แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดี อนุโมทนา ในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือ แสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมะ เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ในหน้าที่การงานของตน ของตน นี่มันเป็นสิ่งที่มีเหตุผลสมควรอย่างยิ่ง จะต้องทำกันเรื่อยไป จนกว่าจะถึงที่สุด หัวข้อบรรยายในครั้งนี้ จะมีว่า ทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ฟังดูแล้ว มันก็คล้ายกับดูถูกดูหมิ่นท่านทั้งหลาย ว่ายังไม่รู้จักธรรมะ แต่เจตนาไม่ได้มีเช่นนั้น เจตนามีว่า ท่านจะต้องรู้จักธรรมะให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าที่รู้จักอยู่แล้ว ให้มากขึ้นไป มากขึ้นไป จนสำเร็จประโยชน์ถึงที่สุดโดยแท้จริง ดังนั้นจึงพูดว่ามาทำความรู้จักธรรมะกันเถิด ในแง่หรือส่วนที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้ ก็ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่สนใจกันจริงๆ ไม่จดจำ ทำความเข้าใจกันให้ดี ๆ แล้ว พูดกันจนตาย ท่านทั้งหลายก็ไม่รู้จักธรรมะถึงที่สุด ขออภัยที่ต้องพูดอย่างนี้ ถ้าว่าสนใจกันให้ดีๆ ทำความเข้าใจกันให้ดีๆ ก็จะเข้าใจธรรมะได้เพียงพอ ในเวลาอันสมควร เอาละเป็นอันว่าเราจะพูดเรื่องทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ
ในโรงเรียนครูสอนนักเรียนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันเกือบจะไม่มีความหมายอะไร และแถมเป็นการหลอกเด็กๆ โดยไม่รู้ตัว โดยความไม่รู้ของครูเอง คำว่า “ธรรมะ” ธรรมะนั้นไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอน อย่างดีก็ว่าสิ่งที่นำมาสอน สิ่งที่นำมาสอนนั้นมันมีความหมายของมันโดยเฉพาะ ธรรมะ ตัวหนังสือมันแปลว่า ทรงไว้ซึ่งผู้มีธรรมะ ตรงกับคำว่า “หน้าที่” หน้าที่ในภาษาไทย หน้าที่มีในผู้ใด หน้าที่นั้นก็ทรงไว้ซึ่งผู้มีหน้าที่นั้น คำว่า “หน้าที่” ก็ดี คำว่า “ธรรมะ” ก็ดี ความหมายของคำมันแปลว่าทรงไว้ ทรงไว้ ทรงไว้ซึ่งอะไร ก็ทรงไว้ซึ่งผู้มีสิ่งนั้น ถ้ามีธรรมะก็ทรงไว้ซึ่งผู้มีธรรมะ ถ้ามีหน้าที่ก็ทรงไว้ซึ่งผู้มีหน้าที่ ทรงไว้ทำไม ไม่ให้มันพลัดตกไปในความทุกข์หรือความตาย นี่ธรรมะแปลว่าอย่างนั้น แล้วคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องธรรมะ แต่ว่าคำสั่งสอนของลัทธิอื่น ศาสดาอื่นๆ ที่มีอยู่ในอินเดีย พร้อมกับพระพุทธเจ้า เป็นคู่แข่งขันกันกับพระพุทธเจ้า เค้าก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกันแหละ ขอให้เข้าใจไว้ ศาสดาที่มีชื่อเสียง คู่แข่งขันกับพระพุทธเจ้า มีอยู่หกคน คัณนาทบุตร มคลิโกสา เกศกัมมปลี (นาที 6.23) ทั้งหกคน แล้วยังมีมากกว่านั้นไปอีก ล้วนแต่เรียกคำสั่งสอนของตน ของตนว่าธรรมะ ธรรมะทั้งนั้น และประชาชนก็เรียกคำสั่งสอนของทุกศาสดานั้นว่าธรรมะ ธรรมะ ทั้งนั้น แล้วจะมาบอกกันว่าธรรมะเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้มันก็ไม่จริง มันก็ไม่จริง คำสอนของศาสดาอื่นก็เรียกว่าธรรมะ นั้นคำว่า “ธรรมะ” ธรรมะ ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอน มันแปลว่าทรงไว้ซึ่งผู้มี ธรรมะในภาษาบาลีแปลว่าทรงไว้ซึ่งผู้มี หน้าที่ในภาษาไทยก็แปลว่าทรงไว้ซึ่งผู้มี คือมีหน้าที่และมันก็ทรงไว้ ไม่ให้ตาย ไม่ให้เป็นทุกข์ ทีนี้ที่มันยุ่งยาก ลำบาก มากกว่านั้น คำว่า “ธรรมะ” ธรรมะ ตามภาษาบาลี มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีหน่อย เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ
ธรรมะ ธรรมะนี้แปลว่าธรรมชาติก็ได้ หมายถึงธรรมชาติ ที่มันไม่มีอะไร ที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ตัวธรรมชาติเองก็เรียกว่าธรรมชาติ ตัวธรรมชาติเองเป็นธรรมชาติเป็นรูปธรรม นามธรรม สังขตะ อสังขตะ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ นี่เรียกว่าธรรมชาติ หรือธรรม ที่มีอยู่ภายในตัวเรานี่ เป็นชีวิต เลือดเนื้อ สังขาร ร่างกาย นี่ก็เรียกว่าธรรมชาติ ที่มีอยู่นอกตัว เป็นของผู้อื่น เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นก้อนดิน ก้อนหินนี่ก็เรียกว่าธรรมชาติ นี่แหละธรรมชาติ แปลว่าสภาวธรรม ที่มันมีอยู่ตามธรรมชาติ นี่มันก็หมด มากมาย และมันก็หมด หมดทั้งจักรวาลอยู่แล้วนี่ ธรรมะคือธรรมชาตินี่
นี่นัยยะที่สองธรรมะคือกฎของธรรมชาติ นี่ไม่ได้หมายถึงตัววัตถุเหล่านั้นนะ แต่หมายถึงกฎหรือความจริง ที่มันสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติทั้งหลาย มีธรรมชาติที่ไหนก็มีกฎของธรรมชาติสิงสถิตอยู่ในสิ่งนั้น ในดินนี้ก็มีกฎของธรรมชาติ ในต้นไม้ก็มี ในสัตว์ก็มี ในคนก็มี ในเนื้อในตัว ทุกส่วนแห่งร่างกายก็มีกฎของธรรมชาติครอบงำสิงสถิตอยู่ ลึกขึ้นไปอีก ก็ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ฟังให้ดี ให้เข้าใจ
แล้วความหมายที่สาม มันหมายถึงหน้าที่ หน้าที่ ตัวหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้นๆ มิฉะนั้น มันจะต้องตาย หรือจะต้องรับทุกข์เจียนตาย หาความเป็นสุขไม่ได้ นี่ธรรมชาติก็คือหน้าที่ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน
นี่อันสุดท้ายธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่แล้วก็มีผลเกิดขึ้นตามสมควร นี่ก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ นี่ดูให้ดี มันสี่ความหมาย เพียงความหมายเดียว มันก็หมายถึงทุกสิ่งในจักรวาล ความหมายที่สองคือกฎของธรรมชาติที่ครอบจักรวาล ความหมายที่สามหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตทั้งจักรวาลจะต้องประพฤติกระทำ ความหมายที่สี่ผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ ท่านคำนวณดูเองว่ามันมากมายกว้างขวางมหาศาลเท่าไร การที่ครูบอกนักเรียนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น มันถูกไม่ถึงขี้เล็บ ไม่ได้เท่าเมล็ดงา ถ้าเอาไปเปรียบกับภูเขา เพราะว่าธรรมะมันหมายถึงอย่างที่ว่านั้น สี่ประการ สี่ประการนั้น ตัวคำสอนนั้น หรือการสอนนั้น ไม่ใช่ตัวธรรมะ แต่ว่าสิ่งที่เอามาสอนนั้นเรียกว่าธรรมะได้ ต้องพูดกันเสียใหม่ ให้รู้ว่าธรรมะคืออะไร
นี่ธรรมะคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร จนคำนวณไม่ไหวแล้วนะ คุณลองคำนวณดูสิไหวไหม ทุกอย่างในจักรวาลเรียกว่า สภาวธรรม เป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรม หรือไม่ใช่รูป ไม่ใช่นามธรรมก็ตาม เรียกว่าสภาวธรรม ที่ในสิ่งเหล่านั้นมันมีกฎ หรือความจริง กฎเกณฑ์เฉียบขาดบังคับอยู่อย่างนั้นตายตัว นี่ก็เรียกว่าสัจธรรม สัจธรรม
นี่ก็มีหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติตามกฎเกณฑ์ หรือสัจธรรมเหล่านั้น นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรม ทีนี้ได้ผลมาอย่างไรก็เรียกว่าปฏิเวธธรรม ปฏิเวธธรรม ถ้าจำเป็นภาษาบาลีก็ดีมาก แต่ถ้าไม่รู้ภาษาบาลีก็จะทำไม่ได้ และมันก็จะไม่รู้อะไรด้วยซ้ำไป ว่าธรรมะคือสภาวธรรม ธรรมะคือสัจธรรม ธรรมะคือปฏิบัติธรรม ธรรมะคือปฏิเวธธรรม แล้วไปดูเอาเองว่ามันหมายถึงทุกสิ่งจริงหรือไม่ มันหมายถึงทุกสิ่ง ทุกสิ่งยิ่งกว่าที่ท่านเคยคิด เคยนึกว่าทุกสิ่ง ความคิดว่าทุกสิ่ง ทุกสิ่งของท่านจะไม่กว้างไกลถึงเท่านี้ นี่โดยธรรมชาติทั้งหมดตามธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติทั้งหมด หน้าที่ของตามกฎของธรรมชาติ ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องทำ แล้วผลที่ได้รับสับสนปนเปกันไปหมด นี่คือคำว่า “ธรรมะ” ธรรมะ
สรุปแล้วมันมีสี่ความหมาย นี้ในสี่ความหมายนั้น ความหมายไหนสำคัญที่สุด ลองคิดดู มันก็ต้องตั้งหลักกันไว้ว่า ความหมายที่สำคัญที่สุด ก็คือที่ถ้าไม่รู้แล้วไม่ปฏิบัติ แล้วจะต้องตายนั่น จะต้องตายนั่น อย่างนั้นคือหน้าที่ หน้าที่ ก็ได้แก่ธรรมะในความหมายที่สาม คือ หน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกตรงตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และก็รอดอยู่ และก็ไม่เป็นทุกข์ สี่ความหมายนั้น ความหมายที่สามสำคัญที่สุด แต่มันก็เนื่องกันไปหมด มันก็เนื่องกันไปหมดล่ะ มันไม่แยกกันได้ โดยเด็ดขาด แต่ที่จะพูดให้ตรง ให้เด่นออกมาก็ต้องพูดว่าความหมายที่สามคือหน้าที่ มันเนื่องกันอย่างไร หน้าที่มันก็ต้องเกิดมาจากการรู้กฎของธรรมชาติ แล้วตัวธรรมชาตินั้นน่ะเป็นตัวที่ต้องประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วผลก็ออกมา ที่มันเกี่ยวข้องกับเราอย่างไร
ฟังดูให้ดี ชีวิตนี้ ประกอบอยู่ด้วยร่างกายและจิตใจนี่ ร่างกายและจิตใจนี่คือตัวธรรมชาติ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเรา ทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกๆ ส่วน ทุกปรมาณูที่ประกอบกันเป็นร่างกายของเรานี่ มันมีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ มันควบคุมทุกๆ เซลล์ ทุกๆ ปรมาณู นี่ล่ะกฎของธรรมชาติมันสิงอยู่ และทุกๆ ส่วนมันต้องมีหน้าที่ เอาตั้งแต่หยาบๆ กระทั่งร่างกายนี้มันต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องอะไร แขนก็มีหน้าที่ มือก็มีหน้าที่ เท้าก็มีหน้าที่ ตับไตไส้พุงก็มีหน้าที่ ทุกส่วนก็มีหน้าที่ จนกระทั่งถึงว่า ปรมาณูหนึ่งๆ หรือเซลล์หนึ่งๆ ที่มันประกอบกันเป็นชีวิตนี้มันก็มีหน้าที่ เซลล์มันก็มีชีวิต มันก็ต้องมีหน้าที่ นี่มันมีหน้าที่มาตั้งแต่เซลล์ เซลล์เดียวที่ประกอบกัน เป็นชีวิต แล้วทุกเซลล์ก็มีหน้าที่ แล้วทั้งหมดก็มีหน้าที่ พอมันไม่มีหน้าที่ หรือไม่ทำหน้าที่ มันตายนะ ที่ว่าเซลล์ทุกเซลล์ไม่ทำหน้าที่มันก็ตายลูกเดียว แม้แต่ว่าแขนขามือตีน เกิดมันไม่ทำหน้าที่ขึ้นมา มันก็ตายเหมือนกัน ตับ ไต ไส้ พุง ไม่ทำหน้าที่ มันก็ตายเหมือนกัน มันอยู่รอดได้ด้วยหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่จึงมีความสำคัญ ปฏิบัติหน้าที่แล้วมันก็ได้ผล ผลก็เกิดแก่ชีวิตร่างกายนี้ ทั้งชีวิต หรือว่าบางส่วนของชีวิต หรือบางส่วนของร่างกาย ทำหน้าที่แล้วก็ได้รับผล นี่เรียกว่ามันเกี่ยวข้องกันทั้งสี่อย่างแหละ มันเกี่ยวข้องกันทั้งสี่อย่าง ไม่แยกกัน ถ้าว่าแยกกันเป็นอย่างเดียวเด่นๆ ก็เอาที่สาม ความหมายที่สาม หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ คือตัวที่ทรงไว้ซึ่งชีวิต ไม่มีหน้าที่ก็คือตาย หน้าที่นั่นต้องถูกต้อง ต้องเหมาะสม หน้าที่ที่ไม่ถูกต้องมันก็ตายเหมือนกัน แต่ว่าถ้าไม่ถูกต้องก็ไม่เรียกว่าหน้าที่ ถ้าเรียกว่าหน้าที่มันก็ต้องถูกต้อง ถูกต้อง สำหรับตัวรอด นั้นเราจึงมีหน้าที่เป็นชีวิต ชีวิตมันคือตัวหน้าที่ อยู่ได้ด้วยหน้าที่ คำว่า “หน้าที่” ก็คือธรรมะในภาษาบาลี เรียกว่าหน้าที่ในภาษาไทย ขอให้จำให้ดี ธรรมะกับหน้าที่คือสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของคนอื่นก็เรียกว่าธรรมะ แต่ว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสอน ว่าควรจะมีหน้าที่อย่างไร แล้วก็สอนสูงขึ้นไปจนที่สุด สูงจนไม่มีใครสอนให้สูงได้เท่า และดับทุกข์สิ้นเชิงโดยแท้จริง
