แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาพัฒนบริหารศาสตร์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะ โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนาเพื่อไปประกอบการศึกษา การบริหารกิจการของท่าน เพื่อความมีประโยชน์ หรือมีความสำเร็จที่ดียิ่งขึ้นไป อีกอย่างหนึ่งก็ขอทำความเข้าใจที่เกี่ยวกับเวลามาพูดกันหัวรุ่งอย่างนี้ ข้อนี้มันมีความหมายที่จะต้องทราบด้วยเหมือนกัน เวลาหัวรุ่งอย่างนี้เป็นเวลาที่มีพลัง เรียกว่าพลังหัวรุ่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อเวลาหัวรุ่งเวลาที่พลังหัวรุ่ง ช่วยถึงที่สุด กระทำความพยายามมาตั้งแต่เย็นตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ค่ำ ๆ แล้วก็ตรัสรู้เมื่อหัวรุ่ง ข้อนี้มีเหตุผลไปคิดดูเอาเอง แม้ทางสรีรศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ ก็พอมองให้เห็นว่า ก็ทำให้มองให้เห็นว่า มันมีพลัง ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่เราเลือกเอา เป็นเวลาที่มีพลังร่างกายและจิตใจ ถ้าว่าเวลาหัวรุ่งอย่างนี้ ยังไม่มีความกระปรี่กระเปร่า ทางจิตใจแล้ว เลิกเป็นนักพัฒนา อย่าหวังเป็นนักพัฒนา ป่วยการใครก็ตามเถอะ ขอให้ใช้เวลาที่พลังที่หัวรุ่งนี้เป็นประโยชน์
เอา,ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องที่เราจะพูดกัน คือเรื่อง พัฒนา พัฒนา ความยุ่งยากลำบากมันอยู่ที่ภาษา ภาษาดิ้นได้ ความหมายหลายอย่างการใช้ก็เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า พัฒนา ไอ้เทคนิคของการพัฒนาทางวิชาการ อาตมาพูดไม่เป็น แล้วก็ไม่ค่อยรู้ ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ต้องพูด ก็จะพูดแต่เรื่องที่จะเอาธรรมะในพระศาสนาไปเป็นเครื่องมือหรือผสมกันเป็นแนวทางในการพัฒนา เรียกว่าตาม พัฒนา ตามแนวทางพุทธศาสตร์ หรือธรรมะนั้นแหล่ะเป็นส่วนใหญ่ อย่าหวังอะไรที่จะได้ยินเทคนิคของการพัฒนาโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นตำราเรียนอีกอันหนึ่งของท่านอยูในตัวแล้ว คำว่า พัฒนา ภาษาคนธรรมดาภาษาชาวบ้านนี้ก็มีความหมายต่าง คำว่าพัฒนาในภาษาธรรม ภาษาศาสนาก็มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง พูดตรงๆ ก็คือว่า ทางภาษาชาวบ้านนี้ก็หมายถึงการพัฒนาทางชาวบ้านตามประสาชาวบ้านเป็นเรื่องทางวัตถุ ถ้าเป็นเรื่องทางจิตใจภาษาธรรมะมันก็พัฒนาจิตใจ มันเป็นสองพัฒนาอยู่อย่างนี้ และดูเหมือนว่าพัฒนาในทางโลกนี่ ทางวัตถุนี่ มันก็จะเฟ้อจนทำให้โลกยุ่งยากอยู่แล้ว ก็ต้องนึกถึงการพัฒนาทางจิตใจ ที่จะช่วยป้องกันแก้ไขความยุ่งยากอันนี้กันเสียมากกว่า ดังนั้นขอให้ถือว่าเราจะพูดกันในวันนี้ที่นี่นั้นมันเป็นเรื่องพัฒนาในทางภาษาธรรมะ คือภาษาจิตใจ
คำว่าพัฒนา พัฒนา ถ้าเอาตามความหมายที่ถูกต้องมันก็หมายถึงทำให้มันดีขึ้นเจริญขึ้น แต่ตัวหนังสือ แท้ ๆ นั้นมันหมายความแต่เพียงว่ามันทำให้มากขึ้นเท่านั้นแหล่ะ รกรุงรังไปหมดก็เรียกว่าพัฒนาเหมือนกัน แหล่ะ ตัวหนังสือมันอำนวยอย่างนั้นสำหรับคำว่า พัฒนา พัฒนา อย่างพระบาลีว่า นสิยา โลกวัฒโน (นาทีที่ 6:38) อย่าเป็นคนพัฒนาโลก รก แปลว่าอย่าทำโลกให้รกรุงรังไปหมด โลกวัฒโน พัฒนาโลก กลับเป็นเรื่องที่ต้องห้าม พัฒนาในความหมายที่ว่ารก คือมันมากขึ้นเท่านั้นเองมันไม่มีอะไร คือการต้องห้าม แต่ว่าการพัฒนาจิตนั้นมันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉะนั้นขอให้ระวังคำว่า พัฒนา พัฒนากันให้ดี ๆ ภาษามันกำกวมกันอยู่อย่างนี้ของเดิมเป็นอย่างหนึ่ง ของใหม่เป็นอีกอย่างหนึ่ง วิธีใช้เป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าคำว่า Progress Progress (นาทีที่ 7:32) นั้นมันรากศัพท์ของมันแปลว่าบ้า คือมันบ้าทำให้มากแค่นั้นเองให้มัน Progress เลยต้องระวังอย่างเดียวกับคำว่าพัฒนา ขอให้พัฒนาให้มันถูกไปตามในความประสงค์ ในความหมายที่ถูกต้องว่ามันดีขึ้น มันมากขึ้น มันมีประโยชน์ แล้วมันมีประโยชน์มากขึ้น หรือพูดในทางกลับกันก็ว่า เลวมันลดลง เลวมันลดลง ลดลงยิ่งขึ้น โทษอันตรายมันลดลง ๆ นั้นน่ะเรียกว่าพัฒนา ก็ได้เหมือนกัน สรุปความสั้น ๆ ก็ว่ามันถูกต้องมากขึ้น ไม่ใช่มันมากขึ้นเฉยๆ มันถูกต้องมากขึ้น ถูกต้องมากขึ้น ที่นี้คำว่าถูกต้องนี่ก็เหมือนกันอีกแหล่ะ มันมีความหมายที่ดิ้นได้ถูกต้องในภาษาโลก ๆ นี่มันก็ถูกต้องเพียงว่าได้ประโยชน์ กูได้ประโยชน์แล้วมึงก็ถูกต้อง ในโลกนี้มันก็ถืออย่างนั้นกันทั้งนั้นแหล่ะในทางพัฒนาวัตถุคำว่าถูกต้องหมายความว่าได้ผล ตามที่กูต้องการโดยไม่ต้องคิดว่าผู้อื่นมันจะเดือดร้อนรำคาญ อย่างที่เห็นกันอยู่ว่าโลกกำลังพัฒนาทางวัตถุแต่มนุษย์ก็เดือดร้อนลำบากยุ่งยากมากขึ้นกว่าแต่ก่อนพัฒนาบ้าบอกัน คำว่าถูกต้อง ถูกต้องมันก็หมายความว่ามันมีประโยชน์ยิ่งขึ้นตามหลักธรรมะถูกต้องคือ ไม่ให้โทษแล้วก็มีประโยชน์มากขึ้น ไม่ใช่หมายความว่าทางหนึ่งเจริญรุ่งเรื่องงอกงามอีก ทางหนึ่งเดือดร้อนเกือบตาย นี่คือปัญหาที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ที่มันพัฒนาแต่ในทางวัตถุ ในทางปัจจัย ในทางจิตใจมันเลวลง แล้วมนุษย์อีกส่วนหนึ่งลำบากยุ่งยากเพราะการพัฒนาชนิดนี้ และก็ยังบ้ายังหลงในการพัฒนาชนิดนี้โดยการไม่รู้จักหยุดหย่อนนี่เรียกว่าเราจะต้อง รู้จักความหมายของคำว่าพัฒนาให้ดี ๆ ถูกต้อง ถูกต้องยิ่งขึ้นให้มากยิ่งขึ้น คือการพัฒนามันถูกต้องหรือไม่ถูกต้องนี่มันขึ้นกันอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าการศึกษา โลกปัจจุบันยิ่งพัฒนา ยิ่งมีปัญหายิ่งพัฒนายิ่งมีปัญหาระหว่างชนชั้น ระหว่างคนยากจนคนอะไรมันยุ่งไปหมด ยิ่งพัฒนามันยิ่งยุ่งยิ่งเดือดร้อนนี่ มันจะตรงกับคำว่าบ้า ยิ่ง Progress มันยิ่งบ้า
ข้อนี้ก็เพราะเหตุว่า การศึกษาในโลกนี้มันไม่ถูกต้องตามความหมายที่แท้จริงของคำว่าการศึกษา อาตมาขอยืนยันอย่างนี้ขอให้ทุกคนช่วยจำ ช่วยยึด ยึด ยึดว่ายืนยันอย่างนี้ จะค้านจะด่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ ว่าโลกกำลังไม่มีการศึกษาที่ถูกต้อง ทางโลกมันมีการศึกษาที่บ้าบอที่สุดเลย คือมันมีแต่สอนให้ฉลาด ให้ฉลาด ให้ฉลาดเสียทุกสิ่งทุกอย่างฉลาดสามารถไปเสียทุกอย่าง คิดเป็นทำเป็นพูดเป็นอะไรเล็ก ๆ ทุกอย่างมันฉลาดไปทุกอย่าง แต่แล้วมันไม่มีอะไรที่ควบคุมความฉลาดมันไม่สอนให้ควบคุมฉลาดเลย มันสอนให้ฉลาดเป็นว่าเล่นเดี๋ยวนี้ก็จะไปเที่ยวโลก พระจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ เหมือนกับไปเที่ยวสวนหลังบ้านอยู่แล้ว ความฉลาดมีมากถึงขนาดนี้แล้ว แต่โลกก็หาสันติภาพไม่ได้สักขี้เล็บ อยากจะพูดว่าอย่างนี้ จึงมีแต่ความต่อสู้ ต่อสู้ ต่อสู้ ทั้งใต้ดิน ทั้งบนดิน ทั้งหลับทั้งตื่น มันไม่มีความสงบสุขเลย เพราะว่าการศึกษามันบ้าบออย่างนี้แหล่ะ มันมีแต่ให้ฉลาด ฉลาด ฉลาดแล้วไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด และประชาธิปไตยก็ช่วยให้ใช้ความฉลาดอันไม่ต้องมีอะไรบังคับ มันก็ใช้ความฉลาดไปทางเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวยิ่งฉลาด ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวลึกเห็นแก่ตัวกว้างขวางยากที่จะแก้ไข ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวนั่นน่ะคือความบ้าชนิดหนึ่ง คุณดูเอาเองก็แล้วกันว่าการศึกษาในโลกนี้ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงชั้นมหาวิทยาลัยทั้งโลก มันมีแต่สอนในแง่ที่ ฉลาด ฉลาดสามารถ ไม่มีการควบคุมความฉลาดเลย การศึกษาอย่างนี้มันจะ ทำให้วินาศและไม่อาจพัฒนาในทางจิตใจ พัฒนาได้ก็ด้วยทางวัตถุพัฒนาด้วยอำนาจของกิเลส ไม่ได้พัฒนาด้วยอำนาจของสติปัญญา มองกันอีกสักนิดเมื่อว่า เมื่อสมัยก่อนโน้นการศึกษามันผูกพันกันอยู่กับการศาสนา เพราะว่านักบวชเป็นผู้จัดการศึกษามันจะมีโอกาสผูกพันกับศาสนามากและศาสนานั่นแหล่ะมันช่วยควบคุมให้ ต่อมาก็แยกออกจากกัน เซ็คเจอเรไรซ์เซชั่น (นาทีที่ 13:58) บ้า ๆ บอ ๆ อะไรก็ไม่รู้ มุ่งหมายจะแยกศาสนาออกจากการศึกษาให้เป็นอิสระ ให้ทำได้อย่างดีอย่างเร็วทันอกทันใจไม่ให้ศาสนามาเข้ามาเป็นลูกตุ่มถ่วง มันก็เลยได้แยกกันกัน แล้วมันก็มีโอกาสที่จะฉลาด ฉลาด ฉลาด โดยไม่ต้องมีอะไรควบคุมความฉลาดสิ่งที่จะควบคุมความฉลาดหรือศาสนานั้นน่ะ ถูกเตะกระเด็นออกไปแล้วจากวงการศึกษา เราก็ได้การศึกษาบ้าบอที่สุดทั้งโลก มีแต่สอนให้ฉลาด ฉลาด และไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด อีกทางหนึ่งก็อยากจะพูดว่า เรายังไม่มีการศึกษาที่สมบูรณ์ ตามความหมายของคำว่าศึกษาในภาษาไทย หรือสิกขาในภาษาบาลี หรือว่าสิกฉา (นาทีที่ 15:03)ในภาษาสันสกฤต ศึกษา ศึกษา คำนี้ มีความหมายพิเศษดีมากเฉพาะ โดยเฉพาะในทางพุทธศาสนา คำว่าศึกษาหรือสิกขามีความหมายเฉพาะ ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อใคร เอาตามตัวหนังสือเลย เอาตามตัวหนังสือว่า สะเป็นอุปสรรค เป็น Prefix สะ นะ แล้วก็สิกขะเป็นสะ-อิก-ขะ-สะ พยางค์หนึ่ง อิก-ขะพยางค์ คำ (นาทีที่ 15:28) อิกขะแปลว่าเห็น สะ-อิก-ขะ นี่มีความหมายว่า ดู คำแรก แล้วก็เห็น คำที่สอง คำที่สามรู้ คำที่สี่ปฏิบัติ ตามเหตุผลที่รู้มันถึงสี่ขั้นตอน มันต้องดู แล้วก็เห็น แล้วก็รู้ แล้วก็ปฏิบัติ แล้วก็ในตัวเอง โดยตัวเอง เพื่อตัวเอง คำว่าสะ สะ นี่มันแปลว่าเองก็ได้ แปลข้างในก็ได้ แปลว่าที่ใกล้ก็ได้ นี่เอง สิกขะแปลว่า ดู ว่าเห็น ว่ารู้ ว่าทำ จึงต้องมีการดูอย่างถูกต้อง มีการเห็นตามมา เห็นแล้วก็มีความรู้อย่างถูกต้อง รู้อย่างถูกต้องแล้วจึงมีการกระทำ to look to see to know to commit แล้วก็จำไว้ดี ๆ มันต่างกันมากมันคนละความหมาย ดูไปนี่ตอนหนึ่ง เห็นก็ได้ ไม่เห็นก็ได้นะ แต่ต้องเห็นด้วยดูแล้วก็เห็น ถ้าเห็นเห็นจริงมันก็ต้องมีความรู้ มีความรู้ มันจึงจะมีการกระทำที่ถูกต้อง รวมกันเป็นสี่ความหมาย ในตัวเอง โดยตนเอง เพื่อตนเอง แล้วจึงจะเรียกว่าการศึกษาที่ถูกต้อง ทีนี้มันไม่มีโอกาสที่จะดูด้วยตนเอง การศึกษานี่ไม่เคยทำให้ดูด้วยตนเอง รู้ตนเอง เห็นตนเอง มันสอนให้ทำไปเลย มันก็จูงคนให้เดิน บางทีคนตาบอดจูงให้ข้ามไป ไม่รู้ไปทางทิศไหน ถ้าการศึกษาที่สมบูรณ์คุณจะต้องมีอาการอย่างที่เรียกว่า ดูด้วยตนเอง โดยตัวเอง ในตัวเอง แล้วก็เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ก็มีความรู้เกิดว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ควรทำอย่างไร แล้วคุณก็ทำ ทำ กระทำ to look to see to know to commit มันก็จะสำเร็จประโยชน์
