แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลายที่เป็นนักศึกษาและสนใจในธรรมะ เดี๋ยวนี้เรากำลังนั่งพูดกันกลางดิน ซึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษ คือ พระพุทธเจ้านี่ท่านประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านก็สอนกลางดินอยู่กลางดิน ที่อยู่กลางดินแล้วก็นิพพานกลางดิน เราจึงถือว่าแผ่นดินนี้เป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ที่อาศัยที่ทุกอย่างเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า นี่ขอให้มีความสนใจในข้อนี้ด้วย การอยู่บนตึกบนอาคารราคาแพงคือเรียนในมหาวิทยาลัยตึกราคาแพงไม่เกี่ยวกับพุทธเจ้า พระศาสดาทุกองค์ของทุกศาสนาก็ว่าได้ ล้วนแต่อยู่กลางดินนับตั้งแต่เกิดกลางดินและตายกลางดินอย่างที่ว่ามาแล้ว ฉะนั้นขอให้มีจิตใจชนิดที่เข้ารูปกันได้กับแผ่นดินแล้วจิตใจของท่านทั้งหลายก็จะเหมาะที่จะฟังธรรมะนั่นแหละเข้าใจธรรมะ ถ้าจิตใจมันบินระเหเร่ร่อนไปสวรรค์วิมานไปอยู่แล้วก็มันยากมากที่จะเข้าใจธรรมะ ฉะนั้นขอให้ถือเป็นสิ่งพิเศษที่ได้ประสบและก็จำไว้จดจำไว้ในใจตลอดไปถึงการที่ได้มานั่งกลางดินที่นี่และวันนี้ เอามือลูบดินฐานะเป็นสิ่งสูงสุดอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าพระพุทธองค์นั้นทรงประสูติกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดินและให้มองเห็นอีกแง่หนึ่งว่าพื้นดินนี่เป็นที่ตั้งของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย จะเป็นสัตว์เป็นคนเป็นต้นไม้เป็นวัตถุสิ่งของก็ล้วนแต่ตั้งอยู่บนพื้นดิน แผ่นดินเป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง มีความหมายเหมือนกับธรรมะซึ่งเป็นที่รองรับแห่งสิ่งทั้งปวง แผ่นดินมีความหมายเหมือนกับธรรมะซึ่งควรจะกำหนดไว้ด้วยเป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง ธรรมะหมายถึงสิ่งซึ่งเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง เกิดมาจากธรรมะหรือธรรมชาตินี่ เป็นไปตามธรรมชาติ ในที่สุดมันก็แตกดับไปตามธรรมชาติ จึงถือว่าแผ่นดินนี่เป็นเหมือนกับธรรมะ ธรรมะเหมือนกับแผ่นดินในฐานะที่เป็นที่ตั้งที่รองรับที่เกิดที่ดับแห่งสิ่งทั้งปวง
เพราะฉะนั้นทีนี้เราก็จะพูดกันถึงหัวข้อที่ท่านทั้งหลายขอร้อง คือว่าข้อที่ว่าการงานคืออะไร แล้วจะทำงานให้สนุกและเป็นสุขในการทำงานได้อย่างไร หัวข้อนี้ดีมากหรือดีที่สุดที่จะต้องพูดกันในฐานะพื้นฐานทั่วไปสำหรับทุกคน และก็ได้พูดเรื่องนี้อยู่และก็อธิบายให้ชัดเจนให้ละเอียดให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปว่าจะมีความสุขในการงานได้อย่างไร สิ่งแรกที่สุดที่จะต้องทราบก็ ก็คือว่าการงานนั้นนะคืออะไรกันเสียก่อน การงานมีความหมายกว้างที่ทำกันในทางโลกๆ ทางชาวบ้านก็ทำการงานโดยเฉพาะก็คืออาชีพ นี่ก็เรียกว่าการงาน ภิกษุบรรพชิตก็ทำ “กัมมัฏฐาน” ซึ่งแปลว่าที่ตั้งแห่งการงาน ก็ทำการงาน นั่นแปลว่าทั้งฆราวาสและทั้งบรรพชิตก็ล้วนแต่ทำการงาน นี่ไปดูที่ตรงนั้นก่อนถ้าไม่เข้าใจก็ดูต่อไปให้ว่ามัน มันหมายถึงอะไร มันก็หมายถึงสิ่งที่ต้องทำ คิดดูเถอะ การงานนะมันแปลว่าสิ่งที่ต้องทำหรือควรกระทำหรือระบุได้เลยว่าต้องทำ ถ้าไม่ทำการงานมันก็คือตาย ไม่ทำการงานอยู่เฉย ๆ เท่านั้นแหละมันก็ไม่ต้องกินอะไรแล้วมันก็ต้องตาย นี่เราต้องทำการงานการเคลื่อนไหวการบริหารกาย การทำการงานหาอาหารมาเลี้ยงชีวิต ก็เรียกว่าการงาน ทีนี้ก็เห็นได้ว่าการงานนั้นคือสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องทำนั้นเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ จำคำว่าหน้าที่ หน้าที่ไว้ให้ดี ถ้าเข้าใจคำว่าหน้าที่แล้วจะเข้าใจสูงขึ้นไปถึงคำว่าธรรมะ ธรรมะ คุณอาจจะไม่เคยได้เรียนไม่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าคำว่าธรรมะ ธรรมะ นี้แปลว่าหน้าที่ เพราะว่าในโรงเรียนในหนังสือเรียนจะพูดกันแต่ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านี้มันยังไม่พอ มันไม่ถูกด้วยเพราะว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ นี้เขาพูดกันเขามีกันเขาใช้กันอยู่ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด คำว่าธรรมะ ธรรมะ นี้มีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิด เขาหมายถึงหน้าที่ หน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ คือพอมนุษย์พ้นจากความเป็นป่าเถื่อนพ้นจากความเป็นคนป่ามาพอสมควรแล้วก็มีมนุษย์ที่สังเกตเห็นว่าเออมันมีสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ ที่ต้องทำ เขาเรียกสิ่งนั้นโดยภาษาของเขาสมัยนั้นว่าธรรมะ จึงเป็นคำโบราณเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ที่สุด ว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ เมื่อคนมันเล็งเห็นหน้าที่หรือความจำเป็นของหน้าที่มันก็เรียกสิ่งนั้นว่าธรรมะ ธรรมะ ฉะนั้นต้องให้รู้กันเสียให้ดีก่อนว่าธรรมะนั้นคือหน้าที่ และเขาก็พูดกันเรื่องหน้าที่ พูดกันเรื่องหน้าที่ ไอ้คำพูดนี้มากขึ้น ๆ จนเป็นระบบ คำสอนเป็นระบบก็เรียกว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่แต่มันไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น มันมากขึ้นๆ สูงขึ้น ดีขึ้น ๆ คำว่าธรรมะมันก็มากขึ้นดีขึ้นและสูงขึ้นจนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลกท่านก็สอนเรื่องหน้าที่คือธรรมะนี่ สูงขึ้นไปจนถึงสูงสุดคือบรรลุมรรคผลนิพพาน ฉะนั้นขอให้เข้าใจความหมายคำว่าหน้าที่ หน้าที่ก็คือคำว่าธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือหน้าที่ มันก็มีแต่ว่าคำสอนเรื่องหน้าที่ตามแบบสำนักนั้นตามแบบสำนักนี้ตามแบบสำนักโน้นซึ่งมีอยู่หลายๆ สำนัก ฉะนั้นเขาจึงระบุว่าชอบธรรมะของใคร ชอบธรรมะของพระสมณโคดมหรือชอบธรรมะของศาสดาชื่ออะไร ทุกศาสดาล้วนแต่สอนเรื่องหน้าที่ แต่ท่านสอนกันเฉพาะในระดับสูงไม่มา ไม่ไม่ลดลงมาถึงระดับต่ำเช่นทำนาทำไร่ ฉะนั้นสิ่งที่เราได้ยินว่าธรรม เรียกเรียกว่าธรรม ธรรมะนะมันจึงได้ยินพูดกันแต่เรื่องระดับสูง ไปสวรรค์ บรรลุมรรคผลนิพพานทั้งนั้น แต่จริงไอ้ธรรมะระดับต่ำทำไร่ทำนาของชาวไร่ชาวนานี้เขาก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกันคือธรรมะของฆราวาสธรรมะของชาวไร่ธรรมะของชาวนาแล้วแต่ว่าเป็นหน้าที่ชนิดไหนจะธรรมะชนิดนั้น ที่เป็นชั้นสูงก็เรียกว่ากัมมัฏฐานสำหรับบรรพชิตสำหรับภิกษุสามเณร ทำกัมมัฏฐานก็คือทำการงานหรือทำหน้าที่จึงเห็นได้ชัดว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่
ทีนี้ดูกันต่อไปจากคำว่าหน้าที่ คำว่าหน้าที่ก็คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตทุกชนิดและทุกระดับ ชีวิตระดับสูงจะเป็นเทวดาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์เดรัจฉานกระทั่งเป็นต้นไม้ต้นไร่อย่างนี้มันมีชีวิตทั้งนั้นนะ ถ้ามันมีชีวิตมันก็ต้องมีหน้าที่และมันก็ต้องทำหน้าที่ถ้าไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย ลองคนไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย ไม่เคลื่อนไหวไม่บริหารกายไม่กินอาหารไม่อะไรต่าง ๆ มันก็ตาย สัตว์ก็เหมือนกันจึงเรียกได้ว่าชีวิตนะมันอยู่ได้ด้วยหน้าที่ด้วยการทำหน้าที่ หน้าที่จำจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต หน้าที่คือธรรมะอย่างที่ว่ามาแล้ว ฉะนั้นธรรมะก็คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิตนั่นเอง เราต้องมองเห็นไอ้ความสำคัญความสูงสุดประเสริฐที่สุดของสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่และก็ชอบหน้าที่บูชาหน้าที่จึงชอบการงานชอบทำการงานเห็นการงานเป็นสิ่งสูงสุด ไม่เหมือนกับคนโง่ทั้งหลายที่ไม่ชอบทำหน้าที่อย่างอุดมคติของคนบางพวกว่าไม่ต้องทำงานแต่ต้องได้เงินต้องการเงินต้องได้เงิน นี่ก็มีอยู่พวกหนึ่งนะอย่าไปออกชื่อเขาเลย ลัทธิชนิดนั้นเขามีอยู่ในโลกนี้ ไม่ต้องทำการงานต้องการเงินแล้วก็ต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้เงินโดยไม่ต้องทำการงานหรือทำการงานแต่น้อยที่สุด มันก็มีการต่อสู้กันระหว่างชนกรรมมาชีพกับนายทุนพวกหนึ่งต้องการทำงานน้อยที่สุดเอาเงินมากที่สุดนี่เพราะเขาไม่ไม่มองเห็นอย่างเรามองเห็นว่าไอ้หน้าที่มันเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ ฉะนั้นขอให้ทำให้เต็มที่ทำให้สุดเหวี่ยงสุดความสามารถแล้วปัญหามันก็จะหมด มันจะไม่เกิดการต่อต้านชนิดนี้กันให้ลำบากกันไปทั้งโลก เราก็จะอยู่ในพวกที่ไม่ชอบทำงานไม่บูชาการงานด้วยก็ได้เพราะว่าเราก็ยังโง่อยู่ไม่รู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราอยากทำงานแต่น้อยแล้วไปทำงานสายแล้วก็กลับบ้านเร็วนี่นะคือคนที่ไม่รู้ว่าหน้าที่คืออะไร ถ้ารู้ว่าหน้าที่คือสิ่งสูงสุดประเสริฐที่สุดของสิ่งที่มีชีวิตแล้วพอใจแล้วก็ทำอันนั้นนะจะเป็นเหตุให้ทำการงานสนุก เดี๋ยวนี้อยากจะพูดไปในความหมายของหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จำเป็นของสิ่งที่มีชีวิต ผลของมันคือความรอด ดูที่หน้าที่แล้วก็ดูผลของหน้าที่ก็คือความรอด ฉะนั้นช่วยจำไอ้คำว่าความรอด รอดนี้ไว้ให้ดี