แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่นทั้งหมด ขอแสดงความอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของท่านยุวชนทั้งหลายและผู้ใหญ่ที่จัดให้มา หรือช่วยให้มา การกระทำนี้มีเหตุผล คือมีประโยชน์ จึงขออนุโมทนา หัวข้อที่กำหนดไว้มีว่า ธรรมะสำหรับยุวชน มีคำว่าวัยรุ่นก็ได้ ขอใช้คำว่ายุวชนก็พอ หมายความว่า จะได้ศึกษาธรรมะตามที่ควรจะมีหรือควรจะเป็น หรือที่ต้องมีต้องเป็นด้วยซ้ำไป ยุวชนก็คือผู้ที่จะก้าวไปลงสู่สนามแห่งชีวิตอย่างถูกต้อง นี่มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คลอดมาจากบิดามารดา เติบโตขึ้นมาถึงจุดหนึ่งที่มันจะต้องก้าวลงสู่สนามรบของชีวิต ต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการ สำเร็จแล้วเบิกบาน สงบเย็น อย่างคำพูดคำหนึ่งว่า รื่นสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้า นี่มีความหมาย ที่นี้ จะต้องมาพูดกันเวลาอย่างนี้นั้น มันก็เป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษา ถ้านอนสายจะไม่ได้เห็นโลกในเวลาอย่างนี้ คนก็เคยนอนสาย ตื่นขึ้นมา เห็นโลกในรูปแบบหนึ่ง ถ้าตื่นตั้งแต่เช้าตรู่หรือก่อนรุ่งอย่างนี้ มันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง ขอให้สังเกตดู มันให้ความรู้สึกแก่จิตใจหรือมีอิทธิพลแก่จิตใจคนละอย่าง คนนอนสายกับคนนอนไม่สาย บางทีจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดเสียด้วย พูดกันง่ายๆ ก็ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เวลาอรุณหรือก่อนอรุณ คือเวลาอย่างนี้ เวลาที่มันจะสว่าง ยุวชนที่เคยนอนสาย ขอให้ศึกษาไว้ด้วยว่า มันต่างกันอย่างไร ว่าทำไมเราต้องมาพูดกันเวลาอย่างนี้ ซึ่งบางคนก็หงุดหงิดไม่ชอบเสียแล้วว่า มันอยากจะนอน นั่นแหละคือบทเรียน การบังคับจิตใจได้ แม้ในลักษณะอย่างนี้ ก็เป็นบทเรียนสูงสุด ฉะนั้น ขอให้ออกมาจากที่นอน มาสู่การศึกษาทางจิตใจ ให้รื่นสำราญเหมือนดอกไม้บานยามเช้า ไอ้ดอกไม้ธรรมดานั่นไม่เท่าไหร่มันก็เหี่ยว ต่อมาพอสายขึ้น ล่วงวันไปมันก็โรย แต่ว่าจิตใจของมนุษย์ที่รู้ธรรมะเบิกบานอย่างนี้แล้ว มันไม่รู้จักโรย นี่ ก็ให้รู้ไว้ว่า ธรรมะทำให้จิตใจเบิกบาน ชนิดที่ไม่รู้จักโรย ถ้ามันถูกต้อง ถ้ามันไม่ถูกต้อง มันก็จะโรยหรือยิ่งกว่าดอกไม้เสียอีก ฉะนั้น ขอแนะนำว่า ให้ชิมรสของโลกก่อนรุ่งอรุณกันอยู่เสมอไป อย่าเห็นแก่นอนเลย นอนหัวค่ำ ตื่นแต่ดึก ก็ยังดีกว่า นอนดึกแล้วตื่นสาย ตะวันขึ้น เรื่องนี้ทาง ทางศาสนา ทางอินเดีย ทางที่เขาเป็นต้นตอธรรมะศาสนา เขารู้กันดี เวลาที่จะมีความคิด แจ่มใส สดใส เบิกบาน นี่เป็นเวลาอย่างนี้
แล้วก็ อ้างหลักฐานกันง่ายๆ ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เวลาอย่างนี้
แล้วทีนี้ก็จะพูดถึงคำว่า ยุวชน เดี๋ยวนี้ก็เรียกกันว่า วัยรุ่นหรือ Teenage ตามใจเขาเถอะ แต่เราจะใช้คำว่า ยุวชน ยุวนี่ก็แปลว่า อ่อน คือยังอ่อนอยู่ ยังมีส่วนที่ยังอ่อนอยู่ ยังไม่เต็มที่ มันมีอยู่สองคำ คำว่า อ่อนนี่ ยุว ยุว นี่ก็แปลว่า อ่อน และอีกคำ คือ พาละ พาละ ที่แปลว่า พาล หรืออันธพาล พาละ คำนั้น ก็แปลว่า อ่อน ฟังดูให้ดี พาละ นี่มันไม่ไหว อ่อนอย่างพาละ หรือยังไมรู้อะไร อ่อนต่อความรู้ อ่อนต่ออะไร อ่อนต่อโลก เด็กทารกเพิ่งคลอด ภาษาบาลี เรียกว่า พาละ ยังไม่ทันเรียนอะไร ยังไม่รู้อะไร แต่แล้วเอาไปใช้สำหรับอันธพาล แก่แก่ อายุมากแล้วก็ยังเป็นอันธพาล พาละ มันไม่ไหว เราอย่าให้อ่อนอย่างพาละ เมื่อเราโตแล้ว เราอ่อนอย่างยุวะ อ่อนที่ที่มันกำลังจะแก่ ที่มันงอกงามไปเพื่อจะแก่ นี่ความเป็นยุวชนมันมีความอ่อนคนละอย่างกับคำว่า พาละชน พาละชนนี่มันอ่อนทางจิต ทางวิญญาณ ยุวชนนี่ส่วนร่างกาย จิตใจก็ตาม มันยังอ่อนอยู่ตามธรรมชาติ
ธรรมะสำหรับยุวชน เขากำหนดหัวข้อให้อย่างนั้น ก็จะได้พูดกันถึงข้อนี้ ที่ว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่ยุวชน สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะนี้ มีความหมายมาก มีหลายขั้นตอน แต่ใจความสำคัญ มันก็มีในลักษณะที่ยุวชนควรจะรู้จริงๆ ถ้าว่าธรรมะที่สอนกันในโรงเรียนนั้น ไม่ถูก หรือถูกนิดเดียว มักจะสอนกันในโรงเรียน ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เข้าใจว่ายังสอนกันอยู่อย่างนี้ เมื่ออาตมาเป็นเด็กๆ เรียนหนังสือ ครูก็สอนอย่างนี้ สังเกตดูในโรงเรียนสอนกันอย่างนี้ หรือจะเขียนลงไปในตำราเรียนกันเสียด้วยซ้ำไป
แต่คำว่า ธรรมะ ธรรมะนั้น มันไม่ได้หมายถึงเฉพาะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรอก เพราะคำว่า ธรรมะ ธรรมะนั้น เขาใช้กันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด มนุษย์ใช้คำว่า ธรรมะ พูดจากันตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด หรือบางทีก่อนที่จะมีศาสนาด้วยซ้ำไป คำว่า ธรรมะ นี้แปลว่า หน้าที่ ตัวหนังสือแท้ๆ มันแปลว่าส่งผู้ที่มีธรรมะไม่ให้ตกลงไปในความทุกข์ ธรรมะมาจาก root แปลว่า ธระ (นาทีที่ 10:23) แปลว่า ทรงไว้ ยกขึ้นไว้ ชูขึ้นไว้ ไม่พลัดตกลงไปในความทุกข์ พูดกันอยู่ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าหรือมีพระศาสดาใดๆ เป็นภาษาพูดของชาวบ้านทั่วไป สันนิษฐานเอาว่า มีคนสักคนหนึ่ง ทีแรก ก็มีปัญญาพอที่จะสังเกตเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ ที่กระทำกันอยู่ ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน คน พ่อค้าค้าขาย หน้าที่ หน้าที่นั้น มันมีความหมายมาก มีความสำคัญมาก ถึงกับว่า ถ้าไม่มีหน้าที่ ก็คือตายนั่นเอง ถ้าไม่มีหน้าที่ก็คือตาย ลองคิดดู คนก็ตาย สัตว์ก็ตาย ต้นไม้ต้นไร่ก็ตาย ถ้าไม่มีหน้าที่ คนก็ทำหน้าที่ของคน สัตว์ก็ทำหน้าที่อย่างสัตว์ ต้นไม้ก็ทำหน้าที่อย่างไม้ อย่างต้นไม้ แม้ส่วนประกอบอันเป็นส่วนย่อย มันก็ยังทำหน้าที่ หู ตา จมูก ลิ้น กายนี่ มันก็ทำหน้าที่ แข้งขา มือตีน มันก็ทำหน้าที่ กระทั่งว่า เซลล์แต่ละเซลล์ เนื้อหนังของเราแต่ละเซลล์ก็ทำหน้าที่อยู่อย่างขยันขันแข็ง ถ้าเซลล์เหล่านั้นหยุดทำหน้าที่ ก็ตายลูกเดียว คนนี้จะได้สังเกตเห็นว่า หน้าที่ หน้าที่ นี่คือสิ่งที่ทำให้รอดชีวิต ทรงชีวิตอยู่ได้
…(นาทีที่ 12:14) ไปเรียกมันว่า หน้าที่ แต่ภาษาอินเดียโบราณสมัยโน้น มันไม่ใช่ภาษาไทย มันก็หลุดปากคำว่า ธรรมะ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ แต่ถ้าเป็นภาษาไทย เราก็เป็นหน้าที่ ภาษาอังกฤษเป็น root แปลว่า ธรรมะ ในประเทศนั้น คำว่า ธรรมะ คือหน้าที่ มันก็เกิดขึ้นมา ก็เกิดขึ้นมา ทุกคนมองเห็น เห็นด้วย ว่าสนใจเรื่องหน้าที่ สนใจเรื่องหน้าที่ สั่งสอนเรื่องหน้าที่ ในต่ำๆ ต้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งมนุษย์รู้จักสิ่งทางจิตทางวิญญาณ ก็เลยสอนเรื่องหน้าที่ทางวิญญาณ จึงเกิดครูบาอาจารย์และพระศาสดาที่สอนหน้าที่เรื่องนี้ขึ้นมาตามลำดับ ตั้งแต่อย่างต่ำที่สุด อย่างต่ำที่สุด จนสูงที่สุด ซึ่งเราจะต้องพูดว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนหน้าที่ถึงที่สุดหลุดพ้น ไม่มีคำสอนใดจะสูงไปกว่านั้น แต่แล้วก็ยังเรียกว่า ธรรม ธรรมะ อยู่ตามเดิม แม้ในครั้งพุทธกาลนั้นน่ะ ที่ปรากฏอยู่ในบาลี คนเขาพูดจากัน เขาใช้คำนี้ อย่างเราเดี๋ยวนี้จะถามเพื่อนว่า คุณถือศาสนาอะไร ในครั้งกระโน้นจะถามว่า คุณชอบใจธรรมะของใคร ชอบใจธรรมะของพระสมณโคดม หรือชอบใจธรรมะของนิคันตนาตบุตร (นาทีที่ 14:13) หรือชอบใจธรรมะของมรรคลิโกษาละ (นาทีที่ 14:16) ที่ว่าถือเป็นศาสดา ศาสดา คู่แข่งขันอยู่กันในสมัยนั้น นี่ธรรมะแปลว่า หน้าที่ ถ้าเป็นคำสอน ก็เป็นคำสอนเรื่องหน้าที่ แต่ตัวมันเอง แปลว่า หน้าที่ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่
ปทานุกรมของเด็กๆ ในอินเดีย ธรรมะแปลว่า duty ปทานุกรมของไทยเราจะว่ายังไง ก็ไม่เคยเปิดดู แต่ในโรงเรียนสอนธรรมะคือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วมันจะถูกที่ไหน มันถูกนิดเดียว เพราะพูดกันมาตั้งแต่ยังไม่มีศาสนาเป็น เป็นรูปเป็นร่างด้วยซ้ำไป เรียกหากันแต่ว่า ธรรมะ ธรรมะนี่แปลว่า หน้าที่ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องหน้าที่ หรือจะพูดให้ถูกกว่านั้น ท่านค้นพบเรื่องหน้าที่ ท่านค้นพบหน้าที่อันสูงสุด หรือสุดท้ายกว่าใครๆ แล้วก็นำมาสอน ตัวธรรมะแท้ๆ แปลว่า หน้าที่ อีกคำหนึ่งก็คือคำว่า ทางรอด หนทางรอด มนุษย์ต้องการทางรอดโดยความรู้สึกของสัญชาตญาณ ก็ได้ มันก็ต้องการทางรอด แสวงหาทางรอด ทางรอด เรียกว่า หนทางก็ได้ ธรรมะนี่ แปลว่า หนทาง คำว่า เต๋า น่ะ แปลว่า ทาง คำเดียวกับธรรมะ
ทีนี้มาดูให้ดี ลึกยิ่งขึ้นไปอีก ไม่มีธรรมะก็คือตายนั้นน่ะ ไม่มีหน้าที่ก็คือตายนั้นน่ะ ธรรมะ มันก็แปลว่า คู่ชีวิต ชีวิตไม่มีธรรมะก็ต้องตาย ฉะนั้น ธรรมะที่ในความหมายที่สำคัญ ก็แปลว่า มันเป็นคู่ชีวิต ขาดธรรมะ คือ ขาดหน้าที่ของชีวิต ชีวิตก็ต้องแตกดับ เราจะพูดให้ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้ว่า มันเป็นตัวชีวิตเสียเองจะดีกว่ามั๊ง อย่าเรียกว่า คู่ชีวิตเลย แต่เอาเถอะ แปลว่า คู่ชีวิตนี้ก็ยังยังยังวิเศษมากอยู่หรอก ขอให้เป็นคู่ชีวิตได้จริงๆ เถอะ ก็รอดแหละ แต่มันอยู่พร้อมกัน มีธรรมะก็มีชีวิต ไม่มีธรรมะก็ไม่มีชีวิต มันเป็นตัวชีวิตเสียเอง จะมีความหมายมาก ธรรมะคือ คู่ชีวิต หรือว่า ธรรมะ เป็นตัวชีวิตเสียเอง เรามาศึกษาธรรมะ ก็มาศึกษาชีวิต หรือจะเรียกว่า มาแสวงหาชีวิต
พวกฝรั่งเป็นอันมากที่มาที่นี่ทุกเดือน มากคนน่ะ มันรู้จักพูดว่ามันแสวงหาชีวิตที่ที่พอใจ มีชีวิตที่ควรจะพอใจ หรือพอใจ เขามีชีวิตที่ยังไม่พอใจ มาศึกษาหาธรรมะ หาชีวิตที่พอใจ แม้พวกฮิปปี้ ฮิปปี้บ้าๆ บอๆ มันก็แสวงหาชีวิตที่น่าพอใจ แต่มนุษย์รู้จักแสวงหาชีวิตจนกว่าจะเป็นที่พอใจ ฉะนั้น คำว่า ธรรมะ ธรรมะนี้ มันแปลว่า หน้าที่ แต่แล้วมันก็คือทางรอด หนทางรอดของชีวิต แต่แล้วมันก็คือชีวิต ตัวชีวิต หรือคู่ชีวิต นี่ขอให้ยุวชนทั้งหลาย รู้จักสิ่งนี้เถิด เพราะดุษฎี ผู้แสดง ท่านกำหนดหัวข้อไว้อย่างนี้ สำหรับยุวชน อาตมาก็ถือเอายุวชนนี้เป็นมาตรฐาน ที่ว่าจะบรรยายธรรมะ ฉะนั้น ขอร้องว่า ยุวชนทั้งหลายอย่าได้เป็นพาลชน รู้จักสิ่งที่ควรรู้จัก คือธรรมะ คือหน้าที่ คือทางรอด หรือชีวิตที่ควรจะปรารถนา ชีวิตที่แท้จริงที่ควรปรารถนาน่ะ มีความหมายว่า ไม่กัดเจ้าของ สัตว์ที่เลวมากนี่กัดเจ้าของ สัตว์ที่ไม่ประสีประสา เช่น ลิง ค่าง เป็นต้นนี้ มันกัดแม้แต่เจ้าของ ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามีไม่ถูกต้อง มันกัดเจ้าของ คือทรมานแห่งจิตใจ มันกัดเจ้าของ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ แม้แต่หัวเราะ มันก็ไม่ใช่สนุกนัก มันเป็นความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน ก็เรียกว่า กัดอยู่อย่างลึกซึ้ง คือมันขึ้นลง ขึ้นลง บวกลบ บวกลบ อาการนี้เรียกว่า มันกัดเจ้าของ ชีวิตที่ถูกต้อง ที่ควรปรารถนาโดยแท้จริง ต้องไม่กัดเจ้าของ หมายความว่า มันมีการกระทำที่ถูกต้องทั่วไปหมดน่ะ ทั่วไปหมด ไม่มีอาการที่ให้ความเจ็บปวดแก่เจ้าของ เรียกว่า ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ
ถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องนี้ ปล่อยไปตามบุญตามกรรม จะมีแต่ชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของ ขอให้ศึกษาธรรมะ เพื่อจะมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ แล้วก็จะไม่เสียทีที่เกิดมา พูดหยาบคายหน่อย ก็ไม่เสียชาติเกิดนั้นน่ะ เกิดมาแล้วอยู่กับชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของ มันจะดียังไง ประโยชน์สูงสุดของพระศาสนาของพระธรรมก็อยู่ที่ตรงนี้ คือดับทุกข์ ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ก็มีธรรมะ เราก็จะศึกษาธรรมะในลักษณะอย่างนี้ เกิดมาไม่ต้องเสียชาติเกิด ถ้าไม่พบกับสิ่งที่ไม่กัดเจ้าของ ไม่เสียชาติเกิด ตายเข้าโลงไปเปล่าๆ เป็นชีวิตที่ทนทรมาน น่าเอาเข้าโลงไปเท่านั้น ไม่ได้มีเป็นมนุษย์มนาที่ถูกต้อง ถ้ามันเป็นมนุษย์ สมตามคำว่า มนุษย์ ที่แปลว่า ใจสูง มนุษ มนุษยะ ก็แปลว่า ใจสูง อยู่เหนือความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ที่กัด ผูกมัดเผาลน อะไรที่เรียกว่า เป็นมนุษย์ ไม่เสียชาติเกิด ชีวิตมันกัดเจ้าของอยู่เรื่อยไป มันก็เป็นแต่ได้ คน เป็นคนเท่านั้น ไม่ได้เป็นมนุษย์ มันก็คนละพันธุ์ คน คนนี้ แปลว่า เกิดมา มนุษย์ มนุษย์ แปลว่า ใจสูง เกิดมาใจยังไม่สูงก็ทำให้สูง เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ว่า จะต้องศึกษา ประพฤติปฏิบัติกัน ใจมันจะสูง ก็สมที่ได้เกิดมาไม่เสียชาติเกิด
ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ อาตมาขอกล่าวกับ ยุวชนทั้งหลายที่อยู่หลังๆ ผู้ใหญ่ที่นั่งข้างหน้านี้ไม่ใช่ยุวชนนะ การจัดสถานที่นี้ไม่ถูกกับความมุ่งหมายที่ว่าจะพูดกับยุวชน ยุวชนที่นั่งอยู่ข้างหลังทั้งหลาย รู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ธรรมชาติให้มาให้ลักษณะที่พัฒนาได้ คือทำให้มันเจริญงอกงามก้าวหน้าจนถึงจุดสูงสุดได้ ไม่ใช่ตายด้าน หรือตายตัวอยู่ที่ตรงนั้น และต้องพัฒนา ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้และต้องพัฒนา บางคนอาจจะเซ่อซ่าถึงกับพูดว่า โอ้ย เราไม่ได้ต้องการจะเกิดมา เราไม่รับผิดชอบ พัฒนา พัฒนานี่ไม่รู้ ฉันไม่ได้ต้องการจะเกิดมา ฉันไม่รับผิดชอบที่จะพัฒนา ถ้าอย่างนี้แล้วมันเชือดคนตัวเอง มันต้องรับผิดชอบทั้งที่ไม่ได้ต้องการจะเกิดมานี่ มันเกิดมาแล้ว มันก็ต้องรับผิดชอบในการที่จะทำให้มันถูกต้อง ให้มันดี ให้มันถูก เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อพัฒนาได้สิ่งที่ควรจะได้ หรือสูงสุดที่ควรจะได้ ก็เรียกว่า ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ประกอบไปด้วยธรรมะสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สุดยอดก็เป็นพระอรหันต์ ฟังดูแล้ว บางคนก็ไม่ต้องการ แต่มันก็เป็นสุดยอดของชีวิตทุกชีวิตที่มันอยู่ที่นั่น เอาละ ไม่ต้องการถึงยอดสุด ก็เอาแต่เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องที่ดีอยู่ในโลกนี้ มีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของก็จะพอใจ เรียกว่า ไม่เสียทีที่เกิดมา