เดี๋ยวนี้เราไม่มีการศึกษาอย่างนี้ ไม่เคยดูตัวเอง ไม่เคยอะไรตัวเองไม่เคยดูหัวแม่เท้าตัวเอง จะพัฒนาอะไรกันได้ ถึงไม่มีการศึกษาที่สมบูรณ์สิ ตามความหมายสี่ ความหมายนี้ มันฉลาดในการดู แล้วมันจึงจะเห็น ถ้าเห็นจริง มันต้องรู้ ถ้ามันรู้จริง รู้ถูกต้อง มันก็มีเหตุผลในการที่จะบอกได้ว่า จะต้องเว้นอะไร จะต้องทำอะไร จะต้องรักษาอะไร ต้องส่งเสริมอะไร แล้วก็กระทำ กระทำ กระทำ ในทางธรรมะก็ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ในทางโลกก็ปฏิบัติฆราวาสธรรมทั้งปวงให้สำเร็จประโยชน์ นี่ล่ะขอให้จำไว้ว่าเรามีการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีการนำ ด้วยการดู การเห็น การรู้เสียก่อน แล้วจึงทำการปฏิบัติ แล้วการศึกษาชนิดนั้น เพียงเท่านั้นมันก็มีแต่ว่า ให้ฉลาด ให้ฉลาด ให้ฉลาด ให้ฉลาด แล้วก็ไม่ควบคุมความฉลาด มาใช้ความฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อเห็นแก่ตัว ข้าศึกศัตรูอุปสรรคอันเลวร้ายก็คือความเห็นแก่ตัว โลกนี้มีศัตรูแล้วร้ายที่สุดมหาศาลครอบงำไปทั้งจักวาล ต่อให้บนสวรรค์ด้วย มันก็คือความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแล้วมันไม่อยากจะทำอะไรนะคุณลองคิดดูเถอะ ในหมู่ชนสังคมใดก็ตาม คนเห็นแก่ตัวมันไม่อยากจะทำอะไร มันคอยแต่เรียกร้องสิทธิ มันไม่ทำหน้าที่ ไม่ทำอะไรมันจะเรียกร้องประโยชน์นั้น คนเห็นแก่ตัวมันไม่ทำอะไร คนเห็นแก่ตัวไม่สามัคคีนะ เรียกหาสามัคคีตายก็ไม่ได้หรอก ที่เราจะเรียกร้องสามัคคีให้ช่วยกันรักชาตินี่มันเป็นไปไม่ได้ คนเห็นแก่ตัวมันรักตัวมันจะมารักชาติ อะไรมันไม่สามัคคีกะใคร คนเห็นแก่ตัวไม่สามัคคี คนเห็นแก่ตัวมันเอาเปรียบ มันเอาเปรียบ มันเอาเปรียบทุกอย่างทุกประการ ตามแบบของคนเห็นแก่ตัว นี่มันก็ขุ่นมัวปั่นป่วนในจิตใจของมันเองแหล่ะ มันก็เสื่อมสุขภาพทางกาย ทางอนามัย ทางจิต นี่มันก็ในที่สุดมันก็ไปจบลงด้วยเป็นบ้า ฆ่าตัวตาย เป็นบ้าในโรงพยาบาลบ้าคอยดูเถอะไปทดสอบดูเถอะ มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว มันหลงทาง ความเห็นแก่ตัวมัน มันไม่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง มันหลงทาง มันก็ได้เป็นบ้า แล้วมันก็ได้ฆ่าตัวตายในที่สุด มิหนำมันจะซ้ำมันจะฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าใครก็ได้คนเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นศัตรูสำคัญอย่างนี้ ที่จริงมันจะทำอะไร ทำอะไรมันก็เพื่อ เพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวนี้แหล่ะ แต่มันมองไม่เห็น จะพัฒนาก็สร้างความเจริญเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่จะเอาความเห็นแก่ตัวมาเป็นผู้พัฒนานี่มันก็เลยเกิดบ้าไปซะอีก นอกจากศึกษาเล่าเรียนให้ความรู้ ฉลาด สามารถ แล้วก็จะช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ให้หมดสิ้นไป ขอให้คุณดู ดูอย่างแท้จริงว่าปัญหาทั้งหลาย แม้แต่ปัญหาขี้ผง ฝุ่นละอองไปถึงปัญหาใหญ่ ปัญหาของโลกทั้งโลกทั้งจักวาล มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหล่ะ คนเห็นแก่ตัวแล้วมันก็สร้างปัญหายุ่งยากให้คนอื่นลำบาก มันสร้างมลภาวะมันทำอะไรทุกอย่างให้คนเขาลำบาก มันรวยลัด ไมทำการทำงานคอยจี้ คอยปล้น คอยเอาเปรียบ คอยขูดรีด มันศึกษาได้ฉลาดสามารถมันก็ขูดรีดมหาศาลอย่างที่พวกหนึ่งกำลังกอบโกยประโยชน์ในโลกโดยวิธีการอันฉลาดลึกซึ้ง มันจอมเห็นแก่ตัว ปรากฏผลว่าเดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัว ฝ่ายนายทุนมันก็เห็นแก่ตัว ฝ่ายชนกรรมมาชีพมันก็เห็นแก่ตัว เอา,ฝ่ายลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว ฝ่ายนายจ้างก็เห็นแก่ตัว กระทั่งว่าประชาชนทุกคนมันก็เห็นแก่ตัวมันเลือกผู้แทนที่เห็นแก่ตัว มันได้สภาที่เห็นแก่ตัวแล้วก็ต้องไปต่อสู้กับรัฐบาลที่ต้องเห็นแก่ตัวด้วยความจำเป็นเหมือนกันนั่นแหละ ทั้งฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลเห็นแก่ตัวกันแล้ว บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ทั้งโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ มันจึงเป็นโลกของความเห็นแก่ตัว ทุกคน ทุกคน ทุกคน ยากจน มั่งมี อำนาจวาสนาล้วนแต่เห็นแก่ตัวโลกมันจึงเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้การศึกษาของเรามันบ้าบออย่างที่ว่าแล้ว เห็น ฉลาด ฉลาด ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัวไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด ขอให้ไปเลือกการศึกษาให้ถูกต้องสำหรับเราเป็นการศึกษาที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว มันต้องเป็นการศึกษาที่กำจัดความเห็นแก่ตัว เป็นการศึกษาที่ดูอย่างจริงจัง เห็นอย่างถูกต้อง แล้วก็รู้อย่างรอบคอบ แล้วก็ปฏิบัติชนิดที่มันมีเหตุผล นั้นแหล่ะ แล้วมันก็แก้ปัญหาได้ นี่ล่ะการศึกษา
ทีนี้ก็จะพูดถึงคำถัดไปว่า บริหาร บริหาร ตัวหนังสือก็นำไปได้หมด นำมาได้หมด สิ่งใดไม่ต้องการนำออกไปหมด สิ่งใดต้องการนำเข้ามาได้หมด นี่เรียกว่าบริหารตามตัวหนังสือมันว่าอย่างนั้น ทำได้ไม่ได้ก็แล้ว อะไรควรนำออกไป อะไรควรนำเข้ามา จะต้องรู้ให้ดี รู้ให้ถูกต้องและทำให้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้ ในโลกมันมีอะไรที่ต้องบริหารบ้าง วิกฤตการณ์เลวร้ายที่มันครอบงำโลกนี่ การบริหารการต้องนำออกไป มีความเจริญที่ถูกต้อง ความรัก ความช่วยกันจัดโลกให้มันงดงาม ช่วยกันทำโลกให้มันงดงามนั้นแหล่ะคือสิ่งที่จะต้องนำเข้ามา เดี๋ยวนี้วิกฤตการณ์ทั้งหลายในโลกกำลังมากเหลือเกิน การบริหารก็จะเป็นการกำจัดวิกฤตการณ์ซะมากกว่า ที่จะนำสิ่งที่น่ารักน่าพอใจ น่าปรารถนาเข้ามาได้ โลกกำลังมีปัญหามีวิกฤตการณ์ชนิดที่เป็นปัญหา การบริหารนี้มันก็จะต้องเอาไอ้เลวร้ายออกไป เอาที่ควรประสงค์เข้ามา เสร็จแล้วก็ประสบปัญหาอย่างเดียวกันอีกแหละ ปัญหาอย่างเดียวกันก็คือการศึกษามัน บ้า ๆ บอ ๆ มันก็บริหารไม่ไหว บริหารยาก พัฒนาไม่ได้ก็คือบริหารไม่ได้
ที่นี้คำว่าศาสตร์ ก็มีพวกคุณมีคำพุดว่าบริหารศาสตร์ มันก็มาพิจารณาถึงคำว่าศาสตร์กันซะบ้าง ศาสตระ ศาสตระ นี่ คำ ๆ นี้มันก็มีความหมาย เป็นสองชั้นอย่างเดียวกันนี้แหล่ะ คำว่าศาสตร์ ศาสตร์ ภาษาชาวบ้านก็อย่าง ภาษาธรรมะก็อย่าง เฉพาะตัวหนังสือ ตัวหนังสือกันก่อนนะว่า ศาสตระ นี่ แปลว่าของมีคมที่จะตัดจะเฉือนออกไปนี่แหล่ะ ศาสตระ ของมีคม คำว่าอาวุธนั้นแปลว่าใช้ในที่ไกล คำว่าศาสตร์ นี่ ใช้กับมือ ใช้กับมือนี่เรียกว่าศาสตร์ ถ้าอาวุธมันก็ใช้ในที่ไกลใช้มาจากที่ไกลเอามารวมกันก็ได้อาวุธมันก็เป็นศาสตร์ได้เหมือนกันเพราะว่ามันตัดปัญหาได้ แต่ตัวหนังสือแท้ ๆ ของคำว่าศาสตร์ มันแปลว่าตัดลงไป ตัดลงไป ด้วยของที่มีคมที่เรียกว่าศาสตร์ หรือศาสตรา คำนี้แปลว่าของมีคม แต่เดี๋ยวนี้เรามาใช้ในความหมายที่สองคือวิชาความรู้ และก็ไม่ทิ้งความหมายเดิมเพราะคำว่าศาสตร์มันแปลว่าของมีคมเอามาใช้แก้ปัญหาได้ วิชชา วิชาที่ถูกต้องถูกต้องแท้จริงก็มีคมมันก็ตัดปัญหาได้แก้ปัญหาได้ เรียกวิชาความรู้ว่าศาสตร์ ก็ถูกแล้วแต่ขอให้รู้ไว้ว่าคำว่าศาสตร์มันแปลว่าของมีคมที่มันจะตัดอะไรได้ ก็มีของมีคมอย่างธรรมดามีดพร้าเป็นต้น แล้วก็มันเรียกว่าศาสตร์แบบภาษา คนถ้าว่าศาสตร์ภาษาธรรมมันก็ต้องตัดปัญหาทางจิตใจ แล้วจึงมีคำว่าธรรมะศาสตร์ ธรรมะศาสตรา ธรรมะเป็นศาสตราเอาธรรมะมาเป็นศาสตรา ก็ตัดปัญหาอันละเอียดลึกซึ้งในทางจิตใจ เพราะฉะนั้นคำว่าศาสตร์ คำว่าบริหารศาสตร์นี้มันจะเป็นศาสตร์ทางธรรม ทางจิตใจเสียมากกว่าไม่ต้องพูดถึงมีดพร้า คำว่าศาสตร์ ตัดปัญหาตัดปัญหา และบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมมีคำว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ มีคำว่าพุทธศาสตร์ ตัดปัญหาอย่างพุทธ ไสยศาสตร์ตัดปัญหาอย่างไสย พุทธแปลว่าคนตื่น คนตื่น คนตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่ นี่ก็มันตื่นจากหลับก็แล้วกันพุทธศาสตร์ ศาสตร์สำหรับคนตื่น ไสยแปลว่าหลับ ไสยศาสตร์แปลว่าศาสตร์แห่งของคนหลับ ศาสตราของคนตื่นเรียกว่าพุทธศาสตร์ ศาสตราของคนหลับเรียกว่าไสยศาสตร์ ยังไม่รู้อะไรตามที่เป็นจริง ยังหลับในทางจิต ทางวิญญาณ ปัญญาอ่อนทั้งหลายล่ะ เรียกว่าหลับอยู่ในทางวิญญาณ มันเอาไปไหนไม่ได้ มันต้องมีอยู่ในโลก ปัญญาอ่อนทั้งหลายต้องมีอยู่ในโลก มันต้องมีศาสตร์สำหรับพวกนี้เรียกว่าไสยศาสตร์ แต่สำหรับผู้เฉลียวฉลาดเรียกว่าพุทธศาสตร์ แต่จะเป็นพุทธศาสตร์หรือไสยศาสตร์ก็ตามต้องตัดปัญหาทั้งนั้นแหล่ะ ปัญญาอ่อนก็ตัดไปอย่างปัญญาอ่อนตามแบบไสยศาสตร์ แต่นี้เราหมายถึงพุทธศาสตร์ที่จะต้องตัดคนได้ โดยแท้จริง
พุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์ต้องมีวิธี มีเทคนิคมีวิธีการ มีเทคนิคจึงจะทำหน้าที่ได้ ส่วนไสยศาสตร์นั้นเขามี พิธี พิธี จำกันไว้ มันบ้าบออะไรกันไม่รู้ คำนี้มันคำเดียวกันแท้ บาลีมีคำเดียวน่ะ วีถิ วีถิ วิธี จนมาเปลี่ยนเป็น พิธีพิธีเลยเป็นศาสตร์สำหรับคนปัญญาอ่อน วิธีก็คงใช้สำหรับคนปัญญาแก่กล้า เป็นพุทธศาสตร์ไปตามเดิม พิธีเป็นไสยศาสตร์ วิธีเป็นพุทธศาสตร์ ฉะนั้นคำว่าศาสตร์ของท่านทั้งหลายคือ พัฒนบริหารศาสตร์ หรือศาสตร์อะไรก็ตามมันต้องเป็นวิธี มันต้องเป็นเทคนิคที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา มันไม่ใช่ พิธีรีตอง ซึ่งไกลออกไปนั่นเรียกว่าไสยศาสตร์ ไม่เอาล่ะ ศาสตร์คำนี้ต้องใช้กับสติปัญญา มีสติปัญญาเป็นศาสตรา มีปัญญาเป็นศาสตรา มีปัญญาเป็นอาวุธ เรียกว่ามีธรรมะเป็นศาสตรา คำว่าศาสตร์ของเราต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นพุทธศาสตร์มันใช้วิธี ไม่ต้องมีเทคนิคเฉพาะ ถ้าเป็นไสยศาสตร์มันก็มีพิธีรีตองทำตาม ๆ กันมา โดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรก็ได้นอกจากความเชื่อ แล้วก็ตัดปัญหาได้ระยะ ระดับ หนึ่งเท่านั้น คือของคนปัญญาอ่อน นี่อาจจะตัดปัญหาชั้นสูงของคนปัญญาแก่กล้าเลย
เอาล่ะจะพูดถึงคำว่าพุทธวิธีกันบ้าง เมื่อพูดถึงคำว่าพุทธศาสตร์ ก็จะใช้คำว่าพุทธวิธีกันบ้าง วิธีที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ก็ได้ หรือว่าเป็นวิธีของคนปัญญาแก่กล้าหรือของชาวพุทธทั้งหลายก็ได้ จะเรียกว่าศาสตร์พุทธศาสตร์ก็ได้ พุทธวิธีก็ได้มันก็ในความหมายอย่างเดียวกัน เครื่องมือของชาวพุทธในการที่จะแก้ปัญหามันก็คือสิ่งที่ตรงกันข้ามจากสิ่งที่มันเป็นตัวปัญหา ฉะนั้นพุทธวิธีของเราจึงมีอยู่ที่ ทำความไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นตัวร้าย เป็นปัญหาเป็นศัตรูสิ่งที่จะกำจัดก็ต้องตรงกันข้าม คือไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็เกิดสิ่งใหม่คือเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งมีแต่ในหมู่ชาวพุทธ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เขามีแต่เพื่อนกินเหล้า เพื่อนเล่นการพนัน เพื่อนก็ตามใจปาก แต่เรามี เพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความรัก มีความผูกพันช่วยกันแก้ปัญหา คำว่าเพื่อน เพื่อนนี้สำคัญมาก ความหมายกว้างมากเสียเวลาพูดกันสักหน่อยก็ได้ สำหรับทางภาษา ทางภาษา ความหมายหรือคุณค่าของคำว่าเพื่อน ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมของภาษาอินเดีย ในในพุทธศาสนาก็มีด้วยในคำสอนทางพุทธศาสนาในคัมภีร์ชาดกนี้ก็มี เล่าเรื่องให้จำง่ายหน่อยว่า ลูกเศรษฐีสี่คน ลูกเศรษฐีสี่คนพ่อแม่เดียวกันนี่ มันมีสี่คน มันต่างกันมาก มันออกไปเที่ยวริมป่า ริมเมือง น่ะ คือริมป่า ไปพบนายพราน นายพรานล่าเนื้อได้เนื้อมาเต็มเกวียนเลยกลับเข้ามาในเมืองไอ้ลูกเศรษฐีเหล่านี้มันก็ท้า ท้าพนันกันว่า ใครจะเก่งกว่าใคร ในการใช้โวหารใช้ใน นิรุกติ ขอเนื้อจากนายพรานนี่ ใครจะได้มากกว่าใคร เขาตกลงกันแล้วก็เอา ลูกเศรษฐีคนที่แรกคนที่หนึ่ง มันเข้าไปที่นายพรานและบอกว่าเฮ้ยไอ้พราน ให้เนื้อกูบ้าง ไม่ให้กูเอาตาย ว่าอย่างนี้ ใช้คำว่าไอ้พรานนายพรานเขาก็ใจดีสับเนื้อ เนื้อที่เป็นพังผืด เนื้อที่เป็นพังผืดทั้งหลายให้กับคน ๆ นี้ คนที่สองเขาก็ใช้คำว่าพี่ พี่พรานขอเนื้อบ้าง นายพรานเขาก็ตัดเนื้อ เนื้อล่ำ ๆ เนื้อดี ๆ เนื้อแท้ ๆ นะให้ ไอ้คนที่สามก็ไปบอกพ่อพรานขอเนื้อบ้าง นายพรานมันให้เนื้อของหัวใจ หัวใจของเนื้อ หัวใจเนื้อ เพราะคำว่าพ่อนี่เป็นหัวใจ เป็นเรื่องตัดใจ ที่นี้คนที่สี่เข้าไปว่าเพื่อนเอ๋ยเพื่อนพรานขอเนื้อบ้าง ใช้คำว่าเพื่อน มันให้หมดเลย ให้หมดเกวียนเลย นี่แสดงว่าในภาษาศาสตร์นี้มันก็มีความหมาย ตั้งแต่โน้นเขาจึงนิยมคำว่าเพื่อน เพื่อน นี่มาก ดูโลกนิติ อะไรนิติของพวกอินเดียจะ สรรเสิญ คำว่าเพื่อนหรือ มิตรนี่มากที่สุดเช่นใน ฮิโตประเทศเป็นต้น คำว่าเพื่อนนี่ มีความหมายตรงกลางพอดีไม่มาก ไม่น้อย ไม่ตื้น ไม่ลึก ไม่ขม ไม่หวาน ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย จึงยึดถือเอาอันนี้เป็นหลัก เมตไตรย แปลว่าความเป็นเพื่อนความเป็นมิตร ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย ไม่มีอะไรมีแต่ความเป็นมิตร เป็นมิตรจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เป็นมิตรดีต่อกันและกันหมด ลงจากเรือนแล้วไม่รู้ว่าใครเป็นใครมันดีเหมือนกันไปหมด พอกลับมาบ้านขึ้นเรือน แล้ว อ้าว, นี่ภรรยาของกู สามีของกู บุตรของกูไม่รู้กันถึงมาอยู่ที่บ้าน ออกไปกลางถนนมันดีเหมือนกันหมดเป็นมิตรเหมือนกันหมดนั้นแหล่ะยอดของความเป็นมิตรเรียกว่าศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย
เดี๋ยวนี้ในพุทธศาสนาเราใช้คำว่าเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย สูงสุด ไม่มีใครดีกว่านี้ เดี๋ยวนี้ใครเป็นเพื่อนอย่างนี้กันบ้าง นายทุนก็ดี คอมมิวนิสต์ก็ดีมีความเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันรึเปล่า ลูกจ้างกับนายจ้างมันมีความเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันหรือเปล่า หรือมันเป็นคู่ศัตรูที่จะเอาเปรียบต่อกันและกันให้มากที่สุด นายจ้างก็จะเอาเปรียบลูกจ้างให้มากที่สุด ลูกจ้างก็จะเอาเปรียบนายจ้างให้มากที่สุด มันจึงจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร มีพุทธวิธีมันสร้างขึ้นมาพิเศษ ว่าแก้ปัญหาด้วยความเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าอย่างนี้น่ะมันยิ่งกว่าพัฒนาไปเสียแล้ว สร้างความเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ เป็นพุทธวิธี คือมันตัดต้นเหตุ ตัดต้นเหตุของไอ้ความยุ่งยากลำบากนี่ คือพัฒนา คุณจะเชื่อหรือจะชอบหรือไม่ก็ตามใจ อยากจะบอกว่า การพัฒนาที่แท้จริงนั้น คือการตัดต้นเหตุแห่งปัญหา เมื่อโดนทุ่มเทกำลังทั้งหมดลงไปที่ต้นเหตุปัญหา แล้วตัดต้นเหตุเหล่านั้นเสียหมด นั่น แหล่ะ คือการพัฒนาอย่างพุทธวิธี อย่างพุทธศาสตร์ อย่างธรรมะศาสตร์ ตัดต้นเหตุแห่งปัญหา คือพัฒนา แล้วก็จะต้องใช้เครื่องมืออย่างที่กล่าวมาแล้วอย่างถูกต้อง ทีมีการศึกษาที่มันถูกต้อง ศึกษาสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่ศึกษาบ้า ๆ บอ ๆ ศึกษาให้ฉลาดแล้วมีอะไรควบคุมความฉลาดมันจึงจะตัดต้นเหตุแห่งปัญหา มันต้องพอดีด้วย หัวใจธรรมะ หัวใจพระพุทธศาสนา ก็คือความพอดี พอดี ขาดไม่ได้เกินไม่ได้ เคร่งก็ไม่ได้ หย่อนก็ไม่ได้ ไอ้พวกบ้า ๆ มันอวดเคร่งแล้วมันว่าปฏิบัติดีที่สุดแต่ในพระพุทธศาสนาไม่ต้องการความเคร่ง ไม่ต้องการความเครียด ต้องการความถูกต้อง คือ พอดี พอดี อย่ามาอวดเคร่ง แล้วก็อย่ามาทำให้หย่อนแล้วขอให้ทำ พอดี พอดี พอดี ที่เรียกว่า มัชฌิมา ไม่ขาดไม่เกิน ไม่ย่อไม่หย่อน ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ซุกไม่อยาก มันก็พอดี พอดี ก็มีการใช้ธรรมะสำหรับแก้ปัญหาทั้งหลาย ไม่ต้องพูดแล้วคงจะเรียนมาพอแล้ว มันคงเรียนกันมาตั้งแต่ประถม มัธยม เพราะว่ามีอิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มีฆราวาสธรรม ๔ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ มี สัปปุริสธรรม ๗ เป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้อัตราที่พอดี รู้บริษัท รู้บุคคล เหล่านี้คงจะมีอยู่ในสมุดจดแล้วแต่ก็คงจะปิดเอาไว้ในสมุดไม่ได้เอาใช้ ถ้ามาใช้ก็คงจะแก้ปัญหาได้ นี่ก็มีธรรมะเป็นพุทธวิธี อีกข้อหนึ่งในธรรมะสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสและได้ทรงกระทำให้เป็น ทิฏฐานุคติ คือเป็นตัวอย่างที่ดีคือเราจะไม่มีการขัดแย้งขอให้จำไว้ว่า คำว่าไม่ทำการขัดแย้งเป็นหลักธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านเคยใช้ และก็ท่านหวังว่าราทั้งหลายจะปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในประเทศอินเดียสมัยนั้นในหมู่ชน ที่เขามีความรู้อย่างอื่น มีความคิด อย่างอื่น มีความเชื่ออย่างอื่น ที่มันตรงกันข้ามกับพุทธศาสนา เช่นเขาว่านั้นมันมีนรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า พระพุทธเจ้าบอกว่านรกสวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ มัน มัน มันไม่ตรงกันขนาดนี้ อะไร ๆ ที่มันไม่ตรงกันอย่างนี้มีมาก แต่พระพุทธเจ้าจะไม่มีคำพูดที่เป็นการขัดแย้ง พระพุทธเจ้าจะไม่มีคำพูดว่า ของแกผิด ของฉันถูก ไม่มีอย่างนี้ ท่านก็พูดไปตามที่ท่านประสงค์จะพูด ไม่ไป ไม่ให้คำขัดแย้งเกิดขึ้น ว่าของเขาผิด ของฉันถูก มันจึงสั่งสอนได้โดยปลอดภัยไม่ถูกอันตรายอย่างศาสดาบางองค์ แล้วท่านตรัสว่า อย่าทำความขัดแย้ง ตถาคต ไม่กล่าวคำขัดแย้งกับใคร ๆ ในโลก ทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้ง สมณะ พราหมณ์คือทั้งหมดไม่กล่าวคำขัดแย้ง เมื่อมีอะไรก็ว่าไป ว่าไป ว่าไป เขาเห็นด้วยเค้าก็ปฏิบัติตาม เราแสดงให้เห็นว่าดีกว่าเค้าก็ปฏิบัติตาม อย่าไปพูดว่าของเขาผิด ของฉันถูก คำขัดแย้งนี่เป็นเรียกว่าเป็น อุปัทวะ เป็นบาลีเรียกว่า อุปัทวะ เป็นภาษาไทยว่า อุบาทว์ อุบาทว์ อุปัทวะ กับ อุบาทว์ นั้นมันคำเดียวกัน มีการขัดแย้งที่ไหน มีอุบาทว์ที่นั้น เพราะว่าการขัดแย้งเป็นจุดตั้งต้นของการกระทบกัน ฆ่ากัน อะไรกัน มันเป็นอุบาทว์ จะเป็นทางวัตถุ ทางจิตใจ มันอุบาทว์ไปหมดแหล่ะถ้ามันขัดแย้ง ถ้ามันขัดแย้งเข้ากันไม่ได้ แม้แต่ทางวัตถุนี่ ถ้ามันขัดแย้งกันมันก็เข้ากันไม่ได้ บุคคลก็เหมือนกัน ขัดแย้งกันก็เข้ากันไม่ได้ สติปัญญาขัดแย้งกันเข้ากันไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าพูดออกมา ท่านอย่าใช้คำขัดแย้งในการพัฒนา ช่วยคิดให้ดี ๆ ว่าไม่มีการขัดแย้ง มีแต่การทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจ พิสูจน์ให้เห็นว่ามันดีกว่า ถูกต้องกว่า สำเร็จประโยชน์กว่า แล้วคนเขาก็ทำตามเองนี่เรียกว่า พุทธวิธี พุทธวิธี
ทีนี้จะดูลักษณะของวิธี วิธี รูปแบบของวิธี วิธี แบ่งได้เป็นสามอย่าง ต่อสู้ ต่อสู้ หมายความว่ามันต้องต่อสู้ด้วยธรรมะ ด้วย ด้วยความถูกต้อง ต่อสู้อย่างอหิงสา Non-violent คำนี่ล่ะดีที่สุด ไม่เบียดเบียนนี่ล่ะ คือการต่อสู้ที่ดี เป็นการต่อสู้ที่ดี ทำความเข้าใจกันก็สามารถจะเลิกล้างในสิ่งต่าง ๆ ที่มันจะเลิกล้าง ของเก่าที่ควรละ มันขวางทางอยู่ นั้นก็ต้องต่อสู้ โดยวิธีที่ไม่เกิดการฆ่ากัน อย่างเมืองไทยเรานี้ก็มีปัญหามากเหมือนในส่วนลึก เพราะว่าลัทธิฮินดู เขามาสอนไว้ก่อนอย่างมีตัวตน ลัทธิฮินดูมาก่อนพุทธ มาสู่ดินแดนสุวรรณภูมินี่มาก่อนพุทธสอนเรื่องมีตัวตนไว้อย่างเต็มที่ พุทธมาทีหลังก็ต้องมาสอนใหม่เรื่องไม่ใช่ตัวตน หรือไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตนที่ แท้จริง มันก็มีการต่อสู้นี่ มันไม่สำเร็จ มันเป็นแบบนี้ ประชาชนยังมีตัวตน การต่อสู้มันเป็นสิ่งที่ต้องมี เมื่อต่อสู้แล้วมันจะต้องมีการสร้างสรรค์ หลังจากการต่อสู้มันยังมีเหลืออยู่ สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ เพิ่มเติม ไม่เกิดปัญหาขึ้นมาอีกให้มันก้าวหน้าไปด้วยดี มิฉะนั้นมันจะไม่รู้จักจบ ปัญหาเก่าไม่ทันสิ้นไปปัญหาใหม่มันก็มาแล้วมันก็แย่มาก ต่อสู้เสร็จแล้วต้องสร้างสรรค์ สร้างสรรค์เสร็จแล้วต้องรักษา ต้องป้องกัน ต้องคุ้มครอง ต้องรักษา กิจการใด ๆ ที่จะเป็นการพัฒนา มันจะต้องประสบกับการต่อสู้ แล้วประสบกับการสร้างสรรค์ และประสบกับการรักษา คุ้มครองป้องกัน มันจะต้องไม่งมงาย ไม่งมงาย รักษาอย่างงมงายเป็น เป็นคำหัวเราะเยาะ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม Conservative เป็นพวกอย่างนี้ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน Orthodox มันก็เป็นพวกที่น่าหัวเราะเยาะ มันก็ถูกต้องมีเหตุผลแสดงอยู่เสมอไปในการที่จะรักษาสิ่งที่ได้สร้างขึ้นมาแล้วอย่างถูกต้อง ฉะนั้นเราจะต้องมีวิธีครบถ้วนในการต่อสู้ในการสร้างสรรค์ ในการรักษา จึงจะสำเร็จในการพัฒนา พัฒนา
ที่นี้จะดูกันต่อไปบ้างถึงคำว่า ทิศทาง ทิศทาง มันผูกพันกันอยู่ มันดึงกันมันไม่รู้จักจบ มันมีทิศทางคนละอย่าง มันไม่ค่อยจะประสานกัน ยกตัวอย่างเช่นว่า งานอย่างหนึ่ง งานพัฒนาอย่างหนึ่งมันเกี่ยวกับกระทรวงหลายกระทรวง กระทรวงนี้ก็จะรักษาเครดิตของตน กระทรวงนั้นก็จะรักษาเครดิตของตน กระทรวงนู้นก็จะรักษาเครดิตของตน มันคอยจะยื้อแย่งกัน ยื้อแย่งกันคนละทิศทางนี้เราดูอย่าให้มันขัดขวางอย่าให้มันมีอุปสรรค อย่าให้มันมีการยื้อแย่งกัน อุปมาในภาษาบาลีมีอย่างน่าหัวเราะเยาะ จับสัตว์ห้าตัวมาผูกกัน นกบ้าง งูบ้าง ปลาบ้าง เต่าบ้าง เนื้อบ้าง เอามาผูกเชือกติดกันแล้วมันก็ดึงกันสิ นกก็จะขึ้นฟ้า ปลาก็จะลงน้ำ งูก็จะเข้าโพรง อะไรก็จะเข้าป่า อะไรก็จะไปตามทิศทางของตน นี่ก็ต้องระวังไอ้คำว่า ทิศทาง ทิศทาง ในการพัฒนาถ้าว่ามันยื้อแย่งกันโดยทิศทางอย่างนี้แล้วจะเอาความสำเร็จมาแต่ไหน มันไม่ได้มีทางเดียวซะด้วย มันมีหลายทางที่จะพัฒนาแต่ว่ามันร่วมมือกันได้ อาตมากำลังหวังอย่างยิ่ง หวังอย่างยิ่ง ที่จะขอทำความเข้าใจระหว่างศาสนาต่าง ๆ มาร่วมมือกันแก้ปัญหาของโลกคือความเห็นแก่ตัว เราไม่อาจจะรวมศาสนาหรอก มันทำไม่ได้หรอก ไอ้รวมศาสนามันทำไม่ได้ แต่ว่าขอความร่วมมือมาช่วยกันแก้ปัญหาอย่างเดียวกันก็ได้ คือช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัว นี่เรามาจากทิศทางต่างกันมาสู่จุดหมายอย่างเดียวกันกำจัดความเห็นแก่ตัว นี่มาใช้ทิศทางให้ถูกต้องแก้ปัญหาของทิศทางให้ถูกต้อง
ที่นี่ก็จะมาถึงคำว่าเหตุผลเหตุผลในการพัฒนา เหตุผลนี่ก็สำคัญเหมือนกันมันมีได้หลายทิศทางมันก็เถียงกัน ยื้อแย่งกันด้วยต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล มันก็ได้ทะเลาะกันนะสิ ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับตาบอดคลำช้างคนตาบอดหลายคนคลำช้างในส่วนต่าง ๆ กัน แล้วก็มาเถียงกันว่าช้างมีรูปร่างอย่างนั้น ช้างมีรูปร่างอย่างนี้ ระวังเหตุผลมันจะหลอกให้ทะเลาะกัน เหตุผลในทางตำรา ศึกษาจากตำรา เอาตามสถิติมันก็เป็นเหตุผลทางวิชา ค้นใหม่มันก็มีเหตุผล การคำนวณมันก็มีเหตุผล เดี๋ยวนี้ไอ้คอมพิวเตอร์ยักษ์ตาบอดมันก็มีเหตุผล มารู้จักเหตุผลให้มันดี ๆ ว่ามันควรจะเอากันอย่างไร มันควรจะเอากันอย่างไร แต่พุทธศาสนาจะเอาเหตุผลที่มันแสดงอยู่ที่ที่มันเอง มันจะแสดงว่าอยู่ว่าอันอย่างนี้อะไรจะเกิดขึ้น ทำอย่างนี้อะไรจะเกิดขึ้น ทำอย่างนี้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ต้องเชื่อ ให้มันงมงาย นี่เรียกว่าหลัก กาลามสูตร ช่วยศึกษาเถอะ วิเศษที่สุดเลยในการที่จะแก้ปัญหาด้วยการใช้เหตุผลเจ็ดข้อ ข้อที่หนึ่ง อย่ารับเอามาเชื่อ มาปฏิบัติ มายึดถือ เพราะเหตุว่าฟังตาม ๆ กันมา คือศึกษาฟังตาม ๆ กันมานี่ก็อย่าเอาเลยมันผิด ข้อที่สองมันปฏิบัติตาม ๆ กันมา ทำตาม ๆ กันมา มันเป็น เถรส่องบาตรก็ได้ มันไม่ถูก แล้วข้อที่สามมันลือกระฉ่อนกันอยู่ทั้งโลกว่านี้ถูกต้อง ว่านี้ดีก็อย่าไปเอากับมันเลย มันกระฉ่อนลือกระฉ่อนอยู่ แล้วก็มีที่อ้างในปิฎก ปิฎกคือตำราตำราคือปิฎก แม้ปิฎกในพุทธศาสนา ก็ชื่อว่าตำราอย่าอ้างด้วยเหตุมันมี อ้างในปิฎก อย่าไปเอากับมันเลย เพราะว่าปิฎกมันเป็นสังขารมันเขียนได้ มันเลิกได้ มันแก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ ไม่เอา ตามปิฎกก็ไม่เอา ที่ไม่เอาตาม ตรรกะ บาลีเรียกว่าตักกะ ตรงกับคำว่า Logic ในวิชาการปัจจุบัน มันก็ผิดได้ แม้เหตุผลทางตรรกะ แสดงออกมาอย่างนี้มันก็ยังผิดได้โดยไม่ทันรู้ ไม่เอาตาม นัยยะ นัยยะ ยายะ คือ Philosophy Philosophy บ้าบ้าบอบอนี่ก็ไม่เอา สร้างสมมติฐานขึ้นมาคำนวณนี่กูไม่เอากับมึง แล้วก็การตรึกตามอาการ ก็คือ Commonsense Commonsense Commonsense เกิดขึ้นก็ไม่เอากับมัน มันทนได้ต่อการพิสูจน์ของกู ก็อย่าเอาเพื่อกูมันก็ผิดได้ ทนต่อเหตุผลของกูมันก็ยังผิดได้ ข้อที่แปด ข้อที่เก้า ก็ว่าอย่าเชื่อเพราะเหตุว่าผู้พูดมันน่าเชื่อมันเป็นศาสตราจารย์ปริญญามามันเป็นหางอย่างนี้ ผู้พูดมันน่าเชื่อก็พยายามไปเอากับมัน ข้อสุดท้ายอย่ายึดถือเอาเชื่อเข้าว่า ผู้พูดนี้เป็นครูของข้าพเจ้า เป็นทั้งศาสดาของข้าพเจ้านี่ก็ไม่เอา พระพุทธเจ้าให้เสรีภาพขนาดนี้ไปหาได้ที่ไหน ที่ไหนในโลกนี้มันก็หาเสรีภาพได้ว่าไม่ต้องเชื่อ ผู้พูดที่ว่าเป็นพระศาสดาของตนเอง พระศาสดายอมให้ว่าไม่ต้องเชื่อแม้แต่คำพูดของพระศาสดาเองเหตุผลมันอยู่ที่มันแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวของมันแล้ว เหตุผลที่นั่นน่ะ ที่มันแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวของมัน โลภะ แกก็เห็นกับมันอยู่แล้วไปเอากับมันสิ โทสะไปเอากับมันสิมันจะเกิดอะไรขึ้นมา โมหะ ถ้าไม่มี โลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ อะไรจะเกิดขึ้น เหล่านี้ล้วนแต่มันมีเหตุผลแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัว แม้แต่เรื่องทางวัตถุง่าย ๆ ที่จะซื้อจากร้าน มันต้องมีเหตุผลแสดงอยู่ที่ตัวของวัตถุนั้นว่าจะมาใช้ประโยชน์ได้ เราจึงจะเอา เราจึงจะซื้อ เพราะฉะนั้นเหตุผลที่สำคัญที่สุดประเสริฐที่สุดก็คือ ความจริงที่มันแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัว ไม่ต้องโฆษณาชวนเชื้อหลอกลวงอย่างวิธีการในโลกปัจจุบัน แต่ก็ลำบากนะที่ว่าอยู่ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อ เรามีความจริงที่จะใช้เหตุผลแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวของมันเอง มันเห็นชัดว่าถ้าเราทำลงไปอย่างนี้ มันเกิดผลอย่างนี้ เว้นแต่ไม่ทำมันจะเกิดผลอย่างนี้ อะไร ๆ ก็ให้มันเป็นความจริงในตัวมันเอง น้ำตาลหวาน เกลือเค็มก็กินเข้าไปสิเดี๋ยวก็รู้ ไม่ต้องเชื่อคนอื่นบอก เหตุผล ๆ ที่ดีที่สุดก็คือใช้วิธีของ กาลามสูตร มันสอนโดยตัวมันเองชนิดที่ครูสอนไม่ได้คนด้วยกันสอนไม่ได้แต่ตัวมันเองแสดงได้สอนได้มีเหตุผล
ที่นี้เราก็จะมีจะพิจารณากันถึงถึงคำว่าตัวอย่าง ตัวอย่าง ตัวอย่างนี้ก็มีประโยชน์ตัวอย่างที่ถูกต้อง ตัวอย่างที่ดี มันก็มีประโยชน์ เราจะต้องมีตัวอย่างที่มีเหตุผล ก็เหตุผลที่แสดงอยู่นั้นแหล่ะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามันได้เคยถูกต้องมาแล้วหรือมันเป็นของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้เอง เราเรียนประวัติศาสตร์กันอย่างเป็นวิชาสำคัญที่สุด ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์ในอดีตก็จะหายเพราะตัวอย่าง แต่เราเรียนกันผิด ๆ เรียนกันด้วยกิเลสตัณหา มันไปได้ตัวอย่างแห่งความเห็นแก่ตัว ได้ตัวอย่างแห่งการคดโกงเอาเปรียบมา มันหาตัวอย่างที่จะเอาเปรียบผู้อื่นต่อไปใช้ความเห็นแก่ตัวต่อไป การเรียนประวัติศาสตร์จึงไม่สำเร็จประโยชน์ จึงยังไม่สำเร็จประโยชน์จนปัจจุบันนี้ เรียนกันเสียมากมายมหาศาล ตัวอย่างที่มีเหตุผลคือเหตุผลที่แสดงอยู่นั้นแหล่ะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามันได้เคยถูกต้องมาแล้ว หรือมันเป็นของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้เอง เราเรียนประวัติศาสตร์กันอย่างเป็นวิชาสำคัญที่สุด ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์อะไรก็ดี ก็จะหายเพราะตัวอย่าง แต่เราเรียนกันผิด ๆ เรียนกันด้วยกิเลสตัณหามันไปได้ตัวอย่างแห่งความเห็นแก่ตัวมันได้ตัวอย่างแห่งการคดโกงเอาเปรียบมา มันหาตัวอย่างที่จะเอาเปรียบผู้อื่นต่อไป ใช้ความเห็นแก่ตัวต่อไป การเรียนประวัติศาสตร์จึงยังไม่สำเร็จประโยชน์จึงจังไม่สำเร็จประโยชน์ จนปัจจุบันนี้เรียนกันตั้งมากมายมหาศาล ตัวอย่างในอดีตมันเอามาใช้ไม่ได้ เอามาใช้ไม่พบ เพราะสติปัญญามันไม่พอ เอาตัวอย่างที่มันแสดงอยู่เป็นปัจจุบันที่นี่ในตัวมันเองดีกว่า เดี๋ยวนี้เราจะเอาตัวอย่างใครอย่างการศึกษาเล่าเรียน เอาปริญญามาชูแล้วก็จะให้ถือเอาเป็นตัวอย่างอย่างนี้ก็ดู มันเป็นอย่างไรมันกำลังมีอยู่อย่างไร ปริญญาบัตรมันจะเต็มโลกอยู่แล้วมันจะเป็นตัวอย่างอะไรได้บ้างก็ขอคิดดูเอง