ๆ ทุกศาสนา ทุกศาสนาในโลกนะก็ยังมีจุดหมายปลายทางเรียกตรงเหมือนกันหมดว่าความรอด ความรอด จนพูดได้ว่ามีความรอดตามแบบพุทธศาสนา มีความรอดตามแบบคริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกส์อะไรก็สุดแท้ล้วนแต่มุ่งที่ความรอด ความรอดด้วยกันทั้งนั้น นี่ข้อที่ศาสนามันเหมือนกันหรือตรงกันก็คือว่าสอนหน้าที่เพื่อความรอดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราถือ พุทธศาสนาก็มีแบบหน้าที่ตามแบบพุทธศาสนา มีความรอดตามแบบพุทธศาสนา ดับทุกข์สิ้นเชิงตามแบบของพุทธศาสนาแต่ก็ไม่พ้นที่จะเรียกว่าความรอด ความรอด ความหลุดพ้น สวนโมกข์นี้ก็เอาคำนี้มาใช้เป็นชื่อโมกขะ โมกข์แปลว่ารอด หลุดพ้น นี้ความรอดนั้นก็มี ๒ ระดับ ระดับทั่วไปเป็นความรอดทางร่างกาย รอดทางร่างกาย ระดับสูงขึ้นมาคือความรอดทางจิตใจ รอดทางร่างกายก็คือไม่ตายแล้วก็สบายร่างกายอยู่ในสภาพที่ดี นี่รอดทางกายมีเท่านี้คือไม่ตายและอยู่ในสภาพที่ดี เท่านี้มันไม่พอมันมีจิตใจอีกส่วนหนึ่ง มันยังมีปัญหาถูกกลุ้มรุมด้วยความทุกข์ด้วยกิเลสด้วยกรรมด้วยอะไรต่าง ๆ ต้องรอดทางจิตใจอีกชั้นหนึ่งด้วย รอดชั้นที่ ๒ คือรอดทางจิตใจ ถ้ารอดทางจิตใจแล้วก็จิตใจก็พ้นจากไอ้ความทุกข์ทั้งปวงในทางจิตใจ นี่เป็นความรอดที่ศาสนาทุกศาสนามุ่งหมาย ของพระพุทธศาสนาก็ไปยันถึงบรรลุนิพพานพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายพ้นจากปัญหาทุกชนิด นี่ความรอดสูงสุดอยู่ที่นี่ รวมความแล้วความรอดมีอยู่ ๒ ความหมายคือรอดทางกายหรือรอดทางจิตใจและความรอดนี้เป็นผลของหน้าที่ของการทำหน้าที่หรือการทำการงานนั่นเอง ดังนั้นเรามองดูทีเดียวตลอดว่าการงานก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความรอดทั้งทางกายและทางจิต เราต้องทำการงานทั้งทางกายและทางจิตจึงจะรอดทั้ง ๒ ทาง เดี๋ยวนี้คนชาวบ้านธรรมดารู้จักแต่รอดทางกายขาก็ทำกันแต่รอดทางกายและทำกันจนเฟ้อจนกลายเป็นผิดไปเสียคือมันเกินรอดไปเสีย แทนที่จะเป็นรอดทางกายมันกลายเป็นฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อทางกายจนเงินเดือนไม่พอใช้ นี่มันเกินเกินความรอดไปเสียอีก มันเกินความหมายของคำว่าความรอด มันกลายเป็นบำรุงบำเรอฟุ้งเฟ้อให้แก่ทางร่างกายก็เลยกลายเป็นทาส เป็นทาสทางร่างกายเป็นทาสของร่างกายเป็นทาสของกิเลส แทนที่จะเป็นความรอดมันกลายเป็นทาส เป็นความติดติดคุกติดตะรางของกิเลสนั้นนะ อย่าไปเข้าใจผิดว่าเป็นการบำรุงบำเรอทางร่างกาย อย่างที่เขาทำกันแล้วมันก็จะรอดหรือมันจะดีคิดดูเถอะ คนที่หลงใหลเรื่องความสุขทางเนื้อหนังก็ไปติดคุกติดตะรางเป็นทาสของร่างกายทั้งนั้นต้องหามาบำรุงร่างกายเกินพอดีอย่างที่เรามี ๆ กันอยู่ในบ้านในเรือน มีสิ่งที่ไม่จำเป็นเยอะแยะไปหมดนั่นมันคือความโง่ไปหามา คือบำรุงบำเรอทางกายแล้วมันก็เกินความรอดทางกาย กลายเป็นความฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อในทางกายจะได้เป็นทาส เดี๋ยวมันก็จบกันนะถ้าทางกายมันก็ยังผิดแล้วทางจิตมันก็ผิด เดี๋ยวนี้เราต้องทำให้ร่างกายอยู่สบายเหมาะสมที่จะทำการงานมีสุขภาพดีก็พอแล้ว ทีนี้เวลาเรี่ยวแรงทรัพย์สมบัติที่เหลือจากนั้นก็ขวนขวายเพื่อทำความรอดในทางจิตใจต่อไปจึงศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะอยู่เป็นประจำ นี่เรียกว่าทำการงานทั้งทางกายและทางใจ ฉะนั้นต้องทำให้ถูกต้องให้พอดีหรือให้เหมาะสม แต่ถ้าทำด้วยความไม่อยากทำ ไม่ทำไม่ทำดีกว่าไปทำงานก็สายกลับมาก็ก็โกงเวลานี่เรียกว่าคนไม่ไม่ซื่อตรงคนไม่รู้เรื่องหน้าที่การงานว่าคืออะไรไม่บูชาการงาน คนอย่างนี้มันน่าละอายสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันไม่เคยโกงเวลาไม่เคยโกงหน้าที่สัตว์เดรัจฉาน คนนี่ตัวโกงเวลาโกงหน้าที่การงานแม้ที่เป็นของตนเองก็ยังโกงคือขี้เกียจ ที่เป็นราชการแล้วยิ่งได้โกงกันใหญ่เลย อยากจะให้คิดถึงเรื่องต้นไม้ต้นไร่นี่มันมีชีวิตเหมือนกัน และมันก็ต้องทำการงานเหมือนกันนะ ตอนที่เราเรียนๆ กันมานี่ว่าต้นไม้นี่เวลากลางวันนะมันคายแก๊สออกซิเจนกลางคืนมันคายแก๊สที่ตรงกันข้ามคือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ก็แปลว่ามันทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนไม่อย่างนั้นจะเอาแก๊สออกซิเจนไหนมาคายได้ตลอดวันและจะเอาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไหนมาคายได้ตลอดคืน แปลว่าต้นไม้ทำงาน ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเทียบกันคนทำงาน ๘ ชั่วโมงก็ยังโกงเวลา นี่ควรจะละอายมันบ้างคือว่าทำงานให้เต็มให้บริบูรณ์ตามหน้าที่ตามความหมายตามคุณค่าของการงาน