แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนนักศึกษาครูบาอาจารย์ ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้คือแสวงหาธรรมะ เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่การงานและชีวิต เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง สำหรับเรื่องที่จะพูดโดยไม่ได้กำหนดให้นั้นก็จะขอพูดเรื่องธรรมะนั่นเอง และขอให้กำหนดเป็นใจความสั้นๆ ว่า เรื่องธรรมะก็คือเรื่องตัวเราเอง ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมะก็คือพูดเรื่องตัวเราเอง ที่เราสมมติกันเรียกว่าตัวเราเอง ชีวิตนี้นั่นแหละคือตัวธรรมะ ธรรมะเป็นภาษาบาลีแปลเป็นภาษาไทยว่าธรรมชาติ คือสิ่งที่เกิดเอง เกิดแล้ว เกิดมีอยู่ทั่วไป นี่เรียกว่าธรรมชาติ ธรรมะนี้แบ่งเป็น ๔ ความหมาย ๔ความหมาย ธรรมะคำเดียว คือตัวธรรมชาติทั้งหมดตัวธรรมชาติทั้งหมด จะเป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นตัวธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาตินี้ ก็เรียกว่าธรรม คือธรรมะในภาษาบาลี แล้วก็ตัวกฏ กฎ กฎเกณฑ์หรือกฏความจริง ที่มันสิงอยู่ในตัวธรรมชาติเหล่านั้นก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน คือธรรมชาติเหมือนกัน แล้วก็ตัวหน้าที่ หน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องทำ สิ่งที่มีชีวิตและต้องทำหน้าที่ หน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องทำ ที่เขาเรียกว่าธรรมะอีกนั่นเองคำเดียวกัน มีผล ผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ เหล่านั้นก็เรียกว่าธรรมะอีก เลยเป็น ๔ สี่ความหมาย คือตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผลที่ออกมาจากหน้าที่ ๔ ความหมายนี้ ท่านทั้งหลายก็คิดดูสิมันจะมีอะไรเหลือ มันจะมีอะไรเหลือในสากลจักรวาลนี้ จะมีอะไรเหลืออยู่นอกไปจากไอ้ ๔ คำนี้ ธรรมชาติ กฏธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ผลเกิดจากหน้าที่ ก็ไม่มีอะไรเหลือ ก็หมายความว่าธรรมะคำเดียวหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร ต่อให้พระเจ้า พระเจ้าก็มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ว่าใน ๔ ความหมายนั้น ความหมายที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์เราก็คือความหมายที่ ๓ คือความหมายว่าหน้าที่ หน้าที่ ถ้าไม่มีหน้าที่มันก็คือตาย พอไม่มีหน้าที่มันก็คือตาย ดังนั้นความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ หน้าที่จึงสำคัญที่สุด บรรดาสิ่งที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยหน้าที่ แล้วทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็มีความรอด ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็เรียกว่ารอด พวกวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกว่า The Fittest The survival อะไรถูกต้องเหมาะสมอันนั้นอยู่ นั่นน่ะคือหน้าที่ หน้าที่ตามความหมายที่ ๓ ของคำว่าธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่อยู่อย่างถูกต้องเหมาะสมสิ่งนั้นรอดไม่อย่างนั้นก็คือตาย ทีนี้ก็มาดูทำไมจึงว่าไอ้ธรรมะนั้นคือตัวเรา คือว่าไอ้ตัวเราทั้งหมดนี้ เนื้อหนังเอ็นกระดูก ไอ้ทุกอย่าง ทุกส่วน ทุกๆ ปรมาณูในร่างกายนี้ก็คือธรรมชาติ แล้วในร่างกายทุกส่วน ทุกๆ ปรมาณูมันก็มีกฏของธรรมชาติสิงอยู่ ควบคุมอยู่ และทุกๆ ปรมาณูก็มีหน้าที่ หน้าที่ ตามหน้าที่เป็นกลุ่มๆ เป็นพวกๆ กระทั่งรวมกันเป็นกระดูก เป็นเนื้อ เป็นเลือด เป็นตับไตไส้พุงอะไร มันก็ทำหน้าที่ มันก็ต้องทำหน้าที่ แล้วผลของการทำหน้าที่นั้นก็อยู่ที่เราผู้กระทำ เช่นเดี๋ยวมีสุขบ้าง มีทุกข์บ้างอะไรบ้าง แล้วแต่ว่าทำผิดหรือว่าทำถูก ธรรมะ ธรรมะทั้ง ๔ ความหมายมันรวมอยู่ในตัวคน คือ แต่ละคนๆๆ การพูดถึงธรรมะ ธรรมะก็คือพูดถึงตัวเองนั่นแหละ ดูให้ดีตัวเองครบถ้วนในทุกความหมายแล้วก็เป็นเรื่องของธรรมะ ในการแสวงหาความรู้เรื่องของธรรมะเป็นสิ่งที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง จะต้องกระทำ จะต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งท่านทั้งหลายมาแสวงหาความรู้เรื่องธรรมะก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผล อาตมาก็ขอแสดงความยินดีว่าได้มาหาสิ่งที่จำเป็นที่สุด ถูกต้องที่สุด เหมาะสมที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ นี้ขอทำความเข้าใจต่อไปเกี่ยวกับคำพูดคำนี้ ธรรมะๆ นี่อย่างที่กล่าวแล้วมันหมายถึงทุกอย่าง ทุกอย่างนี่ มันเอาไปใช้เรียกอะไรก็ได้ไม่มีผิดล่ะ กระทั่งว่าคำถาม คำถามทุกคำถามที่มันจะเกิดขึ้นมาในโลก กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านคำถามก็ตาม ทุกคำถามตอบได้ด้วยคำว่าธรรมะ ธรรมะ ไม่เชื่อลองดู มามาจากอะไร จะไปไหน จะทำอะไร ทำเพื่ออะไรแล้วก็ คำตอบคือธรรมะคำเดียวตอบได้ทุกคำถาม เราจะต้องมองเห็นไอ้ความจริงอันนี้ เช่นตาเห็นทุกสิ่งที่เห็นอยู่นี้ก็เป็นตัวธรรมชาติ ในธรรมชาติมีกฎของธรรมชาติ แล้วก็มีหน้าที่ที่ชีวิตจะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ก็มีชีวิตก็ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ สัตว์ก็เหมือนกัน คนก็เหมือนกัน ทั้งจักรวาลเลยมันต้องทำตามกฎของธรรมชาติ นี่เรียกว่าเราจะต้องรู้จักตัวเรา หรือว่าทุกสิ่งที่มันรวมกันแล้วเรียกว่าตัวเรา แต่มันมีความยุ่งยากเกี่ยวกับภาษา ใช้ภาษาผิดๆ แล้วก็ทำยุ่ง ขอยกตัวอย่างเช่นในโรงเรียนที่ท่านทั้งหลายเคยเรียนมาแล้วในโรงเรียนประถม มัธยมอะไรก็แล้วแต่ ครูก็สอนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันผิด ผิดอย่างไม่มีชิ้นดีเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย ผิดหมด เพราะตัวธรรมะมันไม่ใช่ตัวคำสั่งสอนนี่ มันตัวหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอยู่ และในอินเดีย ในอินเดียศาสนาไหน ลัทธิไหน คณะไหนก็ตาม เขาเรียกคำสั่งสอนของเขาว่าธรรมะ ธรรมะเหมือนกันหมด แม้พวกที่ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า เขาก็เรียกคำสอนของเขาว่าธรรมะ ธรรมะเหมือนกัน ธรรมะของนิครนถ์ ของเดียรถีย์ ของ นี่ธรรมะเหมือนกันหมด ไม่ใช่เฉพาะของพระพุทธเจ้า นี่เมื่อครูของเรามาสอนอย่างนี้มันก็ยุ่งไปหมด มันไม่ใช่ความจริง ปทานุกรมเด็กๆ ในอินเดีย ธรรมะแปลว่า Duty ถูกตรงตามภาษาบาลี ภาษาธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ ทีนี้ก็ดูไปตามนั้นน่ะ จะเห็นว่า ธรรมะคือสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุดที่ต้องเคารพ เอ้า, คุณลองไม่เคารพหน้าที่สิ เอาสิ มันก็ตายเท่านั้นเอง มันต้องทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อรอดอยู่ มันน่าประหลาดที่ว่าธรรมะนั้นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพทุกพระองค์ นี่พูดกันอย่างชาวพุทธ อย่างชาวพุทธเรา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาใหม่ๆ แล้ว ท่านก็เสมือนว่า ต่อไปนี้จะเคารพอะไร ต่อไปนี้จะเคารพอะไร เพราะว่าการอยู่อย่างไม่มีที่เคารพนั้นไม่ถูก ทุกคนต้องมีอยู่ ต้องเป็นอยู่อย่างที่มีที่เคารพ จะเป็นกฎเกณฑ์เป็นอะไรก็สุดแท้แต่ ต้องมีที่เคารพ เดี๋ยวนี้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะเคารพอะไร ทบทวนไปมาในที่สุดท่านก็ตกลงพระทัยว่า เคารพธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ของพระพุทธเจ้านั่นเอง เรื่องหน้าที่นี้ก็ตรัสรู้ขึ้นมาเองว่าเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เป็นหน้าที่ ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงเป็นอย่างนี้ ก็เคารพสิ่งที่ตรัสรู้ขึ้นมาได้เองน่ะ ก็คือหน้าที่ ท่านเลยก็ประกาศในเวลานั้นว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่แล้วมาในอดีตก็ดี ในอนาคตจักมีมาก็ดี กำลังมีในปัจจุบันนี้ก็ดี ทุกพระองค์เคารพธรรมะคือหน้าที่ แล้วท่านก็ทำอย่างนั้นจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่จริงๆ ขอเวลาพูดเรื่องนี้สักหน่อย แม้ว่ามันจะเสียเวลาไปบ้างว่า พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่อย่างไร เพื่อจะเปรียบเทียบกับพวกเรา ว่าพวกเราเคารพหน้าที่อย่างไร เราทำงานกันไม่รู้จะถึงหรือเปล่าก็ ๘ ชั่วโมง ทำงานวันหนึ่งถึง ๘ ชั่วโมง แต่พระพุทธเจ้าเคารพหน้าที่ทำงานครบรอบทั้งวันทั้งคืน ไม่มีกำหนดชั่วโมง ที่ว่าก่อนสว่าง ก่อนสว่างท่านก็นั่งใคร่ครวญ นั่งใคร่ครวญดู อะไรมีที่ไหน อะไรมีที่ไหน ใครอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร ท่านใคร่ครวญดูแล้วจนหาว่าวันนี้ควรจะไปพบใคร ควรจะไปจัดการกับใครให้เป็นประโยชน์ ท่านก็ตกลงวันนี้ไปที่ไหน พอสว่างขึ้นมาท่านก็ไป ในรูปของการไปบิณฑบาตนั่นเลยเรียกว่าไปโปรดสัตว์ หาโอกาสจนพบกับคนนั้นด้วยเหตุการณ์อันนั้น สนทนาโต้ตอบกันถึงที่สุดหรือฉันอาหารที่นั่นเลย จนสายจนเที่ยงไป จนสำเร็จประโยชน์ หรืออาจจะทำอะไรอื่นๆ พร้อมกันไปด้วยก็ได้ แล้วแต่จะพบกันสักกี่ราย พอเที่ยงก็จะพักร้อนนิดหน่อย นิดหน่อย พอบ่ายมาถึงที่วัดก็ต้องพูดจาสั่งสอนกับประชาชนที่ไปหาที่วัด นี่ตอนบ่าย ตอนบ่าย จนเย็น จนเย็น ตอนบ่ายถึงเย็นนี่ก็พบประชาชน พอค่ำลงก็สอนพระเณรประจำวัด พระเณรประจำวัดที่อยู่ด้วยกัน จนดึกเที่ยงคืน พอเที่ยงคืนก็ บาลีก็ใช้คำว่า เทวะปัญธานัง อัตระเต เทวะปัญธานัง (นาทีที่ 14.30) แก้ปัญหาเทวดา หมายความว่า ตอบคำถามของเทวดา เทวดานี้หมายถึงพระราชา มหากษัตริย์ก็ได้ ก็เรียกว่าเทวดาที่เป็นคนๆ นี่ ตัวเทวดาที่มาจากเมืองสวรรค์โน่นก็ดีก็เรียกว่าเทวดา เทวดาเมืองคนหรือเทวดาเมืองฟ้าก็ตามมาเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลาเที่ยงคืนทั้งนั้นแหละ มันเป็นธรรมเนียมหรือเป็นอะไรก็สุดแท้แต่เรื่องก็เป็นอย่างนั้น พระราชาธรรมดาเวลากลางวันก็มีกิจธุระมาก มันมีเวรภัยมากไปกลางคืนก็ต้องยกกองทัพถือคบเพลิงไปเลย ปลอดภัยแล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้า มีเรื่องพูดกันจนเลยเที่ยงคืน เลยดึกดื่นเที่ยงคืนกว่าจะเสร็จเรื่อง ก็พักผ่อนนิดหน่อย พอถึงหัวรุ่งแล้ว หัวรุ่งก็คิดดูวันนี้จะไปไหน พรุ่งนี้จะไปไหน ก็ไปๆ ก็ทำอย่างนี้ ครบวงจรวันคืน นี่ท่านเคารพหน้าที่ไม่ใช่ว่าทำงานเพียง ๘ ชั่วโมง คือพร้อมที่จะทำทุกๆชั่วโมง กระทำอย่างแท้จริง อย่างซื่อสัตย์สุจริต เราทำงาน ๘ ชั่วโมงแล้วยังคดโกง ยังบิดพลิ้วกันเสีย ไม่ต้องทำก็ดี บิดพลิ้วหน้าที่ ลงสมุดทำงานวันทำงานก็ลงโกหกกันทั้งนั้น ไม่ได้มาตรงตามตัวเลขที่ลงในบัญชี นี่จะไปเทียบกับพระพุทธเจ้าได้อย่างไรเล่า ว่าท่านทำหน้าที่อย่างไร เคารพหน้าที่อย่างไร เอ้า, ทีนี้ก็ว่าเมื่อท่านเสร็จที่บ้านนี้ จังหวัดนี้ จังหวัดนี้เสร็จแล้วจะไปจังหวัดอื่น ไปมณฑลอื่น ท่านไม่มีรถยนต์ ท่านไม่มีรถยนต์ มันยังไม่มีรถยนต์ มันมีแต่รถเทียมด้วยม้าหรือวัว เกวียนเทียมด้วยวัวท่านไม่นั่ง เพราะมันสัตว์มีชีวิตมันลากไป ไม่นั่ง ไม่นั่ง ไม่นั่ง รถยนต์ก็ไม่มี พาหนะอย่างนี้ไม่มีก็ต้องเดิน ก็ต้องเดินจะกี่โยชน์ กี่โยชน์ กี่โยชน์ก็ต้องเดิน นี้ปรากฏในพระบาลีว่าไม่มีรองเท้าไม่มีร่ม นี่ช่วยเข้าใจไว้ด้วยนะพระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้านะ ไม่มีร่มนะ กระทั่งไม่มีกล้องถ่ายรูปเหมือนพระสมัยนี้ คิดดูสิ คุณลองคิดดูสิ ร่มก็ยังไม่มี รองเท้าก็ยังไม่มี มันต้องเดิน เดินแดดก็แดดก็เหงื่อโซม เดินไปด้วยการเดินเป็นโยชน์ๆ นั่น คือการเสียสละของพระพุทธเจ้า เสร็จเมืองนี้ก็ไปเมืองโน้น เสร็จเมืองโน้นก็ไปเมืองโน้น จนกระทั่งวันที่จะปรินิพพาน ปรินิพพานซึ่งเราแปลกันว่าตาย วันนั้นก็ยังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ คืนนี้จะปรินิพพานแล้วกลางวันยังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ เดินอยู่เป็นโยชน์ๆ ไม่ได้ไปหาหมอ หาโรงพยาบาล หรือพักผ่อนอะไรอายุมากแล้วตั้ง ๘๐ ปียังเดินอยู่เป็นโยชน์ๆ พอไปถึงที่ๆ กำหนดไว้ว่าจะปรินิพพาน อุทยาน วนอุทยานที่พักของพวกกษัตริย์ที่เขามีไว้เที่ยวเล่นแห่งหนึ่ง กำหนดว่าปรินิพพานที่นี่ ก็เตรียมที่สำหรับจะปรินิพพานกลางดิน เตียงเตี้ยๆ นิดเดียว วางอยู่กลางดินปูผ้าแล้วก็ประทับบนนั้นเพื่อจะปรินิพพาน ไม่ได้ปรินิพพานบนตึก บนวิมาน บนโรงพยาบาลที่ไหน หัวค่ำนี้จะปรินิพพาน ก็ยังมีนักบวชศาสนาอื่นเข้ามาขอถามปัญหา มาขอสอน ให้สอน ให้สอนทีเถิด พระเจ้า พระสงฆ์ทั้งหลายก็ว่านี่มันมากไปแล้ว มันมากไปแล้ว พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานเดี๋ยวนี้ ยังมาให้สอนอีก ก็ไล่มันไป ไล่ ไล่ไป โดยเร็วไป พระพุทธเจ้าท่านได้ยิน โอ้, อย่าไล่มัน อย่าไล่มัน เรียกมันมา เรียกมันมา ต้องการอะไรก็ถาม ถามก็ตอบ ถามตอบ ถามตอบให้ จนคนนี้ได้บรรลุธรรมะพร้อมที่จะเป็นพระอรหันต์ พร้อมที่จะเป็นพระอรหันต์ บรรลุธรรมะ แล้วไม่กี่นาทีต่อมาท่านก็นิพพาน นิพพานเหมือนกับปิดสวิตซ์ไฟ พระพุทธเจ้ามีการปรินิพพานเหมือนปิดสวิตซ์ไฟ คือเข้าสมาธิอันนี้แล้วออกจากสมาธิอันนี้ เข้าสมาธิอันนี้ออกจากสมาธิอันนี้ตามสมควร ตามพอใจของท่าน พอออกจากสมาธิชุดสุดท้ายท่านก็นิพพานเหมือนกับปิดสวิตซ์ไฟ คุณจะว่ายังไง จะเรียกว่าทำหน้าที่จนตายได้หรือไม่ลองคิดดูสิ ทำหน้าที่จนตาย ทำการงานหน้าที่จนกระทั่งตาย นาทีสุดท้าย เราทำกันอย่างนั้นหรือ ในโลกเราทำกันอย่างนั้นหรือ ที่ว่าขยันที่สุดมันก็ยังไม่ทำอย่างนี้ ที่ท่านเคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่ ถ้าเราเคารพหน้าที่กันอย่างนี้ ไม่คดโกงหน้าที่ ไม่กบฏหน้าที่ แล้วก็มีสันติภาพเหลือเฟือ เดี๋ยวนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ธรรมะ ถ้าเห็นแก่ตัว มันไม่เห็นแก่ธรรมะหรอกเพราะมันรักตัวเห็นแก่ตัวเอง ไม่เห็นแก่ความถูกต้องและไม่เห็นแก่ผู้อื่น ผู้เห็นแก่ตัวน่ะไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ธรรมะ แล้วมันจะเห็นแก่หน้าที่ได้อย่างไร มันจะเคารพแก่หน้าที่ได้อย่างไร ผู้เห็นแก่ตัว แล้วเราจะดูผู้เห็นแก่ตัวทั้งหลาย ใครเห็นแก่ตัวคนนั้นขี้เกียจทำงาน จะนอนแล้วก็รอเอาผลงานของผู้อื่นทำ เด็กวัดเห็นได้ง่าย นักเรียนก็เห็นได้ง่าย ผู้ใหญ่ก็เห็นได้ง่าย คนไหนเห็นแก่ตัวคนนั้นจะขี้เกียจทำงานแต่จะเอาผลงาน ไม่ทำหน้าที่แต่จะเรียกร้องสิทธิ คือคนทั้งหลายก็ได้ คนทั้งหลายถ้าไม่ทำหน้าที่จะเรียกร้องสิทธินี่คือเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว คำว่า เห็นแก่ตัวนั้นอย่าเอาไปใช้ในทางดีเลย มันเห็นแก่ตัวด้วยกิเลส ถ้าเขาเคารพตัว พัฒนาตัว บูชาตัว นั่นๆๆไม่ใช่เห็นแก่ตัว นั่นมันอีกคำหนึ่ง อีกคำหนึ่ง ถ้าเห็นแก่ตัวที่ตรงนี้มันเห็นด้วยกิเลส ด้วยความโง่ มันก็ขี้เกียจ ไม่อยากทำงานแต่จะเอาสิทธิ เอาประโยชน์ แล้วก็ไม่ทำหน้าที่ และยังไม่สามัคคี ไม่สามัคคี ประเทศชาติจะเรียกร้องสามัคคีจากคนเห็นแก่ตัวนี้เหมือนกับหาเลือดกับปู มันไม่สามัคคีก็ไปเถอะคนเห็นแก่ตัว และคนเห็นแก่ตัวก็อิจฉาริษยา อิจฉาริษยา เมื่อผู้อื่นทำดีก็จะปัดแข้งปัดขานี่เห็นแก่ตัว มันก็เห็นแก่ตัวจนเลยถ้าเลยเถิด เลยเถิดหลงทางน่ะ เห็นแก่ตัวหลงทาง มันก็เป็นบ้า มันก็เป็นบ้า มันถือว่ามันก็จะต้องเป็นอาชญากร อาชญากร อันธพาลเลวร้าย แล้วมันก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ปัญหายุ่งยากทั้งหลายทั้งหมดในโลกนี้มาจากความเห็นแก่ตัวของผู้เห็นแก่ตัว เราพูดได้เลยว่าปัญหาอะไรก็ตาม กี่ร้อยกี่ล้านปัญหาก็มาจากผู้เห็นแก่ตัว ปัญหามลภาวะ ปัญหานิเวศน์วิทยา ปัญหาทุกอย่างที่เกี่ยวกับสังคมนี้ ก็มาจากผู้เห็นแก่ตัว การปล้น การจี้ การขโมยอันนี้ก็มาจากผู้เห็นแก่ตัว การทำลายประโยชน์สาธารณะก็ผู้เห็นแก่ตัว การทำลายป่าไม้ ทำลายอะไรที่ไม่ควรจะทำลายก็มาจากเห็นแก่ตัว ถ้าควบคุมไว้ไม่อยู่ก็เป็นบ้า จนกระทั่งฆ่าตัวเองตาย มันไม่น่าเชื่อนะว่า เห็นแก่ตัวทำไมฆ่าตัวเองตาย ความเห็นแก่ตัวมันหลงทางมากเกินไปจนมันหลงทางหมด ฆ่าตัวเอง ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย แล้วฆ่าตัวเองก็ได้นี่ผู้เห็นแก่ตัว สร้างปัญหาทุกอย่างทุกชนิดขึ้นมาเพราะว่าเขาไม่เคารพหน้าที่ เขาเห็นแก่ตัวเขาเคารพหน้าที่ไม่ได้ เขาไม่สนใจหน้าที่ เราก็ลำบากสิก็ต้องสร้างคุกตารางไว้ ไว้สำหรับพวกเห็นแก่ตัว ต้องเพิ่มตำรวจ เพิ่มตำรวจเพราะผู้เห็นแก่ตัวต้องเพิ่มโรงพยาบาลบ้า จนไม่มีเงินจะเพิ่มกันแล้ว ได้ยินว่าโรงพยาบาลบ้านั้นมันไม่พอแล้วเงินก็ไม่มี นี่โรงพยาบาลบ้า เห็นแก่ตัวมันมากขึ้น นี่เห็นแก่ตัวน่ะคือไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะเห็นแก่ธรรมะหรือหน้าที่แล้วมันก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น ที่เห็นแก่ตัวคือไม่เห็นแก่ธรรมะ ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ถ้าเห็นแก่ธรรมะคือเห็นแก่ความถูกต้อง มันก็ไม่เห็นแก่ตัว ก็ทำประโยชน์ ประโยชน์เพื่อตัวเองก็ทำ ประโยชน์เพื่อผู้อื่นก็ทำ ประโยชน์ที่มันเกี่ยวข้องกันแยกกันไม่ได้ก็ทำ ประโยชน์ตัวเองก็ทำ ประโยชน์ผู้อื่นก็ทำ ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันอยู่ก็ทำ มันก็หมด หมดประโยชน์ ประโยชน์ทุกชนิดที่ต้องทำ นี่ขอให้เรามองดูให้เห็นว่า ความเห็นแก่ตัวนี้เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด ไม่มีความเลวร้ายอะไรจะมากมายเท่ากับความเห็นแก่ตัว ไม่ต้องเชื่ออาตมาหรอก ไปดูเอาเองอะไรจะเลวร้ายยิ่งไปกว่าความเห็นแก่ตัว โลกนี้ไม่มีสันติภาพ โลกนี้ไม่มีสันติภาพหรอก เพราะเหตุอะไร ยุ่งไปหมด ก็เพราะความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว มันมีผู้เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว แล้วมันจะพูดกันรู้เรื่องหรือ มันจะรักกันได้หรือ คนยากจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัวมันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว แล้วมันจะรักกันได้หรือ มันจะมีปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ในหน้าหนังสือพิมพ์ คาราคาซังกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองกันทั้งโลก นายทุนทั้งหลายในโลกก็เห็นแก่ตัว ชนกัมมาชีพทั้งหลายก็เห็นแก่ตัว มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง มันมีแต่ที่จะทะเลาะวิวาทกันก็เท่านั้น พูดกันไม่รู้เรื่อง นายทุนก็เห็นแก่ตัว ชนกัมมาชีพก็เห็นแก่ตัว นอกนั้นก็เห็นแก่ตัว แล้วมันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็เต็มไปด้วยปัญหา ทั้งๆ ที่ศาสนาทุกๆ ศาสนา สอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัว แต่แล้วก็ไม่มีผู้ปฏิบัติกันกี่คน ถือศาสนาแต่ปาก ไม่ปฏิบัติศาสนาโดยแท้จริง ถ้าทุกคนปฏิบัติศาสนากันโดยแท้จริงแล้วจะไม่มีคนเห็นแก่ตัวเหลืออยู่ในโลกหรอก เพราะทุกศาสนามันสอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัวนี้ จะเป็นศาสนาอะไรก็ตาม แต่แล้วก็ไม่มีใครปฏิบัติ แล้วร้ายกว่านั้น บางทีศาสนาเองกลับเห็นแก่ตัวเสียเองซะอีก เป็นเจ้าหน้าที่ทางศาสนากลับเห็นแก่ตัวเสียอีก คิดจะทำลายศาสนาอื่นก็มี มันจะพูดกันรู้เรื่องได้อย่างไร ถ้าว่าเราเอาศาสนาทุกศาสนามาใช้เป็นประโยชน์ได้ล่ะก็ ในโลกนี้ไม่มีความเห็นแก่ตัว จะมีแต่ถูกต้อง ถูกต้อง คือธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่ความถูกต้อง เราเห็นแก่ตัว เราก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ขออภัยที่พูดว่า You know You know นั้นไม่ได้ทำอะไรนอกจากปรองดองกันระหว่างผู้เห็นแก่ตัว ผู้เห็นแก่ตัวสารพัดชนิด ปรองดองกันที่ You know ก็ตกลงกันไม่ได้เพราะความเห็นแก่ตัว อาตมาคิดว่าเลิก You know เสียดีกว่า แล้วมี You role You role เข้ามาแทน ให้ยืนในเซ็ท Nation organization นั้นออกไปเสีย อยู่ในเซ็ท Religion organization เข้ามาเป็น You role You role เอาความไม่เห็นแก่ตัวเข้ามา แล้วก็พูดกันรู้เรื่องแหละ พูดกันรู้เรื่องแหละไม่ต้องเถียงกัน โลกนี้จะมีสันติภาพถ้าว่ามันเอาความเห็นแก่ตัวออกไปเสียได้ โลกนี้จะพูดกันรู้เรื่องและมีสันติภาพ นี้ก็หมายความว่าธรรมะเข้ามา ธรรมะเข้ามา ความเห็นแก่ตัวออกไป ความเห็นแก่ตัวออกไป ความเห็นแก่ธรรมะ ธรรมะเข้ามา นายจ้างกับลูกจ้างจะรักเป็นเพื่อนกัน นายทุนกับชนกัมมาชีพจะรักเป็นเพื่อนกัน คนยากจนกับคนมั่งมีก็จะรักเป็นเพื่อนกัน คนกับสัตว์เดรัจฉานก็จะรักเป็นเพื่อนกัน คนกับต้นไม้ต้นไร่ก็รักเป็นเพื่อนกันไม่ทำลาย เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว มันรักกันไม่ได้แม้แต่คนกันเอง คนเห็นแก่ตัวเมื่อหนักเข้าๆ มันก็เห็นแก่ตัว เกิดขึ้นระหว่างผัวเมีย ทะเลาะกันต้องหย่ากัน แม้แต่ผัวเมียมันต้องหย่าก็เพราะความเห็นแก่ตัว ถ้ามีแต่ธรรมะไม่เห็นแก่ตัวปัญหาเหล่านี้มันก็ไม่มี ฉะนั้นขอให้เราช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตัว ทุกวิถีทางที่จะทำได้ ถ้าทุกศาสนามารวมกันใช้วิธีของตน วิธีของตน วิธีของตนแล้วมันก็ได้แหละสามารถที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวได้ เดี๋ยวนี้ศาสนาแต่ละศาสนาก็ไม่ร่วมมือ ยังเห็นแก่ตัว ยังจะดีกว่าศาสนาอื่น ยังจะเอาเปรียบศาสนาอื่น ยังเห็นแก่ตัว มันก็เลยไม่มีความรักกัน การที่ไม่เห็นแก่ตัว อ้า,การที่เห็นแก่ตัวแล้วไม่รักกันนี้มันผิดหลักของธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติน่ะ มันต้องการให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน สัญชาติญาณแห่งการอยู่ร่วมกันของสิ่งที่มีชีวิต แต่ว่าแม้สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ยังต้องอยู่ร่วมกัน อยู่ด้วยกัน ลองคิดดูว่าไอ้สุริยะจักรวาล สุริยจักรวาลนี้ยังต้องอยู่ร่วมกันเหมือนกับอย่างเหมือนกับสหกรณ์ สหกรณ์ต่อกัน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอะไร กี่ร้อยกี่ล้านดวงมันก็ยังต้องอยู่ร่วมกันอย่างสหกรณ์ มันจะอยู่ได้ ฉะนั้นมันเป็นความหมายลึกซึ้งว่า มันต้องอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าเข้ากันได้ ไม่ใช่จะเป็นข้าศึกศัตรูแก่กัน เอาที่ในโลกโลกเดียวนี้ก็ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ มนุษย์กับสัตว์กับต้นไม้ต้นไร่กับแผ่นดินนี้ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ไม่ทำลายกัน เดี๋ยวนี้มนุษย์มีแต่ทำลาย ทำลายธรรมชาตินี่ ไม่มีสหกรณ์กับธรรมชาติ ไม่เท่าไรจะไม่มีอะไรกิน ในโลกโลกเดียวนี้ก็ต้องอยู่กันอย่างสหกรณ์ จะมีแต่เพียงคนเดียวก็ไม่ได้ สัตว์ตัวเดียวก็ไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้ อย่างต้นไม้มันเขียว เขียวอยู่ได้นี้เพราะนกมันช่วยรักษาเลี้ยงดู เพราะว่านกนี่มันกินหนอนวันหนึ่งมากมาย เพียงแต่ไม่มีนก หนอนก็กินใบไม้เหล่านี้หมด แล้วก็มากจนต้นไม้เหล่านี้ตายหมด มันอยู่อย่างสหกรณ์คืออาศัยกันและกันนี่มันจึงอยู่มาได้ ฉะนั้นในชีวิตของเราคนหนึ่งๆ แต่ละคนมันก็สหกรณ์ทั้งนั้นแหล่ะ แขน ขา มือ ตีน กระดูก เนื้อ หนัง ตับ ไต ไส้พุง หัวใจ ต้องทำหน้าที่ในลักษณะเป็นสหกรณ์ร่วมกันเป็นหนึ่งชีวิต พอไม่สหกรณ์เมื่อไรมันก็ตาย มันก็ตายไม่ต้องสงสัย เพราะว่าชีวิตนี้มันอยู่ได้ด้วยสหกรณ์ เราจึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เรานำระบบสหกรณ์มาใช้ แต่แล้วก็เป็นไปไม่ได้ สหกรณ์ได้ปีสองปีก็ล้ม สหกรณ์นี่ล้มไปกี่ร้อยกี่พันกี่สหกรณ์แล้ว เพราะสมาชิกมันเห็นแก่ตัว คิดดู สมาชิกสหกรณ์มันเห็นแก่ตัว สหกรณ์มันอยู่ไม่ได้ มันต้องมีอะไรมาล่อ มาหลอก มาจ้าง มันจึงอยู่ได้บ้างบางสหกรณ์ มันเห็นแก่ตัวสหกรณ์มันล้มหมด ขอให้มีธรรมะ ให้มีธรรมะเข้ามา ให้มีธรรมะเข้ามาแล้วเห็นแก่ธรรมะ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวมันก็รักๆ กัน เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกัน แล้วมันก็อยู่กันได้ แล้วก็เจริญดี เอ้า, ทีนี้เราก็มาดูกันว่า ทำไมจึงเห็นแก่ตัว ทำไมจึงเห็นแก่ตัว ทำไมจึงเห็นแก่ตัว นี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่ต้องคิดกันมากสักหน่อย ต้องพิจารณาศึกษากันสสักหน่อย ถ้าถามขึ้นว่าทำไมจึงเห็นแก่ตัว ก็เพราะว่าแต่ละคน ละคน มันมีความรู้สึกของตน มีตา มีหู มีจมูก ไว้สำหรับรับอารมณ์ แล้วก็รู้สึกรสจากการรับอารมณ์ ในบางรายก็เป็นบวก เป็น Positive ในบางรายก็เป็นลบ เป็น Negative พอมันเป็นบวกมันก็เกิดตัวกู ตัวกู ผู้เป็นเจ้าของอารมณ์ ลบมันก็เกิดตัวกู ตัวกู เช่นว่ากินเข้าไปอร่อยที่ลิ้น นี่เป็นเพียงความรู้สึกตามธรรมชาติ แล้วความโง่ ความโง่ของกิเลสก็เกิดขึ้นว่า กูอร่อย ผู้อร่อยเกิดทีหลังอร่อย เกิดทีหลังความรู้สึกอร่อย ฉะนั้นผู้อร่อยนั้นคือมายา ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน เป็น Reaction ของความอร่อยทำให้เกิดความรู้สึกว่ากูผู้อร่อย แล้วมันโง่จะเป็นกูๆๆ ไปหมด กูเห็นที่จริงตามันเห็น ก็ว่ากูมันเห็น จมูกได้กลิ่นก็ว่ากูได้กลิ่น ที่เป็นระบบประสาทรู้หน้าที่มันก็กูๆๆ มีดบาดนิ้วมันก็โง่ว่ามีดบาดกู มีดบาดกูไอ้โง่บรมโง่ มีดบาดนิ้วที่จริง มันก็ว่ามีดบาดกู อะไรก็กู แล้วมันเกิดได้ในความรู้สึกว่า ถ้ารู้สึกเป็นบวก ก็เกิดตัวกูบวกคืออร่อยก็มีตัวกูบวก พอไม่อร่อยก็มีตัวกูลบ เด็กๆ เดินไปชนเก้าอี้ มันก็เตะเก้าอี้ เตะเก้าอี้นั่นมันกู นั่นมันสู นี่มันกู นั่นมันสู ก็เตะเก้าอี้ ความรู้สึกว่าตัวตน ว่าตัวกูนั้นเป็นของโง่ หลอกลวงมายา ยังไม่รู้สึกไปเช่นนั้นเอง เป็นของไม่จริง มันคำสอนเรื่องอนัตตา อนัตตา ไม่ใช่ตน ไม่ใช่มีตน คุณอย่าไปดูถูกว่าเป็นเรื่องคำพูดเหลวไหลนะ มันเป็นคำพูดที่จริงยิ่งกว่าจริง จริงยิ่งกว่าจริง อัตตา อัตตาตัวกูมันเกิดทีหลังความรู้สึก มีความรู้สึกชัดลงไปในจิตใจเป็น เป็น Emotion เป็นอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งแล้ว มันจะเกิดความโง่ตามมาว่ากู เป็นผู้ทำอย่างนั้นเป็นผู้รู้สึกอย่างนั้น เป็นผู้ได้อย่างนั้น เป็นผู้เสียอย่างนั้น ตามหลังไอ้ระบบประสาทที่มันรู้สึก นี่ไปใคร่ครวญดูเอาเอง พออร่อยก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่ากูอร่อย พอไม่อร่อยก็กูไม่อร่อย ที่จริงมันเป็นความรู้สึกของลิ้น ของระบบลิ้นที่ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ไอ้ตัวกูมันพลอยเกิด เกิดได้เดี๋ยวก็ดับไปเกิดอย่างอื่นอีก ดับไปเกิดอย่างอื่นอีก เกิดตัวกู ตัวกูไม่รู้กี่ร้อยกี่พันอย่าง เกิดตัวกูทุกทีมันก็เห็นแก่ตัวทุกทีเหมือนกัน แล้วความเคยชินมันมากเข้า มากเข้า มันเห็นแก่ตัวมากเข้า มากเข้า นี่เห็นได้ชัดว่าความเห็นแก่ตัวมันเกิดมาจากความโง่ความหลง ไปหมายมั่นเอาความรู้สึกที่เป็นบวกและเป็นลบ ถ้าอย่ามีความรู้สึกที่เป็นบวกหรือเป็นลบแล้วตัวกูก็เกิดไม่ได้ ดังนั้นคัมภีร์เก่าๆ คัมภีร์ของคนฉลาดมาแต่ก่อน เขาจึงสอนให้กำจัดไอ้ความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ ความรู้สึกที่เป็นบวกเป็นลบนั้น ขจัดออกไปเสียเถิด จะไม่เกิดความรู้สึกไอ้ตัวกู Sense หรือ Selfish จะไม่เกิด คัมภีร์ไบเบิลของพวกยิวหลายพันปีมาแล้ว ก็มีเขียนตอนต้นๆ ว่าพระเจ้าบังคับมนุษย์คนแรกที่สร้างขึ้นมา “แกอย่าไปกินผลไม้ ที่ทำให้เกิดความรู้ว่า Good and evil” ถ้าไป Discriminate เป็น Good เป็น Evil แล้ว แกจะตาย คือเป็นทุกข์ ดูสิคนแก่เขาเก่าๆ เขาฉลาดเหลือประมาณน่ะ แต่คนเดี๋ยวนี้ไม่ทำตาม พวกคริสเตียนไม่สนใจประโยคนี้ มันเป็นของยิวโบราณโน่น คัมภีร์ Old Testament ของยิว อย่าไป Attack ไป Discriminate good and evil ถ้าไม่ไม่รู้สึกว่า Good คือบวก Evil คือลบมันก็ไม่เกิดตัวกูบวก ตัวกูลบ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว เขาแก้ปัญหาได้ด้วยข้อนี้ แต่ไม่มีใครทำตามเลยก็เลยเป็นหมันไป เต๋า เหลาจื๊อเก่าแก่พร้อมๆพระพุทธเจ้าอย่าไปยึดถือบวกลบ หยินบวก หยางลบ หยิน หยาง อย่าไปยึดถือ เป็นหยินเป็นหยางมันจะเป็นบวกเป็นลบ แล้วแกก็จะมีปัญหา มีปัญหาคือเกิดเรื่อง นี้ก็ว่าอย่าไปมีบวกมีลบเข้าซึ่งจะเกิดเป็นปัญหา พวกฮินดูชั้นหลังๆ ชั้นสูงสุดของเวตันตระ ก็อย่าไปยึดถือว่าบุญว่าบาป ปุญญะ ปาปะ ไม่เอา ชาวพุทธก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ยึดมั่นดีชั่ว กุศล อกุศล ไม่ยึดมั่นเป็นดีเป็นชั่ว ไม่มีบวกไม่มีลบนั่นแหละ ความที่ไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ มันจะคงที่ๆๆ อยู่ในความถูกต้อง ถ้าว่ามันเป็นบวก มันก็โง่ไปทางบวก เอนไปทางบวก ลบก็โง่ไปทางลบ โง่ไปทางลบ มันก็มีตัวกูที่จะได้ที่จะเสีย จะกำไร จะขาดทุน จะแพ้ จะชนะ จะเอาเปรียบ จะได้เปรียบ มันๆๆยึดถือบวก ถือลบ เพราะเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวแล้วมันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง อย่าว่าลูกจ้างกับนายจ้าง ผัวเมียมันยังพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะมันมีความเห็นแก่ตัวเข้ามาครอบงำ แม่กับลูกกับพ่อ มันก็พูดกันไม่รู้เรื่องถ้าความเห็นแก่ตัวมันครอบงำ ฉะนั้นไม่มีตัวไม่เห็นแก่ตัวดีที่สุด นี่ถ้าว่าศาสนาไหนเขาสอนว่ามีตัว เขาก็ต้องสอนอีกทีว่าอย่าเห็นแก่ตัว แต่พุทธศาสนิกสอนว่ามันไม่มีตัว มันไม่มีตัว ถ้าเห็นไม่มีตัวแล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องสอนเป็นสองหน ถ้าใครสอนว่ามีตัวต้องสอนกันอีกหนหนึ่งว่าอย่าเห็นแก่ตัว แต่ถ้าสอนว่าไม่มีตัว มันก็สอนทีเดียวก็พอ มันก็ไม่เห็นแก่ตัว นี่ขอให้รู้ว่าธรรมะสูงสุด หน้าที่สูงสุดคือทำให้หมดความเห็นแก่ตัว หรือว่าไม่เห็นแก่ตัวน่ะเป็นผลของธรรมะสูงสุด ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ พ้นจากหน้าที่ ไอ้พ้นจากหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ นั่นคือไม่เห็นแก่ตัวนั่นล่ะเป็นผลสูงสุด พอไม่เห็นแก่ตัวมันก็รักผู้อื่นได้ รักความถูกต้องได้ รักษาความจริง รักษาความซื่อสัตย์ อะไรๆได้ พอเห็นแก่ตัว อู้, ให้ทำหน้าที่ในแนวสิทธิพร้อมที่จะคดโกงเป็นอันธพาล ดังนั้นเราจึงสังเกตเห็นได้ไม่ยากนักในโลกนี้เต็มไปด้วยปัญหาทั้งโลก ทั้งโลก เกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัว คนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว พูดกันไม่รู้เรื่อง กระทั่งว่าลูกจ้าง นายจ้างก็เห็นแก่ตัว จนกระทั่งบางทีผัวเมีย พอต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัวก็ได้หย่ากัน พูดตามหลักพุทธศาสนาชัดๆ สั้นๆ ตรงๆว่าหมดความมีตัวนั้นน่ะ จะเป็นสุขอย่างยิ่ง คือหมดความมีตัวแล้วมันไม่มีทางที่จะเห็นแก่ตัว หมดหรือกำจัดไอ้ความมีตัว รู้สึกว่ามีตัวกูมันออกไปเสียแล้วจะเป็นสุขอย่างยิ่ง ก็มีการปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อให้หมดความรู้สึกว่ามีตัว ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาก็เพื่อให้เห็นแจ้งว่า มันไม่มีตัว มันไม่มีตัว มันไม่มีตัว มันมีแต่ธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นกระแสแห่งธรรมชาติปรุงแต่งกันไป จนเกิดความรู้สึกโง่เขลา โง่เขลาว่ามีตัวแล้วก็เห็นแก่ตัว แล้วก็เต็มไปด้วยการต่อสู้เพื่อเห็นแก่ตัว ความทุกข์จึงเต็มไปทั้งจักรวาล เต็มไปทั้งโลก ตั้งต้นแต่ให้รู้ว่าไม่ต้องมีตัว ไม่ต้องมีวิญญาณแบบเป็นตัวนั้นน่ะ ไอ้ตาก็เห็นรูปได้ หูก็ได้ยินเสียงได้ จมูกก็ได้กลิ่นได้ ลิ้นก็รู้รสได้ ผิวหนังนี่ก็รู้สัมผัสได้ จิตก็คิดนึกได้ โดยไม่ต้องมีตัว โดยไม่ต้องมีตัว อัตตา Self Soul อะไรพวกนี้เอาออกไปได้ ไม่มีๆๆตัวจริง ตาก็เห็นรูปได้ หูก็ได้ยินเสียงได้ จมูกก็ได้กลิ่นได้ เท่านี้เพราะไม่มีตัว นี้พอว่าไอ้ตานี่ก็ของข้างนอกคือรูปมาถึงกันเข้า เกิดความรู้สึกว่าเป็นอะไร เป็นสัมผัสขึ้นมาแล้วก็อย่าได้เข้าใจว่าเป็นตัว มันเป็นของธรรมชาติเช่นนั้นเอง รู้สึกสบายหรือไม่สบายขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องของตัว มันเป็นความรู้สึกของระบบประสาท พอแล้วไม่ต้องมีตัว ไม่ต้องมีไอ้ Soul ไอ้ self ที่เป็นเรื่องของผู้ลึกลับมีตัวที่ลึกลับอย่างคนบางพวกเขาเชื่อกันอยู่ อย่างที่พูดมาแล้วตะกี้ว่า ถ้ามันไปหลงความหมายของบวก หรือความหมายของลบ มันจะเกิดความรู้สึกว่ากูได้บวกหรือกูได้ลบ แล้วก็เห็นแก่ตัว ทีนี้ก็ไม่หลงบวกไม่หลงลบ อันนี้ยากมาก ยากมาก ความรู้สึกอย่างนี้มันก็เรียกว่าบวก มันก็รู้สึกตามธรรมชาติ พอใจที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอใจก็เป็นเรื่องบวก เมื่อไม่พอใจเข้ามาก็เป็นเรื่องลบ นี้เป็นไปตามกฏของธรรมชาติเป็นอย่างนี้เอง ทีนี้เราก็เห็นว่าที่เราไปชอบหรือไปรัก หรือไปโกรธ หรือไปเกลียดอะไรก็ตาม มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเห็นเป็นบวก ไปเห็นเป็นลบ ถ้าเห็นความจริง เห็นกันอยู่ว่าเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง เด็กทารกเพิ่งคลอดออกมาครั้งแรกกินนมแม่ พออร่อย มันก็ต้องรู้สึกว่ากูอร่อยไม่ต้องมีใครสอน ไม่ต้องมีใครสอน พอไปกินของไม่อร่อยเข้า มันก็ไม่อร่อย กูไม่อร่อย ไม่ต้องมีใครสอน มันเกิดได้เองอย่างนี้ ดังนั้นถ้าเราจะศึกษากันให้ละเอียดก็มองดูว่าสิ่งใดที่เป็นบวกก็ตาม เป็นลบก็ตามสิ่งนั้นไม่เที่ยง เปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์นั้นเรียกว่า เห็นอนิจจัง เห็นอนิจจังว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ พวกกรีกพ้องสมัยกับพระพุทธเจ้า มันก็เคยสอนอย่างนี้ ทีรัคตีตัส 46.33 สอนว่าทุกอย่างไหล ทุกอย่างไหลเรียกว่าลัทธิ แทนทาลี 46.36 ทุกอย่างไหล ก็หมายความว่า เขาเห็นอนิจจัง อนิจจังนี่เหมือนกัน ในคัมภีร์พุทธฝ่ายพุทธนี่ก็มีพระพุทธเจ้าตรัสว่ามีศาสดาเมืองไกล ไกลที่ไหนก็ไม่รู้ เขาสอนเรื่องอนิจจังเหมือนเรา เข้าใจว่าจะเล็งถึงพวกคริสต์คณะนี้ก็ได้ สอนว่าทุกอย่างไหลคือไม่เที่ยง นี่เรียกว่าเห็นอนิจจัง อนิจจัง ที่เราหลีกไม่พ้นนี้ เราต้องอยู่กับสิ่งที่เป็นอนิจจัง