แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
จะว่ายังไง มีเด็กๆอยู่แยะ จะพูดเรื่องอะไร จะพูดสำหรับเด็กๆให้ ให้คนโตๆที่อยู่ตรงนี้ฟังอย่างนั้นหรือ
เอาละขอให้รู้เอาเองว่ามันจำเป็นจะต้องพูดทุกระดับ ตั้งแต่เด็กขึ้นมา ถึงเด็กโต ถึงวัยรุ่น ถึงผู้ใหญ่ ถึงผู้สูงอายุก็มีบ้าง ขอให้รู้สึกเอาเองก็แล้วกัน ว่าถ้าพูดเรื่องสำหรับเด็กก็ขอให้มุ่งหมายไปถึงเด็กที่อยู่ข้างหลัง ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี มันเป็นอย่างนี้
ท่านผู้เป็นอาคันตุกะทั้งหลาย บรรดาที่ประชุมกันอยู่ในที่นี้ บัดนี้เป็นโอกาสที่กำหนดไว้สำหรับจะมีการพูดจากัน และก็บังเอิญมาพร้อมกันหลายระดับ เป็นชนชั้นทางจิตใจ ทางวิญญาณ ก็จะต้องพูดชนิดที่มีประโยชน์หรือเกี่ยวข้องด้วยทุกระดับจึงจะได้ ถ้าพูดถึงระดับต่ำ ระดับเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ก็สนใจฟัง โดยถือเอาความหมายที่มันสูงกว่านั้น หรือว่าจะเป็นการศึกษาเรื่องของวัยเด็ก รุ่นเด็ก สำหรับเด็ก พร้อมกันไปก็ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็จะไม่มีประโยชน์อะไรก็ได้ จะมีประโยชน์น้อยเกินไปก็ได้ ไม่คุ้มค่ามา จึงขอให้ทุกคนหรือเด็กตัวเล็กที่สุดก็พยายามฟังให้ดี ความหมายให้ได้ ถ้าสู้ไม่ไหวก็หลับไปเสียเลย จะได้หมดปัญหา
เดี๋ยวนี้เรามานั่งกันกลางดิน ข้อแรกที่สุดก็อยากจะพูดเรื่องกลางดิน เพราะเชื่อว่าหลายคนทีเดียวยังไม่รู้ความหมายของคำว่ากลางดิน แล้วก็มีความรู้สึกคิดนึกชนิดที่ไม่ชอบนั่งกลางดิน ชอบนั่งบนที่ที่จัดตกแต่งไว้ อย่างที่เคยนั่งมาจนเคยชินเป็นนิสัย พอให้มานั่งกลางดิน ก็รู้สึกว่าเป็นการลดอะไรกันมากทีเดียว ก็หงุดหงิดเสียก่อน แล้วก็ฟังไม่รู้เรื่อง นี้แน่นอน จึงอยากจะพูดเรื่องนั่งกลางดินให้หมดปัญหาไปเสียทีก่อน โดยให้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้นั่งกลางดิน มาที่สวนโมกข์ได้มีโอกาสนั่งกลางดิน ถ้าไปที่อื่นอาจจะไม่ได้นั่ง หรือโดย โดยทั่วๆไปไม่ได้นั่ง นั่งกลางดิน เดี๋ยวนี้เรามีที่นั่งกลางดินไว้สำหรับให้นั่งด้วยเจตนานี้ เจตนา ได้มีที่นั่งกลางดิน ให้ท่านทั้งหลายนั่งกลางดิน รู้ความหมายของการนั่งกลางดินให้ดี แล้วก็มีจิตใจเข้ากันได้กับเรื่องนั่งกลางดิน เพราะจะได้รับประโยชน์จากการฟังธรรมะหรือพระพุทธศาสนา พูดคราวเดียวหมดก็พูดว่าพุทธศาสนามันเกิดกลางดิน เกิดจากดิน คือพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้กลางดิน นั่งกลางดินเพื่อตรัสรู้ ไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย ถ้าตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย ก็ไม่เป็นพระพุทธเจ้าอย่างที่กำลังเป็นอยู่ แต่นี่ท่านนั่งกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน แล้วก็มีโอกาสไปเที่ยวสั่งสอน ก็นั่งกลางดิน ที่อยู่อาศัยของท่านก็พื้นดิน ในที่สุดท่านก็นิพพานคือตาย กลางดิน เมื่อนึกถึงข้อนี้ก่อนสิ ว่าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน พระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนทั้งหมดมันก็เกิดมาจากดิน เกิดมาจากการนั่งกลางดินแล้วตรัสรู้ แล้วก็ได้สอนสืบๆต่อกันมา จะเป็นที่เชื่อได้ว่าทำ นั่งทำสังคายนาร้อย หลายร้อยองค์ก็นั่งกลางดินกัน ไปดูที่ ที่อินเดียก็เห็นได้ชัดว่านั่งทำกลางดินตรงหน้าถ้ำ นี่มันเป็นเรื่องของกลางดิน
ทีนี้มองอีกแง่หนึ่ง ธรรมะ ธรรมะนี่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นความรู้เรื่องตัวธรรมชาติก็มี เป็นความรู้เรื่องกฎของธรรมชาติก็มี เป็นความรู้เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็มี เรื่องผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยตรง ธรรมะคือเรื่องธรรมชาติ เมื่ออยากจะรู้จักหรือเข้าถึงธรรมชาติ ต้องอยู่กับธรรมชาติ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน เพื่อมันใกล้ชิดกับธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องการอย่างนั้น คิดดูเอาเองก็แล้วกัน ใครกี่คนที่อยากนั่งกลางดิน ก็อยากจะไปนั่งในสถานสวยงามเริงรมย์อะไรต่างๆ หรือว่าอยากจะไปอยู่บนสวรรค์วิมานนู่น ที่มันมีความหมายอย่างกับสวรรค์วิมาน ถ้าไม่ชอบธรรมชาติ ไม่ชอบการนั่งกลางดินเพื่อเป็นเกลอกับธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มานั่งกลางดินอย่างนี้ ก็ควรจะรู้สึกว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ จิตใจมันเหมาะสมที่จะรู้จักธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานของธรรมะทั้งหลายคือเรื่องธรรมชาติ
นี่จึงควรจะสนใจเรื่องกลางดิน เดี๋ยวนี้ก็ได้มานั่งกลางดิน ขอให้ทำในใจนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ถ้าทำได้ก็เป็นพุทธานุสติ ซึ่งเป็นกรรมฐานชนิดหนึ่งอย่างยิ่งเลย พุทธานุสติ ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าโดยทุกแง่ทุกมุม เดี๋ยวนี้มากกว่าระลึกถึง รู้สึก รู้สึก รู้สึกเอาได้ว่าเมื่ออยู่กลางดิน มานั่งกลางดินนั้นจิตใจรู้สึกอย่างไร เมื่อฟุ้งอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วมันจิตใจมันเป็นอย่างไร เมื่อต้องมานั่งกลางดินอย่างนี้ จิตใจมันเป็นอย่างไร ถ้าสามารถเปรียบเทียบกันได้นั่นแหละ จะเป็นกรรมฐาน ถึงพุทธานุสติว่าพระพุทธเจ้าท่านมีจิตใจเป็นอย่างไร ก็จะพลอยให้ได้รู้ไปถึงการตรัสรู้ของพระองค์ รู้ถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ แล้วก็จะสามารถนำเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ นี่เป็นเรื่องของคนนั่งกลางดิน ไม่ใช่เรื่องของคนที่จะหรูหรา สนุกสนาน อยู่บนที่ที่สำหรับสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องคนโม้ตามแบบของคนหนุ่มที่สำเร็จการศึกษามาจากมหาวิทยาลัย