นี่อยากจะขอเตือนกันเป็นข้อแรกว่าจะต้องทำการงานให้เหมาะสมกับสถานะของตน เป็นมนุษย์ทำการงาน ถ้าเป็นเทวดา ถ้ามีเทวดาก็ต้องทำหน้าที่ของเทวดาเหมือนกันนะ นี่สัตว์เดรัจฉานทำหน้าที่สัตว์เดรัจฉาน อ่า,ต้นไม้ทำหน้าที่ต้นไม้แต่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้องคือหน้าที่เพื่อความรอด หน้าที่เพื่อคดโกงเพื่อกิเลสนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ เช่นคนอันธพาลก็จะพูดว่าฉันมีหน้าที่ปล้นจี้ขโมยฉันมีหน้าที่อย่างนี้ นั่นมันไม่ถูกหน้าที่อย่างนั้นมันไม่ใช่เพื่อความรอด มันเพื่อสร้างปัญหาเพื่อสร้างความทุกข์ขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่าคำว่าหน้าที่นั้นต้องถูกต้อง
ทีนี้คำว่าถูกต้องตามภาษาธรรมะนั้นคือเกิดประโยชน์แก่ทุกคนไม่เป็นโทษแก่ผู้ใด ไม่เป็นโทษแก่ผู้ใดและเป็นประโยชน์แก่ทุกคนนั้นเรียกว่าถูกต้อง ฉะนั้นคำว่าหน้าที่ หน้าที่นี้ต้องหมายถึงหน้าที่ที่ถูกต้อง ไม่เป็นอันตรายแก่ใครแต่เป็นประโยชน์แก่ทุกคน ขอให้เราทุกคนยึดหน้าที่ที่ถูกต้องมีหลัก ยึดหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเรา เขาจะเรียกว่ามีหน้าที่อย่างมนุษย์ มีธรรมะอย่างมนุษย์ นี่การงานคือสิ่งนี้ นี่มันในในความหมายแรกที่จะต้องพูดการงานก็คือสิ่งนี้ การงานคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิตทำแล้วเกิดความรอดทั้งทางกายและทางจิตนั่นนะคือการงาน เป็นฆราวาสก็อยู่ในระดับฆราวาส เป็นบรรพชิตเป็นนักบวชก็สูงขึ้นไปถึงระดับบรรพชิตแต่ก็เรียกว่าการงานทั้งนั้น ฉะนั้นบรรพชิตก็ทำการงานตามหน้าที่ของตน เช่นที่เรียกว่าทำกัมมัฏฐาน ทำกัมมัฏฐานนั่นนะคือตัวการงานสูงสุด กัมมะ แปลว่าการงาน ฐานแปลว่าที่ตั้ง กัมมัฏฐานคือถ้าที่ตั้งของการงานหมายความว่าการงานที่มันแน่นอน แน่นแฟ้น ประเสริฐสูงสุด เอาหละเป็นอันว่าทำกันทั้งบรรพ อ่า, ฆราวาสและบรรพชิตนี่คือการงาน สรุปสั้นๆ ว่าการงานคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด และเรียกโดยภาษาโบโบราณเก่าแก่ว่าธรรม ธรรม ธรรมะหรือธรรมนั่นนะคำนั้นแปลว่าหน้าที่ ฉะนั้นการงานก็คือธรรมะนั่นเอง สรุปแล้วการงานคือธรรมะทุกระดับ การงานก็มีมีหลายระดับ ธรรมะก็จึงมีหลายระดับตามความหมายเดียวกัน
เอ้า, ทีนี้ก็มาถึงประเด็นที่ ๒ ที่ว่าเราจะสนุกเป็นสุขในการทำงานได้อย่างไร นี่มันตอบอยู่ในตัวแล้วนะ ถ้าเราเห็นแจ้งในใจว่าไอ้การงานคือธรรมะการงานคือธรรมะ ธรรมะคือการงานอย่าโง่เหมือนที่เคยโง่มาแต่ก่อนว่าธรรมะไม่รู้อะไรต้องไปทำกันที่วัด ไปงุบงิบงมงายกันอยู่ที่วัด ไปสวดมนต์ภาวนากันอยู่ที่วัด ไม่ได้หมายถึงหน้าที่การงานที่ทำอยู่ทุกวัน นั่นมันเข้าใจผิดการงานทุกชนิดทุกระดับเป็นธรรมะเสมอกัน ทำนาทำสวนอยู่ก็เป็นธรรมะของชาวนาชาวสวน ค้าขายอยู่ก็เป็นธรรมะของคนค้าขาย ทำราชการอยู่ก็เป็นธรรมะของข้าราชการ เป็นกรรมกรทำงานอยู่ก็เป็นธรรมะของกรรมกร กระทั่งนั่งขอทานอยู่ก็เป็นธรรมะสำหรับคนขอทาน ขอให้ทำไปดีเถอะธรรมะช่วยให้หลุดพ้นจากสภาพอย่างนั้น ทำหน้าที่ขอทานดีๆ ไม่เท่าไรก็พ้นจากสภาพขอทานไปเป็นอย่างอื่นได้ ชาวนาชาวสวนทำงานหนักอยู่ทำให้ดีๆ มันจะพ้นสภาพจากความหนักความเหนื่อยพ้นสภาพจากความเป็นชาวนาชาวสวนกลายเป็นผู้มีมั่ง ผู้มีเงินผู้มั่งมีได้เหมือนกัน ฉะนั้นเรารู้เสียก่อนที่ว่าไอ้การงานนี่คือธรรมะ เราจะเห็นด้วยตนเองว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือมันช่วยให้พ้นจากความต่ำ ไม่ตกต่ำและก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนพ้นจากความทุกข์หรือปัญหา อ่า,ทั้งปวง นี่เมื่อรู้ว่าการงานคือธรรมะคนก็รักการงานบูชาการงานอยากจะทำงาน นี่เพราะอย่างนี้จึงทำงานสนุกเพราะรู้สึกว่าการงานคือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ แล้วก็ทำแล้วก็พอใจว่าได้ทำสิ่งที่สูงสุดประเสริฐที่สุดวิเศษที่สุดของมนุษย์มันก็สนุกสิ ที่เราทำไม่สนุกเพราะเราไม่มองเห็นไอ้ความประเสริฐของการงาน เราฝืนใจทำพอเหงื่อออกมาโกรธโมโทโสนี่มันคนโง่ ถ้าคนฉลาดทำงานพอเหงื่อออกมาเขาบอกว่าเป็นน้ำอมฤตมาอาบรดเราให้เยือกเย็น เหงื่อกลายเป็นน้ำมนต์ที่เยือกเย็น มารดให้พอใจในการงานแล้วก็ทำงานสนุก เหงื่อออกมากเท่าไหร่ยิ่งพอใจ นี่เด็กโง่ ๆ จะเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ความหมายคำว่าสนุกที่ถูกต้องตามแบบของธรรมะคือหน้าที่ของมนุษย์ ถ้าพอใจแล้วมันก็สนุก ถ้าพอใจแล้วมันก็สนุกไอ้การงานก็กลายเป็นของชวนให้ทำเหมือนกับการเล่นไปเลย