นั้นจะถามกันตรงๆ ว่าธรรมะคืออะไร ท่านทั้งหลายควรจะเลิกตอบว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เหมือนที่ได้รับมาจากโรงเรียนที่ครูเขาสอน จะต้องบอกว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพ เอ้า, นี่แปลกหูใช่ไหม อาจจะไม่เคยได้ยินกันได้สำหรับบางคนว่า ธรรมะคือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นใหม่ๆ ตรัสรู้แล้วอย่างนี้ ท่านก็ฉงน เอ, แล้วต่อไปนี้จะเคารพอะไรหว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะเคารพอะไร หรือว่าไม่ต้องมีอะไรเป็นที่เคารพ เลิกกันที เปล่าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านว่าเคารพหน้าที่ เคารพธรรมะ หรือเคารพหน้าที่ ท่านเลยประกาศว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ทุกพระองค์เคารพหน้าที่ คือเคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ทำความดับทุกข์ให้แก่ตนเองได้แล้ว สอนผู้ให้ดับทุกข์ได้ด้วย นี่คือหน้าที่ พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ อย่างที่เรียกว่าหน้าที่นั้นอยู่เหนือพระพุทธเจ้าขึ้นไปอีก จนพระพุทธเจ้าท่านเคารพ
ทีนี้ก็จะมาพูดกันถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่กี่มากน้อย แล้วพวกเรานี่เคารพกี่มากน้อย ขอให้เปรียบเทียบกันดู พระพุทธเจ้าท่านซื่อตรงต่อหน้าที่ เคารพหน้าที่อย่างสูงสุดตลอดพระชนม์ชีพ เรียกว่าตายกับหน้าที่ พวกเรานี่ โอ้ย, หน้าที่นี่มันเหนื่อย หน้าที่มันลำบากนี่ถ้าไม่ต้องทำก็ดี เรียกว่าคดโกงหน้าที่ได้เท่าไรก็เป็นการดี ได้รับประโยชน์ก็แล้วกัน สมุดลงเวลาทำงานตามออฟฟิศต่างๆ ก็มักจะเป็นเวลาโกหกทั้งนั้นแหละ ถ้ามันไม่เคารพหน้าที่ มันไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ นี่ขอให้สนใจกันให้ดีๆ ไม่เสียเวลาที่จะพูดกันถึงเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ จนท่านทำหน้าที่ครบวงจรของวันและคืน วันและคืนครบวงจร
ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ข้อหนึ่งว่าหัวรุ่ง เวลาหัวรุ่งยังไม่ทันสว่าง ท่านเล็งญาณส่องไปทั่ว เรียกว่าทั่วบ้าน ทั่วเมือง ทั่วโลก ใครบ้างที่เหมาะที่จะไปสอนในวันนี้ ใครบ้างจะพอรับคำสอนได้ ใครบ้างยังไม่อาจจะรับคำสอนได้ ใครบ้างสมควรแล้วที่จะได้รับคำสอน แล้วท่านก็เสด็จไปมาอยู่ นี่ท่านก็เห็นๆ อยู่ตลอดเวลา ใครเป็นอย่างไร ที่ไหนเป็นอย่างไร ท่านก็เลยตรวจดูอยู่ตลอดเวลาหัวรุ่ง พบ วันนี้ไปที่นั่น พอสว่างขึ้นท่านก็ไป ไปบิณฑบาต เพื่อได้โอกาสพบกับคนนั้น ได้พูดได้จา ได้โปรดเขาให้จนรู้ธรรมะได้ นี่เขาก็เรียกนิมนต์ไปฉันบนเรือน พูดกันตั้งหลายๆ ชั่วโมง โปรดได้ นี้บางทีก็มีโอกาสจะได้พบไอ้คนตามทาง หรือว่าจะไปโปรดไอ้คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมันไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใสก็เอา ท่านมีแผนการประจำวันอย่างนี้ จนสาย จนเที่ยง ท่านก็ทำสำเร็จในส่วนภาคเช้า
ตอนเที่ยงท่านก็พักผ่อนบ้างแล้วเพราะร่างกายมันเหน็ดเหนื่อย พอตอนบ่าย ตอนเย็นนี่ก็สอนพวกที่ไปหาถึงที่วัด ประชาชนก็ตามใครก็ตามที่ไปหาถึงที่วัด ตอนบ่าย ตอนเย็น ท่านก็สอนเขา ทีนี้ค่ำลง ค่ำลง ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ หัวค่ำก็สอนภิกษุที่อยู่กับวัด ที่อยู่ช่วยด้วยกัน สอนภิกษุที่อยู่ด้วยกัน อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ดึกเที่ยงคืนก็สอนเทวดา เทวดา ในทุกความหมาย เทวดาที่เป็นราชา มหากษัตริย์ นี่ก็เรียกว่าเทวดา เทวดาจากบนฟ้าก็เรียกว่าเทวดา เขามาหากลางคืน ดึก เที่ยงคืนทั้งนั้นแหละนี่ จะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีก็สุดแท้ พระพุทธเจ้าก็ต้องช่วยโต้ตอบสั่งสอนเทวดา ตั้งแต่เที่ยงคืนไปจนเลยดึกดื่นเที่ยงคืน ท่านก็ได้พักผ่อนสักนิดนึง สักนิดนึง แล้วก็เข้าถึงเวลาหัวรุ่งอีก ท่านก็ทำหน้าที่ที่จะวันนี้จะไปโปรดใคร นี่ ทำงานครบวงจรอย่างนี้ พวกเราคนไหนทำงานครบวงจรอย่างนี้เล่า เอาเวลาไปเล่นไปหัวไปอะไร นอกเรื่องนอกราวเสียมาก แล้วก็ไม่อยากจะทำไอ้สิ่งที่เรียกว่างาน หรือหน้าที่อยากจะได้เงิน ได้อะไรฟรีๆ ไม่ต้องทำหน้าที่ เหมือนพวกอันธพาล ไม่ทำหน้าที่ ไปขโมยดีกว่า ไปปล้นจี้ดีกว่า ไม่ต้องออกเหงื่อ นี่เป็นเสียอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ ท่านจึงทำหน้าที่ของท่านครบวงจร แต่ละวัน ละวัน
