แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษา ครูบาอาจารย์ และท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ขอแสดงความยินดี ก่อนอื่นทั้งหมด ขอแสดงความยินดีในการที่ได้เห็นท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นนักศึกษา มีความสนใจในธรรมถึงกับพยายามพากันมาถึงที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ในทางธรรม นี่ยินดีที่ว่ามันเป็นการถูกต้องอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีธรรมะมากขึ้นเท่ากับความยุ่งเหยิงยุ่งยากของโลกปัจจุบัน และขออนุโมทนาในการทำเช่นนี้ คือ หาทางแก้ปัญหาด้วยการมีธรรมะอาตมาไม่ค่อยสบายนะที่จริง แต่เพราะความยินดีแล้วก็รู้สึกอนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลายจึงพยายามมาพูดกัน ตามที่คิดว่าจะพูดได้ ทั้งที่ไม่ค่อยสบาย เพราะความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย
การที่เตรียมหาธรรมะเป็นความรู้ไว้สำหรับจะแก้ไขปัญหาอันจะเกิดขึ้นมาในอนาคตนี้ นับว่าเป็นความฉลาดอย่างยิ่ง แต่บางคนยังจะคิดว่าเป็นเรื่องครึคระในการที่จะเอาธรรมะมาแก้ปัญหาของมนุษย์ ขอให้เข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง ว่าความทุกข์ก็ดี ปัญหาก็ดี นานาชนิดนี้มันเกิดขึ้นมาจากการประพฤติกระทำไม่ถูกต้องตามที่ควรจะกระทำแก่ชีวิตนั่นเอง นี่ขอให้ผู้ที่ยังไม่เคยฟังได้ฟังเสียว่า ไอ้คำว่า ธรรมะ ธรรมะ นี่ มันแปลว่า หน้าที่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องแก่ความมีชีวิตของตน เข้าใจว่านักเรียนนักศึกษาจะเคยได้ยินได้ฟังมาแต่เพียงว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือของพระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆ ธรรมะนี้ แปลว่า หน้าที่ เป็นสิ่งที่มนุษย์รู้จักก่อนมีพระพุทธเจ้า ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด มนุษย์ก็รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด เมื่อมนุษย์เริ่มรู้สึกว่ามีความทุกข์ มีปัญหา แล้วค้นหาสิ่งที่จะดับทุกข์หรือแก้ปัญหาเหล่านั้นพบขึ้นมา เท่าไรก็ตาม เล็กน้อยก็ตามหละ เขาเรียกมันว่า ธรรมะ ธรรมะ นี่ตามภาษาอินเดีย เพราะ ธรรมะ คำนี้เป็นภาษาอินเดีย ก็ต้องเป็นภาษาของชนชาวอินเดีย ในสมัยโบร่ำโบราณ เรียกว่า ธรรมะ สำหรับจะดับทุกข์และแก้ปัญหาในชีวิต มีผู้รู้ธรรมะเกิดขึ้นหลายพวก ก็เรียกว่า ธรรมะของคนชื่อนั้น ธรรมะของคนชื่อนี้ แล้วแต่ว่า ผู้พบทีแรกนั้นเขาจะสอนอะไร อย่างไร พวกไหนชอบใจธรรมะของใคร ก็ศึกษาและปฏิบัติธรรมะของคนๆ นั้น คำนี้ได้ใช้เรื่อยๆ มา จนกระทั่งถึงสมัยที่พระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้น ในประเทศอินเดีย ก็ยังใช้คำว่า ธรรมะ อยู่นั่นเอง
ประชนชนในประเทศอินเดีย เขาก็็็็็จะถามกันว่า ท่านชอบใจธรรมะของใคร ชอบใจธรรมะของพระสมณะโคดม หรือชอบใจธรรมะของนิครนถนาฏบุตร ชอบใจธรรมะของมักขลิโคศาล เป็นต้น ตามชื่อของศาสดาที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งอยู่ในสมัยนั้น นี่ธรรมะ หมายความว่า คำแนะนำหรือคำตอบต่อปัญหาที่ว่าจะดับทุกข์กันได้อย่างไร เมื่อเราดูถึงความหมายอันแท้จริง คำว่า ธรรมะ มันก็หมายถึง วิธีที่จะดับทุกข์คือแก้ปัญหานั่นเอง ความหมายแท้จริง มันแปลว่า หน้าที่ หน้าที่ที่เขาจะต้องกระทำเพื่อดับทุกข์ของเขาโดยเฉพาะ เดี๋ยวนี้เราพูดให้เข้าใจง่าย ในคำๆ นี้ ว่า ธรรมะนั้นมี ๔ ความหมาย คือ ธรรมะ หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติทั้งหมด