เราเล่นหัวสนุกสนานอย่างไรคนที่มันรู้จักธรรมะว่าคือหน้าที่การงานแล้วมันก็ทำงานทั้งหลายสนุกไปอย่างนั้น ถ้าคนบางคนทำงานสนุกเพราะเห็นแก่เงินนั่นมันก็ได้เหมือนกันก็สนุก พวกกรรมกรทำงานสนุกก็เพราะเห็นแก่เงินนั่นยังไม่ดีเท่าเท่าไหร่ ถ้าใครทำงานเพราะรู้สึกว่างานคือหน้าที่งานคือธรรมะงานคือเกียรติยศของมนุษย์งานคือสิ่งประเสริฐสำหรับมนุษย์รู้สึกในใจอยู่อย่างนั้นและก็ทำงานสนุกงานนั้นก็จะเป็นการเล่นสนุกเหมือนเล่นกีฬาไปก็ได้ นี่จะทำงานสนุกก็เพราะมองเห็นว่างานนั้นคือธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของสิ่งที่มีชีวิต อย่าลืมนะข้อนี้เสียแล้วก็พอใจ อื้อ, ความพอใจนี้เป็นเป็นสิ่งที่ลึกลับอันหนึ่งคือความพอใจนั่นจะทำให้เกิดความสุข ถ้าไม่พอใจแล้วไม่มีทางที่จะเกิดความสุข ถ้าพอใจอย่างเลวพอใจอย่างผิดพอใจอย่างโง่อย่างต่ำมันก็เป็นความสุขอย่างเลวอย่างโง่อย่างต่ำทำไปตามความพอใจ ถ้าความพอใจนั่นมันถูกต้องมันสูงมันประเสริฐก็ให้เกิดความสุขชนิดที่สูงที่ประเสริฐ มันจึงแล้วแต่ความพอใจนั้นเป็นอย่างไร พอใจระดับไหน พอใจระดับสูงสุดก็เพราะรู้สึกธรรมะอยู่ในใจก็พอใจระดับสูงสุดก็เกิดความสุขระดับสูงสุด มีความพอเป็นเหตุให้เกิดความสุขมีอยู่เป็นระดับ ๆ หรือชนิด ถ้าพอใจผิดความสุขก็ผิดเป็นความสุขโง่เป็นความสุขหลอกลวง เช่นจะไปชอบอบายมุขดื่มน้ำเมาเที่ยวกลางคืนดูการเล่นเป็นเพราะชอบใจอบายมุขพอใจอบายมุขมันก็ได้ความสุขชนิดหลอกลวงมาไม่เท่าไหร่ก็ฆ่าทำลายบุคคลนั้นเอง นี้พอใจในหน้าที่ที่ถูกต้องหรือธรรมะมันก็ไม่ไม่เกิดผลอย่างนั้นมันเกิดผลในทางความถูกต้องความสุขความเจริญก็เจริญอยู่ได้ไอ้ความพอใจชนิดนี้ไม่ให้โทษ มันก็ทำให้เกิดความก้าวหน้าทำให้เกิดความสุขอยู่ตลอดเวลาที่ทำการงาน นี่แหละจะต้องเอ่อ, รู้จักสิ่งที่เรียกว่าการงานและรู้จักสิ่งที่เรียกว่าความพอใจในการงานแล้วก็จะรู้สึกความสุขที่เกิดมาจากความพอใจ ฮื่อ, ดังนั้นจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะนี่กันเสียก่อน ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมดว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับ เราเรียกว่าธรรมะหรือพระธรรมก็ได้ แล้วก็พอใจในความหมายของคำว่าธรรมะหรือพระธรรมว่าเป็นสิ่งสูงสุดนั่นเอง ฉะนั้นขอให้ทุกคนมีจิตใจแจ่มแจ้งสูงขึ้นมาถึงขั้นนี้ถึงขั้นที่จะทำให้พอใจในหน้าที่การงาน ถ้าพอใจมันก็เป็นสุข เมื่อเป็นสุขมันก็ทำสนุกไป เหงื่อไหลไคลย้อยมันก็ยิ่งเห็นเป็นน้ำเย็นเป็นน้ำมนต์เป็นสิ่งที่มีค่ามาทำให้เกิดความสำเร็จสูงยิ่งๆ ขึ้นไป ดีกว่าไปรดน้ำมนต์ที่เขาไปรดๆ กันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นนอกจากหลอกให้สบายใจไปพักหนึ่ง ถ้าน้ำมนต์คือเหงื่อที่ออกมาจากการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องนี่น้ำมนต์นี่ช่วยได้ ช่วยได้ตลอดเลยจนถึงบรรลุผลชั้นสูงสุด นี่แหละที่เรียกว่ามันจะเป็นสุขหรือสนุกในหน้าที่การงานได้เพราะเหตุที่รู้ว่าไอ้การงานนั้นนะคือหน้าที่หรือธรรมะหรือสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดและทุกระดับ ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งต้นไม้ หรือแม้กระทั่งต้นไม้มันมีหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ และทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ นั้นนะคือธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ อยู่ที่การทำหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่อยู่อย่างว่าทำหน้าที่ เป็นข้าราชการอยู่ที่ออฟฟิศมันก็รู้สึกพอใจทุกขั้นตอนของหน้าที่ เป็นสุขอยู่ทุกเวลาที่ทำหน้าที่แล้วก็ทำให้ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น ไอ้ความสุขมันก็สูงขึ้นเพิ่มขึ้นหรือดีขึ้นจนกว่าจะถึงที่สุด นี่ขอให้มองเห็นไอ้ความสุขชนิดที่แท้จริงที่หาได้จากการทำการงาน
เอาหละทีนี้เราก็มาถึงคำว่าความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงหมายถึงมีความสุขที่หลอกลวง ความสุขที่หลอกลวงของกิเลสของความโง่ ถ้ามีความโง่ก็ต้องไปหลงเอาของที่ไม่ใช่ความสุขมาเป็นความสุขเสมอ เขาเรียกกันมาแต่โบราณว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวมีอยู่เป็นอันมากนะคนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้วก็วินาศทุกคนเลย ถ้าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขมาเป็นความสุขก็ลุ่มหลงหนักเข้าๆ มันก็เป็นเหยื่อของไอ้กิเลสตัณหาเหล่านั้นจนหมดเนื้อหมดตัว