แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ขอแสดงความยินดีในการมาที่นี่ของท่านทั้งหลาย ในลักษณะอย่างนี้คือ แสวงหาสิ่งที่เรียกกันว่าธรรมะสำหรับไปใช้เป็นเครื่องดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่เป็นสิ่งที่ ขออนุโมทนา และมีพิเศษว่าระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ ก็สามารถที่จะลองปฏิบัติอะไรดูได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ แม้ที่สุด จะว่านั่งกลางดินซึ่งไม่เคยนั่ง เคยนั่งในตึกเรียนราคาล้าน เดี๋ยวนี้มานั่งแค่กลางดิน เหมือนกับว่ามดแมลงต่างๆ มันก็เป็นสิ่งที่มีความหมาย และเป็นการศึกษาในการกินการอยู่ การประพฤติกระทำใดๆ ที่มันแปลกจากที่เคยอยู่ในกรุงเทพฯนั้นมันก็ล้วนแต่เป็นการศึกษา หลายคนหลุดปากออกมาว่า มันเหมือนกับคนละโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งแวดล้อมของธรรมชาติ มันผิดกันอย่างกับคนละโลกจริงๆ เหมือนคนที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ต่างกันเช่นนี้ ก็ย่อมจะมีความคิดนึกรู้สึกต่างกันไปตามแบบนั้นๆ ฉะนั้นถ้ามีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นจากการเป็นอยู่อย่างต่ำ อย่างง่ายที่สุดอย่างที่กำลังอยู่ที่นี่ ก็ขอให้สนใจเก็บเอาไปเป็นทุนสำหรับการศึกษาธรรมะนี่ต่อไปข้างหน้า
จะพูดถึงปัญหาขัดข้องในการศึกษาธรรมะแก่ท่านทั้งหลายพอสมควร คือว่าธรรมะแท้จริงน่ะไม่ใช่ตัวหนังสือ และไม่ใช่เรียนได้จากหนังสือ ธรรมะแท้จริงต้องเรียนจากความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ ความรู้สึกคิดนึกอะไรก็ตามที่มีอยู่ในใจ ถ้าเรียนจากสิ่งเหล่านั้นน่ะก็รู้ธรรมะ ถ้าเรียนจากหนังสือก็รู้หนังสือ รู้ไอ้บันทึกที่เขาบันทึกเอาไว้ เป็นเครื่องช่วยจำอย่างนี้เสียมากกว่า ฉะนั้นสิ่งที่ได้ผ่านไปมันไม่ใช่มีค่า หรือมีความหมายเท่ากับหนังสือที่บันทึกไว้ เราจะต้องเอาความรู้สึกโดยตรงขึ้นมาเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับการศึกษา นั่นเขาใช้คำพูดกันคำหนึ่งซึ่งอยากจะขอให้สนใจและจำเอาไว้ คือคำว่า Spiritual experience Experience นี่ไม่รู้จะแปลว่าอะไร แต่เชื่อว่าเข้าใจกันอยู่แล้ว โดยใจความก็คือสิ่งที่ได้ผ่านมาโดยความรู้สึกแล้ว นี่เรียกว่า Experience แล้ว Spiritual นั้นคือเรื่องฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายวัตถุ แต่โดยเหตุที่จิต หรือวิญญาณมันก็เกี่ยวข้องกับวัตถุอยู่บ้างเป็นธรรมดา เพราะมันก็เกี่ยวข้องอยู่บ้าง แต่ความมุ่งหมายโดยแท้จริงนี่ เรามุ่งหมายทางฝ่ายวิญญาณ คือความรู้แจ้ง ทุกอย่างที่ผ่านไปในชีวิต ย่อมผ่านไปอย่างที่เป็น Spiritual Experience ได้ทั้งนั้นเลย ทุกเรื่องเลย นั้นเราก็มีสติปัญญาเติบโตขึ้นมาก็ด้วยสิ่งนี้ และด้วยสิ่งนี้มันขยายตัวออกไป สติปัญญามันก็ขยายตัวออกไป ความรู้ในด้านจิต ด้านวิญญาณมันก็ขยายตัวออกไป นี่คือสิ่งซึ่งเป็นความจริง ซึ่งค่อนข้างจะเร้นลับ บางคนก็ไม่ได้สนใจ ยิ่งกว่านั้นก็คอยแต่จะอ่านหนังสือ จะจดจำจากหนังสือ จะใช้หนังสือเป็นที่พึ่ง เหล่านี้ก็รู้ธรรมะแบบในหนังสือ ไม่รู้ธรรมะแบบที่จะต้องได้รับจากจิตใจ ฉะนั้นขอให้สังเกตจนรู้จักสิ่งเหล่านี้ ซึ่งที่แท้เราก็มีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ สิ่งที่เรียกว่า Spiritual Experience มันก็เริ่มตั้งต้น แต่ว่ามันตั้งต้นน้อยมาก ตั้งต้นไม่พอ แล้วมันเดินไปผิด เดินไปผิดเสียตั้งมากมาย กว่าจะกลับตัวได้มาสู่แนวทางถูกนี่ มันเสียเวลาไปตั้งมากมาย นั่นแหละคือเหตุที่ทำให้ไม่รู้จักธรรมะ ทั้งที่ธรรมะเป็นตัวธรรมชาติ ธรรมชาติธรรมดานี่แหละ ธรรมชาติของธรรมชาติ โดยธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ อยู่ในตัวมันเอง ขอให้สนใจการแบ่งธรรมะออกเป็น ๔ ความหมาย ว่าธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และธรรมะคือผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้นตามกฎของธรรมชาติ ถ้ารู้จักสิ่งทั้ง ๔ นี้แล้วก็เรียกว่ารู้จักตัวธรรมะมากมายทีเดียว แล้วก็จะง่ายในการที่จะจัดพวกความรู้ต่างๆ ของเราที่รู้อยู่แล้วนี้ว่ามันอยู่ในพวกไหน มันอยู่ในพวกไหน ความรู้นี้เป็นความรู้เรื่องตัวธรรมชาติ ความรู้นี้เป็นความรู้เรื่องตัวกฎของธรรมชาติ ซึ่งสิงสถิตอยู่ในสิ่งทุกสิ่งทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต และสิ่งเหล่านั้น และกฎเกณฑ์อันนั้นมันสำคัญ ถึงกับว่าถ้าใครไม่ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องมันก็คือตาย ฉะนั้นลองประพฤติให้ผิดกฎของธรรมชาติจังๆ ดูสิ มันก็ตายเอง ฉะนั้นจึงต้องรู้สำหรับจะปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่างนี้เรียกกว่าหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาติ ครั้นปฏิบัติแล้วผลก็ย่อมจะเกิดมาโดยสมควรแก่การปฏิบัติ ตามกฎของธรรมชาติอีกเหมือนกัน นี่คือธรรมะในความหมายใหญ่ๆ ความหมายกว้างๆ ที่ถ้ารู้แล้วก็จะเป็นการดีมาก แล้วก็จะเข้าใจได้ว่าศึกษาไม่ได้จากหนังสือ หรือศึกษาไม่ได้จากการพูดจาในห้องเรียนอะไรทำนองนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะมันต้องสัมผัสกับสิ่งนั้นโดยตรง มันก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