นี่คิดดู เนื้อหนังร่างกายก็เป็นอนิจจัง ความรู้สึกอะไรก็เป็นอนิจจัง จิตต้องอยู่กับสิ่งที่เป็นอนิจจัง มันก็ต้องเป็นทุกข์ เรียกว่า ทุกขัง มันก็เป็นทุกข์ และเมื่อมันเป็นทั้งอนิจจังและทุกขังแล้วจะไปเรียกว่าตัวตนได้อย่างไร มันเอาอะไรกับมันไม่ได้ นี่มันไม่เป็นตัวเองมันไม่ มันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามความรู้สึก นี่เห็นอนิจจัง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตา ว่าเราได้โง่มาอย่างไร ถ้าไม่เห็นข้อนี้เราก็รู้สึกเป็นบวกบ้างรู้สึกเป็นลบบ้าง แต่ถ้าเราเห็นทั้งบวกและทั้งลบ ไม่ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เปลี่ยนแปลงเรื่อย ทำความเจ็บปวดให้แก่ผู้เข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วก็ไม่มีตัวตน มันก็สบาย แต่การเห็นนี้มีลำดับละเอียดออกไปว่า เห็นอนัต เห็นอนัตตาแล้วก็เห็น โอ้, มัน ธัมมัฏฐิตตา คือธรรมชาติเป็นอย่างนี้เอง ธรรมชาติเป็นอย่างนี้เอง เป็น ธัมมัฏฐิตตา ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้เอง ก็ดูต่อไปก็เห็น โอ้, มันมีกฎธรรมชาติบังคับอยู่ เรียก ธัมมนิยามตา กฎธรรมชาติมันบังคับอยู่ จนในที่สุดสรุปความทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วสิ่งทั้งปวงต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน เรียกว่า อิทัปปัจจยตา สิ่งทั้งปวงต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ทุกอย่างมันมีเหตุแล้วเป็นไปตามเหตุ ทุกอย่างๆ มันจึงมีการเปลี่ยนแปลง มีการเกิดอะไรขึ้น อะไรดับ นี้ไปไปตามเหตุ เห็นก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยแล้วก็เห็นว่า โอ้, นี่คือเช่นนี้เอง เช่นนี้เอง อย่างนี้เอง ไม่มีอย่างอื่น เรียกว่า เห็นตถตา เห็นตถตาเต็มที่แล้ว เห็น โอ้, มันไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนนี้มันเป็นจุดสุดท้ายที่จะเห็นว่า โอ้, มันไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตน เมื่อไม่มีตัวตน แล้วจะเห็นแก่ตนได้อย่างไร มันไม่มีตัวตนนี่ มันก็ไม่เห็นแก่ตน ถ้าไม่เห็นแก่ตนเพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ทีนี้ก็มีบรรลุธรรมะชั้นสูงสุด เรียกว่า อตัมมยตา อตัมมยตา ขออภัยที่จะถามว่าท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินคำนี้ใช่มั้ย ไม่เคยได้ยินคำนี้ใช่มั้ย แม้แต่พวกพุทธบริษัทในวัดมันยังไม่เคยได้ยินคำนี้ เพราะเขาแปลเป็นภาษาไทยเสีย แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ มันไม่ตรงตามที่เป็นจริง ถ้าเป็นบาลีว่า อตัมมยตา ทีนี้ก็ไม่มีอะไรปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ คงอยู่แต่ในความถูกต้องๆๆ คงที่อยู่ในความถูกต้อง เรียกว่า อตัมมยตา ความที่อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ คำนี้มันยังไม่มีใน Dictionary ของมนุษย์ ไม่มีใน Vocabulary คำพูดของมนุษย์นี่จึงอยากให้มันมี ความที่อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งๆ คำนี้ก็คือทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเรียกปรุงแต่ง คนอเมริกันถ้าคนอเมริกันเขาบอกว่า ถ้าที่อเมริกัน ที่อเมริกาเรียก Concoct Concoct ปรุงแต่งให้เป็นอย่างอื่น ที่ยุโรป ใช้คำว่า Condition Condition คือปรุงแต่งให้เป็นอย่างอื่น Unconcoctability ภาวะที่ปรุงแต่งให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้คำนี้ Unconcoctability ถ้าพูดยุโรปว่า Unconditionalability ดีกว่า อันนี้ควรจะมีในปทานุกรม ถ้าเรามีอันนี้แล้วเราไม่มี Selfish Selfishness ขอให้สนใจ ถ้าเรามันถูกทำให้เป็นบวกก็ได้ ถูกทำให้เป็นลบก็ได้ในจิตใจ แต่ถ้ามันมีอันนี้แล้วมันเป็นไม่ได้ มันคงที่ คงที่ คงที่ อยู่ในความถูกต้องตามธรรมชาติ นี่เราก็ต้องเปรียบเทียบให้เขาฟังว่า Unconcoctability นี้มันจะถึงขนาดไหน ถึงขนาดไหน พูดเปรียบเทียบให้ฟังว่าภูเขามันยังหวั่นไหว ภูเขาหิมาลัยในเอเชียนี้ยาว ๒,๐๐๐ ไมล์มันก็หวั่นไหวได้เมื่อแผ่นดินมันไหว ภูเขาแอลป์ในยุโรปมันก็หวั่นไหวได้เมื่อแผ่นดินมันไหว ไอ้ร็อคกี้ในอเมริกามันก็หวั่นไหวได้ถ้าแผ่นดินมันหวั่นไหว แต่ว่าจิตที่มีอันนี้ มีอตัมมยตานี้ไม่หวั่นไหว ให้โลกให้จักรวาลหวั่นไหว ไอ้จิตนี้ก็ไม่หวั่นไหว จิตนี้คงที่อยู่ในความถูกต้อง ดังนั้นมันจึงเป็นบวกไม่ได้เป็นลบไม่ได้ มันไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ มันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว แล้วก็เปรียบเทียบมาถึงกับว่าไอ้เรื่องของจิตมันเป็นเรื่องของวัตถุ เป็นเรื่องของจิต หญิงสาวสวยคนหนึ่งเขามีจิตใจบรรลุธรรมะขั้นอตัมมยตานี้ คงที่อยู่ในความถูกต้องของเขา ชายหนุ่มรูปสวยฉลาดเฉลียวปราดเปรื่องมาสักฝูงหนึ่งก็เกี้ยวเอาไปไม่ได้ เกี้ยวผู้หญิงคนนี้เอาไปไม่ได้ เพราะเขามีอตัมมยตา หรือว่าชายหนุ่มคนนี้รูปงามมีอตัมมยตา ให้นางงามจักรวาลมากระทุ้ง นางฟ้ามากระทุ้ง ก็ลากหัวเขาไปไม่ได้ เพราะเขามีอตัมมยตา ถ้ามีอตัมมยตาอย่างนี้แล้วจะไม่เป็นบวกไม่เป็นลบไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบแล้วก็ไม่มี Selfish Selfishness โลกก็หมดปัญหา นี่คือธรรมะสูงสุด ธรรมะสูงสุด สูงสุดเป็นอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยอดสุดของธรรมะอย่างนี้เราเรียกว่า นิพพาน นิพพาน หยุดคงที่ ไม่มีอะไรมาทำให้เปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรมาครอบงำได้ แตะต้องได้ ย่ำยีได้ คงที่ คงที่ คงที่ อยู่ในความถูกต้อง เมื่อคงที่อยู่ในความถูกต้อง ไม่มีกิเลส ไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่ทำอะไรผิด แล้วมันก็รักผู้อื่นโดยอัตโนมัตินะ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องโดยไม่ต้องเจตนามันก็รักผู้อื่นได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้น ขอให้มองเห็นความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ทุกศาสนาสอนเรื่องนี้แต่ไม่มีใครปฏิบัติ ถ้าศาสนาทุกศาสนามีโอกาสสอนเรื่องนี้มนุษย์ปฏิบัติเรื่องนี้ได้โลกนี้ก็มีสันติภาพเหลือประมาณ สันติภาพสูงสุด สันติภาพนิรันดรไปเลย นี่คือธรรมะ ธรรมะ ขอให้ทบทวนมาตั้งแต่ว่าเรื่องธรรมะ ธรรมะ มันคือเรื่องตัวเราเองนี่ ตัวเราเองนี่คือธรรมชาติ คือกฎของธรรมชาติ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็ผลเกิดจากหน้าที่ ไอ้ ๔ อย่างนี้มันรวมอยู่ในแต่ละคน แต่ละคน มันเรียกว่าธรรมะ ธรรมะ นี่ถ้าพูดธรรมะ พูดถึงธรรมะ เรียนธรรมะ คือ เรียนเรื่องตัวเราเอง ในแง่ของวิทยาศาสตร์ก็ได้ ในแง่ของศาสนาก็ได้ ในแง่ของวัฒนธรรมก็ได้ แล้วก็เหมือนกันแหละ ใจความสำคัญว่าอย่าไปหลงบวกหรือหลงลบ แต่มันก็ยาก มันก็ยากที่จะไม่โง่เป็นบวกเป็นลบ ถ้ามันถูกหลอก มันถูกหลอก วิทยาศาสตร์อย่างไอนสไตน์สอนพอจะช่วยแก้ปัญหาได้ อย่าไปหลงความลวงของ Relativity of time and space ความสัมพันธ์กันระหว่าง Time and space มันหลอกให้เราเห็นเป็นอย่างนั้น หลอกให้เราหลงอย่างนั้นอย่าไปหลงข้อนั้นแล้วจะไม่มีความเป็นบวกและความเป็นลบ เราก็ไม่ต้องเห็นแก่ตัว นี่จะเรียนอย่างวิทยาศาสตร์หรือจะเรียนอย่างนี้ก็ได้ ถ้าจะเรียนอย่างธรรมะ มันก็มี มันก็ตามธรรมชาติแล้วเราก็ไม่มีตัว จะมาโดยวิธีใดก็ตามขออย่าให้มีความเห็นแก่ตัว โลกนี้ก็จะเป็นโลกสูงสุดของสันติภาพ จะเรียกว่าโลกอะไรกันก็ตามใจ จะเป็นโลกสูงสุดของสันติภาพที่จะมีได้ ถ้าเราไม่มีความเห็นแก่ตัว ธรรมะสูงสุดยอดของธรรมะสูงสุด ก็คือความไม่เห็นแก่ตัว มันรักผู้อื่นได้ รักความถูกต้องได้ แล้วมันก็รักหน้าที่ รักหน้าที่ ไม่ลงสมุดเวลาทำงานโกหกอีกต่อไปเพราะมันรักความถูกต้อง มันรักความจริง นี่อาตมาขอพูดเรื่องธรรมะนะ สิ่งที่ต้องการจะเผยแผ่ที่สุดก็คือเรื่องธรรมะ มีธรรมะเมื่อไรก็ไม่เห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ธรรมะจะไปเห็นแก่ตัวได้อย่างไร เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้วก็ไม่มีความทุกข์ ถ้าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เพราะไม่มีธรรมะ เพราะไม่มีธรรมะก็เห็นแก่ตัว ไม่มีธรรมะชีวิตนี้ก็จะกัดเจ้าของ ไปฟังดูให้ดีๆว่า ชีวิตนี้จะกัดเจ้าของ พวกฝรั่งมาที่นี่ทุกเดือน เดือนละหลายๆ สิบคน เขาชอบประโยคนี้ มีธรรมะนี้แล้วชีวิตจะไม่กัดเจ้าของ คุณลองไม่มีธรรมะดูสิ ลองไม่มีธรรมะสิ ไอ้ตัวชีวิตนี้มันจะกัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เดี๋ยวความโกรธกัด เดี๋ยวความเกลียดกัด เดี๋ยวความกลัวกัด เดี๋ยวความตื่นเต้นกัด เดี๋ยวความวิตกกังวลไอ้ข้างหน้ากัด เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์ข้างหลังกัด เดี๋ยวอิจฉาริษยากัด เดี๋ยวความหวงกัด เดี๋ยวความหึงกัด ชีวิตก็จะกัดเจ้าของถ้าไม่มีธรรมะ พอมีธรรมะแล้วรับประกันได้ว่าชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของ ดังนั้นเขาจึงสนใจธรรมะ บอร์ดมันติดขึ้นมาเองเหมือนตลาดนัดน่ะ วันที่หนึ่งถึงวันที่สิบเขามากันเองหลายสิบหรือร้อยคนเหมือนตลาดนัดนะ มาศึกษาธรรมะแล้วเขาก็พอใจว่าเขาจะได้ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ คิดคำเดียวสั้นๆ แล้วจะได้ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ก็พอใจแล้ว ศึกษาทุกเดือนปฏิบัติทุกเดือนให้มีสติสัมปชัญญะ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตถาตา เห็นว่าไม่มีตัวตน มันก็เลยไม่มีบวกไม่มีลบ ไม่หลงบวกไม่หลงลบ เป็นชีวิตที่อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ อย่างไบเบิ้ลว่า ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มี Good and evil ไม่มีหยิน ไม่มีหยาง ไม่มีปุญญะ ปาปะ ไม่มีไม่มีทุกคู่ ทุกคู่ ทุกคู่ที่ว่าเป็นคู่ตรงกันข้าม คู่ตรงกันข้าม มีชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ นรก สวรรค์ ไม่มี ไม่มีเป็นคู่ เป็นคู่ ไม่มีการได้เปรียบ ไม่มีการเสียเปรียบ กระทั่งว่าไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชายด้วยซ้ำไป แต่ข้อนี้อธิบายยากมันก็ไม่มีทุกคู่ ทุกคู่ ปัญหามันก็ไม่มีเหลือ นี่คือธรรมะ ธรรมะ โดยสรุปแล้วมันมีอยู่อย่างนี้ ขอให้นำไปคิดดู ไม่ต้องเชื่อ ลองไปคิดดูจะเห็นเอง เราก็ไม่เห็นแก่ตัว เราก็รักผู้อื่นได้ ทางโลกมันอยู่กันอย่างสหกรณ์ได้ ปัญหามันจะมีมาแต่ไหนน่ะ เอาล่ะเป็นอันว่าขอสนองความประสงค์ของท่านในการมาสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้คือเพื่อศึกษาธรรมะ แล้วนี่คือตัวธรรมะ ตัวธรรมะที่จะเอาไปศึกษาให้เข้าใจแล้วปฏิบัติ แล้วก็จะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ จะประสบชีวิตที่ไม่มีความทุกข์เลย คือที่ไม่กัดเจ้าของ เป็นสิ่งสูงสุด สูงสุดกว่าสิ่งใดในสิ่งที่มนุษย์จะมีได้หรือจะรู้จักได้ ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจ เข้าใจ แล้วก็ปฏิบัติได้ยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ แล้วก็จะมีความสุข ในการปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความสนุกสนาน พอใจอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย
ที่ตึกนั้นมีรูปภาพเยอะแยะสำหรับสอนธรรมะ ไปดูรูปภาพแล้วจะรู้ธรรมะ