เป็นข้าราชการก็ต้องคดโกงต้องคอรัปชั่นไม่เท่าไหร่ก็ต้องได้รับผลของการคดโกงนี่ก็เรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวอย่างนี้ ทีนี้เราไม่เป็นอย่างนั้นรู้จักว่าไอ้การงานนั้นนะคือธรรมะสิ่งสูงสุดแม้พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพธรรมะนะ นี่เราก็พอใจเคารพธรรมะมันก็เป็นไอ้ความพอใจที่บริสุทธิ์มันจึงเป็นความสุขที่บริสุทธิ์คือความสุขที่แท้จริง อย่าเอาไปเปรียบกับไอ้ความสุขในสถานเริงรมย์กินเหล้าเมายา ความสุขทางสถานเริงรมย์นั้นมันไม่ใช่ความสุขในทางธรรมะเขาเรียกว่าความเพลิดเพลิน คำว่าความเพลิดเพลินนั้นเป็นคนละอย่างกับความสุข ไอ้ความสุขนั้นมันชวนไปในทางที่สงบเย็น ความเพลิดเพลินมันก็ชวนไปในทางหลงใหลเตลิดเปิดเปิงในที่สุดก็ไปสู่ความร้อน ความสุขที่แท้จริงต้องมาจากความพอใจที่แท้จริง ความพอใจที่แท้จริงก็ต้องมาจากการทำหน้าที่ที่ถูกต้องและแท้จริงมันก็เลือกสรรหน้าที่ให้ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็ทำ ทำอย่างถูกต้องได้รับความพอใจอย่างถูกต้องก็มีความสุขอย่างถูกต้องและแท้จริงคือมันไม่ทำอันตรายใคร มันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายและทุกคนนี่เรียกว่าถูกต้อง ทีนี้ถูกต้องแล้วก็พอใจนี่ ฉะนั้นเราจะต้องมีสติ สติ กำหนดให้ละเอียดทั่วถึงว่ามันถูกต้อง มันมันถูกต้อง คืออย่างนี้คือถูกต้อง ทำงานนี้ถูกต้องเมื่อถูกต้องก็พอใจ จำคำสองคำว่าถูกต้องและพอใจ ต้องทำให้มันเกิดอยู่เสมอและถูกต้องและพอใจ ลุกขึ้นไปทำงานสิ่งนี้ก็ต้องระลึกด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและควรทำแล้ว ทำทำเสร็จแล้วถูกต้องแล้วก็พอใจไปเสียทุกอย่างทุกชนิดของหน้าที่การงาน แม้แต่จะกลับบ้านก็ถูกต้องและพอใจ มากินอาหารก็ถูกต้องและพอใจเพราะว่าเราเป็นมนุษย์ต้องกินอาหารอย่างถูกต้อง ถ้ากินไม่ถูกต้องมันเป็นโทษต้องกินให้มันถูกต้องและก็พอใจ ไปอาบน้ำก็ถูกต้องและพอใจ ถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสวะก็ต้องด้วยสติทำให้ถูกต้องและพอใจ จะกวาดบ้านถูบ้านล้างจานบ้างถ้า ถ้าจะช่วยทำก็ถูกต้องและพอใจ นี่อย่างนี้ไปล้างจานไปช่วยแม่ครัวล้างจาน เอ้า, ก็ถูกต้องและพอใจ ถ้ามันมีคำว่าถูกต้องและพอใจเกิดขึ้นแล้วเป็นความสุขที่ถูกต้องที่ควรจะพอใจแล้วก็พอใจแล้วก็เป็นความสุข สรุปความได้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นมันมาจากความการทำการงานที่ถูกต้องและแท้จริง มันต้องทำการงานให้ถูกต้องและให้แท้จริงทุกการงานที่ทำ ตื่นขึ้นมาทำอะไรไล่ไปดูเหอะ ตื่นขึ้นมารู้สึกโอ้ถูกต้องแล้วนอนคืนหนึ่งนี้ถูกต้องแล้วพักผ่อนถูกต้องแล้วก็พอใจ ไปล้างหน้าก็มีสติโอ้มันถูกต้องแล้วที่ต้องล้างหน้าแล้วก็พอใจ ไปห้องน้ำก็ทุกอย่างในห้องน้ำก็ถูกต้องและก็พอใจ ไปรับประทานอาหารทุกอย่างถูกต้องและพอใจ เตรียมตัวไปทำงานถูกต้องและพอใจ เดินทางไปทำงานถ้าต้องเดินไปด้วยเท้าก็ทุกฝีก้าวถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ ทุกก้าวเท้าที่ย่างทำงาน ถ้าไปด้วยยานพาหนะก็ถูกต้องและพอใจไปถึงออฟฟิศแล้วก็ลงมาทำงานก็ถูกต้องและพอใจนี่ นนถูกต้องอยู่ด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจจนกว่าจะหลับจนกว่าจะถึงเวลาค่ำพักผ่อนและนอนหลับ ก่อนอื่นนอนหลับก็มาใคร่ครวญดูว่าโอ้,ตั้งแต่เช้ามาจนบัดนี้ก็ถูกต้องและพอใจแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้นั้นนะคือสวรรค์ ขอบอกให้ทุกคนที่ไม่เคยรู้ว่าสวรรค์ที่แท้จริงนั่นคือเมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ มองเห็นแต่ความถูกต้องของตนเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นคือสวรรค์ที่แท้จริงไม่ใช่สวรรค์หลอกๆ อย่างที่เขาหลอกให้หลงให้เมาสวรรค์กันนั้นนะสวรรค์หลอก สวรรค์ที่แท้จริงนะ อยู่ที่นี่ตรงนี้เมื่อรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไหร่เป็นสวรรค์ที่นั้น เมื่อนั้นและถูกต้องแท้จริง สวรรค์ที่ถูกต้องและแท้จริงคือสวรรค์อย่างนี้คือการยกมือไหว้ตัวเองได้ ทีนี้สวรรค์อื่นๆ สวรรค์อย่างอื่นถ้ามีที่เขาพูดๆ กันนะจะมีอีกกี่สวรรค์มันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้ มันต้องมีสวรรค์อย่างนี้แล้วมันจึงจะไปสวรรค์อย่างนั้นได้คือจะต้องมีความถูกต้องจนพอใจแล้ว ถึงจะตายแล้วไปสวรรค์กี่ชนิดๆ ที่มันจะมีถ้ามันจะมีมันก็ได้แหละแต่ขอให้ได้สวรรค์ที่นี่กันเดี๋ยวนี้เสียก่อนเถิด และถ้าเป็นนรกก็คือเมื่อเกลียดตัวเองเมื่อชังน้ำหน้าตัวเอง ใครก็ตามนะทำอะไรชนิดที่มันมองดูแล้วมันเกลียดตัวเองนับถือตัวเองไม่ได้เคารพตัวเองไม่ได้นั้นนะคือนรก ฉะนั้นนรกคือการรู้ ความรู้สึกเกลียดชังตัวเองสวรรค์คือความรู้สึกพอใจตัวเอง พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้เขาเรียกว่าสวรรค์แท้จริง แท้จริง เมื่อเกลียดน้ำหน้าตัวเองคือนรกที่แท้จริง เมื่อนรกที่แท้จริงมองดูตัวเองแล้วไม่มีทางที่จะนับถือบูชาอย่างไรมีแต่เกลียดมีแต่ชังมีแต่อิดหนาระอาใจนั้นนะคือนรกที่แท้จริงที่นั่นและเดี๋ยวนั้น ฉะนั้นเราจงทำให้ทุกอย่างมันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ทุกอิริยาบถทุกนาทีทุกเวลาทุกที่ทุกหนทุกแห่งแล้วก็อยู่ด้วยความพอใจชนิดนี้ ยกมือไว้ตัวเองได้อยู่ในจิตใจไม่ต้องทำท่ายกมือไหว้ก็ได้แต่ในจิตใจนั้นนะมันยกมือไหว้ตัวเองได้นี่คือสวรรค์ที่แท้จริงเป็นความสุขแท้จริงตลอดวันตลอดคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่า,ของพุทธบริษัทที่มีความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นพุทธบริษัทกันหรอกมันเพียงแต่จดทะเบียนเกิดมาจากพ่อแม่ที่เป็นพุทธบริษัทแล้วมันก็ไม่รู้ธรรมะไม่รู้พุทธศาสนาไม่เป็นพุทธบริษัทจำนวนมากมาย นี่ที่ศาสนาอื่นเขามาซื้อตัวไปได้ ก็ซื้อไปได้ชนิดแต่คนที่ยังไม่เป็นพุทธบริษัท ถ้ามันเป็นพุทธบริษัทรู้ความเป็นพุทธบริษัทแล้วไม่มีใครมาซื้อตัวไปได้ ฉะนั้นเราไม่กลัวที่ว่าใครจะมาแย่งพุทธบริษัทมันแย่งไปได้แต่คนที่มิใช่พุทธบริษัทยังไม่เป็นพุทธบริษัทนั่นนะ มันแย่งเอาไปได้ด้วยเงินด้วยประโยชน์ด้วยอะไรต่างๆ เราเป็นพุทธบริษัทแล้วมีความรู้ถูกต้องมีความเป็นพุธบริษัทแล้วจะพอใจธรรมะจะบูชาธรรมะจะเคารพธรรมะในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็บูชาธรรมะ นี่เราบูชาธรรมะก็คือบูชาหน้าที่คือบูชาการงานที่จะต้องทำอย่าให้บกพร่องได้ เป็นเด็กเยาวชนก็หน้าที่ของเยาวชน เป็นคนหนุ่มสาวก็หน้าที่ที่ถูกต้องของคนหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็หน้าที่ที่ถูกต้องของพ่อบ้านแม่เรือน หน้าที่ของคนเฒ่าคนแก่ก็มีอย่างถูกต้อง ถูกต้องไปทั้งนั้นตลอดชีวิต เรียกว่ามีธรรมะกันตลอดชีวิตแล้วพอใจที่แท้จริงตลอดชีวิตมีความสุขที่แท้จริงตลอดชีวิต สรุปความข้อนี้ก็คือว่าให้ทุกคนรู้ว่าสวรรค์ที่แท้จริงนี่คืออย่างนี้นรกที่แท้จริงคืออย่างนี้ ประยุกต์กันอีกคำหนึ่งอีกความหมายหนึ่งก็ว่าถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลยถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลย ถ้าเป็นความสุขที่หลอกลวงแล้วก็ต้องจะใช้เงินมากยิ่งหลอกลวงมากยิ่งใช้เงินมาก ยิ่งหลอกลวงมากที่สุดก็ยิ่งใช้เงินมากที่สุดจนหมดเนื้อหมดตัวเป็นคนคอรัปชั่นคดโกงไปเลย นี่จำกันได้สั้นๆ ง่ายๆ ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเพราะมันพอใจเป็นสุขเสียแล้วเมื่อทำงาน ทำงานเป็นสุขสนุกเสียแล้วทั้งวันทั้งคืนจะใช้เงินอะไรหาความสุขหละมันอิ่มไปด้วยความสุขอยู่ทั้งวันทั้งคืนเลยไม่ต้องใช้เงินเพื่อความสุข ทีนี้คนโง่มันหิวกระหายอยู่ด้วยกิเลสราคะ โลภะ นี่มันก็เอาเงินไปซื้อของเล่นของกินกามารมณ์อะไรต่างๆ มันต้องใช้เงินซื้อที่ได้มานั้นไม่ใช่ความสุขเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง นี่ก็ว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลยทำให้เงินเหลือเพราะทำงานสนุกผลงานก็เกิดมากและก็เหลือเพราะไม่ต้องใช้ผลงานไปซื้อหาความสุขที่ไหนอีก มันมีความสุขตลอดเวลาอยู่แล้ว ทีนี้คนโง่มันไม่รู้จักความสุขชนิดนี้มันกระหายต่อเหยื่อของกิเลสตัณหาเอร็ดเอร็ดอร่อยสนุกสนานทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายที่เรียกกันว่าเริงรมย์ สถานเริงรมย์นะต้องใช้เงิน ใช้เงิน เท่าไรมันก็ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอจนเงินเดือนไม่พอใช้มันก็ต้องโกงในที่สุดก็ได้รับผลของการโกงนี่เรียกว่าไอ้ความสุขที่หลอกลวง ใช้เงินมากที่สุดและจนไม่พอใช้จนต้องกลายเป็นคนคดโกง ข้าราชการที่คอรัปชั่นที่คดโกงนะ คือเข้าใจผิดอย่างนี้ทั้งนั้น ประชาชนก็เหมือนกันนะที่เงินไม่พอใช้เพราะมันไปหลงไอ้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่เอาความสุขที่แท้จริงที่เกิดขึ้นเมื่อกำลังทำงานเมื่อกำลังเหงื่อไหลนั่นคืออาบน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า นี่ขอให้เราเข้าใจเป็นคำสรุปสั้นๆ ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ความสุขที่หลอกลวงใช้เงินจนเงินไม่พอใช้ ทุกคนถ้าอย่างนี้ไปดูเองก็แล้วกัน