ทีนี้ถ้าว่าจะใช้คำอีกแนวหนึ่ง ใช้การพูดอีกแนวหนึ่งก็จะพูดว่า มันเป็นเรื่องของสิ่งที่มีชีวิต ถ้ามันไม่มีชีวิต มันก็ไม่มีปัญหาอะไร คือมันเป็นทุกข์ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ได้แต่สิ่งที่มีชีวิต มีจิตรู้สึกคิดนึกเท่านั้น ฉะนั้นธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าไม่มีชีวิตเช่นก้อนหินหรืออะไรอย่างนี้ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็ไม่ต้องเรียนธรรมะ หรือปฏิบัติธรรมอะไร นี้เราสิ ทุกคนมันเป็นสิ่งที่มีชีวิตแล้วก็ในระดับสูงเสียด้วย คือสูงกว่าระดับต้นไม้ทั้งหลายซึ่งมีชีวิต แล้วก็สูงกว่าระดับสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายซึ่งก็มีชีวิต เดี๋ยวนี้มามีชีวิตกันในระดับที่เรียกว่าคนหรือมนุษย์ แต่แล้วก็ดูเอาเองก็แล้วกันว่าคนแต่ละคนนั้นรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตกันกี่มากน้อย แม้ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ลองถามตัวเองดูว่ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นกันอย่างไรบ้างหรือกี่มากน้อย บางทีจะไม่ได้มาศึกษาธรรมะเพื่อประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตด้วยซ้ำไป มันเป็นแต่เพียงร่ำลือว่าดี น่าศึกษาก็เห่อๆ ตามๆกันไป ศึกษาธรรมะไม่ได้มุ่งหมายว่าจะเอาไปใช้เป็นทางดำเนินของชีวิต ก็ ก็เพราะเหตุว่า ตอนนี้ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตอย่างเพียงพอที่จะศึกษาธรรมะ บางคนมันจะเป็นเอามากๆ ถึงกับว่าไม่เคยนึกไม่เคยคิด ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตน่ะมันมีอยู่ด้วยซ้ำไป ลองสังเกตดูให้ดี ไอ้คนบางคนจะถึงขนาดที่เรียกว่าไม่รู้ว่ามีชีวิต หรือตัวมีชีวิต ไม่รู้สิ่ง จักสิ่งที่เรียกว่ามีชีวิต อย่างนี้ก็ยังมี แต่ว่าถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษามันได้ยินคำว่าชีวิตจนชินหู แล้วก็เคยใช้คำพูดคำนี้พูดจาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ระวังให้ดี มันอาจจะรู้จักชีวิตแต่ในด้านนอก คือด้านวัตถุ หรือในด้านแห่งความโง่เขลาอยู่ ความหมายของคำว่าชีวิตสำหรับความโง่เขลานั้นมีอีกอย่างหนึ่ง สำหรับความรู้แจ้งเห็นจริงนั้นมันมีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเรายังไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริงอย่างเพียงพอ เราก็ไม่อาจจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตโดยแท้จริง โดยครบถ้วนโดยสมบูรณ์ หรือโดยลึกซึ้งได้ นี่แหละคือปัญหาแหละ ปัญหาที่ว่าทำไมจึงไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษาธรรมะ มันเหมือนกับคนที่ว่า ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ก็เที่ยวหายากินเพ้อๆไปตามเขาว่า อย่างนี้มันจะได้ผลอย่างไร ผู้ที่มาสู่ธรรมะเพื่อจะมีธรรมะเป็นหลักปฏิบัติ แต่ไม่รู้ว่า ชีวิตนั้นมีปัญหาอย่างไร ถึงกับไม่เคยสำนึกเรื่องว่ามีชีวิตด้วยซ้ำไป แต่ก็มาสนใจศึกษา แสวงหาธรรมะก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร เหมือนคนที่ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ไข้อะไรก็เที่ยวแสวงหายากิน ใครว่ายาอะไรดีก็กิน กิน กินไปอย่างนั้น มันไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่างน้อยก็ควรจะรู้จักสิ่งพื้นฐานที่เรียกว่าชีวิตนี้กันเสียบ้างตามสมควร ต้องใช้คำว่าตามสมควร เพราะว่าไอ้คนที่จะรู้จักชีวิตได้จริงนั้นมันต้องผ่านชีวิตไปจบแล้วนู่น จะมีอายุ ๙๐ ปี ๑๐๐ ปีก็จะยิ่งดี เอ้า, มาท้ากันก็เอาว่าไอ้คนที่อายุ ๒๐ ปี ๓๐ ปี นั้นน่ะจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เท่ากับคนที่อายุ ๙๐ ปี ๑๐๐ ปีได้หรือไม่ ในเมื่อเป็นคนอยู่ในระดับมาตราฐานเดียวกัน ศึกษาอย่างเดียวกัน อะไรอย่างเดียวกัน พยายามอย่างเดียวกันนี่ แต่ว่าในโลกนี้แม้จะไม่ได้พยายามศึกษาโดยตรง โดยเจตนา ความรู้มันก็เกิดเองโดยธรรมชาติสะสมไว้ เป็นไอ้ Spiritual Experience นั่นแหละ มากขึ้นๆ แล้วก็ตั้งแต่คลอดมาจากท้องแม่ พอมันมาสัมผัสโลกนี้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็รู้ว่ามีอะไร ทางตาเห็นอะไร มีอะไร อย่างไร ทางหู ได้ยินอะไร มีอะไร อย่างไร ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวกาย ผิวหนังนี่ แล้วทางจิตใจเอง ฉะนั้นเด็กๆ เขาก็ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้นมาโดยธรรมชาติ
นี่มันเกี่ยวกับว่าวัฒนธรรมในบ้านเรือน ถ้าในบ้านเรือนไหนมีวัฒนธรรมดีถูกต้อง มีวัฒนธรรมเป็นหลักธรรมะถอดรูปออกมาจากศาสนา อบรมสั่งสอนกันอยู่ในบ้านเรือน มันก็เป็นโชคดีสำหรับเด็กทารกเหล่านั้นที่เติบโตขึ้นมาในวัฒนธรรมที่เกี่ยวด้วยศาสนาหรือความถูกต้อง มันก็จะรู้ขึ้นมาอย่างถูกต้อง แต่ถ้ามันในตระกูลหรือในครอบครัวที่มีวัฒนธรรมเลว หรือไม่มีวัฒนธรรมเลย มันก็ไม่มีทางจะรู้ว่าอะไรดี อะไรถูกต้อง แล้วมันก็อาจจะเห็นกลับกันเสียด้วยก็ได้ แล้วก็ยิ่งกว่านั้นโดยทั่วๆไปน่ะ การเป็นอยู่ตามธรรมดาสามัญนี่ มันทำให้โง่ เด็กทารกกินของอร่อย เอ้า, แม่ก็ว่าอร่อย เอ้า, อร่อย อร่อย อร่อย นี่มันก็เกิดความคิด รู้สึกคิดนึก เราเกิดมาสำหรับกินให้อร่อย ถ้าไม่อร่อยก็บอกว่าไม่อร่อย แล้วก็เกิดเรื่องร้องไห้ เกิดเรื่องโกรธแค้นอะไรกันขึ้นมา นี่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ทำให้โง่ มากขึ้นทุกทีๆ คือหลงรักในสิ่งที่น่ารัก หลงโกรธเกลียดในสิ่งที่น่าโกรธน่าเกลียด เป็นอย่างนี้มาจนโต ใครไม่เป็นอย่างนี้ก็ลองคิดดู ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็แปลว่าเราเสียเวลาโง่หนักเข้า โง่หนักเข้า โง่หนักเข้า จนกว่าจะมาเป็นผู้ใหญ่คนแก่คนเฒ่า ได้ยินเรื่องธรรมะธรรมโม ว่าไม่จำเป็นจะต้องไปโง่ รักแต่สิ่งที่น่ารัก เกลียดสิ่งที่น่าเกลียด โกรธสิ่งที่น่าโกรธ กลัวสิ่งที่น่ากลัว นี่มันไม่ต้องไปเสียเวลาขนาดนั้น นี่เด็กทารกถูกสอนให้กลัว กลัวความมืดบ้าง กลัวอะไรก็ไม่รู้ ก็ต้องให้กลัวผีกลัวสาง กลัวเทวดา