แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ 23 เมษายน 2530 เวลา 19 นาฬิกา บรรยายเรื่อง ทำความเข้าใจระหว่างศาสนากับคาทอลิค
(เสียงหัวเราะ) จะอ่านหนังสือไม่ได้อยู่แล้ว เข้าใจว่าอีกปีสองปี จะอ่านหนังสือไม่เห็น แล้วก็เลิกกัน นี่ก็อ่านอย่างยากที่สุด
อาตมารู้สึกมีความยินดีมาก ที่เราจะได้พูดกันโดยหัวข้อว่า การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา เรื่องนี้กำลังเป็นเรื่องสำคัญของโลก ถือว่ามันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่จะต้องทำ ทำความเข้าใจระหว่างศาสนาหมายความว่า ทำความเข้าใจว่าจะร่วมมือกันช่วยโลกได้อย่างไร โดยทุก ๆ ศาสนาไม่เฉพาะศาสนา มันเป็นการทำด้วยเหตุผลที่ว่ามันมีความจำเป็นหรือสมควรอย่างน้อยที่จะทำ ไอ้โลกนี้มันก็อยู่ได้ด้วยศาสนาเป็นหลัก มันจะมีกี่ศาสนาก็สุดแท้ แต่ว่าศาสนานี่มันเป็นเครื่อง พยุงจิตใจ เป็นที่ตั้งของจิตใจ ของคนในโลกและด้วยกันทุกศาสนา เพราะมีหลายศาสนานี่ มันจึงต้องมีการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เรามิได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบอย่างที่เขาทำกัน เพราะทำกันโดยมากเรียกว่าการศึกษาเปรียบเทียบทางศาสนานี้ มักจะทำไปในทางที่เห็น ความแตกต่างกันมุ่งจะค้นหาความแตกต่างกัน ถ้าเราต้องการจะใช้ความแตกต่างกันนั่นนะ เอามาร่วมมือกันเพื่อให้มันเข้ากันได้แม้จะมีอะไรต่างกัน ที่จริงมันก็ต่างกันแต่เพียงเปลือกนอก เนื้อแท้มันเหมือนกัน จะให้มันเหมือนกันทุกศาสนาก็ว่าได้แม้แต่ศาสนาต่ำต้อย ไสยศาสตร์ เพราะมันความมุ่งหมายจะดับทุกข์ มุ่งหมายจะลดความเห็นแก่ตัว ควบคุมความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่(3.53) เจตนารมณ์ของศาสนาทุกศาสนาของศาสนา ทำหน้าที่สำคัญเพื่อลดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ให้รวมมือกันและก็ใช้พิธีการของตนของตนตามสัดส่วน แล้วมันก็จะช่วยได้ เพราะมันมีหลายศาสนาถึงต้องทำความเข้าใจ แก่กันและกัน เพื่อให้ร่วมมือกันได้ เพื่อเห็นแก่มนุษย์ในโลก หัวใจสำคัญที่สุดก็คือความไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ความไม่เห็นแก่ตัว เกือบจะหาได้ยาก คนไม่ค่อยพูดถึงคำนี้กันแล้ว แล้วก็โลกก็กำลังมีสิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะไอ้ความเจริญแผนใหม่ อารยธรรมแผนใหม่เจริญทางวัตถุ ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวยิ่ง ยิ่ง ยิ่งขึ้นไป ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น โดยสัญชาติญาณ ไอ้สิ่งมีชิวิตมันก็เห็นแก่ตัวอยู่ แต่ว่าในระดับที่ไม่ร้ายแรง ..พอรู้สึกว่ามีตัว มีตัว ก็ยังไม่เห็นแก่ตัวจนถึงกับนอนไม่หลับหรือว่าทำอันตรายผู้อื่น เดี๋ยวนี้มัน สัญชาตญาณนั้นมันก็ถูก ส่งเสริมให้เข้มแข็งขึ้นโดยไอ้วัตถุปัจจัย ความเจริญแผนใหม่ ซึ่งส่งเสริมความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง จนเกิดความเห็นแก่ตัวที่เข้มข้น อย่างเข้มข้น อย่างที่ว่าอยู่คนเดียวก็นอนไม่ค่อยหลับ ก็อย่างที่ว่า ไปแตะต้องเขาที่ไหนก็ไปเบียดเบียนที่นั่น เอาเปรียบที่นั่น จนกระทั่ง ว่ามันเกิดลัทธินายทุนขึ้นมาในโลก เนี่ยมันเป็นผลของความเห็นแก่ตัว ก่อนมันไม่เคยมี ก่อนมันจะมีแต่เศรษฐีใจบุญ ไม่มีนายทุนกระดาษทรัพย์ ก็เมื่อความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น ๆ มันก็ถึงกับมีเกิดลัทธิหรือวิญญาณนายทุนกระดาษทรัพย์ ทรัพย์หมดเลย ทรัพย์หมดเลย และก็กำลังเจริญ กำลังเจริญ อาศัยอำนาจการเงิน อำนาจทุกอย่าง เพื่อดูดทรัพย์ประโยชน์มาเป็นของตน จนเหลือที่พวกคนจนจะทนได้ มันก็เกิดลัทธิ ชนกรรมาชีพ มันก็ต่อต้านอาฆาตมาดร้ายจะทำลายล้าง ซึ่งก็เห็นแก่ตนจัดด้วยเหมือนกัน ประชาธิปไตยนายทุนก็เห็นแก่ตนจัด ประชาธิปไตยชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตนจัด กำลังที่ต่อสู้กันอยู่เวลานี้มันพูดกันไม่รู้เรื่อง ปัญหาทั้งหมดในโลกทุก ๆ ปัญหามาจากความเห็นแก่ตนทั้งนั้น ไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง ไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง ในศาสนาทั้งหลายก็ต้องการกำจัดความเห็นแก่ตน แต่มันกำลังพ่ายแพ้แก่ความเจริญทางวัตถุของคนที่กำลังลุ่มหลง ความเจริญ ทีนี้ขอให้มองเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย เลวร้าย จะเรียกว่าพญามาร ซาตานอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละคือความเห็นแก่ตน ถ้าว่าไอ้ความเห็นแก่ตนนี้ยังไม่สูญหายไปมันก็จะเข้มข้น ๆ จนถึงกับว่าทำลายล้างกันทั้งโลก เดี๋ยวนี้เขาก็มีอาวุธพร้อมที่ทำลายทีเดียวทั้งโลกอยู่แล้ว เหลือแต่ว่าเมื่อไรมันโมโหมากขึ้น หน้ามืดมากขึ้น มันก็ปล่อยออกมา มันก็ต้องวินาศเพราะไอ้อาวุธอันร้ายกาจนี้ ถ้าว่ามันลดความเห็นแก่ตนลงได้ มันก็จะพูดกันรู้เรื่อง มันก็จะเปลี่ยนไปเป็นความรักกัน พูดจากันรู้เรื่อง เดี๋ยวนี้เรากำลังอยู่อย่างเรียกว่า อยู่อย่างล่อแหลมต่อความวินาศอันเกิดมาจากความเห็นแก่ตน ถ้าว่าศาสนาทุกศาสนาช่วยกันทำหน้าที่บรรเทาความเห็นแก่ตน หรือว่าองค์การสหประชาชาติเขาจะขอความร่วมมือจากทุกศาสนา มาบรรเทาความเห็นแก่ตนหรือเลิกละความเห็นแก่ตนของคนในโลกได้ ก็จะเป็นบุญกุศลหรือโชคดีอย่างยิ่ง แต่เดี๋ยวนี้ก็ดูจะไม่ค่อยมีหวัง เพราะว่าสหประชาชาติเดี๋ยวนี้มันก็เหมือนกับว่าของประกบกันอยู่สองซีก ระหว่างประชาธิปไตยนายทุนกับประชาธิปไตยชนกรรมาชีพ มันแบ่งเป็นสองฝ่ายมันก็ถือพรรคถือฝ่าย มันก็ถือหางพวกของตนไว้ แม้แต่ประเทศเล็ก ๆ เท่านิ้วก้อยมันก็สามารถจะดื้อ ดึงมติของสหประชาชาติ เมื่อแรกมีสหประชาชาติขึ้นมา ฟังวัตถุประสงค์หลักการของเขาแล้ว น่ายินดีมาก คือว่าทุก ๆ ชาติร่วมมือกันควบคุมการเป็นไปในโลกนี้ ถ้าประเทศใดอุตริ นอกรีตนอกรอย ทุกประเทศ ทุกประเทศร่วมมือกันจัดการ กำจัดเสียให้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้หมดหวังแล้ว เพราะว่าสหประชาชาติประกอบขึ้นด้วยคนสองฝ่ายซะแล้ว มันก็มีการคุมกันเข้าเป็นฝักเป็นฝ่ายจนประเทศเท่านิ้วก้อยมันก็กล้าดื้อดึงต่อมติขององค์การสหประชาชาติ เป็นอันว่ามีหวังอยู่ก็แต่ศาสนา ถ้าว่าศาสนาร่วมแรงร่วมใจกัน ได้มีโอกาสช่วยให้คนในโลกมันมีศาสนา ซึ่งบรรเทาความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ธรรมะหรือความถูกต้องมากกว่าที่จะเห็นแก่ตัว ก็ยังจะมีความหวังอีกครั้งหนึ่ง จริง ๆ เป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่ว่าเราจะทำความเข้าใจกัน ระหว่างศาสนาทุกศาสนา ร่วมมือกันขับไล่สิ่งเลวร้ายคือความเห็นแก่ตัวมันออกไปเสียจากมนุษย์ จริง ๆ รู้สึกท้อใจมากที่จะได้พูดกันในเรื่องทำความเข้าใจระหว่างศาสนา คือร่วมมือ คือหาหนทางร่วมมือกันช่วยโลกให้พ้นภัย
ทีนี้ยังตั้งปัญหาข้อแรกว่าทำไม ทำทำไม ก็มีคำตอบ มันเป็นสิ่งที่ทำได้และควรทำอย่างยิ่งในโอกาสนี้ โลกกำลังมีความขัดแย้งอย่างยิ่งด้วยความเห็นแก่ตัว กำลังจะวินาศ เราจึงควรทำ เดี๋ยวนี้มันอยู่ในภาวะที่จะวินาศ และศาสนาแต่ละศาสนาก็ยัง เข้าใจกันน้อยเกินไป มีอะไร ๆ เป็นของตนมากเกินไป ไม่ ไม่คิดถึงความร่วมมือกันรวมกันเพื่อจะขจัดปัญหาของโลก หรือของมนุษยชาติ ถึงแม้จะไม่พูดก็พอจะเข้าใจกันได้เองว่ามันกำลังมีขัดแย้งกันไม่มากก็น้อย ระหว่างศาสนา ระหว่างนิกายนิกายในศาสนาเดียวกันมันก็ยังมีความขัดแย้ง มันเอียงไปหาประโยชน์ แล้วก็เลยเกิดความขัดแย้งมากขึ้น มาศึกษากันในการที่จะร่วมมือกัน ทำหน้าที่อันนี้ตามความสามารถของตนของตนไม่ว่าศาสนาในระดับไหน หรือศาสนาอะไร ถ้ามันเป็นศาสนาแล้วมันก็ต้องการไอ้สันติภาพของมนุษย์เป็นหลักใหญ่ จะเป็นศาสนาที่มีพระเจ้าอย่างบุคคลหรือมีพระเจ้าอย่างมิใช่บุคคล หรือจะเป็นศาสนาไสยศาสตร์ก็ตามมันก็มุ่งหมายอย่างนั้น ทั้งนั้น มันก็ควรจะร่วมมือกันได้โดยไม่มีการรังเกียจเกี่ยงงอนอะไรกัน นี่ล่ะทำไมจึงต้องทำก็เพราะเหตุนี้ ก็จะทำอย่างไร จะทำอย่างไร ก็คือทำความเข้าใจ ในข้อที่ว่าทุกศาสนาสามารถช่วยได้ทุกศาสนาตามวิธีการของตน