ไม่ได้สำเร็จการศึกษามาจากกลางดินเหมือนพระพุทธเจ้า ถึงอย่างไร อย่างไร ก็ต้องเปรียบกันแล้ววันนี้ ว่าคนที่ศึกษามาจากกลางดิน กับที่ศึกษามาจากมหาวิทยาลัยนั่นน่ะ มันรู้อะไรต่างกันอย่างไร อย่าลำเอียง อย่าเข้าข้างตัว อย่าอะไรหมด แล้วก็ไปเปรียบเทียบกันดู ว่าเรื่องที่เราศึกษาจากโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยนั้นมันเรื่องอะไร มันเพื่ออะไร และในที่สุดมันให้ผลอย่างไร ทีนี้ถ้าจะมาศึกษาเรื่องกลางดิน เรื่องที่เกิดขึ้นกลางดิน อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาอย่างนี้ จากธรรมชาติทั้งหลายอย่างนี้ มันต่างกันอย่างไร ทำไมจึงมาต้องศึกษาเรื่องวิชาความรู้ที่เกิดขึ้นจากการศึกษากลางดินของพระพุทธเจ้าหรือของสาวกทั้งหลาย ทำไมจึงต้องมาศึกษาไอ้ความรู้ชนิดนี้ ไม่ยุติอยู่เพียงแค่ศึกษาในมหาวิทยาลัย เป็นปริญญาเอก เป็นอะไรแล้วมันก็พอกัน ทำไมจึงไม่คิดอย่างนั้น เดี๋ยวนี้แหละการนั่งกลางดินนี้แหละ ขอให้ทำในใจให้ดีว่า จิตของคนที่นั่งกลางดินกับคนที่นั่งอยู่บนเหย้าบนเรือน บนไอ้ที่ประดับประดาตกแต่ง บนอาคาร บนอาคารเรียนราคาล้านๆ นั่งอยู่บนนั้นน่ะ จิตใจเป็นอย่างไร ก็มานั่งอยู่กลางดินอย่างนี้จิตใจเป็นอย่างไร ลองเปรียบเทียบกันดู โดยหลักทั่วๆไปที่มีอยู่ว่าจิตใจไหนจะเย็นกว่า จิตใจไหนจะเป็นอิสระกว่า จิตใจไหนจะรู้ธรรมชาติได้จริงกว่าอย่างนี้เป็นต้น จนในที่สุดก็จะรู้ได้ว่าความรู้อะไรที่เรายังขาดอยู่ หรือที่มนุษย์มันยังขาดอยู่ รู้ได้จากการที่ความเลวร้ายในโลกมันยังมีอยู่เพียงไร ก็พอจะกล่าวได้ว่ามันยังขาดความรู้ที่ควรจะรู้อยู่เพียงนั้น ทั่วโลก การศึกษาทั่วทั้งโลก มันไม่ขจัดความเลวร้ายในโลกออกไปได้ เพราะว่าการศึกษานั้นมันขาดความรู้ที่ถูกต้องและจำเป็นสำหรับจะขจัดความเลวร้ายเหล่านั้น ถ้านึกได้อย่างนี้ก็จะวิ่งมากลางดิน วิ่งลงมานั่งกลางดิน สนใจเรื่องกลางดินของพระพุทธเจ้า
แล้วเป็นอันว่าเรื่องแรกที่สุดเรื่องนั่งกลางดิน ในฐานะที่มีที่นั่งกลางดินเป็นเครื่องต้อนรับท่านทั้งหลาย ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ไม่มีพรมให้นั่ง ไม่มีอะไรให้นั่ง มีแต่กลางดินให้นั่ง ต้อนรับในทางวัตถุหรือในทางอามิสต่ำสุดเลย ไม่มีอะไรต่ำกว่านี้ เรามีหลักว่าอยู่ต่ำๆนี่แหละมันจะไปสูง ถ้าอยู่สูงมันก็มีแต่จะตกลงมาต่ำ ฉะนั้นเป็นอยู่อย่างต่ำ นี่มันจะได้มีการกระทำหรือการเป็นไปอย่างสูงๆ สูงขึ้นไป จงตั้งต้นการศึกษาด้วยการนั่งกลางดิน เพื่อว่าจะได้รู้จักพื้นฐานหรือรากฐานต่ำสุดของสิ่งทั้งปวง แล้วก็จะได้รู้ไป ต่อกันไปตามลำดับๆ อย่าหาว่าท้าทาย แต่ก็อยากจะพูดว่าให้มันเรียนกันจบปริญญาเอกในโลกทั้งโลกแล้วมันก็ยังโง่อยู่นั่นแหละ เพราะมันไม่ได้นั่งกลางดิน ขอให้มานั่งกลางดินเรียนรู้ธรรมชาติ เรียนรู้กฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ผลที่เกิดจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็เห็นด้วยในการมาของท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้ โดยที่เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่ายังขาดความรู้ชนิดกลางดิน จึงต้องมาที่นี่แล้วก็มานั่งกลางดิน เป็นเกลอกับธรรมชาติ เป็นเกลอกับต้นไม้ต้นไร่ ก้อนหินดินทรายเหล่านี้ ซึ่งล้วนแต่สอนทั้งนั้น แต่ว่าคนมันหูหนวกตาบอดเสียเอง มันไม่ได้ยินว่าธรรมชาติสอนอย่างไร ธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้มันสอน แสดงความเปลี่ยนแปลงว่าเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงให้ดูด้วย เปลี่ยนแปลงให้ดูด้วย คนมันก็ตาบอด มันก็ไม่เห็นไอ้ความไม่เที่ยงหรืออนิจจังของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง นี้มันส่งเสียงร้องตะโกนเป็นไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง อย่าหลงใหลกันนัก อย่าบ้ากันนัก อย่างนี้เป็นต้น คนมันก็ไม่ได้ยิน มันก็ยังหลงใหลกันอยู่นั่นแหละ แล้วมันจะมากไปด้วยความหลงใหล ในโลก ในสังคมนี้มันก็มากไปด้วยความหลงใหล จึงหาความสงบสุขไม่ได้ ยิ่งเรียนมันก็ยิ่งไม่รู้เรื่องนี้เพราะว่ามันไม่ได้เรียนเรื่องนี้ การเล่าเรียนในโลกมันไม่ได้เรียนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เรียนแต่เรื่องจะสร้างนั่นสร้างนี่ ทำนั่นทำนี่ กินอยู่ เป็นอยู่กันอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เคยเรียนคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในระบบการศึกษาของคนในโลก จนสูงสุด กระทั่งชั้นสูงสุดที่ว่าอุตส่าห์ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา เรียนจบแล้วไม่เคยได้ยินคำว่าอนัตตา อนิจจังเป็นต้น จึงเป็นการสมควรที่ว่าจะต้องเรียนศึกษาเรื่องที่กำลังขาดอยู่ กำลังขาดอยู่ ที่ไม่เคยเรียน ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังแล้วก็จะได้เรียน
เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเรื่องความจริงของธรรมชาติ ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แล้วมันแสดงอาการอย่างนั้นให้เห็นอยู่ และคล้ายๆกับว่ามันตะโกนบอกอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นอย่างนั้น แต่เราก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เข้าใจ มันก็ทำไปในทางที่มันตรงกันข้าม มันกลับตรงกันข้าม อย่างที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ทำอย่างกับว่าเป็นนิจจัง เป็นของเที่ยงได้อย่างต้องการ เป็นสุขไม่เป็นทุกข์ แล้วเป็นอัตตาคือได้เป็นตัวกู ได้เป็นของกู ตามที่กูต้องการ มันคิดนึก มันรู้สึกอยู่แต่อย่างนี้ เพราะไม่ได้เรียนไอ้ความรู้ที่เป็นเรื่องจริงของธรรมชาติอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และก็ได้นำมาสอน เมื่อไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่าสิ่งทั้งปวงนี้เป็นอย่างไร ชีวิตจิตใจเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ก็ปฏิบัติผิดต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเลย ยิ่งโตขึ้นมายิ่งโง่ ยิ่งโตขึ้นมายิ่งโง่ ยิ่งเกิดมาจากท้องแม่ยังไม่ทันจะโง่ แล้วก็ยิ่งโตยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งโง่ ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ บางทีก็ยิ่งโง่ ยิ่งหลง ยิ่งทำผิดในสิ่งทั้งปวงที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พูดเรื่องเด็กกันดีกว่า ถ้าเด็กๆจะฟังบ้างก็จะดีจะมีประโยชน์ เมื่อยู่ในท้องแม่ คิดนึกอะไรไมได้ ทำอะไรไม่ได้ เลยไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ ไม่รู้จักความหมายแห่งความทุกข์ แล้วก็ไม่มีกิเลส ไม่มีความผิด ไม่มีความถูก ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว ไม่มีอะไร อยู่ในท้องแม่ เพราะว่าอวัยวะต่างๆของไอ้ทารกที่ยังไม่เป็นทารก ได้เป็นสัตว์อยู่ในครรภ์ตอนแรกๆ ไม่ ไม่มีทางที่จะรู้สึกทางอะไรได้เลย จนกว่าจะโตออกมา จะคลอดจากท้องแม่ อวัยวะต่างๆก็เริ่มทำงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงกับคิดนึกให้เป็นกิเลสได้ เด็กคลอดมาจากท้องแม่ ตาก็เห็นได้ หูก็ได้ยินได้ จมูกก็ได้กลิ่นได้ หู ลิ้นก็รู้รสได้ ผิวหนังก็รู้สัมผัสได้ จิตก็พอรู้สึกได้ แต่ยังไม่ได้คิด คิดไม่เป็น คิดไม่ได้ คิดให้เป็นกิเลส เป็นทุกข์ไม่ได้ คิดให้เป็นความดีความชั่วไม่ได้ มันไม่รู้จักว่าดีว่าชั่ว เด็กทารกคลอดมาไม่รู้จักว่าดีว่าชั่ว แต่เมื่อคลอดมาแล้วนี่ เวลาล่วงมา ล่วงมา ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันทำหน้าที่ได้ดีขึ้นๆ ดีขึ้น จนตารู้จักของสวยของไม่สวย จนหูก็รู้จักของไพเราะหรือไม่ไพเราะ จมูกรู้จักกลิ่นหอมหรือไม่หอม ลิ้นรู้จักรสอร่อยหรือไม่อร่อย ผิวหนังรู้จักความนิ่มนวลหรือความแข็งกระด้าง จิตก็มีความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจขึ้นมา เด็กต้องมีอายุหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนก็สุดแท้ จึงจะค่อยๆมีความรู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ค่อยๆมีความคิดนึกที่เป็นกิเลสและเป็นทุกข์ คือมันรู้จักพอใจและไม่พอใจขึ้นมา แรกคลอดมาใหม่ๆไม่รู้จักหรอกพอใจหรือไม่พอใจ ยินดียินร้าย อะไรไม่ ไม่รู้ แต่แล้วก็ค่อยรู้ๆขึ้นมา พอรู้ อย่างรู้เรื่องอร่อยไม่อร่อย กินนมแม่หรือกินอะไรตาม มันก็ค่อยๆรู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันรู้จักแยกแยะออกเป็นความรู้สึกสองฝ่าย คือน่ารักไม่น่ารัก น่ายินดีไม่น่ายินดี นี่มันก็หลงรักหรือหลงไม่รัก หลงยินดีหรือหลงไม่ยินดีมากขึ้นๆ มากขึ้น นี่คือยิ่งโตยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งโง่ โง่คือไปหลงรักไอ้ที่มันน่ารัก ไปหลงเกลียดไอ้ที่มันน่าเกลียด พอใจหรือไม่พอใจ โกรธบ้าง กลัวบ้างอะไรบ้าง ความรู้สึกเหล่านี้ก็มีขึ้นๆ นี่ก็ยิ่งโตก็ยิ่งโง่ จนเป็นเด็กวัยรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาว มันก็ยิ่งโง่ คือมันยิ่งหลงรักและหลงเกลียดมากกว่าแต่ก่อน ไปเทียบเคียงกันดู คนวัยรุ่น เด็กวัยรุ่น จะรู้จัก รู้จักไอ้พอใจไม่พอใจ เรื่องรัก เรื่องโกรธ มากกว่าเด็กทารก นี้คนหนุ่มสาวก็ยิ่งรู้จักมาก เต็มขีดเต็มอัตราที่จะรู้จักพอใจหรือไม่พอใจ หลงรัก หรือหลงเกลียด หรือหลงโกรธ หรือหลงกลัว หรือหลงวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อาฆาต อิจฉาริษยา มันยิ่งมากขึ้นๆ ซึ่งก่อนนี้มันไม่มี นี่เพราะว่ามันไม่มีความรู้มาแต่ในท้อง แล้วพอเกิดมาก็ใครสอนไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เดา ไม่เรียกว่าเดา แต่มันเหมือนกับเดา มันรู้สึกขึ้นมาเองตามธรรมชาติ พออร่อยก็ชอบใจ ไม่อร่อยก็ไม่ชอบใจ นี่มันก็รู้จักแยกแยะเป็นอร่อยหรือเป็นไม่อร่อย คือมันรู้จักแยกแยะหมด ทางตามันก็รู้จักแยกแยะเป็นสวยหรือไม่สวย ได้รับการอบรมให้โง่มากยิ่งขึ้นอีก สวยอย่างพิถีพิถันด้วยความโง่นั้นก็มีต่างหาก ทางหูไพเราะหรือไม่ไพเราะ ขับกล่อมกันมาตั้งแต่เล็ก ก็รู้จักแยกแยะเป็นเสียงอย่างนั้นเป็นเสียงอย่างนี้ ไพเราะไม่ไพเราะ มันก็รู้จักรักที่ไพเราะ เกลียดที่ไม่ไพเราะ จมูกก็รู้เรื่องหอมเรื่องเหม็น ลิ้นก็รู้เรื่องอร่อยไม่อร่อย ไอ้ผิวหนังก็รู้เรื่องนิ่มนวลอ่อนโยน กับแข็งกระด้างนี่ จนรู้สึกหลงใหลไปในทางฝ่ายหนึ่ง แล้วเกลียดชังในทางฝ่ายหนึ่ง ทางจิตก็เหมือนกันก็รู้จักพอใจและไม่พอใจแรงขึ้นๆ นี่ยิ่งโตยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งโง่ เพราะว่าความลุ่มหลงของคนที่โตแล้วมันมากกว่าของเด็กๆ คิดดูให้ดีไอ้ความที่ไปลุ่มหลง หลงรัก หลงเกลียด หลงโกรธ หลงอะไรก็ตามของคนที่โตแล้วมันมากกว่าของเด็กๆ แล้วมันมากขึ้นตามตัว จึงว่ายิ่งโตยิ่งโง่ ยิ่งมาเป็นคนโตเต็มขนาด สำหรับจะรู้สึกรุนแรงในทางเรื่องรัก เรื่องโกรธ เรื่องเกลียด เรื่องกลัว เรื่องวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง จนเป็นคนนอนหลับยาก ยิ่งอายุมากถ้ามันยิ่งมีความรู้สึกรุนแรงมากจนเป็นคนนอนหลับยาก ก็ตายเข้าโลง มันก็ไม่ได้พบกับจิตชนิดที่มันเกลี้ยง จิตชนิดที่มันเกลี้ยง จิตชนิดที่ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่วิตกกังวล ไม่อาลัยอาวรณ์ ไม่อิจฉาริษยา ไม่หึง ไม่หวง ไม่อะไรต่างๆ ไม่เคยพบ ไม่เคยพบ ตรงนี้แหละจะต้องดูให้ดีว่าเราเรียนพุทธศาสนาทำไม เรียนธรรมะทำไม เพราะเราไม่เคยพบกับจิตชนิดที่เกลี้ยง