กลัวโชคชะตาราศี นั่นก็คือการทำให้โง่มากขึ้นๆ เขาจึงดำเนินชีวิตไปโดยที่ไม่รู้จักตัวชีวิตนั้นเลย มันก็มีหลักแต่เพียงว่า ยินดีในสิ่งที่น่ายินดี ยินร้ายในสิ่งที่น่ายินร้าย มันก็มีเท่านั้นเองมันโตขึ้นมา แล้วก็หลงใหลในความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ขอให้ลองคิดดู อุตส่าห์เรียนหนังสือ อุตส่าห์เรียนหนังสือ ก็ยุให้ได้ทำงานดี จะมีเงินมากแล้วก็มาซื้อหาสิ่งที่สวยงามเอร็ดอร่อย สนุกสนาน เด็กๆ จึงเรียนหนังสือ แม้โตแล้วนี่แหละ จะเรียนระดับมหาวิทยาลัย มันก็ยังคิดว่าจะเอาเงินมากๆ มาซื้อหาสิ่งที่สวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนานด้วยกันทั้งนั้น แปลว่าความโง่นั้นยังครอบงำอยู่ ไม่มีความคิด ไม่มี ไม่เคยมีความคิดที่ว่าเราจะออกมาเสียจากอำนาจอันนี้ ซึ่งเป็นสิ่งเลวร้าย คือเป็นโมหะ เป็นอวิชชา แล้วก็เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
นี่เรียกว่าชีวิต ที่ได้ผ่านมาจนถึงหนุ่ม เป็นหนุ่มเป็นสาวเวลานี้น่ะ มันมีอะไรกี่เรื่องที่ทำให้โง่ลงไป มันมีอะไรกี่เรื่องที่ทำให้ฉลาดขึ้นมา ถ้าฉลาดก็ฉลาดสำหรับจะโง่ คือฉลาดสำหรับจะรักให้มาก จะเกลียดให้มาก จะกลัวให้มาก จะโกรธให้มาก จะทำอะไรให้มันมาก ไปมากกว่าที่คนไม่ฉลาดก็ทำได้ นี่มันฉลาดสำหรับจะให้โง่ ฉะนั้นในโลกนี้จึงมีคนโกง มีการเล่าเรียนศึกษาดีในระดับสูงสุด แต่แล้วก็โกง คือเอาเปรียบ คอยเอาเปรียบ คอยขูดรีด คนอื่นเผลอไม่ได้ เขาก็คดโกง เอาเปรียบ และขูดรีด เพราะความเห็นแก่ตัว ระวังไอ้ข้อที่ว่ายิ่งฉลาด แล้วก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะว่าไม่มีธรรมะเข้ามาควบคุมความฉลาด ยิ่งฉลาดเท่าไรยิ่งเป็นอันตรายเท่านั้นน่ะ ถ้าไม่มีธรรมะเข้ามาควบคุมความฉลาดให้มันเดินถูกต้อง ฉะนั้นอย่าอวดดี อย่านิยมชมชอบว่าคนนี้มันฉลาด คนนี้มันฉลาด ไอคิวสูง อะไรสูง ยิ่งมัน ยิ่งมันไอคิวสูงแล้วมันจะยิ่งโกงเก่ง ถ้าธรรมะมันไม่เข้ามาควบคุม
ฉะนั้นขอให้เรารู้ว่าปัญหานี่มีอยู่จริง คือพอคลอดออกมาก็เริ่มเดินทางผิด ในด้านจิตใจ ไม่พอใจ ที่จะได้ตามที่ความรู้สึกนั้นๆ ต้องการโดยไม่ โดยไม่รู้สึกว่านั่นเป็นความรู้สึกของกิเลส ธรรมะยังไม่ทันจะเกิด กิเลสก็เกิดเสียเต็ม เต็มที่ไปหมด พอเด็กทารกมันรู้จักรัก มันก็เกิดกิเลสประเภทรัก พอมันรู้จักโกรธ มันก็มีกิเลสประเภทโกรธ ประเภทเกลียด ประเภทกลัว ประเภทวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ หลงใหลมัวเมานี้ กิเลสยึดครองแผ่นดิน คือร่างกาย ชีวิตนี่ แผ่นดินชีวิตนี่ กิเลสยึดครองมาก่อน เจ้าของนั้นน่ะคอยแต่แสวงหาสิ่งสวยงามเอร็ดอร่อย สนุกสนาน จะเรียกอีกทีหนึ่งก็ว่าดีเหมือนกันแหละมันเป็น Motive ให้ช่วยให้รีบศึกษา รีบเล่าเรียน รีบทำการงาน แต่แล้วมันน่าสงสารที่ว่าเมื่อได้เงินจากการทำงานแล้ว มันก็ไปซื้อหาเหยื่อให้แก่กิเลส คือสิ่งที่จะบำรุงบำเรอกิเลส ก็ได้แก่ความสวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนังนั่นเอง นี่คือตัวปัญหา ถ้าไม่เข้าใจ หรือไม่มองเห็นว่ามีปัญหา ก็ยากที่จะศึกษาธรรมะ จะไม่รู้ธรรมะที่เป็นธรรมะ จะเป็นธรรมะสำหรับจำ ธรรมะสำหรับพูด ธรรมะที่มันดับความทุกข์ไปได้ ก็ขอให้สนใจ รู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตกันให้ดีๆ
อายุ ๑๐ ปี รู้ชีวิต รู้จักชีวิตเท่าไร อายุ ๒๐ ปีรู้จักชีวิตเท่าไร ๓๐ ปี ๔๐ ปี สัก ๙๐ ปี ๑๐๐ ปีรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตเท่าไร ถ้ามองเห็นความจริงข้อนี้แล้วเข้าใจว่าเด็กๆ จะไม่ดูถูกคนแก่ คนอายุน้อยๆ นี่ จะไม่ดูถูกคนแก่ แต่ว่าคนหนุ่มอาจจะเข้าใจผิดว่าเราไปเรียนมามากจากเมืองนอก เอาปริญญามาเป็นหางจากเมืองนอก ดังนั้นเราก็จะรู้อะไรมากกว่าตาแก่ ยายแก่ ซึ่งเป็นแม่ เป็นปู่ย่าตายายของเราเอง ข้อนี้อย่าได้คิดอย่างนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน ไอ้เรื่องที่ไปเรียนมาจากเมืองนอกมากมายนั้น มันเป็นเรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องเพื่อจะแสวงหาวัตถุ แสวงหากำลัง แสวงหาอำนาจ เท่าที่มนุษย์เหล่านั้นมันรู้จัก แล้วมันสอนกันได้เพียงเท่านั้น เพราะไม่มีมหาวิทยาลัยไหนสอนธรรมะ ถ้าแยกออกไปต่างหากให้ไปเป็นของส่วนบุคคล ใครอยากรู้ธรรมะก็ไปหาเรียนเอาเองตามวัดตามวาตามอะไรต่างๆ ในระบบการเรียนของโรงเรียนของมหาวิทยลัยนั้นมันไม่มี แยกออกไปเสียอย่างนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่นานนักที่ไอ้ระบบ Secularization นี่ เพิ่งจะมีเมื่อมนุษย์มันฉลาดเพื่อโง่มากขึ้น ก่อนนี้การเรียนพุทธศาสนามีอยู่ในทุกโรงเรียน ทุกมหาวิทยาลัย แม้ที่เมืองนอก มหาวิทยาลัยที่สำคัญๆ เช่น Oxford Cambridge นี่มันก็มี พระจัดทั้งนั้นแหละ มันก็มีเรื่องศาสนา ต่อมามันก็ค่อยเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง ไปทั้งโลก จนนิยมเหมือนกันหมดว่า มันคนละเรื่อง อย่าเอามาทำให้เกิดความเนิ่นช้า กับการที่จะศึกษาวิชาที่เราต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่จะมีอำนาจในการสงครามอะไร จะเรื่องอะไรก็สุดแท้ เรื่องเทคโนโลยี เรื่องอีเลค โทรนิค เรื่องอะไรก็ตามกี่เรื่อง กี่เรื่อง ที่มุ่งค้นหากันให้ฉลาดเร็วๆ นั้นน่ะ เรื่องนั้นมันไม่ได้ดับทุกข์ มันเป็นเครื่องมือปัจจัยแห่งการสนองกิเลสบ้าง เป็นปัจจัยเครื่องมือในการที่จะประหัตประหารผู้อื่นบ้าง ก็ขอให้รู้จักกันไว้อย่างนี้ว่า โชคมันไม่ดี จะต้องใช้คำหยาบคายที่สุดว่า ผีบ้าน่ะมันเข้ามาสิงเอามนุษย์เมื่อไรเข้าก็ไม่รู้ จนถึงกับยกเรื่องทางศาสนาออกไปเสียจากระบบการศึกษา แล้วโลกมันก็ได้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้ ก็ลองพิจารณาดู มันมีแต่ความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ควบคุมความเห็นแก่ตัวไม่ได้ ก็ใช้ความฉลาดในทางอันธพาล ดังนั้นมันจึงเกิดอันธพาล เกิดโจรขโมยจี้ปล้นอะไรก็แล้วแต่ สารพัดอย่างซึ่งเก่ง สามารถเท่าการศึกษาที่มันก้าวหน้าด้วยเหมือนกัน