ต้องมองให้เห็นว่าในโลกนี้มันมีคนหลายระดับ ต้องใช้คำว่าโง่ที่สุด ไม่สู้จะโง่ หรือโง่น้อย หรือไม่โง่ หรือฉลาด ฉลาดน้อย ฉลาดมาก ฉลาดที่สุด เมื่อคนมันเป็นอย่างนี้มันมีศาสนาเดียวไม่ได้ ทำอย่างไรมันก็มีไม่ได้ แต่แม้ว่ามันจะมีหลายศาสนามันก็ยังมีทางที่จะร่วมมือกันได้โดยเจตนารมณ์ส่วนลึก ที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลก ใช้วิธีการตามแบบแห่งศาสนาของตน ของตน ของตน ลดความเห็นแก่ตัวของแต่ละคนในโลก ถ้าลดความเห็นแก่ตัวหรือไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็มีการรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ อย่างการจะสอนให้รักผู้อื่นโดยไม่ลดความเห็นแก่ตัวนั้นดูจะเป็นไปไม่ได้ จะพูดกันถึงเรื่องรักผู้อื่นโดยไม่พูดถึงการทำลายความเห็นแก่ตัวนั้น มันเป็นสิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันทำลายความเห็นแก่ตัวได้ ความรักผู้อื่นก็จะเป็นอัตโนมัติขึ้นมาทันที นี่เราจึงหวังที่จะใช้อุบาย วิธีหรือความศักดิ์สิทธิ์ ตามของแต่ละศาสนาช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัวอันเป็นสิ่งเลวร้ายในโลก เนี่ยคือทำอย่างนี้ ทีนี้ถ้าจะถามกันว่าทำเมื่อไร ให้ทำเมื่อไร บัดนี้มันเป็นยุคที่ควรจะทำหรือทำกันในยุคนี้ โดยโลกมันกำลังจะวินาศอยู่แล้วเพราะความเห็นแก่ตัว ผู้เห็นแก่ตัวกำลังครองโลก อย่างที่พูดแล้วว่า นายทุนมันก็เห็นแก่ตัว คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัว ในโลกนี้มันเหลือเป็นสองฝ่ายเท่านี้ซะแล้ว จนไม่ให้เนื้อที่ให้ศาสนาเสียแล้ว ก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก ต้องการจะครองโลก แบ่งแยกกันเพื่อต้องการจะครองโลกใช้สติปัญญา กำลังทุกประเภท เพื่อจะครองโลกอยู่ในปัจจุบันนี้ ทีนี้มันก็จะถึงความวินาศ เป็นเวลาแล้วที่ว่าจะช่วยกันแก้ปัญหาอันเลวร้าย อาตมารู้สึกน่าหัว หรือน่าหัวเราะที่ว่าจะมาจัดปีนี้เป็นปีสันติภาพ ถ้าให้พูดตรง ๆ มันก็จะพูดว่าบ้าสิ้นดี จะมาจัดสันติภาพอะไรกันปีนี้ มันเป็นปีที่วิกฤตการณ์กำลังครองโลก เอาวิกฤตการณ์ออกไปเสียโลกมันก็มีสันติภาพเอง โดยปกติโลกมันมีสันติภาพหรือว่าพระเจ้าเขาสร้างมาดีแล้ว มนุษย์ขุดหลุมฝังสันติภาพ หรือสร้างวิกฤตการณ์ขึ้นมา พอเอาวิกฤตการณ์โดยเฉพาะความเห็นแก่ตัวออกไป ไอ้โลกก็มีสันติภาพล่ะ ไม่ใช่ของที่สร้างขึ้นใหม่เฉพาะปีนี้ ขอให้มองเห็นว่าสันติภาพนั้นคือพื้นฐานที่พระเจ้าเขาสร้างมาคู่กันกับโลกและมนุษย์ก็ทำลายเสียโดยความเห็นแก่ตนซึ่งมีต้นเหตุลึกลับหลายอย่าง ค่อยว่ากันไปทีละอย่างก็ได้
ไอ้ จะทำที่ไหน ทำที่ไหน ก็ทำทุกแห่งที่มันมีความเห็นแก่ตัว ทำทุกแห่งที่มีผู้มองเห็นความจริงข้อนี้ ว่ามันถึงเวลาแล้วที่ควรจะทำ ทำในที่ที่มีบุคคลผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือศาสนา เจ้าหน้าที่ทางศาสนามีหน้าที่สร้างสันติภาพ ในที่ไหนมันมีผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่มันก็ต้องทำที่นั่นแหละ ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทางพุทธศาสนา ก็ซื่อตรงต่อธรรมมะ ธรรมะคือหน้าที่ ถ้าในศาสนาที่มีพระเป็นเจ้าก็ซื่อตรงต่อความสะสม (21:07) ของพระเป็นเจ้า แล้วก็ทำในโลกที่กำลังจะวินาศ โลกที่กำลังเจริญทางวัตถุแล้วควบคุมมันไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุให้หันหลังให้แก่ศาสนาทุกศาสนา เดี๋ยวนี้โลกกำลังจะวินาศ เพราะควบคุมความเจริญนั้นไม่ได้ ความเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุ ส่งเสริมกิเลสทางเนื้อทางหนัง ถ้าควบคุมความเจริญอันนี้ไม่ได้ แล้วก็เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น แล้วคิดจะครองโลก จะเอาความเจริญนี้เป็นของตนฝ่ายเดียว ขอระบุไปยังความเจริญทางวัตถุที่ควบคุมไม่ได้ นั่นแหละคือความวินาศของมนุษย์ทั้งหมด เดี๋ยวนี้มันก็กำลังเจริญ ๆ แล้วมันยิ่งควบคุมความเจริญนี้ไม่ได้ แล้วมันก็ใกล้ความวินาศเข้าไปทุกที แต่ว่าคนแทบทั้งหมดมันก็บูชาความเจริญชนิดนี้ ยิ่งเจริญก็ยิ่งหันหลังให้ศาสนา ก็นี่จึงถือว่าธรรมในโลกที่กำลังมัวเมาด้วยความเห็นแก่ตัว แล้วก็ผลิตความเจริญทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง จนท่วมโลก ๆ ถ้าถามว่าจะทำโดยใคร ก็จะต้องตอบว่า คนอื่นเขาไม่ทำแน่เขาไม่อยากทำ เว้นแต่ ศาสนิกชนแห่งศาสนาใดก็ตามที่มีความจงรักภักดีต่อศาสนาของตนหรือต่ออุดมคติของตน ต่อความเป็นมนุษย์ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของบุคคลผู้ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ความถูกต้อง ทำโดยใคร ทำโดยศาสนิกชนแห่งศาสนานั้น ๆ ที่มีความจงรักภักดีซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ที่จรงิคนเขาก็จะตอบว่า ทำโดยพระเจ้าสิ เป็นหน้าที่ของพระเจ้าที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ แต่ทีนี้เราก็มองเห็นว่ามันรอไม่ไหว เมื่อมนุษย์ไม่นับถือพระเจ้า พระเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ พระเจ้าจะช่วยได้ต่อเมื่อมนุษย์มันยอมทำตามคำแนะนำสั่งสอนของพระเจ้า ก็เลยเป็นอันว่าภาระมันก็มาตกอยู่แก่มนุษย์ จะเป็นศาสนิกแห่งศาสนานั้น ๆ ผู้ที่รู้ความประสงค์ของพระเป็นเจ้า รู้ความประสงค์แห่งเจตนารมณ์ของศาสนา ของตน ของตน นี่แหละขอให้สนใจเถิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำอย่างนี้ และทำกันที่นี่ในโลกนี้ โดยบุคคลที่ซื่อตรงต่อความเป็นมนุษย์ของตนเป็น สมาชิกของโลก เพื่อจะช่วยกันสร้างโลกที่มีความหมายคือเป็นโลกของมนุษย์ ไม่ใช่โลกของไอ้ปีศาจร้าย
ทีนี้ก็จะพูดถึงสิ่งที่ควรหยิบขึ้นมาพิจารณา ในการที่เราจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา เราจะต้องหยิบข้อเท็จจริงอะไรขึ้นมาพิจารณา อาตมาก็ขอแสดงความรู้สึกคิดนึกหรือ ความคิดเห็นตามที่ได้สังเกตมา ตลอดเวลาซึ่งนับว่ายาวนาน หลายสิบปีที่สนใจเรื่องนี้มา มันมีมากมายหลายแง่หลายมุมที่ควรหยิบขึ้นมาพิจารณา อย่างข้อแรกที่สุด คือข้อเท็จจริงที่ว่าโลกนี้ต้องมีหลายศาสนา ต้องมีหลายศาสนา จะมีแต่ศาสนาเดียวนั้นไม่ได้ จะมีแต่พระเจ้าองค์เดียวก็ไม่ได้ ขอให้เชื่อเถิด เพราะมันมีความแตกต่างกันของบุคคลที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก นับตั้งแต่คนโง่ที่สุด คนปัญญาอ่อนที่สุด คนที่ฉลาดที่สุด แล้วจะมีศาสนาเดียวแล้วมันจะถือกันได้อย่างไร คนปัญญาอ่อนก็ไม่อาจจะถือศาสนาของคนมีปัญญาแก่กล้า นี่ขอให้คิดดู มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมต่างกันลิบลับ มันก็ไม่อาจจะถือศาสนาเดียวกันได้ เรามีคนที่แตกต่างกันกี่ระดับ ก็จะต้องมีศาสนาจำนวนเท่านั้นอยู่ในโลก เพื่อให้เหมาะแก่ระดับ ๆ ๆ กันทุก ๆ ระดับ อย่างไสยศาสตร์มันก็ยังจำเป็นจะต้องมี เพราะคนปัญญาอ่อนยังมีมาก ทั่วโลกกะคนปัญญาอ่อนมันก็ยังมีมาก จะเอาศาสนาของคนปัญญาแก่กล้าไปให้คนปัญญอ่อนมันก็ถือไม่ได้ มันถือไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีหลายศาสนา แม้พระเจ้าก็ยังต้องมีหลายแบบ สำหรับคนโง่ สำหรับคนปัญญาอ่อน สำหรับคนป่าเถื่อน สำหรับคนมีการศึกษา สำหรับคนเจริญที่สุด กระทั่งนักวิทยาศาสตร์เราก็ยังต้องมีพระเจ้าในรูปแบบหนึ่งให้แก่เขา เราถึงได้ต้องมีหลายศาสนา มีพระเจ้าหลายรูปแบบที่เขาจะได้รับได้ตามความเหมาะสมของเขาทุก ๆ รูปแบบของบุคคลเหล่านั้น เนี่ย ข้อเท็จจริงอันนี้คือเราในโลกนี้ต้องมีหลายศาสนา ถ้าว่าจะดูกันตามประวัติศาสตร์หรือก่อนประวัติศาสตร์ก็สุดแท้ ที่เคยเป็นมาแล้ว มันก็จะเห็นได้ตามที่นักศึกษาค้นคว้าหรือเหตุผลที่เราจะมองเห็นได้ด้วยตนเองว่ามันมี จุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ว่ามนุษย์กลัวสิ่งที่น่ากลัว ก็มีศาสนาสำหรับการบูชาไอ้สิ่งที่น่ากลัว ทีนี้ก็มีความรู้สูงขึ้นมา มีความคิดว่ามีวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ มันก็บูชาวิญญาณอันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วมันก็มีเทพเจ้าหรือยอดของวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ตามแบบนั้น