ทีนี้ ก็ดูไปถึงข้อที่ว่า วัฒนธรรมก็ดี ขนบธรรมเนียมประเพณีก็ดี จัดให้ยุวชนได้รับการศึกษา โดยเฉพาะคนหนุ่มในประเทศอินเดียน่ะ เป็นธรรมเนียม เป็นพิธีอะไรมาแต่โบราณ เรียกว่า อาศรม อาศรม อาศรม ไปอยู่กันมากๆ แล้วก็ศึกษาปฏิบัติอย่างเดียวกัน แล้วก็เรียกว่า อาศรม คนหนุ่มเข้าไปอยู่ในอาศรม ศึกษาตามที่อาจารย์จะสอนให้จนกว่าจะจบ จะเสร็จ เหมาะสมที่จะออกมาเป็นมนุษย์ หรือออกมาเป็นผู้ต่อสู้ชีวิตในโลก เรียนจบอาศรมอย่างนี้แล้ว ออกมาก็เรียกว่า บัณฑิต บัณฑิต คำนี้แปลว่า ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องดำเนินชีวิต บัณฑาน่ะ ความรู้เป็นเครื่องดำเนินชีวิต ฑิต นั่นแปลว่า มี บัณฑา-ฑิต เรียกว่า บัณฑิต มีความรู้ชนิดที่ว่าสามารถจะดำเนินชีวิตอย่างเพียงพอแล้ว ออกมาจากอาศรมแล้ว ก็เรียกว่า บัณฑิต หรือธรรมเนียมโบราณ โบราณในอินเดีย มองเห็นความสำคัญว่า ยุวชนต้องได้รับการอบรม ระหว่างอยู่ในอาศรมนั้น ไม่ใช่แต่ศึกษาหนังสืออย่างเรียนในมหาวิทยาลัย ศึกษาระเบียบปฏิบัติที่จะกล่อมเกลาจิตใจ บังคับจิตใจ ให้มีจิตใจที่ถูกต้องเป็นที่พอใจ ไม่ใช่แต่มีแต่ความรู้ ดูจะไม่ ไม่สู้จะต้องการความรู้กันมากนัก ต้องการความดีความถูกต้อง รู้จิตใจที่สูงมากกว่า นั่นน่ะคือการศึกษาที่แท้จริง ไม่เหมือนกับการศึกษาบ้าๆ บอๆ สมัยนี้นิยมกันแต่ความรู้ มันก็รู้ๆๆ แล้วมันก็ฉลาดๆๆ แล้วมันก็บังคับความฉลาดไม่ได้ มันเอา เอาความฉลาดไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว โลกนี้มันจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว มหาวิทยาลัยทั้งหลายในโลกมีแต่สอนให้ฉลาดๆๆ จนไม่รู้จะฉลาดกันอย่างไร ไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนกับไปเที่ยวหลังบ้าน มันฉลาดถึงขนาดนั้น แต่มันไม่มีความรู้ที่จะบังคับความฉลาด เลยฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว มันจะไปโลกพระจันทร์ได้ก็เพื่อหาวิธีเอาเปรียบผู้อื่น การศึกษาในโลกปัจจุบัน ตั้งแต่อนุบาลจนมหาวิทยาลัย มันล้วนแต่เป็นการศึกษาบ้าๆ บอๆ สอนแต่ให้ฉลาดๆๆ ฉลาดจนไม่รู้จะฉลาดกันอย่างไร แล้วไม่มีอะไรบังคับความฉลาด นี่มันเป็นโทษของการแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา ..... (นาทีที่ 28:05) บ้าๆ บอๆ มันเพิ่งมีนะ มันเพิ่งมีในโลกนะ ก่อนนี้ศาสนากับการศึกษามันรวมอยู่ด้วยกัน เขาบอก เขาเล่ากันมาว่า ไอ้มหาวิทยาลัยสูงสุดเคมบริดจ์ ออกซ์ฟอร์ดอะไรเนี่ย ก่อนนี้พระจัดนะโรงเรียนราษฎร์ของพระ สอนศาสนาคู่กันไปกับเรื่องของการศึกษา เห็นว่าการศาสนามันควบคุมการศึกษา เมื่อลมส (นาทีที่ 28:05) กรมหมื่นพิทยาไปเล่าเรียน มาเล่าให้ฟังอีก มรรคยาจารย์ เคยไปฟังก่อนนั้น ท่านก็เล่าว่า ยังต้องสวดมนต์ก่อนกินอาหารเลยนะ ที่ออกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์ เดี๋ยวนี้ยังจะไม่มีแล้ว จะไม่เป็นอย่างนั้น เนี่ย การศึกษามันแยกส่วนกันจากศาสนา หรือว่า มนุษย์สมัยนี้มันแยกศาสนาออกไป การศึกษาทางศาสนามันก็ไม่มี ก็เหลือแต่การศึกษาบ้าๆ บอๆ ฉลาดอย่างเดียว ไม่ควบคุมความฉลาด นี่ขอคัดค้านอย่างยิ่ง
ขอให้ยุวชนทั้งหลายได้ศึกษาวิชาความรู้ไว้แขนงหนึ่ง คือธรรมะ เพื่อเอาไปควบคุมความฉลาดที่ได้รับจากการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอะไรก็ตาม เราจะต้องมีสิ่งที่ควบคุมความฉลาด การศึกษาจึงจะสมบูรณ์ ขอแสดงความยินดีเพื่ออนุโมทนาด้วย ที่ท่านทั้งหลายยังฝักใฝ่ธรรมะ เอาธรรมะไปใช้ ควบคุมชีวิตคือ ความฉลาดที่ได้มาจากการศึกษานั้นเอง อย่างที่บอกแล้วว่า อยู่ในอาศรม กว่าจะเป็นบัณฑิตนั้น ก็เรียกว่า ประพฤติพรมจรรย์ ประพฤติพรมจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มสาวที่บังคับตนเองให้อยู่ในความถูกต้องนั้นน่ะเรียกว่า พรมจรรย์ แล้วเรื่องสำคัญมันก็เป็นเรื่องทางเพศเสียด้วย เพราะมันเป็นเรื่องที่มีกำลังแรงดุร้าย นี่ถ้าบังคับไว้ไม่ได้ มันก็จะมีแต่ความผิดพลาดนะ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมาสมรสหรือมาทำอะไรอย่างชาวโลกนี้ เขาเข้าอาศรมประพฤติพรมจรรย์ บังคับตัวเองได้ดีที่สุด ทั้งระบบกายและระบบจิต ระบบวิญญาณ บัณฑิตเหล่านั้นสามารถควบคุมกาย ควบคุมจิต ควบคุมวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกทางเพศไม่มาเป็นนายอยู่เหนือหัวเขา จะไปอยู่ข้างล่างแล้วบังคับมันได้ นี่คือบัณฑิตน่ะ น่าเลื่อมใสสักเท่าไหร่ขอให้ลองคิดดู
มันมีคำพูดที่ควรจะสนใจอยู่คำหนึ่งนะ อาตมาได้ยิน คำสอนแต่งเป็นคำกลอนโบรงโบราณ อาจจะแถวนี้ แถวเรามาวัดดอนนี้ว่า ทารกน้อยๆ เกิดมาจากท้องแม่แล้วมันก็หนีพ่อแม่ตามโจรไป วิ่งหนีตามโจรไป เกิดมามันอยู่กับพ่อแม่ แล้วมีโจรผ่านมา มันก็วิ่งหนีพ่อแม่ตามโจรไป มันเป็นภาษาที่ต้องตีความ มีความหมายซ่อนเร้นอยู่ในนั้น เกิดมาอยู่กับพ่อแม่ โจรในที่นี้ก็หมายความว่า กิเลสที่มีอาการตามใจตัวเอง สนุกสนาน เอร็ดอร่อยกันเต็มที่ ยิ่งกว่าดิสโก้เทคเสียอีก พอมันมีมาให้เห็น เด็กทารกนี้ มันก็ทิ้งพ่อแม่ตามโจรไป ก็ไปอยู่เป็นโจร ทำอย่างโจร คือทำตามกิเลส ได้รับความเจ็บปวดมันทุกข์เหลือประมาณ เหลือประมาณ กว่ามันจะรู้สึก กว่ามันจะรู้สึก มันจะหนีโจรมาหาพ่อแม่นะ เราระวังให้ดีๆ ยุวชน อย่าทิ้งพ่อแม่ อย่าทิ้งระเบียบ ครูบาอาจารย์ ไปตามใจกิเลส โดยเฉพาะตามอารมณ์ ไปอยู่กับพวกโจร และเจ็บปวดรวดร้าวจนลำบาก เพราะมันเป็นเรื่องผิด จนกว่าจะรู้สึกว่าถูกว่าผิด โจรมาหาพ่อแม่ ถ้ามันเก่งกว่านั้น ฆ่าโจรเสีย แล้วจึงมาหาพ่อแม่ และมันเก่งที่สุด มันบ้าไปตามกิเลสตัณหา แล้วก็ฆ่ากิเลสหรือฆ่าโจรนั้นเสีย มาหาความถูกต้อง มาอยู่กับพ่อแม่ อยู่กับธรรมะอยู่กับศาสนา มาอยู่กับพระพุทธเจ้า นี่ขอเตือนสักหน่อยว่า ยุวชนทั้งหลาย ระวังจะมีอาการอย่างนี้ ที่หนีพ่อแม่ตามโจรไป ไม่พอใจในระเบียบหรือในกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สอนให้ พ่อแม่ก็สอนให้ ครูบาอาจารย์ก็สอนให้ แล้วเราก็ไม่อยากที่จะทำอย่างนั้น ไปเอาความสนุกสานานเพลิดเพลินที่อื่น แล้วทำความฉิบหายให้แก่ตัวเองโดยไม่รู้สึก ยุวชนทั้งหลายพอใจในสถานเริงรมย์ สถานอะไรอาตมาก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่รู้ได้โดยสรุปว่า มันมีลักษณะถือเป็นการทำลาย หนีโรงเรียนไปสู่สถานที่อย่างนั้น แม้เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ก็ยังมี ที่เรียกว่า หนีพ่อแม่ตามโจรไป ….เสียงเบาจนจับคำพูดไม่ได้ (นาทีที่ 34.40) เลิกกิเลสเหล่านั้นโดยประการทั้งปวง จึงเรียกว่า ฆ่าโจรเสีย…เสียงเบาจนจับคำพูดไม่ได้ (นาทีที่ 35.40) ธรรมะเพียงพอจะฆ่าโจรเสีย ถ้ามีความรู้ทางธรรมะอย่างเพียงพอ ก็สามารถตัดขาดจากโจรเหล่านั้น เรียกอีกทีชื่อก็ว่า อบายมุข มึนเมาแต่ของเมา ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนันทุกวันศุกร์ เกียจคร้านทำการงานที่เรียก อบายมุข มีกามารมณ์รวมอยู่ในนั้น นี่เรียกว่า มันเป็นดงของโจร ที่ต้องออกมาเสียให้ได้
มีชีวิตที่ถูกต้อง ถูกต้อง มาตั้งแต่เกิด เรื่อยๆ มา จนเป็นยุวชน เป็นหนุ่มเป็นสาว เดินไปอย่างถูกต้อง ก็จะไปสู่จุดหมายปลายทางที่เรียกว่า สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้เป็นแน่นอนน่ะ ไอ้ความเสียชาติเกิดน่ะ ไม่มี ต้องไม่มี ต้องได้รับประโยชน์ที่สุด จะเรียกว่า กำไรก็ได้ เป็นเศรษฐกิจทางจิตทางวิญญาณ คำว่าเศรษฐกิจนี่ก็หมายความว่า ทำให้มันเกิดกำไร ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ให้มีประโยชน์ ให้มีประโยชน์สูงสุด เนี่ยอาการของเศรษฐกิจ เรามีเศรษฐกิจทางวิญญาณ ทำชีวิตนี้ให้ได้กำไรที่สุด
ใน ในบาลี มีคำกล่าวถึงเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เขาเรียกว่า โวหาระ หรือสังโวหาระ ที่เราเรียกกันว่า โวหาร โวหารนั่นน่ะ รู้จักกันแต่ว่าเป็นคำพูด คำพูดมีโวหารดี อย่างคำนี้ไม่ได้หมายถึงคำพูด ไม่ได้หมายถึงโวหาร คำพูด แต่หมายถึงการค้า ค้าขาย การค้าขายทั่วไป การค้าขาย หมายความว่า ทำให้มันมีกำไรออกมาให้มากๆ นี่เรียกโวหาร ชีวิตนี่เป็นทุน ลงทุน ทำการค้าด้วยชีวิต ด้วยเป็น มีกำไรเกิดขึ้น ความเจริญทางกาย ความเจริญทางจิต ความเจริญทางสติปัญญาเป็นโวหาระ ชีวิตโวหาระ การค้าขายด้วยชีวิต รู้จักคำว่า โวหาระ หรือโวหารให้ดีๆ ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกำไร แม้โวหารพูดนี่ก็เหมือนกัน ใครมีโวหารพูดดีๆ ก็กอบโกยประโยชน์ได้มาก โวหาระน่ะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกำไร ใช้ชีวิตเป็นโวหาระ เป็นการค้า แล้วก็ได้กำไร
ทีนี้ มันก็แบ่งเป็นสองซีกอีกว่า ทางวัตถุ หรือว่างทางจิตใจ คือทางกายหรือทางจิต ทางวัตถุ ทางกาย ทางจิตใจ ก็สำเร็จประโยชน์ในการมีชีวิตในแง่ร่างกาย มีทรัพย์สมบัติที่เขียนเป็นคำกล่าวไว้ ในสูตรนั้น ในบาลีนั้น ก็ว่า เราประสบความสำเร็จในการงาน ในหน้าที่การงาน สะสมทรัพย์สมบัติไว้ได้มาก สมัยโบราณ การงานคือ ทำนาโดยมาก ทำการค้า มีทรัพย์ มีข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง แล้วจะร่ำรวยมหาศาล แต่อายุมากพอสมควรแล้ว ประสบความสำเร็จในชีวิตโวหารแล้ว ก็ยกทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ ให้ลูกให้หลาน แล้วตัวเองก็นุ่งผ้าขาว สวมเสื้อขาว ใส่รองเท้าขาว กั้นร่มขาว เดินเล่นอยู่ตามริมลำธาร ตามป่าละเมาะ สนามหญ้าตามธรรมชาติ เบิกบานอย่างยิ่ง นี่ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตโวหารชนิดหนึ่ง ซึ่งก็มีพูดและก็ทำกันอยู่ กระทำกันอยู่ ไอ้คนที่ประสบชีวิตโวหารทางวัตถุอย่างนี้ วันหนึ่งไปพบกับพระพุทธเจ้าเข้า เขาอวดว่า เขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต ….เสียงเบาจนจับคำพูดไม่ได้ (นาทีที่ 40.03) รองเท้าขาว ผ้านุ่งห่มขาวมาเที่ยวเดินอยู่ คล้ายกับอวด พระพุทธเจ้าถามว่า แล้วทำไม บอกข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จชีวิตโวหาร จบหน้าที่ในการเป็นมนุษย์ พวกนั้นเขาถืออย่างนั้น เพราะเขาเป็นวัตถุนิยมโดยไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าบอกไม่ ไม่ ยังไม่ถือว่าสำเร็จชีวิตโวหาร แล้วเขาทำกันยังไง พระพุทธเจ้าก็ถามว่า ถ้าลูกหลานของคุณตายลงไป คุณร้องไห้ไหม นายคนนี้มันก็รับสารภาพ มันยังมีจิตใจธรรมดาสามัญ ถ้าทรัพย์สมบัตินั้นสูญหายไปหรือลูกหลานที่รับมรดกนี่มันตายลง นี่ก็ร้องไห้ เนี่ยมันไม่ ไม่ ไม่ใช่ผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดของชีวิตดอก ถ้าเขาทำอย่างนั้น ต้องรู้ รู้ความจริงเรื่องความจริงของชีวิตชนิดที่ไม่ต้องร้องไห้เมื่อทรัพย์สมบัติสูญหายไป เมื่อของรักสูญไป ตายไป อะไร ไม่มีความทุกข์เลย จึงจะเรียกว่า สำเร็จชีวิตโวหารโดยแท้จริง นายคนนี้ก็เห็นด้วย เลยยอมศึกษาธรรมะ
ชีวิตโวหารเลยมีสองแบบ แบบวัตถุที่บูชากันนัก หลงใหลกันนักธุรกิจทั้งหลาย มันเป็นเรื่องแบบโลกๆ แบบฝ่ายกาย ฝ่ายวัตถุ ไม่สนใจธรรมะ ไม่เป็นฝ่ายจิตใจ มันเป็นมหาเศรษฐีแล้ว มันก็ยังฆ่าตัวตาย เพราะมันไม่มีความรู้ทางธรรมะเสียเลย มันเป็นเรื่องของวัตถุของร่างกาย มันไม่ไป ไม่ไปถึงจิตใจ เดี๋ยวนี้เรามาหาทรัพย์สมบัติในด้านจิตด้านวิญญาณกันบ้าง แล้วเอาไปไว้ในส่วนจิตส่วนวิญญาณ ควบคุมฝ่ายวัตถุ ไม่ปวดหัว ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ไม่เป็นฆ่าตัวตายแน่ การที่คุณจะมีทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา บารมีอย่างเดียว อย่างโลกๆ นั้น มันจะปวดหัวมากขึ้น มันจะเป็นโรคประสาทไม่ทันรู้ มันจะเป็นบ้า ฆ่าตัวตายไม่ทันรู้อย่างที่ปรากฏว่า มหาเศรษฐีมันก็ยังฆ่าตัวตายด้วยปัญหาเรื่องชีวิต คนเป็นบ้ามันมาจากความไม่รู้จักความจริงของชีวิต มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว จนปวดหัว จนเป็นโรคประสาท จนเป็นบ้า ที่จะต้องหาไว้ส่วนหนึ่ง คือส่วนชีวิต อยากจะมีเป็นสามความหมายด้วยซ้ำไป ทางวัตถุทางร่างกายเนี่ย ให้มันถูกต้อง ให้มันสบายดี
ทางจิต จิตใจ ก็จิตเข้มแข็งปกติ อนามัยทางจิตดี ไม่เป็นโรคจิต แล้วทางวิญญาณ ….เสียงเบาจนจับคำพูดไม่ได้ (นาทีที่ 43.25) เพราะดำรงจิตไว้ชนิดที่ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความทุกข์ เนี่ยไอ้ทางกาย ทาง physical ก็ถูกต้อง ทางจิต ทาง mental ก็ถูกต้อง ทาง mental นั้นมันสูงกว่า psychological หรือจะใช้คำว่า mental ทางกาย physical ทางจิต mental และทางที่สูงสุดไปทางกว่านั้น ก็เรียกว่า spiritual, spirituality ความถูกต้องทางจิตวิญญาณ คือมีความรู้ถูกต้อง คนจิตปกติไม่เป็นบ้า มีความรู้ผิดๆ ก็มี ไม่ว่ากายสบายดี จิตปกติดี ก็ต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง จะควบคุมกิเลสอย่างไร กิเลสจึงจะไม่เผา มันยังจะมีความสุขทั้งทางกาย ความสุขทั้งทางจิต ความสุขทั้งทางวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ให้ความหมายพิเศษคือ คือทางสติปัญญา นี่เราจะต้องมีความถูกต้องทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทางจิตนั้นจะเรียกว่า ทางจิต mental หรือ spirituality ก็ได้ เป็นเรื่องทางจิตทั้งนั้นแหละ เรียกว่า ทั้งทางกายและทางจิตก็พอ
ชีวิตนี้เทียมด้วยควายสองตัว ควายตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางกายคือ กำลัง ควายตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางจิต ทางสติปัญญา ควายสองตัวสำเร็จประโยชน์แม้แต่ในการไถนา ที่เห็นไถนาน่ะ ก็ร้องร้องโว้กๆ อยู่กับการไถนา ออกคำสั่งแก่ควาย คนไม่รู้คิดว่า สั่งควายทั้งสองตัว ที่จริงคำสั่งนั้น สั่งแต่เฉพาะควายตัวที่ฉลาด ควายตัวนั้นผอมก็ได้ เป็นตัวที่ฉลาด ฟังคำสั่งถูกต้อง ไอ้ตัวอ้วน ตัวแข็งแรงนั้น โง่ ไม่ได้ฟังคำสั่งหรอก ไอ้ตัวผอม ฟังคำสั่ง แล้วมันจึงทำให้เลี้ยวไม่หยุดอะไรก็ตาม โดยที่ตัวไอ้ฉลาด ตัวผอมก็ได้ ผอมก็ได้ ไม่ต้องอ้วนหรอก ควายก็ยังต้องใช้สองตัว ตัวกำลังตัวหนึ่ง ตัวความรู้สติปัญญาตัวหนึ่ง ก็ไถนาได้ดี