นี่มันกลายเป็นผลที่ตรงกันข้ามไปเสียอย่างนี้ ถ้าคนยิ่งฉลาดแล้วก็ใช้ความฉลาดนั้นให้ถูกต้อง ไอ้โลกนี้ก็เป็นโลกที่วิเศษประเสริฐที่สุดแล้ว เดี๋ยวนี้คนที่ฉลาดใช้ความฉลาดเพื่อความเห็นแก่ตัว แล้วที่น่าสงสารยิ่งกว่านั้นก็คือใช้ความฉลาดเพื่อจะสนองกิเลสของตัว ใช้ความฉลาดเพื่อจะแสวงหาปัจจัยแห่งกามารมณ์ ให้ประเสริฐ ให้วิเศษเหมือนจะแข่งขันกับเทวดา นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ ถ้ารู้ความจริงข้อนี้ในฐานะว่ามันเป็นปัญหาเลวร้ายที่กำลังมีอยู่จริง แล้วต้องการจะดับมันเสีย จะขจัดมันเสียนั่นแหละ จะรู้สึกคุณค่าของธรรมะ คือสิ่งที่ตรงกันข้าม อยากจะพูดว่าถ้าจะรู้จักคุณค่าของธรรมะหรือศาสนา ก็ลองตั้งปัญหาขึ้นมาว่า ถ้ามันไม่มีธรรมะไม่มีศาสนาในโลกนี้เลยแล้วสัตว์ในโลกนี้จะเป็นอย่างไร นี่เดี๋ยวนี้เรามันเกิดมาในโลกที่มี ที่ ที่เรียกกันว่ามี ที่ถือกันว่ามี มีธรรมะ มีศาสนา แต่แล้วทำไมยังเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ ทีนี้ก็ยังคิดต่อไปว่าถ้าว่าโลกนี้ไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะเลย มันจะเป็นอย่างไร มันก็จะเลวร้ายยิ่งกว่านี้จนเหลือที่จะคาดคะเนได้ใช่ไหม ว่ากี่เท่า กี่สิบเท่า กี่ร้อย กี่พันเท่า มันจะมีเลวร้ายกว่านี้มาก
ทีนี้ไม่ ไม่ ไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้นน่ะ คิดว่าส่วนตัวบุคคลนี่ แต่ละคนๆถ้าไม่มีธรรมะจะเป็นอย่างไร เขาก็จะเจริญอยู่ด้วยความรู้สึกรัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉา ริษยา หึงหวง อะไรอย่างที่ธรรมดาสามัญ ถ้าไม่มีธรรมะช่วยปะทะปะทังไว้บ้าง เดี๋ยวนี้มันไม่มีมาก แต่มันก็มีบ้างพอที่จะตักเตือนกัน หรือพูดจากัน ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ถ้าว่าในครอบครัวนั้น สกุลนั้นมันเป็นสกุลที่มีวัฒนธรรมดี มันมีธรรมะเจืออยู่ในวัฒนธรรมนั้น เด็กๆ ก็ค่อยยังชั่ว จะเติบโตขึ้นมาในลักษณะที่ไม่งมงาย ไม่หลงไม่เขลา ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เป็นทาสของวัตถุ ไม่เป็นทาสของอายตนะ ไอ้คำที่แปลก ค่อนข้างแปลกเหล่านี้ช่วยจำไว้เถอะมีประโยชน์มากที่สุด คำว่าเป็นทาสของอายตนะนั่นน่ะ คือเขาเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือว่าเป็นทาสของสิ่งที่เป็นคู่กันคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่เป็นทาสของอายตนะ ทีนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสคือไม่มีความรู้ไม่มีปัญญา มันก็เพื่อจะสนุกสนาน เอร็ดอร่อยนั่นเอง นี่เขาเรียกว่าเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของความไม่รู้ มันก็เลยดื่มด่ำลึกลงไปในความเป็นทาสของกิเลสนั้น นี่การศึกษาที่ดำเนินมาโดยไม่มีธรรมะหรือศาสนาเป็นเครื่องช่วยนี่ เคยเรียกมันว่าเป็นการศึกษาชนิดสุนัขหางด้วน การศึกษาหมาหางด้วน มัน มันเกือบจะดูไม่ได้ มันก็วิ่งเปะปะๆ ไม่เป็นระเบียบ ไม่ตรง ไม่อะไร แล้วมันไม่ ไม่ครบ ถ้าหางมันด้วนน่ะ มันไม่ครบ นี้ในโลกนี้มีการศึกษาชนิดที่ไม่ครบอย่างนี้ ไม่ครบสำหรับจะเป็นผู้มีความสุข แล้วมันเกิน เกินสำหรับจะไปเป็นทาสของกิเลส ไอ้เทคโนโลยีทั้งหลายนี่ เตรียมพร้อมจะไปเป็นทาสของกิเลส อีกทางหนึ่งก็เตรียมพร้อมที่จะฆ่ากัน ล้างผลาญกัน นี่เรายังไงๆ มันก็เกิดมาแล้ว มันก็เกิดมาในลักษณะอย่างนี้ จะทำอย่างไร มันก็จะต้องทำดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ ทีนี้ดี สำหรับอะไรดี ดีอย่างไร ดีวิธีไหน มันก็ยังมีที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องในความดี ความสวยงาม ความเอร็ดอร่อย มีอำนาจ วาสนา เกียรติยศชื่อเสียง แต่เป็นทาสของกิเลส อย่างนี้มันดีที่ใช้ไม่ได้ มันไม่ต้องเป็นอย่างนั้นจึงจะเป็นความดีที่ถูกต้อง ดีหรือถูกต้องนี่เป็นคำพูด อธิบายยาก เพราะว่ามันเห็นยาก แล้วยิ่งไปเรียนไอ้ทาง Logic ทางอะไรกันมามาก แล้วก็จนไม่รู้ว่าจะดีกันอย่างไร คือมันวิพากษ์วิจารณ์ได้เรื่อยไป ดังนั้นเอาตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาดีกว่า คือถ้าว่าดีหรือว่าถูกต้องก็ตาม หมายความว่าไม่ทำใครให้เดือดร้อน แต่ทุกคนได้รับประโยชน์ การกระทำที่ทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์และไม่ทำใครให้เดือดร้อน การกระทำนั้นแหละเรียกว่าดีๆ ไม่ได้เพ่งเล็งถึงว่าจะได้เงินมาก จะได้ชื่อเสียงมาก จะได้อำนาจมาก จะได้อะไร ชนิดที่ไปใช้เพื่อเป็นทาสของกิเลส นี่ท่านจะพอมองเห็นได้แล้วว่าไอ้เรื่องธรรมะ กับเรื่องโลก เรื่องโลกียะกับเรื่องโลกุตระมันแยกทางกันเดินอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องโลกียะ มันก็เป็นเรื่องสำหรับจะโง่กันอยู่ในโลก จมอยู่ในโลก ฝังตัวอยู่ในโลก เป็นทาสของโลก หลงใหลในความเอร็ดอร่อยต่างๆที่จะได้รับจากโลกนี้มันพวกหนึ่ง มันคนพวกหนึ่ง ถ้าเป็นธรรมะ เป็นโลกุตระ มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น สำหรับจะรู้แจ้งประจักษ์ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง สามารถจะดำรงชีวิตทางกายทางใจ ในลักษณะที่ไม่มีความทุกข์แก่ใคร มีแต่เป็นประโยชน์แก่ทุกๆ ฝ่าย หรือทุกๆคน นี่คำว่าดีหรือไม่ดี คำว่าผิดหรือคำว่าถูกน่ะ มันมีความหมายอย่างนี้ในทางธรรมะ แต่ถ้าว่าเอาทางปรัชญา ทาง ทางเขาพูดกันมากจนในที่สุดก็ยังยุติไม่ได้ เพราะมันมีไอ้ปัญหาที่จะตั้งขึ้นมาได้เสมอไป ในวัดนี่ เขาไม่เอาดีหรือชั่ว หรือผิด หรือถูกกันในแบบนั้นน่ะ เอาตามแบบในวัดเลย ในวัดในศาสนานี่ ถ้าดีหรือถูก ไม่ทำอันตรายใคร ทุกคนได้รับประโยชน์ ถ้าชั่วหรือผิด ทำอันตรายตัวผู้นั้นเองด้วย ทำอันตรายแก่ตัว แก่คนเหล่าอื่นด้วย ไม่มีใครได้รับประโยชน์ นี่ขอให้พิจารณาดูว่าจะเอาหรือไม่เอา ถ้าไม่ต้องการอย่างนี้แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาศึกษาธรรมะ ถ้าต้องการว่าจะมีชีวิตชนิดที่ว่าเป็นชีวิต คือไม่ร้อน อยู่เป็นสุข สบาย เต็มไปด้วยการทำประโยชน์ มีความสุขอยู่ในการทำประโยชน์ ถ้าต้องการอย่างนี้ล่ะก็ดี ศึกษาธรรมะได้ เพราะธรรมะช่วยให้เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าต้องการจะมีอำนาจวาสนา มีเงิน มีทรัพย์สมบัติ เพื่อสนองกิเลส กามารมณ์โดยเฉพาะล่ะก็ ไม่ต้องน่ะ มันก็ไม่มีทางน่ะที่จะศึกษาธรรมะ เพราะธรรมะมันเดินคนละทางกับไอ้ความรู้สึกอย่างนั้น ดังนั้นมันก็พอที่จะกล่าวได้ว่า ธรรมะก็คือหนทางเดินของชีวิตที่เดินไปอย่างถูกต้อง
ถ้าเราจะไม่พูดถึงศาสนา ศาสนาไหนกันเสียเลย มันก็พูดได้เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องของชีวิต ที่จะมีความทุกข์หรือไม่มีความทุกข์ แล้วมนุษย์มันก็เลือกเอาข้างที่ไม่ ไม่เป็นความทุกข์เองแหละ แต่ถ้ามันหลงอยู่ หลงอยู่ มันก็ค่อยๆ ฉลาดขึ้น ค่อยๆ ฉลาดขึ้น ตามอายุที่มันมากขึ้น เช่นคนแก่จะมาหลงอะไรอยู่อย่างลูกเด็กอมมือมันก็ไม่ได้ คนแก่จะมาหลงอะไรอยู่อย่างเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวนี้ ก็ไม่ได้ มันก็พ้นไปๆ ทีนี้เรียกว่ามันฉลาดขึ้นๆ แต่จะไปฉลาดกันตอนเข้าโลงนั้นมันไม่ไหว ตอนใกล้จะเข้าโรงแล้วก็ฉลาดไปทำไม มันก็ไม่มีเวลาที่จะได้รับประโยชน์ของความฉลาด มันควรจะฉลาดกันเดี๋ยวนี้ ศึกษาธรรมะเพื่อให้รู้ความจริงของธรรมชาติ แล้วก็ไม่โง่ ไม่หลง ไม่เข้าใจผิดต่อสิ่งทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งร้ายกาจที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ ซึ่งทุกคนกำลังหลงใหลกันทั้งโลก ที่พัฒนาอย่างนั้นอย่างนี้ก็เพื่อสิ่งนี้ ที่ทำสงครามเพื่อแย่งชิงเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาก็เพื่อสิ่งนี้ มันอยากจะครองโลก มันก็เพื่อประโยชน์แก่สิ่งนี้ เราก็ลองคิดดูให้ดี ชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี่ เราจะใช้เพื่อประโยชน์อะไร จึงจะสมกัน จึงจะคุ้มกัน ถ้ามองไม่เห็นมันก็ ก็ ก็ ก็ยังเดินไม่ถูก ถ้ามองเห็นมันก็จะเริ่มเดินถูก คือทำ (นาทีที่ 40:07)ชนิดที่ไม่เกิดกิเลสอย่างที่กล่าวมาแล้ว หรือว่าแม้เพียงแต่รู้จักเจ็บ รู้จัก เข็ด รู้จักหลาบ รู้จักจำ ไม่ทำผิดซ้ำๆ ไม่ต้องร้องไห้เป็นครั้งที่สองในกรณีเดียวกันเหล่านี้เป็นต้น มันก็เรียกว่าก้าวหน้ามาในทางธรรม เดี๋ยวนี้มันยังหัวเราะซ้ำๆซากๆ ร้องไห้ซ้ำๆ ซากๆ ไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เรียกว่าน่าสงสาร วัดกันได้ง่ายๆ ถ้าว่ามีธรรมะมากขึ้น มันจะหัวเราะหรือร้องไห้น่ะน้อยลง หัวเราะชนิดที่จะเอานะ จะเอา อยากได้ก็จะเอา ยินดี ปรีดานั่นน่ะ มันจะน้อยลง ไอ้ที่มันจะร้องไห้เพราะว่าไม่ได้อย่างใจ วิบัติ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ มันก็จะน้อยลง หัวเราะน้อยลง ร้องไห้น้อยลงก็เพราะมันเห็นธรรมะ เห็นธรรมะ โดยเฉพาะเห็นความจริงตามธรรมชาติว่ามันอย่างนั้นเอง มันอย่างนั้นเอง เมื่อไม่มีความรู้ที่ถูกต้องมันก็หลงได้มากขนาดนั้นแหละ หลงของสวยงามทางตา หลงของไพเราะทางหู หลงของหอมหวลทางจมูก ของอร่อยทางลิ้น ของนิ่มนวลทางผิวหนัง กระทั่งความประเล้าประโลมใจ ที่มันกำลังจะเกิดขึ้นจากสิ่งภายนอกเหล่านั้น นี่เรียกว่ามันหลง หรือจะยอมรับว่าเราต้องหลงกันสักพักหนึ่งก่อน แล้วถึงค่อยหายหลง มันก็ยังดีกว่าที่จะหลงกันจนเข้าโลง แต่ขอให้รู้เถิดว่าตลอดเวลาที่หลงนั้นไม่มีความสุขหรอก แม้ว่าอร่อย อร่อยสุดขีดทางประสาท แต่มันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ขอให้รู้ให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงว่า ไอ้สิ่ง ๒สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คือความสุขอันแท้จริงกับความเพลิดเพลินอันหลอกลวง สวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนาน เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง และมีความร้อนซ่อนอยู่ในนั้น แล้วก็จะให้กิเลสมากขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้าไปในที่สุด จะหัวเราะมากเกินไป จะร้องไห้มากเกินไป จะนอนไม่หลับมากเกินไป เพราะไปหลงใหลในสิ่งเหล่านั้น ในทางตรงกันข้ามมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันก็เฉยได้ว่า เอ้อ, มันก็อย่างนั้นเอง เช่นนั้นเอง ตามธรรมชาติ ที่สมมติกันว่าสวยๆ นี่ มันก็เช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ไม่สวยมันก็เช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ฉะนั้นจึงไม่ยินดียินร้ายทั้งสองฝ่าย ที่ไพเราะ ไม่ไพเราะ ที่หอม ที่เหม็น ที่อร่อย ที่ไม่อร่อย มันก็เหมือนกันอีกทุกคู่ จนกระทั่งมาถึงจุดสำคัญที่ปลายทาง ที่ระบบประสาทที่มีอยู่ในเนื้อในตัวสำหรับมีความรู้สึกอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็รู้เถอะว่า นั้นมันเป็นความรู้สึกเช่นนั้นตามกฏของธรรมชาติ เราถูกสอนมาให้โง่ตั้งแต่เล็ก ก็รู้สึกยินดีพอใจ ความเอร็ดอร่อยแก่ระบบประสาทนั้น ยิ่งถ้าความเอร็ดอร่อยนั้น เนื่องด้วยกามารมณ์หรือเพศตรงกันข้ามแล้ว มันก็ยิ่งหลงรัก หลงพอใจ ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าที่จะรู้สึกว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่มีความรู้สึกเกิดขึ้นมาได้ว่า สิ่งนี้มันเป็นเช่นนี้เอง คือระบบประสาทของคนเรานี่ ถ้ามีอะไรไปกระตุ้นเข้าอย่างนั้นมันจะรู้สึกอย่างนั้น กระตุ้นอย่างโน้นจะรู้สึกอย่างโน้น กระตุ้นอย่างไหนจะรู้สึกอย่างนั้น โดยอาศัยความยึดมั่นถือมั่นที่มีมาแต่แรกเป็นเดิมพันอยู่ด้วย ยึดมั่นในเรื่อง สวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนาน รบเร้าระบบประสาทเหล่านี้