ๆ ตามสัดส่วนนั้น ๆ ก็มีพระเจ้าหลายองค์ขึ้นมา ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่มีพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดหลายคน หลายองค์จนกระทั่งมีพระเจ้าองค์เดียว มีปัญญาแก่กล้าขึ้นมามากแล้ว ก็ต้องมีแบบนั้น กระทั่งว่ามีกฎของธรรมชาติในนามของพระเจ้าพระเป็นเจ้าคือมีกฎของธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคล ซึ่งจะเหมาะสมสำหรับยุควิทยาศาสตร์ในอนาคต แต่แล้วก็ขอให้ดูเถอะว่าเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้มันก็ยังมีคนถือศาสนาทุกระดับอย่างนี้ ยังมีคนป่าคนดงคนพวกหนึ่ง ยังบูชาสิ่งที่น่ากลัว บูชาธรรมชาติอันน่ากลัว บูชาวิญญาณที่ตนเข้าใจว่ามีอยู่ในธรรมชาตินั้น ๆ บูชาเทวดาหลาย ๆ ชนิด และก็มีผู้ที่บูชาพระเจ้าองค์เดียว บูชากฎแห่งธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด มันก็มีอยู่จริงเวลานี้ยังมีอยู่ครบทุกระดับเลย ทำไมอ่ะ มันก็ต้องทำความเข้าใจกันไม่มีข้อขัดแย้ง คำว่าขัดแย้งในภาษาไทย ภาษาบาลีเขาเรียกว่า อุบาทว์ อุปัทวะ แปลว่าอุบาทว์ คำบาลีคำนี้ถ้าแปลภาษาไทย คือคำว่าการขัดแย้ง ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท อยากบอกให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านขอร้องเป็นอย่างยิ่งไม่ให้มีการขัดแย้ง เพราะเป็นสิ่งที่อุบาทว์ ตรัสว่าตถาคต ไม่กล่าวคำเป็นเครื่องขัดแยังแก่บุคคลใด ๆ ใคร ๆ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้ง สมณะพราหมณ์ คือทั้งหมดนั่นแหละ คราวนี้หมายความว่าพระองค์เกิดขึ้นมาในโลก โดยไม่มีการขัดแย้ง แม้แก่ลัทธิศาสนา นานาชนิดที่มันมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก มนุษย์มันถือศาสนา นานาชนิดอยู่แล้ว พระองค์พยายามที่จะไม่ทำการขัดแย้ง กล่าวคำขัดแย้งกับศาสนาใด ๆ มีแต่เสริมให้มันได้คนดียิ่งขึ้น การเชื่อนรกสวรรค์ก็มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้านะเขาซ้อนกันอยู่ก่อน การเวียนว่ายตายเกิดตามอุป ลัทธิ อุปติสสะ ก็สอนกันอยู่ก่อน
พระพุทธเจ้าไม่ได้ขัดแย้ง ถ้าว่าสวรรค์อยู่บนฟ้าแกก็ต้องปฏิบัติตามหลักที่จะแนะให้อย่างนี้ เพื่อไปสู่สวรรค์อันนั้น ถ้านรกอยู่ใต้ดินแกก็ต้องไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ๆ เพื่อไม่ไปสู่นรกใต้ดิน แต่ว่าสวรรค์หรือนรกที่ฉันเห็น ฉันเห็นมองเห็นนั่น อยากจะบอกว่า นรกหรือสวรรค์ อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าทำผิดกฏธรรมะ ก็มีนรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าถูกต้องตามกฏของธรรมะก็มีสวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ก็ไม่ได้ตรัสในลักษณะที่ว่าอย่างนี้ถูก ของแกนั่นมันผิด ยอมรับไอ้ที่มันซ้อนกันอยู่แล้วอย่างไร ไม่กล่าวคำขัดแย้ง ถ้าจะมีอะไรแปลกออกไป ก็แสดงออกไปว่าฉันเห็นอย่างนี้ ขอให้คิดดู สวรรค์หรือนรก ก็มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าอยู่ใต้ดิน อยู่บนฟ้า อยู่ไหนก็ตาม ตามเรื่อง แต่สวรรค์หรือนรกของพระพุทธเจ้าบอกว่าอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมันทำผิดหรือว่ามันทำถูก อย่างนี้เป็นต้น ทุกเรื่องแหละ เรื่องกรรม เรื่องเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่คัดค้าน แต่จะสอนตามกฎของพระองค์ที่ว่า จะดับทุกข์หมดทุกข์สิ้นเชิงได้อย่างไร แนะให้ในฐานะที่ว่า ให้ใคร่ควรดูไม่ให้เชื่อทันที เห็นด้วยแล้วก็ลองปฏิบัติดู ว่าดับทุกข์ได้จริงก็ถือเป็นหลัก นี่เรียกว่าไม่มีการขัดแย้ง หลักเกณฑ์อันนี้ยังจะต้องมีอยู่ คือไม่สร้างความขัดแยัง ถ้าสร้างความขัดแย้งสิ่งที่เรียกว่าอุบาทว์ก็จะเกิดขึ้นและมนุษย์ก็จะวินาศเพราะการกระทำอันนั้น
สรุปความว่า ศาสนาที่เคยมีมาแล้วแต่การก่อนทุก ๆ ระดับมันก็ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ทุกระดับ และไม่มีใครสามารถทำให้เหลือแต่เพียงอย่างเดียวระดับเดียว ก็เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำให้มนุษย์มีสติปัญญาเพียงอย่างเดียวหรือระดับเดียวกันได้ นี่ก็เป็นมูลเหตุที่เราจะต้องทำความเข้าใจระหว่างกันไม่ว่าจะเป็นศาสนาในระดับไหนต้องมีส่วนช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัวตามวิธีของตน ๆ เพื่อให้โลกนี้มันหมดความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะเป็นโลกที่มีสันติภาพ
ศาสนา ถ้ามองว่าเป็นของสำหรับสังคม เพื่อสังคม มันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสอนการบังคับตัวเองหรือความไม่เห็นแก่ตัว ไม่บังคับตัวเองมันก็เปะปะ ทำความยุ่งยากขึ้นมาในสังคมเห็นแก่ตัว มันก็ทำลายสังคมโดยไม่ต้องรู้สึกตัวในทุกแง่ทุกมุม เป็นศาสนาของสังคมเพื่อประโยชน์แก่สังคม มันก็มีหลักอันหนึ่งซึ่งพูดหรือรู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งกระไหนก็ไม่รู้จนต้องใช้คำว่า ดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีหลักถือกันอยู่ในบัดนี้โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ว่า อหิงสา ปรโม ธัมโม(36.15) ความไม่เบียดเบียนนั่นล่ะเป็นธรรมะสูงสุดในฐานะเป็นหน้าที่ก็ได้ ในฐานะเป็นประเจ้าก็ได้อะไรก็ได้ ธรรมะสูงสุดคือความไม่เบียดเบียน มันมีความลึกมากสำหรับคำว่า ไม่เบียดเบียน ไม่มีการเบียดเบียนทั้งภายนอกทั้งภายใน ทั้งทางวัตถุ ทั้งทางจิต ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เรามักจะใช้ความหมายถ้าเบียดเบียนก็เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ค่อยเล็งถึงการเบียดเบียนของตัวเอง การทำตนเองให้ลำบากด้วยความโง่เรียกว่าเบียดเบียนตนเอง และทำผู้อื่นให้ลำบากด้วยความเห็นแก่ตัวนั้นล่ะ คือเบียดเบียนผู้อื่น เป็นเรื่องทางวัตถุทางร่างกายก็มี เป็นเรื่องทางจิตใจก็มี ทำให้ร่างกายลำบาก ทำให้จิตใจลำบาก เรียกว่าเบียดเบียนทั้งนั้น ใจความสำคัญที่สุดคือไม่ต้องมีการเบียดเบียนโดยประการทั้งปวงด้วยหัวใจของศาสนาของโลกเพื่อสังคม เป็นหลักการที่เป็นหัวใจของทุกศาสนาที่หวังสันติภาพ มนุษย์มันก็รักตัวเองไม่อยากจะตาย ไม่อยากจะให้ใคร เบียดเบียน ไอ้ความที่ไม่เบียดเบียนมันจึงกลายเป็นหัวใจของไอ้ศาสนา ความไม่เบียดเบียนเป็นหัวใจของทุกศาสนา คือไม่ทำใครให้ลำบากแม้แต่คนเดียว อันนี้เรียกว่าจะต้องทำความเข้าใจกันในข้อนี้ว่าทุกศาสนาจะสนองไอ้ความสันติสุขสันติภาพให้แก่คนในโลกด้วยความไม่เบียดเบียน
ไอ้การขัดแย้งระหว่างศาสนานั้น มันเป็นเรื่องของเปลือกนอก เป็นเรื่องของเปลือกนอกที่เพิ่งงอกออกมาใหม่ ถ้าเราเอาหัวใจของศาสนามันก็คือความรักผู้อื่น ความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่เบียดเบียนด้วยกันทุกศาสนา มันก็เหมือนกันโดยไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรกันล่ะ ถ้ามันเล็งถึงหัวใจส่วนลึกแล้วมันไม่ต้องทำความเข้าใจกันอะไรกันอีก เพราะมันเป็นสิ่งเดียวเป็นส่วนเดียวโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้มันก็เรียกว่า ไอ้ส่วนที่มันเพิ่งงอกขึ้นมาทีหลังนี่ มันเป็นเรื่อง เกิดความแตกต่าง จะเป็นคาทอลิก จะโปรแตสแตนท์ หรือจะเป็นเถรวาทกับมหายานก็ ข้อขัดแย้งมันมีส่วนผิวเปลือก มันยังมุ่งหมายความรอดอย่างเดียวกัน ซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาอย่างเดียวกันหรือของพระเจ้าอย่างเดียวกัน แต่คนเขาไปมองกันส่วนเปลือก เช่นลัทธิมหายานเนี่ยมีส่วนที่ขยายออกไปมากเพื่อให้เหมาะสำหรับคนทุกชนิด จึงได้เรียกว่ามหายาน มีนั่นมีนี่เป็นเรื่องส่วนเปลือกขยายออกไป แต่ว่าหัวใจของมหายาน ก็ยังคือการทำลายความรู้สึกว่ามีตัวตนและของตนอยู่นั่นเอง มีสูตรของมหายานแต่งขึ้นใหม่มากมายหลาย ๆ สูตร ยาวเฟื้อยเลย มันมีข้อปลีกย่อยแตกต่างกันไป แต่มันจะจบลงในที่สุดด้วยการทำลายความยึดมั่นถือมั่นใน ขันธ์ ทั้ง 5 คือชีวิต ว่าตัวตนว่าของตน ถ้ามันไม่มีหลักข้อนี้แล้วมันไม่ใช่พุทธศาสนา ที่นี้ว่ามหายานเป็นอย่างไร ก็ทุกสูตรของมหายานก็จะเน้นข้อที่ว่าไม่ยึดถือขันธ์ 5 โดยความเป็นตัวตน แต่จะสอนเรื่องอื่นเรื่องไม่กินเนื้อ เรื่องอุดมคติของโพธิสัตว์หรือสอนเรื่องอมิตาพะให้อาซิ้มท่อง มิตาพระแปดหมื่นครั้งแล้วไปสวรรค์อย่างนี้ มันก็ไม่ใช่หัวใจเนื้อแท้ มันเป็นเปลือกนอก ขอให้เข้าถึงหัวใจของแต่ละศาสนา มันก็จะตรงกันหมดในข้อที่ว่าทำลายความเห็นแก่ตัว หรือจะเพื่อสร้างสันติภาพขึ้นมาในโลกมนุษย์ด้วยการทำลายสิ่งเลวร้ายคือความเห็นแก่ตัว ประโยชน์เป็นเหตุให้เกิดเปลือกนอก งอกงามออกไป ศาสนิกหรือเจ้าหน้าที่ในศาสนาลืมตัว ก็ขยายส่วนที่จะให้เกิดประโยชน์ โดยมากก็ทางวัตถุ ทางเกียรติยศชื่อเสียง ทางอำนาจวาสนาอะไรเหล่านี้มันก็สร้างไอ้เปลือกนอกที่งอกเป็นหนามระกะระเกะออกมา จนทำให้เปลือกนอกมันเข้ากันไม่ได้ จนลืมเนื้อใน ไม่เอาเนื้อในมาพูดกัน