ยังน่าหัวอยู่อีกข้อหนึ่งนะที่เขานิมนต์พระไปสวดเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านนะ ที่เรียกเจริญพระ พุทธมนต์เย็นตามบ้านมีอยู่บ่อยๆ ทุกบ้านพระไปสวดในคำสวดของพระนั้นจะมีอยู่ประโยคหนึ่งนี้ด้วยเสมอว่า ปฏิบัติอย่างนี้ได้รับพระนิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ ที่ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้านะตรัสว่า “นิพพานให้เปล่า” ถ้านิพพานในพุทธศาสนาหละก็ให้เปล่าคือไม่ต้องเสียเงินแม้แต่สตางค์เดียวก็ได้นิพพาน แต่ถ้าพอใจอยู่ในการปฏิบัติที่ถูกต้องจนหมดกิเลส ถ้าไปเอากามารมณ์มาเป็นนิพพานเหมือนพวกอื่นก็มีเหมือนกันก็เอากามารมณ์เป็นนิพพานก็ใช้เงินไม่พออีกเหมือนกันก็็ไม่พอใช้เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาแล้วก็จะได้นิพพานคือประเสริฐที่สุดในความหมายของความสุข มาบริโภคเปล่าๆ ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ทุกคราวที่พระเขาไปเจริญพระพุทธมนต์เย็นทุกคราวก็จะบอกประโยคนี้แต่ผู้ฟังฟังไม่ถูก ถ้าฟังถูกก็จะมาคิดว่าทำไมจึงว่านิพพานให้เปล่าหละ ก็เพราะเป็นความสุขความพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเป็นความเย็นใจอาบรดอยู่ในจิตใจให้จิตใจมันเย็นเป็นนิพพานนี่เรียกว่าให้เปล่าไม่ต้องเสียเงินเลย ไม่ต้องลงทุนทำบุญเป็นเงินเป็นทองก็ได้แต่ถ้าปฏิบัติอยู่อย่างนี้ก็จะได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ เหมือนกัน เป็นคำพูดที่ควรจะจำกันไว้เถอะสั้นๆ ว่าความสุขแท้จริงจะต้องได้เปล่าความสุขที่หลอกลวงจะต้องเสียเงินจนเงินไม่พอใช้ นี่เรียกว่าผลของการทำการงานอย่างถูกต้องอย่างสนุกสนาน เมื่อเรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่การงานหรือธรรมะแล้วประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องสนุกสนานก็เกิดผลอย่างนี้คือได้ความสุขที่แท้จริงมาบริโภคอยู่โดยไม่ต้องใช้เงินอะไรอีก สรุปความว่าเราต้องรู้ว่าการงานคืออะไร หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตนั่นคืออะไร ธรรมะคืออะไร และความพอใจคืออะไร ความสุขคืออะไร
ทบทวนกันอีกทีหนึ่งว่าการงานนั้นคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต จำเป็นสำหรับมีชีวิตจะต้องทำนั่นแหละธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่ต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อความรอดอยู่ได้ทั้งทางกายและทางใจ ถ้าได้ทำธรรมะปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจ เมื่อพอใจจริงก็เป็นสุขจริง เรื่องมีเท่านี้ เป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำว่าการงานแล้วก็หน้าที่แล้วก็ธรรมะแล้วก็พอใจแล้วก็สุขที่แท้จริง การงาน หน้าที่ ธรรมะ พอใจแล้วก็สุขที่แท้จริงทุกอย่างนี้เป็นความถูกต้องแท้จริง การงานก็แท้จริง หน้าที่ก็แท้จริง ธรรมะก็แท้จริง พอใจก็แท้จริง สุขก็แท้จริงเรื่องมันก็จบหละ สำหรับคำถามที่ตั้งขึ้นมาว่าการงานคืออะไร จะทำการงานให้สนุกและเป็นสุขในการงานได้อย่างไรก็คืออย่างที่ว่ามานี้ อย่างที่ว่ามานี้ ขอให้จดจำไปดีว่าการงานคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ถ้าทำแล้วก็พอใจว่าถูกต้องแล้วพอใจถูกต้องแล้วพอใจถูกต้องแล้วพอใจ ให้เรารู้สึกอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืนในการที่จะเคลื่อนไหวของเราทุกๆ อิริยาบถ ถ้าพอใจแล้วก็มีความสุข พอใจเมื่อเมื่อความพอใจบริสุทธิ์ความสุขก็บริสุทธิ์ เมื่อความพอใจถูกต้องความสุขก็ถูกต้องเรื่องก็จบ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นผู้ฟังนี่และสนใจในธรรมะนี่จงรู้จักคำว่าการงานคืออย่างนี้ ทำให้สนุกได้อย่างนี้แล้วเป็นสุขในการกระทำได้อย่างนี้ และมีความพอใจได้อย่างนี้แล้วก็มีความสุขที่แท้จริงได้ เกิดจากความพอใจนั้นๆ การบรรยายนี้ก็เป็นการสมควรแก่เวลาแล้วขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งที่เรียกว่าการงานหรือหน้าที่หรือธรรมะหรือความพอใจหรือความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่าที่แล้ว ๆ มา รู้มากยิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้วมาแล้วก็ปฏิบัติให้มากให้ยิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้ว ๆ มา แล้วความสุขแท้จริงอันเป็นจุดหมายปลายทางก็จะไม่ไปไหนเสียจะต้องเกิดแก่บุคคลผู้ทำหน้าที่การงานอยู่อย่างถูกต้องและพอใจดังที่กล่าวแล้ว พอใจนี้เขาเรียกว่า ธรรมปีติ ธรรมปีติ ธรรมปีติแปลว่าปีติในธรรม พอใจ อิ่มใจเกิดจากธรรม เกิดเพราะธรรม จงเป็นผู้มีจิตใจเต็มไปด้วยธรรมปีตินี้ ขอให้สุขสวัสดีแจ่มใสสดชื่นอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย