุปมาให้จำง่าย ๆ ว่าเหมือนกับเพชร ๆ วิทยาศาสตร์ก็เรียนรู้กันแล้วว่ามันมันแข็งมาก แข็งที่สุด มันจะเป็นเพียงคาร์บอนก็ช่างหัวมันเถอะ แต่ว่ามันแข็ง แข็งที่สุด ตัดได้ทุกสิ่งแต่ไม่มีอะไรมาตัดเพชร ความเป็นเพชรนั่นแหละคืออตัมมยตา ความคงที่อยู่ในความถูกต้องเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เอ้า, คำว่าคงที่ ๆ นี่จะเปรียบเทียบโดยวัตถุให้เห็นว่าคงที่ยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัย ภูเขาหิมาลัยยังหวั่นไหว ยังโยกโคลงเมื่อแผ่นดินมันไหว ภูเขาหิมาลัยยาว ๒,๐๐๐ กิโลเมตรก็หวั่นไหว ภูเขาแอลป์ในยุโรป ร็อกกีเทือกเขาในอเมริกาเหมือนกันกับภูเขาหิมาลัย ไหว ๆ ทั้งนั้นแหละ เมื่อแผ่นดินไหวมันก็ไหว แต่อตัมมยตาคงที่ จิตคงที่ไม่หวั่นไหว ให้ทั้งโลกทั้งจักรวาลหวั่นไหว จิตที่มีอตัมมยตาไม่หวั่นไหว นี่คืออตัมมยตา เรียกว่าคงที่ ๆ พูดให้ฝรั่งฟังก็ในการอบรมฝรั่งนั้นก็พูดอุปมาว่าหญิงสาวสวยที่สุดคนหนึ่งเค้ามีอตัมมยตาในจิตใจ ต่อให้ชายชู้รูปงามเฉลียวฉลาดโวหารดีมีมาตั้งฝูง ก็มาเกี้ยวกันไม่ได้ เกี้ยวตัวกันไม่ได้ สำหรับสาวสวยที่มีอตัมมยตา หรือตรงกันข้ามว่าชายหนุ่มคนหนึ่งมีอตัมมยตา ให้นางงามจักรวาล ให้นางฟ้ามาสักฝูงหนึ่งก็ลากหัวเขาไปไม่ได้ นั่นน่ะคืออตัมมยตา มันคงที่ มันคงที่อยู่ในสภาพที่ถูกต้องของมันเอง ถ้าเราคงที่อยู่ในความถูกต้องอย่างนี้แล้วกิเลสไหนจะมาดึงหัวไปได้เล่า เดี๋ยวนี้ขวดเหล้าก็ดึงหัวไปได้ สนามม้าก็ดึงหัวไปได้ บ่อนการพนันก็ดึงหัวไปได้ สถานเริงรมย์ทั้งหลายก็ดึงหัวไปได้ มันไม่มีความคงที่เพราะมันไม่มีอตัมมยตา
ดังนั้น จะมัวแต่สร้างความรอดปลอดภัยให้แก่ชีวิตอยู่ในความเยือกเย็นก็ต้องมีอตัมมยตา มีผลเป็นนิพพาน เมื่อคงที่แล้วก็สงบเย็นไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป อันนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ เป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย ไม่เหลือวิสัย มีหัวใจเป็นอตัมมยตาคงที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ อยากจะให้มีในคำพูดของคนทั้งหลาย มันไม่ต้องพูดของคนทั้งหลายเป็นคำพูดคำหนึ่งเรียกว่าความคงที่ ๆ เป็นเช่นนั้น คงที่เช่นนั้น เรียกเป็นภาษาไทยก็ต้องเรียกว่าความคงที่แห่งจิตใจ แล้วก็อยากจะให้ไปมีในปทานุกรมของโลก ที่เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอะไรก็ตาม มันเป็นความคงที่ ยาว ๆ ก็ว่า Not to be produced by anything. Not to be produced by anything นี่ produced, produced นี่มันหลายความหมายนะ made of ก็ได้ concoct ก็ได้ condition ก็ได้ Not to be produced by anything, Not to be concocted by anything, Not to be conditioned by anything, Not can we made of by anything ไม่มีอะไรมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ยาวนักก็เป็นคำพูดคำเดียวว่า non-concoctability เป็นศัพท์คำเดียวกับ non-concoctability, non-conditionability, contionable ไม่ได้ nonconditionable แล้วก็ ity ความเป็นสิ่งที่อะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ภาษาบาลีก็เรียกว่าสังขาร สังขารสำหรับการปรุงแต่ง ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้นั่นแหละคืออตัมมยตา มันก็คงที่ คงที่ในความถูกต้อง ความหยุด ความไม่เป็นไปตามสิ่งปรุงแต่ง
เดี๋ยวนี้เรามันกลับชอบนี่ ๆ ชอบให้ถูกปรุงแต่ง ชอบให้ถูกทำให้แปลก ๆ ใหม่ ๆ ให้เอร็ดอร่อย ให้สนุกสนาน ใหม่ ๆ ไปเรื่อยนั่นน่ะมันยินดีในการถูกปรุงแต่ง เราจึงมีการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงอันไม่มีที่สิ้นสุด ก็เพิ่มปัญหา เดี๋ยวนี้ก็มีโรงงานอุตสาหกรรรมที่จะผลิตวัตถุสำหรับมายั่วยวนกิเลสตัณหาไม่รู้จักจบจักสิ้น คุณมีรถยนต์อย่างนี้แล้วคุณก็ต้องซื้ออย่างอื่นที่ดีกว่า ๆ มีตู้เย็นขนาดนี้แล้วไม่เท่าไรก็ต้องเปลี่ยน ๆ ๆ เอาที่มันดีกว่า มีทีวีมีวิทยุอย่างนี้แล้วไม่เท่าไรก็ต้องเปลี่ยน ๆ ๆ เอาที่ดีกว่า เพราะว่ามันมีอุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือผลิตเหยื่อของกิเลส ใช้คำว่ามันผลิตเหยื่อของกิเลสออกมาใหม่เรื่อยไปนี่แหละ อุตสาหกรรมน่ะมันยักษ์บ้า มันจะกินสัตว์ไม่มีที่สิ้นสุด ไปบูชากับมัน แล้วมันกระหายกันนักว่าจะเป็นประเทศที่เจริญด้วยอุตสาหกรรม ระวังให้ดี อุตสาหกรรมชนิดไหน อุตสาหกรรมที่ทำให้บ้ายิ่งขึ้น ให้วุ่นวายยิ่งขึ้น หรือว่าอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดความสงบ ขอให้ระวัง ๆ สังวรกันให้มาก ๆ อย่าหลงอุตสาหกรรมว่าเป็นยุคของอุตสาหกรรมก็จะบ้าอุตสาหกรรมกันเลย ไม่มีทางที่จะสงบ ไม่มีทางที่จะสันติภาพ เพราะมันสร้างขึ้นมาแต่เหยื่อสำหรับกิเลส ประณีตยิ่งขึ้นไป ๆ ๆ บางทีโรคเอดส์ มันก็จะมาแต่ความคิด ความผิดข้อนี้ มันไม่มีหยุดที่พอในความสงบ มันจะบ้ามากขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อนมันก็มีขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บชนิดที่ไม่เคยมีแต่กาลก่อนมันก็มีขึ้นมาชนิดไม่รู้จะรักษากันอย่างไร ปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีแต่ก่อนมันก็มีขึ้นมา ๆ จนไม่รู้จะรักษา จะแก้กันอย่างไร นี่คือความไม่คงที่
ถ้ามีความคงที่ก็หมดปัญหาเรื่องธรรมชาติฝ่ายต่ำ ธรรมชาติฝ่ายต่ำดึงไปไม่ได้ ๆ ธรรมชาติฝ่ายสูงดึงไปก็ดึงไปสู่ความหยุดหรือความคงที่ แต่เราจะไม่เป็น ๆ ทั้งสองฝ่ายดีกว่า เราไม่ต้องการทั้งบวกและทั้งลบ ไม่ต้องการลบ ไม่ต้องการบวก เราต้องการความคงที่ เรื่องนี้สำคัญมาก ลึกลับมาก ความอยู่เหนืออำนาจของความเป็นบวกและความเป็นลบ วิทยาศาสตร์ก็บอกแล้วว่าถ้าขั้วบวกกับขั้วลบมาสัมพันธ์กันแล้วมันก็บ้า มันเกิด energy มหาศาล กำลังงานมหาศาลนั่นน่ะคือบ้า ถ้าขั้วบวกขั้วลบอยู่กันต่างหากก็ไม่เกิดความยุ่ง นี่เป็นกฎของธรรมชาติ
เราไม่ต้องการอยู่ใต้บวก ไม่ต้องการอยู่ใต้ลบ เราไม่ต้องการอยู่ใต้อำนาจของ positiveness negativeness นี่เป็นความมุ่งหมายของทุก ๆ ศาสนา ท่านอาจจะไม่เคยนึกหรือไม่เคยศึกษาก็ได้ อาตมาพยายามค้นคว้าในข้อนี้เป็นอย่างยิ่ง คัมภีร์ไบเบิลตอนต้น ๆ น่ะมันของพวกยิว ก่อนพระเยซูมากมายเป็นพัน ๆ ปี ของพวกยิว ไบเบิลของพวกยิว ที่มาเป็นของพวกคริสต์เดี๋ยวนี้ตอนต้นเป็นคัมภีร์เก่า มีข้อความที่ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ ๆ เสร็จหยก ๆ นี่ พระเจ้าสั่งผัวเมียคู่แรกนั้นว่าแกอย่ากินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว Not to eat the fruit of the tree of knowledge of good and evil. อย่ากินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าแกกินเข้าไปแกจะตาย พระเจ้าสั่งอย่างนี้ นี่ก็รู้ก็เห็นได้ว่าผู้สอนศาสนานี้ ผู้แต่งคัมภีร์นี้เค้ารู้เรื่องความเลวร้ายของดีและชั่ว มันก็เป็นทาสของความเป็นบวกและเป็นลบ มันก็มีปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าตกไปเป็นทาสของความเป็นบวกมันก็เกิดกิเลสบวก โลภะ ราคะไปเลย ถ้ามันตกไปสู่อำนาจของความเป็นลบมันก็เกิดกิเลสประเภทลบ คือ โทสะ โกธะ มันจะทำลายมันจะฆ่าให้ตาย ถ้ายังไม่เป็นบวกเป็นลบก็ตกในกิเลสประเภทสงสัย ๆ ๆ อยู่นั่น นี่เมื่อมีความรู้แยกออกจากกันเป็น ๒ ฝ่ายเป็นบวกเป็นลบเมื่อนั้นเกิดเป็นปัญหา เมื่อไม่ยังไม่รู้มันไม่มีปัญหา เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าเมื่อเด็ก ๆ ยังเป็นเด็กทารกอยู่ในครรภ์หรือออกมาใหม่ ๆ ไม่รู้ความหมายของบวกและลบ ของดีของชั่ว ของได้ของเสีย ไม่รู้ เด็กไม่มีปัญหาเลย พอเด็กโตขึ้นมาถึงขนาดรู้แยกเป็นบวกเป็นลบ เป็นได้เป็นเสีย เป็นแพ้เป็นชนะ เป็นคู่ ๆ เริ่มมีปัญหาทันที มีความทุกข์ทันที เต็มที่นั้นจะตาย คือตาย ถ้ามนุษย์ไม่แยกเป็นบวกเป็นลบ ไม่หลงบ้าบวกบ้าลบแล้วมันก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหา คือมันไม่ตาย
ศาสนายิวข้อนี้อาจจะเก่าก่อนใคร ๆ ก็ได้ตั้ง ๗ - ๘ พันปีแล้ว นี้ศาสนาเต๋าพ้องกันกับพุทธกาล เรียกว่าพ้องสมัยกับพุทธศาสนา ก็มีสรุปใจความสำคัญว่าอย่าไปเป็นทาสของหยินและหยาง ภาษากลางเขาเรียก หยินและหยาง ภาษาแต้จิ๋วเค้าเรียกอิมเอี้ยง อิมเอี้ยงคือบวกและลบนั่นแหละ คือ positive และ negative อย่าไปเป็นทาสของหยินและหยาง อย่าไปหลงหยินและหยาง จึงจะเป็นอิสระ เป็นอิสระ อยู่อย่างไม่มีความทุกข์ นี่ก็แปลว่าศาสนานี้มันก็สอนอย่าไปเป็นทาสของ positive กับ negative ศาสนาฮินดูก็ไม่ใช่เล่นนะ สอนไม่ให้เป็นทาสของบุญและบาป ให้เหนือบุญเหนือบาป แต่ก็ไปเป็นอาตมันสูงสุด เหนือบุญเหนือบาปแล้ว ก็มุ่งหมายจะให้อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือ positive และ negative เหมือนกัน ศาสนาพุทธเราก็เหนือดีเหนือชั่ว เหนือกุศลเหนืออกุศล เหนือบุญเหนือบาปเหมือนกัน ข้ามพ้น ข้ามให้พ้นกุศลและอกุศล ก็เป็นนิพพาน เหนือบุญเหนือบาป เหนือคู่เหล่านี้ นี่มันฉลาดกันมาตั้งหลายพันปี ถึงขนาดว่าไม่เป็นทาสของ positive และ negative แล้วเดี๋ยวนี้ทำไมมันโง่ลง ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวนี้บูชา positive ใช้คำว่า positive เป็นเครื่องถูกต้อง ยกย่องความหมายอะไร ๆ ให้เป็น positive บ้าสุดเหวี่ยงแล้ว คือบ้าดี ๆ แล้วก็มีปัญหาไม่มีที่สิ้นสุดในความหลงบูชา positive เอาล่ะ negative มันน่าเกลียด ไม่เอาล่ะ ไป ๆ มา ๆ หลงบูชารักไอ้ positive ก็ไม่มีสงบ ไม่มีสันติภาพ ไอ้บูชา positive นำมาเป็นความคิดที่จะครองโลก กูจะครองโลกเสียคนเดียว ความเป็น positive มีเท่าไรในโลกกูจะครองเสียให้หมด มันขนาดนั้น
เพื่อจะเข้าใจความข้อนี้อย่างง่าย ๆ ง่าย ๆ สำหรับพูดกับเด็ก ๆ ก็ได้ คุณจงพิจารณาคำ ๒ คำนี้ว่า ฉันไม่ดีใจและเสียใจ ฉันไม่ดีใจให้เป็น positive ฉันไม่เสียใจให้เป็น negative อย่าไปเชื่อใครหรือไปอ่านหนังสืออะไร ดูที่ในใจของตัวเอง ในใจของตัวเอง เวลาไหนสบายที่สุด เยือกเย็นที่สุด หมดปัญหาที่สุด มันเป็นเวลาที่เราไม่มีความรู้สึกว่าดีใจหรือเสียใจ จิตใจไม่เป็น positive ไม่เป็น negative ว่าดีใจ ๆ ก็เป็นบ้าได้ สมมุติว่าคุณถูกลอตเตอรี่ได้เงินร้อยล้านอย่างนี้ บ้าไม่ทันรู้ตัว จิตใจ กินไม่ลงนอนไม่หลับมันก็บ้า แต่ถ้าว่าเป็นเสียใจ ๆ ๆ คุณก็กินข้าวไม่ลงก็นอนไม่หลับเหมือนกัน มันปรุงแต่งสุดเหวี่ยงของสิ่งทั้งสองนี้ อย่า อย่าดีใจ อย่าเสียใจ ตอนนั้นเรียกว่าว่าง