ทุกศาสนามุ่งที่ความรอด แม้จะศาสนาต่ำต้อยไสยศาสตร์อะไรมันก็มุ่งที่ความรอด ความรอดตัวเดียวกัน แม้ว่าวิธีปฏิบัติกับความรอดมันจะต่างกัน มันก็มุ่งที่ความรอดอยู่ด้วยกัน น่ะ เนื้อในมันจึงเป็นอย่างเดียวกันด้วยเหตุนี้ ดังนั้นเราก็มุ่งทำลายไอ้เปลือกนอกที่เกะกะ ๆ ระเกะระกะเนี่ยออกไปเสีย ให้เหลือแต่เนื้อในมันก็กลมกลืนกันเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นี่เรียกว่าความขัดแย้งจะมีแต่เพียงส่วนเปลือกซึ่งเพิ่งงอกงามขึ้นมาใหม่โดยอาศัยประโยชน์ ลืมตัวมาอาศัยประโยชน์ทางวัตถุมากขึ้น มองประโยชน์ทางวัตถุมากขึ้น มองประโยชน์ทางก้าวหน้าด้วยอำนาจด้วยอิทธิพลอะไรกันมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็กลบเนื้อแท้แห่งหัวใจของศาสนานั้น ๆ ให้รับไป เราจึงต้องมาทำความเข้าใจกันในส่วนนี้ อาตมาอยากจะพูดว่าเราคนเดียวสามารถถือทุกศาสนากี่ศาสนาที่มีอยู่ในโลก เราคนเดียวสามารถเป็นผู้ถือทุกศาสนามีได้ทุกศาสนา โดยการที่เราถือหลักความไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละจะเท่ากับเป็นการถือศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลก โดยหัวใจไม่เห็นแก่ตัว ไม่ทำใครให้เดือดร้อนไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ทำตัวเองให้เดือดร้อนไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ไปยึดถือตามชื่อที่แยกขึ้นเพื่อความสะดวกในภาษาคนว่าศาสนานั้น ศาสนานี้ ศาสนาโน้น เป็นชื่อแล้วก็ไปยึดมั่น Authority เพื่อจะสงวนลัทธิอะไรอำนาจอะไร ไม่เอา เราจะถือศาสนาเดียวคือความไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามีพระเจ้าก็เห็นแก่พระเจ้าไม่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีพระเจ้าก็สอนเรื่องความไม่มีตัว เช่นพุทธศาสนา เป็นต้น เมื่อเห็นความไม่มีตัวมันก็เห็นแก่ตัวไม่ได้ แต่ความหมายมันก็อย่างเดียวกันแหละคือไม่มีความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็เท่ากับถือทุกศาสนาทีเดียวโดยบุคคลคนเดียว ข้อปฏิบัติมันแตกต่างกันบ้างเป็นธรรมดา อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าคนในโลกมีหลายชนิด มันก็มีวิธีที่เหมาะแก่คนทุกชนิด เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว เราจะถือทุกศาสนาได้เพราะเราทำลายความเห็นแก่ตัว คนเดียวในโอกาสเดียวถือได้พร้อมกันทุกศาสนา นี่ล่ะจะเป็นทางออกที่ดีของมนุษย์ที่กำลังจะวินาศด้วยความเห็นแก่ตัว
อยากจะขอโอกาสพูด ถึงการแย่งชิงศาสนา ศาสนิกของศาสนาอื่น เป็นปัญหาเกิดขึ้นมา กำลังพูดกันอยู่ก็มี มีแผนการแย่งชิงศาสนิกของศาสนาของตัว เอ้ย,ของผู้อื่น ข้อนี้ขอให้สังวรเถิดว่ามันจะสร้างข้อขัดแย้งหรือปัญหาขึ้นมาใหม่ จะสร้างความขัดแย้งอันใหม่ขึ้นมาหรือสิ่งที่เรียกว่าไม่ดีขึ้นมา เพราะเราเห็นได้ว่าการแย่ง ศาสนิกของศาสนาอื่นนั้นไม่ใช่ความประสงค์ของพระเป็นเจ้า ไม่ใช่ความประสงค์ของศาสดาองค์ใดหรือผู้แทนพระเป็นเจ้าคนไหน มันเป็นความคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อถือประโยชน์เป็นหลัก ถือเกียรติยศเป็นหลัก ถืออำนาจเป็นหลัก มันจะเป็นเรื่องเบาปัญญาเสียมากกว่า ในการที่คิดจะยื้อแย่งศาสนิกของศาสนาอื่น ถ้าเขาจะคิดว่าจะทำให้มีศาสนาเดียวเหมือนกันหมดมันก็ทำไม่ได้อย่างที่กล่าวมาแล้ว เอาคนโง่ไปถือศาสนาของคนฉลาดก็ไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มิใช่เหตุผลที่แสดงว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำได้ ถ้าแย่งเอาไปได้ก็ได้แต่กากเดนของคนที่ไม่มีศาสนา ขอใช้คำอย่างนี้ ถ้าศาสนาใดยื้อแย่งศาสนิกของศาสนาอื่นเอาไปได้ มันก็ได้ไปแต่กากเดนของคนที่ไม่ถือศาสนา มันก็เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นี่เรียกว่าไม่มีเหตุผล ถ้าไม่ประสงค์วัตถุหรือประโยชน์แล้วมันก็ไม่ต้องทำอย่างนั้น ถ้าว่าเอาไปทำให้ถือศาสนาใหม่ได้ที่ดีกว่าได้ ก็ดี ก็เป็นการดี แต่คนอย่างนั้นมันจะทำไม่ได้ เพราะแม้แต่ไอ้ศาสนาของบรรพบุรุษในเลือดในเนื้อมันก็ยังถือไม่ได้ มันเป็นกากเดนที่เหลืออยู่ซึ่งมีด้วยกันทุกศาสนา ผู้ที่ขึ้นทะเบียนว่าเป็นศาสนาอะไร แล้วก็ไม่ได้ถือศาสนานั้น แต่ถือศาสนาประโยชน์ ชาวพุทธนี่ก็มีมาก ปากว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ถือพระพุทธเจ้า แต่หัวใจของมัน สตางค์ สรนัง คัจฉามิ มันถือศาสนาสตางค์ คือประโยชน์ ก็ขอให้ดูเถิด มันทุกศาสนาแหละ มันมีปัญหาอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นการยื้อแย้งชิง ศาสนิกระหว่างศาสนานี่เป็นสิ่งที่น่าเวทนาสูญเปล่า มันจะได้ไปแต่กากเดนที่เอาไปทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ความประสงค์ของพระศาสดาหรือของพระเป็นเจ้า หรืออะไรก็ตาม นี่เราก็ควรจะพิจารณาในปัญหาที่ว่าจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาและก็ไม่ควรจะทำอย่างนั้น
ข้อต่อไปก็คือว่า มาเปรียบเทียบกันระหว่างศาสนานานาชนิดที่จะร่วมมือกันอย่างไรได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างยิ่ง แม้เราจะถือศาสนาที่ต่างกันโดยเจตานารมณ์หรือว่าเครื่องมือ ถ้าเราจะแบ่งศาสนาในโลกนี้ทั้งหมดออกเป็น 3 ประเภท ก็เห็นชัดเลยว่าจริงและเป็นไปได้ ถ้าศาสนาประเภทหนึ่ง ประเภทที่หนึ่งหน่ะยึดหลักศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อ เอาความเชื่อเป็นเบื้องหน้า เอาความเชื่อเป็นใหญ่ เอาความเชื่อเป็นเครื่องดับทุกข์ เชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อแล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ก็กลบเกลื่อนความทุกข์ไว้ได้ด้วยความเชื่อ ก็มีอยู่ในบรรดาศาสนาหลายศาสนาที่ยกเอาความเชื่อเป็นหลัก ทีนี้พวกที่สองเอาการบังคับจิตเป็นหลักไม่เกี่ยวกับความเชื่อ เขาบังคับจิตไม่ให้มันเป็นทุกข์ เช่นเจริญเมตตา กรุณา อุเบกขา แบบเดิม ก่อนพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในอินเดีย ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก บังคับจิตไม่ให้คิดไปในทางเบียดเบียนผู้ใด รักผู้อื่น เพราะบังคับจิตไว้ได้ ไม่ให้เกิดกิเลสครอบงันหรือไม่ให้เป็นทุกข์ เพราะมันอยู่ด้วยความเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา นี่เป็นศาสนาที่อาศัยการบังคับจิตได้เป็นหลัก ทีนี้มันก็มีศาสนาที่ 3 อาศัยปัญญา รู้ข้อเท็จจริงของสิ่งนั้น ๆ ของธรรมชาตินั้น ๆ เป็นหลัก ก็เช่นพุทธศาสนา เป็นต้น ไม่เน้นความเชื่อ เอาความเชื่อไปเป็นบริวารของปัญญา ปัญญาต้องมาก่อนจึงจะมีความเชื่อในสิ่งที่ปฏิบัติแล้วสำเร็จประโยชน์ ไม่เชื่อตอนมีปัญญาในเรื่องนั้น ๆ นี่เรียกว่าเป็นพวกที่มีปัญญาเป็นหลัก พวกที่มีความเชื่อเป็นหลัก ก็ได้รับคำสั่งสอนให้เชื่อในทางที่ไม่ให้เห็นแก่ตัว พวกที่มีกำลังบังคับจิตเป็นหลัก มันก็ต้องถูกแนะนำสั่งสอนให้บังคับจิตไม่ให้เห็นแก่ตัว พวกที่มีปัญญาเป็นหลักไม่มีตัวที่จะยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่เห็นแก่ตัว สามลัทธิ สามประเภทแห่งศาสนานี้ ร่วมมือกันได้ ๆ และขจัดความเลวร้ายของมนุษย์คือกำจัดความเห็นแก่ตัว