นี่เรียกว่าความไม่หลุดพ้น ความติดคุกติดตะรางของกิเลส ของอวิชชา ติดคุกติดตะรางของความโง่ ความหลงแห่งชีวิต ทำให้ชีวิตนั้นกลายเป็นชีวิตที่อยู่ในคุก ในตะรางไปด้วย ถ้ารู้ธรรมะเพียงพอที่จะไม่ ไม่เป็นทาส ไม่อยู่ใต้อำนาจของสิ่งเหล่านี้ นี่แหละ ชีวิตที่มีอิสระ ชีวิตที่หลุดพ้น ภาษาทางศาสนาเขาเรียกจมติดอยู่ในวัฏฏะ หรือว่าหลุดพ้นออกมาได้เสียจากวัฏฏะ วัฏฏะสงสารน่ะคือวงกลมที่หมุนอยู่ในความยินดียินร้าย ยิน บุญ ดีชั่วบุญบาป หมุนอยู่กันเป็นวงกลม ออกมาเสียมิได้ ถ้าออกมาเสียได้ก็เรียกว่าหลุดพ้น คนธรรมดาก็หมุนติดอยู่ในวงกลม ถ้าออกมาเสียได้โดยหลุดพ้นจริงๆ แล้วก็เป็นพระอรหันต์ ยังไม่ทันเป็นพระอรหันต์ก็เป็นพระอริยะเจ้ารองๆลงมาได้ แต่ว่าก็มีความติดอยู่ในวงกลมน้อยลงๆ น้อยลง เพราะมีสติปัญญาเพิ่มขึ้นๆ ก็รู้จักว่ามนุษย์นั้นน่ะ มันคืออะไร มนุษย์มันเดินไปอย่างไร แล้วมนุษย์นั้นมันไปจบสิ้นสุดการเดินที่ไหน ไม่ต้องพูดอย่างศาสนา ไม่ต้องพูดตามหลักศาสนา ก็เอาตามวิทยาศาสตร์ธรรมดาๆ ที่มันมีอยู่อย่างที่ว่ามานี้ก็ได้เหมือนกัน ทารกเกิดมาโง่ โง่ โง่ๆจะรู้จักเจ็บปวดเข็ดหลาบเรื่องฉลาดๆ ฉลาด แล้วก็จบลงในข้อที่ว่ามันเช่นนั้นเอง มันถึงไม่หลงในสิ่งที่เคยหลง มาตั้งแต่เล็กๆ ขออภัยนะที่จะพูดกับนักศึกษาที่อายุยังน้อยๆ ว่าคุณไม่อาจจะมีความรู้สึก รู้จักสิ่งเหล่านี้เหมือนคนแก่อายุ ๘๐- ๙๐- ๑๐๐ ปี แม้ว่าจะเป็นนักเรียนมาจากมหาวิทยาลัยใน จากเมืองนอก จากอะไรก็ตาม ก็ไม่เคยเรียนสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางที่จะรู้เรื่องสิ่งนี้เกินกว่าคนแก่ๆ อายุ ๑๐๐ ปี ไม่เรียน ไม่เคยเรียนหนังสือเลย ไม่รู้จักหนังสือด้วยซ้ำไป อ่านหนังสือก็ไม่ออกด้วยซ้ำไป คนที่อ่านหนังสือไม่ออกเป็นพระอรหันต์ก็มีถมไป เพราะมันรู้จักตัวธรรมชาติในภายในในจิตใจโดยถูกต้องแล้วมันไม่ติด ไม่หลง มีอยู่ มีจิตใจหลุดพ้นออกไป มีลมหายใจเป็นอิสระ ไม่ถูกผูกพันอยู่ด้วยสิ่งที่ชวนให้หลง หัวเราะน้อยเข้า ร้องไห้น้อยเข้า กระทั่งไม่ ไม่ ไม่เลย กระทั่งไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้เลย มันมีอยู่อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นเรื่องของศาสนา มันก็มีอยู่อย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับศาสนา มันก็มีอยู่อย่างนี้ ขอให้ไปคิดดู
นี่เรียกว่าพูดกันตามตรง ไม่พูดอ้อมค้อมหรอก เพราะไม่ชอบพูดอ้อมค้อม และเพื่อว่ามันประหยัดเวลาที่ท่านทั้งหลายมีเวลาน้อยที่จะพักอยู่ที่นี่ ถ้ามาพูดอ้อมค้อม เรื่องแวดล้อมอะไรกันอยู่ มันก็จะไม่รู้อะไร จะไม่รู้จักต้นปลายอะไรของไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิต เดี๋ยวนี้จึงมาพูดกันให้มันชัดเจนลงไป ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต จนกระทั่งรู้ได้ว่าชีวิตนั้นคืออะไร คนเรานี่เกิดมาทำไม ควรจะได้อะไรในฐานะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของการเกิดมา ลองเอาปัญหาเหล่านี้ไปพิจารณาสิ จนกระทั่งมันกลายเป็นปัญหาของตนเอง เมื่อนั้นแหละ หวัง หวังได้ว่าจะก้าวหน้าในทางธรรมะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ ก็ยัง ยัง ยังหลับตาอยู่ในโลกต่อไป ชีวิตนี้คืออะไรเท่านั้นแหละ ชีวิตนี้คืออะไร ปัญหาข้อแรกข้อเดียวเท่านั้นแหละ คุณที่เรียนมาในมหาวิทยาลัยจบแล้ว สู้ตาแก่ไม่รู้หนังสือคนหนึ่งอายุ ๙๐ ปี ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ว่าชีวิตนี้คืออะไร เพราะว่าในมหาวิทยาลัยไหน มันก็ไม่ได้สอนเรื่องชีวิตนี้ในแง่ของนามธรรม มันสอนชีวิตในแง่ของ Biology ของอะไรนั้น ซึ่งมันไม่เกี่ยวกันเลย แต่มันก็เรียกว่าชีวิตด้วยเหมือนกัน ชีวิตในแง่ Biology มันก็คือมันยังสดอยู่ มันยังไม่ตายเท่านั้นน่ะ มันมีเท่านั้น มันยังสดอยู่ มันยังไม่ตาย ฉะนั้นสัตว์ก็มีชีวิต คนก็มีชีวิต ต้นไม้ก็มีชีวิต แล้วทีนี้มีชีวิตมีอะไรล่ะ สัญชาติญาณ เอ้า, มันก็ทำไป มันก็แค่นั้น มันก็เป็นชีวิตแค่นั้น ที่เรียกว่าไม่ต่างกันระหว่างสัตว์กับคน คือรู้จักกินอาหารรู้จักนอน แสวงหาความสุขจากการนอน รู้จักขี้ขลาดหนีภัยอันตราย แล้วก็รู้จักสืบพันธุ์ มันก็มีเท่านั้น คนก็ทำเป็น สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น แล้วคนมัวเมา หลงใหลในสิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วจะไปเอาอะไรกับมัน มันควรจะรู้สำหรับที่จะไม่เกิดปัญหา สำหรับที่จะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา มันก็ไม่รู้จะโทษใครเหมือนกันนะที่ว่าไม่ได้สอนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ให้ค่อยๆ รู้ สิ่งเหล่านี้ในทางที่ถูกต้อง อย่าได้เผลอไปในทางหลงเป็นทาสของความเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนาน คนเลี้ยงลูกนั่นแหละ ตัวการน่ะที่ทำให้ลูกมันหลงผิดในความสวยงาม สนุกสนาน ความเอร็ดอร่อย แพงก็แพง ก็ซื้อให้อย่างนี้ แล้วก็ทำให้เกิดโง่ในทางไสยศาสตร์ กลัวผี กลัวเทวดา กลัวโชคลาง กลัวอะไรต่างๆ กลัวแม้ที่สุดแต่ไส้เดือน กิ้งกือ ตุ๊กแกมันก็กลัวนะ มันก็โง่สักเท่าไรก็ลองคิดดู ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้มันเสียเวลากันมากนัก มันก็ควรจะมีวัฒนธรรมที่อบรมสอนลูกเด็กๆ ทารกให้มันถูกต้องๆ มันจะไม่เสียเวลามาก มันจะค่อยหมุนเข้ามาหาทางธรรมะได้โดยเร็ว มันก็รู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตอย่างถูกต้อง เร็วขึ้นๆ