ที่ว่าง ที่เย็น ที่อิสระ เราเคยพบแต่จิตชนิดที่อย่างที่ว่า รัก โกรธ เกลียด กลัว เร่าร้อน แล้วก็สกปรกมืดมัวเป็นกิเลสไป แล้วก็ไม่เป็นอิสระ คือเป็นทาสของสิ่งที่มากระทบ บางคนจะฟังไม่ถูกว่าเป็นทาสของสิ่งที่มากระทบ ถ้ามันมากระทบสำหรับให้รักก็เป็นทาสอย่างเป็นของรัก ถ้ามากระทบให้โกรธ ให้กลัว ก็เป็นทาสอย่างสำหรับจะโกรธ สำหรับจะกลัว มันปลดออกไปไม่ได้ มันก็กด ลง (นาทีที่29:49) เป็นทาส นี่มันจึงเป็นทาสของสิ่งที่ทำให้รัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ ไม่มีอิสรภาพ ไม่มีเสรีภาพ จิตตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นจนมีความทุกข์อยู่เสมอ ที่พูดเรื่องเสรีภาพทางการเมืองนั้นคนละเรื่อง เสรีภาพสมมติ เสรีภาพทางเอกราช ทางการเมือง ทางนั้น มันเสรีภาพทางฝ่ายด้านนอก แล้วก็เป็นเรื่องที่ว่าเอาเอง ส่วนที่เป็นทาสอย่างยิ่งอยู่ในภายใน เป็นทาสของกิเลสนั้นกลับไม่รู้จัก จะเอากันอย่างไร จะเอากันอย่างนั้นต่อไปก็ได้ จนตายเข้าโลงก็ได้ ก็เป็นคนธรรมดา เรียกว่าเป็นปุถุชน แต่ถ้าจะเป็นคนลืมหูลืมตา ตามแบบของพระอริยเจ้าหรือของพระพุทธเจ้าแล้ว มันต้องมาศึกษากันใหม่ ศึกษาจนรู้ว่าเดี๋ยวนี้มันอยู่ในลักษณะที่ตรงกันข้ามหมด มีจิตใจเร่าร้อนด้วยความทุกข์ มีจิตใจมืดมัว ด้วยอวิชชา มีจิตใจสกปรกด้วยกิเลส มีจิตใจเป็นทาสเพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันเป็นอยู่อย่างนี้ ทั้งที่มันจะเกิดมาสวย เกิดมารวย เกิดมาเป็นอย่างไรก็ตาม มันจะมีทรัพย์สมบัติพัสถานเหมือนกับแข่งกับพวกเทวดาได้ มันก็ยังมีจิตอย่างนี้ ไปดูคนธรรมดาเถอะ มันก็จะมีจิตรัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา อย่างนี้ ก็มีจิตใจชนิดที่เร่าร้อน มืดมน เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วมันก็ได้ทะเลาะวิวาทฆ่าฟันกันเพราะเหตุอย่างนี้ อันธพาลทั้งหลายที่มันทำอันธพาลเลวร้ายเพราะมันหลงในสิ่งเหล่านี้ หรืออันธพาลครอบโลก รบกันระหว่างโลก ระหว่างชาติ ระหว่างโลกมันก็เพราะว่ามันหลงในการที่มันจะได้สิ่งเหล่านี้เป็นของตนเสียหมดทั้งโลก นั่นละความโง่ของคน ทำให้เกิดผลร้ายที่จะทำให้โลกนี้ปั่นป่วนวิปริตไปทั้งโลก และเราก็อยู่ในโลกชนิดนั้นโดยไม่ต้องรู้สึกสำนึก และไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะพ้นออกมาเสียจากโลกชนิดนั้น นี้ถ้าใครต้องการจะพ้นออกมาเสียจากโลกชนิดนั้น นั่นแหละก็จะเกิดความต้องการความรู้ของพระพุทธเจ้า จะแสวงหาธรรมะซึ่งเป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามาศึกษา มาทำจิตใจกันเสียใหม่อย่าให้มันเลวร้ายถึงขนาดนั้น อย่าให้มันโง่ถึงขนาดนั้น อย่าให้มันเป็นทุกข์ถึงขนาดนั้น อย่าให้มันเร่าร้อนถึงขนาดนั้น อย่าให้มันมืดมัวถึงขนาดนั้น จะเป็นชีวิตที่เป็นอิสระและเบาสบาย
เดี๋ยวนี้มันรู้จักแต่เรื่องทางข้างนอก เรื่องเสรีภาพอย่างโลกๆ แต่ไอ้ความเป็นทาสอย่างเลวร้ายข้างในมันไม่สนใจเลย ถ้าเสียเสรีภาพอะไรสักนิดหนึ่งข้างนอก แล้วมันก็พูดกันใหญ่โตเป็นวรรคเป็นเวร มัน มันสงวนสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรมอะไรของมันนะ อย่างท่วมหัวท่วมหู แต่มันไม่ดูในตัวมันเอง มันสูญเสียสิทธิยิ่งกว่าของมนุษย์เสียอีก เป็นทาสของกิเลสยิ่งกว่าอะไรเสียอีก มันก็ไม่พูดสักคำหนึ่ง มันมองดูกันแต่เรื่องข้างนอก แล้วพวกคนหนุ่มๆเดี๋ยวนี้ก็ชอบอ้างถึงเรื่องจะพิทักษ์สิทธิมนุษยชนอะไรอย่างนี้เป็นต้น ทั้งที่ไม่ดูว่าตัวเองนั้นไม่มีเสรีภาพอะไรแม้แต่นิดเดียวอยู่ข้างใน ถ้าต้องการจะได้เสรีภาพหรือชีวิตที่สงบเย็นเป็นอิสระ หรือเป็นชีวิตที่เบาสบายแล้วก็ นั่นน่ะ จะต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็วิ่งไปหาความรู้ของพระพุทธเจ้าผู้เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน เป็นอยู่กลางดิน ตายกลางดิน ที่เคยถูกคนจำนวนหนึ่งหาว่าไร้สาระ ดูถูกศึกษา ดูถูกการศึกษาธรรมะในพุทธศาสนาว่าไร้สาระ ไปเรียนมหาวิทยาลัย ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ไปเรียนอะไรกันอย่างนั้นวิเศษประเสริฐที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้ามันมารู้เห็นผลสุดท้ายของการศึกษาแบบโลกๆ เพราะมันไม่มีอะไรนอกจากไปเพิ่มให้มันโง่ลึกขึ้นไปอีก ให้มันมีความทุกข์ลึกลงไปอีก ให้มันเสียอิสรภาพลึกลงไปอีกจนดูไม่ค่อยออก นั่นแหละก็จะออกมาเป็นคนมีชีวิตอยู่ในระดับนั้น มีภาระหนักของชีวิต เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยภาระหนัก หนักไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เรื่องจะเป็นอยู่ เรื่องร่างกายของตัวเอง นี่ก็เป็นภาระหนัก จะทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของ เรื่องบุตรภรรยาสามีอะไรก็เป็นภาระหนัก เรื่องเกี่ยวกับสังคมก็เป็นภาระหนัก ทุกอย่างเป็นภาระหนัก เป็นของหนักท่วมทับจิตใจ เป็นกันอย่างนี้จนตาย นี่เขาเรียกว่าปุถุชน ถ้าเมื่อใดใครสามารถปลดปลงภาระหนักนี้น้อยลงๆ ลดลงๆ จนไม่หนัก จนเบา อยู่ได้อย่างเป็นสุขสบาย มีประโยชน์ที่สุด นั่นก็เรียกว่ามนุษย์ที่เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ที่ไม่มีความทุกข์เลย แล้วก็เป็นคนมีประโยชน์ที่สุด นั่นคือเป็นพระอรหันต์ ตรงกันข้ามกับปุถุชนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เป็นชีวิตที่หนัก เป็นชีวิตที่แบกภาระหนัก แล้วก็ชวนกันหลงอยู่ในภาวะอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของจมอยู่ในกองทุกข์ จมอยู่ในวัฏสงสารนั่นแหละ คืออย่างนั้นแหละ พวกคุณอย่าไปดูถูกคำว่าวัฏสงสาร หรือคำว่ากิเลส หรือความทุกข์ โดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ถ้าคุณไปรู้เรื่องคำว่าวัฏสงสาร หรือกิเลส หรือความทุกข์ก็อย่างดีแล้ว จะรู้สึกเป็นภาระหน้าที่ทันที ที่จะต้องศึกษาเพื่อขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปเสีย ให้มีชีวิตชนิดที่ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารคือความทุกข์ทุกชนิดอย่างที่ว่ามาแล้ว มีชีวิตใหม่ มีจิตใจใหม่ อย่างที่กล่าวมาแล้ว มันไม่มืดด้วยความโง่ มันไม่ร้อนด้วยความทุกข์ มันไม่สกปรกด้วยกิเลส แล้วก็มันไม่เป็นทาสของสิ่งใดๆด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าจะเป็นอย่างไร จิตใจชนิดนี้จะเป็นอย่างไรขอให้ลองคิดดู ถ้าว่าทุกคนเป็นได้อย่างนี้โลกนี้จะเป็นอย่างไร มันก็ไม่รู้จักความทุกข์เท่านั้นเอง ไม่รู้จักคำว่าความทุกข์ ความทุกข์นี่มันเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวตนบ้าง เป็นของตนบ้าง ถ้าเดือดจัดขึ้นมาก็เป็นตัวกูบ้าง เป็นของกูบ้าง ความรู้สึกอะไรที่มันมีความหมาย มีลักษณะเป็นตัวกู ของกู ดูว่ามันหนักเท่าไร มันร้อนเท่าไร มันสกปรกเท่าไร มันเผาลนเท่าไร ไปรู้กันให้ดีๆ ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นอย่างนั้น นี่คือตัว ตัวธรรมะ ตัวพุทธศาสนาที่จะตอบให้รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นอย่างนั้น คือเป็นชีวิตที่ไม่มี ไม่มีความหนัก ไม่มีความร้อน ไม่มีความมืด ไม่มีความสกปรก ไม่มีความเป็นทาสของสิ่งใด มีแต่อิสระเสรีนี่ ถ้าจะสอน ถ้าจะเรียนกันก็ควรจะเรียนเรื่องนี้ ถ้าจะสอนกันก็ควรจะสอนเรื่องนี้ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ ถ้าเราจะเรียนอะไรกันบ้างก็เรียนเรื่องนี้ เรื่องออกมาเสียจากกองทุกข์ ถ้าจะสอนอะไรกันบ้างก็จะต้องสอนเรื่องออกมาจากกองทุกข์ เดี๋ยวนี้เราเรียนเพ้อเจ้อ สอนเพ้อเจ้อ พูดเพ้อเจ้อ โฆษณาเพ้อเจ้อ ประกาศอะไรต่างๆมันเพ้อเจ้อ มันไม่เข้ามาในวงของการที่จะกำจัดความทุกข์เหล่านี้ โลกนี้มันก็ยิ่งเต็มไปด้วยปัญหา วิกฤตการณ์ หรือความทุกข์จนดูๆ เป็นของธรรมดาไปเสียหมด จนไม่มีใครละอายใคร เพราะเป็นอย่างเดียวกันไปทั้งหมด หรือเป็นทุกข์เหมือนกันหมด เป็นทาสเหมือนกันไปหมด มีกิเลสเหมือนกันไปหมดจนไม่ต้องรู้จักละอายใคร
ถ้าจะคิดว่าเกิดมาทีไม่เสียชาติเกิด จะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ และก็ต้องศึกษากันใหม่ มีการศึกษากันใหม่ให้รู้ทั้งสองทาง ทั้งสองฝ่าย แล้วก็เลือกเอาฝ่ายที่มันอิสระหรือหลุดพ้น เรียกว่าหลุดพ้น คำว่าวิมุติหลุดพ้นไม่ใช่คำพูดของคนโง่ๆที่เด็กสมัยนี้จะเอาไปล้อเล่น มันเป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์ที่มีสติปัญญาที่สุด ที่จะทำชีวิตจิตใจนี้ให้มันหลุดพ้นจากการบีบบังคับ ครอบงำ ย่ำยี เผาลน ไอ้ ของไอ้กิเลส หรือของสิ่งซึ่งเป็นความทุกข์ เดี๋ยวก็จะหาว่าดีเกินไปเสียอีกถ้าไม่มีความทุกข์ หลายๆคนยังชอบความทุกข์ ยังชอบสนุกด้วยการร้องไห้ มันเป็นคนบ้าชนิดหนึ่ง เป็นความบ้าทางจิตใจ ทางกามารมณ์ชนิดนั้นเสียก็มี มันยังชอบความทุกข์ อยากจะอยู่ด้วยความทุกข์ ไม่อยากจะหมดจดจากความทุกข์อย่างนี้มันก็ยังมี เพราะมันไม่รู้ว่าความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ถ้าว่าจะเอากันถึงขนาดที่พุทธศาสนาต้องการละก็ ต้องไม่เป็นทุกข์ เราต้องไม่เป็นทุกข์ และเป็นคนมีประโยชน์ที่สุด เอ้า, ท้า ท้าเลย ท้า ท้าทายเลยให้ทุกคนไปคิดเอาเอง ไปคิดเอาเอง ไปคิดเอาเอง จนกว่าจะพบว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์และมีประโยชน์ที่สุด ไปคิดเอาเอง ไม่ต้องพึ่งพระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้า ไม่ต้องพึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกคนไปคิดเอาเองว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ แล้วก็อยู่อย่างไม่เป็นทุกข์ แล้วเป็นคนมีประโยชน์ที่สุด นั่นแหละถูกแล้ว จะตรงตามที่พระพุทธเจ้าประสงค์ ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ตามที่พระพุทธเจ้าช่วยสัตว์โลกให้มันพ้นทุกข์ มันคือย่างนั้น อย่าให้ในชีวิตนี้มันมีความทุกข์เลย แล้วพร้อมกันนั้นให้มันมีแต่การทำประโยชน์ เป็นประโยชน์แก่ทุกคนและทุกฝ่าย
เอ้า, ทีนี้ก็พูดกันถึงตัวพุทธศาสนา ตัวธรรมะแท้ ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์เลย ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์เลยนี่ข้อแรก และทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างมีประโยชน์ที่สุดค่อยว่าทีหลัง ไอ้ความทุกข์มันเกิดมาจากความโง่เป็นข้อแรก เป็นลำดับมา โง่เป็นลำดับมา เป็นลำดับมา จนเกิดความยึดมั่นถือมั่น หมายมั่นเป็นตัวตน เป็นของตน แล้วมันก็ต้องเป็นทุกข์ เหมือนกับในเรื่องของเด็กทารกที่เล่ามาแล้วตะกี้นี้ เกิดมาจากท้องแม่ไม่มีความทุกข์ คิดให้เป็นความทุกข์ไม่เป็น จนกว่าเด็กคนนั้นจะได้ไปเที่ยวสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไร รู้จักของอร่อยไม่อร่อย ของพอใจไม่น่าพอใจอะไร จนหลงใหลในสิ่งเหล่านั้นมันจึงจะเป็นทุกข์ ต้องอาศัยความโง่หรืออวิชชามากถึงขนาดนั้นมันจึงจะเป็นความทุกข์ จะพูดโดยหลักสักนิดหนึ่งก็ได้ จะฟังหรือไม่ฟังก็สุดแท้ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ทราบ ว่าเรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ ดู ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็จะไม่มีทางรู้สึกอะไร มันโลกนี้มันก็ไม่มีเท่านั้นแหละ มันก็มีค่าเท่ากับว่าโลกนี้มันไม่มีถ้าคนเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับรู้เรื่องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทีนี้เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็มีสิ่งที่จะมากระทบตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมากระทบเข้าแล้วมันก็มีผลของการกระทบออกมาเป็นความรู้แจ้งว่าอะไรเป็นอะไร