เอ้า, ทีนี้เมื่อที่อยู่ที่บ้านนี้เมืองนี้พอสมควรแล้ว ก็ไปบ้านอื่นเมืองอื่นบ้างแล้ว นี่ก็เป็นการทำหน้าที่ด้วยเหมือนกันที่ต้องไปทุกแห่งที่ควรจะไป แล้วท่านก็ไม่มีรถยนต์ ท่านคิดดูไม่มีรถยนต์ ท่านจะทำอย่างไร แล้วตามระเบียบ ตามประเพณี ตามกฎเกณฑ์อะไรก็แล้วแต่จะเรียกว่า บรรพชิตไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต ที่นั่นสมัยนั้นมันก็มีเกวียน มีรถม้า แต่มันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต ท่านก็ไม่นั่ง เมื่อท่านไม่นั่ง ท่านก็ต้องเดินสิ ท่านก็ต้องเดินสิ ท่านไม่มีรถยนต์ ตามพระบาลีทั้งหลายนี่สำรวจดูแล้วเห็นได้ชัด คือเชื่อได้แน่ว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่มีรองเท้านะ พระพุทธเจ้าไม่มีร่มกันแดดน่ะ คิดดู แล้วเป็นอย่างไร ท่านก็ต้องเดินเท้าเปล่ากลางแดด ท่านก็ยังเดินเป็นโยชน์ๆ ก็เดินได้ไปจนถึง พระเดี๋ยวนี้มีรองเท้า มีร่ม มีกล้องถ่ายรูปด้วยซ้ำไป มันต่างกันลิบ นี่ท่านไม่มีแม้แต่ร่ม ไม่มีแม้แต่รองเท้า ไม่มีแม้แต่มุ้ง การเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องเดิน ท่านก็ต้องเดิน เมื่อจะเปลี่ยนสถานที่ก็ต้องเดิน ไปอยู่ที่ไหนก็ทำงานครบวงจร 24 ชั่วโมง จนกระทั่งวันสุดท้ายแล้ว วันนี้จะนิพพานอยู่แล้ว วันนี้ก็ยังเดินเป็นโยชน์ โยชน์ ไม่ไปโรงพยาบาล ไม่ได้มีใคร ไม่ได้ขอให้ใครนำไปส่งโรงพยาบาล ทั้งที่ก็ป่วยอยู่แล้ว ถึงที่ที่จะไปนิพพานกันที่นี่ หัวค่ำ หัวค่ำ อย่างนี้ ก็ยังมีคนพวกอื่น ลัทธิอื่นมาขอให้สอน เตรียมตัวจะปรินิพพานกันอยู่แล้ว ยังมีพวกอื่นมาขอให้สอน ขอถามธรรมะ พระเจ้าพระสงฆ์ที่อยู่ นี่โอ้, มันเกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้ว ไป ไป ไป อย่ามากวน นี่ไล่ พระพุทธเจ้าท่านได้ยิน โอ้ อย่าไล่ อย่าไล่ บอกมันมา บอกมันมา แล้วท่านก็สอน สอนคนนั้น จนรู้ธรรมะพอที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ได้องค์สุดท้าย ต่อมาไม่กี่นาที ท่านก็นิพพาน ดับขันธ์ นี่จะไม่เรียกว่าท่านทำงานจนนาทีสุดท้ายได้อย่างไร พวกเราทำงานจนนาทีสุดท้ายอย่างนี้หรือเปล่า พระพุทธเจ้าท่านทำงาน หรือทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า จนนาทีสุดท้าย แล้วจะไม่เรียกว่าเคารพหน้าที่แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ดูท่านเคารพหน้าที่ หน้าที่ วันคืนครบวงจร หน้าที่ทุกหนทุกแห่งที่ท่านไปได้ แล้วท่านก็ทำหน้าที่จนนาทีสุดท้าย คือดับขันธ์ นี่เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ พวกเราเคารพหน้าที่ถึงขนาดนั้นหรือไม่ สักห้าเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี จึงกล่าวได้เต็มปากว่า ธรรมะคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ ธรรมะคือหน้าที่ก็ได้ แล้วก็ธรรมะหรือหน้าที่นั้นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ นั้นก็ขอให้พวกเราทุกคนเคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ
เราไปคิดเสียว่าพระพุทธเจ้าสูงสุดแล้วไม่มีอะไรที่เหนือพระพุทธเจ้าไป นี้เราก็เข้าใจผิด เหนือพระพุทธเจ้า ยังมีสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ เด็กๆ มันก็พูดเป็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าอีกชนิดหนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังมีสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ท่านเคารพหน้าที่ หน้าที่ จนนาทีสุดท้ายของชีวิต นี่คือเคารพธรรมะ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคืออะไร มารู้จักธรรมะกันเถิดวันนี้ ก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพว่า เป็นหน้าที่ ที่ไม่เคารพแล้วจะต้องตาย คุณลองไม่เคารพหน้าที่ดู ไม่เคารพหน้าที่ที่ออฟฟิศ เขาจับได้เขาไล่คุณออก ไม่เคารพหน้าที่เกี่ยวกับชีวิตนี้ ก็ต้องตาย ป่วยตาย หรือตาย ไม่ทำหน้าที่ ต้องให้มันทำหน้าที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกส่วนแห่งชีวิต แห่งร่างกาย ก็ทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นจึงรอดอยู่ได้
มนุษย์ก็รอดอยู่ได้เพราะหน้าที่ สัตว์เดรัจฉานก็รอดอยู่ได้เพราะทำหน้าที่ ต้นไม้ต้นไร่เหล่านี้ก็รอดอยู่ได้เพราะทำหน้าที่ บางทีจะเห็นว่าต้นไม้อยู่นิ่งๆ ทำหน้าที่อะไร ก็เคยเรียนกันมาแล้วทั้งนั้น ต้นไม้มันก็ทำหน้าที่ ทุกเวลาแหละ ที่เป็นกลางวันมีแสงแดดมันก็ทำหน้าที่สนุกของมัน มันดูดน้ำ ดูดแร่ธาตุโดยรากของมัน ไปตามลำไส้ ทางไส้ที่โปร่ง ที่อยู่ที่ศูนย์กลางของต้น ดูดขึ้นไปจนกระทั่งไปกิ่งก้านถึงใบในที่สุด ได้แสงแดดก็ปรุงกันที่ใบ เปลี่ยนไอ้แร่ธาตุเหล่านั้นเป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงลำต้นได้ แล้วก็ส่งกลับมาทางก้านใบ ทางเปลือก เปลือก เปลือก ทั่วไปทั้งต้น ทั้งที่ใกล้เปลือก ที่ชิดเปลือก มันจึงเกิดเนื้อใหม่ ที่เรียกว่ากระพี้ นานเข้าก็เป็นแก่น มันก็ทำหน้าที่ของมันทั้งวัน กลางคืนทำหน้าที่อย่างนั้นไม่ได้ ก็ทำหน้าที่อย่างอื่น ไม่ได้หยุดหรอก รู้จักปรับปรุง รู้จักสะสม รู้จักเปลี่ยนแปลง อะไรกันไปตามเรื่องของเวลา ที่มันไม่มีแสงแดด ได้ยินว่าไม่มีแสงแดด นี่มันคายคาร์บอนไดออกไซด์ มีแสงแดดมันก็คายออกซิเจน นี่ว่ามันเป็นเรื่องที่มันทำหน้าที่ ดูต้นไม้ทำหน้าที่เห็นแล้วรู้สึกละอาย ละอาย เพราะว่าคนนี่มันคดโกงหน้าที่ ทำหน้าที่เล็กน้อย ไม่ทำยิ่งดี มันไม่อยากจะทำ มันไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ สู้ต้นไม้ก็ไม่ได้ เป็นอันว่าหน้าที่นั่นแหละคือสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตรอด รอดชีวิตอยู่ด้วยหน้าที่ นั้นหน้าที่นี่เป็นคู่ชีวิต คู่ชีวิต ถ้าพรากกันแล้ว มันต้องตาย คู่ชีวิตที่เป็นคู่ผัวตัวเมียนั้น แยกกันอยู่สามปีก็ไม่ตาย แต่ถ้าว่าคู่ชีวิตคือหน้าที่ คือธรรมะนี่แล้ว แยกกันก็ตายทันที นี่จงรู้จักคู่ชีวิตที่แท้จริง