อ้าว, ทีนี้มาพิจารณาดูไอ้ศาสนาสองประเภทที่กำลังมีอยู่ในโลก ซึ่งนักศึกษาเขาก็ยุติกันพอสมควรแล้ว ว่ามีอยู่ 2 ประเภท ประเภท Creationist คือศาสนาที่ถือว่ามีพระผู้สร้าง ก็มีอยู่มากมายหลายศาสนา และประเภท Evolutionist ไม่มีผู้สร้าง แต่เป็นกระแสแห่งวิวัฒนาการของธรรมชาติ นี่ก็มีอยู่หลายศาสนา แต่ไม่เคยปรากฏ เด่นมากเหมือนพุทธศาสนาที่เรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตานั้นล่ะ กฎสูงสุดนั่นล่ะคือกฎของ Evolutionist แม้ว่าเราจะถือต่างกันอย่างนี้ มันก็ยังร่วมมือกันได้ ถ้ามีพระเจ้าผู้สร้างก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้าผู้สร้าง เราจะให้ความหมายแก่คำว่า พระเจ้า นี่เสียใหม่ว่า สิ่งสูงสุดที่ต้องเชื่อฟัง จะเป็นอย่างบุคคลหรือมิใช่อย่างบุคคลก็สุดแท้ จะเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นบุคคลก็ตามใจ จะเป็นเพียงกฎของธรรมชาติก็ตามใจ แต่มันเป็นสิ่งสูงสุดที่บันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความประสงค์ของสิ่งนั้น ตามอำนาจของสิ่งนั้นไม่มีใครฝืนได้ ใครจะถือศาสนาประเภท Creationist มีพระผู้สร้างก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องให้ตรงจริงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าผู้สร้าง ซึ่งก็ได้วางไว้ดีแล้ว ไม่มีทางผิดพลาดเว้นแต่จะไปแก้ไขกันเสียเองก็คือความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละ ความรักผู้อื่น ก็ขออภัยพูดอย่างเป็นกันเองในฐานะเพื่อนมนุษย์หรือเพื่อนศาสนาว่า ชาวคริสต์ไม่สนใจกับคำสั่งสูงสุดและที่สั่งโดยพระเจ้าโดยตรงไปถือคำสั่งที่แปลกออกไปหรือชั้นหลัง พระเจ้าสั่งด้วยพระเจ้าเองโดยตรง “ ว่าอย่ากินผลไม้ที่ทำให้รู้ความดีชั่ว ยึดมั่นถือมั่นในความดีความชั่ว” พระเจ้าสั่งด้วยพระองค์เองโดยตรงอย่างนี้ แต่มีคนให้ความสนใจน้อยมาก อาตมาเคยสนทนา แล้วก็ไม่ได้เรื่องราวอะไรเลย ว่าอย่างไรถือเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมาย ทิ้งอยู่ในพระคัมภีร์ ถ้าว่าถือตรงตามคำสั่งโดยตรงโดยพระเป็นเจ้าเองอย่างนี้แล้ว มนุษย์ก็จะไม่ติดในความดีและความชั่ว ไม่เป็นทาสของความหมายแห่งดีชั่ว Good and Evil และมนุษย์ก็จะไม่ตกเป็นทาสหรืออยู่ใต้อิทธิพลของความหมาย Positivism และ Negativism ไม่อยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของความเป็นบวกหรือความเป็นลบ นี่จะเป็นอิสระที่แท้จริง ไม่มีความเป็นบวกเป็นลบแล้ว มันก็ไม่เกิดความรักหรือความเกลียดชนิดที่เป็นการเห็นแก่ตัว คำสอนโดยตรงของพระเป็นเจ้าที่สั่งกับผัวเมียคู่นั้นล่ะ จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น Good and Evil ถ้ายึดมั่นในทาง Good มันก็เป็นทาสของ Positivism ถ้ามันเป็นยึดถือในทาง Evil มันก็ไปเป็นทาสของ Negativism ไม่ใช่ของดีเลยจะต้องมีความเห็นแก่ตัวแบบใดแบบหนึ่ง ยินดีหรือยินร้าย จะไม่รักก็โกรธ มันเป็นคู่ตรงกันข้าม แล้วมันก็จะพอใจเมื่อได้ เสียใจเมื่อเสีย มันจะมุ่งหมายที่จะดีใจเมื่อชนะ เสียใจเมื่อพ่ายแพ้ ได้เปรียบเสียเปรียบ ซึ่งมีความหมายของคำว่าบวกหรือลบ ดีหรือชั่ว ในคำสอนของพระเยซูชั้นหลังก็ไม่ค่อยได้เน้นในเรื่องนี้แล้วเราก็ยึดถือกันมากกว่าที่จะยึดคำสั่งโดยตรงโดยพระเป็นเจ้าเอง ครั้งแรกที่สุดว่าไม่ตกอยู่ภายในอิทธิพลของ Good and Evil อาตมาของยืนยันว่านั่นมันเป็นหัวใจของพุทธศาสนาด้วย ไม่อยู่ใต้อำนาจของความดีชั่ว ดี and ชั่วและถึงดี ถ้าดีแล้วก็ถึงเหนือชั่วเหนือดี ถ้าบาปก็หมายถึงบุญแล้วก็อยู่เหนือบาปเหนือบุญ ทุกข์แล้วก็มาถึงสุข แล้วก็ต้องอยู่เหนือทุกข์และเหนือสุขเหนืออย่างนี้ เพราะไม่ Attach ต่อดีและชั่ว จึงสามารถที่จะอยู่เหนือดีและเหนือชั่ว ขอยืนยันว่านั่นคือหัวใจของพุทธศาสนา ที่อยู่ที่คำสั่งคำแรกของพระเป็นเจ้าที่สั่งอาดัมกับอีฟ น่ะ แต่ว่าเพื่อนคริสตัง ทั้งหลายไม่สนใจ
พระเยซูจะสอนแต่ให้รักผู้อื่น ก็ถูกแล้ว ก็ต้องไม่เห็นแก่ตัว แต่ถ้ามัน Attach good and evil แล้ว ไม่ต้องสงสัย มันต้องเห็นแก่ตัว มันไม่ต้องบูชาจนเป็นทาสของ Good และ Evil มันจึงจะไม่เห็นแก่ตัว มันจึงจะเป็นอิสระออกมา นี่ขอให้เห็นเป็นช่องทางที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาที่จะร่วมมือกันได้ ในการทำลายความเห็นแก่ตัวของโลก ถ้าเห็นว่ามุ่งทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร คนเดียวถือได้หมดทุกศาสนา ในครอบครัวเดียวมีถือกันได้ทุกศาสนา ใครกล้าคิดแล้วใครกล้าคิดว่าจะทำ ในครอบครัวเดียวมีหลายคนที่ถือคนละศาสนาก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้าเขาถือหัวใจของศาสนาคือทำลายความเห็นแก่ตัว อาตมานี่บูชาสัญลักษณ์ของไอ้ Cross symbol กางเขน ตีความหมายของกางเขนว่าตัดความเห็นแก่ตัวคือความมีตัว ไอ้เส้นยืน น่ะเป็นตัว ไอ้เส้นขวางคือตัดความเห็นแก่ตัว วันนี้หัวใจของพุทธศาสนาไปอยู่ที่สัญลักษณ์กางเขน แต่เมื่อคุยกับเพื่อนคริสเตียน ไม่มีใครเขาอธิบายกันอย่างนี้ มันเป็นบันไดไปสู่พระเจ้า แต่จะไปหาพระเจ้ามันต้องตัดความเห็นแก่ตัวกูของกู มันต้องเห็นแก่พระเจ้า มันต้องตัดตัวตนของตน นี่ก็เป็นทางที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาให้กลมกลืนใกล้ชิดสนิทสนม เรียกว่าไม่มีข้อขัดแย้งใด ๆ ไม่มีข้อที่จะตั้งข้อรังเกียจ ว่าเลวกว่าดีกว่าหรือเสมอกัน ไม่ต้องคิดอย่างนั้น คิดแต่ว่าทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์อันนั้นให้สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุดคือหมดความเห็นแก่ตัว มุ่งสันติสุขส่วนบุคคล มุ่งสันติภาพของสังคมทั้งโลก นี่เป็นจุดหมายปลายทาง ศาสนาคือวิธีทำความรอด
เคยเน้นมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่า คำว่า “ศาสนา” ศาสนานั้นขอให้ถือเอาความหมายไว้ว่า วิธีการทำความรอดให้แก่ชีวิต ขอให้ทุกชีวิตมีศาสนา แม้มันจะเป็น เปี้ยว ปู กบ เขียด อยู่รู มันก็ต้องให้มันมีศาสนาคือมีการขุดรูอยู่ เพื่อความรอดของมัน เพราะมันมีสติปัญญาเพียงเท่านั้น เป็นสัตว์เดรัจฉานสูงขึ้นไปก็มีวิธีรอดที่สูงขึ้นไปจนเป็นมนุษย์ ก็มีวิธีรอดที่สูงขึ้นไปจนเป็นมนุษย์ในระดับสูงสุดก็มีวิธีรอดที่สูงขึ้นไป วิธีทำตนให้รอดนั่นแหละ คือความหมายของคำว่าศาสนา ชาวต่างประเทศที่เป็นนักศึกษาเขามักจะพูดว่า พุทธศาสนาไม่ใช่ Religion เพราะไม่มีพระเจ้า ขอขัดแย้งเต็มที่เลยว่าเรามีพระเป็นเจ้า แต่มิใช่อย่างบุคคล เรามีพระเป็นเจ้า แต่มิใช่อย่างบุคคล อย่ามาจัดพุทธศาสนาว่าไม่มีพระเป็นเจ้า ถูกแล้วไม่มีพระเป็นเจ้าอย่างบุคคล แต่มีพระเป็นเจ้าอย่างที่เป็นกฏสูงสุดของธรรมชาติ Religion นี้เป็นคำที่ดีที่สุด ถ้าเอาความหมายของ .. คำว่า ลิค กับคำว่า ลิ มารวมกัน (01:04:01) ก็คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด ขอให้ถือความหมายของคำว่า Religion ในลักษณะอย่างนี้เถิด จะหมดปัญหาในข้อขัดแย้งระหว่างศาสนา จะทำความเข้าใจกันได้โดยง่ายทุกศาสนาเลย เคยเถียงกันว่า Reg นั่นละมัน lig หรือ reg ที่จะแปลว่า observe หรือจะแปลว่า to bind (1.04.24)คือผูกพัน เอามาใช้ทั้งสองอย่าง Observation เพื่อให้เกิดความผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด ที่นี้ปัญหาว่าสิ่งสูดสุดนั้นคืออะไร ก็คือพระเจ้านั่นแหละเป็นสิ่งสูงสุด หรือสิ่งที่ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์เป็นสิ่งสูงสุด ถึงขั้นแล้วได้รับประโยชน์สูงสุด จะเรียกว่าการอยู่กับพระเจ้าก็ได้ ถ้ามันมีความหมายเช่นนั้น จะเรียกว่านิพพานก็ได้ ถ้ามันมีความหมายเช่นนั้น คือไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ เรียกว่าสิ่งสูงสุด เราใช้คำว่าสิ่งสูงสุดปลอดภัยกว่า การปฏิบัติที่ทำให้เกิดการผูกพันกันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด คำนี้ใช้ได้แก่ทุกศาสนา ดังนั้นทุกศาสนาเป็น Religion หมด เพราะมีการทำให้เกิดการผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด ถ้าถือหลักอันนี้แล้ว การทำความเข้าใจระหว่างศาสนาทุกศาสนาจะง่ายจะสะดวกที่สุด และจะเป็นไปได้ มีวิธีของตนเองอย่างไรอย่างไรก็กระทำไป เป็นการให้ความหมายของคำว่าศาสนาที่ดีที่สุด ที่อาตมาขอร้องขอวิงวอนว่าขอจงใช้ความหมายอันนี้เถิด ในการที่เราจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ตั้งแต่ศาสนาที่ต่ำต้อยที่สุดจนไปถึงสูงสุด ในอนาคตมันจะเป็นศาสนาสำหรับนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะก็ตาม มันไม่หลีกความหมายอันนี้ไปได้ มันจะเป็นศาสนาที่ต่ำสุดถือธรรมชาติ กลัวฟ้ากลัวฝน กลัวสิ่งน่ากลัวของธรรมชาติ มันก็ต้องมีการปฏิบัติ เพื่อทำให้มนุษย์รอดจากสิ่งเหล่านี้ไปได้ ให้อยู่กับความเบาใจ สบายใจ ขอให้ยึดถือความหมายของคำว่า Religion เป็นเครื่องมือสำหรับทำความเข้าใจในระหว่างศาสนาทั้งหลาย
