แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตรงนี้ไว้ช่อง ๆ เข้ามา ๆ ไว้ช่องเดิน ๆ ๆ อยากจะให้นั่ง ๆ ห่างพอสมควรพอกราบได้ จะสอนให้กราบ เพราะทีแรกมาไม่เป็นระเบียบ ไม่ถูกต้อง ขยับพอให้กราบได้ พอให้คุกเข่าหรือนั่งพับขาได้ คอยฟัง ๆ เรื่องกราบ ทำในใจให้ถูกต้อง เพราะว่าเราจะกราบคุณความดีของท่านผู้นั้น ๆ ที่เราจะกราบ เช่น กราบพระพุทธรูปก็กราบคุณความดีของพระพุทธองค์ กราบครูบาอาจารย์ กราบความดีของครูบาอาจารย์
จังหวะที่ ๑ หัวหน้าชั้นจะบอกว่าอัญชลี นี่ดู อัญชลีคือทำอย่างนี้ เอามือประกบกันและวางที่นี่ เรียกว่า อัญชลี ทีนี้ก็ยกขึ้นเหนือหน้าผากนี้ อภิวาท อย่างนี้เรียกวันทนา นี่อัญชลี นี่วันทนา ยกพุบลงไปเรียกว่า อภิวาท มี ๓ จังหวะ อย่างน้อยเราก็ควรรู้ไว้ จะได้เป็นผู้รู้แล้วจะได้ทำให้มันถูกต้อง สำรวมจิตใจ ทำอัญชลี วันทนา บูชา ยกขึ้นเหนือศีรษะ แล้วก็อภิวาท ก็กราบลงไป คือยอม ยอมเชื่อฟัง ยอมทำตามคำสั่งสอน ยอมทุกอย่าง เรียกว่า กราบลงไป ประนมมือ อย่างนี้เรียกว่าอัญชลี หัวหน้าชั้นบอกว่าอัญชลี ต้องทำมืออย่างนี้ หัวหน้าชั้นบอกว่าวันทนา ต้องยกขึ้นอย่างนี้ หัวหน้าชั้นบอกว่าอภิวาท ก็กราบลงไปอย่างนี้ พอว่าเป็นภาษาบาลีได้อย่างนี้ก็จะน่าดูและไพเราะ ว่าเป็นภาษาไทยประนมมือ ไหว้ แล้วก็กราบ ดูยังไม่น่าค่อยฟัง คนเป็นหัวหน้าชั้นควรจะศึกษาไว้หน่อย แต่ว่าอัญชลีกระพุ่มมือ วันทนายกขึ้นชิดศีรษะ อภิวาทก็กราบลงไป ๆ ที่ถูกต้องที่สุดเขาก็มีว่า เบญจางคประดิษฐ์ ที่ฝ่ามือทั้ง ๒ หัวเข่าทั้ง ๒ หน้าผาก ๑ รวมเป็น ๕ ถูกกับพื้น เขาเรียกเบญจางคประดิษฐ์ เต็มที่ ๆ ไหน ๆ ก็มาเพื่อรับการอบรมแล้ว ขออบรมเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก คุกเข่าหรือนั่งทับขา ๆ แล้วแต่ผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้หญิงนั่งทับขา ผู้ชายคุกเข่า
อัญชลี ที่หน้าอก อย่าให้ถูกคาง ไม่ต้องสูงให้ถูกคาง วันทนา อภิวาท แล้วอัญชลี วันทนา อภิวาท อัญชลี วันทนา อภิวาท แล้วก็จำไว้ว่าแบบฉบับเป็นอย่างนี้ ถ้าทำได้จะดีมากจะได้ชื่อว่าฝึกอบรมแล้ว (นาทีที่ 4:33) ฝึกแล้ว อบรมแล้ว ทำอะไรถูกต้อง นี่ขอเชิญนั่งราบ
ขอแสดงความยินดีมากที่ว่า ได้มารับการศึกษาอบรมกันระยะหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นความถูกต้องที่สุดของทั้งหมดของทุกคน เพราะว่าความย่อหย่อนในทางศีลธรรมมันได้เกิดขึ้นและมากขึ้นจนมันไม่ค่อยจะมีระเบียบ มันจึงเกิดการเสื่อมเสีย คือคนมีจิตใจหยาบหรือไม่งั้นหยาบคายก็มี แต่ว่ามีจิตใจหยาบคือมันกระด้าง ไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยชี้ สัญชาตญาณอย่างสัตว์มันก็ครอบงำเอา สัญชาตญาณตามธรรมชาติ ตามธรรมดาอย่างสัตว์ทั่วไปมันก็ครอบงำเอาจึงทำอะไรตามใจตัวเอง โลเล ล้งเล้ง ตามใจตัวเอง ไม่มีระเบียบ มันก็เตลิดเลยไปถึงอย่างอื่น ๆ มันเห็นแก่ตัว มันเอาแต่ความพอใจของตัว มันเลยไม่มีระเบียบ มันก็เป็นกันมากขึ้น เป็นทุกประเทศ แต่บางประเทศมากไปหน่อย บางประเทศยังไม่เท่าไร ขอให้เรามามีการศึกษาอบรมให้รู้จักควบคุมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ คือปล่อยตามสบายใจ การปล่อยตามสบายใจไม่อยู่ในระเบียบอยู่ในร่องรอยอะไร อย่างนี้เขาเรียกว่า สัญชาตญาณอย่างสัตว์มันพาไป มันพาไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าหญิงไม่ว่าชายก็ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ กระทั่งถึงขีดสูงสุด หมดดี หมดดีเลย ขอให้ควบคุมความรู้สึกที่จะทำอะไรตามพอใจ จะเดิน จะลุก จะนั่ง จะอะไรต่าง ๆ มันไม่ได้อยู่ในความควบคุมหรือความรู้สึก
พวกแพะเดินเป็นฝูงเป็นแถวเรียบร้อยกว่าพวกนักเรียน พวกนักเรียนเดินบางคนโซเซ บางคนก็เซไปแทะเพื่อน บางคนผลักเพื่อนนักเรียนผู้ชายไปกระทบหมู่นักเรียนผู้หญิง นี่เลวมาก นี่มันเลวเกินไป แพะแกะนะไม่ทำหรอก ดูแพะแกะเดิน ขอให้ดูไปทุกแห่งว่าแพะแกะเดินมันจะเรียบ เรียบที่สุดเลย มันจะไม่มีหรอก ไอ้โคลงเคลง ๆ แกว่งไปแกว่งมา แกว่งขาหยอกล้อกันไปพลาง กอดคอกันไปบ้าง นั่นทำด้วยสัญชาตญาณอย่างสัตว์นะที่เดินกอดคอกัน คือไม่บังคับ ๆ ความรู้สึกอะไรว่าจะมีมรรยาทอย่างไร มีสมบัติผู้ดีอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาในวัดก็ขอให้มีระเบียบ เมื่ออยู่โรงเรียนก็ให้มีระเบียบ จะไปกลางถนนหนทางก็ให้มีระเบียบ อย่าพูดจาล้งเล้งตามพอใจ ท่าทางโซซัดโซเซ เหมือนกับแกล้งทำให้เมา เป็นคนขี้เมาขึ้นมา แต่งเนื้อแต่งตัวไม่เรียบร้อย บางทีแกล้งทำไม่เรียบร้อย เพื่ออวดความเก่ง ความว่าอยู่เหนือระเบียบ ความไม่มีระเบียบ มาจากสัญชาตญาณอย่างต่ำ เพราะฉะนั้นขอให้นึกทุกอย่างเลย เมื่อจะทำอะไรแล้วก็จะนึกว่าจะไม่ทำตามความพอใจของกิเลส อย่างที่ว่ามาแล้ว เมื่อเดินไปก็เดินตามความพอใจของกิเลส ไม่ตั้งสำรวมระวังระเบียบที่ว่า แต่ระเบียบไม่รู้อยู่ที่ไหนหมด นักเรียนสมัยนี้ไม่ไหว้พระมากกว่านักเรียนสมัยเมื่อ ๑๐ หรือ ๒๐ ปีที่แล้ว นี่ขอยืนยันด้วยความสังเกตของตนเอง เมื่อพบกัน สวนทางกัน อะไรกัน บางทีแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ จนพระต้องหลีกอย่างนี้ก็มี ไม่ใช่ไม่มี จะว่าหลีกก็ไม่หลีกอย่างที่เรียกว่ามีระเบียบ ดังนั้น ยินดีที่ว่าเรามาฟื้นฟูกันเสียทีจะเป็นความประสงค์ของทางการ ของกระทรวง ของอะไรหรือไม่ก็ตาม อันนี้เป็นการดีที่มารับการศึกษาอบรม มีรายการอบรมถึงกับว่าอบรมสมาธิ อบรมการทำสมาธิภาวนา กรรมฐาน นั่นมันสูงมากนะ ถ้าจิตใจยังล้งเล้งอย่างนี้อยู่ทำไม่ได้หรอก ป่วยการ มันทำได้สำหรับคนที่มีระเบียบ สัมมาทางกาย ทางวาจา มีศีล มีอะไรเรียบร้อยแล้ว มีความปรารถนาดี ตั้งใจแน่วแน่เพื่อความสงบ มันถึงจะฝึกสมาธิหรือวิปัสสนาได้ ถ้ายังเดินหยอกล้อกันไปพลาง โซซัดโซเซปล่อยไปตามบุญตามกรรม ไม่มีระเบียบ จิตใจยังไม่เหมาะสำหรับจะทำวิปัสสนาหรือทำกรรมฐาน ดังนั้น เตรียมเนื้อเตรียมตัวกันเสียใหม่ให้มันอยู่ในร่องรอยมาตั้งแต่กิริยาอาการ มันยากขนาดนี้นะ มันรวมไปถึงการแต่งเนื้อแต่งตัวด้วย ดังนั้น อย่ามีเลยที่เดินตามพอใจ โซซัดโซเซ แล้วบางทีก็คุยลั่น ไม่ให้ความสงบ ทำลายความสงบ อย่างนี้ไม่ ๆ ๆ อาจทำวิปัสสนาได้เพราะใจไม่อยู่กับตัว
ทางที่เดิน หรือแม้กิริยาที่เดิน ลองคิดดูเอาเองก็ได้ เดินอย่างไหนใจคอปกติ หรือใจคอคิดถึงแต่สิ่งที่ดีงาม ถ้าใจคอคิดถึงแต่สิ่งที่ดีงาม มันจะวางมือวางเท้าในการเดินอย่างไรมันรู้เองมันจะเป็นไปได้เอง มันอาจจะถึงกับว่าเดินกอดอกอย่างนี้ก็ได้ เพราะในใจมันคิดถึงแต่สิ่งที่ดีงาม หรือมือประสานลงไปข้างล่างอย่างนี้ก็ได้เดินไปเหมือนกับพระเดินจงกรม พระเดินจงกรมที่เห็นเขาจะทำอย่างนี้ เดินจงกรม หรือว่านี่ มือวางไว้ที่อก นี่คล้าย ๆ กับกอดอก เดินอย่างนี้ แสดงว่าจิตใจมันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เดี๋ยวนี้เรามันจิตใจฟุ้งซ่านอยู่กับกิเลสชื่อนั้นชื่อนี้ อยากจะเดินอย่างนั้นอย่างนี้ อยากจะล้อกันเล่นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากจะหยอกกันไปเลย แกล้งผลักนักเรียนชายคนหนึ่งเข้าไปกระทบกับกลุ่มนักเรียนหญิง แล้วก็มีข้อแก้ตัวต่าง ๆ นานา นี่เป็นเรื่องจริง จริงร้อยเปอร์เซ็นต์หรือจริงเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ สังเกตเห็นด้วยตาเองก็มี ขอบอกอย่างนี้ ยังไม่พอ
เมื่อจะมาศึกษาธรรมะ วินัย ระเบียบของพระพุทธเจ้าขอให้รีบเตรียมตัวให้พร้อม เตรียมตัวให้พร้อมนับตั้งแต่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอะไรเตรียมให้พร้อม ไม่ใช่จะไปเล่นสนุกสนาน ไปตากอากาศชายทะเล ให้เตรียมมาสำหรับว่าจะมาทำการฝึกฝนจิตใจให้อยู่ในระเบียบ เพราะว่าเราไม่ค่อยจะรู้ระเบียบ เพราะว่าไม่ค่อยจะได้สอนกัน เพราะว่าการศึกษาสมัยปัจจุบันนี้มันเป็นการศึกษาหมาหางด้วนกันทั้งโลก ทั้งโลกเป็นการศึกษาหมาหางด้วน เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ส่วนจะประพฤติธรรมะเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องอย่างไรนั้นไม่ได้เรียน ไปดูสิมันไม่ได้เรียนไม่ได้สอน เรียนแต่หนังสือ ๆ ๆ ให้สูงสุด และเรียนอาชีพ ๆ ๆ จนสูงสุด จะเป็นคนอย่างไรไม่ได้เรียน บางคนไปเรียนจบเมืองนอกมาไม่รู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ถามตอบไม่ถูก เรียนจบเมืองนอกเมืองนามา การศึกษาหมาหางด้วนเป็นอย่างนั้น ดังนั้น เราจงเพิ่มการศึกษาไปอีกอย่าง ทางจิตใจจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร เรียนก็อีกเรื่องหนึ่ง จึงต้องมาเรียนพิเศษอย่างนี้ ที่จริงเรียนที่โรงเรียนก็ได้ถ้าครูสอนถ้ามีหลักสูตร ถ้ากระทรวงเขาต้องการนะ เดี๋ยวนี้ครูกลัวว่ากระทรวงมันก็ไม่ต้องการ ครูมันก็ไม่สอน นักเรียนก็เลยไม่ต้องรู้ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร แต่นี่ประหลาดใจที่ว่าทำไมจึงขอเข้ามารับการอบรมที่ในวัด นี่ก็คงจะต้องการอะไรมากไปกว่าแต่ก่อน จึงพูดเรื่องนี้ให้ฟังว่าเราจะต้องเพิ่มการศึกษาเข้าไปอีกอย่างหนึ่งให้มันหายหางด้วน พระเจดีย์ยอดด้วนก็ไม่งาม สุนัขหางด้วนก็ไม่งาม อะไรหางด้วนมันก็ล้วนแต่ไม่งามทั้งนั้น