ว่าง ว่างนั่นแหละนิพพาน ว่างที่สุดคือนิพพาน นิพพานคือว่างที่สุด ไม่มีความหมายแห่ง positive หรือ negative เหลืออยู่เลย นั่นแหละว่าง ๆ ๆ ไม่ต้องเชื่อใครหรอก แต่ขอให้สังเกตสักหน่อย ให้สังเกตละเอียดสักหน่อย มีจิตใจเป็นอิสระเสียก่อน แล้วคุณจึงจะรู้สึกว่า เอ้อ, เมื่อไม่ดีใจหรือไม่เสียใจ ไม่บวกไม่ลบนี่สบายที่สุด สบายละเอียดประณีตสุขุม ใช้คำว่าอยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ ขอใช้คำว่าอยู่เหนือนะ above น่ะ above ว่าอยู่เหนือ beyond ก็ได้ มันอยู่เหนือไอ้คำว่า between หรือ balance นี่ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ไอ้ between มันอยู่ตรงกลางเดี๋ยวไปเป็นบวกเป็นลบไม่ทันรู้ balance ก็ได้เดี๋ยวก็มันไม่ balance กัน ให้มัน above beyond อยู่เหนือ ๆ ๆ ๆ เหนือความเป็นบวกและความเป็นลบ นั่นคือชีวิตที่หลุดพ้น ชีวิตที่อิสระ ชีวิตที่ถึงจุดหมายปลายทาง เมื่ออยู่เหนือบวกเหนือลบนั่นแหละคืออตัมมยตา อตัมมยตา ความคงที่แข็งโป๊กเป็นเพชรอยู่ที่นี่ เรียกว่าอตัมมยตา อยู่เหนือบวกเหนือลบ แต่นี้ใครต้องการบ้าง ในมหาวิทยาลัยของคุณสอนเรื่องนี้หรือเปล่า ท้าว่ามหาวิทยาลัยทั้งโลกมันไม่มีเคยสอนเรื่องนี้ มันสอนแต่เรื่อง positive, positive, positive ไม่มีจุดจบ ไม่มีที่สิ้นสุด มันจะแก้ความทุกข์ได้ยังไง เพราะมันไปเป็นทาสของ positive มากเกินไป ๆ ไม่อยู่เหนือสิ่งใด ไปอยู่ภายใต้ของสิ่งที่น่ารักน่าพอใจ คือเหยื่อของกิเลส ไม่มีความสงบ ไม่มีสันติภาพ ไม่มีสันติภาพทั้งส่วนบุคคล ไม่มีสันติภาพทั้งส่วนสังคม มันไม่มีเพราะมันมีแต่ความเป็นทาส ทาสขี้ข้านะไม่ใช่ธาตุ ถ้ามีแต่ธาตุก็ดีมันไม่เป็นบวกเป็นลบ แต่ว่าเป็นทาส ทาสขี้ข้าแล้วก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน จัดชีวิตนี้ให้หลุดพ้น ให้หลุดพ้นออกไป ๆ จากความเป็นทาส มันจึงจะคงที่
เอ้า, ทีนี้จะคุยกันละเอียดสักหน่อยก็ได้แต่เดี๋ยวจะง่วงไม่ทันรู้กัน เช้า ๆ อย่างนี้ เราว่าศึกษาธรรมะ ฝึกปฏิบัติธรรมะเพื่อเห็นไปตามลำดับ เห็นอนิจจตาความไม่เที่ยง ข้อแรก โอ้, สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนเรื่อย มีแต่อตัมมยตานิพพานเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยน นั่นเรื่องเดียว แต่มีหมื่นเรื่องแสนเรื่องล้านเรื่องทุก ๆ เรื่องมันเปลี่ยนเรื่อย มันเป็นสังขาร มันเปลี่ยนเรื่อย สังขารคำนี้ไม่ใช่หมายถึงร่างกายนี่ สังขาร แปลว่า การปรุงแต่ง สิ่งที่ทำหน้าที่ปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ๓ ความหมาย ถูกปรุงแต่งคือความหมายของสังขาร ร่างกายนี้มันถูกปรุงแต่ง มันเรียกว่าสังขาร แล้วสิ่งที่ทำหน้าที่ปรุงแต่ก็เรียกว่าสังขาร การปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร มันเป็นสังขารมันก็เปลี่ยนเรื่อย ๆ ๆ คืออนิจจตา อนิจจัง อนิจจัง คือ ไม่เที่ยง อนิจจตา คือ ความไม่เที่ยง
อ่านพบว่าในสมัยของพุทธกาลพวกคริสต์มันก็รู้เรื่องนี้ สองพันกว่าปีมาแล้วสามพันปีแล้ว ธีรัคคลีตัส เป็นนักปรัชญาในคริสต์ก็สอนว่า ทุกอย่างเปลี่ยน ทุกอย่างไหลเรื่อย (นาทีที่ 57:10) ทุกสิ่งไหล มันก็เห็นความไม่เที่ยง มันจึงพูดอย่างนั้น ประชาชนไม่เชื่อหาว่าบ้าเสียอีก ในพระบาลีพระพุทธเจ้าเคยกล่าวถึงอารกา ๆ ศาสดาชื่ออารกา คำนี้มันแปลผิดแล้ว มันไม่ใช่ศาสดาอารกา อารกามันแปลว่าไกล ในที่ไกล ศาสดาในเมืองไกล ได้สอนลัทธิไม่เที่ยง ๆ เหมือนกับที่เราสอน พระพุทธเจ้าท่านยังว่าอย่างนี้ แปลว่าการรู้เรื่องอนิจจังนั้นไม่ใช่รู้แต่พระองค์หรอก เขาก็รู้กันทั่ว ๆ ไปแต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด เห็นว่าทุกอย่างไหล มันขึ้นอยู่กับปัจจัย มันปรุงแต่งได้ มันไม่คงที่ มันไม่มีอตัมมยตาเลย ทุกอย่างไหล