ชีวิตนี้ก็เหมือนกันแหละ มันก็ต้องเทียมด้วยควายสองตัว ถูกต้องทางร่างกาย ทางวัตถุ ถูกต้องทางสติปัญญา ขอให้ทุกคน ยุวชนทั้งหลายเตรียมไว้มีควายสองตัว มีควายสองตัว ทางร่างกายกับทางสติปัญญา นี่จึงจะเรียกว่า เป็นการกระทำที่สมบูรณ์ ชีวิตที่ได้พัฒนาโดยสมบูรณ์ ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต เทียมไว้อย่างนั้น ที่เรียนกันมหาวิทยาลัยนี้ มันเรียนแต่เรื่องทางกาย หรือเรียนเรื่องทางจิตเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องทางจิตที่อยู่ใต้อำนาจของกาย อย่าเป็นคอมมิวนิสต์ไป จิตวิทยาที่เรียนกันบ้างนี้ สำหรับไปรับใช้ร่างกายเสียมากกว่า มันต้องเป็นจิต เรื่องจิตที่สูงกว่านั้น เรียกว่า ทางธรรมะ จิตวิทยาที่เรียนกันนั้น ไม่สูงอะไร สำหรับไปประกอบทางกาย รับใช้ร่างกายเสียมากกว่า มาหาธรรมะ ศึกษาธรรมะ คือมาหาความรู้ทางจิต จะได้เป็นควายตัวที่มีสติปัญญาดำเนินชีวิตไปอย่างถูกต้อง
เอ้าทีนี้ ก็มาดูถึงอุปสรรค ที่เคยพูดเมื่อตะกี้แล้วว่า มักจะหนีตามโจรไป เด็กๆ เนี่ยหนีทิ้งพ่อแม่ตามโจรไป สิ่งนี้ก็หมายถึง สิ่งที่ยั่วยวน สิ่งที่ยั่วยวน แล้วก็ไม่มีอะไรที่มากไปกว่าสิ่งที่เรียกว่า เซ็กส์หรือกามารมณ์นี้ นี้เป็นอุปสรรค เป็นอุปสรรค จะเป็นควายบ้าที่จะพาทารกเข้าพงแหลกตายไปหมด ไม่ใช่ควายสองตัวนั้น เป็นควายบ้าอีกตัวหนึ่งระวังให้ดี ปัญหานี้ลึกมาก ปัญหาเรื่องกามารมณ์ เป็นปัญหาที่เข้าใจยาก ไอ้ชีวิตมันประกอบด้วย สัญชาตญาณ สัญชาตญาณ มันก็มีความ มีมีส่วนที่จะมีความรู้สึกทางกามารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ธรรมชาติให้อวัยวะเพศที่จะมีความรู้สึกทางกามารมณ์มาทั้งหญิงทั้งชาย พอร่างกายเติบโตสมควร อวัยวะเพศถึงขนาดสมควร มันก็เกิดความรู้สึกทางกามารมณ์ นี้คือตัวปัญหา ตัวข้าศึกที่จะต้องเอาชนะให้ได้ อย่าให้ผิดพลาดได้ ที่จริงธรรมชาตินั้นไม่ได้ต้องการให้มีกามารมณ์ มันต้องการสืบพันธุ์ มันต้องการสืบพันธุ์ reproduction ต้องการสืบพันธุ์อย่าให้สูญพันธุ์ นี่ธรรมชาติฉลาดมาก ฉลาดมาก ต้องการมากไม่ให้สูญพันธุ์ แต่ในการสืบพันธุ์ล้วนหรือ reproduction นั้น มันไม่ ไม่สนุกนี่ มันน่าเกลียด มันลำบากนี่ ไอ้สัตว์มันก็จะไม่ทำ นี่ธรรมชาติมันฉลาดเหนือกว่า มันจ้างให้ทำ ให้สัตว์โง่ๆ รับจ้าง สิ่งนั้นคือกามารมณ์ เรื่องเซ็กส์ เรื่องกามารมณ์ ธรรมชาติ ก็เรื่องเซ็กส์มาปะหน้าการสืบพันธุ์ซะ มนุษย์ก็ทำการสืบพันธุ์โดยไม่รู้สึกตัว ทั้งที่ไม่อยากจะทำ ขอให้แยกทั้งสองเรื่อง เรื่องกามารมณ์นั้นเรื่องต่างหาก เรื่องการสืบพันธุ์นั้นเรื่องต่างหาก ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ว่าการสืบพันธุ์นั้น ลำบากเจ็บปวด ไม่ไม่ ไม่อยากทำ ไม่ต้องการจะทำ แต่ธรรมชาติมันเหนือกว่า มันสร้างด้วยเหยื่อล่อที่สูงสุดคือ กามารมณ์ เอากามารมณ์มาปะไว้ข้างหน้า คนหลงไปในทางกามารมณ์ ก็คงจะเกิดการสืบพันธุ์ขึ้นมา นี่แปลว่า แพ้ พ่ายแพ้แก่ธรรมชาติที่มันฉลาดกว่า อย่าไปบูชากามารมณ์เลย มันเป็นค่าจ้างให้คนโง่ทำการสืบพันธุ์ สิ่งที่ถูกต้องถ่องแท้ตามปกติของธรรมชาติคือ การสืบพันธุ์ให้ดี สืบพันธุ์ให้ดี อย่าให้สูญพันธุ์ และให้มีพันธุ์ให้ดี ถ้าไปบ้ากามารมณ์ ก็จะได้พันธุ์ที่เลวนะ มันชิงสุกก่อนห้าม ยุ่งไปหมด มีการสืบพันธุ์ให้ดีที่สุด ให้ได้ผู้สืบพันธุ์ที่ดีที่สุด ให้พันธุ์ของมนุษย์มันดียิ่งๆ ขึ้นไป นี่มันน่าละอายไหม คิดดูสิ เขาต้องหลอก เขาต้องจ้างให้สืบพันธุ์ เพื่อรักษาพันธุ์ไว้ แยกกันเสียเด็ดขาดว่าเป็นคนละเรื่อง เรายอมรับการสืบพันธุ์ให้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ ก็ให้มีศีลธรรม มีศีลธรรมในเรื่องของเพศ อย่าให้เป็นเรื่องทางเพศที่ไม่ประกอบไปด้วยศีลธรรม กิจกรรมทางเพศนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากการสืบพันธุ์ ขอให้สังเกตดูให้ดีเถอะ กิจกรรมทางล้วนๆ น่ะมันมีความโง่ ต้องมีความโง่ มันจึงจะบูชา จึงจะชอบใจ กามารมณ์นี่เป็นนิพพานของคนโง่ คงจะไม่เคยได้ยินมั๊ง ในบาลีเรื่อง เรื่อง พูดพูดถึงเรื่องนิพพาน นิพพานประเสริฐสุด ของประเสริฐสุด ชั้นต่ำสุดก็คือ กามารมณ์ของคนโง่ คนพวกหนึ่งเอากามารมณ์เป็นนิพพาน สูงขึ้นมาเอาสมาธิเป็นนิพพาน สูงขึ้นมาจึงจะเอาความหมดกิเลสเป็นนิพพาน เพราะกามารมณ์มีรสสูงสุดจนผูกพันจิตใจ ยิ่งกว่ายาเสพติดใดๆ คนโง่เคยเอาเป็นนิพพานกันมาแล้ว แต่แล้วคนต่อมา มันฉลาด มันไม่เอา มันเลื่อนสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนเรื่องหมดกิเลส ขออภัย พูด มันค่อนข้างจะ….กระโดด (นาทีที่ 52.44) หยาบคายว่า กิจกรรมทางเพศน่ะ เป็นยังไงบ้าง กิจกรรมทางเพศยังไม่ใช่การสืบพันธุ์ เป็นกามารมณ์ มันสกปรก รู้ ใครๆ ก็รู้มันสกปรก แล้วมันก็น่าเกลียดจนต้องปิดบัง มันไม่สามารถจะประกอบกิจกรรมทางเพศกลางถนนเหมือนสุนัขนั่นน่ะ มันน่าเกลียด มันจะต้องปิดบัง มีเรื่องกล่าวกันว่า การที่มนุษย์ต้องทำเรือนขึ้นอยู่ ไม่อยู่ตามโพรงไม้อย่างแต่ก่อน เพราะจะปิดบังกิจกรรมทางเพศ นี่เรียกว่า มันน่าเกลียด จึงต้องมีการปิด ปิดบัง ทำในที่แจ้งไม่ได้ กิจกรรมทางเพศต้องใช้แรงงานทางวัตถุมาก กินแรงงานสูงสุดทางวัตถุ แล้วกิจกรรมทางเพศนี่ธรรมดาสามัญจนสุนัขก็ทำเป็น สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น ทำกะจิดกะจี้รี่ทางเพศ สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น อย่าบูชาเลย แล้วผลสุดท้าย ก็เรื่องบ้าวูบเดียวเท่านั้นแหละ ผลของกิจกรรมทางเพศ มันบ้าวูบเดียวเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ประเสริฐวิเศษอะไร สกปรกน่าเกลียด กินแรงงานมาก สุนัขก็ทำเป็น แล้วผลคือ บ้าวูบเดียว ขอยุวชนทั้งหลาย อย่าบูชากิจกรรมทางเพศหรือทางกามารมณ์ เตรียมพร้อมสำหรับจะมีความถูกต้องเพื่อการสืบพันธุ์ที่ดี มีธรรมะ ก็คือข้อนี้ ศึกษาไว้ให้ดี ธรรมะก็จะช่วยป้องกันการชิงสุขก่อนห่ามหรือการทำอะไรผิดๆ พลาดๆ เอากามารมณ์เป็นนิพพาน ยุวชนเป็นอันมาก เอากามารมณ์เป็นนิพพาน เหมือนที่เขาเคยเป็นกันมาตั้งแต่พันๆ ปีมาแล้ว มันผิดแล้ว มันเลิกเสียเถิด ไม่ ไม่เป็นทาสของกามารมณ์ บูชากามารมณ์ แล้วมันก็หมดแหละ มันก็หมดความเป็นมนุษย์เลย มันจะมีอาการเหมือนอย่างที่ว่า ได้ผลเพียงบ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียว โง่จนตายเลย มันเป็นอุปสรรค เป็นอันตรายของความก้าวหน้าที่ถูกต้อง ถ้ายุวชนไปบูชากามารมณ์เสียแล้ว ความก้าวหน้าที่ถูกต้องจะไม่มี มันจะระกำชอกช้ำจิตใจ มันจะอกหักจนไม่รู้จะหักกันอย่างไร แล้วในที่สุด ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีความหมาย ระวัง ระวัง กามารมณ์เป็นเครื่องค่าจ้างหรือเหยื่อล่อให้สืบพันธุ์ ไอ้สืบพันธุ์นั้นถูกต้อง เป็นสิ่งที่ต้องดีและต้องสืบให้ดีด้วย เราเป็นลูกหลานออกมาจากบิดามารดา ปู่ย่าตายายต้องเป็นลูกหลานที่ดีๆๆ หรือดีกว่า รักษาอุดมคตินี้ไว้ให้ได้ และรู้ว่ากามารมณ์นั้นแหละเป็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่ไม่ไม่ทำให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ มันติดอยู่ที่ ชีวิตมันจะตายด้านอยู่ที่นั่น นี่เรียกว่า อุปสรรคของการมีธรรมะหรือการมีชีวิตของความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า กามารมณ์ เนี่ยมันมีเสน่ห์เหลือประมาณ ยิ่งกว่ายาเสพติดใดๆ ยาเสพติดนี้ก็ว่ามีอันตราย แต่มันก็มีเสน่ห์มาก มันจึงระบาดไปทั่วโลก แต่ว่าไอ้กามารมณ์มันยังมีความเสพติดยิ่งกว่านั้น ระวังให้ดี อย่าเสพเฮโรอีนกามารมณ์ มันจะล้มเหลว มันจะล้มละลาย จะต้องควบคุมรักษาไว้ให้ได้ อย่าไปบูชานิพพานของคนโง่ อย่าหวัง อย่าพึ่งพากามารมณ์ มันไม่มีทางที่จะเป็นที่พึ่งได้ มันมีแต่จะทำตกต่ำลงไป จมลงไป จมลงไปในความทุกข์