หนึ่ง เรียนหนังสือขอให้เรียนให้ดีที่สุดดังวิชาหนังสือศิลปศาสตร์ อักษรศาสตร์ให้ดีที่สุด แล้วถ้าเป็นท่านที่เรียนวิชาชีพ มีวิชาชีพรวมอยู่ด้วย หัตถศึกษา อะไรศึกษา พลศึกษา ก็ทำให้ดีที่สุด เรื่องที่สองเรื่องว่า อาชีพดีที่สุด ทีนี้มาถึงธรรมะ จริยธรรม จะให้ดีที่สุด ที่จริงเรื่องนี้นึกเอาเองก็ได้ แต่ต้องนึกเวลาที่จิตปกติ อะไรน่าเกลียดน่าชังมันก็จะมองเห็นทั้งนั้นแหละ แม้ยังเป็นเด็กอยู่ก็จะเห็นว่าอะไรน่าเกลียดน่าชัง ไม่สุภาพ จะมองเห็นว่าอะไรสุภาพ อะไรไม่สุภาพได้ก็มองเห็นได้ด้วยตัวเองทั้งนั้น ไม่ต้องมีใครสอน เดี๋ยวนี้เป็นอันว่ามีใครสอนก็ขอให้สนใจฟัง
เรามีความมุ่งหมายที่จะให้มีสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม คือประพฤติอย่างไรจึงจะงดงาม ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความทุกข์ ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้อื่น นี่ในส่วนศีลธรรม มีความถูกต้องของการเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่มีเรื่องที่ต้องร้อนใจ ไม่มีเรื่องที่ต้องร้องไห้ ไม่มีเรื่องที่ต้องหัวเราะอย่างเป็นบ้า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลุกหลิกโลเลเล่นหัวมันไม่มี ไม่มีศีลธรรม ไม่สงบ เอาละ เราลองเสียสละลด ๆ ๆ สนุกอย่างนั้นกันเสียบ้างเถอะ อย่าไปเชื่อตามคำสอนโง่ ๆ ว่าต้องเล่นหัว ต้องสนุกสนาน ต้องหัวเราะด้วย นั่นเป็นคำสั่งสอนที่โง่ ๆ ของครูประเภทหนึ่งหรือของการศึกษาประเภทหนึ่งในโลกนี้ก็มี เช่น พวกฝรั่งเขาปล่อยกันมากจนนักเรียนจุดประทัดโยนใส่ครูก็ได้ หัวกันใหญ่ ครูก็เห็นเป็นธรรมดาของเด็ก ๆ เด็ก ๆ เป็นอิสระเต็มที่ นี่เขาเรียกการศึกษาที่บ้าที่สุด มันจึงรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด จำไว้ง่าย ๆ ว่าถ้ามันถูกล่ะมันไม่มีโทษอะไร ไม่มีโทษชนิดไหนหมด มีแต่ประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ถ้าผิดมันมีโทษ มีอันตรายแก่ทุกฝ่ายนั่นเรียกว่าผิด นึกเอาเองก็ได้ จะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินจะกิน จะทุกอย่างทุกอิริยาบถที่จะทำ ขอให้ระมัดระวังให้มันมีแต่ถูกต้อง ไม่มีโทษแก่ฝ่ายใด เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ยอมรับว่า นับถือพระพุทธศาสนา ถึงจะถือศาสนาอื่นมันก็คล้าย ๆ กัน มันบังคับตัวเองทั้งนั้นแหละ ทุกศาสนาแหละเราไปสำรวจดูแล้ว ทุกศาสนาสอนบังคับตัวเองให้อยู่ในระเบียบทั้งนั้น อยากจะสอนให้เห็นแก่ผู้อื่นให้รักผู้อื่น หรือทำจิตให้เป็นสุข สงบสุขนั้นก็มีด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่ามันต่าง ๆ ต่างกันไม่เหมือนกันทุกศาสนา แต่เรื่องบังคับตัวเองให้อยู่ในระเบียบ ให้เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัวนั้น ตรงกันทุกศาสนา ดังนั้น เราก็เคารพพระพุทธเจ้า ก็ขอให้เข้าใจพระพุทธเจ้านั้นรู้เรื่องดับทุกข์ทุกอย่างทุกประการดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง แล้วสอนผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วย การทำอย่างนั้นคือการทำหน้าที่ ดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานี่เป็นหน้าที่ เราอย่าทำให้ผิดหน้าที่ คือ ทำแล้วไม่ดับทุกข์ ทำแล้วไม่แก้ปัญหาที่ควรจะแก้ นั่นผิด ถ้าประพฤติแล้วมันดับทุกข์ได้ มันแก้ปัญหาให้ไม่มีไม่เกิดขึ้นมาได้ นั่นถูก จะได้อยู่สบาย เอาความสบาย ความสงบเย็น
เธอนั่งอย่างนี้ในที่อย่างนี้รู้สึกอย่างไร ไปนั่งอยู่ในตลาดรู้สึกอย่างไร ไปนั่งอยู่ในโรงหนังโรงละครรู้สึกอย่างไร ถ้ารู้จักเปรียบเทียบอย่างนี้บ้างก็คงจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าความสงบ คือไม่มีอะไรมากระตุ้นจิตใจ บางอย่างกระตุ้นให้ฟูให้เหลิงให้พองให้ฟุ้งซ่านอวดดี บางอย่างมันกระตุ้นให้ยุบให้แฟบให้เหี่ยวให้เศร้าสร้อยสร้อยเศร้า อย่างนี้เรียกว่าถูกกระตุ้น ให้หัวเราะบ้างให้ร้องไห้บ้าง ๆ ไม่เป็นอิสระ เป็นเรื่องของคนไม่รู้อะไร ไม่รู้อะไรเลย ถ้ารู้อะไรแล้วจะต้องรู้จักควบคุมจิตใจให้ปกติ ไม่ต้องหัวเราะเหมือนกับคนบ้าจี้ อะไรนิดหนึ่งก็หัวเราะ อะไรนิดหนึ่งก็หัวเราะจนเป็นนิสัย ได้ยินฮา ๆ กันทั้งชั้นโดยที่ไม่ควรจะฮา มีอยู่บ่อย ๆ เพราะมันติดนิสัยและมันเกินนิสัย ๆ ๆ อะไรนิดหนึ่งก็ฮา แม้ครูพูดก็ฮา ใครพูดถ้ามันมีอะไรนิดหน่อยก็ฮา นี่มันเกินนิสัย เกินธรรมชาติ เกินความสงบ ไม่ต้องหัวเราะ ถ้าถึงกับว่าใครมาจี้สีข้างก็ไม่หัวเราะได้ก็ยิ่งดี ดีที่สุด แต่ว่าก็ไม่ต้องถึงอย่างนั้นหรอก เพียงแต่ว่ามันมาพูดให้หัวเราะ หลอกให้หัวเราะ ยั่วให้หัวเราะ เราก็ไม่หัวเราะ มันก็โง่ไปเอง มันก็เลิกไปเอง การหัวเราะนี่แสดงความอ่อนแอ แสดงความโง่ อะไรมานิดหน่อยก็หัวเราะ หัวเราะร่า หนักเข้า ๆ หัวเราะเกินควร หนักเข้าก็หัวเราะเหมือนกับคนบ้า ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วยิ่งน่าเกลียดที่สุด ถ้าใครมากระตุ้นให้หัวเราะเหมือนกับคนเป็นบ้าได้แล้วก็เรียกว่าเสียหายที่สุด คือไม่มีมรรยาท ไม่มีคุณสมบัติที่สมควรกัน ผู้ชายก็เหมือนกันน่ะมันไม่ควรจะถูกจี้จุดอะไรให้หัวเราะได้ตามพอใจของคนยุ ที่จะทำให้โศกเศร้าร้องไห้ก็เหมือนกัน ไม่ต้อง ๆ ก็ศึกษาธรรมะมาพอแล้วดีแล้ว แล้วมันก็จะไม่หัวเราะหรือร้องไห้มากเกินไป แม้แต่สอบไล่ตกมันก็ไม่ต้องร้องไห้เพราะมันถูกแล้วที่เรามันเรียนไม่พอ หรือมันมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งมันสอบไล่ตกมันก็ไม่ต้องร้องไห้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไปใหม่ให้มันดี อย่างนี้เขาเรียกว่ามันปกติ ถ้ามันขึ้นลง ๆ หัวเราะร้องไห้อย่างนี้เรียกว่าไม่ปกติ มันถูกเชิดด้วยกิเลส กิเลสมันเชิดให้หัวเราะให้ร้องไห้ ให้รู้จักสังเกตศึกษาว่า ไอ้หัวเราะมันก็โง่ชนิดหนึ่ง ร้องไห้ก็โง่ชนิดหนึ่ง อย่าเอาทั้งสองโง่แหละดี เอาที่ปกติทำอะไรได้ดีได้หนักแน่นได้มั่นคง จะตรงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าสำรวม สังวร ระวัง บังคับจิตได้ ไม่ให้ถูกจี้ให้หัวเราะ ไม่ถูกขู่ให้ร้องไห้ เป็นปกติอยู่เสมอ เมื่อเรียนก็เรียนด้วยใจปกติ เมื่อสอบไล่ก็สอบไล่ด้วยจิตปกติ นั่นแหละจะได้ผลดี ถ้าเอาแต่สรวลเสเฮฮามันก็ลืมตัว มันก็อ่อนแอ มันก็โง่ มันก็ทำไม่ได้ดี แม้แต่การเรียนแม้แต่การสอบไล่ ดังนั้นในห้องเรียนจึงมีระเบียบ ในห้องสอบไล่จึงมีระเบียบ คือความมั่นคง ปกติแห่งจิตใจ จงพอใจความสงบความปกตินี่ดีกว่าความสนุกสนาน หัวเราะร้องไห้ โดยมากจะชอบไปหาสิ่งที่ยั่วให้หัวเราะ ไปดูหนังดูละคร ไปดูการเล่นอะไรต่าง ๆ สัญชาตญาณที่มันอยากจะสนุกสนานมันก็ยังมีอยู่ ก็ไปหาเอง ถ้ามันเกินขอบเขตไปก็ให้โทษอย่างยิ่ง แม้ไม่เกินขอบเขตก็เรียกว่ามันยังโง่อยู่ตามอำนาจตามสัญชาตญาณ ไปเสียเวลาเปล่า ๆ ไปเสียเวลาต้องหัวเราะทำไมให้มันเหนื่อยทำไม มันกินแคลอรี่เหมือนกันไอ้หัวเราะ ไปหัวเราะให้มันเหนื่อยทำไม นี่เรียกว่าปกติ ๆ ในภายในก็ปกติ ในภายนอกการสังคมกันก็ปกติ นั่นแหละเรียกว่าศีลธรรม
เธอมาอบรมเรื่องศีลธรรม จงมาอบรมเรื่องของความปกติ วิธีที่ทำจิตให้ปกติ ให้ทำกรรมฐาน ทำสมาธินั้นยิ่งปกติยิ่งกว่าธรรมดา เอาแต่ปกติธรรมดาเพียงแต่มีศีล ๆ มีระเบียบ มีศีล มีมรรยาท มีสมบัติผู้ดี เขาเรียกว่าปกติพอสมควร เบื้องต้น ๆ พื้นฐานเบื้องต้นในความปกติเรียกว่า ศีล กาย วาจา ไม่มีผิดพลาด ไม่มีโทษ ไม่มีฟุ้งซ่าน มีศีล จิตปกติเรียกว่ามีสมาธิ นี่ปัญญาปกติคือปัญญาไม่มีผิดพลาด ก็เรียกว่ามีปัญญา มีศีล สมาธิ ปัญญา กล้าท้าทั่วโลกเลย เอ้า, คน ๆ ไหนในโลกทั้งโลกนี่กล้าค้าน สามารถจะค้านเรื่องนี้ว่า ความปกติทางกายวาจา ความปกติทางจิต ความปกติทางสติปัญญา ๓ อย่างนี้ใครไม่ต้องการ หรือใครจะคัดค้านใครจะตำหนิ มันมีแต่คนบ้าทั้งนั้นแหละ พวกฝรั่งที่มีสติปัญญาที่พวกเราไปตามก้นเขาก็กล้าท้าให้มันวิจารณ์ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีข้อบกพร่องตรงไหน ใครไม่ต้องการ ใครคัดค้าน จะใช้คำธรรมดา ๆ ก็จำกันว่า ปกติทางกายวาจา คือการกระทำและการพูดจา แล้วปกติแห่งจิต คือมีจิตมั่นคง จิตถูกต้องตามแบบของจิต แล้วสติปัญญาปกติ คือถูกต้อง ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่โง่ ไม่หลง เรียกว่าปกติ นี่เรียกว่าปัญญา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ตลอดเวลาแหละ ไม่ว่าจะพักผ่อนก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา จะทำงานก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา จะเล่าเรียนก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา จะสอบไล่โดยเฉพาะต้องมีความปกติทางกาย ทางวาจา ทางจิต ทางสติปัญญา ใจคอปกติที่สุด สงบที่สุด ชื่นบานที่สุด แล้วสอบไล่นี่ก็ต้องได้แน่ ถ้ามันฟุ้งซ่านซะอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วมันก็ไม่มีหวัง