เดี๋ยวนี้รู้จักชีวิตแต่ในแง่ของวัตถุ ว่ามีอาหารกินแล้วก็อยู่ได้ แล้วก็ไม่ตาย แต่ทำไมยังมีการพูดว่าเหมือนกับไม่มีชีวิต ไอ้คนที่มันไม่มีความถูกต้องอยู่ในชีวิตน่ะ มันก็เหมือนกับคนไม่มีชีวิต ฉะนั้นชีวิตในความหมายหนึ่ง มันก็คือไอ้ระบบความรู้ ความ การกระทำ การเป็นอยู่ในโลกนี้ มากกว่าที่จะเป็นเพียงว่ายังไม่ ไม่ตาย ยังไม่ตายแต่ไม่รู้อะไรเลย อยู่สำหรับเป็นทุกข์ อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะน่าละอายสัตว์เดรัจฉานเสียอีกว่ามันมีความทุกข์น้อยกว่าคน สัตว์เดรัจฉานนี่มันไม่ปวดหัวมาก ไม่เป็นโรคประสาทมาก ไม่เป็นโรคจิตมากเหมือนคน ตามที่สถิติแสดงอยู่ทุกวันๆ พอคนในโลกแห่งความเจริญ เวลานี้ปัจจุบันนี้มันยิ่งเป็นโรคนอนไม่หลับมากขึ้น โรคประสาทมากขึ้น โรคจิตมากขึ้น ในทางหนึ่งก็เบียดเบียน เบียดเบียน เบียดเบียนกันมากขึ้น เอาเปรียบกัน ขูดรีดกัน กระทั่งฆ่ากันมากขึ้น เดี๋ยวนี้ มัน นิดหนึ่งมันก็ฆ่า ชนิดที่สมัยก่อนไม่กี่ปีนี่ เขาไม่ฆ่ากันนะในเรื่องอย่างนั้น ถ้าภรรยาเป็นชู้ สามีเป็นชู้ก็ยกให้เลย ไม่ต้องมาฆ่ากันให้มันหนักขึ้นไปอีก นี่เรียกว่าดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง หรือถูกต้อง นี่ถ้าว่าเราจะไม่เอาหลักศาสนา เราก็คิดเอาเอง อย่าให้มันเป็นอย่างนั้นก็ว่าถูกต้อง อย่าให้ความทุกข์เกิดขึ้นมาได้ อย่าให้โง่ขนาดนั้นแล้วมันก็ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้มันมีโชคดีที่ว่ามันมีหลักศาสนาวางให้แล้ว ไม่ต้องคิดก็ได้ หรือ ถ้าคิดก็คิดวิพากษ์วิจารณ์ว่าหลักนั้นจะถูกต้องจริงไหม ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นหนทางดับทุกข์ไม่มีเหลือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เข้าใจว่าคงจะจำกันได้ เพราะว่านั่นน่ะคือตัวศาสนา ตัวแท้ของศาสนา เนื้อตัวของศาสนาน่ะอยู่ที่อริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูกต้อง มีความปรารถนาถูกต้อง มีการพูดจาถูกต้อง มีการทำการงานถูกต้อง มีการดำรงชีวิตถูกต้อง มีความพากเพียรถูกต้อง มีสติถูกต้อง มีสมาธิถูกต้อง ที่เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ นั่นน่ะ ดูเหมือนเคยให้เรียนมาในโรงเรียนนานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้จะยังคงเรียนอยู่หรือไม่ ไม่มีแล้วไม่ทราบ แต่เป็น ๘ ถูกต้องแล้วก็ไม่มีทางผิด ถ้ามีความรู้ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความเข้าใจถูกต้องเป็นข้อแรก เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐินี่ นี่ถ้าอันนี้มันถูกต้อง มันก็ทำต่อไปอย่างถูกต้อง คือมันปรารถนาถูกต้องว่าควรทำอย่างไร แล้วมันก็ดำเนินไปตามความปรารถนานั้น เช่นการพูดจามันก็ถูกต้อง การทำการงานก็ถูกต้อง การดำรงชีวิตอยู่ก็ถูกต้อง คำว่าถูกต้องนี่ก็เหมือนที่พูดมาแล้วคือมันไม่มาก ไม่น้อย ไม่ขาด ไม่เกิน แล้วก็ไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใด มีแต่ทำประโยชน์แก่ทุกฝ่ายในความถูกต้อง เรียกเต็มที่ก็เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ คือ ๘ ข้อ รวมกันเป็น ๑ มรรค ถ้าจะย่อให้ง่ายลงไปอีก ก็เหลือ ๓ เหลือศีล สมาธิ ปัญญา ๘ ข้อนั้นจะย่นให้เหลือ ๓ เพียง ๓ ก็ได้ คือว่า ๒ องค์แรกเป็นปัญญา ๓ องค์ถัดไปเป็นศีล ๓ องค์ถัดไปเป็นสมาธิ เป็นศีล สมาธิ ปัญญา แล้ว เอาองค์ เอาองค์ที่เน้นปัญญามาไว้ข้างต้น จะได้นำหน้า สัมมาทิฏฐินำหน้า แล้วทุกสิ่งก็เป็นไปตามอย่างถูกต้อง
ไปศึกษาเสียเถิด ถ้ายังไม่เคยรู้เรื่องนี้ ถ้าไม่เคยรู้เรื่องนี้ ก็หมายความว่าไม่รู้พุทธศานาเลย เพราะตัวพุทธศาสนาแท้ๆ มันคือเรื่องนี้ คือเรื่องมรรคมีองค์ ๘ พวกฝรั่งเสียอีกมันยังเข้าใจถูกต้อง คือมันเรียกว่า Middle way The middle way นั่นน่ะเป็น Body of Buddhism Middle way เดินสายกลางด้วยองค์ ๘ ประการ ไม่มาก ไม่น้อย ไม่หย่อน ไม่ตึง ไม่เปียก ไม่แห้ง ไม่อะไรทุกอย่างเลยที่เป็นสุดเหวี่ยงน่ะ มันอยู่ตรงกลาง ก็พลอยทำให้อะไรก็เป็นกลาง ไม่หลงรัก และไม่หลงเกลียด ก็คือยู่ตรงกลาง ไม่มองโลกในแง่ดี ไม่มองโลกในแง่ร้าย มันก็อยู่ตรงกลาง ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่มาทำให้หัวเราะ ไม่มีอะไรมาทำให้ร้องไห้ ซึ่งมันไม่อยู่ตรงกลาง มันไม่สมดุลย์ ถ้ามันอยู่ ถ้ามันรู้อยู่ อะไรเป็นอะไรตามเป็นจริงแล้ว มันสมดุลย์ มันก็ไม่เอียงไปทางหัวเราะ รักก็พอใจ มันไม่เอียงไปทางร้องไห้ เพราะว่าโกรธ หรือเสียใจ ดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นอิสระที่สุด เป็นประชาธิปไตยทางจิตทางวิญญาณด้วย เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง คือทำให้เป็นอิสระแก่กิเลส แล้วก็อยู่อย่างถูกต้อง สมกับคำว่าเป็นไท เป็นไท ไม่เป็น ไม่เป็นทาสของผู้ใด ในที่นี้มันด้านจิต ด้านวิญญาณก็ไม่เป็นทาสของกิเลส ถ้ายังเป็นทาสของกิเลส ก็ยังไม่เป็นผู้อิสระ รู้จักกิเลสไว้เสียดีๆ แต่มันก็ยาก มันก็ยาก ยากอย่างยิ่งตรงที่ว่าคนมันเอากิเลสนั่นแหละเป็นตัวตน เมื่อมันเอากิเลสเป็นตัวกูเสียแล้ว แล้วมันก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรมาทำให้สูญเสียอิสระภาพ ก็เป็นไปตามอำนาจกิเลสหมด มันก็หลงใหลจนเข้าโลง สิ้นไปชาติหนึ่ง ไม่มีอะไรสักนิดหนึ่ง เรียกว่าเสียชาติเกิด
เอาล่ะเป็นอันว่าเราได้พูดกันถึงเรื่องว่าธรรมะทำไม ธรรมะทำไม ชีวิตคืออะไร ชีวิตต้องการธรรมะในลักษณะไหน และเมื่อชีวิตมีธรรมะแล้วจะได้รับประโยชน์อะไร คำตอบมีอยู่ในคำบรรยายที่พูดมาแล้ว ขอให้ใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่มีใครช่วยได้ ถ้าบุคคลนั้นๆ ไม่สนใจที่จะเข้าใจและเอาไปใช้เป็นประโยชน์ แล้วไม่มีใครช่วยได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าช่วยได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นฟังคำของพระองค์ ไปใคร่ครวญดู แล้วปฏิบัติตาม มันจึงจะได้รับประโยชน์ว่าพระพุทธเจ้าช่วยได้ เดี๋ยวนี้แม้แต่เรื่องที่ตรัสไว้อย่างไรไม่ได้สนใจ ไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้ปฏิบัติตาม นี้เรียกว่าพระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ จะมานั่งอ้อนวอน บวงสรวงกันอีกสักกี่ครั้ง มันก็เป็นเรื่องอื่นไป ไม่ใช่เป็นพุทธศาสนา เป็นไสยศาสตร์ เป็นอย่างอื่นไป ขอให้ระมัดระวังไว้ด้วย ว่าไสยศาสตร์น่ะกับพุทธศาสน์ พุทธศาสน์น่ะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ไสยะ แปลว่าหลับ ไสยศาสตร์ก็เป็นศาตร์ของคนหลับ ศาสตร์ที่ทำให้หลับ พุทธะ นั้นแปลว่าตื่น พุทธศาสน์ ก็คือศาสตร์ของคนตื่น ทำให้ตื่น มีความตื่นน่ะ พุทธศาสน์กับไสยศาสตร์ ถ้าเอาพระเครื่องมาแขวนคอกันบ้าง แล้วก็ขอให้เป็นพุทธศาสน์ อย่าให้เป็นไสยศาสตร์เลย คือให้มันเป็นเรื่องบอกให้รู้ว่า ทุกสิ่งมีเหตุมีปัจจัยเป็นไปอย่างนั้นเอง ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ พระเครื่องก็จะคุ้มครองไว้ได้ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ามาสำหรับแขวนเพื่อบวงสรวงอ้อนวอน มันก็เป็นเรื่องหลอกตัวเอง ให้มันทำชั่วทั้งที่พระเต็มคอ มันก็ถูกตำรวจยิงตายทั้งที่พระเต็มคอ นั่นน่ะมัน มันเป็นไปไม่ได้นั่นน่ะ ศาสตร์ของคนหลับ เราเป็นพุทธศาสตร์กันเถิด เป็นพุทธบริษัทกันเถิด รู้จักชีวิตอย่างที่พุทธบริษัทควรจะรู้ แล้วก็ดำเนินชีวิตนั้นไปอย่างที่พุทธบริษัทควรจะดำเนิน แล้วเราก็จะได้รับผลนั้นเต็มตามที่พุทธบริษัทควรจะได้รับเป็นแน่นอน หวังว่าผู้ที่สนใจจะเป็นพุทธบริษัทให้ถูกต้องนี่ จะได้คิดนึกในเรื่องเหล่านี้ ให้ถูกต้องตามความจริงของธรรมชาติ เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องกฏของธรรมชาติ เพราะมันเป็นเรื่องหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ มันก็เป็นเรื่องผล เกิดขึ้นตามหน้าที่นั้นๆ
สิ่งสุดท้ายอยากจะพูดอีกนิดก็คือเรื่องการบังคับตัวเอง ถ้าไม่มีการบังคับตัวเอง คือมีธรรมะมาบังคับตัวเองน่ะ กิเลสมันก็จะบังคับตัวเอง กิเลสมันก็จะเป็นผู้ยึดครอง เอากิเลสเป็นตัว เป็นตัวของตัว ทำไปตามอำนาจของกิเลส อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีการบังคับตัว คือไม่มีการบังคับกิเลส ถ้าเห็นว่ากิเลสมันเป็นศัตรู ก็มีธรรมะมาบังคับกิเลส อย่างนี้ก็เรียกว่าบังคับตัวเอง ที่พูดนี้ก็หมายความว่าทุกอย่างต้องทำเอง ต้องทำเอง ต้องช่วยตัวเอง ต้องโดยตัวเอง เพื่อตัวเอง ของตัวเอง ไม่มีใครที่จะมาทำแทนให้ได้ ถ้าในเรื่องจิตใจ ไม่ใช่เรื่องทำไร่ ทำนา คนอื่นมาช่วยทำแทนให้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องจิตใจที่จะชนะกิเลส ดับทุกข์แล้ว มันเป็นเรื่องที่ต้องทำเอง ขอให้รู้จักตนเองว่าชีวิตเป็นอย่างนี้ ขอให้มีความเชื่อในตนเองว่ามันสร้างมาสำหรับจะดับทุกข์ได้ แล้วก็พยายามที่จะบังคับตัวเองให้ทำอย่างนั้น จนกระทั่งมองเห็นผล ก็พอใจในตัวเอง พอใจในตัวเอง ก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เรื่องมันก็จบ สวรรค์อยู่ที่การที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้ามองดูตัวเองแล้วเกลียดชังน้ำหน้าตัวเอง เป็นนรก เป็นนรกที่นั่นและเดี๋ยวนั้น ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน นรกอยู่ที่การเกลียดชังตัวเอง สวรรค์อยู่ที่การพอใจตัวเอง จึงควรจะกระทำทุกๆ อย่างให้เกิดความพอใจตัวเอง เคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ทั้งคืนทั้งวัน จนกว่าจะสูงไปกว่านั้น ก็คือว่าประพฤติปฏิบัติให้มันมันว่างจากตัวตน ไม่มีปัญหาเหลืออยู่อีกต่อไป หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง เหลือแต่ชีวิตฝ่ายอสังขตะ ฝ่ายโลกุตระ ซึ่งไม่รู้จักดับไม่รู้จักเกิด เป็นอมตธรรม
ก็ได้พูดมาพอสมควรแก่เวลาแล้ว แล้วก็เป็นเรื่องพูดอย่างประหยัดเวลา ไม่อ้อมค้อม และไม่เกรงใจ เห็นว่าอะไรควรจะพูดก็พูด แล้วก็พูดกันในที่ศักดิ์สิทธิ์ คือพูดกันกลางดิน เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพยานอันศักดิ์สิทธิ์ ดินนี่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กลางดิน เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนทั่วไปก็กลางดิน พระพุทธเจ้าอยู่กุฏิพื้นดิน
(นาทีที่ 01:06:57 – 01:07:12) เสียงเงียบไป
พระพุทธเจ้าอยู่กุฏิพื้นดิน ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็นิพพานที่กลางดิน ดูสิมันมีอะไรเหลือ ฉะนั้นดินมีความศักดิ์สิทธิ์ถึงที่สุดอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เรามานั่งพูดกันกลางดิน มีดินเป็นพยานแห่งการพูดจาว่า เราได้พูดกันอย่างนี้จริง ท่านผู้ใดจะนำไปใช้เป็นประโยชน์อย่างไร ก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น อย่างนั้น แล้วเชื่อว่าจะมีแต่ความเจริญงอกงามก้าวหน้า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้นับถือพุทธศาสนา ขอให้สำเร็จประโยชน์ในการที่เป็นพุทธบริษัท มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
[T1]ไม่รู้ตัวสะกดที่ถูกต้องค่ะ
[T2]ไม่แน่ใจว่า “ธรรม” หรือ “ทำ”