ทั้งรูปธรรมและนามธรรมนี่อย่างหนึ่ง และธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติที่ควบคุมธรรมชาติเหล่านั้นอยู่ นี่ก็อย่างหนึ่ง ธรรมะ คือ หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้นๆ นี่ก็อย่างหนึ่ง อันนี้ขอให้เข้าใจความหมายที่ ๓ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้อง ทีนี้ธรรมะในความหมายที่ ๔ คือ ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่นั่นเอง ธรรมะเรียกว่า หน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำให้เกิดความรอด
คำว่า ความรอด นี่ช่วยจำไว้ด้วย เป็นไอ้คำรวมของทุกศาสนาก็ว่าได้ เขาจะเล็งถึงความรอดเป็นจุดหมาย แต่ว่าความรอดนี้มันมีอยู่ ๒ ระดับ รอดตาย นี่ระดับแรก ครั้นไม่ตาย รอดชีวิตอยู่ได้ ก็รอดจากความทุกข์ทั้งปวง มันมีอยู่กัน ๒ รอด เราสังเกตกันให้ดีว่า รอดชีวิตอยู่ได้นี่ก็เป็นความรอดเหมือนกัน การทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ก็เป็นธรรมะ ประพฤติถูกต้องตามธรรมะก็รอดชีวิตอยู่ได้ ครั้นรอดชีวิตอยู่ได้แล้วก็มาเผชิญกันเข้ากับปัญหาหรือความทุกข์ของผู้ที่มีชีวิต ก็เลยจะต้องหาวิธีรอดจากความทุกข์ต่างๆ อย่างที่เรากำลังมีอยู่นี่ เราทุกคนไม่ตาย แต่มีปัญหาคือความทุกข์ ต้องรอดจากความทุกข์นี่ทีหนึ่ง เป็นการรอดครั้งที่ ๒ ถ้ารอดหมดจดสิ้นเชิง สูงสุดเด็ดขาดไปเลย ก็เป็นการรอดที่ชั้นสูงสุด ที่เรียกว่า พระอรหันต์ หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก เพราะฉะนั้นธรรมะ คือ สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำเป็นหน้าที่เพื่อให้เกิดความรอด เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาต่างๆ ในชีวิตนี้ สำหรับผู้ที่ยังศึกษาอยู่ก็ดี ผู้ที่จบการศึกษาแล้วประกอบการงานก็ดี แล้วก็ยังมีปัญหาเกิดมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือกิเลสนั่นแหละ จึงต้องหาวิธีที่จะเอาชนะความทุกข์หรือปัญหาเหล่านี้ให้ได้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องสนใจ สำหรับสิ่งที่มีชีวิต ธรรมะ แปลว่า หน้าที่เพื่อรอดอยู่ได้ ต้นไม้ ต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้ก็มีชีวิต มันก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ มันทำหน้าที่ของมันตลอดเวลาแหละ เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ตามแบบของสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำให้ถูกต้องตามความหมายของความเป็นมนุษย์ให้รอดชีวิตแล้วก็ให้รอดจากความทุกข์ทั้งปวง จึงกล่าวได้ว่า ไอ้ชีวิตทุกระดับ ทุกชนิดจะต้องมีธรรมะของมัน คือ การทำหน้าที่ให้ถูกต้องให้รอดอยู่ได้ แต่ถ้ามันทำหน้าที่ผิดๆ มันก็ต้องตาย ทำหน้าที่ผิดๆ ก็เรียกว่า ไอธรรมะฝ่ายผิด ใช้ไม่ได้ เมื่อพูดว่าธรรมะ ธรรมะคือฝ่ายถูกหรือธรรมะฝ่ายขาว ธรรมะฝ่ายผิดนั้นก็เรียกว่า ธรรมะฝ่ายดำ ทำกันแล้วเกิดผลตรงกันข้าม คือ เป็นอันตรายแก่ผู้ประพฤติและกระทำ ฉะนั้นขอให้เราสนใจสิ่งที่เป็นหน้าที่ที่จะให้รอดได้ และสิ่งนั้นเรียกว่า ธรรมะ พอได้ประพฤติกระทำเข้าแล้วก็พอใจ เพราะว่า ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดของสิ่งที่มีชีวิตก็พอใจ พอใจก็ทำสนุกและเป็นสุขในการกระทำ นี่เป็นหลักเกณฑ์อันหนึ่งที่อยากจะฝากไว้แก่ท่านทั้งหลายทุกคนว่า ให้เห็นธรรมะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อรอดอย่างที่ว่า หากว่าได้ทำแล้วจงพอใจ จงยินดี กระทำสนุกเมื่อกำลังทำนั่นเอง ที่เป็นพื้นฐานเราจะต้องหาอาหารกิน แล้วยังต้องถ่ายอุจจาระ ต้องถ่ายปัสสาวะนี่ก็เป็นหน้าที่ เราไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันก็ตาย อะไรที่เราจะต้องทำ แม้เล็กน้อย เช่นว่า ตื่นขึ้นมาจะต้องล้างหน้า ต้องแปรงฟัน ก็เป็นหน้าที่ ก็เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะในระดับน้อยที่สุด แต่ก็ต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่ อะไรที่เป็นการกระทำเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้แล้วก็ต้องทำ เมื่อทำก็จงพอใจ พอใจก็เป็นสุขทันที ถ้าไม่พอใจก็ไม่มีความสุข ขอให้มองเห็น เข้าใจเป็นหลักว่า ไอความสุขนั้นต้องเกิดมาจากความพอใจ ถ้าไม่พอใจไม่มีทางที่จะเป็นสุข คนโง่อาจจะไม่รู้สึกพอใจ เมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้รอดอยู่ได้ เพราะมันไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เราไม่ใช่เป็นคนโง่ถึงขนาดนั้น เราก็พอใจทุกๆๆ ชนิดของการกระทำที่เป็นหน้าที่ที่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ การเรียนหนังสือ มันก็คือ สิ่งที่จะช่วยให้มีความรู้ มีความเข้าใจ รอดชีวิตอยู่ได้ ในที่สุดก็ไปทำการงาน เมื่อทำการงานก็ได้รับความพอใจก็เป็นสุขในการทำงาน สำหรับนักเรียน นักศึกษา การศึกษาก็เป็นการงาน มันต้องทำให้เกิดความสนุกและพอใจ นั่นแหละ คือ มีธรรมะโดยแท้จริง
ที่จะต้องไปโรงเรียนเพราะพอใจว่าเป็นความถูกต้อง นั่งเรียนอยู่ก็พอใจว่าถูกต้อง เรียนอยู่ก็เรียนด้วยความพอใจ แม้พักผ่อนก็พอใจ เพราะว่าการพักผ่อนมันก็เป็นความจำเป็นสำหรับผู้ที่จะทำการงาน ถ้าเราไม่พักผ่อน มันก็ไม่มีกำลังที่จะทำงาน ฉะนั้นการพักผ่อนก็รวมอยู่ในการงาน ฉะนั้นขอให้รู้จักพักผ่อนให้มีประโยชน์ในการที่จะทำการงาน คือให้พักผ่อนที่แท้จริง อย่าไปพักผ่อนชนิดที่ทำลายกำลังวังชาไปเสียอีก คนโง่พักผ่อนด้วยการดูไปหนัง ดูละครหรือไปเที่ยวชนิดที่มันเป็นการทำลายกำลัง ต้องใช้กำลัง ไม่ใช่การพักผ่อน ดูหนัง ดูละครไม่ใช่การพักผ่อน การพักผ่อน คือ ทำให้นอนหลับสนิททางกาย และหลับทางสนิททางจิตใจโดยการทำสมาธิ นี่พักผ่อนทั้งทางกายและทางจิตอย่างนี้เป็นการพักผ่อน เสร็จแล้วก็มีกำลังเพิ่มขึ้น สำหรับจะทำการงานต่อไป จึงใช้คำอีกคำหนึ่งว่าความถูกต้อง เราต้องมีความถูกต้องทุกๆ อิริยาบถ ให้พิสูจน์เห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวอิริยาบถนี้มีความถูกต้อง อย่างเช่น มาที่นี่ก็มองเห็นว่าเป็นการถูกต้องก็พอใจ แล้วกลับไปบ้านมันก็เป็นความถูกต้องและพอใจ ทำอะไรที่นี่หรือที่บ้าน ทุกอย่างมันถูกต้องแล้วก็พอใจ พอใจว่าเราได้กระทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ คือ ธรรมะ พอใจว่ามันเป็นความถูกต้องไปทั้งหมด ทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ เท่านี้ก็พอ เรานั่งอยู่ตรงนี้ก็พอใจว่าถูกแล้วเพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วก็ทำ หรือจะกลับไปพักนอนมันก็ต้องถูกต้อง จะศึกษาก็ถูกต้อง อะไรก็ถูกต้อง มีแต่ความถูกต้องไปเสียทั้งนั้นไม่มีความผิด แล้วก็พอใจว่ามันเป็นไปด้วยความถูกต้องทั้งนั้น เราก็พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้