ทีนี้ธรรมชาติบังคับให้เราต้องอยู่กับทุกอย่าง สิ่งแวดล้อมทุกอย่างซึ่งมันไม่เที่ยง เราก็ลำบากยุ่งยากและเป็นทุกข์ อนิจจตาก็ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่อมันไม่เที่ยงและมันเป็นทุกข์อย่างนี้ มันก็เป็นอนัตตา อนิจจตาความไม่เที่ยง ทุกขตาความเป็นทุกข์ อนัตตาความเป็นของไม่ใช่ตน ถ้าคุณทำวิปัสสนาถึงที่สุด คุณจะมองเห็นตา ๓ ตานี้ก่อน แล้วก็จะเห็นต่อไปว่าโอ้, ธัมมัฏฐิตตา (นาทีที่ 58:48) ธัมมัฏฐิตตานี่คือความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความตั้งอยู่ธรรมดามันเป็นอย่างนี้เอง เรียกว่า ธัมมัฏฐิตตา ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ก็เห็นชัดว่ามันตั้งอยู่ธรรมดาอย่างนี้แล้วก็เลยเห็นเลยไปถึงว่า โอ้, กฎธรรมชาติมันบังคับอยู่อย่างนี้นี่ เรียกว่า ธัมมนิยามตา ๆ มีกฎธรรมชาติบังคับอยู่อย่างนี้ ความที่ถูกธรรมชาติบังคับให้เป็นอย่างนี้เรียกว่าธัมมนิยามตา มีอาการเกิดขึ้น มีอาการดับลงตามเหตุตามปัจจัย สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา เป็นไปตามธรรมชาติของมัน มันเป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วดับลง อาศัยกันอย่างนี้ก็เกิดขึ้น อาศัยกันอย่างนี้แล้วก็ดับลง อย่างนี้เรียกว่า อิทัปปัจยตา คำนี้สำคัญมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเห็นสิ่งนี้คือเห็นพระพุทธเจ้า เรียกว่า อิทัปปัจยตา ความจะอาศัยกันเกิดขึ้นแล้วดับลง เพราะสิ่งนี้ ๆ ๆ เป็นปัจจัย เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย มันจึงเกิดอาการอย่างนี้ ๆ ๆ นี้เรียกว่าอิทัปปัจยตา เห็นอิทัปปัจยตาถึงที่สุด มันก็เห็น อู้, มันว่าง ๆ มันไร้สาระ ๆ เรียกว่าเห็นสุญญตา ความว่าง ความว่างจากสาระ ความว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน เรียกว่าสุญญตา ๆ พอเห็นสุญญตาว่างไร้สาระจากตัวตนอย่างนี้ชัดแล้วก็เห็น โอ้, มันเป็นเช่นนี้เอง ๆ เรียกว่า ตถาตา ๆ ตถตาก็ได้ ตถาตาก็ได้คำเดียวกัน เช่นนี้เอง ๆ พอเห็นตถาตาเช่นนี้เองถึงขนาดสิ้นสุดแล้วมันหยุด มันคงที่ มันไม่ไปทางไหนแล้ว มันคงที่อะไรมาปรุงแต่งไม่ได้แล้วนี่เรียกว่า อตัมมยตา ๆ ความคงที่ ๆ
ง่วงนอนหรือยังล่ะ ๙ ตา เพึ่งตื่นนอนมาใหม่ ๆ ถ้าคุณไม่เข้าใจคุณก็ง่วงนอน ข้อที่ ๑ อนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ อนัตตตา ความมิใช่ตน นี่ชุดหนึ่ง ๓ ตา หลังจากนี้ก็เห็น ธัมมัฏฐิตตา มันเป็นอย่างนั้นเอง ธัมมนิยามตา เพราะมีกฎธรรมชาติบังคับอยู่ อิทัปปัจจยตา ต้องเป็นไปตามปัจจัยอย่างนี้ นี่ก็ชุดหนึ่ง ๓ ตา ทีนี้ชุดสุดท้ายที่จะเป็นผลก็ โอ้, สุญญตา ว่าง ๆ ว่างไร้สาระ ว่างตัวตน แล้วก็ตถาตา คงที่ ๆ เอ้ย, ไม่ใช่ เช่นนั้นเอง ๆ ๆ ตถาตา มันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็มาถึงคงที่ ๆ คืออตัมมยตา ๓ ชุด ชุดละ ๓ ตาได้เป็น ๙ ตา ถ้าคุณรู้จักทั้ง ๙ ตาแล้วก็รู้จักหมดทั้งพุทธศาสนา รู้จักหมดในทางรู้ลึกลับอันสูงสุดของวิปัสสนาในพระพุทธศาสนา ไปทำสมาธิวิปัสสนาอานาปานสติจะรู้ ๙ ตานี้