อย่าเห็นว่า การประกวดนางหน้าด้านนั้น เป็นการประกวดนางงาม นางหน้าด้านน่ะ บูชาความสวยความงาม คนจัดประกวดก็บูชาความสวยความงาม ประกวดนางหน้าด้าน ไม่มีหิริโอตัปปะและเรียกว่า ประกวดนางงาม งามที่ตรงไหน งามที่ตรงไหนน่ะ ไม่มีหิริโอตัปปะเหลืออยู่เลย จะมีความงามที่ตรงไหน ความงามมีเมื่อมีหิริโอตัปปะ เราขอเรียกว่า การประกวดคนไม่มีหิริโอตัปปะ ไม่ใช่การประกวดนางงาม ถ้างามจริง มันต้องมีหิริ มีโอตัปปะ ไม่เอาความงามเป็นเหยื่อล่อ หากินด้วยความงาม นี่เป็นโสเภณีทางวิญญาณ แม้จะไม่ใช่ทางร่างกายก็เถอะ แต่ทางจิตมันเป็นโสเภณีชนิดหนึ่ง ใช้ความงามเป็นเครื่องหลอกล่อเอาเอาประโยชน์มาจากเขา ไม่ใช่นางงามหรอก ถ้าบูชาลัทธินี้แล้ว มันก็ มันก็เป็นฝ่ายตกเป็นทาส เป็น เป็นทาส เป็นลูกจ้างของกามารมณ์หนักขึ้นไปอีก จะยิ่งกว่าหนีโจร หนีพ่อแม่ตามโจรไปเสียอีก อย่าคิดที่จะใช้กามารมณ์เป็นเหยื่อตักตวงเอาประโยชน์อะไรอย่างนั้นเลย ไม่ถูกหรอก มันเนื่องมาจากกามารมณ์ เนี่ยคนจึงหลงใหลกามารมณ์ แล้วก็พัฒนา พัฒนากันจนเกือบจะไม่นุ่งผ้าแล้ว ต่อไปข้างหน้า มันคงไม่นุ่งผ้าเลย การประกวดนางงาม อย่าไปหลงทางนั้น มันเป็นทางที่ไม่ ไม่ถูก มันเป็นทางที่จะลงไปในเหวมากกว่า ถ้าประกวดนางงามต้องต้องสวยงาม จะต้องมีเครื่องนุ่งห่มที่สวยงามสิ นี่มันเป็นเรื่องประกวดคนไม่มีหิริโอตัปปะ คนนั้นตามธรรมดา ไม่ยอมให้ใครดูอวัยวะส่วนนั้น แต่พอมารับประกวดนางงามเข้า มันเปิดให้ดูได้ มันไม่ใช่ความจริง มันไม่ใช่ความจริง มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์ใจ ระวังสิ่งที่เรียกว่า กามารมณ์ สิ่งนั้นไม่ใช่การสืบพันธุ์ แต่ว่าเขาใช้ ธรรมชาติใช้เป็นค่าจ้างให้คนโง่สืบพันธุ์ ฉะนั้น เราอย่าทำการสืบพันธุ์ด้วยความโง่เลย มีสติปัญญาสมบูรณ์ สมบูรณ์ สมบูรณ์ในการที่จะมีคู่ครอง แล้วทำเพื่อการสืบพันธุ์ของมนุษย์เพื่อมนุษย์เจริญยิ่งขึ้นไป ไม่ตกเป็นทาสกามารมณ์ทั้งหญิงทั้งชาย
การหลงมาในทางกามารมณ์นั้นมัน สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น ไอ้อาการกะดิดกะดี้รี่กัน อย่างสุนัขตัวเมียก็ทำเป็น สุนัขตัวผู้ก็ทำเป็น แล้วคนจะไปทำอย่างนั้นไหวที่ไหนเล่า อย่าไปมีอาการอย่างนั้น แม้แต่นิดเดียว มีอาการอย่างนั้น ก็ต้องเรียกว่า คนหน้าด้าน อย่ามีเลย ควบคุมความรู้สึกตามความมุ่งหมาย แต่ดึกดำบรรพ์ เขาเข้าไปอยู่ในอาศรม ประพฤติพรหมจรรย์ให้ดีที่สุด บังคับจิตให้ได้ รักษาความถูกต้องไว้ให้ได้ นี่ธรรมะ นี่คือธรรมะ ตัวทางรอด ทางรอด คือธรรมะ
ที่…ตรงไหนกัน (นาทีที่ 1.00) ทีนี้พูดถึงธรรมะกันให้ถึงที่สุด เอาที่ตรงไหนกัน ธรรมะสูงสุดคือ ความคงที่อยู่ได้ในความถูกต้อง คงที่อยู่ได้ในความถูกต้อง ไม่เปลี่ยนแปลงไปทางซ้าย ทางขวา ทางไหนก็ตามที่ไม่ใช่ความถูกต้อง อยากจะเรียกสิ่งนี้ว่า …เสียงหายไป (นาทีที่ 1.01) ขอให้เรามีจิตใจอย่างนี้ และกามารมณ์จะไม่ครอบงำจิตใจเรา จะรักษาความคงที่ความถูกต้องนี้ไว้ได้ ความที่มีจิตเป็นเพชรซึ่งในภาษาบาลี เรียกว่า อตัมยตา น้อยคนที่จะเคยได้ยินนะ …เสียงหายไป (นาทีที่ 1.01) แต่บางคนเคยได้ยินมาบ้าง แล้วก็พูดมาหลายหนแล้ว ทางวิทยุก็เคยพูด อตัมยตา ความที่จิตแข็งคงที่จนอะไรๆ มาปรุงแต่งไม่ได้ เรียกว่า อตัมยตา พอได้รับสิ่งที่เป็นบวก จะปรุงแต่งให้หลงนี่ไม่ได้ พอได้รับสิ่งที่เป็นลบ ก็ทำให้โกรธเคืองหรือเป็นทุกข์ไม่ได้ โลกนี้มีแต่สิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบนะ positive กับ negative เต็มไปหมด บางมี มีคุณค่าเป็น positive บางอย่างมีคุณค่าเป็น negative ทั้งสองอย่างน่ะ มันทำให้เกิดความทุกข์คนละแบบ positive ก็ทำให้รักให้หลง ให้บูชา เป็นบ้าไปเลย negative ก็ทำให้เกลียด ให้กลัว ให้ฆ่า ให้ทำลายล้าง วินาศไปเลยนี่ มันเป็นผลตรงกันข้ามน่ะ แต่ว่ามันเลวร้ายทั้งสองอย่าง แต่ขอยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า หัวเราะก็เหนื่อยอีก ร้องไห้ก็เหนื่อย ก็เหนื่อยคนละแบบ ไอ้ร้องไห้นั่นมันไม่ไหว แต่ว่าถึงหัวเราะก็เถอะระวังให้ดี มันก็เหนื่อยและก็หอบในที่สุด ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้แหละ มันไม่ ไม่ มัน มันคงที่เหมือนเพชร ไม่ positive ไม่ negative ไม่ดีใจไม่เสียใจ นั่นก็เหมือนกัน ดีใจก็กลุ้มฟุ้ง หนักเข้าก็กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับเหมือนกัน ถ้าดีใจ เสียใจก็เหมือนกัน กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับเหมือนกัน ปกติ ปกติ คงที่ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจนั้น สบายที่สุด แต่ว่าพวกเราชอบดีใจทั้งนั้น ชอบหัวเราะกันทั้งนั้น เนี่ยเห็นกงจักรเป็นดอกบัว หนีตามโจรไป ดูให้ดีเหอะ ความที่มีจิตเป็นเพชรนั่นน่ะ จะทำให้เอียงฝ่ายบวกไม่เอียงฝ่ายลบ
อารมณ์เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เรียกว่า โลก โลก โลก ทั้งโลก มันมาเข้า มันเข้ามาทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รัก ถ้าไม่ถูกใจก็มีผลเป็นลบ มันก็โกรธมันก็เกลียดนี่ มันจะมียินดียินร้าย ยินดียินร้าย หัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ มีความไม่คงที่ อย่าไปหลงใหลบูชาบวกกันนักเลย รู้จักมี รู้จักใช้ให้ถูกต้อง การที่เราศึกษาเล่าเรียนให้ก้าวหน้า ให้เจริญ ให้รุ่งเรือง นี่ก็มีความหมายเป็นบวก แต่ว่าอย่าถึงกับหลงมันเลย ถ้าหลงแล้ว มันจะกัดเอา บวกก็ตาม ลบก็ตาม ถ้าหลงแล้วมันจะกัดเอา เราควบคุมอย่าให้มันกัดเอา ให้มันรับใช้เรา ถ้ามันมาในแง่ร้าย ก็แก้ให้ดีเสีย ถ้ามันมาในแง่ดี ก็อย่าไปหลงใหลกับมัน คงที่ มีจิตใจเป็นเพชร ยุวชนคนไหนมีจิตใจเป็นเพชร ยุวชนเหล่านั้นจะเรียนดีที่สุด จะเรียนดีที่สุด ไม่ไปเสียเวลาเรื่องบ้าๆ บอๆ เรื่องกามารมณ์ไม่ต้องไป อีกอย่างสถานเริงรมย์ทั้งหลายที่มันเจริญงอกงามมากขึ้นทุกที จนพ่อแม่ตกนรกหมกไหม้ไส้ขมอยู่แล้ว เพราะลูกหลานมันไปสถานเริงรมย์ มันไม่เรียนให้ดี มัน มัน มัน มันเป็นความทุกข์ ทั้งแม้แต่พ่อแม่ โดยเฉพาะแก่ตัวเราเอง ความมีจิตใจเป็นเพชร คงที่อยู่ในความถูกต้อง เรียกว่า อตัมยตา