เดี๋ยวนี้มานั่งกลางดินอยากพูดอยู่อย่างหนึ่งว่า เราเป็นพุทธบริษัททั้งทีควรจะรู้เรื่องพระพุทธเจ้าตามสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดว่า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน เกิดประสูติ คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าน่ะกลางดิน เกิดกลางดิน แล้วก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คือเกิดอีกครั้งหนึ่ง เกิดเป็นพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็เกิดกลางดิน ตรัสรู้เมื่อนั่งกลางดิน เมื่อสอนก็สอนกลางดิน นั่งสอนกลางดินโดยมากสอนกลางดิน เดินทางอยู่ก็แวะนั่งลงพูดจาสั่งสอน ก็สอนกลางดิน นี่เรียกว่าคำสอนทั้งหลายมานั่งกลางดินเป็นส่วนมาก ทีนี้ถ้าว่าสอนบนกุฏิวิหารมันก็พื้นดิน กุฏิวิหารของพระพุทธเจ้าก็พื้นดิน ก็แปลว่าที่อยู่ของท่านก็กลางดิน ท่านอยู่กลางดิน พื้นดินมีเขาเรียกว่า ตั่ง คือเตียง ๔ ขาเตี้ย ๆ ไม่เกินคืบหนึ่ง ตั่งสำหรับนอนสำหรับอะไรไม่ได้นอนกลางดินทีเดียว แต่จะว่านอนกลางดินทีเดียวก็ยังมีสาวก นั้นที่สุดพระพุทธเจ้านิพพานก็กลางดินแท้ ๆ ผ้าสังฆาฏิปูกลางดิน บางคัมภีร์ว่าตั้งเตียงเล็ก ๆ เตียงอย่างที่ว่าอยู่สูงไม่ถึงคืบว่ากลางดิน ไม่ได้ตายที่โรงพยาบาลอันหรูหราอะไร ก็เรียกว่าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ถ้าเราเอามือลูบดิน เราจะต้องพอใจ ว่ามันเกี่ยวข้องกันกับพระพุทธเจ้า ดังนั้น อย่าดูถูกดิน อย่าดูถูกสิ่งตั้งต้นพื้นฐาน แล้วก็ดูลักษณะของแผ่นดิน แผ่นดินนี่มีความปกติที่สุด แผ่นดินนี่มีความปกติที่สุด ใครจะเทน้ำสกปรกก็ได้ เทน้ำสะอาดลงไปก็ได้ ใครจะถ่ายอุจจาระก็ได้ แผ่นดินก็ยังคงที่ยังคงสม่ำเสมออยู่ยังคงที่ มันเป็นพื้นฐานที่มั่นคงที่สุด แล้วมันก็จะอยู่โดยกับสมมติน่ะเรียกว่ามันอยู่ต่ำที่สุด ก็ไม่เป็นไร ถ้ามันอยู่ต่ำก็มีแต่จะสูงเท่านั้นแหละ ถ้าอยู่ต่ำก็มีแต่จะสูงเท่านั้นแหละ มันไม่อันตรายอะไรหรอก ก็อยู่ให้ถูกต้อง
ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ เวลานี้ มานั่งกลางดิน ช่วยจำไว้เป็นที่ระลึกด้วยหรืออาจจะคราวอื่นก็ตามใจ แต่ว่าคราวนี้ขอร้องให้จำไว้ด้วย เรามานั่งกันที่นี่ตอนสายขอวันที่ ๑๙ มกราคมนี้ เหมือนกับมาทำสัญญากันต่อหน้าพระพุทธเจ้า แผ่นดินนี่เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า เรามาทำสัญญากันว่า เราจะเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์อย่างสุดกำลัง อย่างสุดกำลังกาย กำลังจิต กำลังสติปัญญา อย่างสุดกำลังของเรา แล้วเราก็จะทำอย่างนั้นจริง กลับไปนี้จะไม่เสียฟรี ที่มาอยู่พักการอบรมที่นี่จะไม่เสียฟรี ไม่เสียเวลาเปล่า ถ้ากลับไปไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เสียเวลาเปล่า มาอย่างลิงก็กลับไปอย่างลิง เขาเรียกมันเสียเวลาเปล่า ดังนั้น ขอให้พิจารณาอาการหน่อยให้มันลด ลดลงไป ๆ มีความถูกต้อง มีความดำรงอยู่อย่างถูกต้องมากขึ้น ๆ ขอให้ยึดหลักว่าเราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดามากขึ้น จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์มากขึ้น จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนมากขึ้น จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติมากขึ้น จะเป็นสาวกที่ดีของพระศาสดามากขึ้น จะเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมในที่สุด จุดปลายทางอยู่ที่ความเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม เต็มเปี่ยมอย่างมนุษย์ธรรมดาก็ไม่มีปัญหาอะไรในโลกนี้ ถ้าเต็มเปี่ยมด้วยธรรมะก็เป็นพระอรหันต์เลย ไม่เป็นการอวดดีหรือโง่เง่าอะไรที่จะมีความคิดว่าในที่สุดมนุษย์จะจบที่การเป็นพระอรหันต์ แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ในอนาคตอันยาวนานนี้จะต้องเป็นได้ มันจึงจะถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ไม่เสียชาติที่เกิดมา ดังนั้น เราจงทำให้มันเรียกว่าถูกขึ้น ถูกต้องขึ้น ๆ ๆ ถูกต้องในการเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา สรุปความว่าไม่มีเรื่องร้อนใจอะไร ๆ เกิดขึ้นแก่บิดามารดาเพราะเราเป็นบุตร เราอย่าได้ทำอะไรคิดอะไรพูดอะไรให้มันเป็นที่เดือดร้อนใจกับบิดามารดาแม้แต่นิดเดียว เราอดกลั้นอดทนเพื่อบิดามารดายังคงสบายใจ ก็มีความหวังดีกันทั้งนั้น ไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะกับบิดามารดา บางคนก็พูดแก้ตัวว่าบิดามารดาต้องการอย่าง เราต้องการอย่างหนึ่งก็เลย มันเป็นเรื่องแก้ตัว บิดามารดาเป็นผู้ที่รักเรา ไม่มีใครรักเราเท่าบิดามารดา ไม่มีใครจะตายแทนเราได้เหมือนบิดามารดา ไม่ต้องมีอะไรที่ผิดพ้องหมองใจกันกับบิดามารดา ไม่มีอะไรที่ทำบิดามารดาเดือดร้อนใจ ให้ได้รับความชื่นใจเพราะว่ามีเราเป็นบุตรเป็นลูก ตั้งความปรารถนาไว้อย่างนี้มีค่ายิ่งกว่าอย่างไหนหมดเลย
ทีนี้ก็ทำขยายต่อไปถึงว่า เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์เพื่อเราจะก้าวหน้าไปในทางความถูกต้องโดยไม่มีการศึกษานั้นไม่ได้ เราไม่อาจจะรู้ มันจึงมีบุคคลประเภทครูขึ้นมาในโลกเพื่อสั่งสอนในส่วนนี้ แล้วเราก็จะได้รู้ว่าทำอะไรมันจะดียิ่ง ๆ ขึ้นไปซึ่งลำพังเราเองคิดไม่ได้ แม้ว่าเราคิดได้บางทีเราก็ไม่ทำนะ ทั้งที่เรารู้อยู่ว่าไม่ดีเรายังทำ เราบังคับไม่ได้ ที่รู้อยู่ว่าดีก็ไม่ค่อยจะทำ มันบังคับไม่ได้ เราก็ต้องให้ได้รับการศึกษาอบรมฝึกฝน เรียกว่าบังคับเลยก็ได้ในทางที่ถูกที่ควรจากครูบาอาจารย์ แล้วก็เป็นศิษย์ที่ถูกต้อง เขาเรียกได้ว่า ผู้ที่ครูบาอาจารย์นำไปได้อย่างวิเศษ นั่นมันมีคำว่าอย่างวิเศษ วินีโต วิ แปลว่า วิเศษ นีโต แปลว่า นำไปได้ วินีโต ผู้ที่เขานำไปได้อย่างวิเศษ นำไปสู่คุณสมบัติอันสูง ถ้าได้รับการศึกษาอบรมหากถึงที่สุดจริง ๆ เด็กคนนั้นก็จะเป็นผู้ที่ครูบาอาจารย์นำไปได้ สู่ฝั่งโน้นได้จากฝั่งนี้ นี่ก็เรียกว่าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ แล้วเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน นี่มันก็ไม่ใช่ง่ายนัก ก็ยังเห็นมีการด่าทอหรือกระทบกระแทก มีการทะเลาวิวาท มีการคุมพวกเป็นหมู่เป็นคณะ กัดกันเหมือนสุนัขป่าอย่างนี้ก็มีนะ นักเรียนที่ไหนก็ไม่รู้คุมฝูงยกพวกตีกันเหมือนกับสุนัขป่าในกรุงเทพน่ะ ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่ไหวแหละ มันไม่มีความหมายอย่างเพื่อน เมื่อเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ มันไม่สะดวก มันไม่ปลอดภัย มันไม่อะไรทุกอย่างต้องอยู่กันเป็นเพื่อนกัน อย่างมีเพื่อน ฉะนั้นมิตรภาพนี่สำคัญมาก
จะเสียเวลาไหมจะเล่านิทานสัก ๒ - ๓ นาทีน่ะ ในอินเดียสมัยโบราณน่ะเขานิยมมิตรภาพ ให้เกียรติแก่มิตรภาพสักเท่าไร คัมภีร์ชาดกที่กล่าวถึงเรื่องราวก่อนพุทธกาล นิทานชาดกว่าลูกเศรษฐี ๔ คน ออกไปเที่ยวริมเมือง ไปชายแดนเมืองของ (นาทีที่ 35.41) เมื่อนายพรานคนหนึ่งขับเกวียนมาบรรทุกเนื้อมาเต็มเกวียนจากป่า ลูกเศรษฐีทั้ง ๔ คนนั้นจึงพากย์กันเองว่า เอาสิ เราจะขอเนื้อจากพรานป่า ใครจะได้มากกว่าใคร ลูกคนแรกลูกคนโตมันก็เข้าไปว่า นายพรานให้เนื้อแก่กูบ้าง มันพูดอย่างนี้ นายพรานเขาก็ตัดส่วนที่เป็นพังผืดเหนียว ๆ ให้ ให้เยอะเหมือนกัน ว่าคำพูดของท่านมีลักษณะเหมือนกับพังผืด แล้วตัดพังผืดจากเนื้อดี ๆ ให้ คนขอที่ ๑ คนขอที่ ๒ “พี่พรานขอเนื้อบ้าง” นายพรานว่าคำพูดนี้มันเป็นล่ำ จะไปตัดเนื้อล่ำ ๆ เนื้อจริง ๆ เนื้อดี ๆ ให้ แล้วคนที่ ๓ ขอว่า “พ่อพราน ๆ” เรียกเป็นพ่อ “ให้เนื้อแก่ฉันบ้าง” นายพรานเขาก็ตัดเอาหัวใจ พวงหัวใจของเนื้อนั้นน่ะให้ไป ทีนี้คนสุดท้ายซึ่งนัยว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ขอว่า “เพื่อนพราน เพื่อนขอเนื้อบ้าง” นายพรานก็ให้หมดเลยก็ให้ทั้งหมดเลย หรือจะเลยไปถึงว่ามอบตัวให้เป็นบ่าว เป็นทาส หรือข้าไปเลยด้วย ด้วยคำว่าเพื่อน ๆ นี่แสดงว่าวัฒนธรรมหรืออุดมคติสมัยโบราณนั้นยกย่องคำว่าเพื่อนมาก หนังสือต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่เช่นหนังสือหิโตปเทศ เป็นต้น เขาสรรเสริญมิตรภาพมากที่สุด เราเป็นเพื่อน เราต้องเป็นเพื่อนเพราะว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ แล้วเรามีปัญหาอย่างเดียวกันมีหัวอกอย่างเดียวกัน เพราะความเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เรามีปัญหาอย่างเดียวกัน ดังนั้นเราต้องเป็นเพื่อนกัน เราอย่าเป็นศัตรูกัน นั้นจงนึกถึงเพื่อน มองดูเพื่อน ในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเป็นหลัก เป็นเพื่อนช่วยกันอยู่ในโลก ทำโลกนี้ให้น่าอยู่ให้งดงาม แล้วก็มีความรักเพื่อนโดยแท้จริง อย่าเพื่อนแต่ปาก อย่าเป็นเพื่อนที่หลอกลวง นี่เราจะต้องเป็นเพื่อนซึ่งกันและกัน มองดูซึ่งกันและกัน ในลักษณะที่ว่าเป็นเพื่อนอยู่ในโลก แก้ปัญหาในโลก ทำโลกให้น่าอยู่น่าดู และช่วยกันแก้ปัญหาคือดับทุกข์ของสังคมให้ได้ มันก็เลยได้อยู่เป็นสุขเพราะว่ามีความเป็นเพื่อน