ที่นี้ก็จะพูดถึงสิ่งบันดาลใจที่จะกระตุ้นจิตใจให้เกิดกำลังใจ Motive ที่จะ Motivate ให้มันมีการเคลื่อนไหวไป สิ่งบันดาลใจ มันมีได้ทั้งฝ่ายผิดและฝ่ายถูก กิเลสอำนาจกิเลสนี่เป็นเหตุบันดาลใจอย่างยิ่งโลกกำลังหมุนไปตามกิเลส ปัญญาหรือโพธิ ก็เป็นเครื่องบันดาลใจได้อย่างยิ่ง แต่คนไม่ค่อยรู้จักกัน อย่างนั้นไอ้ Motive ของเราจึงเป็นกิเลสทั้งนั้นเพราะมันมีรกรากอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแล้วมันก็เกิดโลภะ มันก็เป็นเครื่องบันดาลใจ เห็นแก่ตัวแล้วมันเกิดโทสะเป็นเครื่องบันดาลใจ มันจะแก้แค้นตลอดนิรันดร ลัทธิคอมมิวนิสต์เขาจะยึดอย่างนี้ เกิดเห็นแก่ตัวแล้วมันโมหะ โมหะ เพราะมันโง่มันทำไม่ถูกมันก็ไม่มีอะไร ที่เป็นความถูกต้องเราจะต้องรู้จักแยกให้มันเป็นเรื่องของโพธิเป็นเรื่องของสติปัญญา แต่ว่าคนเขาไม่ค่อยชอบมันไม่ตรงกับกิเลสตัณหาแต่เราก็สอนเด็กให้มีตัณหาให้มีความหวังสร้างวิมานในอากาศอยู่เรื่อยไป สิ่งบันดาลใจมันยังไม่ถูกต้องมันยังไม่เป็นโพธิ ขอให้มันถูกต้อง ขอให้เอาโพธิ หรือปัญญามาเป็นเครื่องบันดาลใจ แต่แล้วมันอาจจะปนกันไม่ทันรู้สึกตัว คนโง่คนพาลมันก็ว่านี่ล่ะถูกต้องของฉันมันก็มีเครื่องบันดาลใจ ตามแบบของคนพาลที่ยกขึ้นมาว่าถูกต้อง ผู้ที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาเป็นผู้นำประเทศ นำโลก ถ้าเขาตกอยู่ใต้อำนาจของไอ้กิเลสแล้ว มันก็วินาศมันไม่มี Motive ที่ถูกต้องได้ถ้าจะเอาอย่างพระพุทธเจ้ามันก็ต้องมีอย่างเดียวคือโพธิหรือสติปัญญา ดังนั้นจึงสอนว่าอย่าทำงานด้วยกิเลสตัณหา ด้วยความหวัง ความหวัง หวัง หวัง ที่สอนเด็ก ๆ ไม่เอา จะต้องทำงานด้วยสติปัญญา อย่าทำด้วยความหวังคือกิเลส และตัณหา อย่าให้กิเลศตัณหาเป็นตัวผลักดันแต่ให้สติปัญญาเป็นเครื่องผลักดันจึงเป็นเรื่องที่จะต้องมีการศึกษาอย่างถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อย่ามีการศึกษาบ้า ๆ บอ ๆ เหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด ให้มีการศึกษาที่ถูกต้องคือ ดู เห็น แล้วก็รู้ แล้วก็ทำ นั้นแหล่ะ ถ้ามันมี Motive ที่มาจากการศึกษาหลังจากการดู การเห็น การรู้ มันก็มี Motive ได้ในตัวมันเอง
ที่นี้ก็จะพูดถึงสิ่งที่ต้องพัฒนา มันมีหลายชั้นหลายขั้นตอน วัตถุแท้ ๆ ก็ต้องพัฒนาให้ถูกต้อง เนื้อหนังร่างกายก็ต้องพัฒนาให้ถูกต้อง จิตใจ จิตใจก็ต้องพัฒนาให้ถูกต้อง ความรู้หรือสติปัญญาก็ต้องให้ถูกต้อง วัตถุต้องเรียบร้อยต้องพร้อมที่จะเป็นอุปกรณ์ที่ดี ร่างกายต้องมีสุขภาพอนามัยดีที่จะทำหน้าที่ จิตก็มีกำลังแข็งมีสมาธิพอ ก็ยังต้องมีความถูกต้องคือสติปัญญาทางวิญญาณ จิตใจที่เข้มแข็งแล้ว ถ้าผิดก็ผิดลึกมันไม่ได้พอเพียงแต่ว่าจิตใจมันมีกำลัง มันต้องมีความถูกต้องมีสติปัญญาทางวิญญาณ ถูกต้องนี่ต้องพัฒนา ครบถ้วนทั้งสี่อย่าง ทั้งทางวัตถุ ทั้งทางร่างกาย ทั้งทางจิตใจ ทั้งทางสติปัญญา เรากำลัง ต้องใช้คำว่าอย่างไร บ้าหรือหลงพัฒนาแต่ทางวัตถุ เพราะว่าโลกมันตกอยู่ในกำมือของคนโลภ คนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัว เขาพัฒนาเพื่อประโยชน์ของตัว กิจกรรม อุตสาหกรรมที่บ้ากันนักอย่าไปบ้ากับมันเลย มันเกิน มันใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาที่จะเอาประโยชน์ของตนด้วยความเห็นแก่ตน ด้วยความเห็นแก่ตน การพัฒนาของอุตสากรรม มันเกิน มันเฟ้อ นะ เขาก็ใช้ความเกินความเฟ้อลักล้วงประโยชน์ของผู้อื่นของคนโง่ เอาไปใส่กระเป๋าของเขา ฉะนั้นอย่าบูชาคำว่าอุตสาหกรรม มันเกินพอดี พัฒนาแต่วัตถุมันก็เจริญแต่วัตถุมันก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว มันส่งเสริมความเห็นแก่ตัวแล้วมีอะไรผล เดี๋ยวนี้โลกต้องสร้างเรือนจำเพิ่มขึ้น เรือนจำไม่พอ สถานีตำรวจเพิ่มขึ้น ก็อาชญากรรมมันมากขึ้น สร้างศาลเพิ่มขึ้น และที่น่าหัวที่สุดคือจะต้องสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่มขึ้น เพราะว่าคนที่มันกำลังพร้อมที่จะเป็นบ้าระวังให้ดี ๆ มันเพิ่มขึ้น มันจะมีอยุ่ในพวกเราก็ได้นะ อนาคตที่มันพร้อมที่จะบ้า ต้องสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่มขึ้นนี่ผลของการพัฒนาหลับหูหลับตาทางวัตถุของการศึกษาที่ไม่ ไม่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้รัฐบาลรับเอานโยบายของ คุณประชา มาเป็นของรัฐบาลแล้วพัฒนาแผ่นดินธรรม ให้เป็นแผ่นดินทอง มันกลัวจะเป็นทองแดงทองเหลืองซะมากกว่าเป็นทองกะไหล่เสียมากกว่า พัฒนาให้ถูกต้องมันจึงจะเป็นทองคำ พัฒนาให้มันถูกต้อง พัฒนาให้มันถูกต้องอย่าให้เป็นเรื่องเพิ่มคุก เพิ่มตาราง เพิ่มศาล เพิ่มเรือนจำ เพิ่มโรงพยาบาลบ้าในที่สุด มันเพิ่มอาชญากร การพัฒนาที่ไม่ถูกต้องมันเพิ่มอาชญากร ก็ต้องเพิ่มคุก เพิ่มเรือนจำ เพิ่มศาล เพิ่มโรงพยาบาลบ้าในที่สุด
เอา, เดี๋ยวนี้ก็มาดูคำสำคัญที่ว่าสันติภาพ ซึ่งที่แท้ควรจะเป็นจุดหมายปลายทางของคำว่าพัฒนาแต่น่าสงสารเดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเขาไม่ได้พัฒนาเพื่อสันติภาพ เขาพัฒนาเพื่อความเห็นแก่ตัวกูดี กูสวย กูรวย กูมีอำนาจวาสนา กูจะครองโลกซะคนเดียวคนมุ่งหมายมุ่งหมายอย่างนั้นมันไมได้พัฒนาเพื่อสันติภาพลัทธิการเมืองไหนบ้าง มันปากว่าสันติภาพแต่ว่าใจมันพัฒนาเพื่อมันจะครองโลกเสียคนเดียว พัฒนาอย่างนี้มันไม่นำไปสู่ สันติภาพ สันติภาพนี้มันจะต้องถูกต้อง ตามความหมายของคำว่าสันติภาพ คือความสงบเย็น และความสงบเย็นในความหมายของความนิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น แต่มันไปสอนบ้า ๆ ในโรงเรียนว่าตาย นิพพานคือตาย ตายของพระอรหันต์เป็นคำสอนที่บ้าบอที่สุดที่สอนในโรงเรียนของเรา นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย ท้าให้ค้นทั้งพระไตรปิฎกทั้งหมดเลย คำว่านิพพานที่ตรงไหนไม่มีแปลความหมายว่าตาย มีความหมายว่าเย็น บางทีจะใช้คำว่าปรินิพพานบ้างในความหมายที่ว่าตายกว่าพิเศษเท่านั้น แต่นิพพานแท้ ๆ แปลว่า เย็น เย็น เย็น เย็น คือไม่มีความร้อน คือไม่มีไฟ ไม่มีกิเลศไม่มี ให้ราคะ โทสะ โมหะไม่มีไฟ นั้นแหล่ะเป็นความหมายที่ถูกต้องของคำว่านิพพานหรือสันติภาพ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าท่านก็มีปริญญา ปริญญามีสามอย่างที่ขึ้นราคะ ขึ้นโทสะ ขึ้นโมหะ ปริญญาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่แผ่นกระดาษที่ให้หลังการสอบไล่แล้ว ปริญญาคือขึ้นราคะ ขึ้นโทสะ ขึ้นโมหะ ปริญญาของพระพุทธเจ้าก็คือ สันติภาพนั้นเอง สันติภาพ ในความหมายเด็ก ๆ ก็คือ อย่างไม่ยุ่งปัญหาของคนชาวบ้านก็ไม่มีเรื่องราว ก็ภาษาธรรมะแล้วก็ต้องเป็นสันติภาพในจิตใจ จิตใจ เย็น เย็น เย็นเป็นนิพพานเพราะว่าไม่มีไฟ คำว่านิพพานน่ะ เขาหมายถึงเย็น เย็นแล้วจึงจะกินได้ ถ้าต้มร้อนต้องรอให้นิพพานเสียก่อนจึงจะกินได้ ถ่านไฟแดง ๆ คีบเอามาจากเตาพอมันเย็นดำเค้าก็เรียกว่ามันนิพพาน ทอง หลอมในเบ้าเหลวคว้าง เอาน้ำราดให้เย็นนี่ก็เรียกว่าทำให้มันนิพพาน ทำให้นิพพานไม่ได้แปลว่าตายหรอกแต่ทำให้เย็นนั้นเอง ชีวิตนี้จะต้องเย็น ชีวิตนี้จะต้องไม่มีไฟ ชีวิตนี้จะต้องไม่ตัดเจ้าของ ชีวิตนี้ต้องไม่ตัดเจ้าของ ชีวิตเลว ๆ มันตัดเจ้าของ ด้วยความรักก็กัด โกรธก็กัด ความเกลียดก็กัด ความกลัวก็กัด ความตื่นเต้นก็กัด อิจฉาริษยาหึงหวงอะไรนี่มันกัดทั้งนั้น ชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ มันร้อนมันไม่นิพพานมันไม่มีสันติภาพ มันเลวกว่าหมาเพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของเลย แล้วชีวิตนี้ทำไมมันกัดเจ้าของเล่า เพราะมันไม่นิพพาน เพราะมันร้อนไปด้วยกิเลศ มันมีกิเลศ มันเป็นเหตุกัดเจ้าของ เพราะต้องการสันติภาพคือชีวิตที่เย็นไม่มีอะไรที่ขบกัด โดยบุคคลก็ไม่ขบกัด โดยครอบครัวก็ไม่ขบกัด บ้านเมืองก็ไม่ขบกัด ประเทศชาติก็ไม่ขบกัด ทั้งโลกก็ไม่มีการขบกัด นี้จึงจะเรียกว่าสันติภาพ ในทางโลกก็หมายถึงอย่างหนึ่ง ทางธรรมก็หมายถึงอย่างหนึ่ง แต่ขอให้ดูให้ดีว่าถ้ามันเย็น นั้นก็ใช้ได้ ถ้าไม่ร้อนมันก็ใช้ได้ สันติสุข สันติสุข นั้นมันมีความถูกต้องมีความเป็น แห่งความเป็น มนุษย์ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มันมีความรักษาตนมันจึงจะมีสันติสุข คือสันติภาพ ถ้ามันทำหน้าที่เพื่อตัวกู มันทำหน้าที่เพื่อกระเป๋าของตัวกูมันไม่มีทางที่จะสันติภาพ และมันเป็นหน้าที่ของพวกยักษ์พวกมารพวกผีปีศาจไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่ของมนุษย์มันต้องสร้างสันติภาพ มันสร้างความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ ขอให้จำไว้สักสองคำก็พอแล้ว สักสองคำว่า ชีวิตนี้ที่ถูกต้องสมบูรณ์แล้วมันเย็นเป็นสุข แล้วก็มันมีประโยชน์มันไม่เย็นเฉย ๆ ตัวเองมีความสุขสงบเย็น แล้วก็เป็นประโยชน์รอบด้าน ประโยชน์ตัวเองก็เป็น ประโยชน์ผู้อื่นก็เป็น ประโยชน์คาบเกี่ยวกันแยกกันไม่ออก ก็เป็นประโยชน์ทั้งสามประโยชน์อย่างนี้ จึงจะเรียกว่าชีวิตที่ถูกต้อง ชีวิตที่ถึงที่สุดต้องการพัฒนา นี่ก็คือสันติภาพ เราพัฒนาเพื่อสันติภาพหรือว่าเราพัฒนาเพื่อกระเป๋าของเรานี่ หลักปัญหาอย่างนี้จะช่วยให้เกิดความถูกต้อง ถ้าเราพัฒนาเพื่อกระเป๋าของเรามันก็ไม่มีสันติภาพ ถ้าเราพัฒนาเพื่อสันติภาพเราก็ต้องไม่เห็นแก่กระเป๋าของเรา พัฒนาเพื่อเงิน เพื่ออำนาจวาสนาเกียรติยศชื่อเสียงมันก็ไม่สร้างสันติภาพ มันก็ต้องพัฒนาสันติภาพเสียก่อนจึงค่อยเอาชื่อเสียงเกียรติยศทีหลังดีกว่า