ทีนี้ก็อยากจะให้มองกันอีกแง่หนึ่งมุมหนึ่งว่า วิธีการบางอย่างของแต่ละศาสนานั้นยืมไปใช้กันได้ ของศาสนาอะไรก็ตาม วิธีการบางอย่างเอาไปใช้กันได้ เช่น พุทธศาสนาเกิดขึ้นโดยพระพุทธเจ้าก็ยืมวิธีการทำสมาธิอะไรของเก่า ๆ ที่มีอยู่ก่อนนั้นเอามาใช้กันได้ แล้วยังจะกล้าพูดว่าคริสตังจะนำวิธีของสมาธิไปใช้ในวิธีปฏิบัติเพื่อการเข้าถึงพระเป็นเจ้าก็ยังได้ ระบบศีลเนี่ยเอาไปใช้ได้ ระบบสมาธิเอาไปใช้ได้ แต่ระบบวิปัสสนานั้นมันอาจจะต่างกัน เพราะรากฐานอันอื่นมันต่างกัน ทั้งการให้เห็นความไม่มีตัวตน นี่เป็นวิปัสสนาในพุทธศาสนา ต้องการจะให้เห็นพระเป็นเจ้าหรืออะไรเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าก็เป็นวิปัสสนาของฝ่ายที่มีพระเป็นเจ้า แต่อย่างไรก็ดี ยืมไปใช้กันได้ เช่นอย่างคัมภีร์ไบเบิ้ลตอนคัมภีร์เก่านั้น ก็ถือกันว่าเป็นของยิวก็นำมาใช้ในคริสตังได้ มันจะยืมวิธีการใด ๆ ที่ให้สำเร็จประโยชน์ไปใช้ในศาสนาใดก็ได้ เช่น วิธีการของเซ็น พิเศษอยู่ที่ว่าปลุกสมาธิและปัญญาให้โพล่งขึ้นมาในคราวเดียวกัน จะไปใช้ในศาสนาไหนก็ได้ นิกายเถรวาทยังแยกออกเป็น 2 ที ทำกันคนละที แต่เซ็นซึ่งมิใช่เถรวาทหรือมิใช่มหายานมันทำทีเดียวพร้อมกัน เรียกว่าการเพ่งทั้งสมาธิและวิปัสสนาด้วยกันพร้อมกัน โพล่งขึ้นมาทีเดียวเป็นทั้งสองอย่าง เป็นวิธีที่ประหยัดมากเลย ฉลาดอยู่มาก ขอให้นึกถึงว่ามันเป็นวิธีทั้งนั้นล่ะ เอาไปใช้กับวัตถุประสงค์อันอื่น อันใดหรือของศาสนาใดมันก็ยังได้ มันเป็นสมบัติของธรรมชาติ ความจริงนี้ของธรรมชาติ คนพกมาโดยพระศาสดาองค์นั้นองค์นี้ ส่วนนั้นและส่วนนี้ และยืมใช้กันได้ให้ถูกกับเรื่องที่ต้องการจะใช้ อย่างหลักว่า หลักพุทธศาสนาว่าไม่ทำชั่ว ทำดี แล้วก็ทำจิตให้ผ่องใสนี้ โดยหลักอันนี้เอาไปใช้กับศาสนาไหนก็ได้ เว้นทำชั่ว ทำดีทุกอย่าง แล้วจิตผ่องใส ไม่ผัวพันยึดมั่นอยู่กับ Good and Evil บางทีจะใช้กับ คริสต์เตียนได้ดีที่สุดที่ไม่ Attach กับ Good and Evil ขอให้มองกันอย่างนี้เถิด การทำความเข้าใจระหว่างศาสนาจะเป็นไปโดยง่ายดาย
พุทธศาสนามีธรรมะสูงสุดว่า ตถตา แปลว่า เช่นนั้นเอง ถ้าเห็นความจริงของธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันเป็นเช่นนั้นเองตามกฎของธรรมชาติแล้วมันเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อมันเป็นเช่นนั้นเองมันไม่มีทางที่จะแยกออกเป็น Good and Evil เพราะว่า Good ก็คือเช่นนั้นเอง Evil ก็คือเช่นนั้นเอง ไม่มีอะไรที่มิใช่เช่นนั้นเอง เราจึงไม่ยึดถือเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นตัวเราหรือเอามาเป็นของเรา เป็นตัวมันหรือว่าของมัน มันเห็นเช่นนั้นเองแล้วก็เป็นผู้บรรลุธรรมะสูงสุดในพุทธศาสนาเรียกว่า พระตถาคต หมายถึงพระอรหันต์ทั้งหลายล้วนแต่เช่น เห็นเช่นนั้นเอง เดี๋ยวนี้เรายังไม่เห็นเช่นนั้นเอง เราตื่นเต้นไปเสียทุกอย่างที่มันแปลกประหลาดและไม่เคยเห็น ดูการเล่นการกีฬาก็ตื่นเต้น มันเป็นเรื่องของคนโง่ไม่เห็นเช่นนั้นเอง ดูกีฬา ดูกายกรรมเมืองจีนก็ตื่นเต้น ไปโลกพระจันทร์ได้ก็ตื่นเต้น มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่ไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าไม่ Attach กับ Good and Evil ต้องเห็นเช่นนั้นเอง ถือได้ว่าคำสั่งของพระเจ้า คำแรกที่สุดที่สั่งแก่มนุษย์โดยตรง ไม่ตกเป็นทาสของ Good and Evil ก็คือการเห็น ตถตา เห็นเช่นนั้นเองไม่มีความหมายแห่ง Good and Evil อ้าว,แล้วสำหรับลูกเด็ก ๆ ก็ต้องให้กันไปก่อน สำหรับคนปัญญาอ่อนก็ให้กันไปก่อนมี Good and Evil เพื่อจะละEvil มาสู่ Good ในขั้นแรกก็เห็นเช่นนั้นเอง ก็อยู่เหนือ เหนือ Good and Evil อาตมาไม่ค่อยจะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยทีเดียวที่จะแปลคำว่า God เป็นยอดสูงสุดของพุทธหรือความดีนั้น น่ะ เข้าใจไม่ได้โดยหลักพุทธศาสนา เว้นไว้แต่จะพูดว่า God อยู่เหนือ Good คือความดี เพราะ God ได้สั่งว่าอย่ากินผลไม้ต้นที่ทำให้รู้ชั่วและรู้ดี ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์ ถ้า God จะมาเป็นยอดสุดของความดีมันก็ขัดกันเองกับคำสอนนั้น เพราะฉะนั้น God ต้องอยู่เหนือความดี เหนือความชั่ว เหนือความดี สูงสุดเหนือสิ่งใด นี่เราเรียกว่าหัวใจของเรื่องที่จะดับทุกข์ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ในพุทธศาสนาทุกเรื่องล่ะ เมื่อรวมกันหมดแล้วมันเหลืออยู่คำว่า ตถตา เช่นนั้นเอง ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่เป็นผู้ Positivism หรือ Negativism ไม่ ไม่ ชั่วหรือดี บุญหรือบาป สุขหรือทุกข์ คือจะไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใด Idolism ที่แบ่งเป็นคู่ ๆ ๆ นั่น จะไม่มีในความรู้สึกของผู้มองเห็น ตถตา เช่นนั้นเอง ทีนี้เราหลง ๆ ๆ ไปฝ่าย Positive ธรรมดาก็ฝ่ายดี แล้วก็จนเห็นแก่ตัว จะยกตัวอย่างง่าย ๆ หลงความดีก็บ้าดี เมาดี หลงดี ในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าไม่เท่าไหร่ลูกหลานของอาดัมก็หลงดี เป็นพี่หลอกน้องไปฆ่าเสียในป่า ใคร ๆ ก็ได้เคยอ่านมาแล้วทั้งนั้น ทำไมจะต้องหลอกน้องไปฆ่าเสียในป่า เพราะว่าไอ้พี่นั้นมันบ้าดี หลงดี เมาดี Good นั่นแหละ มันจึงเห็นว่าควรจะฆ่าน้องเสียเผื่อเราจะได้ดี เห็นไหม บาปอันแรกเกิดขึ้นมาเพราะบ้าดี มันเป็นคำสั่งสอนของพระเป็นเจ้า ที่เป็นกฎธรรมชาติที่สุดที่ว่าจะไม่ Attach Good and Evil ต้นไม้ต้นนี้ได้ลูกออกมากินแล้ว Attach Good and Evil ขอให้นึกถึงต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ที่เคยอ่านพบเหมือนกัน แต่ข้อไหนก็ลืมซะแล้วว่า Tree of life ต้นไม้แห่งชีวิตที่แท้จริง คือไม่รู้จัก ตาย แต่มนุษย์ไม่ได้กิน เพราะว่าพระเจ้าได้สร้างคนถือดาบถือหอกถืออาวุธป้องกันแวดล้อมไว้หมด ไม่ให้เข้าไปถึงได้ มนุษย์เลยไม่ได้กินผลไม้ของต้นไม้ต้นนั้น แต่มัวแต่กินผลไม้ของต้นไม้ต้นแรก เร่ง Attach ไอ้ Good and Evil ปัญหามันก็คาราคาซัง เป็น Original สิ่งที่ไม่รู้จักสิ้นสุดจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าเราจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนา คริสต์เตียน คริสตังอะไรก็ตาม กับพุทธศาสนาก็ขอให้ยึดคำสั่งสอน คำสั่งโดยเฉพาะของพระเป็นเจ้าข้อแรกนี่เป็นหลัก อยู่เหนืออิทธิพลแห่ง Positivism และ Negativism ถ้าเราจะพูดกับนักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่านี่ละ ความเป็นวิทยาศาสตร์สูงสุดของ Christianatic ( 1.17.02)ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของ Positivism และ Negativism แต่เราไม่สนใจที่จะคุ้ยเขี่ยกันในเรื่องนี้ ทำความพอใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปไม่ได้ ถ้าพุทธศาสนาถือหลักอย่างนี้ อยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่จะมาครอบงำจิตใจให้ตกเป็นทาสของมัน เราพอใจในสิ่งใด สิ่งนั้นก็ทำเราให้เป็นทาส คือเราจะตกเป็นทาสของสิ่งที่เราพอใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องเป็นทาสของความชั่วไม่เป็นทาสของความดีแต่อยู่เหนือมันทั้งหมด นี่เรียกว่าหลุดพ้นรอดพ้นแท้จริง ไอแมนสเปชั่น ไลเบอร์เลชั่น (01:17:55) ที่แท้จริงมันต้องอยู่เหนืออำนาจของสิ่งที่ทำจิตให้ยินดียินร้าย ก็คือกิเลสนั่นเอง จะเรียกว่าพญามารหรือซาตาน หรือจะเรียกอะไรแล้วแต่จะเรียกเถอะ ไอ้สิ่งที่มันทำอันตรายแก่จิตใจก็คือสิ่งที่เราไปหลงรักมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันปัญหาใหญ่ก็คือความเจริญทางวัตถุ บ้าดี เมาดี หลงดี มุ่งหมายสร้างแต่ความเจริญทางวัตถุ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีเท่าไหร่เอาไปใช้ เพื่อความก้าวหน้าความเจริญทางวัตถุทั้งนั้น นี่หมายความ ไปเพิ่มน้ำหนักให้แก่ปีศาจร้ายคือความเห็นแก่ตัว ซึ่งทำให้เขาหันหลังให้ศาสนาทุกศาสนา ความเจริญทางวัตถุจะทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัว แล้วก็หันหลังให้แก่ศาสนาโดยไปบูชากิเลสตัณหา ความพอใจเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางเนื้อทางหนัง ซึ่งที่แท้ก็คือข้าศึกของศาสนาทุกศาสนานั่นเอง