เมื่อใดพอใจในความถูกต้องของตนจนยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นคือสวรรค์ที่แท้จริง ไม่ใช่สวรรค์หลอก ไม่ใช่สวรรค์หลอกลวง ระวังสวรรค์ สวรรค์มันเป็นเรื่องหลอกลวงเสีย ก็มีนะ แต่ถ้าว่าความพอใจที่เกิดมาจากกระทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องจนกระทั่งยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละคือสวรรค์ที่แท้จริงไม่มีทางหลอกลวง มีแต่ทางถูกต้อง เมื่ออะไร เมื่อใดทำสิ่งที่มัน ทำให้เกลียดตัวเอง เมื่อนั้นมันเป็นนรก ช่วยจำไว้เถอะ เมื่อใดทำชนิดที่ตัวเองต้องเกลียดชังตัวเองเมื่อนั้นมันเป็นนรก ส่วนสวรรค์นรกต่อตายแล้วมันขึ้นกับสรรค์นรกที่นี้ และเดี๋ยวนี้ ถ้าเราได้สวรรค์ชนิดนี้อยู่ตลอดเวลาทุกวันๆ ตายแล้วก็ได้สวรรค์ทุกชนิดแหละ มันจะมีกี่ชนิดก็ตามใจแต่ต้องได้ ถ้าเราตกนรกอยู่ที่นี่ซะแล้ว เกลียดชังตัวเองที่นี่เสียแล้ว เป็นนรกที่นี่แล้ว ตายแล้วก็ไปตกนรกได้ทุกชนิด ไม่ว่านรกหรือสวรรค์หลังจากตายแล้วมันขึ้นอยู่กับสวรรค์หรือนรกที่มีอยู่ที่นี่ คอยระวังให้ดีที่สุด อย่าตกนรกกันที่นี่ ให้ได้สวรรค์กันที่นี่
ค่ำลงก่อนแต่จะนอนก็คิดดู มันมีแต่ความถูกต้อง ความดีไปทั้งวัน ก็ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วจึงนอน นี่มีสวรรค์กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ให้ได้อย่างนี้ทุกวัน ทุกวัน พอตื่นขึ้นมาจากนอน ในเวลาเช้านั้นก็เตรียมพร้อมเสมอที่จะไปทำสิ่งที่เรียกว่าถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ธรรมะคือหน้าที่ เป็นนักเรียนก็ทำหน้าที่ของนักเรียนให้ถูกต้องถึงที่สุด จะเป็นชาวนาก็ทำนาให้ดีที่สุด มีธรรมะอยู่กลางนานั่นแหละ ชาวสวนก็ทำสวนให้ที่ดีที่สุด มีธรรมะอยู่กลางสวน คนค้าขาย ก็ธรรมะมีในการค้าขายอย่างถูกต้อง เป็นข้าราชการก็มีธรรมะอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างถูกต้อง เป็นกรรมกรก็พอใจในหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง
ในเมื่อสิ่งต่างๆ มันระบุให้คนไหนมีหน้าที่อย่างไรก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคนกรรมกรก็มีธรรมะ เมื่อทำงานกรรมกร เมื่อถีบสามล้อ เมื่อแจวเรือจ้าง เมื่อล้างท่อถนน อะไรก็ตาม มันมีความถูกต้องอยู่ในนั้นแล้ว มันก็เรียกว่า มีธรรมะ แม้จะนั่งขอทานอยู่ก็ขอทานอย่างถูกต้อง ถ้าสถานการณ์บังคับให้ต้องขอทาน ก็ไม่เป็นไร ก็ปฏิบัติธรรมะของคนขอทาน ธรรมะของคนขอทาน ธรรมะของคนยากจน ธรรมะของคนมั่งมี หรือมีกันเป็นอย่างๆ แต่ละอย่าง ละอย่างไปเลย ถ้าจะต้องขอทาน ก็ขอทานอย่างถูกต้อง เป็นคนขอทานที่มีธรรมะแล้วก็พอใจด้วย ไม่เท่าไรก็จะพ้นจากภาวะขอทาน มันรอดตัวได้แหละ ขอให้ประพฤติธรรมะ คือ ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ฉะนั้นขอให้ทุกคนรู้ว่า ธรรมะคือหน้าที่อย่างนี้ เรากำลังมีหน้าที่อย่างไรก็จงทำให้ดีที่สุด เป็นนักเรียนก็มีธรรมะของนักเรียน เป็นครูบาอาจารย์ก็มีธรรมะของครูบาอาจารย์ เป็นบิดามารดาก็ปฏิบัติ ธรรมะหน้าที่ของบิดามารดา แล้วแต่ว่ามันจะต้องมีหน้าที่อะไรสักกี่อย่าง ก็ทำให้ดี ให้ดี ให้ถูก จนยกมือไหว้ตัวเองได้ทั้งนั้น นี่คือความรอดของคนทุกชนิด ทุกระดับ คือ ไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน ธรรมะคือ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตมีความหมายอย่างนี้ เมื่อท่านทั้งหลายสนใจในธรรมะ ก็คือ สนใจในหน้าที่นั่นเองแล้วก็ไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน จนตลอดชีวิตมันก็มีแต่ความก้าวหน้า ที่มันวิเศษ ประเสริฐ ก็เพราะว่าเมื่อพอใจแล้วเป็นสุขแท้จริง ก็รู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ถูกต้องเป็นสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่แท้จริง เมื่อทำงาน กำลังทำงาน มีความสุขที่แท้จริง ก็ไม่ต้องไปซื้อหาความสุขหลอกลวง เช่น เขาต้องเอาเงินรายได้ไปหาสถานเริงรมย์ ไปอาบอบนวด ไปอะไรก็ตาม นั่นมันคือคนที่มันโง่จนไม่รู้ว่า ไอ้ความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร ความสุขที่แท้จริง คือ ความพอใจในการที่เรารู้สึกว่าเราได้ทำหน้าที่แล้วอย่างถูกต้อง และมีได้ทุกวินาที ทุกอิริยาบถ ทุกหนทุกแห่งมีได้ความสุขที่แท้จริงเมื่อทำการงาน ถ้าผลงานได้มาเป็นเงินเป็นทอง ก็ไม่ต้องไปซื้อหาความสุขปลอม คือ ความเพลิดเพลินทางกามารมณ์ เป็นต้น นั้นมันจะต้องเพลิดเพลิน เรียกว่า เป็นความสุขปลอม แล้วก็แพงมาก ต้องใช้เงินจนเงินไม่พอใช้ แต่ถ้ามันเป็นความสุขที่แท้จริง คือ ความพอใจในการทำหน้าที่ถูกต้องนี้ มันไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียวให้มันได้ความสุขชนิดที่แท้จริง แล้วพูดได้เลยว่าถ้าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินซื้อ ความสุขหลอกลวงต้องใช้เงินซื้อจนเงินไม่พอ
ในพุทธศาสนามีหลักว่า พระนิพพานนั้นให้เปล่า คือ ไม่ต้องเสียเงินซื้อนิพพานให้เปล่า รู้สึกถึงความสุขนั้นให้เปล่า ไม่ต้องใช้เงินซื้อ คือ มีชีวิตเป็นอยู่อย่างถูกต้อง มีความพอใจสูงสุดอยู่ตลอดเวลา เพราะทำหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่ถูกต้องมันกลายเป็นมีความสุขที่แท้จริงและสูงสุด แล้วก็ไม่ต้องใช้เงิน ฉะนั้นขอให้ทุกคนเตรียมตัวไว้เถิดว่า ถ้าต้องซื้อด้วยเงินแล้วความสุขปลอมทั้งนั้นแหละ เป็นความเพลิดเพลินเท่านั้น ไม่ใช่ความสุข ถ้าความสุขแท้จริงแล้วก็ มันกลับให้เงินเหลือ มันเป็นสุขเสียเมื่อทำงาน แท้จริงแล้วเงินไม่รู้จะไปใช้อะไร เงินมันก็เหลือมาก เหลือมาก ความสุขที่แท้จริงทำให้เงินเหลือมากเข้า ความสุขที่หลอกลวงทำให้เงินไม่พอใช้ จนต้องคดโกง จนต้องเป็นอาชญากร ปล้น จี้ ฆ่า อย่างที่เป็นกันในหน้าหนังสือพิมพ์ ข่มขืน นี่เพราะว่ามันเข้าใจว่าเป็นความสุขของเขา แล้วเขาหาไม่ได้ด้วยวิธีอื่น เขาก็ใช้วิธีเช่นนั้น ฉะนั้นขอให้เรารู้เสียว่า ความสุขที่แท้จริงแล้วจะต้องถูกต้องเรียบร้อยตลอดสายเลย หาได้ในหน้าที่การงานนั่นเอง ฉะนั้นจงพอใจศึกษาหน้าที่ รู้หน้าที่ ประพฤติหน้าที่อย่าให้ขาดตกบกพร่อง แล้วก็พอใจ พอใจ เรียกว่า ปลอดภัย แล้วก็เป็นสุขคือชนิดที่จะไม่ๆ มีปัญหาอะไร จะไม่เกิดปัญหาอะไร เพราะมันทำหน้าที่ครบถ้วน ถูกต้อง นี่คือ คำว่า ธรรมะ ธรรมะคืออย่างนี้ ท่านทั้งหลายมาสวนโมกข์นี่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า มาแสวงหาความรู้ทางธรรมะ แต่ว่าเป็นในหน้าที่ที่สูงขึ้นไป คือ จะกระทำกับจิตใจให้สูงขึ้นไปกว่าหน้าที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ซึ่งเป็นเพียงความรอดทางกาย นี่เราก็มาหาวิชาความรู้ทางธรรมะที่สูงขึ้นไปเป็นความรอดทางจิตใจ นี่ก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจะพูด จะเอาเทปมาเปิดให้ฟัง หลังจากการบรรยายนี้แล้ว นี่ก็คือธรรมะ ท่านทั้งหลายมาแสวงหาธรรมะ คือ สิ่งสูงสุดของมนุษย์ ก็ขอให้แสดงความยินดีพอใจ
แล้วทีนี้ก็ขอพูดเสริมอีกหน่อยหนึ่งว่า ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ นั่นแหละขอให้เข้าใจว่า ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ให้เป็นชีวิตที่ถูกต้อง มีความสุขโดยส่วนเดียว จิตใจนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ถ้าใครเคยคิดว่า ชีวิตนี้เป็นของตายตัว มีอะไรบันดาล มีพรหมลิขิต มีอะไรบันดาลบังคับอยู่อย่างตายตัว เช่นมีกรรมเก่าแต่หนหลังบังคับอยู่อย่างตายตัว เลิกคิดได้ ไม่จริง พุทธศาสนาสอนว่า ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ารู้จักใช้วิธีการให้ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างที่ยิ่งเรื่องกฎอิทัปปัจจยตา ถ้าเราไปทำส่วนที่ผิดมันก็ผิด ส่วนที่ถูกมันก็ถูก ส่วนที่เกิดทุกข์มันก็เกิดทุกข์ ส่วนดับทุกข์มันก็ดับทุกข์ ชีวิตนี้ปรับปรุงได้ให้เป็นไปแต่ในทางที่น่าปรารถนา คือ ไม่มีทุกข์นั่นเอง อย่าคิดว่ามันจะต้องเป็นไปตามบุญตามกรรมของมัน บางคนเข้าใจว่าชีวิตนี้มันเป็นไปตามกรรมเก่าแต่ชาติก่อน แก้ไขไม่ได้ ถ้าคิดอย่างนี้แล้วก็รีบเปลี่ยนความคิดเถอะ นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า ความสุขหรือความทุกข์เกิดมาจากกรรมเก่า เป็นแห่งผลของกรรมเก่า เพราะว่า ไม่ว่าจะมีกรรมเก่าอย่างไร แต่ถ้าเราประพฤติตามกฎของอิทัปปัจจยตาให้ถูกต้องสำหรับที่จะไม่เป็นทุกข์ แล้วมันไม่เป็นทุกข์หรอก แม้กรรมเก่ามันจะมีมาสำหรับเป็นทุกข์ หรือว่า สุขทุกข์นี้มาแต่อิศวร อิ-ศะ-วะ-ระ ภาษาสันสกฤต อิ-ศะ-วะ-ระ ภาษาบาลี อิศวร อิศวร คือ พระเจ้า พระเจ้าบันดาล สุขทุกข์นี้มาแต่พระเจ้าบันดาล พุทธศาสนาไม่ถืออย่างนั้น ถือว่าประพฤติผิดหรือถูกตามกฎของอิทัปปัจจยตา พระเจ้าจะบันดาลอย่างไรก็ตามใจพระเจ้า แต่เราจะประพฤติได้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาที่จะไม่เป็นทุกข์ แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ จิตใจนี้จะไม่เป็นทุกข์ เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ฝ่ายที่จะไม่เป็นทุกข์ ดังนั้นชีวิตนี้จึงเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ โดยประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา
กรรมเก่าๆ ผลกรรมเก่าๆ ก็เลิกล้างไปได้ เพราะการทำกรรมใหม่ คือ การปฏิบัติถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา หรือผีสางเทวดาที่ไหนจะมาบันดาลเป็นอย่างไร เราไม่กลัว เราปฏิบัติถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาแล้วจะไม่เป็นทุกข์ นี่คือ ความเป็นวิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา ว่าสิ่งทั้งปวงมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันที่จะมีอยู่อย่างไร ฉะนั้นขอเชิญท่านทั้งหลายทุกคนมองเห็นว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้คือให้เป็นไปในทางที่พึงปรารถนา และจิตใจนี้ก็เหมือนกันอบรมได้ บางคนจะรู้สึกว่า เราไม่สามารถอบรมจิตใจ ไม่สามารถจะบังคับความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เลยหมดปัญญาทอดอาลัย ไม่คิดที่จะปรับปรุงจิตใจ มันก็ไม่ได้จริงเหมือนกัน ถ้าไม่คิดจะทำ แต่ถ้าคิดจะทำแล้ว จิตใจมันจะเลวอยู่อย่างไร เป็นคนเลว เป็นนักเรียน นักศึกษาที่เลวอยู่อย่างไร ในบัดนี้มันเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ จิตนั้นเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ ให้กลายเป็นนักเรียนนักศึกษาที่ดี ไม่เป็นอันธพาล มันเป็นสิ่งที่พัฒนาได้อย่างนี้ ชีวิตก็ดี จิตใจก็ดี เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ปรับปรุงได้ ฉะนั้นขอให้อย่าท้อถอย อย่าได้ทอดอาลัย มีความมั่นคงแน่วแน่ว่า จะปรับปรุงให้ถูกวิถีทาง แล้วก็จะได้สมตามปรารถนา ไม่เสียทีที่เป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา คนเรามีจิตใจ ทุกอย่างมันจึงเป็นไปตามจิตใจอย่างไร จิตใจดี มันก็ดี จิตใจไม่ดี มันก็ไม่ดี แต่จิตใจนี้เป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้และพัฒนาได้ ดังนั้นเราจึงเอาชนะได้ เราไม่ปล่อยให้สิ่งแวดล้อมมาบังคับจิตใจของเราให้เป็นไปในทางผิด