รู้แจ้งทางตา รู้แจ้งทางหู รู้แจ้งทางจมูก รู้แจ้งทางลิ้นทางกาย ทางใจ ว่าเป็นอะไร นี่เรียกว่าวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้วเพราะการกระทบทางอายตนะ อายตนะข้างในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะข้างนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มาถึงเข้ากัน มาถึงกันเข้าเป็นคู่ๆก็เกิดวิญญาณ วิญญาณทางตา ทาง วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนี่ เมื่อ ๓พวกนี้ถึงกันอยู่ ทำงานอยู่ ก็เรียกว่าผัสสะ คือตา รูป และวิญญาณทางตาถึงกันอยู่ ๓ อย่างนี้เรียกว่าสัมผัสทางตา ทีนี้ในขณะที่สัมผัสอยู่ทางตานั้น คนนั้นหรือสัตว์นั้นมันไม่มีความรู้เรื่องอะไรเลย มันก็หลงไปตามสัมผัสนั้น มันเป็นสัมผัสที่ไม่มีสติปัญญา เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้รู้มาแต่ในท้อง และไม่ได้ศึกษาเลย มันก็ปล่อยไปตามไอ้ความไม่รู้ มันก็เกิดเวทนาที่จะทำให้รู้สึกพอใจหรือไม่พอใจหรือเฉยๆ เรียกว่าเวทนา เวทนาอย่างนี้ก็คือเวทนาโง่ ทำไมเรียกว่าโง่ เพราะไปเที่ยวพอใจในสิ่งที่หลอกให้พอใจ เที่ยวไม่พอใจในสิ่งที่หลอกให้ไม่พอใจ เมื่อ (นาทีที่ 46:37) เฉยๆในสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไร นี่ก็เรียกว่าเวทนาด้วยหมือนกัน นี่มันเวทนาโง่ เวทนาที่ไม่มีสติปัญญา ทีนี้เวทนานี้มันทำให้เกิดความอยาก โง่ ความอยากด้วยความโง่ ความอยากด้วยอำนาจของความโง่ที่เรียกว่าตัณหา ถ้า ถ้า ถ้า ถ้าเป็นที่พอใจมันก็อยากเอา อยากมี อยากได้ อยากเป็น ถ้าไม่เป็นที่พอใจมันก็อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำลายเสีย ความอยากที่โง่เรียกว่าตัณหา มันก็อยากในสิ่งที่รู้สึกตามความรู้สึก นี่เรียกว่าตัณหาหรือความอยาก พอมีความรู้สึกอยากตามธรรมชาติเท่านั้นแหละ ความรู้สึกว่าตัวกูผู้อยากก็เกิดตามขึ้นมาเองตามธรรมชาติ จึงรู้สึกว่ากูผู้อยาก หรือผู้อยาก อยากจะได้ อยากจะมี อยากจะฆ่ามันเสีย อยากจะไม่มีอะไรก็ตาม นี่เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกู เป็นของกู แล้วก็มันก็หนักอยู่ด้วยปัญหาแห่งตัวกู ของกู ทุกข์ทรมานอยู่ด้วยสิ่งนั้น ขยายความออกไปก็คือว่ามันมีอุปาทานว่าตัวตน ว่าของตน อยากได้มาเป็นของตน มีความคิดในจิตชนิดนี้ก็เรียกว่ามันเกิดเป็นคนขึ้นมาแล้ว ด้วยความคิดเท่านั้นที่เราพบว่าชาติด้วยความคิด พอมีความรู้สึกเป็นตัวตนๆอะไรขึ้นมาแล้ว มันโง่ถึงที่สุดแล้ว อะไรๆมันก็จะให้เป็นของตน ในสิ่งที่มัน มันพอใจ ที่มันไม่พอใจ มันก็อยากจะให้ทำลายไปเสีย ให้ผ่านพ้นไปเสีย ให้ฆ่าเสีย อะไรเสีย และสิ่งต่างๆที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ มันก็เอามาเป็นของตน เช่นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้น ของธรรมชาติมันก็เอามาเป็นของตน จนได้เป็นทุกข์ นี่ความทุกข์เกิดมีขึ้นมาเพราะมีความยึดถือว่าตัวตน ถ้าจะไม่มีความทุกข์เลยต้องไม่มีความยึดถืออย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะไม่มี นั่นคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้รู้เท่าทันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณ รู้เท่าทันผัสสะ อย่าให้ผัสสะมันโง่ ให้มีสติสัมปชัญญะ มีวิชชามาในขณะที่ผัสสะ อันนี้เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฝึกให้มีสติ ให้มีวิชชาไว้ให้มากๆ ให้มันมาทันเวลาที่มีผัสสะ ผัสสะฉลาดแล้วก็เวทนามันก็ฉลาด มันก็ไม่เกิดความอยากที่โง่เขลาคือตัณหา มันไม่เกิดอุปาทาน ไม่เกิดตัวกู ของกู มันก็ไม่มีความทุกข์ มันเดินกันคนละทาง ทางหนึ่งมันเดินไปด้วยความโง่ มันก็ต้องเป็นทุกข์ ทางหนึ่งมันเดินไปด้วยปัญญาหรือความฉลาดมันก็ไม่เป็นทุกข์ มันมีเท่านี้ จะทำได้หรือไม่ได้นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
คนโดยมากไม่ต้องการเพราะอยากอยู่กับความทุกข์ อยากแลกเอาด้วยความทุกข์ แลกเอาด้วย แลกความอร่อยเอาด้วยความทนทุกข์อย่างที่เป็นๆกันอยู่ ไม่ต้องพูด อยากแลกเอาไอ้สิ่งที่น่ารัก น่าพอใจ ด้วยความทนทุกข์ มันก็สมัครที่จะเป็นทุกข์ มันก็เป็นอย่างนี้กันทั้งโลก ถ้าไม่ต้องการจะเป็นทุกข์มันก็ต้องทำอย่างตรงกันข้าม นั่นน่ะทำอย่างพระพุทธเจ้าล่ะ ทำให้ตรงตามความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ขึ้นมาเมื่อนั่งกลางดิน นั่งกันอยู่กับธรรมชาติ ท่านรู้ ท่านเอาชนะความทุกข์ได้ นี่ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้จะไม่มีความทุกข์เลยจนกว่า จนตาย ไอ้ที่เป็นทุกข์มาแล้วแต่หนหลังตั้งแต่เป็นเด็กโง่ๆมาจนมาบัดนี้ มันก็เป็นทุกข์เพราะมันไม่รู้ แต่ต่อไปนี้มันจะรู้ แล้วมันก็ไม่เป็นทุกข์ยิ่งขึ้น และจนไม่เป็นทุกข์เลยจนตลอดชีวิต รู้จักดำรงชีวิตชนิดที่ไม่ ไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น ดำรงจิตไว้ในทางสายกลาง