ตถตา คงจะเป็นคำที่ไม่ค่อยจะได้ยินแม้ในหมู่พุทธบริษัทก็ไม่ค่อยจะได้ยิน กล้าอวดว่ามันจะได้ยินเมื่ออาตมาเพิ่งจะคุ้ยออกมาพูด มันหมกเงียบอยู่ในพระไตรปิฎก เรื่องอิทัปปัจจยตาก็ดี เรื่องตถตาก็ดี พูดมีอยู่มากในพระไตรปิฎก แต่มันเงียบเก็บอยู่ที่นั่นโดยไม่เข้าใจหรืออะไรก็ตาม หรือไม่ได้เอามาสั่งสอนกัน แล้วบางทีก็มีการแนะนำว่าอย่าเอามาสอน มันดีเกินไป มันสูงเกินไป มันไม่เหมาะกับคนสมัยนี้ เดี๋ยวมันจะไม่ทำอะไร มันจะไม่ทำอะไร นี่ล่ะ. เข้าใจธรรมะผิด สอนไม่ให้ทำอะไร รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วไม่ทำอะไร จะนอน อย่างนี้มันไม่ถูกหรอก รู้เรื่องนี้ก็เพื่อไม่ให้ตกเป็นทาสของวัตถุ จะทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง อยู่เหนืออำนาจของสิ่งที่มันมีอยู่ในโลกที่จะมาทำให้เราตกเป็นทาสของมันคือ ซาตาน มารร้ายอะไรก็ตาม เราจะสามารถควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะสามารถควบคุมความรู้สึก ผัสสะ เวทนา ไม่ให้โง่ ไม่ให้โง่ ไม่ให้ไปในทางเป็น ของคู่ยินดียินร้าย ดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์อะไร แต่อยู่เหนือและรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้ก็จัดการไป โดยไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น คำที่จะเป็นหลักประกันได้มีอยู่ 2 คำคือว่า อุปาทานโดยยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู และคำว่าสมาทาน รับถือไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู อย่าถือศาสนาใด ๆ ด้วยอุปาทาน ถือศาสนาทุก ๆ ศาสนาด้วยสมาทาน แม้แต่จะถือระเบียบวินัยในการปฏิบัติงานอยู่ในโลกนี้ ธรรมดานี้เป็นอย่า อุปาทาน มันจะเป็นโรค Hysteria ด้วย อุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นจนเป็นบ้า บ้าดี เมาดี หลงดี บ้าบุญเมาบุญเลอะเทอะไปหมด สมาทาน ก็ถือไว้อย่างดี ถือระเบียบวินัยก็ถือไว้ให้ถูกต้องพอดี ไม่เครียดจนเป็นบ้านอนไม่หลับ การถือศาสนามักจะถือด้วยอุปาทานอย่างหลับหูหลับตา โดยไม่ได้หัวใจของเรื่องศาสนา มันเป็นบ้า ถือไปด้วยเป็นบ้าหรือหลงไหลไปเสีย ถ้าถือด้วยสมาทานก็ถือด้วยสติปัญญา ถ้าถือด้วยอุปาทานก็ถือด้วยความโง่ ถ้าถือด้วยสมาทานก็ถือด้วยสติปัญญา ขอให้พวกเราถือศาสนาของตน ของตนด้วยคำว่า สมาทานอย่าด้วยคำว่า อุปาทาน ยึดมั่นถือมันเคร่งเครียดหลับหูหลับตา มันจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย
แล้วขอให้นึกถึงข้อที่ว่าวิทยาศาสตร์มันก็ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่น่าเสียใจที่มันเอาไปเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว ใช้เพื่อหาประโยชน์ เพื่อความเห็นแก่ตัว ไม่เอามาใช้ในทางที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว เครื่องมือเครื่องใช้ เทคโนโลยีทั้งหลาย ไอ้คอมพิวเตอร์หรืออะไรของวิเศษที่กำลังคิดขึ้นมาได้ใหม่ ๆ เขาเอาไปใช้เพื่อสร้างไอ้สิ่งที่เขาเรียกว่า ดี อำนาจวาสนา เห็นแก่ตัว ไม่ได้เอามาใช้เพื่อจะทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่ได้เอามาใช้เพื่อช่วยศาสนาให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่มี ไปดูที่เขาใช้กัน เพราะไอ้ความเห็นแก่ตัวในโลกมันก็ได้เปรียบ พูดเป็นอุปมาหน่อยก็ว่า ซาตานกำลังได้เปรียบ ก็มนุษย์บูชาซาตาน ของใหม่ ของดี ของวิเศษอะไรที่มีขึ้นมาจะเป็นไอ้วิทยุ โทรทัศน์ หรือวีดีโอ อะไรก็ตาม เขาใช้เพื่อส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว พูดได้ว่าเกือบทั้งนั้น น้อยที่จะเอามาใช้เพื่อช่วยศาสนาต่อต้านความเห็นแก่ตัวหรือทำลายสิ่งเลวร้ายของศาสนา เรามองเห็นความข้อนี้กันแล้วมาช่วยศึกษาหารือกัน ให้เราดึงเอาเครื่องมือเหล่านั้นมาใช้ ช่วยศาสนาต่อต้านกับสิ่งที่เป็นข้าศึกของศาสนาซาตานมารร้าย ให้ลดลงไปที่ความเห็นแก่ตัว ในสมัยยุควิทยาศาสตร์เนี่ย ถ้าจะมีนักวิทยาศาสตร์บางคนจะเอาหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาสัมพันธ์กับศาสนา เราจะต้องมีศาสนาที่ไม่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ อย่างพุทธศาสนานี่มีหลักว่า ธรรมะ คำเดียว หมายถึงตัวธรรมชาติ หมายถึงตัวกฎของธรรมชาติ หมายถึงตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติและหมายถึงผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ความรู้เรื่องของธรรมชาติทั้งหมดนี้คือหลักที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะในพุทธศาสนา และความหมายที่สามที่ว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นล่ะคือความหมายสำคัญที่สุด กฎธรรมชาติรู้ไว้ก็ดี กฎของธรรมชาติก็ต้องรู้ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินี้ต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติมันต้องตาย ชีวิตมันรอดอยู่ด้วยการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ถ้าไม่ทำหน้าที่ที่ถูกต้องมันก็ต้องตายอ่ะ ถ้ามันไม่ทำหน้าที่แล้วพระเจ้าก็ไม่ช่วย ถึงพระเจ้าจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ ช่วยคนที่ไม่ทำหน้าที่ ฉะนั้นการรู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติและทำหน้าที่ แล้วมันก็จะรอด จะรอด ธรรมะคือหน้าที่จะเป็นผู้ช่วยเสียเอง ฉะนั้นเราในบางคราวก็ถือว่าธรรมะ กฎของธรรมชาตินั้นแหละคือพระเจ้าอย่างมิใช่บุคคลของพุทธศาสนา ขอให้ยอมรับเถอะว่ามีพระเจ้าอย่างนี้ก็ได้ อย่าจัดเป็นไม่มีพระเจ้าเสียเลย อย่าจัดพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าซะเลย ขอให้ได้มีพระเจ้าตามแบบของตนของตน เป็นบุคคลก็ได้ เป็นมิใช่บุคคลก็ได้ เพื่อจะให้เหมาะสมแก่มนุษย์ในโลกที่มีอยู่หลายระดับซึ่งเขาจะรับได้เฉพาะที่เหมาะเจาะตรงกับสถานะของเขาในทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ ทางพื้นฐาน ทางวัฒนะธรรมอะไรอย่างนี้
นี่ล่ะจะเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณากันเพื่อทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ทำให้ทั้งโลกเป็นเหมือนมีมนุษย์เพียงคนเดียว มีที่พึ่งทางจิตใจ รอดตัวได้ด้วยกันทั้งนั้น เนี่ยแบ่งแยกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีศาสนาต่างกันขอให้มีศาสนาเดียวกันคือศาสนาที่ทำลายความเห็นแก่ตัว ช่วยให้ไม่มีความเห็นแก่ตัว มีศาสนาเดียวในโลกก็หมายความอย่างนี้ ซึ่งเอาไปกระจายเป็นหลายระดับได้ตามระดับอย่างที่กล่าวมาแล้วว่ามันยังมีอยู่ทุกระดับในโลกปัจจุบันนี้ ทีนี้มนุษย์มันไม่รักกันเนี่ยแบ่งกันเป็นมึงเป็นกูนี่ ขอให้มาคิดกันว่าเราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เฉพาะแม้แต่มนุษย์ แม้สัตว์เดรัจฉานก็ให้เกียรติมันเถิดว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ นี่ก็ขอให้แก่เกียรติมันเถิดว่ามันมีชีวิต มันไม่อยากตาย เราก็จะต้องถือว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ทำให้มีการรวมสัตว์โลกทั้งมวล ทั้งปวง เป็นเหมือนกับว่าเป็นคนคนเดียว แล้วก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ เหลืออยู่เพราะความไม่เห็นแก่ตัว