จนเกิดกิเลสแล้วก็เป็นทุกข์ ถ้าเราทำผิดต่อสิ่งที่แวดล้อมเรามันก็เกิดกิเลสและเป็นทุกข์ เมื่อเรารู้จักควบคุมจิตใจให้อยู่แต่ในทางถูก คือ ไม่เกิดกิเลสขึ้นมา จนความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่เกิด ก็แล้วมันก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นขอให้สนใจเถอะ ศึกษาให้มากเข้าเถอะ มันไม่เกินวิสัย มันไม่เกินความสามารถหรอกที่จะพัฒนาจิตใจให้อยู่ในลักษณะที่ไม่เกิดกิเลส ควบคุมได้ หรือเกิดแต่น้อย เกิดในระยะอันสั้นแล้วก็ปรับตัวได้ทัน ไม่เสียหายร้ายแรง จนกระทั่งจะไม่เกิดกิเลสเลย
เรื่องมันอยู่ที่ว่า มีจิตใจที่ฝึกดีหรือไม่ดี ถ้าจิตใจฝึกไว้ดีแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะเกิดกิเลส นั้นเราค่อยว่ากันตอนหลังเรื่องมันยาว แต่จะบอกใจความสำคัญสักหน่อยหนึ่งว่า มันอยู่ตรงที่มีการสัมผัสโลก ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เรียกกันว่าโลก โลก ถ้าเรามีปัญญา มีสติสัมปชัญญะในขณะที่สัมผัสโลก อย่าสัมผัสให้ผิด อย่าโง่ให้เกิดกิเลส มันก็ไม่เกิดกิเลส สัมผัสโลกแต่ในทางที่เกิดวิชาความรู้ เกิดปัญญาความถูกต้อง แล้วมันก็ไม่โง่ มันก็ไม่เกิดกิเลสอะไร อยู่อย่างไม่มีกิเลสนั่นแหละเย็นเป็นนิพพาน นิพพานนั้น ตัวหนังสือแท้ๆ แปลว่า เย็น กิเลสเป็นไฟ เป็นของร้อน ถ้าไม่มีกิเลสจิตนี้มันก็เย็น เราก็ให้มันเย็นอยู่ด้วยความถูกต้อง เย็นนั้นเป็นนิพพาน นิพพานน้อยๆ ก็ได้ นิพพานชั่วคราว ชั่วขณะ ในระยะสั้นๆ ก็ได้ ขอให้มันมีเถิด ให้มันรู้จักเถิด แล้วค่อยขยายมากออกไป ขยายมากออกไป อย่าทอดอาลัยว่า ไม่เอาหละ ปล่อยตามเรื่อง ถ้าอย่างนี้แล้วมันจะผิดหมดมันจะเสียทีที่ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบแต่ของร้อน คือ กิเลส ไม่ได้พบของเย็น คือ นิพพาน ศึกษาวิธีที่จะควบคุมจิตใจให้ถูกต้องเมื่อสัมผัสโลก ตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส ผิวหนังสัมผัสสิ่งที่มากระทบผิวหนัง ใจก็สัมผัสไอ้ความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ก็มีเป็น ๖ คู่ ศึกษาให้ถูกต้องและควบคุมไว้ให้ดี เมื่อสัมผัสสิ่งเหล่านี้ มีสติปัญญา อย่าไปหลงในความหลอกลวงของสิ่งเหล่านั้นที่มันน่ารัก สวยงาม หรืออร่อย มันก็หลอกให้หลง หลงรัก ที่ไม่สวย ไม่งาม ไม่อร่อย มันก็หลอกให้โกรธ เราจึงมีรัก และโกรธ คือยินดียินร้าย แล้วมันก็เกิดกิเลสขึ้นเป็นแน่นอน อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาหลอกเราให้รักหรือให้โกรธได้ แต่ให้เรามีสติปัญญารู้อยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร จะต้องทำอย่างไร จะต้องทำอย่างไร เราก็ทำไปตามที่ควรทำ แล้วก็ได้รับประโยชน์ตามที่ควรจะได้รับ อย่างนี้เขาเรียกว่า อยู่เหนือโลก เป็นคนอยู่เหนือโลก คือโลกนี้มาหลอกให้รักหรือให้เกลียดไม่ได้ โลกนี้มาหลอกให้หลงใหลไม่ได้ เรามีจิตใจอยู่เหนือการหลอกลวงของโลก เขาเรียกว่าอยู่เหนือโลก ปลอดภัยที่สุด เรียกว่า โลกุตรก็ได้ เรียกว่าโลกอุดรก็ได้ ถ้าฟังไม่ถูกก็ไม่เข้าใจอยู่เหนือโลกได้อย่างไร เราก็อยู่ในแผ่นดินนี้ อยู่ในโลกนี้ แต่สิ่งทั้งปวงในโลก บีบคั้นจิตใจเราไม่ได้ เรียกว่า อยู่เหนือโลก ถ้าเราเป็นคนโง่ ไม่มีสติ มันก็ไปหลงรักเข้า มันก็อยู่ใต้สิ่งที่มันมาทำให้เรารัก ถ้าเราโง่ไปโกรธอะไรเค้า เราก็อยู่ภายใต้สิ่งที่มาทำให้เราโกรธ สิ่งเหล่านั้นมันก็เรียกว่าโลก โลกไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ไอโลกนี้มันก็ไม่มีเหมือนกัน เดี๋ยวนี้มันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับจะสัมผัสสิ่งต่อแวดล้อม สัมผัสต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นได้ นั่นแหละคือ โลกในความหมาย ธรรมดาสามัญ คือว่า โลก โลกนี้มันคือ สิ่งที่เรารู้สึกได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ โลกก็ไม่ทำอันตรายเราได้ มีแต่จะรับใช้เรา คือ เราจะให้โลกนี้รับใช้เราได้ ใช้สิ่งต่างๆ ในโลกให้เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ได้ แต่ถ้าเราโง่ เราก็เป็นทาสของมัน ไปมัวรัก มัวโกรธ มัวยินดียินร้ายในสิ่งที่เรียกว่าโลก เราเป็นฝ่ายวินาศ เป็นฝ่ายที่ต้องทนทุกข์ทรมาน นี่ขอให้เข้าใจไว้เถอะว่า ธรรมะมันช่วยให้อยู่เหนือโลก อยู่เหนือโลก ก็คือ อยู่เหนือความทุกข์ ความทุกข์กับโลกนี่เป็นสิ่งเดียวกันอย่างนี้ ถ้ามีธรรมะเพียงพอ รวดเร็ว เพียงพอ เมื่อเราสัมผัสโลกที่ไหน เมื่อไร ก็ธรรมะแจ่มชัดอยู่เสมอ ด้วยสติ ด้วยปัญญา ก็ไม่ทำผิดต่อสิ่งเหล่านั้น ก็เลยไม่มีปัญหา ไม่มีทุกข์ เรียกว่าไม่มีทุกข์ จะเป็นอยู่ด้วยความสุข ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และแก่ผู้อื่น หรือแก่ทุกๆ คน เกิดมานี้ก็ให้มีประโยชน์แก่ตนเอง และแก่ผู้อื่นทุกๆ คน นั้นมันก็พอแล้ว มันก็พอแล้ว แต่ถ้าเรามัวเป็นทุกข์เสียเอง ตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ได้มันจะไปช่วยใครได้ มันต้องมีธรรมะหรือความถูกต้องเพียงพอ ตัวเองก็รอดจากความทุกข์ แล้วก็ช่วยผู้อื่นรอดจากความทุกข์ ก็อยู่กันอย่างผู้ที่ไม่มีความทุกข์ทั่วไปในโลก อย่างนี้ก็เรียกว่า เป็นผู้ชนะโลก อยู่เหนือโลก ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา นี่ขอให้เธอทั้งหลายที่อุตส่าห์มา เพื่อศึกษาสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ ธรรมะ กำหนดจดจำข้อนี้ไว้ให้ดีๆ ว่า ธรรมะ คือ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตอย่าได้บกพร่องเลย และทำหน้าที่ถูกต้องก็พอใจ มีความเคารพ นับถือตัวเองก็เป็นสวรรค์ เกลียดชังตัวเองก็เป็นนรก ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีสติสัมปชัญญะเพียงพอที่มันสัมผัสโลก ให้มันสัมผัสอย่างถูกต้อง ให้มันเกี่ยวข้องกับโลกอย่างถูกต้อง ก็ไม่มีความผิดพลาด มันก็ไม่มีความทุกข์ โดยสรุปโดยสั้นๆ มันมีอย่างนี้ นี่เรี่ยวแรงที่จะพูดสำหรับวันนี้มีเท่านี้ รู้สึกว่าจะพูดต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
ขอแสดงความยินดีเป็นครั้งสุดท้าย ยินดีที่มา อุตส่าห์มา ขออนุโมทนามาหาธรรมะ แล้วมานั่งกลางดินกันด้วย ใครเคยนั่งกลางดิน มีแต่นั่งบนตึก บนอาคาร ราคาแสน ราคาล้าน ที่นี่มาศึกษาสิ่งสูงสุด เลยต้องนั่งกลางดิน ถ้าใครยังไม่ทราบ ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็นั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าสอนทั้งหมดก็อยู่กลางดิน มานั่งกลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน โรงธรรมก็พื้นดิน ในที่สุดท่านก็นิพพานคือตายกลางพื้นดิน ดินนั่นแหละ ดินเป็นที่นั่ง ที่นอน ที่เกิด ที่ตายของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอให้ทุกคนที่กำลังนั่งอยู่กลางดิน จงมีความพอใจ เอามือลูบดินดูในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน ขอให้มีความเชื่อแน่มั่นคงในการที่จะพอใจในพื้นแผ่นดินที่เป็นที่ตั้งที่อาศัยแห่งชีวิตและการงาน ซึ่งเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า มีความพอใจที่ได้กระทำไปอย่างถูกต้องแล้ว เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.