คำนี้ มันอธิบายยาก ว่าคืออะไร พูดได้ก็แต่เพียงว่า จิตใจคงที่ ไม่ผิดไปจากความถูกต้อง เมื่อเราจะพูดให้ฝรั่งฟัง เราต้องพูดด้วยการเปรียบเทียบว่า หญิงสาวคนหนึ่งมีอตัมยตาอยู่ในจิตใจ ชายชู้ฉลาดสักฝูงหนึ่งก็ไม่มาเกี้ยวหญิงคนนี้ไปได้ เพราะว่าหญิงสาวมีอตัมยตาให้อยู่ในจิตใจ มีหัวใจเป็นเพชร คุณรู้เอาเองว่า อตัมยตาคืออะไร มีความเป็นเพชรคงที่ ดึงไปก็ไม่ได้ ดึงมาก็ไม่ได้ ตรึงให้ติดอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้ มันเป็นอิสระลอยอยู่ในความถูกต้องเสมอ อย่างนี้เรียกว่า อตัมยตา ความที่อะไรๆ ปรุงแต่จิตใจให้เป็นบวกหรือเป็นลบไม่ได้ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เดี๋ยวนี้เราเป็น เป็นทาสของความเป็นบวกมากเกินไป แล้วก็เป็นทาสไว้ล่วงหน้านะ จะเรียนให้ดี หาเงินให้มาก แล้วก็หากามารมณ์ให้สูงสุด แข่งกับเทวดาเลยจริงไหม จะเรียนให้ดีที่สุด หารายได้ให้มาก และหาปัจจัยทางกามารมย์ให้สูงสุดแข่งกับเทวดาเลย นี่ยคิดกัน แต่เมื่อยังเรียนอยู่ อย่างนี้มันเป็น เป็นทาสบวกมากเกินไป เอาความถูกต้องเถอะ เอาความปกติเถอะ กามารมณ์มันก็เป็นไอ้เรื่อง เป็นเรื่องสุดโต่งฝ่ายหนึ่งไม่ได้อยู่ตรงกลาง เรื่องไม่มีกามารมณ์เลยก็สุดโต่งไปทางหนึ่ง ไม่ได้อยู่ตรงกลาง อย่าเอากามารมณ์เป็นสรณะ เป็นเครื่องบูชา เอากามารมณ์นี้ไว้เป็นเครื่องรับใช้ เพียงแต่ว่าธรรมชาติ มันมีสัญชาตญาณที่จะต้องเกี่ยวข้องกับกามารมณ์บ้าง ก็จงไป ก็จงเกี่ยวข้องกับกามารมณ์นั้น ในลักษณะที่ถูกต้อง คือมีศีลธรรม มีวัฒนธรรมทางกามารมณ์ อย่าเกี่ยวข้องกับกามารมณ์โดยผิดศีลธรรม ผิดวัฒนธรรม เดี๋ยวนี้ เราก็จะมาแสวงหาธรรมะ ความรู้ที่ถูกต้องไปใช้ควบคุมกามารมณ์ อย่าให้มันเป็นนายเหนือเรา ให้เราเป็นนายเหรือกามารมณ์ แล้วก็จะไม่ ไม่เป็นโทษอะไร
ถ้าจะมีบ้าง ก็อย่างเหมือนกับอาหาร ความใคร่นั้นน่ะ มันต้องการอาหาร ก็ บริโภคให้ถูก อย่าหลงใหล อย่าไปเป็นทาสมัน อย่าให้มันเป็นเหยื่อล่อ อย่าให้มันเป็นนายเหนือหัว แต่ให้มันเป็นเครื่องรับใช้ จัดกามารมณ์ไว้ในลักษณะอย่างนี้แล้ว ก็ไม่เป็นไร ยังเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มีจิตใจที่สูงอยู่ตามเดิม ไม่เป็นทาสบวก ไม่เป็นทาสลบ เรียกว่า มัชฌิมปฏิปทา เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา หัวเราะก็เกินไป ร้องไห้ก็เกินไป อยู่ตรงกลาง ฉันไม่ต้องหัวเราะ ฉันไม่ต้องร้องไห้ นี่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ความสุขก็ไม่ไหว ความทุกข์ก็ไม่ไหว ฉันจะไม่สุขหรือไม่ทุกข์ คือไม่ดีใจและไม่เสียใจ มัชฌิมาปฏิปทา เรามีธรรมะเพื่อมีจิตเป็นเพชร จิตเป็นเพชร ก็รักษามัชฌิมาปฏิปทา ไว้ได้ ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา เอียงขวาก็หมายถึง เครียดครัด เครียดครัด เอียงซ้ายก็อ่อนเปียก คือบูชากามารมณ์ เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ถ้าเครียดครัดจนทำลายอวัยวะทางกามารมณ์ ข่มขี่กามารมณ์ เป็นความอดกลั้นกดดันเกินไป ก็เรียกว่า อัตตกิลมถานิกานุโยค ก็ใช้ไม่ได้
พระพุทธเจ้าสอนคำแรกที่สุด เรื่องแรกที่สุด แก่มนุษย์ในโลก สอนสอนอย่างนี้ อย่าอัตตกิลมถาน อย่ากามสุขัลลิกานุโยค อย่าอัตตกิลมถานิกานุโยค ไม่ต้องไปหลงใหลในกามารมณ์ แล้วก็ไม่ต้องไปเป็น ทำลาย ทำลายเป็นอวัยวะหรือความรู้สึก เพื่อความรู้สึกทางกามารมณ์ อยู่ตรงกลาง ถ้ามีกามารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็มันเป็นอุปกรณ์ หรือใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างอื่นไปเสีย อย่าให้มันเป็นนายเหนือหัว ท่านว่าอย่างนั้น นี่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา แล้วก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเป็นทาสของกามารมณ์ แล้วไม่ต้องไปเสียเวลาทำลายมัน หรือว่าเสียเวลาเคร่งครัดชนิดที่ว่าทำลายอุปกรณ์แห่งกามารมณ์ นี่มันก็เกินไป มันก็เป็นลบ อันหนึ่งก็เป็นบวก เรียกว่า เรามีชีวิตชนิดที่ไม่เป็นทาสของความเป็นบวกหรือความเป็นลบ เรียกว่า ชีวิตใหม่ เรียกว่า ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่ถูกต้อง ชีวิตที่พวกฝรั่งเขาแสวงหา …เสียงหายไป (นาทีที่ 1.11) มันหาตัวเองที่ถูกต้อง ตัวเองที่ควรจะพอใจ เดี๋ยวนี้ เขามีแต่ตัวเองที่ไม่น่าพอใจ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวยุ่งไปหมด ปัญหาเต็มไปหมด คือเขาต้องการจะหาพบตัวเองที่ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความเป็นบวกหรือความเป็นลบ อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบ ที่จริงอย่างนั้นน่ะ มันเป็นพระอรหันต์นะ ถ้าสูงสุด เป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้อย่าถึงกับเป็นพระอรหันต์เลย เอาอย่างปกติธรรมดา ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องกระหืดกระหอบ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ ให้ทุกอย่าง มันราบรื่น เรียบร้อย สงบเย็น เป็นนิพพานของชาวบ้าน นิพพานสูงสุดของพระอรหันต์ ก็เรียกว่า นิพพาน นิพพานของชาวบ้านระดับหนึ่ง เรียกว่า นิพพุติ ถ้าไม่เคยได้ยิน ก็ได้ยินเสีย ที่จริง พระเขาบอกเกือบจะทุก แทบจะตลอดเวลา มีการให้ศีลที่ไหน พระก็บอกว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้ฟัง ไม่ได้ยินเอง นิพพุติ ถึงนิพพุติได้เพราะศีล มีศีลธรรมถูกต้อง ชีวิตนี้เป็นนิพพุติคือ เย็น ชีวิตที่เย็นอย่างชาวบ้านควรจะมี ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์หรอก แต่มันก็เย็นทำนองเดียวกันนั่นแหละ ตามตามกันไป นิพพุติก็ตามหลังนิพพาน สมบูรณ์ที่สุดก็เป็นนิพพาน ฉะนั้น เรียกว่า นิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่างก็แล้วแต่ เวลาที่กิเลสไม่เกิด ไฟไม่เผาจิตใจ คนธรรมดาก็มี เวลานั้นน่ะมี นิพพุติ นิพพุติ เป็นความเย็นตามความหมายของนิพพาน แต่ว่าในระดับชาวบ้าน ขอให้เราทุกคนมีธรรมะชนิดที่จะมีนิพพุติได้เถิด มีการศึกษาให้ถูกต้อง กำจัดความเห็นแก่ตัวเสีย ไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็ไม่เกิดกิเลสใดๆ ไม่เกิดกิเลสใดๆ แล้ว ไฟก็ไม่มีเผาในจิตใจ มันก็คือ เย็น ถ้าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแล้ว ทางหนึ่งมันก็เกิดกิเลสฝ่ายบวก คือ โลภะ ราคะ จะเอา ถ้ามันไม่ได้อย่างที่มันเห็นแก่ตัว มันก็จะเกิดอีกฝ่ายหนึ่ง คือ โทสะ หรือ โกรธะ มันจะทำลาย มันมีแต่จะเอาหรือจะทำลาย อย่างนี้มันยุ่ง มีความปกติเยือกเย็นดีกว่า นี่เราอย่าศึกษาแต่เพียงให้ฉลาดที่จะกอบโกยฝ่ายบวก เราจะต้องศึกษาให้รู้ชนิดที่จะไม่เป็นทาสของความเป็นบวก ไม่เป็นทาสของความเป็นลบ ไม่เป็นทาศของความเป็นบวก นั่นแหละมนุษย์ที่เย็น ชีวิตที่เย็น ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ ขอให้ยุวชนทั้งหลาย เตรียมการศึกษาของตนไว้ให้ถูกต้อง ทั้งสองฝ่าย ทั้งทางฝ่ายกาย และทั้งทางฝ่ายจิต ที่เรียนอยู่ในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยนี้ มันเรียนกันแต่เรื่องฝ่ายกาย เรื่องฝ่ายจิตยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ขออนุโมทนาด้วยที่มาที่นี่ เพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อหาความรู้หรือความถูกต้องในทางฝ่ายจิต แล้วเอาไปเทียมคู่กันให้เป็นควายสองตัว ดำเนินชีวิตถูกต้อง ทั้งทางฝ่ายกาย ทั้งทางฝ่ายจิต เรียกว่า ชีวิตเทียมด้วยควายสองตัวดำเนินชีวิตถูกต้องทั้งทางฝ่ายกายและทั้งทางฝ่ายจิต เรียกว่า ชีวิตเทียมด้วยควายสองตัว เตรียมตัวไว้ตั้งแต่บัดนี้ อย่าให้มันมีแต่ทางฝ่ายการอย่างเดียว มันจะเป็นโรคประสาท เป็นบ้า ฆ่าตัวตาย ไม่ต้องสงสัย ให้มีความถูกต้องทางฝ่ายจิตควบคุมไว้ มันก็จะราบรื่น มันพอดี มันอยู่ตรงกลาง มันไม่เป็นบวก มันไม่เป็นลบ ขอย้ำว่า ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องเสียใจเพราะว่ามีจิตเป็นเพชร หญิงสาวคนนั้นมีจิตเป็นเพชร ชายชู้ฉลาดตั้งร้อยตั้งหูมาก็เกี้ยวไปไม่ได้ พาไปไม่ได้ ขอให้มีจิตเป็นเพชรอย่างนี้เถิด การศึกษาจะดีที่สุด จะสูงสุด จะสำเร็จได้ทั้งทางฝ่ายทางกาย ทางฝ่ายจิต ทางฝ่ายวิญญาณ เกิดมาเป็นมนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมา นี่คือประโยชน์หรืออานิสสงค์ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ
ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ขออนุโมธทนาด้วยที่มาแสวงหาธรรมะไปชดเชย ไปจุนเจือกับความรู้ที่มันยังขาดอยู่ ความรู้ที่ในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยยังขาดอยู่คือ ธรรมะ ขอให้เข้าใจธรรมะและศึกษาธรรมะทุกโอกาส ทุกสถานที่ เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของความเป็นบวกและเป็นลบ อย่าไปบูชามันทั้งบวกและทั้งลบ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งบวกและทั้งลบ อย่าเป็นบวก อย่าเป็นลบ มันจึงจะเป็นความสงบเย็น ขอให้ได้ประสบความรู้อันนี้ ขอให้ได้ปฏิบัติให้ได้ ศึกษาให้มากเข้าไว้ และลองปฏิบัติดูทีละนิดทีละนิด มันจะได้ความรู้ที่แน่นอน ความรู้ที่แน่นอนนั้น ต้องมาจากการปฏิบัติ เพียงแต่การเรียนนั้นยังไม่ได้ เหมือนกับขี่รถจักรยานอย่างนี้ สอนกันไม่ได้ ได้แต่บอกว่า ทำอย่างนั้นๆ ไปขี่เข้ามันก็ล้ม มันต้องขี่ล้ม ขี่ล้ม ขี่ล้ม แล้วการขี่ล้มนั่นมันสองเอง มันสอนเอง รถจักรยานมันสอนเอง การล้มมันสอนเอง เราปฏิบัติธรรมะไปเถิด ปฏิบัติไปเถิด การปฏิบัตินั้น มันจะสอนให้รู้ความจริงมากขึ้นๆ ฉะนั้น เราจะพายเรือเป็นนั้น เรือแหละสอน พายและสอน คนสอนกันไม่ได้ บอกแต่ว่าจับพายอย่างนั้นๆ ก็เห็นๆ อยู่ เห็นๆ เขาพายอยู่ มันก็พายไม่ได้ ต้องไปพายเข้าจริงๆ เรือมันจะสอนให้ พายมันจะสอนให้ เราก็พายเรือเป็น ไอ้ชีวิตนี่ก็เหมือนกัน ต้องดำเนินมัน ไม่ใช่เรียนแต่หนังสือ ไม่ใช่รู้ รอบรู้ไปได้ ไม่เรียนพระไตรปิฎกก็รอบรู้ไม่ได้หรอก ต้องปฏิบัติ ต้องปฏิบัติลงไป มันก็พายเรือเข้า แล้วเรือมันจะสอนให้ พายมันจะสอนให้ เราก็พายเรือเป็น ขอให้เราปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ แล้วการปฏิบัติจะสอนให้ ผิดถูกอย่างไร สงบไม่สงบอย่างไร มันจะสอนให้ในที่สุด เราก็จะพบส่วนที่พึงปรารถนาด้วยความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง เหนือดีเหนือชั่ว ถูกต้องนี่ เหนือดีเหนือชั่วนะ เพราะฉะนั้น ถ้าบูชาดี หลงดี เมาดี แย่เหมือนกัน หลงบ้าดี มันก็ ไม่ ไม่แพ้บ้าชั่วน่ะ ฉะนั้น เราไม่บ้าดี บ้าชั่ว เราเหนือดีเหนือชั่ว เรียกว่า ความถูกต้อง ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง
นี่ขอให้มองให้ดีว่ามีจิตเป็นเพชร ไม่บ้าดีไม่บ้าชั่ว ไม่หลงซ้าย ไม่หลงขวา ไม่บวกไม่ลบ นั้นน่ะ สิ่งสูงสุด ธรรมะสูงสุด เรียกว่า อตัมยตา คงที่อยู่แต่ในความถูกต้อง ดึงไปไหนก็ไม่ได้ มีแต่ความถูกต้อง แล้วก็ไม่ยึดมั่นตัวเอง ตัวกูของกู ยึดมั่นในความถูกต้องของกู ปล่อยให้มันถูกต้องโดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ไม่บวกไม่ลบ ถูกต้องตามธรรมชาติ พอบวกหรือลบ มันก็โง่แล้ว ถูกหลอกแล้ว หัวเราะแล้ว ร้องไห้แล้ว ดีใจแล้ว เสียใจแล้ว ไม่ต้องๆ คงที่ดีกว่า สบายที่สุด เยือกเย็นที่สุด ฉลาดที่สุด อิสระที่สุด เสรีภาพที่สุด เมื่อเราไม่หลงบวกหลงลบ เสรีภาพในโลกนี้ มันหลงบวกหลงลบเป็น เป็นทาสของบวกลบ ไม่ใช่เสรีภาพ มันเสรีภาพสมมุติ เสรีภาพหลอกๆ ทางสมมุติ เสรีภาพแท้จริงมันทางจิตใจ ไม่หลงบวก ไม่หลงลบนั่นน่ะ จะมีแต่ความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็พอใจ พอใจ ทำอะไรทุกอย่างให้ถูกต้อง การเรียนก็ดี การงานก็ดี การบริหารร่างกายก็ดี การคบหาสมาคมก็ดี ให้บอกได้ว่า ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็พอใจ พอใจในความถูกต้อง นั่นน่ะคือนิพพานของพวกเราเดี๋ยวนี้ นิพพุตติ รู้สึกตัวเองว่า ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องอยู่เสมอ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อไหร่ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ที่แท้จริง เป็นไปทางนิพพาน ยกมือไหว้ตัวเองได้ คำนี้ควรจะสนใจกันไว้บ้าง มองดูตัวเอง มองดูตัวเอง เห็นแต่ความถูกต้อง ไม่มีความผิดพลาด จนยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นน่ะ ประสบความสำเร็จคืออย่างนั้น เป็นสุขอยู่ในการงาน ถูกต้องอยู่ในการงาน พอใจอยู่ในการงาน ไม่ว่าการงานชนิดไหน ให้มีแต่ความถูกต้อง ตื่นขึ้นมา ล้างหน้า ถูฟัน อาบน้ำ ถ่ายจาระ ปัสสาวะ รับประทานอาหาร ให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องไปทุกกระเบียดนิ้ว หน้าที่การงานการเรียน ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว คบหาสมาคมกับเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว หมด ปัญหาหมด ยกมือไหว้ตัวเองได้ พอใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ขอให้สนใจบ้าง ให้มันยกมือไหว้ตัวเองได้ มองดูตัวเองแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้ามองดูตัวเอง แล้วเกลียดชังตัวเอง นี่นรก นรก นรกแท้จริง นรกที่นี่ นรกเดี๋ยวนี้ นรกแท้จริง อย่าให้มีเลย มองดูตัวเอง แล้วเกลียดน้ำหน้าตัวเอง อย่าให้มี มองดูตัวเองแล้ว ชอบใจตัวเอง บูชาตัวเองว่าเป็นสวรรค์ ก็จะเลยไปสู่นิพพาน นี่คืออานิสสงค์ของธรรมะ
ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ เราพยายามพัฒนาให้ถึงที่สุด ให้ชีวิตนี้เป็นการลงทุนค้าขายที่ได้กำไรสูงสุด ทั้งทางฝ่ายวัตถุและทั้งทางฝ่ายจิตใจ เอาแต่ฝ่ายวัตถุก็ไม่ได้ เอาแต่ฝ่ายจิตใจล้วนๆ ก็ไม่ได้ ให้มันถูกต้อง ทั้งทางฝ่ายวัตถุและจิตใจ อย่างนี้เรียกว่า ธรรมะนิยม วัตถุนิยมก็บ้า จิตนิยมอย่างเดียวก็บ้า ให้มันถูกทั้งสองอย่างเรียกว่า ธรรมะนิยม ประกอบไปด้วยธรรมะ มีความถูกต้องทางการเมือง เรียกว่า ธัมมิกสังคมนิยม การเมืองนั้น สร้างความสงบได้เพราะมันประกอบไปด้วยธรรมะ ไม่ไปทางฝ่ายวัตถุอย่างเดียว เหมือนคอมมิวนิสต์ ไม่ไปทางจิตใจอย่างเดียว เหมือนฤาษีชีไพร แต่มันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องทั้งทางวัตถุและจิตใจ นี่คือพระพุทธศาสนา ธรรมะคือความถูกต้อง ทั้งทางฝ่ายวัตถุ ทั้งทางฝ่ายจิตใจ ขอให้ยุวชนทั้งหลาย ประสบความสำเร็จในการมีธรรมะ มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางการศึกษา ทางการงาน เป็นสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