การทำความเข้าใจระหว่างศาสนาต้องยกเอาความไม่เห็นแก่ตัวมาเป็นจุดมุ่งหมายเป็นธงชัย ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่าธรรมะสูงสุดในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวก็คือไม่ Attach good and evil ถ้า attach ใน good and evil ต้องมีความเห็นแก่ตัวในความหมายใดความหมายหนึ่ง แล้วก็ขอให้ถือสัญลักษณ์กางเขนว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการตัดความเห็นแก่ตัว เป็นบันไดไปสู่พระเป็นเจ้า จะเอาความมีตัวกูของกูสกปรก รุ่มร่ามไปหาพระเป็นเจ้านี่เป็นไปไม่ได้ จะต้องตัดความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวนี้ ออกไปให้มันสะอาด มันจึงจะสามารถเขยิบขึ้นไปสู่ความเป็นเจ้า ทีนี้จะมีปัญหาอะไรที่เราจะต้องมาขัดแย้งกัน มันไม่มีทางเลย แต่เราจะไปยึดเปลือกนอกเท่านั้นแหละ เปลือกนอกภายนอก เหมือนของที่หนามมันงอกออกไปมันก็ระเกะระกะ ไม่ใช่เนื้อใน เนื้อในของทุกศาสนาคือทำลายความเห็นแก่ตัวกับวิธีการของตนของตน แล้วแต่ว่าจะเป็นศาสนาชนิด Creationist มีผู้สร้างหรือ Evolutionist เป็นกฎของวิวัฒนาการ ทั้งสองพวกมันก็มุ่งที่ทำลายความเห็นแก่ตัว มิฉะนั้นไม่มีความรอด ไม่มีความรอด ความเห็นแก่ตัวคือไอ้มารร้ายที่ทำลายร้าง
ในที่สุดขอสรุป เรื่องใช้คำว่า รีบ รีบ รีบเถิดพวกเรา มนุษย์ทั้งหลาย ศาสนาใดก็ตาม รีบ รีบ รีบเถิดพวกเรา เวลาเหลือน้อยแล้ว โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว โลกกำลังจะวินาศเพราะความเจริญทางวัตถุที่ควบคุมไว้ไม่ได้แล้วกลับไปส่งเสริมมันเสียอีก ท่านนักวิทยาศาสตร์ก็มองเห็นความจริงข้อนี้ ก็จะต้องมี การใช้วิทยาศาสตร์ไปในแง่ทางจิตทางวิญญาณทำลายความเห็นแก่ตัว ความเจริญทางวัตถุที่ควบคุมไว้ไม่ได้นั้นแหละคือความวินาศแต่เขาก็เรียกว่าความเจริญ เมื่อควบคุมไม่ได้มันกลายเป็นความวินาศ สิ่งที่จะควบคุมความเจริญทางวัตถุได้มีอย่างเดียวคือศาสนาที่มีใจความสำคัญอันถูกต้อง ว่าทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่ attach ใน positive หรือ negative มีอำนาจอยู่เหนือความหมายที่เป็นคู่ คู่นี้ เดี๋ยวนี้มันเจริญ เจริญสำหรับความวินาศ มันบ้าความเจริญ มันเมาความเจริญ มันควบคุมความเจริญไม่ได้ มันเจริญเพื่อจะฆ่าตัวตายต่อหน้าพระเป็นเจ้า ผู้หวังดี ผู้สอนให้รอดแต่มันก็จะเจริญเพื่อฆ่าตัวมันเองตายต่อหน้าพระเป็นเจ้า จะเป็นพระเจ้าก็เป็นเจ้าอย่างบุคคลหรือมิใช่อย่างบุคคลก็ตามเถอะต้องการไม่ให้มันวินาศ แล้วมันก็หันหลังให้พระเป็นเจ้า มันเยาะเย้ยมันท้าทายมันมุ่งส่งเสริมกิเลสมารร้ายจนไม่เหลียวแลพระเป็นเจ้า มีคนโง่ ๆ พูดว่าพระเจ้าตายแล้ว นั่นมันเป็นคำพูดของคนที่ไม่รู้จักพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้านั้นตายไม่ได้ จะเป็นพระเป็นเจ้าอย่างบุคคลหรืออย่างมิใช่บุคคลก็ตาม กฎอันสูงสุดที่จะบันดาลให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามธรรมชาตินั้นตายไม่ได้ มันยังจะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติซึ่งจะต้องปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ให้เป็นไปแต่เพื่อสันติสุขของบุคคล และสันติภาพของสังคมโดยส่วนเดียว นี่พวกเรามาทำความเข้าใจ จะเรียกว่าในระหว่างศาสนาก็ได้ แต่ขอเตือนว่าถ้าเป็นเนื้อแท้ของศาสนาแล้วไม่มีหลายศาสนา มันเป็นสิ่งเดียวกันแล้วโดยไม่ต้องทำความเข้าใจอะไร แต่เดี๋ยวนี้มายึดถือในเปลือกนอกกันมากเกินไปมันก็เกิดปัญหาขึ้น มันจึงเกิดปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ถ้าเรามีศาสนาที่แท้จริงแล้วไม่มีปัญหาข้อนี้ ไม่มีต้องไม่มีการกระทำข้อนี้เพราะมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ร่วมมือกันทำลายความเห็นแก่ตัวตามวิธีการของตนของตน เห็นแก่สิ่งสูงสุด บูชาสิ่งสูงสุด แล้วก็บูชาด้วยการบูชาที่แท้จริง คือการปฏิบัติตาม ไม่ใช่บูชาด้วยการจุดธูปจุดเทียนบูชาอ้อนวอนขอร้องสวดมนต์ร้องเพลงอะไร ไม่มีความหมายอะไรบูชาอย่างนั้น บูชาที่แท้จริงคือทำตามที่พระเป็นเจ้าต้องการ ที่กฎของธรรมชาติต้องการ นั่นแหละคือบูชาที่แท้จริง ในพุทธศาสนาถือหลักกันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสยืนยันอย่างนี้ ว่าตถาคตพอใจการบูชาด้วยการปฏิบัติตาม ไม่ต้องการการบูชาด้วยวัตถุ สิ่งของซึ่งมันเป็นเพียงพิธีสำหรับจุดตั้งต้นของคนปัญญาอ่อนหรือของเด็ก ๆ มากว่า ขอให้บูชาด้วยการบูชาที่แท้จริงคือปฏิบัติตามในการที่จะทำให้มันรอดขึ้นมาได้ นี่คือขอร้องว่า รีบ รีบ รีบมาช่วยกันทำความเข้าใจในข้อนี้ แล้วก็รีบ รีบ รีบ ใช้อำนาจอิทธิพลหรือความศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาของตน กำจัดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกนี้ให้หมดไป อย่างนี้เป็นความมุ่งหมายของการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ที่ว่า ศาสนิกของเราส่วนใหญ่ถือกันอยู่แต่ส่วนเปลือกนอก ไม่เข้าถึงหัวใจ attach ของ good and evil มากเกินไปก็เห็นแก่ตัว ก็เกิดเป็นเขาเป็นเราเป็นมึงเป็นกูขึ้น ดีกว่าเป็นเลวกว่าเป็นเสมอกันอะไรอย่างนี้ขึ้นมาป่วยการ ขอให้เหมือนกันหมดในการมุ่งทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัวแล้วจะไม่มีความทุกข์ส่วนตัว จะไม่มีความทุกข์ที่เกี่ยวกับผู้อื่น เห็นแก่ตัวเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับเท่านั้น ไม่ต้องมีใครมาทำอะไร เห็นแก่ตัวเท่าไหร่ก็เบียดเบียนผู้อื่นเท่านั้น เดี๋ยวนี้เขากำลังมีแต่ความเห็นแก่ตัวที่จะครองโลก แย่งกันครองโลกด้วยความเห็นแก่ตัว เขาสร้างอาวุธขึ้นมาเพียงพอแล้วที่จะทำลายโลกให้วินาศไปในเพียงไม่กี่นาทีมันยังเหลืออยู่แต่ว่าเขาจะใช้เมื่อไหร่เท่านั้น ถ้าความเห็นแก่ตัวยังไม่หยุดก็สักวันหนึ่งเป็นแน่เขาก็ใช้อาวุธเหล่านั้นออกมา แล้วโลกก็วินาศ ไร้ความหมายของความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ต้องมีจิตใจสูงสุด รู้หาทางรอดออกไปได้ จากปัญหาทั้งปวง มีความสุขมีความพอใจ มีชีวิตอยู่ด้วยความถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ โดยเฉพาะเมื่อทำงานเป็นสุขพอใจในการงานไม่ใช่ทนลำบาก ทำงานฝืนใจทำงาน เพราะไม่รู้คุณค่าของการงานคือหน้าที่ ของมนุษย์นั่นเอง
และจะขอบอกเป็นพิเศษว่าพระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ เหนือพระพุทธเจ้ายังมีสิ่งหนึ่งซึ่งพระพุทธเจ้าเคารพ สิ่งนั้นคือหน้าที่เรียกโดยภาษาบาลีว่า ธรรม ธรรมะขอให้เพื่อนศาสนิกชนทุก ๆ ศาสนาจงเคารพหน้าที่ของตน หน้าที่ของตน หน้าที่ของตน อย่าบกพร่องในหน้าที่ของตน ก็จะสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์เลวร้ายในโลกได้ และสันติภาพก็มีอยู่ตามธรรมชาติเองไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องพูดให้น่าหัวเราะว่าปีนี้มาช่วยกันสร้างสันติภาพ ควรจะพูดว่าปีนี้ก็มาช่วยกันทำลายวิกฤตการณ์ของโลกดีกว่าคือความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัวได้สันติภาพก็โผล่ตามเดิม เป็นนิรันดรตามเดิม พระเจ้าสร้างสันติภาพมาอย่างเป็นนิรันดร มนุษย์มาขุดหลุมฝังเสียชั่วครั้งชั่วคราว นี่กำลังขุดหลุมฝังอย่างยิ่ง จะวินาศอย่างยิ่งยังไม่รู้สึกตัว เรามาช่วยกันมาความเข้าใจระหว่างศาสนาถ้ามันมีข้อขัดแย้งใด ๆ ถ้าไม่มีข้อขัดแย้งใด ๆ ระดมกำลังทุกฝ่ายทุกศาสนากำจัดความเห็นแก่ตัวออกไป โลกก็จะรอดพ้นจากอันตราย สมตามความประสงค์ของสิ่งสูงสุด คือพระเป็นเจ้าที่รักโลกรักมนุษย์อย่างยิ่ง และมนุษย์กลับทรยศ กบฎ ไม่เชื่อฟัง เลิกความเป็นพาลเกเรอย่างนั้นกันเสีย โดยที่เรามาช่วยกันทำความเข้าใจในข้อนี้ ว่าทางอื่นไม่มี ความรอดทางอื่นไม่มีนอกจากการทำลายความเห็นแก่ตัวตามวิธีการแห่งลัทธิศาสนาของตน ของตนเถิด ขอแสดงความยินดีที่ได้พูดกันวันนี้ และยินดีที่ว่าได้พูดกันเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษย์ และได้พูดกันกับเพื่อนที่พอจะทำความเข้าใจกันได้สำหรับปฏิบัติหน้าที่เพื่อความรอดของมนุษย์สืบต่อไป ขอยุติการบรรยายในครั้งนี้