ถือว่ามันเป็นตัวชีวิตเสียเลยก็ได้ ธรรมะเป็นตัวชีวิตเสียเลยก็ได้ ไม่มีธรรมะก็คือไม่มีชีวิต ไม่มีชีวิตก็คือไม่มีธรรมะ ธรรมะเป็นตัวชีวิตไปเลยก็ได้ นี่คือธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่ต้องคู่กันกับสิ่งที่มีชีวิต ดังนั้นถ้าจะถามว่าธรรมะคืออะไร ก็ขอให้ตอบว่าธรรมะคือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพ และสิ่งนั้นคือหน้าที่ หน้าที่ที่ต้องมี ถ้าไม่มีก็คือตาย นี่รู้จักธรรมะ รู้จักธรรมะ ในแง่ที่ลึกซึ้ง กว่าที่จะพูดว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เอ้า, ทีนี้ก็มาพูดกันต่อไปถึงคำว่า “หน้าที่” ความหมายของคำว่า “หน้าที่” หน้าที่ ถ้าเรารู้จักว่าธรรมะคือหน้าที่ ที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ เราก็จะพอใจในการทำหน้าที่ เพราะว่ามันเป็นสิ่งสูงสุดเกินกว่าที่จะเรียกว่ามีเกียรติเสียอีก พระพุทธเจ้าท่านเคารพ พอได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ อิ่มอกอิ่มใจ มีกำลังใจมหาศาลกันมากที่จะทำหน้าที่ แล้วก็ทำงาน ทำหน้าที่ให้สนุก สนุก เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ถ้าผู้ใดรู้จักธรรมะในลักษณะอย่างนี้ ผู้นั้นจะทำงานสนุกและเป็นสุข ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ถ้าอันธพาลเขาไม่คิดอย่างนั้น เหนื่อยๆ ป่วยการ ไปปล้น ไปจี้ ไปขโมย ไปรวยทางลัดกันดีกว่า นั่นอันธพาลก็ไปแบบนั้น นี่เราไม่ใช่อันธพาล พอได้ทำหน้าที่ก็รู้สึกว่าได้ทำสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ เข้าพวกพระพุทธเจ้าไปเลย การงานมันก็จะรู้สึกว่าสนุกขึ้นมาทันที มีค่าสูงสุด มันก็สนุกขึ้นมาทันที ก็ไม่อยากทำงานหรือว่าทำงานด้วยความพอใจ เมื่อมีความพอใจมันก็เป็นสุขหรือสนุก เราจึงหาความสุขได้ตลอดเวลาที่เรากำลังทำหน้าที่ ไม่ว่าหน้าที่อะไร พอใจหมด พอใจหมด เพราะมีสติสัมปชัญญะ กำหนดแน่ชัดลงไปว่าหน้าที่หรือธรรมะ คือที่สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ ดังนั้นเราจะต้องเคารพ เพราะว่าทำหน้าที่ หน้าที่นี้ให้ดีที่สุดทุกหน้าที่ ขอให้ฟังดีหน่อยนะ ทุกหน้าที่ ทุกหน้าที่ มีสติสัมปชัญญะทำให้ถูกต้อง ดีที่สุด ทุกหน้าที่ แล้วก็พอใจ พอใจ และก็เป็นสุข เป็นสุข เลยเป็นสุขตลอดเวลาเพราะเรามันมีหน้าที่ให้ทำตลอดเวลา ถ้าเราเคารพหน้าที่อย่างนี้แล้ว หน้าที่ก็มีให้เราทำตลอดเวลา แต่เมื่อไม่คิดอย่างนี้ มันก็ไม่ ไม่มีหน้าที่ หรือไม่มีเรื่องที่จะต้องทำด้วยซ้ำไป นี่เรารู้อย่างนี้ เราก็ทำไอ้สิ่งที่เราทำอยู่น่ะ ให้มันถูกต้อง หน้าที่อะไร หน้าที่ ทำงานที่ออฟฟิศ เอ้า, ก็ดีที่สุด หน้าที่บริหารชีวิตร่างกาย จิตใจ อยู่ที่บ้าน ก็ทำดีที่สุด หน้าที่ที่จะคบหาสมาคมเพื่อนมนุษย์แก่กัน ก็ดีที่สุด สามหน้าที่นี้พอแล้ว สามหน้าที่นี้พอแล้ว ให้มากกว่านี้มันก็จะเกิน ทำงานที่ออฟฟิศดีที่สุด ถูกต้อง พอใจตัวเองที่สุด พอใจตัวเองเพราะถูกต้อง ถูกต้อง ก็มีความสุขที่ออฟฟิศทำงาน จนเลิกงาน มันจะได้ผลดีอะไรต่อไปข้างหน้า มันก็มี มีตามใจ เราขอให้มันถูกต้อง และบูชาความถูกต้อง
นี่อยู่ที่บ้านก็มีหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่เห็นว่าหน้าที่นี้เล็กน้อย หน้าที่นี้ไม่ใช่เล็กน้อย หน้าที่นี้เป็นธรรมะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพในนามว่าหน้าที่ หน้าที่ ทุกหน้าที่จะต้องทำให้ดีที่สุด และพอใจที่สุด และเป็นสุข ตื่นขึ้นมาจะล้างหน้า จะถูฟัน สำนึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องล้างหน้า จะต้องถูฟัน ก็ทำให้ดีที่สุดในการล้างหน้าและการถูฟัน ทำดีที่สุดก็พอใจ พอใจที่สุด เมื่อล้างหน้าและถูฟัน เมื่อพอใจ พอใจ มันก็เป็นสุข เมื่อเป็นสุขกันตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน จะกี่วินาที กี่นาที ก็ตามพอใจและเป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน เป็นสุขตลอดเวลาเหล่านั้น ไอ้ชาติโง่มันทำไม่ได้ ใครมีสติสัมปชัญญะ ล้างหน้าและถูฟัน ด้วยสติสัมปชัญญะอย่างนี้บ้าง มันไม่มี บางทีมันไปด่าใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ โกรธใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แม้แต่ถูฟัน ก็ผิดๆ ถูกๆ แล้วมันจะมีความสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟันได้อย่างไร นี่ขอให้ใช้ประโยชน์ให้ถึงที่สุด ตลอดเวลาที่ล้างหน้าและถูฟัน ฉันมีความสุข เอ้า, สิบห้านาทีก็ได้ สิบนาทีก็ได้ ห้านาทีก็ได้ ไม่เว้นจากความสุข เพราะเคารพหน้าที่
บูชาสิ่งที่กระทำนั้นว่าเป็นหน้าที่ เป็นสิ่งสูงสุดที่แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เคารพ นี่ไปอาบน้ำ เข้าไปในห้องน้ำ ก็มีสติสัมปชัญญะ สำนึกว่าเป็นหน้าที่ หน้าที่สิ่งที่ต้องเคารพ จะเปิดก๊อกหรือจะตักขันอาบ หรือจะทำอย่างไรก็ตาม จะถูขี้ไคล จะทำอะไร ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ นั่นเลยเป็นสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ ห้านาที สิบนาที สิบห้านาทีก็ตาม มันมีความสุขติดต่อกันตลอดเวลาเหล่านั้น แต่ชาติโง่มันทำไม่ได้ ขอใช้คำอย่างนี้ ชาติโง่ จิตใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะอาบน้ำ มันโกรธใครอยู่ก็ได้ ด่าใครอยู่ก็ได้ แต่ถ้ามีจิตใจถูกต้อง อาบน้ำตลอดเวลาด้วยสติสัมปชัญญะ บูชาหน้าที่ มันก็มีความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ
เอ้า, เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม ด้วยสติสัมปชัญญะ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ทุกกระเบียดนิ้วทุกวินาที ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องไปหมด ในการถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ มันก็มีความพอใจและเป็นสุข ตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ แต่ไอ้ชาติโง่มันทำไม่ได้อีกแหละ มันไม่ทำด้วย และมันทำไม่ได้ เพราะว่าจิตใจมันไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันไปโกรธใครอะไรอยู่ หรือมันกระฟัดกระเฟียด หลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้ทำจิตใจให้ปกติ ให้มีความถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ มันจะไปกินอาหาร เข้าไปในห้องอาหาร ด้วยสติสัมปชัญญะ เคารพในหน้าที่ ตักข้าวใส่จาน ตักอาหารใส่ปาก เคี้ยวกลืนลงไป ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง และก็พอใจ พอใจ นี่ก็เป็นสุขตลอดเวลาที่กินอาหาร แต่ชาติโง่มันทำไม่ได้นี่ เดี๋ยวอร่อย เดี๋ยวไม่อร่อย มันด่าแม่ครัว ไม่มีความพอใจ ไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความสงบ ตลอดเวลาที่กินอาหารนั้นไม่มีความสุขแท้จริง แต่ถ้ามีธรรมะเคารพหน้าที่ทำให้ดี ในการตักข้าว ในการใส่ปาก ในการเคี้ยว ในการกลืน ในการทำอะไรก็ตาม มันจะเป็นสุขตลอดเวลาที่กินอาหาร
เลวไปกว่านั้นก็ได้ หรือจะดีไปกว่านั้นก็ได้ แล้วแต่จะเรียก เกิดสนุกขึ้นมาจะช่วยเขาล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน บ้างก็ได้ แย่งงานคนใช้ทำ ล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน มีสติสัมปชัญญะ ทำดีที่สุด ล้างถ้วย ล้างจาน มีจิตเป็นสมาธิอยู่ที่สกปรกที่ติดอยู่ที่ถ้วยที่จาน ล้างออกไปด้วยน้ำ กวาดบ้านถูเรือนก็เหมือนกันแหละ จิตอยู่ที่ปลายไม้กวาดที่พาฝุ่นละอองไป ถูเรือนก็เหมือนกันจิตอยู่ที่ผ้าขี้ริ้วที่ใช้ถูเรือน เป็นสมาธิเหมือนกับสมาธิทั้งหลาย แล้วก็ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ มันก็มีความสุขแท้จริงได้ตลอดเวลา ที่เราช่วยล้างถ้วย ล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน แต่ชาติโง่มันทำไม่ได้อีกแหละ แล้วมันไม่อยากจะทำด้วย มันถือว่าเป็นงานของคนใช้ มันก็ไม่อยากจะทำ นั้นขอให้เราลองดู ว่าจริง หรือไม่จริง ไม่จริงแล้วค่อยมาด่าอาตมาก็แล้วกัน
มีสติสัมปชัญญะ ทำหน้าที่ หน้าที่ทุกหน้าที่ให้ถูกต้องพอใจ แล้วมันจะมีความสุข ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ นี่เรียกว่าทำงานให้สนุก มีความสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ทีนี้ก็ไปสังคมกับเพื่อนมนุษย์ บุคคลที่สองออกไปจากตัวเรา เราจะเรียกว่าสังคม เราจะต้องปฏิบัติต่อเขาในลักษณะที่พอใจด้วยกันทุกฝ่าย การทำผู้อื่นให้ได้รับความพอใจนั่นแหละคือบุญกุศล บุญกุศลที่แท้จริง อยู่ด้วยการทำให้ผู้อื่นได้รับความพอใจ บุญนี้สะอาด บุญนี้ไม่แลกสวรรค์ บุญนี้แลกมาเอาความไม่เห็นแก่ตัว หมดกิเลส เป็นไปเพื่อนิพพาน เสียสละเพื่อให้ผู้อื่นพอใจและเป็นสุข ไม่เอาสวรรค์วิมานอะไรที่ไหน เอาความถูกต้อง ถูกต้อง เรื่องผู้อื่นนี่ขอให้ถือตามหลักทิศหก ทิศหก ที่สอนในที่ปฏิบัติ ทิศข้างหน้าบิดามารดา ปฏิบัติต่อท่านให้ถูกต้อง ทิศข้างหลังบุตรภรรยา ปฏิบัติต่อเขาให้ถูกต้อง ทิศข้างซ้ายมิตรสหายทั้งหลาย ปฏิบัติต่อเขาให้ถูกต้อง ทิศข้างขวาครูบาอาจารย์ ปฏิบัติต่อเขาให้ถูกต้อง ทิศข้างบนผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่เหนือขึ้นไป ปฏิบัติต่อเขาให้ถูกต้อง ทิศข้างล่างลงมาคือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ก็ปฏิบัติต่อเขาให้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องต่อทิศทั้งหกอย่างนี้ แล้วมันถูกที่สุดในเรื่องการสังคม เราก็รับประโยชน์จากการมีสังคมที่ดี ได้ประโยชน์ลึกลงไปกว่านั้นก็คือลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องเราจะต้องลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว นี่มันนำไปสู่นิพพาน ไม่เห็นแก่ตัว นั่นมันไม่เกิดกิเลส กิเลสมันเกิดเพราะความเห็นแก่ตัว ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าอย่าให้ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมาได้แล้ว กิเลสไม่มีทางที่จะเกิดได้ จงปิดกั้นเสียให้หมด ไอ้ความเห็นแก่ตัว เปิดโลกแห่งความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับความพอใจ ได้รับความสุข นั่นแหละบุญกุศล เกี่ยวหน้าที่ที่สามคือการสังคม