ที่นี้ก็จะมาดูคำสำคัญที่ว่าพัฒนาตามแนวแห่งพระพุทธศาสนา มีพัฒนาตามแนวอื่น ๆ กันมานักแล้ว มาพัฒนา มาพัฒนาตามแนวแห่งพุทธศาสนา อะไร ๆ ก็ใช้แนวพุทธศาสนากันบ้าง การเมืองตามแนวพุทธศาสนา เศรษฐกิจตามแนวพุทธศาสนา การพัฒนาก็ลองตามแนวแห่งพระพุทธศาสนากันบ้าง คำแรกก็ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เพราะพุทธศาสนาหมายถึงการปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือใคร เด็ก ๆ พระพุทธเจ้าก็คือ พระพุทธรูป พระพุทธเจ้าก็คือสารีริกธาตุ อย่างดีที่สุดพระพุทธเจ้าก็คือคน ๆ นึงเกิดมาในอินเดียสอนแล้ว นิพพานแล้ว ตายแล้ว เผาแล้ว พระพุทธเจ้าของเด็ก ๆ เป็นอย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ ขอบอกกล่าวกันที่นี่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าองค์จริงพระเจ้าองค์แท้ไม่ใช่อย่างนั้น ถือตามคำที่พระพุทธเจ้าตรัสเอง ก็ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดไม่เห็นธรรมแม้จะจับจีวรของเราดึงเอาไว้ไปไหนไปด้วยกันอย่างนี้ ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา ต่อเมื่อใดเขาเห็นธรรมจึงจะชื่อว่าเห็นเรา ที่เห็นธรรมคือเห็นอะไรเห็นธรรม คือเห็น ปฎิจจสมุปบาท ปฎิจจกสมุปบาท คืออะไร ปฎิจจสมุปบาท คือเห็นความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับไปอย่างไร ความทุกข์มันจะเกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์มันจะดับไปอย่างไร แล้วจะกำจัดความเกิดขึ้นแห่งความทุกข์ให้มีความดับไปแห่งความทุกข์ได้อย่างไรนี้เรียกว่าเห็น ปฏิจสมุปบาท คำนี้เป็นคำที่เอามาสอนกันผิด ๆ ในโรงเรียนเป็นเรื่องอะไรไปก็ไม่รู้ ถ้าปฎิจจสมุปบาทที่แท้จริงคือเห็นว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับลงไปอย่างไร เห็นข้อนี้แล้วชื่อว่าเห็นธรรม เห็นธรรมแล้วนี้ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า มันก็คือกฎเกณฑ์แห่งความเกิดขึ้นแห่งความทุกข์แสดงอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าอย่างนี้ ไม่มี ไม่มีการประสูติ ไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีการนิพพานเป็นพระพุทธเจ้านิรันดรตลอดอนันตกาล พระพุทธเจ้าที่มีประสูติ ตรัสรู้ นิพพานนั้นเป็นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล เรามีพระพุทธเจ้าอย่างธรรมมะอย่างไม่ใช่บุคคล ไม่มีการประสูติไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีการนิพพานที่อยู่ตลอดกาลเป็นนิรันดร แล้วแถมมีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งด้วย เป็นอนันตกาล เป็นอนันตเทส เทสะ (นาทีที่ 01:18:30) อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งแต่เราไม่เห็นจะทำยังไงตาบอดเอง อาการแห่งความทุกข์เกิดอย่างไร อาการแห่งความดับอย่างไร มันก็แสดงอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง พวกนิกายเซนเขากล้าพูดพวกเราไม่กล้าพูดเพราะมันหยาบคายเกินไป ว่าอาการแห่งปฎิจจสมุปบาทเกิดขึ้นแห่งทุกข์อย่างไร ดับลงอย่างไรมันแสดงอยู่แม้ในกองขี้หมา มันหยาบคายเกินไป ไม่ต้องพูดหรอกนะในกองขี้หมามีอาการแสดงขึ้นแห่งทุกข์ ดับลงแห่งทุกข์ ที่นี้ขอให้ดูทั่วไปอะไรก็ตามในที่รอบด้าน ในที่เราจะทอดสายตาไปทางไหนมีอาการอันนี้แต่เรามันตาบอดเอง เรามันไม่เห็นเองจะไปโทษใคร ในกรวดในเมล็ดทราย ในต้นไม้ ในสัตว์ของในต่าง ๆ มีอาการแห่งเกิดขึ้น ดับลงแห่งความทุกข์ นี่เราจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้อย่างนี้ในที่ทั้งปวงในเวลาทั้งปวงเป็นนิรันดร ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้คือเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แล้วเราก็พบคำสอนนั้นคือว่าเกิดทุกข์อย่างไร ดับทุกข์อย่างไร กฎเกณฑ์กันนี้เอามาใช้ได้ในการพัฒนา อย่าให้ความทุกข์มันเกิดขึ้น มีแต่ให้ความทุกข์มันดับไป ไม่มีความทุกข์ก็ควรจะพอใจ ควรจะพอใจ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเป็นนิรันดรไม่เกิดไม่ดับ ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน แปลว่าโชติช่วงชัชวาลอยู่ตลอดเวลา พวกมหายานเขายังดีกว่าพวกเราที่เขารู้จักใช้คำว่า อมิตาพะ อมิตายุ อมิตายุ แปลว่ามีอายุคำนวณไม่ได้ อายุคำนวณไม่ได้คือเป็นนิรันดร อมิตาพะแปลว่าแสงสว่างคำนวณไม่ได้มันเป็นนิรันดรพวกที่รู้อมิตาพะ อมิตายุนี่รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พวกเราไม่รู้จักใช้คำนี้ยังโง่อยู่มาก อมิตาพะอมิตายุไม่ได้มาพูดกรอกหูก็ยังไม่รู้ งั้นขอให้รู้ซะบ้างอมิตาพะอมิตายุพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือปฎิจจสมุปบาทที่แสดงอยู่นิรันดร นิรันดร เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง รู้เถิด เข้าใจเถิด แล้วเอามาใช้เป็นวิชาสำหรับการพัฒนา มีพระพุทธเจ้าอย่างพวกฝรั่งรู้ไม่พอหรอก ฝรั่งรู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นนบุคคลเขียนไว้ในประวัติศาสตร์ จดไว้ในประวัติศาสตร์เป็นพระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ โง่ พระพุทธเจ้าแท้จริงอยู่นอกประวัติศาสตร์ อยู่นอกประวัติศาสตร์นอก เหนือนอกเหนือของการจะบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ว่าเป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ ชื่อนั้น ชื่อนี้ ว่าอยู่ที่นี่ ที่นั่น พระพุทธเจ้านอกประวัติศาสตร์นั้นแหล่ะขอให้รู้จักเถิด จะได้รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง นี่มันเรียนกันแต่พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ ชื่ออย่างนั้น ลูกคนนั้น หลานคนนี้ เกิดที่นั้นอย่างนี้มีประวัติอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ได้ ๘๐ ปี แล้วก็นิพพานไปรู้จักแต่พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ อย่างนี้มันไม่ถูก พระพุทธเจ้าเหนือประวัติศาสตร์ นอกเหนือประวัติศาสตร์ มีอายุไม่จำกัด แสงสว่างคือคำสอนที่ไม่จำกัด รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอย่างนี้แล้วมาใช้เป็นเครื่องมือพัฒนา เป็นพระพุทธศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้คือสอนว่า ให้ดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ความทุกข์มันมีเหตุแล้วก็ให้ดับทุกข์ที่ต้นเหตุ ให้เสรีภาพในการที่จะดูเอาเอง แต่เห็นเอาเอง จะรู้เอาเองจะปฎิบัติเอาเอง นี่เรียกว่าพระพุทธศาสนา ผู้ถือพระพุทธศาสนาเรียกว่าพุทธศาสนิก เขาเลิกพิธี เลิกพิธี ถือเอาแต่วิธี เว้นไว้แต่จะไปเกี่ยวข้องกับคนโง่จึงจะทำพิธีใช้บ้าง แต่โดยแท้จริงของพุทธศาสนิกแล้วมันไม่มีพิธีมันไม่มีไสยศาสตร์ แต่ว่ามีคำรวมอยู่คำหนึ่งก็ว่า ธรรมะ ธรรมะ พุทธศาสนาก็ดี พุทธศาสนิกก็ดี มันมีรวมอยู่ที่คำว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะทำให้เกิดพระพุทธเจ้า ธรรมะคือสิ่งที่ช่วยให้รอด เห็นธรรมะคือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าคือเห็นธรรมะ เห็นธรรมมะคือเห็น ปฏิจสมุปบาท ทั้งหมดนั้น แหล่ะมารวมอยู่คำ ๆ เดียวว่า ธรรมะ ธรรมะ รู้จักธรรมะแล้วก็จะพัฒนาได้จะแก้ปัญหาได้ ขอช่วยฟังไว้ให้ดีถ้าจดได้ก็ยิ่งดี
ธรรมะคือ ระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ยาวไปหน่อยแต่อย่าเผลอรำคาญแต่ถ้าไม่ถึงขนาดนี้มันไม่สมบูรณ์ มันไม่สมบูรณ์ ทวนอีกทีว่า ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น ธรรมะไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ที่ถูกต้องที่ทำให้เกิดความรอด คำว่าธรรมะ ธรรมะ นี่เขาใช้กันมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพัน ๆ ปี คำว่าธรรมะ ธรรมะ นี้ใช้พูดกันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าองค์นี้เกิดเป็นพัน ๆ ปี แต่ว่าไม่ก่อนพระพุธเจ้าองค์นิรันดร พระพุทธเจ้านิรันดรมีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรก่อนพระพุทธเจ้านิรันดร แต่ว่าพระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์พระองค์นี้ คำว่า ธรรม ธรรมะเก่ากว่ามาก เขาพูดกันมาก่อน มนุษย์คนแรกได้สังเกตุเห็นสิ่งสำคัญที่สุด ฟลุคอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้มนุษย์คนแรก มันสังเกตเห็นว่า มันมีอยู่น่ะสิ่งนี้ มีอยู่ถ้าไม่ทำแล้วตายน่ะ นี่ล่ะสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำมันเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ ถ้าพูดเป็นไทยแปลว่า หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ แต่พูดเป็นภาษาโบราณอินเดียที่เขาไม่รู้ก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ คือคำเดียวกับคำว่าหน้าที่ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีก็ตายไม่ทำก็ตาย ฉะนั้นเขาจึงแนะให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้รู้จักธรรมะ หน้าที่ หน้าที่ รู้กันมากขึ้นไปก็ สอนเรื่องหน้าที่ให้สูงขึ้นไป หน้าที่สูงขึ้นไป หน้าที่สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปมาถึงยุคพระพุทธเจ้า ท่านสอนหน้าที่สูงสุดเป็นพระนิพพาน เพื่อพระนิพพาน ธรรมะแปลว่าหน้าที่ มิชชั่นนารีเด็ก ๆ ใช้ในอินเดีย คำว่าธรรมมะแปลว่า Duty ดิวตี้ ไม่ได้แปลอย่าง ไม่ได้แปลอย่าง ประทานุกรมเมืองไทย
เอา,ทีนี้ก็ดูสิ หน้าที่ ธรรมะแปลว่า หน้าที่ แต่ใจความคำว่าธรรมะคือระบบปฏิบัติ คำว่าระบบหมายความว่าไม่ใช่สิ่งเดียว ปฏิบัติข้อเดียวอย่างเดียว ไม่พอ ต้องปฏิบัติครบทั้งระบบ เราจึงเขียนลงไปว่าระบบการปฏิบัติครบถ้วนถูกต้อง แล้วทีนี้ก็มีคำว่าถูกต้อง ระบบปฏิบัติ ระบบการปฏิบัติ ที่ถูกต้องคือผิดไม่ได้ที่ถูกต้องที่ต้องการ ถูกต้องแต่อะไร ถูกต้อง แต่ความรอดมัน ไม่มีอะไรสูงไปกว่าความรอด รอดจากปัญหา รอดจากความทุกข์ไม่มีความทุกข์นั้นแหล่ะคือความรอด ทีนี้คำว่ารอด รอด มันมีทั้งทางกาย และทางจิต รอดแต่ทางกายอย่างเดียวไม่ได้ต้องรอดทางจิตด้วย รอดทั้งทางกายและทางจิต และทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการคือรอดตลอดชีวิต จะถูกต้องเป็นแต่เมื่อเด็ก ๆ เป็นหนุ่มสาวไม่ได้ต้องรอดตลอดไปจนแก่เฒ่าเข้าโลงรอดตลอดไปทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ถ้าเอาโลกจักรวาลนี้เป็นหลักทุกขั้นตอนแห่งโลก โลกยุคไหน โลกสมัยไหน โลกวิวัฒนาการอันไหนก็ถูกต้องทั้งหมด ถูกต้องตั้งแต่แรกมีโลก จนโลกจะดับโลกไป ถูกต้องทุกขั้นแห่งวิวัฒนาการนี้แปลว่าทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นี้สำคัญมาก คนบ้าเท่านั้นที่คิดว่ากูอยู่บนโลกคนเดียวได้ ถ้าเขายกโลกทั้งหมดให้กูคนเดียวอยู่ครอง อยู่คนเดียวก็อยู่ได้เรียกคนบ้า มันอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติมันสร้างมาสำหรับอยู่กันมาก ๆ สำหรับมนุษย์อยู่กันมาก ๆ สำหรับสัตว์ทั้งหลายอยู่กันมาก ๆ สำหรับต้นไม้ทั้งหลายนี้ก็ต้องอยู่กันมาก ๆ อยู่คนเดียวไม่ได้ คุณก็พอจะมองเห็นถ้าเขายกโลกนี้ให้เราอยู่คนเดียวไม่มีใครเลยอยู่คนเดียว ก็ตาย มันก็ตายมันอยู่ไม่ได้ เพราะในความหมายที่ว่ามันต้องมี อยู่กันมาก ๆ มีเพื่อนน่ะ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย อยู่ด้วยกันมาก ๆ น่ะจึงสำคัญ เพราะนั้นพระพุทธเจ้าจึงท่านจึงบัญญัติประโยชน์ว่าประโยชน์ตนเอง ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ ประโยชน์ที่มันสั้น พันกันอยู่แยกไม่ออก ขอให้เป็นประโยชน์ทั้งสามประโยชน์นี้ แล้วความสำคัญมันก็อยู่ที่ว่ามันเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
เมื่อตะกี้นี้ ก็อธิบายถึงคำว่าเพื่อน เพื่อนแท้ ๆ ไอ้ขอเนื้อน่ะ มึงให้กูบ้าง พี่เอ๋ยกูบ้าง พ่อเอ๋ยกูบ้างเพื่อนเอ๋ยกูบ้าง เพื่อนนี้ก็สำเร็จประโยชน์ เพราะมันเป็นความหมายจำเป็นอย่างนี้น่า มันอยู่ในโลกมันต้องมีเพื่อน ไม่มีเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้นึกถึงเสียว่าทั้งตัวเองและผู้อื่น ธรรมะ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จะต้องปฏิบัติเป็นระบบครบถ้วนและต้องถูกต้อง ถูกต้อง คือแก้ปัญหาได้เป็นความรอด มีความรอด รอดทั้งทางกายรอดทั้งทางจิตทุกขั้นตอนตลอดแห่งวิวัฒนาการจนทั้งตนเองและทั้งผู้อื่น เดี๋ยวนี้มันรู้น้อยเกินไป มันไม่รู้จนถึงไอ้ สุดท้าย ตลอดขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ วิวัฒนาการของโลกก็คือโลง สุดท้ายวิวัฒนาการของคนโง่ก็คือโลง จากมดลูกก็เข้าโลง จากมดลูกก็เข้าโลง วิวัฒนาการแค่นี้ไม่พอหรอก จากมดลูกไปสู่ โลกุตระ โน่น จากมดลูกไปสู่ โลกุตระนิรันดร มันจึงจะทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ วิวัฒนาการอะไรจากมดลูกเข้าโลง จากมดลูกเข้าโลงมันไม่ไหว มันไม่ใช่วิวัฒนาการที่แท้จริง ขอให้เรารู้จักคำว่าหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่เป็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งใด คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ คนโง่มันเคารพแค่พระพุทธเจ้านั้นแหล่ะ แต่ถ้าคนมีปัญญาเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงมันจะเคารพสูงขึ้นไปจนถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าก็เคารพ คิดดูสิอะไรที่พระพุทธเจ้าเคารพ คือธรรมะ คือหน้าที่ ข้อนี้มันมีความจริงทั้งโดยตัวหนังสือทั้งโดยการกระทำ โดยตัวหนังสือมีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ เอา,พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ขึ้นมา เสร็จแล้วท่านฉงน เออ,ต่อไปนี้จะเคารพใคร ตรัสรู้แล้ว ถึงที่สุดแล้วนี่จะเคารพใครต่อไปนี้ ทบไปทบมาเดี๋ยวก็กลับออกมาด้วยพระองค์เองบอกพระองค์เองว่าเคารพธรรมะที่ตรัสรู้นั้นแหล่ะ ธรรมะที่ตรัสรู้มันเรื่องหน้าที่ มันเรื่องหน้าที่ หน้าที่ของคนที่ยังไม่ดับทุกข์ หน้าที่ดับทุกข์ หน้าที่ของคนดับที่ทุกข์ได้แล้วก็คือสอนคนอื่นให้ดับทุกข์ งั้นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าก็คือการช่วยผู้คนอื่นดับทุกข์ ท่านเลยเคารพธรรมะ เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่ เพราะท่านก็ประกาศว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดีเคารพธรรมะและหน้าที่ เย จ พุทฺธา ทีฆา จ เย จ พุทฺธา อนาคตา สพฺพสทฺธมฺม พรูโน เอสาพุทฺธาน ธมฺมตา (นาทีที่ 01:33:35) พระพุทธเจ้าในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี ในอนาคตก็ดีทุกพระองค์เคารพธรรมะเพราะว่านี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลายเคารพธรรมะ หน้าที่นี้ด้วยตัวหนังสือ
เอา,ทีนี้ด้วยการกระทำก็ดูการกระทำของพระพุทธเจ้าท่านเคารพอย่างไร ท่านทำงานครบวงจร ใช้ภาษาธรรมดา ๆ หน่อยท่านทำงานครบวงจร หัวรุ่งอย่างคนที่อยากจะนอนอยู่นี่ไม่มาประชุม หัวรุ่งนี้ท่านเริ่มตื่นขึ้น แล้วก็ส่องความคิดไปทั่ว ทั่ว ทั่ว ทั่ว ทั่ว ทั่วโลกทั้วจักรวาลว่า วันนี้จะไปทำอะไรที่ไหน เรียกว่า พฺบพาพฺบเพ วิโลกะนัง (นาทีที่ 01:34:36) ท่านรู้ ท่านเห็น ท่านได้ยิน ท่านเห็นอยู่ว่าในวันนี้ว่ามันมีอะไรที่ไหนในโลกนี้ควรจะไปที่ไหนวันนี้ พอสว่างขึ้นท่านก็ไปที่นั่นในลักษณะของการไปบิณฑบาต เรียกว่าโปรดสัตว์ ได้พบกับคน ๆ นั้น เหตุการณ์นั้นท่านก็ได้ช่วยเหลือ ไปฉันอาหารที่บ้านไหนก็โปรดเจ้าของบ้าน สิ้นสุดไปเลยนั้นน่ะเรียกว่าไปโปรดสัตว์ ท่านก็ไปทำหน้าที่ตอนเช้าจะสายจะเที่ยงอะไรก็ได้ท่านก็จะนั่งคุยกับเจ้าของบ้านจนมันบรรลุแหล่ะ ถ้าท่านจะต้องกลับก่อนท่านจะให้พระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งอยู่คุยกับมัน จนมันบรรลุละหน้าที่ของท่าน ตอนเที่ยงจะพักผ่อนหน่อยก็ไม่เป็นไร พอตอนบ่ายก็ต้องสอนพูดกับคนที่ไปหาถึงวัด มันมีคนไปหาถึงวัดท่านก็พูดต้องสอนต้องอะไรกะเขาตอนบ่าย ตอนเย็นพอค่ำลงก็ โทเซอร์ถิกขุโอวาทัง (นาที่ 01:35:48) ท่านสอนภิกษุสามเณรที่อยู่ด้วยกันตอนหัวค่ำพอเลยหัวค่ำไปถึงตอนดึกเที่ยงคืน อัตทะรัตเต เทว ปัญหณัง (นาทีที่ 01:36:02) เที่ยงคืนก็สอนพวกเทวดา เทวดาคน ๆ ในพระเจ้าแผ่นดินนี้ก็เรียกว่าเทวดา เทวดามาจากสวรรค์นี้ก็เรียกว่าเทวดา มีเรื่องว่าพระเจ้าชาตะสะตุ (นาทีที่ 01:36:18) ก็ต้องยกกองทัพถือคบเพลิงวิงรวกไปฆ่าเวลาเที่ยงคืน พระราชานี้มีศัตรูมากไปไหนก็ต้องมีกองทัพคุ้มครองไป เพราะมีกองทัพคุ้มครองถือคบเพลิงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าสนทนาธรรม นี่เทวดาเข้าไปหาตอนเที่ยงคืน อัตทะรัตเต เทว ปัญหณัง (นาทีที่ 01:36:38) ท่านก็โปรดพวกเทวดา โปรดพวกเทวดา หลังจากนั้นก็พักผ่อนหน่อย ตามธรรมชาติก็พักผ่อนหน่อย จนถึงหัวรุ่งอีกแล้ว หัวรุ่งอีกแล้ว เรียกว่า พฺบพาพฺบเพ วิโลกะนัง (นาทีที่ 01:36:52) อีกแล้ววันนี้จะไปไหนรุ่งขึ้นจะไปไหน รุ่งขึ้นก็ไปอย่างนั้นอีกแหล่ะท่านทำงานครบวงจรเห็นมั้ย พวกเราน่ะใครทำงานครบวงจรอย่างนี้บ้าง มันมีแต่กูจะหนีไปนอน กูเห็นแก่ตัว กูจะเอาเปรียบ กูจะไม่ต้องทำอะไรก็ยิ่งดี ขอให้บูชาพระพุทธเจ้าว่าเคารพท่านว่าท่านทำงานครบวงจรเพราะท่านบูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ เคารพหน้าที่สูงสุด ทีนี้ท่านยังเสียสละเพราะว่าไม่มียานพาหนะที่ท่านจะอาศัยได้ เพราะว่านักบวชทั้งหลายไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เกวียนก็มีเทียมด้วยวัว รถม้าก็มีเทียมด้วยม้าไม่เอามันเทียมด้วยสิ่งมีชีวิตฉันไม่เอา แล้วมันไม่มีรถยนต์ ฉันก็ต้องเดิน เดี๋ยวนี้คุณมีรถยนต์ใช้ มี Benz แล้วคุณอยากจะมี Rolls Royce ใช่ไหมเล่า มันไม่มีมันไม่เหมือนกันเพราะเหตุนี้ ท่านไม่มีรถยนต์ใช้ท่านก็ต้องเดิน ท่านก็ต้องเดิน เท่าที่สำรวจดูในพระบาลีในพระไตรปิฎกไม่พบคำไหนนะว่าพระพุทธเจ้าท่านใช้รองเท้า ไม่มีตรงไหนพระพุทธเจ้าท่านใช้ร่มน่ะ ไอ้ลูกศิษย์บ้า ๆ บอๆ สมัยนี้มันรวยรองเท้า มันรวยร่ม พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้รองเท้าไม่เคยใช้ร่มคิดดูแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ท่านก็ยังไป ยังไป ไป ไป เดินเป็น โยชน์ โยชน์ โยชน์ โยชน์ ไม่มีความหมายอะไรเดินเป็น โยชน์ โยชน์ นี้ไม่มีความหมายอะไรสำหรับผู้ที่ไม่ใช้รองเท้าใช้ร่ม นักพัฒนาของพวกคุณเสียสละอย่างนี้ไหมลองคิดดู เครื่องมือการพัฒนาคือการเคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ เสียสละอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาที่ท่านไม่มีรถยนต์ ท่านก็มี มีเท้า เดินไป เดินไปเป็นโยชน์ ๆ ไม่มีอุปสรรคในการที่ไม่มีรถยนต์ แล้ววันที่จะนิพพานอยู่ คืนนี้จะปรินิพพาน แล้ว กลางวันก็ยังเดินอยู่เป็นโยชน์ ๆ ท่านไม่เรียกโรงพยาบาล ไม่ไปนอนในโรงพยาบาลใส่สายรุงรังเต็มไปหมด เราลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็ไม่ควรจะทำอย่างนั้นน่ะ ไม่ควรจะเรียกหาโรงพยาบาล เรียกหาว่าจะตายกันอย่างปิดสวิตซ์ได้อย่างไรดีกว่า ตายอย่างปิดสวิตซ์ท่านก็ไปที่แห่ง แห่งนั้นที่จะปรินิพพานเป็นอุทยาน อุทยานไม่ใช่บ้านเมืองไม่ใช่วัดวาอารามอะไร เป็นอุทยานของพวก มัลลกษัตริย์ เต็มไปด้วยต้นสาละ จัดที่พัก จัดที่ปะทับกลางดินมีเตียงเล็ก ๆ เตี้ย ๆ มีผ้าปูน้อย ๆ แล้วก็ประทับกลางดินเตรียมจะปรินิพพาน ไม่นิพพานที่โรงพยาบาลไม่นิพพานที่วัดที่ไหนที่มันสวยงามหรูหรา จะนิพพานอยู่เดียวนี้แล้วก็ยังมี ปริพาชกศาสนาอื่นมาขอร้องว่าช่วยสอน ขอถามปัญหาให้ช่วยสอน พระสงฆ์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ โอ้ไอ้นี่มันบ้า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานอยู่เดี๋ยวนี้แล้วมันยังมาขอให้ช่วยสอนอีก ไล่มันไป ไป ไป พระพุทธเจ้าท่านได้ยินโอ้,อย่าไล่มัน อย่าไล่มัน เรียกมันมา เรียกมันมา เรียกมันมา แล้วท่านก็สอนให้มันถามปัญหาท่านก็สอน สอนจนมีความรู้ธรรมะจนสำเร็จเป็นอรหันต์ เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้ายนะคนนี้ แล้วต่อมาท่านไม่กี่นาทีต่อมาท่านก็นิพพานเรียกภาษาธรรมดา ๆ ว่าท่านทำงานจนตายได้มั้ย พวกเราหน้าไหนคนไหนที่มันทำงานจนตายจนตายกับงานอย่างพระพุทธเจ้ามันไม่มี เว้นไว้แต่อุบัติเหตุตายสามขั้นเพราะอุบัติเหตุ นี้ไม่ต้องมีอุบัติเหตุหรอกท่านทำงานจนสิ้นชีวิต จนสิ้นสุดที่จะทำได้แล้วก็ไปปรินิพพานตามวิธีของท่าน คือดับขันธ์ ดับขันธ์ร่างกายดับ พระพุทธเจ้าไม่ดับ พระพุทธเจ้าเป็นนิรันดรไม่รู้จักดับแต่ว่าขันธ์ร่างกายมันดับ เผาเป็นพระธาตุเอาไปบรรจุ พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่อย่างไร ดูตามตัวหนังสือก็มีอยู่อย่างนั้น ดูตามการกระทำมันก็มีอยู่อย่างนั้น เคารพหน้าที่ เคารพหน้าที่ สูงสุด อย่าลืมที่ว่า ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือระบบปฏิบัติ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็ถูกต้องแต่ความรอด รอดทั้งทางกายและทางจิตและทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น
เอา,ทีนี้เทียบเคียงดูว่าถ้าเราทุกคนในโลกนี้ เคารพหน้าที่อย่างพระพุทธเจ้าแล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร โลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าทุกคนเคารพหน้าที่อย่างนี้แล้วทุกคนในโลกนี้จะเป็นอย่างไร อาตมาคิดว่ามันดีกว่าโลกของพระศรีอาริยเมตไตรยมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า โลกของพระศรีอาริยเมตไตรยที่ว่าดีกันนักหนาแล้วยังดีกว่านั้นอีกหลายร้อยเท่าพันเท่า ขอให้ทุกคนเคารพหน้าที่อย่างพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ถูกต้องแต่ความรอดทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น เราจะต้องเคารพหน้าที่คือสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่ระพุทธองค์ทรงเคารพ เพราะฉะนั้นปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัตหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่นั้นคือเคารพพระพุทธเจ้า และเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักหน้าที่ ๆ ในลักษณะอย่างนี้ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ต้องเคารพพระพุทธเจ้าและเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ เมื่อเรียกตัวเองว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ต้องเคารพสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพอย่าหยุดเสียเพียงแค่พระพุทธเจ้า และแถมเป็นพระพุทธเจ้าองค์นอกซะด้วย พระพุทธเจ้าองค์นอก กระดูก(1.44.41) ของท่านบ้าง พระพุทธรูปบ้างอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าองค์นอก พระพุทธเจ้าอันที่เป็นเนื้อ เนื้อหนังก็ยังเป็นองค์นอก ต้องเป็นองค์ในคือธรรมะที่แสดงอยู่ว่าทุกข์เกิดอย่างไร ทุกข์ดับอย่างไรเคารพให้ถึงพระพุทธเจ้าองค์นั้นถ้าไหว้พระพุทธรูปขอให้ทะลุไปถึงพระพุทธเจ้าองค์จริง ถ้าไหว้พระสารีริกธาตุ พระพุทธบาตรก็ขอให้ทะลุไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงเคารพพระพุทธเจ้าที่ชื่อว่า สิทธัตถะที่เดินอยู่ไปมาในอินเดียก็ขอให้ทะลุไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่ไม่รู้จัก ที่ไม่รู้จักนิพพาน นะพระพุทธเจ้าตรัสว่าเห็นธรรมะคือเห็นเราเห็นเราคือเห็นธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นเราเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่เป็นธรรมะนั่นเอง แล้วเคารพพระพุทธเจ้าเถิดจะรอด รอด รอด รอดหมดเพราะเคารพหน้าที่ เพราะเคารพหน้าที่มันหมดปัญหา ไม่เคารพหน้าที่มันก็คือตายมันไม่มีหน้าที่มันก็คือตาย คนก็ตาย สัตว์ก็ตาย ต้นไม้ก็ตาย ต้นไม้ยังเคารพหน้าที่ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลาอย่างศึกษาตามวิทยาศาสตร์ทำหน้าที่ตลอดเวลา เซลล์ล้าน ๆ เซลล์ที่ประกอบเป็นร่างกายเรานี้มันทำหน้าที่อยู่นะ มันถึงไม่ตายพอเซลล์ทั้งหลายไม่ทำหน้าที่คนทั้งหลายก็ตายวูบเดียว ฉะนั้นชีวิตอยู่ด้วยหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ชีวิตอยู่ด้วยธรรมะ จงเอาธรรมะเป็นคู่ชีวิตเถิดไม่มีธรรมะเป็นคู่ชีวิตแล้วมันก็ตาย เอาธรรมะเป็นตัวชีวิตเสียเองก็ยิ่งดีแต่อย่างน้อยก็เอาเป็นคู่ชีวิตเถิด คู่ชีวิตนี้แยกไม่ได้พอแยกแล้วตายทันที คู่ชีวิตที่เป็นสามีภรรยาแยกกันอยู่สักสามปีก็ได้ เมียอยู่เมืองไทย ผัวอยู่อเมริกาก็ได้ไม่ตายหรอกคู่ชีวิตชนิดนี้ แต่คู่ชีวิตคือธรรมะแล้ว แยกเดี๋ยวเดียวก็ตายทันที จึงเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริงขอให้มีคู่ชีวิตที่แท้จริงอย่างนี้ด้วย คือธรรมะมีหน้าที่ เป็นชีวิตแล้วก็เป็นคู่ชีวิต นั้นแหล่ะมันจึงเป็นการพัฒนาถึงที่สุด ตามหลักแห่งพุทธศาสนา ตามแนวแห่งพุทธศาสนา เอาพุทธศาสนามาเป็นแนวแห่งการพัฒนา สรุปความว่าพัฒนาด้วยสติปัญญา มีสิกขามีการศึกษาถูกต้องสมบูรณ์อย่างที่กล่าวมาแล้ว ไม่ใช่ศึกษาบ้า ๆ บอ ๆ อย่างที่โลกเขากำลังมีกัน นึกว่าเป็นวิธีการชนิดที่ตัดที่ต้นเหตุไม่มัวต่อสู้กับปลายเหตุ แต่ว่าตัดที่ต้นเหตุ อะไรเป็นแห่งปัญหาแห่งความทุกข์จัดการที่นั้น เดี๋ยวนี้คนโง่มันทำอย่างเอาไม้สั้นไปรันขี้ ได้ยินไหมโบราณสอนไว้แต่ไหนแต่ไร อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้มันเป็นเรื่องของคนโง่ มันแก่ที่ปลายเหตุแล้วใครต่อสู้กับความทุกข์มันก็เลอะเทอะด้วยความทุกข์เป็นทุกข์ด้วยความทุกข์ ฉะนั้นตัดต้นเหตุอย่าให้มันเกิดความทุกข์ก็ไม่ต้องต่อสู้กับความทุกข์มันก็ไม่เป็นเอาไม้สั้นไปรันขี้ เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายมันจัดการที่ปลายเหตุ ปลายเหตุ มันก็มีอาการเหมือนกับเอาไม้สั้นไปรันขี้ เลอะกว่าเก่าแล้วก็ไม่ดับ ไม่ดับทุกข์ไม่สำเร็จประโยชน์ คำว่าดับทุกข์ ดับทุกข์นี่มันคือการทำไม่ให้เกิดทุกข์ ไม่ไปเสียเวลาต่อสู้กับความทุกข์หน้าดำหน้าแดง คนโง่ ทำอย่าให้มันเกิดทุกข์นั้นล่ะคือดับทุกข์งั้นการพัฒนามันควรจะเป็นเรื่องตัดต้นเหตุอย่าให้ความทุกข์มันเกิดขึ้นไม่ใช่ไปต่อสู้รบรากันกับความทุกข์แบบเอาไม้สั้นไปรันขี้ไม่ใช่พัฒนา มุ่งหมายความเห็นแก่ ความไม่เห็นแก่ตัว การพัฒนาที่ถูกต้องก็มุ่งทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่ต้องเพิ่มเรือนจำ ไม่ต้องเพิ่มศาลไม่ต้องเพิ่มโรงพยาบาลบ้า นี่เป็นทำลายความเห็นแก่ตัวและได้ประโยชน์ทั้งสาม
เอา,ในที่สุดก็ได้เรียกว่าเป็นบัณฑิตกันที เป็นบัณฑิตในพระพุทธศาสนานี้ บัณฑิต บัณฑิตแปลว่า ผู้มีปัญฑา ปัญฑา แปลว่าสติปัญญาดำเนินชีวิตให้ถึงความรอด ปัญฑา ปัญฑา ฑ นางมณโฑ น่ะ ปัญฑา ปัญญาที่ดำเนินชีวิตให้ถึงความรอด จิตตะ แปลว่ามี ปัญฑา เป็น อีตะ บัณฑิตแปลว่าผู้มีปัญฑา จึงว่าผู้มีปัญญาจึงทำความรอด ไม่ใช่ถือกระดาษแผ่นหนึ่งอกกมาจากมหาวิทยาลัยเดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษนี่ปัญฑา บัณฑิต บัณฑิต บัณฑิต เต็มไปทั้งโลก โลกนี้มันก็ยังไม่มีสันติภาพ บัณฑิตถือประกาศนียบัตรปริญญาบัตรมันจะท่วมโลกอยู่แล้ว โลกก็ยังไม่มี สันติภาพเพราะมันไม่มีการพัฒนาที่ถูกต้องการศึกษามันยังไม่ถูกต้อง มันมีแต่สอนให้ฉลาดแล้วไม่ควบคุมความฉลาด ก่อนเอาไปใช้เพื่อความเห็นแก่ตัวเสียอีกมันหนักกว่าเดิม ขอให้พวกเราที่จะพัฒนาโลกพัฒนามนุษย์นะรู้ความจริงข้อนี้ ขออภัยที่วิจารณ์ คำว่า สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ไม่เกรงใจ สถาบัน สถาบัน แปลว่า ตั้งมั่น ตั้งมั่น ตั้งมั่นที่ไหน ตั้งมั่นอยู่ในจิตใจ จึงจะเรียกว่าสถาบันตั้งมั่นอยู่ในจิตใจ เดี๋ยวนี้มันมีแต่สถาบันที่ตั้งมั่นอยู่บนดิน กลางดิน กลิ้งอยู่กลางดิน เป็นตึกใหญ่โตมโหฐาน มโหฐาน มโหฬาร ตึกเป็นก้อน ตึกนี่เป็นสถาบันบ้า สถาบันที่แท้จริงไม่ได้ตั้งอยู่กลางดินไม่ได้ตั้งอยู่ในรูปของวัตถุ แต่ตั้งอยู่ในจิตใจ ครอบงำจิตใจ ครอบงำจิตใจ จนทุกคนยอมรับแล้วนั้นคือสถาบัน คุณจะต้องมีสถาบันที่ตั้งอยู่ในจิตใจจึงจะเป็นสถาบันที่แท้จริง ถ้าไม่เกิดความเข้าใจเรื่องสอยพอใจฝั่งแน่นในจิตใจจึงจะเป็นสถาบันถ้าวางอยู่กลางดินเป็นวัตถุอยู่อย่างนี้ สถาบันเด็ก ๆ ตึกหลังนั้น ตึกหลังนี้ คณะนั้น คณะนี้ เป็นสถาบัน สถาบันต้องตั้งอยู่ในจิตใจเช่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องไปตั้งอยู่ในจิตใจของทุกคนอยู่ในจิตใจจึงจะเป็นสถาบันที่แท้จริง สถาบันชาติก็หมือนกันต้องไปตั้งอยู่ในจิตใจไม่อย่างนั้นมันมีแต่ปาก ต้องสถาบันศาสนาก็ต้องไปตั้งอยู่ในจิตใจไปฝั่งแน่นอยู่ในจิตใจ จึงจะเป็นสถาบัน สถาบันแปลว่าสิ่งที่มีมันคงตั้งมั่นอยู่ในจิตใจ ของคนทุกคน บัณฑิต บัณฑิต สถาบันบัณฑิตต้องมีบรรดาอย่างที่ว่า ทำความรอดให้เกิดขึ้นได้โดยแท้จริง พัฒนะ พัฒนาก็ทำให้เกิดความถูกต้อง ความดี ความเจริญงอกงาม ไม่เพียงแต่ให้มันรกหนามากขึ้น และหลอกลวงเพื่อล้วงกระเป๋าคนอื่นด้วยพัฒนาอย่างนี้ไม่ไหว ที่เขาบริหาร บริหาร นำออกไปก็ได้ นำเข้ามาก็ได้ สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็นำออกไป สิ่งที่พึงปรารถนาก็นำออกมา นี้เรียกว่าบริหาร แล้วคำว่าศาสตร์ ศาสตรา ศาตรา ของมีคมคือความรู้ที่ถูกต้องคือธรรมะ ธรรมะเป็นศาตรา เดี๋ยวนี้ก็ใช้ศาตรา วัตถุมากเกินไปแล้วใช้ศาตรา ปากคือหอกด่ากันในรัฐสภาอย่างนี้ไม่ใช่ศาตรา ศาตรามันจะต้องใช้แก้ปัญหาได้ เป็นธรรมะ ธรรมะศาตรา อะไรสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาตร์แยกออกดูเป็นคำ แต่ละคำ ละคำ มันก็ได้อย่างนี้ ท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้เพื่อมาหาความรู้ทางธรรมะเอาไปเป็นแนวศึกษาปฏิบัติเพื่อเป็นการพัฒนา ขอแสดงความยินดีด้วย ขออนุโมทนาด้วยในการมาของท่านทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ ขอตั้งความปรารถนาว่า ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์อันแท้จริง เนื่องในการพัฒนามีความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าในการศึกษาในหน้าที่การงานในการสร้างสันติภาพ อยู่เป็นสุขสวัสดี ทำหน้าที่ให้สนุกเป็นสุขอยู่ในการทำหน้าที่ ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