แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้เป็นนักศึกษาธุรกิจบัณฑิตทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะเช่นนี้คือเพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะไปใช้ให้เพียงพอประกอบกับหน้าที่การงานของตนเป็นสิ่งที่มีเหตุผลหรือว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำเช่นนั้นซึ่งเราจะได้พิจารณากันต่อไป สำหรับการที่จะมาพูดจากันในเวลาอย่างนี้คือ ห้า น. ก็เพื่อประโยชน์ทางจิตใจเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับนักศึกษาผู้ไม่เห็นแก่นอน เวลาหัวรุ่งนั้นเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับชีวิตหรือร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนมาพอสมควรแล้วก็จะเป็นของใหม่ ความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจะเป็นของใหม่พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ พอสายไปสายไปมันก็รับอะไรเข้าไปเพิ่มมากขึ้น มีลักษณะเหมือนกับน้ำชาล้นถ้วยเติมอะไรไม่ลงมากขึ้นมากขึ้น เวลาอย่างนี้จึงเป็นเหมือนถ้วยชามันยังว่างมันเติมอะไรลงไปได้โดยง่ายเราจึงนิยมเวลาอย่างนี้ซึ่งเป็นเวลาพิเศษที่ธรรมชาติกำหนดให้
ดอกไม้โดยทั่วๆไป โดยเฉพาะดอกไม้ในป่านี่มันจะเริ่มบานเวลาก่อนรุ่งอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาอย่างนี้เวลาก่อนรุ่งอรุณเตรียมพร้อมหรืออย่างช้าก็รุ่งอรุณ โดยธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เราจึงเลือกเอาเวลาอย่างนี้ แล้วก็จะเป็นโอกาสสำหรับการฝึกจิตใจพร้อมกันไปในตัวให้มันมีกำลังจิตเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น สำหรับส่วนตัวอาตมาเองก็ยังเป็นเช่นนั้นคือว่าไม่มีเรี่ยวแรงในเวลาอื่นๆ อายุมาก เวลาที่พอจะมีเรี่ยวแรงทำอะไรจริงจังหน่อยก็เวลาเช้าๆ ตอนเช้าอย่างนี้ รวมกันทุกเรื่องแล้วมันก็มีความเหมาะสมที่เราจะมาพูดจากันในลักษณะอย่างนี้ได้รับทั้งความรู้และได้รับทั้งการบังคับตัวเอง บังคับจิต บังคับกิเลสอะไรพร้อมกันไปในตัวมันเป็นผลพิเศษออกไป ทำความเข้าใจกันหน่อยในเรื่องนี้ว่าทำไมจึงต้องมาพูดกันในเวลาอย่างนี้ ทีนี้เรื่องที่จะพูดนี้จะมีหัวข้อว่า ธรรมะสำหรับบัณฑิตสั้นๆ เท่านี้ก็พอ ธรรมะของบัณฑิตสั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจกันให้ดีคือให้เต็มที่ให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ในชั้นแรกนี่ก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำพูดกันทีละคำทีละคำ โดยเฉพาะคำแรกก็คือคำว่า บัณฑิต บัณฑิตหมายถึงอะไรกันแน่ ในความหมายทางโลกโลกก็ดีในความหมายทางธรรมะอันสูงขึ้นไปก็ดีคำว่าบัณฑิตนี่หมายถึงอะไรกันแน่ ดูจะให้ความหมายน้อยไปนะเพียงแต่สำหรับจะไปเป็นเลขานุการ ผู้ช่วยเลขานุการ แม้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการมันก็ยังน้อยไปสำหรับคำว่า "บัณฑิต" มันเป็นเด็กๆ มากเกินไป มันควรจะมีอะไรมากกว่านั้น ผู้สำเร็จวิชาความรู้เป็นบัณฑิตนี่ไม่ใช่ว่าจะไปเป็นเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการ ขอให้มันตั้งใจมากไปกว่านั้นโดยอาศัยคำว่าบัณฑิต บัณฑิตในภาษาบาลีคำนี้แปลว่าผู้มีปัญญาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตให้ถึงที่สุด ปณฺฑา(0:09:14) แปลว่าปัญญาเครื่องดำเนินชีวิต อิตะ อิตะ(0:09:19) นั้นเป็นปัจจัยท้ายศัพท์ แปลว่ามีหรือผู้มี ปณฺฑาอิตะ(0:09:25) ผู้มีปัญญาดำเนินชีวิตถึงที่สุด รวมสองอย่างเป็น ปณฺฑิต ปณฺฑิตะ(0:09:34) ขึ้นมา บัณฑิตแปลว่าผู้มีปัญญาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตให้ที่ถึงที่สุดที่ชีวิตมันควรจะมีได้ นี่ความหมายของภาษาบาลีมันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นลูกจ้าง เป็นเลขาหรอก ผู้ช่วยเลขา แม้แต่ผู้ช่วยผู้จัดการ มันจะไปเป็นลูกจ้างมากกว่าที่จะไปเป็นบัณฑิต ขอแสดงความหมายของคำในภาษาบาลี ทีนี้ก็ยังมีทางที่จะต้องแยกแยะออกไปเป็นสองอย่างว่าบัณฑิตในความหมายที่เป็นโลกโลก หรือที่เป็นความหมายในทางธรรมะอันสูงสุดนี้มันไม่เท่ากัน ทางธรรมะมันมุ่งหมายจะดับทุกข์สิ้นเชิง ในทางโลกโลกนี่มันมีความหมายเพียงเอาตัวรอดไปทีแค่นั้นน่ะ เรื่องที่เรียนมันถึงผิดกันเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิชามากกว่า ไม่ถึงกับจะเป็นบัณฑิตอย่างนี้เราไม่เรียกว่าบัณฑิต แล้วสามารถใช้วิชานั้นๆ ให้ถึงที่สุดวิชาชนิดที่ละเอียดเป็นเคล็ดเรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ ดีกว่า ว่ามันเป็นเคล็ดที่ให้สำเร็จประโยชน์คือมันง่ายมันสะดวกมันเปลืองน้อยมันอันตรายน้อย สำเร็จได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นเคล็ดหรือเป็นอุบาย จะเรียกเป็นภาษาฝรั่งสมัยใหม่กับเขาหน่อยก็ได้ว่ามันเป็นเทคนิคแต่มันมีความรู้ทางเทคนิคอย่างเดียวมันไม่พอมันต้องมีความรู้ที่จะใช้มันด้วยใช้มันให้สำเร็จประโยชน์ในทุกแง่ ในทุกมุม ในทุกความหมาย จะมีคำอื่นเรียกเป็นเทคโนโลยีหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่จะเรียก คำว่าบัณฑิตมันต้องหมายถึงสามารถที่จะใช้ความรู้หรืออุบายวิธีนี้ให้สำเร็จประโยชน์ตามความมุ่งหมาย ถ้าเป็นเรื่องทางธรรมะก็หมดปัญหาทางจิตใจเรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพานหมดปัญหาทางจิตใจ ถ้าเป็นเรื่องโลกโลกมันก็มีกินมีใช้สบายไปตามภาษาโลก เพียงแต่ว่ามีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีมิตรสหายที่ดีพอตัว อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นบัณฑิตเต็มขั้นในฝ่ายโลกโลก แต่ถ้าทางฝ่ายธรรมะมันยังจะต้องรู้จักทำจิตใจให้เย็น ให้เย็นไม่ใช่ตาย นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย นิพพานแปลว่าเย็น มีชีวิตเย็น คนที่มีชีวิตเย็นก็คิดอะไรได้ดี ทำอะไรได้ดี ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อสงเคราะห์ผู้อื่นได้ดีนั่นแหละเรียกว่าเย็นเป็นบัณฑิต ถ้าใจร้อนลองคิดดู ต่อให้มันเป็นมหาเศรษฐี เป็นมหาบุรุษของโลก ถ้าใจร้อนมันก็ไฟสุมอยู่มันจะมีความหมายอะไร มีความรักบ้างไปสุมอยู่ ความโกรธบ้างไปสุมอยู่ ความเกลียดบ้างไปสุมอยู่ ความกลัวบ้างรบกวนอยู่ ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา ความหวงความหึงเป็นที่สุด กลัดกลุ้มอยู่ในใจแล้วมันจะเย็นได้ยังไง นี่บัณฑิตในโลกโลกไม่สูงสุดถึงที่ธรรมชาติกำหนดให้ เราต้องมีชีวิตเย็น คิดได้ดี ทำได้ดี สงเคราะห์ผู้อื่นได้ดีเป็นประโยชน์แก่โลกถึงที่สุดอย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นบัณฑิตตามความหมายในทางภาษาธรรมะหรือภาษาศาสนา
พิจารณาออกไปหน่อยหนึ่งว่าเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย วัฒนธรรมอินเดียเดิมแท้ไม่ได้ให้เกียรติผู้หญิงเท่ากับผู้ชาย ต่อเมื่อพุทธศาสนาเกิดขึ้นมีหลักการให้ความเสมอภาคหรือสิทธิที่เท่าเทียมกันว่าผู้หญิงบวชสำเร็จมรรคผลได้เหมือนกับผู้ชายอย่างนี้ มีคำกล่าวที่จะยกมาพูดให้ฟังกันสักหน่อยก็ได้เรื่องราวในพระคัมภีร์มีว่า เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเค้าถูกสามีที่เป็นโจรล่อลวงจะไปฆ่าในภูเขาเพื่อจะเอาทรัพย์สมบัติ ผู้หญิงคนนั้นเขาสามารถจะหลอกลวงให้สามีที่เป็นโจรโดยไม่รู้สึกนั่นตัวตกเหวตายก่อนแต่ที่จะทำอะไรเขาได้ ทีนี้พวกเทวดาทั้งหลายพากันร้องสรรเสริญ นะหิ สพฺเพ สุฐาเนตุ สุวิโสโหติ ปณฺฑิโต (0:15:39) ไม่ใช่จะเป็นบัณฑิตแต่เฉพาะผู้ชายไปเสียทุกอย่างก็หาไม่ อิฏฐีปิ ปณฺฑิตาโหติ ตตฺถะตตฺถะ วิตะถะนา (0:15:52) แม้สตรีก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกันเมื่อมีสติปัญญาก็จัดแจงอยู่ในจิตที่เป็นหน้าที่ของตนนั้นๆ ข้อความนั้นเป็น..เล่าว่าเทวดาสรรเสริญกันอื้ออึงไปหมดในป่านั้น แต่อาตมาเชื่อว่าถ้าให้พระพุทธเจ้าตรัสท่านก็ตรัสอย่างนี้ แล้วคำอย่างนี้ถือเป็นพุทธภาษิตก็ได้ เป็นธรรมภาษิตก็ได้ ซึ่งสรุปใจความว่าสตรีก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกันถ้ามีสติปัญญาเพียงพอพิจารณาใคร่ครวญอยู่โดยแจ้งประจักษ์ในกรณีนั้นๆ นี่เป็นอันว่าทั้งสตรีและบุรุษเป็นบัณฑิตได้ในความหมายนี้ ขอให้หลักการอย่างนี้เป็นผู้ดำเนินประโยชน์จิตแห่งชีวิตด้วยปัญญาทั้งในทางโลกและทั้งในทางธรรม
ท่านทั้งหลายเรียกตัวเองว่าธุรกิจบัณฑิต ธุรกิจบัณฑิต ก็ขอให้ดูให้ดีๆ ว่าธุรกิจธุรกิจมันหมายถึงอะไรธุรกิจ เป็นบัณฑิตในทางธุรกิจ ธุรกิจอย่างโลกโลกมันก็เท่านั้นแหละ ถ้าธุรกิจทั้งหมดของชีวิตทั้งดุ้นแล้วมันก็ต้องไปถึงเรื่องของธรรมะด้วย อย่างที่กล่าวแล้วว่าเราศึกษาเล่าเรียนนี้ไม่ใช่เพียงแต่ว่าจะไปเป็นเลขานุการ ผู้ช่วยเลขานุการอย่างนี้ ผู้ช่วยผู้จัดการอย่างนี้มันไม่เต็มขนาด มันไม่เต็มขั้น มันไม่เต็มความหมาย มันต้องเป็นบัณฑิตสามารถประกอบกิจหน้าที่ของตนของตนได้ถึงที่สุดตามความหมาย คำว่าธุรกิจอย่างโลกก็ได้ อย่างธรรมะก็ได้ดังกล่าวแล้ว และถ้าสามารถมาในทางธรรมะด้วยก็ยิ่งดีเพราะว่ามันจะเป็นชีวิตเย็น คุณจะเห็นผู้จัดการ เห็นเจ้าประธานของงาน เห็นเศรษฐีรวยทรัพย์นี่มันยังร้อนอยู่ มันยังร้อนอยู่ มันยังร้องไห้ หรือยังหัวเราะกันสลับกันอยู่ มันไม่ถึงที่สุดเพราะว่ามันไม่มีความรู้ในด้านจิตใจเอาเสียเลย มันยังมุ่งแต่ธุรกิจทางวัตถุคือเงินเป็นสรณะอย่างนี้ทางธรรมะไม่ได้ยอมรับว่าสมบูรณ์ นี่ถ้าจะสมบูรณ์มันต้องเป็นนักธุรกิจที่เยือกเย็น ไม่มีความทุกข์และดำเนินประโยชน์กิจของชีวิตไปด้วยดีคือสำเร็จประโยชน์ทั้งประโยชน์ตนเองและประโยชน์ผู้อื่นคือส่วนรวม หน้าที่ของตนก็สำเร็จด้วยดี ของเพื่อนมนุษย์ทั่วไปก็สำเร็จด้วยดีอย่างนี้เรียกว่าสำเร็จประโยชน์ในการดำเนินหน้าที่อย่างต่ำๆ ก็มีอย่างโลกๆ นี่อย่างสูงคือทางจิตใจก็เยือกเย็น ไม่มีความทุกข์ มีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ คนโง่ไม่มีธรรมะชีวิตนั่นแหละจะกัดเจ้าของ ขอให้เธอจำไว้ให้ดีว่าชีวิตนั่นแหละมันจะกัดเจ้าของ มันเลวกว่าหมาซะอีกเพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของแล้วทำไมชีวิตนี้มากัดเจ้าของเล่ามันเป็นชีวิตของคนโง่ไม่มีธรรมะ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นวุ่นวายกัด วิตกกังวลกัด อาลัยอาวรณ์กัด อิจฉาริษยากัด ความหวงกัด ความหึงกัด ถึงขนาดฆ่ากันตาย อย่างนี้ล่ะชีวิตมันกัดเจ้าของเพราะมันไม่มีธรรมะ มีได้แม้แต่มหาเศรษฐี มหาบุรุษในโลก ชีวิตยังกัดเจ้าของ แต่ถ้ามีธรรมะสมบูรณ์แล้วมันพ้นไปจากปัญหาอันนั้นชีวิตจะไม่กัดเจ้าของแต่จะมีความเยือกเย็นตามความหมายทางศาสนาว่าความรอดพ้น คำว่ารอดนี่ใช้กันทุกๆ ศาสนาไม่ใช่เฉพาะพุทธศาสนา Salvation เนี่ยแปลว่ารอด รอด รอดจากปัญหา รอดจากความทุกข์ รอดจากอุปสรรค รอดจากสิ่งที่ควรจะรอด ธรรมะช่วยให้เกิดความรอดก็ไม่ถูกกัด ไม่มีอะไรกัดชีวิตไม่กัดตัวเอง ธุรกิจควรจะเล็งไกลไปถึงอย่างนี้คือธุรกิจด้านร่างกายก็ทางวัตถุก็ลุล่วงไปด้วยดี ทางจิต ทางวิญญานก็ลุล่วงไปด้วยดี นี่มันสมบูรณ์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ถ้าเอาความหมายตามภาษาบาลีมันก็เป็นอย่างนี้ อยากจะพูดถึงคำว่าธุรกิจเป็น…. (0:21:45)ธุระ คำนี้โบราณแท้ๆ แรกใช้กันน่ะใช้กับ แอก ที่สวมคอสัตว์ลากเกวียนไป ลากรถไปนั่นแหละ แอกนั่นน่ะ ธุระก็แปลว่าลากของหนักไป เครื่องมือสำหรับใช้ลากของหนักไปธุระ ธุระ กิจแปลว่าสิ่งที่ควรจะทำ มันก็หมายความว่าไอ้กิจภาระที่มันหนักน่ะที่มันควรจะทำให้ลุล่วงไปด้วยดีมันเรียกว่าธุรกิจ ได้แล้วเดี๋ยวนี้ความหมายจะใช้ทั่วๆ ไปก็ได้ถ้าว่าธุรกิจ ธุรกิจแล้วมันก็ไม่ง่าย มันมีอะไรที่จะต้องรู้ จะต้องเรียน จะต้องมีสติปัญญา แต่ก็มีวิชาเพื่อที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา ผ่อนหนักให้เป็นเบา นี่คือวิชาที่เราจะเรียนกัน น่าที่จะเรียกว่าธุรกิจบัณฑิตมันก็จะต้องมุ่งหมายอย่างนี้ ให้สิ่งที่เป็นของหนัก ภาระหนักน่ะมันเบาพอจะลากไปได้ นี่เมื่อดูกันตามความหมายของตัวหนังสือเป็นอย่างนี้ บัณฑิตก็ผู้ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ธุรกิจมันก็คือภาระหนักที่ไม่ยกเว้นที่จะต้องพาไปให้ได้ ภาระหนักของชีวิตที่จะต้องพาไปให้ได้ ฉะนั้นเรามาดูกันถึงคำพูดแล้วก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียด ละเอียดลออ สุขุม ประณีต ลึกซึ้ง มันไม่ได้ง่ายนักหรอก แต่ก็ไม่เหลือ ไม่เหลือวิสัยที่จะทำได้ สำเร็จอยู่ที่ว่าจะทำให้มีธรรมะ มีธรรมะ ศึกษาถึงที่สุด ปฏิบัติถึงที่สุด มันมีธรรมะเข้ามาในชีวิต คุ้มครองชีวิตให้เป็นชีวิตเย็นเย็นเย็น ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ สลับกัน แม้เป็นมหาเศรษฐีมันยังเดือดร้อนด้วยความเกิดแก่เจ็บตาย ความเสียหาย ความอะไรต่างๆ นานา จิตใจก็ไม่ดีกว่าคนธรรมดา ต้องขึ้นๆ ลงๆ ร้อน ต่อเมื่อมีธรรมะมีธรรมะอย่างเพียงพอมันจึงจะเย็น เรียบราบสม่ำเสมอมีความเยือกเย็นในส่วนตัว แล้วก็ทำให้เกิดประโยชน์สุขเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วได้เนี่ยสำเร็จประโยชน์
ทีนี้ก็มาดูถึงคำว่าธรรมะ ธรรมะ คำนี้เป็นคำที่ประหลาดเป็นคำพูดของมนุษย์ที่ประหลาด ครูมักจะสอนลูกเด็กๆ ในโรงเรียนคล้ายๆกับหลับหูหลับตาพูดว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าในประเทศอินเดียแล้ว คำสอนของศาสดาอื่นนอกศาสนาอื่นออกไปก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าชื่อสมณโคดม ธรรมะของนิคันธมาทนกูฏ ธรรมะของ... (0:25:23) หลายลัทธิ หลายศาสนา คำที่เขาสอนเขาเรียกว่าธรรมะทั้งนั้น แล้วแต่ใครจะชอบใจธรรมะของใคร ธรรมะมันไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว คือคำสอนของใครก็ได้ที่เป็นไปเพื่อความรอด เพราะคำว่าธรรมะธรรมะนี่ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็ได้แก่หน้าที่หน้าที่ แต่ขอให้ทราบไว้ว่าไอ้ธรรมะธรรมะนี่มันกว้างขวางครอบงำหมดทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล ทั้งที่มนุษย์รู้จักหรือมนุษย์ไม่รู้จักทั้งหมดเรียกว่าธรรมะทั้งนั้น ฝ่ายดีก็ธรรมะฝ่ายชั่วก็ธรรมะ มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งก็ธรรมะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็ธรรมะ จนแจกได้เป็นสี่ความหมายคำว่าธรรมะธรรมะนี่ หมายถึงธรรมชาติ ธรรมชาติที่เป็นเองตามธรรมชาติ ทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไรก็เรียกว่าธรรมะ แล้วกฏของธรรมชาติก็มีประจำอยู่ในตัวธรรมชาติ ไอ้ที่เป็นกฏของมันก็เรียกว่าธรรมะ ฉะนั้นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏก็เรียกว่าธรรมะ และผลที่จะเกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ก็เรียกว่าธรรมะ ท่านทั้งหลายลองคิดดูนะเมื่อมันมีความหมายอย่างนี้แล้วมันจะมีอะไรเหลือเล่า มันกินความหมดทุกสิ่งทุกอย่างแหล่ะ ตัวธรรมชาติก็ธรรมะ ตัวกฏของธรรมชาติก็ธรรมะ หน้าที่ตามกฏก็ธรรมะ ผลที่เกิดจากหน้าที่ก็ธรรมะมันเลยหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด แต่ทีนี้ที่ว่ามันจำเป็นสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือความหมายที่สามคือธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ Duty ปทานุกรมในอินเดียคำว่าธรรมะแปลว่า Duty Duty คือหน้าที่ คือสิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ มีธรรมชาติมีกฏของธรรมชาติตายตัวไม่มีใครบังคับได้ ฉะนั้นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติแล้วก็ไม่ตายก็คือรอด เป็นอย่างนี้คนก็ดีมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อรอด สัตว์เดรัจฉานนี่ก็ดีมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อความรอด ต้นไม้ต้นไร่นี่ก็ดีมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อความรอด หน้าที่แปลว่าสิ่งที่ต้องปฏิบัติเพื่อความรอด ฉะนั้นปฏิบัติแล้วก็ได้ผลออกมาตามที่ปฏิบัติถูกหรือปฏิบัติผิด ปฏิบัติถูกก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นความรอดที่น่าพอใจ ปฏิบัติผิดมันก็ไม่ได้ ขอให้เห็นความหมายอันนี้ว่าความหมายที่สามสำคัญที่สุดเพราะว่าถ้าไม่มีแล้วมันตาย ขอย้ำอีกทีว่าตัวธรรมชาติก็ธรรมะ กฎของธรรมชาติก็ธรรมะ หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติก็ธรรมะ ผลจากหน้าที่ก็คือธรรมะ ฉะนั้นคำว่าธรรมะจึงเป็นคำประหลาดที่ไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอื่นให้มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมเพราะมันหมายถึงทุกสิ่ง นักศึกษาอักษรศาสตร์ฝรั่งนี่เขาเคยพยายามแปลคำว่าธรรมะออกเป็นภาษาอังกฤษอย่างนี้ มีคำแปลไว้ตั้งสามสิบกว่าคำแล้วมันก็ยังไม่หมดความหมายของคำว่าธรรมะเลยยอมแพ้ ยอมแพ้ไม่ต้องแปลใช้คำเดิมใช้คำว่าธรรมะ ฉะนั้นคำว่าธรรมะหรือธรรมิกะก็เข้าไปอยู่ในปทานุกรมของพวกฝรั่งแล้วเสร็จแล้วก็คือมันไม่ต้องแปลเพราะมันแปลไม่ได้ แต่ที่มันจำเป็นแก่มนุษย์โดยแท้จริง ธรรมะนี้จะแปลว่าหน้าที่หน้าที่เอามาเพียงอย่างหนึ่งในสี่ความหมายที่กล่าวมาแล้ว ธรรมะคือหน้าที่ที่จะช่วยให้รอด ถ้าจะพูดให้ชัดเจนเป็นคำบัญญัติสำหรับการศึกษาก็ต้องพูดว่า ธรรมะคือระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัตินี่ ก็ต้องทำเป็นระบบ สิ่งเดียวไม่สำเร็จประโยชน์ต้องทำเป็นระบบระบบปฏิบัติ ที่ถูกต้องที่ถูกต้องที่ผิดมันใช้ไม่ได้ ที่ถูกต้องและถูกต้องแก่อะไรถูกต้องแก่ความรอด ความรอดเท่าไรความรอดทั้งทางฝ่ายกายและฝ่ายจิต และจะกี่มากน้อยก็ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิต และก็ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นด้วยเพราะเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้อย่าอวดดีไป เขามอบโลกทั้งโลกให้เราอยู่คนเดียวเราก็ตายอยู่ไม่ได้มันต้องอยู่กับผู้อื่นด้วย มันต้องนึกถึงผู้อื่นด้วยมันจึงจะเรียกว่าความคิดนึกที่สมบูรณ์ พูดย้ำอีกทีหนึ่งว่าระบบธรรมะ ธรรมะน่ะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นถ้ามีธรรมะอย่างนี้แล้วก็เป็นจอมบัณฑิต บัณฑิตในความหมายของคุณมันหมายถึงอย่างนี้หรือเปล่า มันมีความหมายเพียงว่าในหน้าที่การงานแขนงหนึ่งเท่านั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาการแขนงหนึ่งก็เรียกว่าเป็นบัณฑิตกันซะแล้ว แต่ถ้าทางธรรมะแล้วไม่ใช่อย่างนั้นมันต้องสมบูรณ์ต้องสมบูรณ์ที่จะอยู่เป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ปัญหาคือสิ่งที่ไม่แก้ไม่ได้ถ้าไม่แก้ก็ต้องเป็นทุกข์เราต้องชนะปัญหาต้องแก้ปัญหา
อินเดียในโบราณเขามีการอบรมคนให้เตรียมพร้อมสำหรับเผชิญชีวิต เรียนจบแล้วก็เรียกว่าเป็นบัณฑิตเหมือนกันเป็นพันๆปีมา ไม่ใช่เพิ่งมีใช้เดี๋ยวนี้คำว่าบัณฑิตของเก่าแก่คำเก่าแก่ มีความรู้สามารถดำเนินชีวิตให้ลุล่วงไปจนตลอดชีวิต จึงจัดการเขาจึงจัดการศึกษาให้ประชาชนน่ะเล่าเรียนกันเป็นสี่ขั้นตอน ตอนแรกเรียกว่าพรหมจารีย์ วัยรุ่นหนุ่มสาวนี่จะต้องเรียน เรียน เรียนให้พร้อมสำหรับจะไปเป็นมนุษย์ที่ดีเรียกว่าการศึกษาของพรหมจารีย์ หลังจากนั้นก็ไปเป็นผู้ครองเรือนเรียกว่าคฤหัสถ์เป็นพ่อบ้านแม่บ้านที่ดี พอหลังจากนั้นต่อไปอีกนี่ก็เป็นผู้หาความสงบสงัดละเหย้าละเรือนหรือมอบหมายให้ลูกหลานแล้วก็ออกไปหาความสงบสงัดเรียกว่าวรรณะปรัสต์เป็นผู้อยู่ในที่สงบสงัดหรือในป่า นอกเหนือไปจากนั้นอีกก็เป็นสันยาสินเที่ยวแจกความรู้อันวิเศษนี้แก่ประชาชนท่องเที่ยวไปอย่างเช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น ฉะนั้นจึงมีชีวิตสี่ขั้นตอนว่าเป็นพรหมจารีย์หนุ่มสาวเรียนให้ดีแล้วก็จะเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดี แล้วก็จะไปเป็นผู้หาความสงบสงัดในชีวิตบั้นปลายแล้วจะสามารถสอนเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายให้เป็นอย่างนั้นได้ด้วยนี่บัณฑิตสมบูรณ์คืออย่างนี้ แต่ก็ได้ใช้คำว่าบัณฑิต บัณฑิตสำหรับผู้ที่เรียนวิชาความรู้พร้อมที่จะออกมาเผชิญโลกเผชิญโลก บัณฑิตใช้ความหมายอย่างนี้แม้ในอินเดียก็ยังใช้คำนี้ เช่น บัณฑิตเยาวหราล เนห์รู เป็นนักการเมืองที่ดี แต่ว่าเขาได้ผ่านการศึกษาเพื่อความเป็นมนุษย์หรือเป็นบัณฑิตมา มาเมืองไทยคนหนึ่งบัณฑิต รกูนาฐ สลมา (0:34:53)เป็นผู้จัดการธรรมาศรม จัดการวิทยาศรม ของพวกฮินดูนั้นก็ใช้คำว่าบัณฑิต บัณฑิตที่ได้ผ่านการศึกษาที่ขนบธรรมเนียมประเพณียอมรับว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้เผชิญชีวิตเป็นบัณฑิตบัณฑิต บัณฑิตเหล่านี้รู้ธรรมะเหลือประมาณล่ะ ไม่ใช่รู้แต่วิชาชีพ วิชาเทคนิค เชี่ยวชาญเฉพาะวิชา เหมือนที่มุ่งหมายกันอยู่ทั่วๆไปในเวลานี้ ดังนั้นมันจึงมีความหมายแคบเราอย่าถือเอาความหมายแคบๆ เช่นนั้นเลย ฉะนั้นขอให้ความเป็นบัณฑิตนี่กว้างขวางว่ามีความรู้ดำเนินชีวิตให้รอดจากปัญหาทั้งปวงแต่ว่าเมื่อไม่ต้องการถึงขนาดนั้นก็ตามใจก็เป็นบัณฑิตไปตามแขนงของวิชาความรู้ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าเป็นบัณฑิตเพียงเท่านั้นยังจะต้องอกไหม้ไส้ขมใช้คำโบราณๆ หน่อย ให้คุณเป็นเศรษฐีให้คุณเป็นมหาเศรษฐี เอ้า, ก็ยังอกไหม้ไส้ขม กิเลสรบกวนเผาผลาญอยู่ในภายในเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจไม่ใช่ชีวิตที่เยือกเย็น ฉะนั้นถ้าจะสำเร็จประโยชน์ของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงมันต้องเป็นมนุษย์ตามความหมายของคำว่ามนุษย์ไม่เป็นแต่เพียงคน คนนี่พอเกิดมาก็ได้เป็นคนไม่ต้องสงสัยแต่จะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีจิตใจสูง สูงอยู่เหนือปัญหาเป็นบัณฑิตที่แท้จริงมันจึงจะเป็นมนุษย์ เพราะคำว่ามนุษย์มันแปลว่ามีจิตใจสูงหรือเป็นเหล่ากอของผู้มีจิตใจสูงจึงเรียกว่ามนุษย์ ส่วนคำว่าคนมันแปลว่าเกิดมาชนะชนเป็นคน ชนคือคน พอเกิดมาก็เป็นคนแต่นี่มันไม่พอ ยังมีการเล่าเรียนสำหรับที่จะเป็นมนุษย์ สำหรับที่จะเป็นมนุษย์ให้ได้นั่นแหละปัญญาของความเป็นมนุษย์คืออยู่เหนือปัญหาต่างๆที่ทำให้คนต้องเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวเป็นบ้าเดี๋ยวฆ่าตัวตาย ขนาดฆ่าลูกฆ่าเมียแล้วฆ่าตัวเองตายตามอย่างนี้มันโง่สักเท่าไร มันต้องไม่มีความเป็นอย่างนั้นมีความรู้ที่ถูกต้องเอาตัวรอดอยู่เหนือปัญหาทั้งปวงนั่นจึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์
ทั้งหมดนี้เพราะมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ช่วยจำไว้ด้วยคำเดียวพอ ธรรมะแปลว่าหน้าที่เป็นภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะ เป็นภาษาไทยว่าหน้าที่ เป็นภาษาบาลีว่าธรรมะเป็นคำเดียวกัน หน้าที่ๆก็คือสิ่งที่จะช่วยให้รอดต้องมีอย่างถูกต้องและเหมาะสม ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดหรอกอย่าไปหวังชนิดนั้น ต้องมีถูกต้องเหมาะสม ถูกต้องเหมาะสมในชีวิตและการงานเป็นเรื่องๆ ไปหรือว่าทั้งหมดที่มนุษย์ควรจะรู้ก็ได้ พวกนักวิทยาศาสตร์ก็บัญญัติกันอย่างวิทยาศาสตร์ The fittest the survival สิ่งใดเหมาะสิ่งนั้นอยู่ สิ่งใดที่มีความเหมาะสมที่สุดสิ่งนั้นจะรอดชีวิตอยู่ ฉะนั้นขอให้นึกถึงความถูกต้อง ความถูกต้องความเหมาะสม ไม่ใช่ความรู้ท่วมหัวหอบฟางอย่างนั้นละไม่รอด ถูกต้องเหมาะสมและก็เพียงพอจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความสงบเย็นนี่คือธรรมะ ธรรมะดังที่บอกคำบัญญัติเฉพาะไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือระบบปฏิบัติ ปฏิบัติเป็นระบบ ปฏิบัติอย่างเดียวไม่ได้แล้วก็ต้องถูก ถูกต้องแก่สิ่งที่ประสงค์ สิ่งนั้นคือความรอดมันต้องถูกต้องแก่ความรอด รอดนี่มีสองรอด รอดทางกายและรอดทางจิต รอดทางกายอย่างเดียวไม่พอมันตกนรกหมกไหม้เพราะจิตมันร้อน รอดทั้งทางกาย รอดทั้งทางจิต และทุกขั้นตอนแห่งชีวิตตั้งแต่เกิดจนเข้าโลงตั้งแต่ออกจากท้องแม่จนเข้าโลงมันเย็นได้ตลอดสายเรียกว่าตลอดขั้นตอนทุกขั้นตอนแห่งชีวิต เรียกว่าเพื่อตัวเองด้วยเพื่อผู้อื่นด้วยอย่าลืมอย่าลืม คนเห็นแก่ตัวมันไม่เห็นแก่ผู้อื่นมันขาดธรรมะไปกว่าครึ่ง ธรรมะคืออย่างนี้เป็นความถูกต้องสำหรับจะรอดถูกต้องสำหรับอย่างอื่นน่ะไม่มีความหมายหรอกไม่มีประโยชน์ มันถูกต้องสำหรับจะรอด รอดจากปัญหาทุกชนิด ความตายรอด แล้วอยู่ก็อยู่อย่างเยือกเย็น ไม่ใช่ยากจนไม่ใช่ทนทรมาน ฉะนั้นขอให้เราได้พบชีวิตชนิดนี้เป็นชีวิตเย็นพอใจ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ คนโง่ก็มีชีวิตที่กัดเจ้าของไปเถอะ คุณไปคิดเอาเองเหอะเดี๋ยวความรักกัดรักอย่างโง่เขลากามารมณ์ เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวกลัวนั่นกลัวนี่ขึ้นมากัด เกลียดนั่นเกลียดนี่ขึ้นมาก็กัด ตื่นเต้นตื่นเต้นต้องไปหาสิ่งที่มาประเล้าประโลมใจ ตื่นเต้นต้องไปดูมวยต้องไปดูกีฬาต้องกินเหล้าอย่างนี้ความตื่นเต้นน่ะมันกัด วิตกกังวลสิ่งที่ยังมาไม่ถึงอย่างโง่เขลามันก็กัด อาลัยอาวรณ์สิ่งที่ล่วงไปแล้วมันก็กัด อิจฉาริษยาก็กัด หวงก็กัดหึงก็กัด เพราะมันเห็นแก่ตัวมันเห็นแก่ตัวมันเป็นชีวิตที่เห็นแก่ตัวแล้วถูกไอ้ตัวชีวิตนั่นแหละกัด คนเห็นแก่ตัวคือคนไม่มีธรรมะ ขอให้ช่วยจำคำนี้สั้นๆ ไว้ว่าธรรมะต้องไม่เห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวนั้นไม่ชอบทำงานขี้เกียจทำงานเอาเปรียบการงานแต่จะเอาผลจะเอาสิทธิประโยชน์นั้นทั้งที่ขี้เกียจทำงานนั้นน่ะมันชอบนอนแต่มันจะเอาประโยชน์คนเห็นแก่ตัวมันก็ขี้เกียจ แล้วคนเห็นแก่ตัวนั้นมันไม่สามัคคีมันไม่สามัคคีหาความสามัคคีเรียกร้องความสามัคคีไม่ได้จากผู้เห็นแก่ตัว ทีนี้คนแก่ตัวอิจฉาริษยาอิจฉาริษยา คนเห็นแก่ตัวก็ทำลายความสงบสุขของสังคมสร้างมลภาวะสร้างปัญหาทางนิเวศวิทยาต่างๆ นานาตามความเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่ตัวมันหลงทางในที่สุดมันก็เป็นบ้า ขอให้ไปดูศึกษาดูเถอะโรงพยาบาลบ้าคนบ้าทุกคนมาจากความเลวร้ายคือความเห็นแก่ตัวจนหลงทาง ได้เป็นบ้าได้ไปอยู่โรงพยาบาลบ้าคือหลงทางอย่างหนึ่งก็ฆ่าตัวเองตายฆ่าลูกฆ่าเมียตายฆ่าตัวเองตายตามเนี่ยความเห็นแก่ตัวมันถึงขนาดนั้น ผู้เห็นแก่ตัวนั่นน่ะเป็นอาชญากรเหลือประมาณ ต้องเป็นเหตุให้สร้างคุกสร้างตารางขึ้นมาสำหรับเก็บคนเห็นแก่ตัว สร้างตำรวจขึ้นมาสำหรับจัดการกับคนเห็นแก่ตัว สร้างศาลขึ้นมาสำหรับพิพากษาโทษของผู้เห็นแก่ตัว สร้างโรงพยาบาลบ้าขึ้นมาไว้เก็บผู้เห็นแก่ตัวในที่สุด เพราะมันไม่มีธรรมะเพราะมันไม่มีธรรมะนั่นน่ะชีวิตมันกัดเจ้าของถึงขนาดนั้น ขอให้มีธรรมะหน้าที่ที่ถูกต้องหน้าที่ที่ช่วยให้รอดเป็นคู่กันกับชีวิต ชีวิตต้องอยู่ด้วยหน้าที่ที่ถูกต้องคือธรรมะพอปราศจากธรรมะแล้วชีวิตนี้จะวินาศ ชีวิตนี้จะมืดมนหาความเป็นบัณฑิตสักขี้เล็บมันก็ไม่ได้ถ้ามันไม่มีธรรมะมันมืดมน ถ้ามีธรรมะเป็นคู่ชีวิตมันก็รอดปลอดภัยบางทีเราจะพูดเสียใหม่ว่าธรรมะนั้นน่ะคือชีวิตเสียดีกว่า ยิ่งกว่าคู่ชีวิตเป็นตัวชีวิตเสียเองเพราะว่าพอไม่มีธรรมะชีวิตมันก็สูญสลายไม่มีความหมายอะไร ตัวชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมีธรรมะตัวธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ พระพุทธเจ้านี่เป็นบุคคลสูงสุดแล้วท่านก็เคารพธรรมะคือเคารพหน้าที่ แต่คนโง่ที่นี่มันไม่เคารพนี่ไอ้คนชาติโง่ที่นี่ในโลกนี้มันไม่เคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพ มันปฏิบัติคดโกง คดโกงหน้าที่ขบถหน้าที่เอาเปรียบหน้าที่หลอกลวงหน้าที่ ไปดูได้ที่สมุดลงเวลาทำงานมาทำงานที่ออฟฟิศนั่นมันเขียนน่ะเขียนโกหกทั้งนั้นเวลาทำงานมาทำงานที่ออฟฟิศนี่คือคนคดโกงหน้าที่ขบถหน้าที่ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะต้องซื่อตรงต่อหน้าที่เคารพหน้าที่เหมือนพระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ พระพุทธเจ้าเคารพหน้าที่เหลือประมาณแหละเอามาพูดกันฟังสักหน่อยก็ได้ ท่านเคารพหน้าที่ครบวงจรแห่งวันคืนวันคืนยี่สิบสี่ชั่วโมง ก่อนหัวรุ่งอย่างนี้ก่อนรุ่งนี่ท่านคิดว่าวันนี้จะไปที่ไหนรุ่งขึ้นจะไปที่ไหนพอรุ่งขึ้นท่านก็ไปที่นั่น ทรมานคนนั้นจนสำเร็จไปบิณฑบาตแต่ท่านว่าไปโปรดสัตว์ จนเที่ยงก็ได้ฉันอาหารที่บ้านนั้นเลยก็ได้สำเร็จประโยชน์ในการโปรดคน ตอนบ่ายกลับมาถึงวัดก็มีคนไปหารอฟังอยู่แล้วก็โปรดคนที่ไปหาถึงวัดจนเย็น พอพลบค่ำก็สอนภิกษุสามเณรประจำวัดหัวค่ำ พอเที่ยงคืนก็แก้ปัญหาเทวดาคือคนชั้นสูงแม้แต่พระเจ้าแผ่นดินมหากษัตริย์ก็ไปเที่ยงคืน พอเทวดามาจากบนฟ้าก็มาเวลาเที่ยงคืน เวลาเที่ยงคืนแก้ปัญหาของพวกเทวดาคือคนชั้นสูง เลยเที่ยงคืนดึกดื่นไปนู่นแล้วพักผ่อนนิดหน่อย พอหัวรุ่งอีกหัวรุ่งก็คิดว่าจะไปใคร่ครวญจะไปทำงานที่ไหนพรุ่งนี้อย่างนี้ครบวงจรวันคืน พวกเราทำงานครบวงจรวันคืนอย่างนี้บ้างหรือเปล่า แปดชั่วโมงก็ยังไม่ได้ยังคดโกงเสียอีก เมื่อท่านสำเร็จประโยชน์ที่จะสอนคนเมืองนี้จะต้องไปสอนคนเมืองอื่นท่านทำอย่างไร ท่านต้องเดินไปมันไม่มีรถยนต์น่ะ และนักบวชไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต รถม้าก็มีท่านไม่นั่งเพราะมันเทียมด้วยสิ่งมีชีวิต เกวียนมันก็มีท่านก็ไม่นั่งเพราะมันเทียมด้วยสิ่งที่มีชีวิตท่านก็ต้องเดิน ทรัพย์สมบัติของท่านแม้แต่ร่มก็ไม่มีแม้แต่รองเท้าก็ไม่มีอาตมาพยายามศึกษาดู โอ้, จากที่บาลีหลักฐานที่พอเชื่อได้ พระพุทธเจ้าไม่มีร่มไม่มีรองเท้าท่านไม่สนใจเรื่องนี้ท่านก็เดินไปได้เป็นโยชน์โยชน์ไปทุกเมืองทุกเมืองจนตลอดเวลาของท่านว่าจะนิพพานคือตาย อย่างวันนี้แล้วจะไปที่แห่งหนึ่งเป็นอุทยานของพวกกษัตริย์ไว้เที่ยวเล่นไปนิพพานที่นั่น พอไปถึงที่นั่นเตรียมจะปรินิพพานคือตายในความหมายนี้ ก็ยังมีคนในพวกลัทธิอื่นมาขอถามปัญหาขอถามปัญหาขอช่วยโปรดตอบปัญหา พระเจ้าพระสงฆ์ก็ โอ้, นี่มันบ้าหรือยังไงนี่ จะนิพพานปรินิพพานอย่างนี้จะมาขอให้ตอบปัญหาไป ไป ไป ไล่ไปให้พ้น พระพุทธเจ้าท่านได้ยิน โอ้, อย่าไล่มันอย่าไล่มันเรียกมันมาเรียกมันมา แล้วก็มาให้ถามปัญหาตอบปัญหาถามปัญหา จนคนนี้มีความรู้พอที่จะเป็นพระอรหันต์ได้องค์หนึ่งและต่อมาไม่กี่นาทีท่านก็นิพพานปรินิพพานหรือที่เราเรียกกันว่าตาย นี่ท่านทำงานจนนาทีสุดท้ายจนวินาทีสุดท้ายพวกเราทำอย่างนี้กันหรือเปล่า ไปตายที่โรงพยาบาลใส่สายอะไรรุงรังไม่มีสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าทำงานจนตายตายอย่างปิดสวิทช์ไฟไม่มีดิ้นรนกระวนกระวายทุรนทุรายมืดมนอะไร มีสติสัมปชัญญะสอนธรรมะอันสุดท้ายแล้วเข้าสมาธิลำดับนั้นลำดับนี้พอสมควรออกจากสมาธินั้นแล้วก็ปิดสวิทช์ไฟคือนิพพาน ท่านตายอย่างปิดสวิทช์ไฟ นี่พระพุทธเจ้าท่านทำงานอย่างนี้บูชาหน้าที่อย่างนี้พวกเรามันเป็นอย่างนี้กันหรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคารพธรรมะเคารพหน้าที่ถึงขนาดนี้แต่พวกเราน่ะสาวกมันไม่ถึงขนาดนั้น ขอให้สนใจไว้เถิดว่าเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพแล้วก็รอด รอด รอดกันหมดเลย คือหน้าที่หน้าที่คนก็รอดสัตว์เดรัจฉานก็รอดต้นไม้ต้นไร่นี่ก็รอด บรรดาสิ่งที่มีชีวิตรอด รอด รอดเพราะการทำหน้าที่ ฉะนั้นขอให้บูชาหน้าที่เคารพหน้าที่ธุรกิจบัณฑิตทั้งหลายจงรู้จักหน้าที่และเคารพหน้าที่และก็บูชาหน้าที่เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านได้กระทำมาเป็นตัวอย่างมีธรรมะมีธรรมะธรรมะหลัก Main หลักมีอยู่พวกหนึ่งและธรรมะประกอบอุปกรณ์ก็มีอีกพวกหนึ่ง ขอให้มีครบทั้งสองอย่าง ส่วนที่เป็นหลักก็มีส่วนที่เป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือก็มีนี่จึงจะสมบูรณ์ แม้ท่านจะมีหน้าที่การงานอะไรเป็นหลักก็มีธรรมะอุปกรณ์ เช่น ฆราวาสธรรมมีสัจจะความจริงใจในหน้าที่มีธรรมะบังคับให้ไม่บกพร่องในหน้าที่ขันติอดกลั้นอดทนในหน้าที่ราคะสละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่หน้าที่ ลองดู จริงจังในหน้าที่เรียกว่าสัจจะ บังคับให้จริงจังในหน้าที่เรียกว่าทมะ เมื่อเจ็บปวดขึ้นมาจากหน้าที่ก็อดทนเรียกว่าขันติ และสิ่งใดเป็นข้าศึกแก่หน้าที่ก็สละออกไปเรียกว่าจาคะ เดี๋ยวนี้ยังรักขวดเหล้ายังรักอบายมุขนี่แล้วมันจะทำอะไรได้ล่ะ มันจะสละอะไรได้ ขอให้นึกกันดูให้ดีๆ ธรรมะเป็นอุปกรณ์ให้สำเร็จประโยชน์ยังมีหลายๆ หมวด เช่น อิทธิบาท มีฉันทะพอใจในหน้าที่ วิริยะพากเพียรในหน้าที่ จิตตะเอาใจใส่ในหน้าที่ วิมังสาใคร่ครวญวิจัยวิจารณ์เกี่ยวกับหน้าที่อยู่เสมอครบสี่อย่างนี้หน้าที่ก็สำเร็จ ท่านเรียนวิชาชีพของท่านสำเร็จเป็นหลักไปเถิดปฏิบัติ แล้วก็มีธรรมะอุปกรณ์สำหรับให้ปฏิบัติให้สำเร็จนั่นจึงจะสมบูรณ์ มีธรรมะหลักว่าจะทำอะไร มีธรรมะอุปกรณ์ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ตามนั้นขึ้นมาให้ได้นี่เรียกว่าสมบูรณ์ด้วยธรรมะ หลักปฏิบัติเพื่อเกิดความรอดทั้งทางกายทั้งทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่นอย่างนี้เรียกว่าเป็นบัณฑิตร้อยเปอร์เซ็นต์บัณฑิตร้อยเปอร์เซ็นต์ดำเนินชีวิตด้วยปัญญาร้อยเปอร์เซ็นต์จะไปใช้ในแขนงไหนๆก็ได้แต่ขอให้มันเป็นอย่างนี้
ทีนี้ที่อยากจะกล่าวอีกสักหน่อยหนึ่งก็ว่าขอให้เป็นสุขสนุกสนานในการปฏิบัติหน้าที่ ท่านเรียนแขนงไหนมีหน้าที่แขนงไหนก็ขอให้สนุกในการปฏิบัติหน้าที่ในการทำงานในหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะนั่นแหละ ปฏิบัติธรรมะที่เป็นหน้าที่ขอให้ทำอย่างสนุกอย่างสนุก คนโง่เขาไม่เชื่อหรอกว่าทำงานนั้นสนุกพอเหงื่อไหลไคลย้อยออกมามันก็อยากจะทิ้งงานไปเที่ยว แต่ทว่าผู้มีปัญญามีความคิดนึกได้แจ่มแจ้งลึกซึ้งถึงที่สุดแล้วจะสนุกเมื่อได้ทำหน้าที่เมื่อได้แสดงความสามารถนั่นน่ะเขาจะรู้สึกสนุก เขาไม่ได้รู้สึกสนุกเมื่อสรวลเสเฮฮากินเหล้าเมายาอบายมุขกามารมณ์นี่ไม่ นั่นมันเรื่องของคนโง่เขาสนุก แต่ของผู้ฉลาดผู้เป็นบัณฑิตนั้นจะสนุกเมื่อได้แสดงฝีไม้ลายมือทำหน้าที่ของมนุษย์ถูกต้องและบริบูรณ์เขาก็รู้สึกสนุก สนุกเหมือนเล่นกีฬาทีแรก ปฏิบัติงานในหน้าที่แต่สนุกเหมือนเล่นกีฬา เพราะได้แสดงฝีไม้ลายมือเขาเป็นนักกีฬาแสดงกีฬาและเขาเป็นผู้ดูกีฬาและเขาก็เป็นผู้ตัดสินกีฬาก็สนุกเหลือประมาณ ขอให้ทำงานอย่างเหมือนกับเล่นกีฬาคือแสดงฝีไม้ลายมือให้สุดเหวี่ยงเหมือนนักกีฬาและก็ดูกีฬาด้วยตนเองและก็ตัดสินกีฬาด้วยตนเอง นี่ทำงานสนุกเหมือนกับเล่นกีฬา ถ้าเก่งกว่านั้นไปอีกก็ทำงานให้สนุกเหมือนกับต่อสู้สงคราม การที่จะทำหน้าที่ให้ดีนั้นมันมีการต่อสู้คือธรรมชาติฝ่ายต่ำฝ่ายเลวมันมีอยู่ในจิตใจด้วยกันทุกคนแหละ พอจะทำฝ่ายดีฝ่ายสูงมันก็ต่อต้านธรรมชาติฝ่ายสูงถูกต่อต้านโดยธรรมชาติฝ่ายต่ำมันก็เกิดการรบพุ่งกันขึ้นในจิตใจของคน ถ้าเขาชนะเท่าไรเขาก็ทำความดีได้เท่านั้นถ้าเขาไม่ชนะก็ทำไม่ได้ ความต่ำมันดึงลงไปหาความต่ำหมดเลยแพ้แพ้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ทำให้สนุกมันก็ต่อสู้ในสงครามชนะได้เท่าไรก็ดีได้เท่านั้นรอดได้เท่านั้นมันก็สนุกนี่เรียกว่าอย่างสนุก เราจะแสดงฝีไม้ลายมืออย่างมนุษย์ผู้มีสติปัญญาได้แสดงฝีไม้ลายมือก็เป็นสุขและพอใจ ไม่ใช่เห็นแก่กินแก่เล่นแก่กามารมณ์อย่างที่หวังกันโดยมากนั้นมันไม่ใช่เรื่องสนุก ถ้าเป็นเรื่องสนุกก็สนุกของคนโง่คนมีปัญญาเอาด้วยไม่ไหวละ คนมีปัญญาต้องมีความสุขที่สะอาดความสุขที่สะอาดคือเป็นประโยชน์โดยแท้จริงทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น แสดงฝีไม้ลายมือในความหมายที่กว้างขวางว่าเราจะช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม ครั้นจงมีความปรารถนาปณิธานว่าจะช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม ไม่ใช่เพื่อเป็นลูกจ้างของนายจ้างหากินไปวันวัน จบปริญญานี่แล้วไปเป็นลูกจ้างของนายจ้างหากินไปวันวันอย่างนั้น นั้นไม่มีความหมายอะไร ครั้นจะทำงานเพื่อสร้างโลกนี้ให้งดงามมีสันติภาพ ถ้านายจ้างให้เงินเดือนมาไม่ใช่ค่าจ้างเป็นค่าใช้สอยเราเอามาใช้สอยเพื่อทำหน้าที่สร้างโลกนี้ให้งดงามอย่างนี้เราไม่ใช่ลูกจ้างเราเป็นเพื่อนช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงามหรือเป็นเพื่อนเกิดเพื่อนแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตายด้วยกันและสร้างโลกนี้ให้งดงาม ในระบบที่เรียกว่าสหกรณ์ สหกรณ์ช่วยกันคนละไม้ละมือทั้งโลกแล้วก็สร้างโลกนี้ให้งดงามไม่มีภาวะเป็นลูกจ้างนายจ้าง ถ้ามีความหมายเป็นลูกจ้างนายจ้างแล้วมันก็ต้องต่อสู้รบรากันเหมือนที่กำลังมีอยู่ในโลกเวลานี้ลูกจ้างก็จะเอาประโยชน์นายจ้างก็เอาแต่ประโยชน์ก็ต่อสู้กันไม่มีที่สิ้นสุดเลิกเสียดีกว่า ฉันไม่เป็นลูกจ้างล่ะ ฉันจะเป็นผู้สร้างสันติภาพในโลกฉันทำงานแล้วก็รับค่าใช้สอยมาปฏิบัติหน้าที่เราจะคิดอย่างนี้ นายจ้างจะคิดอย่างไรก็ช่างหัวนายจ้างมัน นายจ้างจะคิดอย่างไรก็ตามใจมันแต่ฉันจะไม่คิดว่าฉันเป็นลูกจ้างหรอก ฉันเป็นผู้ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม เงินที่ให้มาเป็นค่าใช้สอยไม่ใช่ค่าจ้างอย่างนี้เป็นมนุษย์อิสระมนุษย์เสรีเป็นบัณฑิตสมตามความหมายของพระพุทธศาสนาผู้ดำเนินประโยชน์กิจด้วยปัญญาจนถึงจุดหมายปลายทาง นี้ธรรมะสำหรับธุรกิจบัณฑิต ธรรมะของบัณฑิต ดำเนินชีวิตลุล่วงไปตามความประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับเป็นประโยชน์ทั้งตัวเองและผู้อื่น ไม่มีความเห็นแก่ตัวเข้ามาแทรกแซง เห็นแก่ธรรมะคือความถูกต้องเห็นแก่เพื่อนมนุษย์เกิดแก่เจ็บตาย ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ตัว นี่บัณฑิตที่แท้จริงบัณฑิตสะอาดเป็นไปด้วยธรรมะ ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายจงเป็นบัณฑิตชนิดนี้มีความมุ่งหมายที่จะเป็นบัณฑิตชนิดนี้ รอดทั้งตัวเองรอดทั้งผู้อื่น รอดทั้งอย่างโลกโลกรอดทั้งอย่างธรรมะ รอดไปในทุกความหมายนี่คือบัณฑิต หลักธรรมะมีอยู่อย่างนี้ กฏของธรรมชาติมีอยู่อย่างนี้ เราจะปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติแล้วก็ไม่มีปัญหาใดๆ มีชีวิตเย็นเป็นนิพพาน ไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ หัวเราะก็บ้าชนิดหนึ่ง ร้องไห้ก็บ้าชนิดหนึ่งไม่เอาทั้งสองอย่างไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจและไม่เสียใจ ดีใจก็วุ่นวายไม่ใช่ความสงบเสียใจก็วุ่นวายไม่ใช่ความสงบ ไม่ดีใจไม่เสียใจคงที่เพราะอยู่เหนือ เหนือดีใจเหนือเสียใจเหนือความเป็นบวกเหนือความเป็นลบ ฉันไม่มีกำไรและไม่มีขาดทุนฉันอยู่เหนือความมีกำไรและความขาดทุน นี่อยู่เหนือความดีใจและเสียใจจึงจะเป็นชีวิตที่ปกติ ปกติ ปกติแล้วก็เย็น เย็น เย็น เย็นตามความหมายของนิพพาน ไม่เชื่อก็ไปลองสังเกตดูเถอะ เมื่อดีใจ ดีใจมันก็กระหืดกระหอบดีใจมากก็กินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับเหมือนกันแหละ เสียใจก็เหมือนกันอย่าเอากับมันทั้งบวกและทั้งลบอย่าเอากับมัน เหนือบวกเหนือลบนั่นน่ะเป็นความหมายที่สูงสุดสงบเย็นเป็นนิพพาน เหนือความเป็นบวกเหนือความเป็นลบเหนือดีเหนือชั่วเหนือสุขเหนือทุกข์เหนือนรกเหนือสวรรค์ นรกก็ไม่เอาสวรรค์ก็ไม่เอาเอานิพพานเหนือนรกเหนือสวรรค์นี่เป็นมนุษย์สูงสุดของความเป็นมนุษย์อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจในเรื่องธรรมะของบัณฑิตธรรมะของบัณฑิต ธรรมะสำหรับบัณฑิตว่ามันมีอยู่อย่างนี้เพียงแต่รู้จักเลี้ยงชีวิตมันไม่พอ เราจะต้องอยู่เหนือปัญหาทุกอย่างทุกประการของชีวิตมีจิตเยือกเย็นเป็นนิพพาน เย็น เย็น เย็นในทุกความหมายแหละ นั่นน่ะคือบัณฑิตผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากหน้าที่ของตน ขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้มีความรู้ความเข้าใจความสามารถในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญามาถึงจุดนี้ด้วยกันทุกท่านทุกคนอยู่ด้วยความสุขสวัสดีอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย