แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษา ครูบาอาจารย์ และผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมในโอกาสนี้ จะกล่าวเป็นข้อ ๆ ทำนองกฎบัตร ท่านทั้งหลายจะได้จำง่าย และได้จดง่าย จดไว้เป็นข้อ ๆ ไปเลย จะว่าไปตามที่จะนึกได้ ไม่ต้องเป็นต้น เป็นปลายอะไรกันนัก เพราะว่ามันจบอยู่ในข้อ ๆ แต่ละข้อ ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ให้สำเร็จประโยชน์ตรงที่เก็บเนื้อความทั้งหมดได้ โดยครบถ้วน
ข้อแรก มีหัวข้อว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาอย่างเป็นกลาง ๆ ขอให้เข้าใจ จะมองเห็นชัดว่า ชีวิตของคนนี่ ธรรมชาติสร้างมาเป็นกลาง ๆ หมายความว่า ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป ไม่กุศล ไม่อกุศล เป็นกลาง ๆ นี่ ก็เรียกว่า อัพยากฤต อัพยากฤตนี้แปลว่าไม่กล่าวได้ว่าเป็นอะไร ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นอะไร คือไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ดีหรือชั่ว บุญหรือบาป กุศลหรือ อกุศล สร้างมาเป็นกลาง ๆ ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่อ้างตัวเป็นเจ้าของชีวิตคือท่านทั้งหลายจะต้องรับผิดชอบเอาเองว่าจะทำให้มันดี หรือมันชั่ว ท่านจะทำให้มันดีก็ได้ จะทำให้มันชั่ว ก็ได้ ให้เป็นบุญก็ได้ เป็นบาปก็ได้ เป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ แต่ว่าธรรมชาติสร้างมาดีที่สุด คือเป็นกลางและให้เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ได้โดยสะดวก กฎประจำสากลจักรวาลคือกฏอิทัปปัจจยตา มันมีอยู่ว่า ถ้าทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ อย่างถูกต้องและยุติธรรม นี่เขาเรียกว่า กฎของอิทัปปัจจยตา ชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาเป็นกลาง ๆ สำหรับจะเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ฝ่ายดีก็ได้ ฝ่ายชั่วก็ได้ ฝ่ายบุญก็ได้ ฝ่ายบาปก็ได้ เป็นหน้าที่ ที่ผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบเอาเอง ฉะนั้นอย่าไปโทษ ผีปีศาจ ผีสาง เทวดา พระพรหม พระเจ้าอะไรที่ไหน ท่านจะต้องรับผิดชอบเอาเอง ว่าจะทำให้ชีวิตนี้เป็นบุญหรือเป็นบาป คือเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ มันแล้วแต่ท่านจะสร้างมันขึ้นมาอย่างไร ดังนั้นไม่ต้องไปโทษใครให้มันโง่ โทษผีสาง เทวดา ให้มันโง่ แล้วคนที่พูดว่ามันแล้วแต่ พรหมลิขิต มันก็โง่ ก็โง่เหมือนกัน พรหมจะมาลิขิตอะไรได้ พระเจ้าที่ไหนจะมาลิขิตอะไรได้ มันแล้วแต่คนนั้นจะสร้างมันขึ้นมาอย่างไร จะทำไปอย่างไร เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตาที่ว่า ถ้าทำลงไปอย่างนี้ ผลมันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำมันลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ นี่เขาธรรมชาติให้อิสระเต็มที่ แต่คนมันก็ยังโง่ มนุษย์มันก็ยังโง่ มันไม่สร้างให้เป็นไปในทางที่เป็นกุศลเป็นความสุขโดยส่วนเดียว มันกลับไปตามใจกิเลส กิเลสซึ่งเป็นเหมือนมารร้าย มาครอบงำแล้วคนมันก็ทำไปตามกิเลส เห็นแต่กิเลส เห็นแต่ประโยชน์ของกิเลส กิเลสเป็นผู้ต้องการประโยชน์ อยากจะพูดว่าเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ไม่ถือศาสนาอะไรกันแล้ว ถือศาสนา ประโยชน์ กันทั้งนั้น ที่พูดว่าถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาซิกข์ ศาสนาอะไร มากมายก่ายกองดูดี ๆ แล้วมันถือศาสนาประโยชน์กันเสียหมดแล้ว ไม่ถือตามกฎเกณฑ์ของศาสนา นี่เพราะว่ากิเลสมันครอบงำ มันตกเป็นทาสของประโยชน์ ถือ ศาสนาประโยชน์ อะไรก็ให้ได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อดับทุกข์โดยตรง ประโยชน์ก็เป็นประโยชน์สำหรับกิเลส ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องของราคะของกาม ของกิน ของเกียรติ ของอะไรซะโดยมาก มันเลยยิ่งยุ่งหนักขึ้นไปอีก คือมีความทุกข์หนักขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องโทษใคร ต้องโทษตัวเอง ในข้อที่ว่า ชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาเป็นกลาง ๆ สำหรับให้เป็นอะไรก็ได้ จะเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตาได้โดยสะดวกเลย ทำไปในทางเกิดทุกข์ มันก็เกิดทุกข์ ทำไปในทางดับทุกข์ มันก็ดับทุกข์ ท่านทั้งหลายทุกคนก็จงรู้โดยความจริงข้อนี้ไว้ โดยใจความสั้น ๆ ว่า ชีวิตนี้ธรรมชาติสร้างมาเป็นกลาง ๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว มันจะดี จะชั่ว ก็แล้วแต่บุคคลนั้นจะทำมันอย่างไร
นี้ข้อต่อไปจะมีหัวข้อว่า เรื่องเพศ เพศหญิง เพศชาย คือเขาสร้างมา สำหรับมนุษย์ไม่สูญพันธุ์ สืบพันธุ์แล้วไม่สูญพันธุ์ ไม่ใช่สร้างมาให้เป็นที่ลุ่มหลง ลุ่มหลงจนไม่รู้จักดีชั่ว ผิดถูก เพราะมันลุ่มหลงในกามารมณ์ ไปหลงถึงกลับบูชากามารมณ์เป็นพระเจ้า คิดแล้วมันก็หน้าหัว ที่ว่าเดี๋ยวนี้การศึกษามันก็มาก แต่แล้วคนก็ไม่พ้นที่จะบูชากามารมณ์เป็นพระเจ้า อุตส่าห์เล่าเรียนมากมาย หาเงิน ทำงานหาเงินได้มากมาย เพื่อจะให้ได้แต่งงานให้หรูหราสักครั้งหนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนไอ้ชีวิตของมันจะมีเท่านั้นไอ้คนชนิดนี้ มันเกิดมาบูชากามารมณ์เป็นสิ่งสูงสุด ที่จริงกามารมณ์ไม่ใช่ของประเสริฐ วิเศษ ไม่ใช่พรของสวรรค์ หรืออะไรอย่างที่คิดกัน มันเป็นเรื่องโง่ เรื่องหลง ผิดฝา ผิดตัว เรื่องเพศหญิง เพศชาย เขาสร้างมาเพื่อว่าจะได้สืบพันธุ์ไว้ อย่าให้มนุษย์สูญพันธุ์ แต่ที่มนุษย์ไม่ยอมทำ เขาจึงหลอกไปกามารมณ์ให้เอากามารมณ์มากราบไว้ข้างหน้าของการสืบพันธุ์ คนหรือสัตว์ จึงยอมสืบพันธุ์ เพราะหลงแต่กามารมณ์ แล้วก็หลงเกินไปจนไม่รู้หน้าที่ในการสืบพันธุ์อย่างบริสุทธิ์ มันก็เลยตกหนัก เป็นทาสของกามารมณ์ ฆ่าฟันกัน เบียดเบียนกัน ประทุษร้ายกัน เพราะเหตุกามารมณ์ เป็นหลัก อย่างที่ในหน้าหนังสือพิมพ์แต่ละวัน ละวันนั้น อาชญากรรมของวัยรุ่นในแต่ละวันดูจะไม่มีอะไร นอกจากเรื่องกามารมณ์ทั้งนั้น เรื่องกามารมณ์ทางเพศนี่ ที่จริงมันเป็นเรื่องบ้า วูบเดียว ขออภัยคำมันโสกโดษ สักหน่อย กามารมณ์ทางเพศนี่ มันเป็นเรื่องบ้าวูบเดียวเท่านั้นมันไม่มีอะไรมากกว่านั้น เมื่อจะตัดสินใจทำลงไป มันก็เป็นเรื่องบ้าวูบเดียว ผลุนผลันหุนหัน พลันแล่น บ้าวูบเดียวทำลงไป แล้วในที่สุดมันก็ได้ผลเพียงบ้าวูบเดียว ผลสุดท้าย ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเป็นเรื่องบ้าวูบเดียว ทั้งขึ้น ทั้งล่อง แต่แล้วคนเราก็ยัง หลงใหล บูชากามารมณ์ หรือเรื่องระหว่างเพศ แต่ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสืบพันธุ์ แต่เป็นไปเพื่อกามารมณ์ มันก็เลยได้ฆ่ากันตาย เพื่อเบียดเบียนกัน ผู้ที่ลุ่มหลงกามารมณ์ขนาดหนัก ถึงกับฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็มี อย่างที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นที่ตั้งความหลงมากเกินไปมันยิ่งกว่าหน้ามืด จนไม่รู้ใช้คำว่าอะไร ฉะนั้นขอให้รู้กันเสียที เป็นหัวข้อสั้น ๆ ว่า เรื่องเพศนั้นธรรมชาติสร้างมาเพื่อการสืบพันธุ์ ไม่ใช่สร้างมาเป็นกามารมณ์ สำหรับหลง จนเรียกว่าเทพเจ้าก็มีนะ บางพวก บางลัทธิจัดกามาคุณ เป็นเทพเจ้า ที่จริงกามารมณ์ นี้เป็นได้ทั้งเทพเจ้า เป็นทั้งภูตผีปีศาจ เป็นได้ทั้งสองอย่าง ถ้ามันหลงไปในทางดี มันก็เป็นเทพเจ้า ถ้ามันหลงไปในทางร้าย มันก็เป็นภูตผีปีศาจ ดังนั้นเรื่องกามารมณ์มันจะเป็นเทพเจ้า หรือมันจะเป็นภูตผีปิศาจ มันก็แล้วแต่คนนั้นอีกเหมือนกัน เห็นมั้ย มันก็แล้วแต่คนนั้นอีกเหมือนกัน จะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นเทพเจ้าก็ได้ ให้กลายเป็นภูตผีปิศาจอันร้ายกาจก็ได้ เพราะฉะนั้นคนนั้นมันต้องรับผิดชอบของตัวเอง จึงขอเตือนบอกกล่าวว่าคนหนุ่มสาวทั้งหลาย ที่อุตส่าห์เรียน อุตส่าห์หางานทำ ให้ดีให้เด่นให้ดัง เพื่อจะได้มีการสมรสให้หรูหราที่สุดสักครั้งหนึ่งเท่านั้น ดูมันจะเป็นการโง่มากเกินไปมั้ง มันควรจะไปคิดซะใหม่ว่า อะไรจะดีกว่านั้น จะได้ทำให้มันพอเหมาะ พอสมกัน นี่เรียกว่าเรื่องเพศ เขาธรรมชาติสร้างมาเพื่อการสืบพันธุ์ ไม่ให้มนุษย์สูญพันธุ์ แล้วมันกลายเป็นเรื่องทำอันตรายมนุษย์ ให้มนุษย์ฆ่าฟันกัน หาความสุขสงบไม่ได้เพราะเรื่องนี้ นี่จะไปโทษใคร นี่เป็นข้อหนึ่งว่าเป็นหัวข้อ หัวข้อหนึ่งว่าเรื่องเพศสร้างมาสำหรับมนุษย์ไม่สูญพันธุ์ อย่าเอามาบูชาเป็นเทพเจ้าของกามารมณ์กันเลย
ที่นี้ข้อต่อไปการล้างบาป ทำบาปแล้วจะให้หมดบาปนั่น จะทำได้โดยการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ถ้าสมมุติเรามีบาปมีกรรมติดตัวมา เราอยากจะเลิกล้างบาปนั้นเสีย มีทางเดียวเท่านั้นคือทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ทำอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้แล้วกิเลสเกิดไม่ได้ ทำอย่างนี้ อย่างนี้แล้วมันโง่ไม่ได้ ในขณะแห่งผัสสะ เมื่อมันโง่ไม่ได้ในขณะแห่งผัสสะแล้วมันก็ไม่มีกิเลส ไม่เป็นไปตามกิเลสและเป็นทุกข์ ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา บาปทั้งหลายไม่มีช่องจะให้โอกาส จะหมดสิ้นไป บาปใหม่ก็ไม่มีมา บาปเก่าก็หมดสิ้นไป ขอให้สนใจเรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อย่าให้เกิดกิเลสและความทุกข์ขึ้นมา ที่เรียกรวมกันสั้น ๆ ว่า เมื่อมีผัสสะ ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจนั้น อย่าโง่ในเวลานั้นอย่าไปหลงรัก หลงเกลียดอย่าไปหลงชอบ หรือหลงเกลียดในอารมณ์นั้น ๆ มีสติสัมปชัญญะ รู้ว่ามันมาอย่างไร เราควรจะจัดการอย่างไร จะทำกับมันอย่างไร ก็ทำไป อย่าไปหลงรัก หรือ หลงเกลียด มันก็ไม่เกิดกิเลส และมันก็ไม่เป็นทุกข์ นี่จะกล้าท้าว่าแม้จะมีผลกรรมติดตามมา จะให้เป็นทุกข์ บันดาลให้เป็นทุกข์แต่เราก็ต้อนรับอย่างถูกต้อง ตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่โง่เมื่อมีผัสสะ เมื่อสิ่งนั้นมากระทบ การที่มีกรรม มีบาปมีกรรม อะไรเข้ามาให้ผลนั้นมันต้องมาทางสัมผัส เพราะกรรมมันเกิดจากสัมผัส เวลาจะเข้ามาสู่จิตใจคนมันก็ต้องแสดงมาเป็นรูปของสัมผัส เราก็รู้เท่าทันมันเสีย ปฏิบัติให้ถูกต้องอย่าไปเผลอ หลงรับเอามาเป็นของน่ารัก น่ายินดี มาหรือรับเป็นของน่าเกลียดชังและโกรธ ขัดแค้นอย่างนี้มันก็ได้รับผลกรรม สมน้ำหน้า สมน้ำหน้ามันเลยแหละ เพราะมันต้อนรับไม่เป็น มีสติสัมปชัญญะให้เพียงพอในขณะแห่งผัสสะ ให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาอย่างที่ว่า คือมันไม่เกิดกิเลสขึ้นมาเพราะเหตุนั้น มันก็เป็นทุกข์ไม่ได้ มันไม่มีบาปชนิดไหนจะมาทำให้เป็นทุกข์ได้ ถ้าเราต้อนรับไว้อย่างถูกต้อง ด้วยกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา นักเรียน นักศึกษาเรียนอะไรมามาก เรียนอะไรรู้ได้ดี แต่ถ้าไม่รู้เรื่องนี้ มันก็สูญเปล่า ความรู้ทั้งหลายมันก็สูญเปล่า ถ้ามันไม่รู้เรื่องปฏิบัติทุกอย่างให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา เอานี้ อีกข้อหนึ่ง ข้อนี้สรุปความว่าจะล้างบาปจะยกเลิกกรรม ฉะนั้นไม่สำเร็จโดยการทำพิธีรีตอง รดน้ำมนต์ รดอะไรก็ตามใจเป็นเรื่องงมงายทั้งนั้น ไม่มีเทวดา ผีสางที่ไหน จะมาช่วยยกเลิกกรรมให้ได้ นอกจากเราจะต้องต้อนรับมันให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ฝ่ายที่จะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ จนมันสลายตัวไปเอง กล่าวสั้นที่สุดก็ว่าการเลิกบาป เลิกกรรมนั้นทำได้ โดยการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา นี้ก็ข้อหนึ่ง
ที่นี้ข้อต่อไป สิ่งที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร เนี่ยเป็นคำพระพุทธภาษิต สิ่งที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร ถ้ามันมีร่างกาย มันก็ต้องมีอาหารกาย ถ้ามันมีจิต มันก็ต้องมีอาหารจิต ถ้ามันมีวิญญาณหรือ สติปัญญา มันก็ต้องมีอาหารของสติปัญญา สิ่งที่มีชีวิตมันอยู่ได้ด้วยอาหาร เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีการแสวงหาอาหาร เช่น ทำงานมีอาหารกิน นี้ร่างกายมันก็อยู่ได้ ที่นี้จิตมันต้องการความสงบเย็น ก็ต้องรู้จักทำสมาธิให้จิต มันสงบเย็น ให้จิตมันมั่นคง จิตมันได้กินอาหาร ส่วนสติปัญญา มันต้องการอาหารคือการศึกษา การศึกษานี้เรียนให้รู้ก็ได้ การศึกษานี้คิดให้ออก คิดให้เข้าใจก็ได้ การศึกษานี้ผ่านสิ่งนั้น ๆไปให้ทะลุตลอด ให้ประจักษ์ในจิตใจภายในอย่างนี้ก็ได้ มีความรู้ มีความเข้าใจมีการรู้แจ้งแทงตลอดแล้วมันก็เป็นอาหารของดวงวิญญาณ ซึ่งเรียกว่าสติปัญญาในที่นี้ คนนั้นก็เป็นคนที่สมบูรณ์ คือมีอาหารทั้งร่างกาย จิตใจและสติปัญญา เขาก็เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เราจะต้องรู้ทำให้มีอาหาร หล่อเลี้ยงกาย หล่อเลี้ยงจิต หล่อเลี้ยงวิญญาณ คือสติปัญญา การทำนาทำสวน หาเงินมาซื้ออาหาร นั้นเลี้ยงได้แต่ทางกาย ต้องรู้จักทำจิตใจให้สงบ ให้อยู่ในร่องในรอยของสมาธิ และมันก็ไม่เป็นบ้า มันไม่เป็นโรคประสาท ให้ละอายแมว เดี๋ยวนี้มันวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ เป็นโรคประสาทนอนไม่หลับ ได้ยินเขาประกาศว่าเมืองไทยนี้เป็นกันตั้ง หกแสนคนแล้วเป็นบ้าตั้ง หกแสนคนแล้ว ที่มันขึ้นทะเบียนอยู่ในโรงพยาบาล ที่ไม่ขึ้นทะเบียนยังมีอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หกแสนคนต่อ ห้าสิบล้านคนนี่มันเท่ากับ หนึ่งเปอร์เซ็นต์ครึ่ง นี่ไม่ใช่เล็กน้อย น่ากลัว เพราะเขาไม่รู้จักหาอาหารให้แก่จิตให้ถูกต้อง จิตมันวิปริตกลายเป็นโรคประสาท และกลายเป็นบ้า แมวไม่เห็นบ้าสักตัวหนึ่ง ไม่เห็นเป็นโรคประสาทสักตัวหนึ่ง ไม่อยากพูดลงไปถึงหมา เดี๋ยวว่าเจ็บเกินไป ดูที่แมว ที่ไก่เป็นต้นไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้ากันสักตัวหนึ่ง แล้วทำไมคนถึงเป็นบ้าเป็นโรคประสาท กันนับไม่ไหว เป็นบ้ากันตั้ง หกแสนคนในประเทศไทย คิดดู เพราะเขาไม่รู้จักให้อาหารแก่จิตใจ ที่นี้สติปัญญาเมื่อไม่ให้อาหารพอมันก็โง่ มันก็โง่ มันก็งมงาย ไม่รู้จะดับทุกข์กันอย่างไร ยิ่งมีเงินมาก ยิ่งเป็นทุกข์มาก ยิ่งมีเกียรติยศ ชื่อเสียงมาก ยิ่งบ้ามาก ยิ่งเป็นทุกข์มาก อย่างนี้เรียกว่ามันขาดทุน มันขาดทุนลงไป ยิ่งมีอะไรมาสำหรับทำให้เป็นทุกข์ มันขาดทุนฉะนั้นความรู้ให้เพียงพอว่า จะดำรงชีวิตจิตใจกันอย่างไร แล้วจะไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้าและมีสติปัญญา ทำทุกสิ่งทุกอย่างแต่ละวัน ละวัน ถูกต้องไปหมด ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น นี่เพราะ เขารู้จักเติมอาหารทุกวัน ทุกวัน อย่างถูกต้องให้แก่ร่างกาย ให้แก่จิตใจให้แก่สติปัญญา ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนไปปรับปรุงกันเสียให้ดี ผู้ที่ยังไม่รู้จักให้อาหารแก่ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณอย่างถูกต้องนั้น ไม่ต้องสงสัย จะต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมวกันอย่างน้อย ที่เหลือจากนั้นก็ไปเป็นบ้าต้องเสียชีวิต ต้องเสียชีวิต เพราะการกระทำที่ผิดพลาดต่อสังคมอะไรต่าง ๆ ก็ต้องเสียชีวิตในที่สุด นี้รวมความว่า สิ่งที่มีชีวิตนั้นอยู่ได้ด้วยอาหาร อย่าว่าถึงมนุษย์เลยแม้แต่เดรัจฉานมันก็อยู่ได้ด้วยอาหาร แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่มันมีชีวิตมันก็อยู่ได้ด้วยอาหาร บรรดาสิ่งที่มีชีวิตมันอยู่ได้ด้วยอาหาร ไอ้เรามันเป็นคนมันไม่ใช่ต้นไม้ มันไม่ใช่วัว ควาย มันต้องการให้อาหารทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ ถ้าไม่ศึกษากันให้เพียงพอมันก็ไม่รู้จักทำให้เพียงพอ ทำให้อาหารเพียงพอ เรียนเรื่องทางโลกนั้น มันเรียนเพื่อเป็นภาพของกิเลสทั้งนั้น ได้มาก็เพียงอาหารของร่างกาย เพียงอาหารทางกาย ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา กลับมาปริญญายาวเป็นหางวาก็ตามเถอะ มันก็รู้จักแต่ให้อาหารกายอย่างเดียว มันไม่หัดให้อาหารทางจิตหรือทางวิญญาณ มีอาหารแต่ทางกายมันอยู่ได้อย่างเดียวเมื่อไหร่เล่า ขอให้คิดดู ขอให้คิดดูฉะนั้นนักศึกษา นักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายช่วยไปคิดกันตอนนี้ด้วย คุณจะต้องรู้จักให้อาหารทั้งแก่ร่างกาย แก่จิตใจ และแก่ดวงวิญญาณอย่างที่กล่าวแล้ว อันนี้ก็ข้อหนึ่งเป็นใจความสั้น ๆ ว่าชีวิตนี้มันอยู่ได้ด้วยอาหาร
นี้ข้อถัดไปก็มีว่า คำว่าสัตว์นี่ คำนี้แปลว่า ข้อง ติดอยู่ เหมือนกะนกติดบ่วง กระต่ายติดแล้ว ไก่ติดบ่วง คำว่าสัตว์ สัตวะ สัตตะ แปลว่าผู้ติดข้องอยู่ ในปัญหา จะเรียกว่าอยู่ในโลภก็ได้ อยู่ในปัญหาก็ได้ อยู่ในกิเลสก็ได้ มันเป็นสัตว์ขึ้นมาแล้ว หมายความว่ามันมีการข้องติดอยู่ในปัญหา ของสัตว์นั้นเองสัตว์ทั้งหลายมีปัญหาที่จะต้องต่อสู้เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ เพื่อเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างถูกต้อง แต่ว่า คนส่วนมากนั้นไม่ได้ข้องติดอยู่ในความเจริญที่ถูกต้องไปข้องติดอยู่ในความเจริญของกิเลส เพราะความโง่เพราะอวิชชา มีโลภะ โทสะโมหะ นั่นแหละชักนำไป มันก็ไปติดข้องอยู่ในกองทุกข์ เพราะว่าสัตว์นี้แปลว่าผู้ติดข้อง ติดข้องอยู่ในสิ่งที่มันคล้องที่มันผูก ที่มันมัด และกลืน ดูเองเถอะว่าเราติดข้องอยู่ในอะไรเดี๋ยวนี้ นี่แหละ คือความหมายของคำว่าสัตว์ ติดข้องอยู่ในของรัก ของพอใจ หรือติดข้องอยู่ในของเลวร้าย เพราะไปมัวแต่มุ่งมาดอาฆาต ขุ่นแค้นกันอยู่มันก็เป็นการติดข้องชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน ขอเราหลุดจากบ่วงเหล่านี้เสียทีเถิด อย่าให้ตา เนี่ยมันโง่เป็นติดอยู่ของสวย ๆ งาม ๆ อย่าให้หูไปติดบ่วง ของไพเราะเพาะพริ้งที่หลงใหลกันนัก อย่าให้จมูกไปติดบ่วงของหอมที่ชอบกันนัก อย่าให้ลิ้นมันไปติดบ่วงรสของอาหารที่แสนจะหลอกลวงกันนัก ได้ยินเขาพูดกันว่าเดี๋ยวนี้กินอาหารกันมื้อละหมื่นก็มี คำละพันก็มี อาหารนั้นแทบจะดูไม่ได้ หมาก็ไม่กิน เพราะมันดีเกินไป อาหารคำละพัน มื้อละหมื่นละแสน มันก็ลิ้นมันไปติดบ่วงของรสอร่อย ผิวหนังก็ไปติดบ่วงของความนิ่มนวล สบาย สบายจนไม่รู้จะสบายกันอย่างไรทางผิวหนัง จิตใจนี้ก็เหมือนกันไปติดบ่วงของการประเล้าประโลม ประเล้าประโลมอย่างยิ่ง จน เคลิบเคลิ้มจนหลง เป็นคนบ้าไปเลยก็ไม่รู้สึกตัว ว่าเนี่ยมันบ้าแล้ว นี้คือการติดบ่วงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าติดบ่วงอย่างนี้เรียกว่ามันเป็นสัตว์ คนนี่แหละ มนุษย์ เทวดานี่แหละ ถ้าว่ามันติดบ่วงอย่างนี้ เรียกว่าเป็นสัตว์ เป็นสัตว์โลกคือติดอยู่ในโลก เป็นคนแท้ ๆ เรียกว่าเป็นสัตว์ ติดข้องอยู่ในบ่วงอย่างนี้ ฉะนั้นรีบถอนตนออกมาเสียจากบ่วง มันถึงจะเรียกว่าเป็นความหลุดพ้น เป็นความรอด เป็นที่มุ่งหมายของศาสนา ทุกศาสนา แหละเขาสอนเพื่อให้รอด เพื่อให้หลุดมาเสียจากบ่วงเหล่านี้ เนี่ยแหละขอให้สนใจไว้ มันต้องรู้จักปลดตัวเองให้หลุดจากบ่วงนะ ต้องปลดจิตใจให้มันหลุดออกมาเสียจากบ่วงอย่าเพิ่มบ่วง เดี๋ยวนี้มีแต่เพิ่มบ่วง เพิ่มเข้าไปอีกทางตา ทางหู ทางจมูก บ่วงมนุษย์ไม่พอ เพิ่มบ่วงสวรรค์ สมน้ำหน้ามัน บ่วงอย่างมนุษย์ไม่พอ มันเพิ่มบ่วงอย่างสวรรค์ ซึ่งมันจะติดลึกเข้าไปอีก พระพุทธเจ้าท่านสอนให้สาวก หลุดพ้นจากบ่วง ทั้งบ่วงทิพย์ และบ่วงมนุษย์ คือทั้งบ่วงสวรรค์ และบ่วงมนุษย์ ไม่ติดบ่วงอะไรเลย บ่วงที่สวยสดงดงามก็ไม่ติด บ่วงที่ดุร้าย น่าเกลียด น่ากลัว สกปรก เน่าเหม็น ก็ไม่ติด เขาเรียกว่าไม่ติดบ่วง จึงเป็นผู้หลุดพ้น เป็นสาวก ของสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้หลุดพ้น เป็นผู้รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา สรุปความข้อนี้ว่า สัตว์ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์นั้น มีความหมายว่า มันติดอยู่ในบ่วง จะพูดกว้างคือมันติดบ่วงของการว่ายเวียนไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ที่มันโง่ มันทำผิดของมันเอง ติดอยู่ในบ่วงของมันเอง มันต้องว่ายเวียนไปตามกรรม ติดอยู่ในกระแสแห่งกรรม ชนิดที่เป็นทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนั้น โลกนี้ ไม่ว่าอยู่ในโลกไหน เป็นคนโง่ทั้งนั้นเลย เป็นสัตว์โง่ทั้งนั้นเลย จึงต้อง ทนทุกข์อยู่ คือสิ่งที่ทำให้ฉลาดและหลุดจากบ่วงนั้น คือ กุศลอันแท้จริง
ที่นี้ข้อต่อไป มีว่าชาวพุทธมีความเห็นอย่างถูกต้องว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้าถือว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา แล้วแต่กฎของอิทัปปัจจยตาพวกอื่นที่เขาถือพระเจ้า เช่นฮินดู เช่นอะไรก็ตามที่เขามีพระเจ้า เขาก็แล้วแต่พระเจ้า ศาสนาที่เขามีพระเจ้า เขาจะพูดว่าแล้วแต่พระเจ้าจะบันดาล ส่วนเราชาวพุทธไม่มีพระเจ้าชนิดนั้น มีพระเจ้าเป็นกฎอิทัปปัจจยตาจึงพูดว่าแล้วแต่กฎของอิทัปปัจจยตา เราจะมีสุขหรือมีทุกข์มันแล้วแต่กฎของอิทัปปัจจยตา เมื่อพวกอื่นเขาจะว่าแล้วแต่พระเจ้าก็ตามใจเขา เพราะเขาชอบอย่างนั้น นี่เราก็ชอบตามแบบของชาวพุทธที่ว่า ทุกอย่างแล้วแต่กฎของอิทัปปัจจยตาทำผิดหรือทำถูกตามกฎของอิทัปปัจจยตา นั่นแหละ มันแล้วแต่การทำผิดหรือทำถูกตามกฎของอิทัปปัจจยตาถ้าทำอย่างนี้ มันก็เกิดผลอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้น ผลมันก็เกิดอย่างนั้น มันแล้วแต่การกระทำ ซึ่งมีกฎของธรรมชาติซึ่งเรียกว่ากฎของอิทัปปัจจยตาควบคุมอยู่ และจะต้องเป็นไปตามกฎ เราจึงพูดสรุปซะเลยว่าทุกอย่างแล้วแต่ อิทัปปัจจยตา พวกอื่นเขาจะว่าทุกอย่างแล้วแต่พระเจ้า แล้ว แต่สวรรค์ แล้วแต่ผีสาง เทวดา แล้วแต่พรหมลิขิต แล้วแต่อะไรก็ตามใจเขา เพราะว่านั่นไม่ใช่พระพุทธศาสนา ถ้าพุทธศาสนา คือกฎของอิทัปปัจจยตาเป็นสิ่งสูงสุด สูงสุดจนพระพุทธเจ้าก็เคารพ บางคนอาจจะยังไม่ทราบ ก็จะพูดให้ทราบกันซะเดี๋ยวนี้เลย เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เสร็จขึ้นมาใหม่ ๆ ท่านคำนึงว่าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะเคารพอะไร คิดไปคิดมาในที่สุดก็เคารพธรรมะ ที่ตรัสรู้นั้นเอง ที่นี้ธรรมะที่ตรัสรู้นั้นคือ กฎอิทัปปัจจยตา ปฏิจสมุปบาท กฎของธรรมชาติ ที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เมื่อทำอย่างนี้ สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อทำอย่างนี้ สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น นี่ก็กฎอิทัปปัจจยตา ปฎิจสมุปบาท พระพุทธองค์ตรัสรู้ ที่เรียกว่า ตรัสรู้ ธรรม คือรู้สิ่งนี้ ที่ว่ารู้ธรรมคือรู้กฎอิทัปปัจจยตา ท่านจึงประกาศขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ อดีต อนาคต ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าทุกองค์เคารพธรรมะ ที่ตรัสรู้เองคือ กฎอิทัปปัจจยตา กฎนี้สูงสุดจนพระพุทธเจ้าเคารพ แล้วพวกเราจะทำอวดดีไปถึงไหนเล่า มันก็ต้องเคารพกฎอิทัปปัจจยตา เมื่อเคารพกฎอิทัปปัจจยตาก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ฝ่ายที่จะไม่ให้เกิดทุกข์ อย่าไปทำให้ ฝ่ายที่ให้เกิดทุกข์ ต้องทำไปในฝ่ายที่จะไม่ให้เกิดทุกข์ อย่าพูดว่าเป็นสุขเลย มันจะบ้าหนักเข้าไปอีก เอาแต่ไม่เกิดทุกข์เลยก็พอแล้ว เราจะทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาฝ่ายที่จะไม่เกิดทุกข์ก็แล้วกัน ถ้าทำอย่างนี้ ผลจะเกิดอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้นผลจะเกิดอย่างนั้น ก็เอาฝ่ายที่ไม่เกิดทุกข์ก็แล้วกัน ทำชนิดที่มีสติปัญญาอยู่ตลอดเวลา กิเลสเกิดขึ้นในใจไม่ได้ และก็ไม่เกิดทุกข์ ไม่มีอวิชชา ความโง่ ไม่มีกิเลสซึ่งเป็นเหมือนมารร้ายเข้ามาครอบงำ นี้เรียกว่าเรายึดถือหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง คือกฎของอิทัปปัจจยตา แล้วประพฤติกระทำให้เป็นไปแต่ในทางที่มันจะไม่เกิดทุกข์ คำตรัสของพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ที่สุดแห่งความทุกข์ท่านไม่พูดให้มันเป็นความสุข เพราะความสุขเป็นของคนโง่ เอาแต่ไม่ทุกข์เลยก็พอแล้ว ไอ้ความสุขนี้มันออกจากปากของคนโง่ที่ชอบรสอร่อย พอใจ เรียกกันว่าความสุข ดูดปากเพื่อจะได้ความสุข ที่จริงมันเป็นเรื่องหลอกลวง ไอ้เรื่องความสุขมันไม่ใช่ตัวจริงอะไร มันเป็นที่พอใจของกิเลสต่างหาก ไปเสียเวลาเป็นเหน็ดเป็นเหนื่อยกับมันทำไม ไม่ไปยุ่งกับมัน อยู่อย่างสงบ ไม่มีความทุกข์ก็พอแล้ว นี้เรียกว่าดำรงตนอยู่ในความถูกต้องของธรรมะ คือกฎของอิทัปปัจจยตา ชาวพุทธจึงพูดว่า เรานี้มีอะไรก็แล้วแต่ กฎอิทัปปัจจยตาที่เรากระทำ ถ้าเราอยากมีพระเจ้าเรียกชื่อพระเจ้าก็คือ กฎอิทัปปัจจยตานั่นแหละเป็นพระเจ้าสูงสุด
ที่นี้จะพูดข้อต่อไปโดยหัวข้อว่า ในชีวิตนี้เกิดมานี่ไม่จัดว่าเป็นบุญหรือเป็นบาปยังฟังความอยู่ เราต่างหากที่ไปทำเข้าให้เป็นบุญหรือเป็นบาป ที่นี้บุญก็ยุ่งไปตามแบบบุญ บาปก็ยุ่งไปตามแบบบาป อย่าเอาทั้งบุญและทั้งบาปเราจะไม่ยุ่งเลย แต่เดี๋ยวนี้เราเมาบุญ ติดฝิ่นในบุญ ติดเฮโรอีนในบุญ หวังบุญ บ้าบุญ มันถอนออกไม่ได้ มันก็ต้องหลงกันไปในบุญ ถ้าถอนออกได้ก็กลายเป็นพระอรหันต์ นี่ฟังดูให้ดีเมื่อเป็นพระอรหันต์ เนี่ยหมดบาป หมดบุญ มันไม่บ้าบาป มันไม่บ้าบุญ มันหมดบุญจึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ ชีวิตที่เขาสร้างมา เขาสร้างมากลาง ๆ ไม่มีบาป ไม่มีบุญ แต่ละคนที่ได้ชีวิตมาค่อย ๆ โง่ ไปในทางที่มีบาป และมีบุญ ก็มันรักอย่างหนึ่ง มันเกลียดอย่างหนึ่ง มันก็เกิดปัญหาขึ้นมา ถ้าเป็นบุญมันก็มีปัญหาอย่างบุญถ้าเป็นบาป มันก็มีปัญหาอย่างบาป ไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมาน มีนางฟ้า มากมาย ก็ยุ่งไปตามแบบเทวดา ถ้าพูดตรง ๆ มันก็บ้าไปตามแบบของเทวดา ถ้าเป็นมนุษย์ไม่ต้องมีมากนัก มันก็ไม่ยุ่งมากเหมือนพวกเทวดา หรือถ้าเป็นสัตว์นรก มันก็บาป มันก็ยุ่ง ไปกับบาป มันสลัดออกไปไม่ได้ มันก็ต้องดิ้นรนอยู่ในกองบาป มันก็ยุ่งในแบบบาป อย่าให้ต้องดิ้นรนไปตามบุญ อย่าให้ดิ้นรนไปตามแบบบาป นั่นแหละที่สุดของความทุกข์ เรียกว่า พระนิพพาน นี้ขอให้คิดดูว่า เด็กเกิดจากท้องแม่ มันไม่รู้ดีรู้ชั่ว มันไม่รู้บุญ รู้บาปหรอก ลองคิดดู สังเกตดูตัวเองก็ได้ สังเกตเด็กเกิดทีหลังเราก็ได้ ถ้าเด็กเกิดจากท้องแม่นั้นไม่รู้เรื่องบุญ เรื่องบาปหรอก แล้วมันค่อยมารู้ทีหลัง รู้ยังไง ก็มันเกิดจากท้องแม่แล้ว มันได้เห็นของสวยงาม หรือของเอร็ด ของอร่อย มันชอบใจ มันก็อยาก มันเป็นของดีวิเศษ มันก็อยาก มันก็ต้องการ มันก็เกิดความอยาก ความโลภขึ้น ทรมานจิตใจมัน ที่นี้เผอิญมันไม่ได้ตามที่มันอยาก มันก็โกรธ แค้น เป็นกิเลส โทสะขึ้นมา เผาจิตใจของมัน ถ้า รัก มันก็อยากได้ มันก็เผาหัวใจเพราะว่าความรัก ถ้ามันไม่ได้อย่างที่ชอบใจ มันก็โกรธเกลียด เผาหัวใจอย่างที่มันโกรธ มันจึงมีความรัก และความโกรธเพิ่มขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย เมื่ออยู่ในท้องแม่ รักก็ไม่เป็น โกรธก็ไม่เป็น คลอดออกมาใหม่ ๆ มันก็รักไม่เป็น โกรธก็ไม่เป็น ต่อเมื่อมันได้ไป เห็นนั่น เห็นนี่ ฟังนั่น ฟังนี่ ดื่มนั่น กินนี่ ได้รับการประคบประหงม บำรุง บำเรอให้รู้จัก แยกกันเป็นอร่อย เป็นไม่อร่อย เป็นสบาย เป็นไม่สบาย มันก็รู้จักเกิดความคิดชนิดที่เป็นกิเลสคือความรักอย่างหนึ่ง คือความโกรธเพราะไม่ได้อย่างใจ อย่างหนึ่ง แล้วความโง่เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร อย่างหนึ่ง นี้เพิ่งเกิดทีหลังนี่ ถ้ายังเป็นเด็ก ที่ไม่มีความรู้สึก กิเลส มันก็ไม่มีความทุกข์อะไร เดี๋ยวนี้พอโตขึ้น โตขึ้นมันก็เริ่มรู้มาก รู้สึกมาก ในทางที่จะรัก จะโกรธ จะเกลียด จะกลัว ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป มันจึงได้มีบุญและบาป ทรมานกันไปเรื่อย ๆ บุญก็ทรมานให้รัก บาป ก็ทรมานให้โกรธ ให้เกลียด และยังแตกแขนงไปเป็น ความโกรธ ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องของบาป ถ้าเมื่อไหร่ มันหมดไปเสียทั้งสองเรื่อง คือว่าไม่ต้องรัก และไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องชอบใจ และไม่ต้องไม่ชอบใจ มันก็อยู่สงบ ถ้ารักมันก็เหนื่อยไปตามแบบของความรัก ถ้าไม่รักมันก็เหนื่อยไปตามแบบของความไม่รัก มันไม่มีทั้งสองอย่างดีกว่า คือไม่มีทั้งบุญ และไม่มีทั้งบาป ไม่มีทั้งดี ไม่มีทั้งชั่ว จึงจะไม่มีความทุกข์เลย แต่มันมากเกินไป มันยังอยู่สูงเกินไป มันยังไม่ถึงนั่น ก็ยังเทียบกันว่าเป็นบุญไปก่อนก็แล้วกัน เพราะว่ามันทรมานอย่างที่พอทนได้ บุญมันหนัก แต่เป็นของหนัก แต่หนักพอทนได้ ถ้าบาปเป็นของหนัก แผดเผาด้วย กัดเอาด้วย อย่าเอาเลย เรื่องบาป เอาเรื่องบุญที่มันพอทนกันไปได้ จนกว่าจะไม่ต้องการบุญ นี่เราอยู่กันเมืองใต้นะ อยากจะบอกให้รู้ว่าปู่ย่า ตายาย ของเรา เขาเคยมีบทกล่อมลูกให้นอนอยู่บทหนึ่ง ท่านทั้งหลายคอยฟังให้ดี ที่มาจากเมืองใต้นี่ เคยได้ยินไหม บทกล่อมลูกให้นอนว่า มะพร้าวนาลิเกต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึงกลางทะเลขี้ผึ้งถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย พ้นบุญเอ้อ ต้นมะพร้าว นา ลิเก อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ที่ต้นมะพร้าวนาลิเก ฝนตกไม่ถึงฟ้าร้องไม่ถึง ฟ้าผ่าไม่ถึงคือไม่มีความทุกข์เลย แต่แล้วมันก็อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ทะเลขี้ผึ้งคือบุญบาป สุขทุกข์ ดีชั่ว เป็นคู่ๆ นั่นเรียกว่าทะเลขี้ผึ้งต้นมะพร้าวมันอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง แต่ที่นั่นไม่มีความทุกข์เพราะฝนตก ฟ้าร้องไม่ถึง ที่นั่นจะไปถึงได้ ก็ต่อเมื่อพ้นบุญ พ้นจากบาปมีบุญ พ้นจากบุญก็ถึงนิพพาน คือต้นมะพร้าวนาลิเก นี่เราละบาปให้หมด มาอยู่ที่บุญ เราละบุญครั้งหนึ่งก็จะไปสู่เหนือบาป เหนือบุญ เรียกว่า นิพพาน ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่สักนิดนึง มีจิตใจชนิดที่ว่า ไม่หิวไม่กระหายอะไรหมด เพราะมันไม่ต้องการทั้งบาปและบุญ เรียกว่าสงบถึงที่สุด นี่ปู่ย่า ตายายของเราชาวเมืองใต้ เขากล่อมลูกกันขนาดนี้ ใครได้ยินบ้าง ใครยังว่าได้บ้างก็ไปปรึกษากันดู ที่บอกนี้เพื่อให้รู้ว่า ปู่ย่าตายายของเราเคยรู้เรื่องนี้นะ ปู่ย่าตายายของเราเคยรู้เรื่องนี้ว่า พ้นบุญก็จะถึงมะพร้าวนาลิเก ซึ่งอยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ทะเลขี้ผึ้งคือวัฏสงสาร มีบุญมีบาป มีดีมีชั่ว มีสุขมีทุกข์เป็นระลอกอยู่เสมอไป ที่เขาเปรียบเป็นขี้ผึ้งหมายความเมื่อมันร้อน มันก็เปลี่ยนเป็นของเหลว มันเย็นมาก มันก็เป็นของแข็ง ขี้ผึ้งพอเย็นมากแข็งเป็นก้อนหินเลย ถ้ามันร้อนก็ละลายเป็นน้ำเลย นั่นแหละทะเลขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งเป็นได้ทั้งเหลวและทั้งแข็ง นี่เรียกว่าบุญและบาป อย่าไปเอากะมัน ถ้าต้องการจะไม่มีทุกข์เลยอย่าไปเอากะมัน ถ้ายังไม่ถึงเอาข้างบุญไว้ก่อน เอาข้างบุญไว้ก่อนละบาปให้หมด มาอยู่กะบุญไปก่อน จนเบื่อบุญ จนเอือมบุญ แล้วจึงค่อยขึ้นไปหาพระนิพพาน คือเหนือบุญ เหนือบาป ที่มันรวมความอยู่ที่ว่า พ้นบุญ พ้นบาป พ้นบุญ พ้นบาป อย่างเดียวกับจุดตั้งต้น เกิดมาไม่มีบุญ มีบาป แต่แล้วมาโง่ สร้างบุญ สร้างบาปขึ้น ครอบตัวเอง ต้องศึกษาต่อไป จึงจะสลัดออกไปได้ ทั้งบุญและทั้งบาป จึงจะไม่มีความทุกข์เลย ไม่ใช่สอนให้เลิกทำบุญ ถ้ายังถึงนิพพานไม่ได้ มันก็ต้องทำบุญกันไปก่อน ทำบุญเพื่อให้สบายใจ เพื่อให้อยู่ในบุญอยู่ในความดี แต่ก็ต้องรู้ว่า มันอยู่กะสิ่งที่ไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลง ยึดถือกันแล้ว หนักทั้งนั้นแหละ เงินทองเพชรพลอย เอามาแบกมันหนักทั้งนั้นแหละ เหมือนก้อนอิฐก้อนหินแบกเข้ามันก็หนักทั้งนั้น แม้แต่เงินทอง เพชรพลอยมันก็หนักทั้งนั้น ถ้าไม่แบก มันจึงจะไม่หนัก เราต้องการหัวใจที่ไม่หาบบาป หาบบุญอะไรไว้จึงจะเป็นความดับทุกข์สิ้นเชิง ปู่ย่า ตายาย ของเราเคยรู้เรื่องนี้มาแล้ว จึงมีบทกล่อมลูกอย่างที่ว่านี้ เราเป็นลูกหลานตายาย ก็ควรจะได้อะไรกันบ้างอย่าให้เสียที ที่เป็นลูกหลานของตายาย นี้เรียกว่าเกิดมามันไม่เป็นบุญเป็นบาป แล้วมาสร้างบุญ สร้างบาปจนเต็มหาบ เต็มคลอน โยนทิ้งไม่ได้เพราะมันอยากในความสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อย นี้เขาบอกว่าบุญก็ยิ่งสนุกกันใหญ่เลย ทุกคนก็ต้องการบุญ เมื่อเอาหนักเข้า หนักเข้า มันก็เพื่อก็ไม่อยาก จะเอาอะไร มันจึงจะเหนือบุญ นี้เป็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ในอนาคต ที่พูดนี้ไม่ใช่ให้ไปทำบาป ไม่ทำบาป มาอยู่ที่บุญ แล้วสักวันหนึ่งก็จะเหนือบุญ หรือพ้นบุญ แล้วก็จะไปนิพพาน ที่พูดว่านิพพานในอนาคตกาล มันอยู่ข้างหน้า ต่อเมื่อเบื่อบุญแล้ว มันจะถึงนิพพาน
ทีนี้จะพูดถึงในสิ่งที่หลงกันมาก ต่อไปอีกข้อหนึ่งว่า เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกลียด นั้น มันให้โทษโดยเท่ากัน ถ้าไปยึดมั่น ถือมั่นด้วยความโง่ เรื่องกินมีกินเอร็ดอร่อย เรื่องกาม กามมาคุณ กามมารมณ์ เรื่องเพศนี่เต็มที่หรือเรื่องเกียรติยศชื่อเสียงก็เต็มที่ ไอ้สาม ก. นี่ กิน กาม เกลียด นี่ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นมันแล้ว มันจะกัด กัดเอาเท่า ๆ กัน ไปหลงยึดมั่นในเรื่องกิน มันก็กัดเอา ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องกาม มันก็กัดเอา ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องเกียรติ มันก็กัดเอา เราไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นกิน หรือเป็นกาม หรือเป็นเกียรติเนี่ย จึงจะไม่ถูกกัด ไม่ว่าสิ่งใดอย่างเดียว ถ้าไปยึดมั่นกันแล้ว จะไม่กัดนั้นไม่มี คือมันทรมานใจ มันกัดหัวใจ ไม่ว่าอะไรที่จะไปยึดมั่นถือมั่นหมายมั่นอย่างยิ่งแล้วจะไม่กัด นั้นไม่มี จะเป็นทรัพย์สมบัติเงินทอง แก้วแหวนเงินทอง ข้าวของ บุตร ภรรยา สามี อะไรก็ตาม ถ้าไปยึดมั่นด้วยความยึดมั่น ด้วยอวิชชา แล้วมันกันทั้งนั้น คือมันหนักอก หนักใจ มันกัดหัวใจ พอมันวิปริตผิดไป มันก็น้ำตาไหล มันก็ต้องร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก มันก็ฆ่าตัวตาย มันก็ต้องไปฆ่าตัวตาย ตามหลักของธรรมะ มีอยู่ว่าไปยึดมั่นอะไรแล้ว จะไม่เป็นทุกข์นั้นไม่มี แม้แต่บุญกุศลถ้าไปยึดมั่นเข้า ก็หนักอกหนักใจเหมือนกัน ไม่ยึดมั่นดีกว่า มีไว้ใช้เหมือนยานพาหนะนั่นแหละดี เรามีวัว มีควาย ไม่ต้องไปหลงรัก มันเป็นทุกข์ เรามีรถ เรามีเรือ เรามีอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้มาก ก็ไม่ต้องไปยึดมั่นให้มันเป็นทุกข์ ให้มันหนักอกหนักใจ เรารู้แต่ว่ามีหน้าที่ว่าต้องทำอย่างไร ก็ทำไป โดยไม่ต้องไปยึดมั่น นี่เรียกว่าจงทำหน้าที่ ทำการทำงาน ทำไร่ ทำนา ทำอะไรไปโดยไม่ต้องยึดมั่น ถ้าไปยึดมั่น มันจะกัดหัวใจเราทันที นี่ไปสังเกตดูให้ดีเถอะว่า ไม่มีอะไรที่ว่าไปยึดมั่นแล้วไม่กัดนั้นไม่มี อะไรที่เรารักมาก ยึดมั่นมาก นี่มันจะกัด กัด กัดมาก จะมีวิตกกังวลมากนอนไม่หลับ จนเป็นโรคประสาท ไอ้โรคประสาทเนี่ย มาแต่สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นทั้งนั้นแหละ อะไรที่เรายึดมั่นถือมั่นจนนอนไม่หลับ กัดหัวใจ ทรมานใจ จนเป็นโรคประสาท ฉะนั้นให้เรารู้ให้ดี รู้จักให้ดี ไอ้ที่เราชอบกันนัก เรื่องกิน ก็ดี เรื่องกามก็ดี เรื่องเกียรติก็ดี มันกัดเอาเท่ากับ ถ้าไปยึดมั่นมัน ถ้าไม่ยึดมั่น ก็ใช้ ใช้ อย่างของธรรมดา ใช้เป็นเครื่องมือให้เป็นประโยชน์ เหมือนวัว ควาย ไร่นา เรือแพ ก็ใช้ไปสิ ไม่ต้องเอามาทูลไว้บนหัว ไม่ต้องเอาควายเอานา มาทูลไว้บนหัว ไม่ต้องเอาเรือเอาแพมาทูลไว้บนหัว ให้มันอยู่ตามเรื่องของมันใช้ให้เป็นประโยชน์ นี่เรื่องที่มันชอบกันนัก มันเอามาใส่ไว้บนหัวคือบนหัวใจ มาท่วมหัวใจ เรื่องกินอร่อย เรื่องกามารมณ์อัน เป็นเรื่องที่หลงใหลกันนัก เรื่องเกียรติยศชื่อเสียงที่หลงใหลกันนักเอามาสุมไว้บนหัว มันต้องเป็นโรคประสาทแน่ และเป็นบ้าในที่สุด และมันเป็นทุกข์ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ทุกข์ตลอดเวลาก็อย่าเอามาใส่ไว้ ในจิตใจ คืออย่ายึดมั่นถือมั่นด้วยจิตใจ ใช้มันไปด้วยสติปัญญา ให้มันเป็นสิ่งที่รับใช้เรา อย่าให้เรารับใช้มัน อย่างมีเงินอย่าให้เงินเป็นนายเรา แต่ให้เราเป็นนายเงิน ถ้าให้เงินเป็นนายเรา เรานอนไม่หลับแน่ และไม่เท่าไหร่ก็เป็นบ้า เราเป็นนายเงินใช้มันให้ถูกต้อง หามันให้ถูกต้องเก็บไว้ให้ถูกต้อง ด้วยสติปัญญา ก็ได้รับความสะดวกสบายตลอดเวลา และจะมีเงินใช้ ถ้าใช้ไม่เป็นมันกัดเอา มันทำให้เกิดความทุกข์ และมันจะหมดด้วยซ้ำไป มันจะทำให้เจ็บปวดหลายอย่าง หลายประการ นี่เรียกว่า ระวังให้ดีนะ ไอ้สิ่งที่ชอบกันนัก บูชากันนัก การได้กินอย่างเอร็ดอร่อย ได้กามอย่างเอร็ดอร่อย ได้เกียรติอย่างถึงอกถึงใจ นี่ระวังให้ดี มันเป็นของที่หลอกให้ยึดมั่น พอยึดมั่นแล้วมันกัด มันหลอกให้ยึดมั่น พอเรายึดมั่นมันกัด พอเราไปหลงรักมัน มันก็กัด เหมือนกับสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่อง ไอ้สามตัวนี้เป็นสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่อง ไปยึดมั่นแล้วมันกัดทั้งนั้น ถ้าเรามีธรรมะ เราก็ไม่ยึดมั่น ไม่ต้องยึดมั่นในสิ่งใดๆ เราก็ไม่ถูกอะไรกัด เราก็ต้องไม่มีความทุกข์ นี้เรียกว่าเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น มันเป็นโทษแก่ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นเสมอกัน ถ้าจะเขียนเป็นหัวสั้น ๆก็คือ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น มันมีโทษแก่คนที่ยึดมั่นเสมอกันทั้งสามอย่างไม่น้อยกว่ากัน ไม่มากกว่ากัน
ที่นี้ข้อต่อไปก็ว่า มนุษย์ที่ไม่รู้จักความลับ ของความเป็นมนุษย์นี่ มันเป็นมนุษย์ไม่ได้ ฟังดูดีดีว่า มนุษย์ที่ไม่รู้จักความลับของการเป็นมนุษย์นั้น มันจะเป็นมนุษย์ไม่ได้ ที่นี้ความลับของการเป็นมนุษย์นั้นคืออะไร คือเป็นมนุษย์ให้มันถูกต้อง ถ้าเป็นมนุษย์และจิตใจมันสูง มานะแปลว่าใจ อุตสะแปลว่าสูง มนุษย์แปลว่ามีใจสูง สูงเหนือปัญหาคือไม่มีปัญหา สูงจนเกิดปัญหาไม่ได้ นี่คือความลับของความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์แล้วยังเกิดปัญหาต่าง ๆ นานา อยู่มันยังไม่เป็นมนุษย์ มันเป็นมนุษย์ไม่ได้เพราะมันไม่รู้ความลับของความเป็นมนุษย์ว่ามันต้องอยู่เหนือปัญหา ทุกทุกอย่าง ทุกประการ ถ้าอยากเป็นมนุษย์ต้องมีใจสูงอยู่เหนือความทุกข์เหนือปัญหา ถ้ายังทุกข์กลุ้มรุมอยู่อย่างนี้ ยังไม่เป็นมนุษย์ ฉะนั้นบอกได้เลยถ้ายังเป็นโรคประสาทอยู่ยังไม่เป็นมนุษย์หรอก เพราะปัญหาและความทุกข์มันท่วมทับมากเกินไป จนเป็นโรคประสาท ใจมันก็อยู่ต่ำใต้นั้น ที่นี้ถ้าพูดให้ดีกว่านี้อีก ก็ต้องอยู่เหนือโลก มนุษย์หนะ อย่าให้อะไร อะไรในโลกมาท่วมทับหัวใจได้ โลกนี้ไม่มีอะไรมาก มีแต่หกอย่างคือว่า ไอ้สิ่งที่เราจะรู้ได้ทางตา สิ่งที่เราจะรู้สึกได้ทางหู สิ่งที่เราจะรู้สึกได้ทางจมูก สิ่งที่เราจะรู้สึกได้ทางลิ้น สิ่งที่เราจะรู้สึกได้ทางผิวหนัง สิ่งที่เราจะรู้สึกได้ทางจิตใจ หกอย่างนี้จะมีเท่าไหร่ก็ตามเราเรียกว่าโลก อย่าให้มันมาทับเราอย่าให้มันมาอยู่เหนือจิตใจของเรา เราจึงจะมีจิตใจสูง ถ้ามีจิตใจต่ำสิ่งเหล่านี้มาทับเอา ทับลงไป ทับลงไป จนไม่เป็นมนุษย์แหละ คือ เป็นโรคประสาท เป็นบ้า หรือตายเลย อย่าให้รูป รส กลิ่น เสียง บทสัพพะ ธรรมารมณ์มาทับ พอมันเข้ามาทางตา ก็รู้ว่ามันอย่างนี้มันหลอกกูไม่ได้ กูจะไม่หลงเรื่องสวย เรื่องไม่สวย เข้ามาทางหูอย่างนี้ กูจะไม่หลอก กูจะไม่หลงว่า เพาะหรือไม่เพาะ เอาแต่สำเร็จประโยชน์ เข้ามาทางจมูก กูก็ไม่หลงกะมึง ว่าหอมหรือเหม็น ไม่หลงไม่สนใจ เข้ามาทางลิ้นอร่อยหรือไม่อร่อยกูก็ไม่หลงกะมึง ไม่สนใจเรื่องหลงอร่อย หลงไม่อร่อย เป็นฟืนเป็นไฟไปอย่างนี้ไม่เอากะมัน ไอ้นิ่มนวลทางผิวหนังนี่ก็เหมือนกัน จะนิ่มนวล หรือกระด้างกูก็ไม่หลงกะมัน อารมณ์ดีอารมณ์ร้ายเกิดขึ้นในใจกูก็ไม่หลงกะมัน ดำรงจิตไว้ไม่ให้มีดีมีร้าย นี่เรียกว่าผัสสะในสิ่งทั้ง หกนั้นไม่มาครอบงำเราได้ ไม่มาครอบงำจิตใจของเราได้ จิตใจนั้นก็อยู่สูง นั่นแหละคือความเป็นมนุษย์ ถ้าจิตใจมันต่ำ มันโง่ มันไปอยู่ใต้ความสวยไม่สวย เพาะไม่เพาะ หอมหรือเหม็น อร่อยไม่อร่อย นิ่มนวลหรือกระด้าง ดีร้าย เนี่ยเรียกจิตมันไปอยู่ใต้ นี้จิตมันไม่สูงแล้วไม่ใช่มนุษย์แล้ว มันเป็นสัตว์ธรรมดาสามัญเกินไปแล้ว มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว ถ้าใครอยากจะเป็นมนุษย์ก็ขอทำจิตใจให้สูง สูง จนอยู่เหนือปัญหาเหล่านี้ เรียกว่าอยู่เหนือโลกก็ได้ เพราะว่าโลก ไม่มีอะไรมากไปกว่า รูป เสียง กลิ่น รส บทสัพพะ ธรรมารมณ์ ถ้าสิ่งหกอย่างนี้ ไม่มาย่ำยีจิตใจเราได้ ก็เรียกว่าเรามีจิตใจสูง เพราะมีจิตใจสูงจึงเรียกว่ามนุษย์ คือสัตว์ที่มีจิตใจสูง เราก็เป็นมนุษย์ รอดตัว เราต้องรู้ความลับของการเป็นมนุษย์กันอย่างนี้ จึงจะเป็นมนุษย์ได้ ถ้าเราไม่รู้ความลับของการเป็นมนุษย์เราก็เป็นมนุษย์ไม่ได้ ฉะนั้นขอให้จำข้อความสั้น ๆว่า ถ้าไม่รู้ความลับของความเป็นมนุษย์แล้ว เป็นมนุษย์ไม่ได้ นี่ถ้าจะจดก็จดเพียงเท่านี้ ถ้าไม่รู้ความลับของการเป็นมนุษย์จะเป็นมนุษย์ไม่ได้ นี้เวลาชั่วโมงแล้ว อาตมาก็ไม่ค่อยสบาย จะยุติการบรรยาย ขอให้ท่านทั้งหลายทบทวนที่ได้กล่าวมาแต่ต้น เป็นหัวข้อ เป็นหัวข้อ จดจำไว้ได้ง่าย ๆว่า ธรรมชาติไม่ได้ สร้างมาให้เป็นบุญหรือเป็นบาป เรามาสร้างขึ้นเอง เราก็เป็นทุกข์เอง เราต้องอยู่เหนือบุญ เหนือบาป เป็นนิพพานนั่นแหละเราจึงจะไม่มีความทุกข์ เรื่องเพศนั้นเพื่อไม่ให้มนุษย์สูญพันธุ์อย่าเอามาเป็น มาบูชาเป็นเทพเจ้าเลย การล้างบาปจะทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่สำเร็จด้วยพิธีรีตอง หรือผีสางเทวดาที่ไหน สิ่งที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร จงให้อาหารทั้งกาย ทั้งจิต ทั้งวิญญาณ ให้อาหารให้ครบถ้วน คำว่าสัตว์แปลว่าข้องอยู่ในกองทุกข์ ต้องหลุดออกจากกองทุกข์จึงจะเรียกว่าพ้นจากการเป็นสัตว์คือเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง สิ่งที่มีอำนาจสูงสุดคือธรรมะ ที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา เป็นกฎสูงสุดเด็ดขาดของธรรมชาติ ถ้าทำลงไปอย่างนี้ผลจะเกิดอย่างนี้ ถ้าทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้นมันจะกัดคนที่เข้าไปหลงยึดถือมัน อย่าต้องไปหลงยึดถือเลย ในที่สุดเป็นมนุษย์กันให้ได้ มนุษย์ไม่ควรจะบูชาอะไรนอกจากความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ อย่างนี้เรียกว่าเคารพต่อความเป็นมนุษย์ ก็จะพ้นจากปัญหา ทุกอย่างทุกประการ ถ้าว่ามีจิตใจอยู่สูงเหนือปัญหาทุกอย่างทุกประการ ท่านทั้งหลายจะได้กำหนดจดจำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ตามสมควรแก่เรื่อง อาตมาต้องขอยุติ เพราะไม่มีแรงจะพูดแล้ว ขอยุติการบรรยายในคราวนี้ เอาไว้เพียงเท่านี้ และขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย มาจากทางเหนือ มาจากทางใต้ มาสู่สถานที่นี้และหวังว่าจะได้รับประโยชน์ คือมีความรู้เรื่องธรรมะ จึงได้สนองความประสงค์ของท่านทั้งหลายด้วยการบรรยายธรรมะให้ฟังตามที่จะทำได้ ในโอกาสนี้ซึ่งไม่ค่อยสบายนัก และจะขอแสดงความยินดีแก่ท่านทั้งหลาย และจะขอ จะขอสนองความประสงค์ของท่านตามที่จะทำได้ ตามที่เรี่ยวแรงจะมี เดี๋ยวนี้เราก็มานั่งกันกลางดิน ขอให้จดจำไปอย่าได้ลืม ว่ามาที่สวนโมกข์ และก็เลยได้นั่งกลางดิน การนั่งกลางดินนี้เป็นเกียรติสูงสุดของพุทธบริษัท เป็นที่นั่งที่มีเกียรติที่สุดของพุทธบริษัทคือการนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนกลางดิน พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่กลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดินไปเห็นมาแล้ว แล้วในที่สุดท่านก็นิพพานคือตายกลางดิน ไม่มีอะไรไม่ใช่กลางดินเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอให้ชอบดินอย่าทะเยอทะยานให้เกิดกิเลสเลย จำการนั่งกลางดินในที่นี้ให้ทีนี้เอามือลูบดิน รักดิน รักแผ่นดิน รักโคนต้นไม้กลางดินซึ่งเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอนกันอยู่ และเป็นที่นิพพานของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็จะลืมกันยาก ก็เลยมานั่งกลางดิน ในที่อันศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระพุทธเจ้า ขอให้นึกไว้อย่างนี้เสมอไป อาตมาก็ขอยุติการบรรยายไว้ เพียงเท่านี้ ด้วยกัน หวังว่าท่านทั้งหลายจะเอาข้อความเหล่านี้ไปคิดนึก ศึกษา ปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ตามสมควรแก่สติปัญญา มีความสุขสวัสดี คือไม่มีความทุกข์ยิ่งๆ ขึ้นไป ทุกทิพา ราตรีกาลเทอญ
บทสวดมนต์ (ต่อจากบทสวดมนต์เป็นบทให้พรของท่านพุทธทาสเป็นภาษาใต้ ดิฉันไม่ค่อยถนัดจึงขอจบการถอดความเท่านี้)