สมัยหนึ่งคงจะถือกันมากทีเดียว ถือเป็นบุญกุศลอย่างใหญ่หลวง ยุคนั้นสมัยนั้น การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นของธรรมดาสามัญ พอใจกันที่สุด พอมาถึงสมัยปัจจุบัน ความเห็นแก่ตัวเข้ามาแทรกแซง ไม่มีใครอยากจะทำหน้าที่อย่างนั้น จึงมีแต่ความกดโกงเอาเปรียบโดยเจตนา โดยไม่เจตนา คุณลองไปคิดดูสิว่า อะไรนะที่มันไม่ได้เกิดมาจาก ไอ้ความเลวร้ายอะไรนะที่ไม่ได้มาจากความเห็นแก่ตัว ที่เรากำลังได้รับกันอยู่เดี๋ยวนี้ ความไม่สงบ ไม่เยือกเย็น เต็มไปด้วยอาชญากรรม มันมาจากความเห็นแก่ตัว ไอ้มลภาวะทั้งหลาย ทั้งหมดมาจากความเห็นแก่ตัว ความที่เรียกว่า ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย หรือว่าขัดขวางไปหมด แม้แต่รถติดถนน นี่มันก็มาจากรถติดถนน ไม่สะดวกนี่ก็มาจากความเห็นแก่ตัว อะไรเผลอไม่ได้ก็มาจากความเห็นแก่ตัว ไอ้โรคบ้าๆ บอๆ มันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ยาเสพติดทั้งหลายก็มาจากความเห็นแก่ตัว นักการเมืองก็เห็นแก่ตัว นักเศรษฐกิจก็เห็นแก่ตัว อะไรๆ ก็ล้วนแต่เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว ผัวก็เห็นแก่ตัว เมียก็เห็นแก่ตัว แล้วมันก็กัดกัน เห็นไหมเล่า นี่ทุกอย่างมันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้ามันเป็นเรื่องเลวร้าย ถ้ามันเป็นเรื่องดี ตรงกันข้าม มันก็มาจากความไม่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัว นี่ป่าไม่ถูกทำลายเลย มลภาวะก็ไม่มี อาชญากรรม อาชญากรมันก็ไม่มี ไม่มีนักการเมืองโกง ไม่มีนักเศรษฐกิจโกง ไม่มีนักสังคมโกง ไม่มีที่เป็นปัญหา นี่เพราะว่าเขาไม่สนใจ ที่จะมีธรรมะหน้าที่ที่ถูกต้อง เขาสนใจแต่ประโยชน์ที่จะพึงได้รับ เป็นเรื่องเกียรติยศชื่อเสียง เป็นเรื่องเงิน เป็นเรื่องของ เป็นเรื่องทรัพย์สมบัติ เป็นเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ
มันสูงสุด อยู่ที่สามอย่างนี้ เรื่องกิน แข่งกับเทวดา เรื่องกามารมณ์ แข่งกับเทวดา เรื่องเกียรติอำนาจวาสนาบารมี จะไปแข่งกับผีสางที่ไหนก็ไม่รู้ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ มันกำลังครองสังคมในโลก โลกมันบูชาสิ่งเหล่านี้ มันจึงได้เป็นโลกอย่างนี้ และกำลังจะเป็นมากขึ้น เป็นมากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวนี่มันชวนให้คิด กอบโกย กอบโกย ลักล้วง ให้ยิ่งขึ้นไป มันศึกษาแต่วิธีที่จะได้เปรียบ มีการศึกษาในที่จะฉลาดเพื่อที่จะได้เปรียบ เรียนจิตวิทยาเพื่อให้ฉลาดในที่จะโกงอย่างได้เปรียบ โลกปัจจุบันกำลังเป็นอย่างนี้ การศึกษากำลังเป็นทาสรับใช้กิเลส เพื่อจะได้โกง เพื่อจะได้เอาเปรียบกันอย่างยิ่ง ไม่เหมือนการศึกษายุคสมัยที่ยังบริสุทธิ์อยู่ การศึกษาในยุคสมัยโน่นที่บริสุทธิ์อยู่การศึกษาเพื่อรับใช้ธรรมะ รับใช้หน้าที่ที่ถูกต้อง ให้มีความสงบเย็นเป็นสันติภาพ การศึกษาเดี๋ยวนี้เขาทำให้ฉลาด ฉลาด เพื่อจะหาหนทางได้เปรียบใคร ถึงที่สุดไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด ตั้งแต่ระดับ อนุบาล ไปจนถึงมหาวิทยาลัย มีแต่สอนให้ฉลาด ฉลาด อย่างเดียว ไม่มีอะไรที่ควบคุมความฉลาด การศึกษาแต่โบราณหน่อย ก็ยังว่าต้องการความเป็นสุภาพบุรุษ หรือเป็นสัตบุรุษ คู่กันกับความฉลาด แล้วความเป็นสุภาพบุรุษนี่มันควบคุมความฉลาด เดี๋ยวนี้เลิกสุภาพบุรุษไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีแต่คนเก่งแล้วก็ฉลาด แล้วเก่ง มันก็ฟรี อิสระในการที่จะทำอะไรเพื่อเห็นแก่ตัวเพื่อตัว โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ และมันจะเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ยิ่งเจริญทางวัตถุเท่าไหร่ มันยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น
คุณคงจะไม่ตายเสียเร็วเกินไปนัก ยังจะพอเห็นโลกในอนาคต ที่ยิ่งเจริญทางวัตถุ ยิ่งเจริญทางวัตถุ เป็นนิกส์เป็นแน็กอะไรก็ตามใจแหละ มันจะมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น เพราะความจริงมันมีอยู่ว่ายิ่งเจริญทางวัตถุเท่าไร ต้องมีธรรมะมากเท่านั้นมาช่วยควบคุม ถ้าปล่อยให้มันเจริญทางวัตถุ เจริญไปทางวัตถุ โดยไม่มีธรรมะควบคุมมันก็คือวินาศ วินาศที่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องตรงไหน นี่รู้ไว้เถิดว่ายิ่งเจริญทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องมีธรรมะมาช่วยควบคุมความเจริญให้มากเท่านั้น เดี๋ยวนี้มันกำลังเจริญพุ่ง ไปหาความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปโดยไม่มีธรรมะ เป็นเครื่องควบคุมนี่มันจะวินาศ โลกนี้มันจะวินาศ เพราะความเจริญทางวัตถุซึ่งไม่มีธรรมะควบคุม จึงขอให้เข้าใจไว้ว่ายิ่งเจริญเท่าไร ก็ต้องมีธรรมะให้มากขึ้น มากขึ้น ให้พอกับความเจริญ และธรรมะที่เพียงพอนั้นจะช่วยควบคุมความเจริญทางวัตถุ ไม่ให้เป็นพิษเป็นภัยขึ้นมา เพราะว่าถ้ายิ่งเจริญทางวัตถุล้วนๆ มันยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ จนไม่รู้จะทำอะไรกันนอกจากเห็นแก่ตัว
ในคนยากคนจนก็เห็นแก่ตัว คนมั่งมีก็เห็นแก่ตัว คนนอกนั้นก็เห็นแก่ตัว ผัวก็เห็นแก่ตัว เมียก็เห็นแก่ตัว พี่ก็เห็นแก่ตัว น้องก็เห็นแก่ตัว แม่ก็เห็นแก่ตัว ลูกก็เห็นแก่ตัว แล้วจะอยู่กันอย่างไร ยิ่งเจริญเท่าไรก็ต้องยิ่งมีธรรมะมาควบคุมความเห็นแก่ตัว นั่นแหละจึงจะมีสันติภาพ ไม่เห็นแก่ตัว มันรักผู้อื่นได้ ถ้ามันเห็นแก่ตัว มันไม่รักใคร คนเห็นแก่ตัวนี่มันประหลาดที่สุด มันขี้เกียจทำงานแม้แต่ช่วยตัว ทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ตัว มันยังขี้เกียจ มันยังบิดพลิ้ว มันยังไม่ทำ เพราะมันเห็นแก่ตัว มันไม่ทำงานช่วยตัว เอากับมันสิ คนเห็นแก่ตัวไม่สามัคคีใครหรอก คนเห็นแก่ตัวมีแต่อิจฉาริษยา นี่มันจะเป็นเสียอย่างนี้ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันจะรักผู้อื่น มันจะสามัคคี มันจะช่วยกันร่วมมือเพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้นขอให้มองเห็นเถิดว่า ความเห็นแก่ตัวนั่นคือความฉิบหาย ความไม่เห็นแก่ตัวคือความรอด