คำว่าทางสายกลางนี้ก็เหมือนกันแหละ ไม่ใช่เป็นเรื่อง เป็นคำสำหรับเอาไปหัวเราะเยาะ ไปล้อกันเล่น เป็นเรื่องของวัดวาอารามฉันไม่ต้องการ ไอ้ทางสายกลางน่ะมัน มัน เพราะมันรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอย่างไร มันก็ไม่หลงรักและหลงเกลียด นั่นมันอยู่ตรงกลางนี่ ทางสายกลางอย่างนี้ พวกคุณอาจจะไม่เคยได้ยินคำอธิบายอย่างนี้ก็ได้ คงจะเคยได้ยินแต่เพียงว่าอัตตะ เอ้อ, กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค อย่างนี้ก็ได้ ก็ได้เหมือนกัน แต่จับใจความให้ถูกนะ กามสุขัลลิกานุโยคน่ะ เพราะมันไปหลงรักไอ้ที่มันน่ารัก ทำให้เกิดไอ้ความหลงใหล อัตตกิลมถานุโยคนั้น ทรมานตนให้ลำบาก เพราะมันไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายสุดที่ตรงกันข้ามฝ่ายนี้ มันชอบอย่างนั้น มันชอบความทุกข์อย่างนั้น ก็มีอุปมาอีกอย่างเรียกว่าทุกข์ ความทุกข์ เปียก คือกาม กามารมณ์เป็นความทุกข์ชนิดเปียก และความทนทรมานกายลำบากนี้ เป็นความทุกข์อย่างไหม้เกรียม อย่าให้เปียกและอย่าให้ไหม้เกรียมนั่นล่ะอยู่ตรงกลาง พูดอย่างนี้ฟังยาก เอาธรรมดาๆง่ายๆอย่างนี้ดีกว่า ให้อยู่ตรงกลาง ระหว่างกลาง พูดอย่างวิทยาศาสตร์สักหน่อยก็คือไม่ Positive ไม่ Negative แต่อยู่ตรงกลาง ไม่เป็นความรักหรือไม่เป็นความชังนี่ เลย เลย ทุกคู่ ทุกคู่ที่เรียกว่ามันเป็นคู่ตรงกันข้าม เช่นว่าแพ้กับชนะนี่มันเป็นคำคู่คู่หนึ่ง เราไม่อยู่แพ้หรือไม่อยู่ชนะ แต่อยู่ตรงกลาง คำว่าขาดทุนหรือกำไรนี่ มันก็เป็นคำคู่คู่หนึ่ง เราไม่ขาดทุนไม่กำไร แต่อยู่ตรงกลาง จนกระทั่งว่าละเอียดสูงสุดขึ้นไปว่าไม่ดีชั่ว ไม่ ไม่เอาทั้งดีไม่เอาทั้งชั่ว แต่อยู่ตรงกลาง คือไม่สุขไม่ทุกข์ แต่อยู่ตรงกลางไม่บุญไม่บาป แต่อยู่ตรงกลาง คือไม่ยึดมั่นถือมั่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้มันเป็นตัวตนขึ้นมา มีจิตใจอยู่ตรงกลาง นี่ก็เรียกว่าจิตมันว่าง มันไม่ยึดถือสิ่งใดไว้ ไม่เกาะกุมกอดรัดสิ่งใดไว้โดยความเป็นตัวตนของตน นั้นคำว่าว่างนั่นแหละเป็นคำกลางที่สุด
นอกจากคำว่าว่างแล้วมันก็มีคำเป็น ๒ ความหมาย ไม่เป็น Positive ก็เป็น Negative ถ้ามันไม่มีทั้ง ๒ฝ่ายนี้ มันจึงว่าง ความดับทุกข์มันจึงอยู่ที่เข้าถึงความว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดๆโดยความเป็นของตน นี่เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ จะทำได้หรือไม่ได้ จะชอบหรือจะไม่ชอบ แต่แล้วมันก็คงจะน่าหัว ที่ว่าจะลงทุนศึกษาพุทธศาสนากันทำไม แล้วบางคนบางทีก็จะยังอยู่ในระดับที่ว่าชอบ ชอบดี ไม่ชอบชั่ว แต่ยังชอบดี เอ้า, ก็แบกดีไป จนกว่าจะไม่เอาทั้งชั่วทั้งดีจึงจะอยู่ตรงกลาง จึงจะไม่เป็นทุกข์เลย ถ้ายังไปเกี่ยวข้องกับชั่วและดีอยู่ ยังจะต้องเป็นทุกข์ไปตามแบบของมัน นั้นที่ว่าจะไม่เป็นทุกข์เลย ไม่มีความทุกข์เลย ต้องอยู่เหนือความหมายที่เป็นคู่ๆ คู่ๆ เหล่านี้หมด คือไม่ได้ ไม่เสีย ไม่แพ้ ไม่ชนะ ไม่ขาดทุน ไม่กำไร ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป ไม่สุข ไม่ทุกข์ กระทั่งว่าไม่ ไม่มีความเป็นหญิง ไม่มีความเป็นชายอะไรเหล่านี้ ทั้งหมดเลยทุกคู่ๆ เรียกว่าจิตมันไม่มีความทุกข์เลย เป็นอิสระ เป็นพระอรหันต์ มันมากเกินไปลดลงมาเป็นชาวบ้าน แต่ขอให้มีความทุกข์น้อย ให้มีสติสมบูรณ์ ไม่หลงรัก หลงเกลียดเท่านั้นแหละพอ มันจะมีความทุกข์น้อย มีสติคอยระวังตนอยู่เสมอ ไม่หลงรักในสิ่งที่ยั่วให้รัก ไม่หลงเกลียดในสิ่งที่ยั่วให้เกลียด ไม่โกรธ ไม่กลัว ไม่ทุกอย่างที่มันเป็นไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ นี้เรียกว่าไม่มีความทุกข์เลย มันก็หมดแหละ มันมีเท่านั้นแหละโดยใจความ
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง มีประโยชน์อย่างยิ่ง มีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นทุกข์เลย แล้วกลายเป็นคนมีประโยชน์อย่างยิ่ง ข้อนี้มันหมายความถึงว่าผู้ที่ไม่มีอุปทานยึดมั่นถือมั่นตัวตน ของตน มันไม่มีความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เรากำลังมีจิตชนิดที่เห็นแก่ตัว มันก็รักตัว รักสิ่งที่จะได้มาเป็นประโยชน์ของตัว ที่เรียกว่ารักชาติ รัก โกหกทั้งนั้น มันหวังจะเอาชาติเป็นประโยชน์ของตัว มันจึงได้รักชาติ มันไม่ได้รักโดยแท้จริง มันไม่ได้รักพ่อแม่หรือไม่รักอะไรโดยแท้จริง นอกจากหวังว่าจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นมันจึงรัก เพราะมันมีเห็นแก่ตัว ในจิตใจมันเต็มอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว พอไม่มีความเห็นแก่ตัวสิ มันจึงจะรักจริง เพราะมันไม่มีตัวที่จะเห็นแก่ตัว มันจึงสามารถจะรักผู้อื่นได้ รักบิดามารดา รัก รักได้ รักไปรักได้ทั้งหมดแหละ เมื่อ เมื่อ เมื่อมันรักผู้อื่นได้โดยอัตโนมัติอย่างใหญ่หลวงอย่างนี้มันก็ทำประโยชน์ผู้อื่น ไม่ต้องสงสัยมันจะเคลื่อนไหวในทางที่เป็นประโยชน์ตนเองหรือประโยชน์ผู้อื่น เพราะมันไม่มี ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไอ้คนเห็นแก่ตัวมันยังคิดว่านอนเสียดีกว่าจะไปทำประโยชน์คนอื่นให้เหนื่อยทำไม มันยังคิดว่านอนยังดีกว่า เรื่องคนขี้เกียจเป็นเรื่องของคนเห็นแก่ตัว ถ้ามันไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็สนุกในการทำงานที่เป็นประโยชน์ แล้วก็ทำประโยชน์ทุกเวลานาที ตัวเองไม่มีความทุกข์ก็เป็นคนมีประโยชน์แก่ทุกคนและทุกฝ่ายน่ะ เรื่องมันจบ
นี่ขออภัยพูดอย่างหยาบคายให้มันประหยัดเวลา พูดสั้นๆตรงๆถ้าพูดอย่างเทศน์บนธรรมาสน์มันก็พูดอย่างอื่น อย่างนี้มันพูดตรงๆ พูดประหยัดเวลา เพราะว่ามันมีเวลาน้อย ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่อยากให้เวลา จัดเวลาศึกษาธรรมะนิดเดียว แต่จัดเวลาสำหรับอย่างอื่นเสียมากมาย มันก็ยังต้องลัด พูดลัด พูดสั้น พูดอะไรกันบ้าง ก็ขอให้จำไปเถอะ ว่าเดี๋ยวนี้นั่งกลางดิน เพราะว่าธรรมะเกิดมาจากดิน ศาสนาเกิดขึ้นมาจากการที่พระพุทธเจ้าท่านนั่งกลางดิน แล้วก็รู้เรื่องทุกเรื่องที่มันเกี่ยวกับธรรมชาติ ท่านก็มาสอนเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลเกิดจากหน้าที่ ซึ่งทำให้กล่าวได้ว่าพระไตรปิฏกทั้งหมดไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่อง ๔ ความหมายนี้ พระไตรปิฏกทั้งหมดไม่มีเรื่องอะไร เรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลเกิดจากหน้าที่