นี่ถ้าถึงความคงที่ ถึงความคงที่แล้วมันก็ไม่ไปไหน ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ ขวดเหล้าดึงไปไม่ได้ สนามม้าดึงไปไม่ได้ สถานเริงรมย์กี่อย่างก็ดึงไปไม่ได้ แล้วก็ว่าวิเศษ ๆ คงที่ ๆ เยือกเย็น คงที่ เยือกเย็น เพราะคงที่จึงเยือกเย็น พอเยือกเย็นก็คงที่ คงที่อย่างนี้ยอดสุดของสิ่งที่มนุษย์จะพึงได้ สิ่งที่ดีที่สุด ยอดสุดที่สุดของสิ่งที่มนุษย์จะพึงได้จะได้ความคงที่ มันสันติภาพยิ่งกว่าสันติภาพ ๆ ๆ สันติภาพของสันติภาพของสันติภาพของสันติภาพไม่รู้จักจบ จุดไม่รู้จบ นี่คือผลของการที่ขี่ม้าที่บังคับได้จนมาถึงจุดหมายปลายทาง คือ อตัมมยตา วิถีแห่งชีวิตของเราต้องมาถึงที่นี่จึงจะเรียกว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้ แล้วก็ได้สนองความต้องการของธรรมชาติถึงที่สุดแล้ว ที่ว่าธรรมชาติได้ให้ชีวิตมาในฐานะเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ แล้วเราก็ได้พัฒนามันจนถึงที่สุดแล้ว คือถึงความคงที่ ๆ ๆ ถ้าไม่มีความคงที่มันก็ต้องดิ้นรน ๆ ๆ ๆ ๆ เหลือประมาณ ด้วยอำนาจของสิ่งที่เป็นคู่ คำนี้ก็ต้องจำไว้ให้ดี เรียกเป็นคำไทยง่าย ๆ ว่าสิ่งที่เป็นคู่ pair of opposite คู่ของสิ่งที่ตรงกันข้าม สิ่งที่เป็นคู่มันมีในความที่เป็นคู่ของสิ่งที่ตรงกันข้าม มันจึงเรียกว่า dual dual ง่าย ๆ dualism บ้าง duality บ้าง ความเป็นของคู่ ก็คือนี่อย่างที่พูดมาแล้ว อันแรกก็คือดีชั่ว ๆ ตรงกันข้าม หรือว่าให้แรกที่สุดเป็นธรรมชาติเป็นวิทยาศาสตร์ก็ positiveness negativeness คู่ ๆ แรก คู่จุดตั้งต้นอยู่ที่นั่น หลง positive negative หลงดีหลงชั่ว หลงดีหลงชั่วก็หลงสุขหลงทุกข์ บ้าสุขบ้าทุกข์ บ้าดีบ้าชั่ว บ้าสุขบ้าทุกข์ แล้วก็บ้าบุญบ้าบาป บ้าได้บ้าเสีย บ้าแพ้บ้าชนะ จึงล้วนแต่เป็นของคู่กันทั้งนั้น ของคู่นี่นับไม่ไหวแล้ว ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยคู่ แต่ว่าไอ้คู่ที่สำคัญ ๆ มันอยู่ที่ว่าเราหลงกันนักก็คือบ้าดีบ้าชั่ว ที่มันยังบ้าได้มันไม่ใช่ดี แต่มันก็คิดว่าดี มันก็บ้า บ้าดี ๆ ใครไม่บ้าดี ใครไม่หลงดี เดี๋ยวจะหาทำยาหยอดตายาก มันบ้าดีกันทั้งนั้น คุณก็อุตส่าห์เรียนถึงมหาวิทยาลัยไปเมืองนอก มันก็มีความหมายอยู่ที่บ้าดี ไอ้บ้าชั่วมันของคนโง่ มันก็บ้าชั่ว ไอ้บ้าดีของคนฉลาด เรียนไม่รู้จักจบ แล้วก็มาอยู่ในสภาพที่ว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะยิ่งฉลาดยิ่งเป็นเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว การศึกษาให้แต่ความฉลาดไม่ให้อะไรควบคุมความฉลาด นั่นแหละคือเป็นเหตุให้บ้าดี บ้าดี ไม่มีที่สิ้นสุด ขอให้ไปคิดเอาเองนะไอ้คำว่าคู่ ๆ นี่จะมองเห็นได้เอง บ้ากำไรบ้าขาดทุน มันก็บ้า บ้าสรรเสริญบ้านินทา น่าหัวแต่มันน่าสงสารที่สุด หลงในคำสรรเสริญหลงในคำนินทาหัวปั่นเป็นจิ้งหรีด บ้าเอาเปรียบบ้าเสียเปรียบ บ้าในความได้เปรียบในความเสียเปรียบ บ้าในความแพ้ในความชนะ ทุก ๆ คู่
ก็ขอสรุปท้ายสักหน่อยอย่าเพิ่งตกใจว่าไม่บ้าในความเป็นหญิงและเป็นชาย นี่คู่ ๆ ๆ ๆ คือหญิงและชาย ถ้าหลงในความเป็นคู่ ๆ นี้แล้วเรื่องไม่มีที่สิ้นสุดมหาศาล เลิกความเป็นหญิงเป็นชายซะได้น่ะมันหยุดมันจบ แม้ว่าจะมีเนื้อตัวเป็นหญิงเป็นชายก็อย่าไปบ้าความหมายที่เป็นหญิงเป็นชายเลย มันจะว่าง มันจะอยู่เหนือบวกเหนือลบ ถ้าไปหลงความเป็นหญิงเป็นชายแล้วปัญหาเรื่องบวกเรื่องลบนี่ไม่สิ้นสุด ไปหัวเราะบ้างร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้างร้องไห้บ้าง แต่ส่วนมากมันหลั่งน้ำตาทั้งนั้นแหละ ลองไปบ้าความเป็นหญิงเป็นชาย นี่ทุก ๆ คู่ ทุก ๆ คู่ pair of opposite มันก็ต้องมองเห็นว่าไอ้นี่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้มีความเป็นบวกเป็นลบ ๆ ๆ แล้วก็เป็นทาสของความเป็นบวกเป็นลบไม่มีที่สิ้นสุด
เอ้า, ทีนี้เวลาที่เหลืออยู่อีกหน่อยก็จะพูดเรื่องวิธีที่จะไม่หลงความเป็นบวกเป็นลบ ที่จะไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความเป็นบวกเป็นลบ มันก็คือธรรมะ แต่ถ้าว่าธรรมะ ธรรมะมันก็กว้างเกินไปจนไม่รู้ว่าอะไร จะขอเอามาเพียงธรรมะ ๔ อย่าง เฉพาะหน้าปัจจุบันแก้ปัญหาได้ ธรรมะ ๔ อย่าง เรียกว่า ธรรมะ ๔ เกลอ ๆ แต่ไม่ใช่ ๔ เกลอต่างคนต่างอยู่นะ teamwork ต้องรวมกัน ๔ เกลอนี่ต้องมาเป็น teamwork ข้อที่ ๑ คือสติ ๆ ๆ mindfulness เขาเรียก attentiveness ก็เรียกบางที มีสติรู้สึกระลึกได้เร็ว คือรู้สึกเร็วระลึกได้เร็ว เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบซะอีกจึงจะดี
สติคำนี้แปลว่าความเร็ว สิ่งที่มีเร็วมาเร็ว มีสติเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น สติยังไง สติไปเอาปัญญามา ปัญญาที่เราศึกษาสะสมไว้มากมายทุก ๆ ๆ แขนง ทุกปัญญา มาสติเร็ว มาไปเอาคว้าปัญญามาอย่างหนึ่งมาทันเวลา ไม่ใช่เอามาทั้งหมด ปัญญาน่ะมันมีมากมายครบทุกอย่าง เหมือนกับเรามีอาวุธหลาย ๆ อย่าง พอเกิดศัตรูมา แล้วก็ไปเอาอาวุธเฉพาะอย่างที่จะกำจัดศัตรูนั้น นี่สติไปเอามา หรือว่าในตู้ยามียาครบทุกอย่างพอเกิดเรื่องก็เอามาอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ไม่ได้กินหมดทั้งตู้ เอาไอ้ธรรมะที่มันจะแก้ปัญหาได้คือปัญญาเฉพาะหน้าเฉพาะเหตุการณ์มา ปัญญานี้เอามา พอมาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันเลวร้าย ปัญญาเปลี่ยนชื่อทันที เปลี่ยนชื่อเรียกว่าสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็ไม่ใช่อะไรหรอก มันคือปัญญานั่นแหละ แต่มันมาอยู่ในลักษณะที่เฉพาะหน้าเฉพาะเหตุการณ์ มีหน้าที่ กำลังทำหน้าที่ เหมือนยาทั้งตู้อยู่ในตู้ แต่ถ้ายาขวดไหนหยิบมากินนั่นน่ะ มันก็มีเฉพาะ ๆ มันก็ทำหน้าที่ คือปัญญาที่มาทำหน้าที่เฉพาะหน้ากับเหตุการณ์นั้น ๆ เราเรียกว่า สัมปชัญญะ
ทีนี้ถ้าสัมปชัญญะมันอ่อนกำลัง มันอ่อนเพลีย ๆ ก็ต้องมีธรรมะที่ ๔ คือ สมาธิ สมาธิ คือกำลัง กำลัง ปัญญาจะทำหน้าที่ตัดปัญหาได้ก็เพราะมีกำลัง สังเกตดูง่าย ๆ ง่าย ๆ เรื่องธรรมดาสามัญนะ แม้จะคม คมกริบเท่าไหร่แต่ถ้าไม่มีน้ำหนักมันไม่ตัดหรอก ให้มันคมยิ่งกว่ามีดโกนถ้ามันไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไปมันก็ไม่ตัด ความคมก็เป็นหมัน ปัญญานี้ก็เหมือนกันแหละมันต้องมีน้ำหนักคือสมาธิ สมาธิมันเป็นน้ำหนักให้ปัญญามันตัดลงไป ๑. สติระลึกได้ทันควัน ทันเหตุการณ์ ไปเอาปัญญามา ปัญญามาเป็นสัมปชัญญะ คือ ปัญญาที่ทำหน้าที่เฉพาะหน้า แล้วก็มีกำลังของสมาธิ มีน้ำหนักที่จะตัดปัญหา