ศาสนาทุกศาสนาที่แท้จริงสอนไม่ให้เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ แต่คนมันไม่ปฏิบัติ ศาสนาจะสูงอย่างไร จะกลางอย่างไร จะต่ำอย่างไร ก็สอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัว แม้แต่ศาสนา ไสยศาสตร์ของคนโง่ มันก็ยังสอนไม่เห็นแก่ตัว ยังต้องการความไม่เห็นแก่ตัว จนกล่าวได้ว่าทุกศาสนามันสอนความไม่เห็นแก่ตัว แต่แล้วมนุษย์ไม่ปฏิบัติ ศาสนาก็เป็นหมัน ศาสนาก็เป็นหมัน เพราะไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันก็เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง และก็เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ มันก็รักเพื่อนมนุษย์ มันก็รักธรรมะ รักความถูกต้อง รักความถูกต้อง แล้วมันไม่เกิดกิเลสได้ มันไม่มีอคติใดๆ ได้ ธรรมะมันมีประโยชน์อย่างนี้ มันรักเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทุกคน คนโบราณสมัยปู่ย่าตายายของเรา เขาพูดประโยคนี้กันทุกคน ทุกค่ำ ทุกคืน ค่ำลง สวดมนต์ สวดมนต์อะไรก็ตาม มันจะไปจบลงคำว่า สัตว์ทั้งหลายเพื่อนแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ได้ยินทั่วไป เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยิน ได้ยินเพลงบ้าๆ บอๆ ก็มาแทน
ถ้าทุกคนรักเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มันจะรักแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันไม่ทำลาย มันไม่เบียดเบียน แล้วมันจะรักต้นไม้ ซึ่งมีชีวิต รู้จักกลัวตายเหมือนกันแหละ ต้นไม้ ถ้าเราศึกษาให้ดี มันก็ไม่อยากตาย อยากอยู่ อยากสบาย ก็พอที่จะจัดเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ด้วยเหมือนกัน ในเมื่อมีเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ แล้วมันจะมีอะไรเป็นปัญหา และนั่นแหละก็เรียกว่าโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ ซึ่งรู้จักกันแต่ชื่อ รู้จักกันแต่ชื่อ อยากได้โดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร ถ้าเป็นศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ คือไม่มีความเห็นแก่ตัว รักและรับเอาเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมด ด้วยชีวิตจิตใจ ด้วยจิตใจทั้งหมดรักผู้อื่น ว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ยินดีช่วยเหลือ ยินดีช่วยเหลือ
ลักษณะของโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ เขียนไว้มากมาย แต่ที่น่าสนใจมีอยู่ข้อหนึ่งว่า พอลงจากบ้านไปตามถนน ไม่รู้ ว่าใครเป็นใคร เหมือนกันไปหมด มีแต่ผู้หวังดี ยกมือขึ้น บอกว่าจะให้ช่วยทำอะไรจะช่วย ไปทางไหนก็มีแต่ผู้ถามว่าจะให้ช่วยอะไรจะช่วย ไปเสียทุกหนทุกแห่งมันเลยเหมือนกันไปหมด ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พอกลับมาถึงบ้านถึงเรือนแล้วมาถึง เอ้า, นี่บุตรภรรยา นี่บุตรของเรา สามีของเรา นั้นของเราอยู่ที่บ้านเรา พอออกไปนอกถนนมันเหมือนกันไปเสียหมด ก็ลองคิดดูว่าโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ นั้นจะเป็นอย่างไร
โลกพระศรีอริยเมตไตรย์นี้มีกันทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ ทั้งศาสนาใด ๆ ก็มี ความหมายของโลกอันจะมาในอนาคต นั่นเป็นผลของความไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนลองไม่เห็นแก่ตัวกันที่นี่เดี๋ยวนี้ โลกพระศรีอริยเมตไตรย์ ก็จะเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นสุขสงบเย็น ยิ่งกว่าสันติภาพเสียอีก พูดกันอย่างไม่มีความหมาย เดี๋ยวนี้พูดถึงสันติภาพแต่ปาก จิตใจต้องการประโยชน์ จะทำนาบนหัวคนอื่น ไม่ใช่ทำนาบนหลัง คนสมัยนี้ มันไปไกลถึงขนาดนี้เพราะมันเรียนรู้มันฉลาด ทำนาบนหัวคนอื่นก็ได้ ไม่ใช่ทำนาบนหลังผู้อื่น ธรรมะจะช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัว ถ้ามีธรรมะแล้วจะเห็นแก่ธรรมะ แล้วจะไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็จะรักผู้อื่น ขอให้ท่านทั้งหลายทุกท่านได้สรุปความเอาเองว่าธรรมะคืออะไร เรามารู้จักธรรมะกันเถิดในวันนี้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะกันเถิด ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพ ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือสิ่งที่ทำให้เห็นแก่ธรรมะ ไม่เห็นแก่ตัว ธรรมะเป็นปัจจัยแห่งสันติภาพสูงสุด เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรย์ ดังที่กล่าวแล้ว นี่คือตัวธรรมะ นี่คือผลของการมีธรรมะ ขอให้เข้าใจ ให้สนใจเอาเอง ไม่เห็นแก่ตัวแล้วจะมีความสุขสงบเย็นเท่าไร ก็ไปลองดูไปลองดูอย่างไม่เห็นแก่ตัว แล้วจะพบว่ามันมีอานิสงส์ อย่างไร
นี่อาตมาก็พูดมาสมควรแก่เวลา และอาตมาก็หมดแรงจะพูด ก็ตอนนี้ไม่ค่อยมีแรง ก็จำเป็นจะต้องขอยุติการบรรยาย ด้วยการพูดว่าขอแสดงความยินดี อนุโมทนาในการที่ท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือหาความรู้ทางธรรมะเพื่อไปประกอบหน้าที่การงานของตน ขอแสดงความหวังว่าขอให้ทุกคน ทุกคน จงสำเร็จประโยชน์ ด้วยความหวังอันนี้ มีธรรมะยิ่ง ๆ ขึ้นไป ประกอบหน้าที่การงานของตนให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