เอาละ เป็นอันว่าคงจะชอบดินกันขึ้นบ้างนะทีนี้ ต่อไปนี้คงจะชอบดินกันขึ้นบ้าง ชอบนั่งกลางดินกันขึ้นบ้าง ดินมันจะได้พูดกรอกหูให้ว่าอย่าหลงใหลกันไปนัก อย่าโลภมากนัก อย่าโกรธมากนัก แผ่นดินมันจะพูดอย่างนั้น ต้นไม้มันจะพูดอย่างนั้น ก้อนหินมันจะพูดอย่างนั้น แต่ถ้าไปในสถานที่เริงรมย์ไม่มีใครพูดอย่างนี้ จะพูดให้มันหลงใหลมากขึ้น ไม่ชอบธรรมชาติ คือไอ้ชอบความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวเอง เนื้อตัวของเราเป็นธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ เป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เป็นผลที่ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ทั้งเนื้อทั้งตัวมันมีอยู่นี่ ๔ อย่างนี้ มันก็จะได้เจริญงอกงามเต็มที่ เลือดเนื้อ โลหิต กระดูกนี้เป็นตัวธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติที่ว่าอวัยวะนั้นต้องทำอย่างนั้น อวัยวะนี้ต้องทำอย่างนี้ อวัยวะนี้ต้องขยายอย่างนี้ ต้องหดอย่างนี้ มันกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นจะมีการทำหน้าที่ของอวัยวะทุกอวัยวะ กระทั่งของคนทั้งคนทั้งหมดทั้งคน นี่ละหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันก็มีผลเกิดขึ้นเป็นสุข เป็นทุกข์ อยู่ที่เนื้อที่ตัวนี้ เรียกว่า ๔ ความหมายนี้มันมีอยู่ที่ตัวคนทุกคน ทุกคนจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามความจริงของธรรมชาติ แล้วก็จะไม่มีความทุกข์
ถูกต้องแล้วไม่มีความทุกข์ มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความทุกข์เลย แล้วก็เป็นประโยชน์มากที่สุด เพราะว่าถ้าจิตมันสูงขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว มันไม่มีความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด เป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัว มันก็เป็นการเห็นแก่ผู้อื่นโดยอัตโนมัติเอง ความเห็นแก่ตัวมันดึงไว้ไม่ให้รักผู้อื่น ไม่ให้เห็นแก่ผู้อื่น พอความเห็นแก่ตัวหมดไป มันก็รักผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่นโดยอัตโนมัติแล้วมันก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กันและกัน
อยากจะพูดว่าแม้แต่สัญชาตญาณบางอย่างที่มันถูกต้องนี่ มันก็ต้องการจะช่วยผู้อื่น แต่ถ้าสัญชาตญาณนั้นมันถูกครอบงำเสียด้วยกิเลสอะไรแล้ว มันก็ไม่ ไม่ทำก็มี จะเห็นได้ว่าสัตว์ทั้งหลาย สัตว์เดรัจฉานมันมีการช่วยซึ่งกันและกัน สัตว์เดรัจฉานมีความยึดมั่นถือมั่นน้อย เพราะมันโง่ มันยึดถือไม่เป็น ดังนั้นมันจึงมีความเห็นแก่ตัวน้อย สัตว์เดรัจฉานมันจึงช่วยผู้อื่น ถ้าไก่ตัวหนึ่ง เห็บจิก เห็บเกาะอยู่ที่หงอน มันไปก้มหัวให้ไก่ตัวหนึ่งจิก คุณไม่เคยเลี้ยงไก่คุณไม่เคยเห็น แต่ที่นี่เราเห็นทุกวัน ฉะนั้นไก่ทุกตัวไม่มีเห็บที่หงอน มันจิกเองไม่ได้หรอก แต่ว่ามีไก่ตัวอื่นจะคอยจิกให้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่มีความเห็นแก่ตัวน้อยมันก็ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นขนาดนี้
ฉะนั้นเรากำจัดศัตรูร้ายกาจที่สุดของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว แล้วโลกนี้จะมีสันติภาพ อย่าไปสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนอะไรกันให้มากนัก สนใจเรื่องความเห็นแก่ตัวนี่ ความไม่เห็นแก่ตัวนี่ให้มันมากสักหน่อยเถอะ มันจะเข้ารูปเข้ารอยกับธรรมชาติ มันจะเป็นไปเพื่อความสลายออกไปแห่งกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มันก็ไม่มีความทุกข์ สบายไม่มีความทุกข์ก็พร้อมที่จะช่วยผู้อื่น นี่เป็นโลกพระศรีอาริยเมตตรัยตามแบบของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่โลกพระศรีอาริยเมตตรัยตามแบบของพวกหัวซ้ายหรือฝ่ายซ้าย ฝ่ายคอมมิวนิสต์เขาก็มีโลกอาริ อาริ โลกพระศรีอาริยเมตตรัยเหมือนกับที่เขาพูดกัน แต่มันคนละอย่างเลย โลกพระศรีอาริยเมตตรัยของการเห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกของตัวมันก็มีอย่าง ทีนี้ถ้าเป็นโลกพระศรีอาริยเมตตรัยของพุทธศาสนาก็คือไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีความทุกข์เพราะความเห็นแก่ตัว แล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นของสนุกไปเลย โลกนี้คือโลกที่ควรจะอยู่ในเป้าหมาย เดี๋ยวนี้คนในโลกไมได้มีเป้าหมายอย่างนี้ แม้แต่องค์การสหประชาชาติก็ยังไม่เคยนึกฝันถึงเรื่องนี้ แต่อย่าพูดมากไปเลย มันจะเป็นการกล่าวคำดูหมิ่นผู้อื่นมากนัก จะพูดแต่เพียงว่าคนในโลกแม้องค์การที่มีสติปัญญา มีกำลัง มีอำนาจก็ไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้ คือที่ทำลายความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ ให้หมดไปเสียจากโลก
เอาละพูดมาพอสมควรแล้วตามโอกาสที่มี ขอแสดงความยินดีที่ได้มานั่งกลางดิน พูดกัน และขอขอบคุณทุกคนที่สนใจฟัง แต่ก็ไม่ได้โกรธคนที่หนีไปนอนนะ คนที่ตั้งใจฟังก็ต้องได้รับประโยชน์ ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย เพื่อว่าการมาที่นี่ในลักษณะอย่างนี้จะไม่เป็นการขาดทุน แต่จะเป็นการได้สิ่งที่ควรจะได้ และนำเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ และก็ขอให้ทุกๆคนฟังแล้วมีความรู้ มีความเข้าใจตามสมควรแก่สติปัญญา ให้คิดเห็น ให้เห็นจริงเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ เมื่อเชื่อแล้วก็จะมีความกล้าในการที่จะประพฤติจะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นั้นๆ แล้วก็ขอให้มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ขอยุติการบรรยาย
[T1]ฟังไม่ชัด
[T2]ฟังไม่ชัด