ยกตัวอย่าง ๆ ว่า ไอ้ตา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยกตัวอย่างตา พอตาเห็นรูปหนึ่งทางตาเข้ามา ระวัง มันจะเกิดความหมายเป็นบวกหรือเป็นลบ อารมณ์ทางตาที่ได้รับมาสวยไม่สวยนี่มันจะเกิดความเป็นบวกเป็นลบ สติมาทัน ไม่ทันจะเป็นบวกเป็นลบ สติมาทัน คือเอาปัญญามาด้วย มาเป็นสัมปชัญญะคุมเชิงอยู่ มันก็ไม่เกิดความรู้สึกเป็นบวกหรือเป็นลบ กลับว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ เป็นของตามธรรมชาติ ไม่บวกไม่ลบ ถ้าสัมปชัญญะมีกำลังน้อยก็สมาธิที่แรง ๆ ๆ ๆ ก็จะเห็นความไม่เป็นบวกเป็นลบมากขึ้น เราก็ไม่หลงในเรื่องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เหมือนกันแหละ ใช้ไอ้ ๔ เกลอนี้ เอามาขจัดปัญหาป้องกันไม่ให้เป็นบวกเป็นลบ ก็ไม่เกิดกิเลสบวกไม่เกิดกิเลสลบ มันก็สบายดี ไม่เกิดเป็นบวกเป็นลบแต่รู้นะว่าควรจะจัดการกับมันอย่างไร สวยมาไม่สวยมา อะไรก็ตาม หอมมาเหม็นมา อร่อยมาไม่อร่อยมา จัดการกับมันอย่างไรก็จัดไปตามที่ควรจัด ถ้าไม่ต้องจัดอะไรก็ไม่ยากอะไร ไม่รู้ไม่ชี้ นี่คือความไม่เป็นบวกความไม่เป็นลบแต่เป็นอตัมมยตา
ให้จำให้ดีว่าเพื่อน เพื่อนที่ประเสริฐสูงสุดของเราก็คือธรรมะ ๔ เกลอ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ พวกเราสอนฝรั่งอยู่ที่นี่ทุกเดือนก็สอนเรื่องนี้ สอนให้รู้หลักวิชาโดยปฏิจจสมุปบาท แล้วก็สอนปฏิบัติอานาปานสติ ให้เขามีสติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ สอนเดือนละ ๑๐ วัน ฝรั่งมาเดือนนึงหลายสิบคน บางเดือนก็ร้อยกว่าคน นี่แสดงว่าเขาจะสนใจมากกว่าเรา อย่าลืมธรรมะ ๔ เกลอ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ เขาทำงานเป็น Teamwork ร่วมกันแล้วมันก็แก้ปัญหาได้ รักษาความคงที่หรืออตัมมยตาไว้ได้ นี่มันก็มีอย่างนี้
ชีวิตเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาสำหรับพัฒนาแล้วก็พัฒนาได้ พัฒนานั้นคือการลงทุนด้วยชีวิต ทำการค้าขายให้เกิดกำไรที่ควรได้ ก็มีความสงบสุขหรือสันติภาพ คือมีความคงที่ ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ในโลกนี้จะมีอารมณ์อะไรกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนอย่างก็ไม่มาปรุงแต่งให้เราไขว้เขวไปได้จากความคงที่ นี่ความคงที่ มีอตัมมยตา ก็ใช้ได้ในการต่อสู้กับอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยเอามาแยกมีธรรมะ ๔ อย่าง ๔ อย่าง ๔ เกลอนี่ รักษาไว้ได้ก็รักษาอตัมมยตาไว้ได้ วิถีชีวิตนี้จะถูกต้อง จะเป็นไปอย่างถูกต้อง ก็จะคงที่ตั้งแต่จุดตั้งต้น แล้วคงที่ยิ่งขึ้น ๆ ๆ จนถึงจุดสุดท้าย ยังมีรายละเอียดอีกมากมายถ้าจะพูดเรื่องนั้น แต่เอาว่าคงที่ไปตามลำดับ สูงขึ้น ๆ จนสูงสุด เป็นอตัมมยตาสุดท้ายก็เป็นอตัมมโย คือเป็นพระอรหันต์ ผู้มีอตัมมยตานั้นเรียกว่าอตัมมโย ก็โดยความคงที่แล้วก็เป็นผู้คงที่ ไม่มีอะไรมาทำให้ ๆ หวั่นไหวได้ ให้ระคายขนได้ ไม่มีอะไรมาทำให้ระคายขนได้ คงที่สงบเย็นเป็นนิพพาน ชีวิตถึงจุดหมายปลายทางคือความเยือกเย็นเป็นนิพพาน ขอให้รักษาให้ได้ในความคงที่น้อย ๆ ก็ได้นิพพานน้อย ๆ ไปพลางเรียกว่า นิพพุติ ๆ ได้ไปพลางในเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตาม ขอให้ได้นิพพุติไปพลาง ทุกหน้าที่ทุกการงานในชีวิตนี้ให้มีนิพพุติเป็นประจำวัน แล้วมันก็มากขึ้น ๆ จนถึงจุดสุดท้ายมันก็มีมีนิพพานสมบูรณ์ เราเรียกว่านิพพุติ ถ้าไม่เรียกว่านิพพุติก็เรียกว่านิพพานตัวอย่าง นิพพานน้อย ๆ หรือนิพพานในชีวิตประจำวัน วิถีแห่งชีวิตถูกจัดถูกเตรียมดีแล้ว เป็นการไหลไปอย่างถูกต้องแล้วมีลักษณะอย่างนี้
ขอให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการมาที่นี่ และแสวงหาธรรมะไปประกอบหน้าที่การงานหรือวิถีดำเนินแห่งชีวิต ขอให้ได้ประสบความสำเร็จ ความสำเร็จ ความสำเร็จในข้อนี้ คือมีชีวิตที่เยือกเย็น เยือกเย็นทุกทิพาราตรีกาลเทอญ