อย่าเพิ่งพูดพร้อม ๆ พูดคนเดียวเถอะ ชื่อว่าเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาตินี้ก็รู้แล้ว เข้าใจว่าที่โรงเรียนสอนมา ไม่ต้องอธิบาย เป็นพลเมืองที่ดีของชาติอย่างไรมันมีในหลักสูตรที่เรียนอย่างที่สอนกันมานั้น มันชื่อว่าเป็นศาสนิกของพระศาสดา คือ ผู้ปฏิบัติตามพระศาสนาที่ดีนั้น หมายความว่า ให้ได้รับผลตามที่พระศาสดามุ่งหมายไว้อย่างไร พระศาสดาไม่ว่าเป็นพุทธ ฮินดู กรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายจึงพูดออกมา คำพูดนั้นพูดออกมาด้วยความรัก ความเมตตา ความกรุณานั้นเราจะไม่ฟังอย่างไรกัน มันก็ต้องฟังสำหรับจะได้มา ประพฤติตามแล้วก็ได้ผลตามที่พระศาสดาหวัง ทำได้อย่างนี้เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดีก็เรียกว่า เต็มของความเป็นมนุษย์ ไม่มีความผิด ไม่มีความบกพร่อง อย่างชั้นโลก ๆ ก็เต็มอย่างโลก ๆ ชั้นธรรมะก็เต็มอย่างชั้นธรรมะ คือเป็นพระอรหันต์ไปเลย เดี๋ยวนี้เอาแต่ว่าเป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ให้มีความเต็ม ไม่มีความบกพร่อง คือไม่มีจุดนิดเดียวที่เป็นจุดดำไม่มีช่องแหว่งเว้านิดเดียวที่ให้เขาตำหนิติเตียนได้ ไม่มีอะไรบกพร่องแม้แต่นิดเดียวน่ะ เรียกว่าเต็ม เราปิดอุดหมดเลย คือมันถูกต้องหมดทุกทิศทุกทางเลยไม่มีอะไรบกพร่อง ถูกต้องหมด นี่เรียกว่าเป็นวัตถุประสงค์ที่มุ่งหมาย ๖ ประการนี้ รวมความว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เราถูกต้องเองไม่ได้เพราะว่าเราไม่รู้ เราเกิดมาไม่ได้เอาความรู้มาด้วย พอเกิดมาก็มีสิ่งแวดล้อมให้เกิดความคิดไปในทางผิด ๆ ไปหลงใหลในความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยสวยงามจนลืมความถูกต้องเสียก็มี ยิ่งเป็นวัยนักเรียนอย่างนี้แล้วก็จิตใจอ่อนไหวมาก มันมีความอ่อนไหวมาก มันน้อมไปง่าย ระวังให้ดี ยึดบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์เป็นหลักไว้ให้มาก มันจะได้ไม่อ่อนไหวไปในทางที่มันผิดพลาด มันจะคงอยู่ในทางที่ถูกต้อง แล้วมันเจริญขึ้น ๆ ๆ จนเข้มแข็งได้ด้วยตนเอง ทีนี้ก็ยึดหลักตัวเองได้เต็มที่
ในชั้นนี้ขอให้มีหลักที่จะเชื่อฟังให้เป็นบุตรที่ดีที่สุดในบรรดาบุตรทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตรัสเองว่าบุตรนั้นมีหลายชนิด บุตรที่เกิดมาทำอะไรได้ดีกว่าบิดามารดา ทำอะไรได้เสมอบิดามารดา ทำอะไรได้เลวต่ำกว่าบิดามารดา อะไรก็ตามแต่ไม่สู้บุตรที่เชื่อฟังได้ บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ดีที่สุด เพราะว่ามันเป็นผู้ที่ใครน้อมไปได้ นำไปได้ สู่จุดหมายปลายทางที่ดีที่สุด แล้วมันก็จะกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา บุตรบางคนทำอะไรได้ดีได้เก่ง มีหน้ามีตา มีเกียรติมียศ มีอะไรมากกว่าบิดามารดา แต่มันเป็นสัตว์อกตัญญูก็มีนะ สังเกตดูให้ดี ๆ จึงไม่ถือว่าบุตรที่เกิดมาดีกว่าบิดามารดาจะเป็นบุตรที่ดีที่สุด ท่านว่าบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดาเป็นบุตรที่ดีที่สุดเพราะมันจะมีประโยชน์แก่บิดามารดา แล้วมีประโยชน์แก่ทุกคน ๆ มันจะไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ใดเพราะความเคารพ เพราะความกตัญญูต่อบุคคลผู้มีพระคุณ ขอให้ทุกคนเป็นบุตรที่ดีที่สุดในบรรดาบุตรทั้งหลาย คือ บุตรที่เชื่อฟัง ไม่ทำให้บิดามารดาให้ร้อนใจ เกิดมาชาติหนึ่งต้องให้ได้รับผลถึงที่สุดเต็มที่ที่มนุษย์ควรจะได้ อย่าไปเห็นแก่ความโลเล เหลาะแหละ เล่นหัว สนุกสนาน เอร็ดอร่อย จนเป็นความล่อหลอกลวง เป็นความหลอกลวง เขาจัดเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายชั่ว ฝ่ายผีร้าย ฝ่ายซาตาน ฝ่ายพญามาร แล้วแต่มันจะเรียกกัน มันฝ่ายหนึ่ง เมื่อมันครอบงำแล้วมันก็ถอนยาก อยู่ไปจนถึงที่สุด ไม่ว่าเลวถึงที่สุดจนเรียกว่าแผ่นดินสูบ ตกนรกอเวจี แผ่นดินสูบทั้งเป็น เราจะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องไม่เป็นอย่างนั้น เราจะอยู่ในความถูกต้องยิ่งขึ้น ๆ ๆ จนอยู่เหนือความเคารพนับถือไว้วางใจของคนทั่วไป ให้เขาเคารพว่ามีอะไรดี ให้เขาไว้ใจว่าบุคคลนี้ไม่มีอันตราย ก็จะได้มีความสัมพันธ์กัน คบหาสมาคมกัน ร่วมมือกันทำให้สังคมนี้มีความสงบสุข มีความปกติที่เรียกว่าศีลธรรม มีภาวะแห่งความปกติ ไม่มีเรื่องร้อนใจ มีแต่ความเย็นอกเย็นใจ
เอาล่ะ มันก็พอสมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องสรุปความว่า จงตั้งต้นด้วยการบังคับตนเองเถิด อย่าปล่อยให้โลเลตามกิเลสในการเดิน ในการนั่ง ในการยืน ในการนอน ในการกิน ในการอาบ ในการถ่าย อะไรทุกอย่างที่มนุษย์จะต้องทำ อย่าให้ปล่อยเป็นความโลเลของกิเลสซึ่งเป็นสัญชาตญาณต่ำ สัญชาตญาณอย่างสัตว์ทั่วไปก็มี เราเป็นมนุษย์ต้องดีกว่านั้น พอมีการเคารพบังคับตัวเองเท่านั้นแหละ มันก็เริ่มมีความถูกต้องคือเป็นระเบียบขึ้นมา ความเป็นมนุษย์ก็จะค่อยมากขึ้น ๆ จนเป็นมนุษย์ที่เต็ม โดยผ่านมาทางการเป็นบุตรที่ดี ศิษย์ที่ดี เพื่อนที่ดี พลเมืองที่ดี สาวกที่ดีนั่นเอง
ขอให้ทุกคนนั้นมีศรัทธา มีศรัทธาข้อแรกในคำสั่งสอนของพระศาสนา มีศรัทธาว่ามันถูกต้องแล้ว ถ้าเห็นว่ายังไม่ถูกต้อง เอ้า, พิสูจน์ ๆ เถอะ มันจะทนต่อการพิสูจน์จนต้องยอมเชื่อ ถ้ามีศรัทธาแล้วก็มีความกล้าหาญ เชื่อตัวเอง ไว้ใจตัวเอง แล้วก็กล้าหาญที่จะประพฤติปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผนเหล่านั้น แล้วมันเกิดความดีขึ้นมา สร้างความดีความถูกต้องขึ้นมา รักษาไว้ให้คงมีอยู่ตลอดไป ดำเนินชีวิตอยู่แต่ละวัน ๆ ด้วยความถูกต้องอย่างนี้เป็นการทำให้เกิดความพอใจแก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะแก่บิดามารดาเป็นต้นก่อน แล้วในที่สุดก็จะเป็นที่พอใจแก่ตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใดหมด นี่ขอให้นักเรียนทุกคนมีศรัทธาในพระธรรม ความถูกต้องในหน้าที่ แล้วมีความกล้าหาญเด็ดขาดที่จะประพฤติกระทำอย่างนั้น มีความเข้มแข็งไม่ปล่อยให้กิเลสหรือพญามารร้ายดึงไปในทางที่ผิด ไม่มีอะไรที่จะต้องถูกดึงไปในทางที่ผิด ก็เห็นแก่ความถูก อย่าไปเห็นแก่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขาล่อให้เขาลวง เขาจ้างให้ไปทำผิด อย่าต้องมีเลย จงเป็นผู้ที่แข็งแรง มั่นคง ดำรงตนอยู่ในความถูกต้อง หนักแน่นเหมือนแผ่นดินที่เธอกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ที่เราบอกว่าเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สอนและอยู่และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า จงมีความหนักแน่น ไม่คลอนแคลนโยกโคน เหมือนกับแผ่นดินที่เรากำลังนั่งอยู่นี้ เราจึงทำสัญญากันที่นี่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า มีแผ่นดินนี้เป็นประธานเป็นพยาน แล้วขอให้เธอทุก ๆ คนจงมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ในการเรียนที่โรงเรียนก็ดี การทำงานที่บ้านก็ดี ในการประพฤติต่อสังคมทั่วไปก็ดี จงมีความถูกต้อง แล้วมีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ซ้อมอีกที ๆ คุกเข่า ซ้อมนะทีนี้ ซ้อมนะ เดี๋ยวจะลืมนะ อัญชลี วันทนา อภิวาท อัญชลี วันทนา อภิวาท อัญชลี วันทนา อภิวาท ดีมาก ๆ ขอให้ถือระเบียบนี้ด้วย แล้วคำแนะนำข้อสุดท้ายก็คือการออกไป การจะออกไปจากที่ประชุมอย่างนี้ เขามีระเบียบ มีมาแต่โบราณก่อนพุทธกาล เขาจะต้องทำให้เข้ารูปเป็นที่เรียกว่าประทักษิณ ๆ เวียนขวา คือให้เอาผู้ที่เราเคารพเป็นประธานอยู่นั้นไว้ด้านขวามือ แล้วก็เดินออกไป อย่าลุกขึ้นแล้วกลับหลังหัน แล้วก็สะบัดก้นแล้วก็เดินออกไป เป็นมรรยาทที่ประณามว่าใช้ไม่ได้เลย เลวร้ายที่สุด ถ้าในลักษณะอย่างนี้ คุณจะต้องเดินไปอย่างนี้ก่อน อย่าเพิ่งกลับหลังหันแล้วตรงไป จะต้องเดินแสดงความเคารพแล้วเอามือข้างขวาไว้ที่พระพุทธรูปหรือที่ (นาทีที่ 49:30) นี้ก่อน แล้วเมื่อไปพอสมควรแล้วจึงค่อยเลี้ยวไปตามสบาย ต่อนั้นจึงค่อยไปสะบัดก้นสะบัดทรายอะไรก็ตามเรื่อง อย่าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้หันหลังให้แล้วสะบัดทราย ขอร้องว่าให้ออกไปอย่างวิธีประทักษิณ
ยืนขึ้น ๆ ๆ ซ้ายหัน ๆ ทุกคนเลย แล้วก็เดินลงไป ๆ ๆ ตามสบาย นั้นจะเรียกว่าประทักษิณ ไม่ต้องวนเป็นรอบ เพียงแต่เอาขวามือไว้อย่างนี้เขาเรียกประทักษิณ พอลงไปในระยะพอสมควร พอระยะห่างพอสมควรแล้วจะทำอะไรก็ได้ จะแยกย้ายไปทางไหนก็ได้