แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย ซึ่งมีการกระทำอย่างที่กำลังทำอยู่นี้ คือ การศึกษาธรรมะเพิ่ม หรือว่า ชดเชยที่มันยังขาดอยู่ การศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ตาม เรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพ เทคโนโลยีทั้งหลายล้วนแต่เป็นวิชาชีพ เพียง เพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือเรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพ มันขาดอย่างที่ ๓ ที่สำคัญมากคือ ความรู้เรื่องธรรมะ ซึ่งเป็นวิชาที่บอกให้รู้ว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะถูกต้องตามความหมายของคำว่า มนุษย์ ทางการเขาจัดการศึกษาให้เราเพียง ๒ อย่างคือ หนังสือ และ อาชีพ มันไม่มีอย่างที่ ๓ คือ ธรรมะ นี่เราพูดกันมานานแล้วว่า มีการศึกษาชนิดที่ยังขาดอยู่ เหมือนกับสุนัขหางด้วน เหมือนกับเจดีย์ยอดด้วน ไม่น่าดูเลย และก็เป็นอย่างนี้กันทั้งโลก ไอประเทศที่เจริญมากแล้วเป็นผู้นำในการศึกษาในโลกนี้ ก็ยังจัดการศึกษาเพียง ๒ ระบบนี้เท่านั้น คือเรียนวิชาหนังสืออักษรศาสตร์ให้ฉลาด แล้วก็เรียนวิชาชีพ แม้จะเรียกเป็น วิทยาศาสตร์ เป็นประวัติศาสตร์ เป็นอะไรก็ตาม มันหนักไปในทางที่ว่าจะเป็นอาชีพ เพื่อประกอบอาชีพทั้งนั้น มันมุ่งไปที่อาชีพ การศึกษาทั้งโลกเลย มีลักษณะเหมือนกับ หมาหางด้วน ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นโลกเราจึงไม่ประสบสันติสุข ไม่ประสบสันติภาพ เพราะว่าการศึกษามันไม่สมบูรณ์ ทีนี้ที่ว่าขอแสดงความยินดีในการมา ในการกระทำของท่านทั้งหลายก็คือว่า ท่านทั้งหลายกำลังแสวงหาการศึกษาที่ ๓ ที่ยังขาดอยู่นั่น เอามาใส่ให้เต็ม เป็นที่น่ายินดีว่าในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยนั้น เขาเปิดชุมนุมหรือกลุ่มพุทธศาสตร์กันขึ้นมา เป็นความขวนขวายของนักศึกษาไม่ใช่ของทางการ นี่นักเรียน นักศึกษาเขาพยายามกันขึ้นเอง นี่เป็นที่น่ายินดีว่า ไม่ยอมแพ้ เมื่อทางรัฐบาลส่วนกลางไม่จัดให้เราก็จัดเอาเอง จึงเกิดชุมนุมหรือกลุ่มนักศึกษาพุทธศาสตร์ขึ้นในมหาวิทยาลัย ในวิทยาลัย กระทั่งในโรงเรียน และยิ่งกว่านั้นก็เที่ยวแสวงหาพิเศษเพิ่มเติม เช่น มาที่นี่เป็นต้น ก็เป็นเรื่องการแสวงหาเพิ่มเติมให้มันสมบูรณ์เสียโดยเร็ว เรียนกันแต่ที่สำนักศึกษานั้นมันไม่พอ จึงเที่ยวแสวงหาตามที่จะหาได้ ไปที่นั่น ไปที่นี่ ล้วนแต่แสวงหา การศึกษาที่ ๓ คือ ธรรม คือ ธรรมะ
ดังนั้น อาตมาจึงบอกว่าขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรก ในการกระทำของท่านทั้งหลาย ที่มาที่นี่เพื่อประสงค์จะศึกษาในส่วนที่ควรจะได้ศึกษา ให้การศึกษาของเราเต็ม หยุดการ หยุดการเป็นหมาหางด้วนกันเสียที ถ้าพูดให้มันชัดอีกทีหนึ่งก็ว่า เพื่อต่อหางหมานั่นเอง การศึกษาธรรมะ มันจึงมีลักษณะเหมือนกับว่าขวนขวายต่อหางหมา คือการศึกษา ที่มันยังด้วน หางด้วน หรือว่า ต่อยอดพระเจดีย์ที่มันไม่สูงสมบูรณ์ ก็ต่อให้สมบูรณ์อย่างนี้ก็ได้ ถ้าท่านๆ ทำได้สำเร็จมันก็เป็นว่าดีมาก เราจะมีการศึกษาที่สมบูรณ์ เราจะมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผลของมันก็คือ มีสันติสุข มีสันติภาพ ตามสมควรแก่กรณี ทั้งแก่เราเอง และแก่ผู้อื่น หรือว่าทั้งโลกก็ได้ ถ้าธรรมะมีอยู่ในโลก ก็คุ้มครองโลกทั้งโลกหละให้สงบสุข เป็นการได้ผลเกินค่าที่เราจะลงทุนลงไปนั้นมันได้ผลเกินค่า ขอให้มีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วขวนขวายศึกษาหาความรู้ ธรรมะไปอย่างสนุกสนานก็ได้
เอาหละ ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่า วันนี้เราจะพูดกันเรื่องอะไรดี อาตมาก็คิดว่าจะพูดตามไอ้คำขอร้องคร่าวๆ อย่างคร่าวๆ มาว่า อยากจะได้ฟัง “ธรรมะ ในฐานะเป็นเครื่องดำเนินชีวิต” ดังนั้นเราจึงพูดกันโดยหัวข้อว่า ธรรมะในฐานะเป็นเครื่องดำเนินชีวิต
เมื่อตั้งหัวข้อขึ้นมาอย่างนี้แล้ว ไอสิ่งแรกที่สุดที่จะต้องพิจารณากันก่อน มันก็คือ คำว่า “ชีวิต” นั่นเอง ชีวิตคำนี้ เคยเรียนกันมาแปลว่า “ความเป็นอยู่” ความไม่ตาย แต่รู้เท่านั้นมันไม่พอหรอก แล้วก็ไม่ต้องสอนก็รู้ว่าชีวิตคือความเป็นอยู่หรือไม่ตาย ที่มันควรจะรู้ก็คือที่มันลึกลงไปกว่านั้น คือความรู้ที่รู้ว่า ไอชีวิตนี้มันจะอยู่ได้ด้วยเหตุปัจจัยที่จะช่วยบำรุง ส่งเสริม ปรุงแต่งชีวิตนั้น มันไม่ใช่อยู่ได้ตามลำพังชีวิต มันต้องมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เข้ามาช่วยสนับสนุนปรุงแต่งอยู่ มันจึงจะเป็นชีวิตอยู่ได้ เช่นอย่าง เราจะต้องมีเชื้อเพลิงเติมน้ำมันให้ตะเกียง ตะเกียงมันจึงจะลุกอยู่ได้ ดังนี้เป็นต้น ตะเกียงขาดน้ำมันก็ไม่ลุกเป็นตะเกียงอยู่ได้มันก็ดับ ชีวิตนี้มันเป็นสังขาร เขาเรียกสังขารชนิดหนึ่ง คำว่า “สังขาร” สังขาร นี้ช่วยจำกันไว้เถิดนักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย เรารู้กันน้อยนัก เรารู้กันว่า สังขาร แปลว่า ร่างกาย นี่ความรู้อย่างนี้มันน้อยเกินไป เป็นความรู้ของเด็กๆ คำว่า สังขาร แปลว่า สิ่งที่ต้องมีสิ่งปรุงแต่ง เรียกว่าสิ่งปรุงแต่ง ต้องมีสิ่งปรุงแต่งแล้วก็ปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป นี่คำว่า สังขาร แปลว่า ปรุงแต่ง มันเองก็ถูกปรุงแต่ง ต้องมีสิ่งปรุงแต่งจึงจะอยู่ได้ และมันก็ปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป สังขาร คือ สิ่งที่มีการปรุงแต่งอย่างนี้ ชีวิตก็เป็นสังขารชนิดหนึ่ง จึงต้องมีของปรุงแต่ง ปัจจัยไรๆ ที่มันจะช่วยให้เป็นชีวิต รอดชีวิต ดำเนินชีวิตนั่นแหละจำเป็นสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต เราดูว่าเราเกิดมาเองได้เมื่อไหร่ ก็ต้องเกิดจากบิดามารดา ตั้งครรภ์ อยู่ในครรภ์ก็ต้องมีอะไรปรุงแต่ง หล่อเลี้ยง คลอดออกมาก็ต้องมีบิดามารดาผู้ช่วยเลี้ยง แล้วก็ได้อาหาร ได้เครื่องเอื้อเฟื้อเกื้อกูลทุกอย่าง ก็รอดชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้มันก็ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งส่งเสริมชีวิตนั้น โดยเฉพาะก็คืออาหารนั้นเป็นส่วนสำคัญ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยาแก้ไข้อะไรอย่างนี้ก็ยังไม่สู้จะสำคัญเท่ากับอาหาร อย่างที่ท่านกล่าวว่า ไอ้ชีวิตนี้มันอยู่ได้ด้วยอาหาร แต่ว่านั่นมันเป็น ชีวิตชั้นเปลือก คือ ร่างกาย มันต้อง ต้องการอาหารอย่างนั้น แต่ถ้าชีวิตชั้นในเข้าไปมันคือจิตใจ ชีวิตส่วนชั้นในคือจิตใจ ชั้นนอกคือร่างกาย ล้วนแต่ต้องการอาหารด้วยกันทั้งนั้น ชีวิตที่ส่วนเป็นจิตใจมันก็ต้องการอาหารชนิดอาหารใจ ชีวิตที่เป็นร่างกาย ส่วนร่างกาย มันก็ต้องอาหาร ต้องการอาหารชนิดที่เป็นอาหารกาย พูดอย่างนี้มันก็มองเห็นได้ง่าย ถ้าพูดให้ดีกว่านี้รวมกันเลยทั้งใจทั้งกายก็ต้องพูดว่า ชีวิตนี้มันต้องการความถูกต้องเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ต้องมีความถูกต้องเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ชีวิตทางฝ่ายกายก็ต้องการความถูกต้องทางฝ่ายกาย ชีวิตทางฝ่ายจิตเขาก็ต้องการความถูกต้องทางฝ่ายจิตเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แล้วมันก็อยู่กันได้ ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตรวมกันเข้าเป็นสิ่งๆ หนึ่งที่เราเรียกกันว่า เรา หรือ คนเรา นี่ขอให้จำไว้ให้แน่นอนตรงนี้ที่ว่า ชีวิตทั้งหมดต้องการความถูกต้องเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงมันไว้ ถ้าไม่มีความถูกต้องมันก็ต้องแตกดับแหละ เอากันแต่เรื่องง่ายๆ อย่างนี้ก่อนก็ได้ว่า ลองไม่มีความถูกต้องในการกินอยู่หลับนอน เป็นต้น มันก็เจ็บไข้ มันก็ตายนั่นแหละ ถ้ามันมีความผิดพลาดในเรื่องบำรุงชีวิต มันก็ตาย ถึงไม่ตายมันก็เกือบตาย ไม่มีความเจริญ พูดให้มันเป็นกำปั้นทุบดินหน่อยก็จะต้องพูดว่า ชีวิตมันอยู่ได้ด้วยความถูกต้อง มาถึงนี่แล้วนะ ช่วยจำไว้นะว่า ชีวิตมันอยู่ได้ด้วยความถูกต้อง ทีนี้ ความถูกต้องนั่นแหละคือ ธรรมะ สภาพความถูกต้องที่จะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตเรานั่นแหละ คือ ธรรมะ ดังนั้น ท่านจึงมีบทนิยามสำหรับคำว่า ธรรมะไว้อย่างดีที่สุด ช่วยจำไว้เถิด ถ้าอยากจะศึกษาก้าวหน้าต่อไปข้างหน้า ก็ต้องจดจำถ้อยคำหรือว่าหลักธรรมเบื้องต้นนั้นเอาไว้ให้ดีๆ จะสะดวกง่ายดายในการที่จะศึกษาต่อไป
เมื่อถามว่า ธรรมะ คืออะไร คำตอบมีว่า ระบบของการกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ของมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ตนเอง หรือเพื่อประโยชน์สังคม ชีวิตมันต้องการความถูกต้องเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง อย่างที่พูดมาแล้วหยกๆ ทีนี้ ธรรมะ ก็คือ ระบบการประพฤติกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเพื่อประโยชน์ตัวเองหรือประโยชน์ผู้อื่น นี่คือ ตัวธรรมะ คือความถูกต้องที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตนั่นเอง เพราะฉะนั้น อะไรๆ มันก็เป็นธรรมะหมดแหละสำหรับภาษาบาลี เพราะมันเป็นสิ่งที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งนั้น แม้ในร่างกายเรานี้มันก็ต้องการความถูกต้องทุกระบบเลย ระบบการกินอาหาร ระบบการขับถ่าย ระบบการทรงตัวอยู่อย่างถูกต้อง แม้จะแยกเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนังไปนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอะไรก็ตาม กี่ส่วน กี่ส่วน แต่ละส่วนก็ต้องการความถูกต้องทั้งนั้นมันจึงอยู่ได้ ลองทำให้ผิดความถูกต้องทางตา คือ ขาดความถูกต้องทางตา ตามันก็บอดแหละ คือตามันก็เสียแหละ อย่างนี้เป็นต้น เราไม่ค่อยรู้สึก หรือไม่เคยรู้สึก ไม่อยากจะรู้สึกด้วยซ้ำไปว่า ทุกๆ ส่วนของร่างกายนี้มันอยู่ได้ด้วยความถูกต้องตามที่ส่วนนั้นๆ ต้องการทุกส่วนทีเดียว พอผิดพลาดส่วนใดก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นที่ส่วนนั้นๆ นี่มันเห็นได้ง่าย ทางฝ่ายวัตถุมันเห็นได้ง่าย กินอาหารถูกต้อง พักผ่อนนอนถูกต้อง ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะถูกต้อง อาบน้ำถูกต้อง บริหารกายทุกอย่างถูกต้องก็มีสุขภาพถูกต้องหรือดี แต่ว่านี่มันเป็นส่วนร่างกายซึ่งไม่มีความสำคัญมากมายนัก มันสำคัญเหมือนกันแหละ แต่ว่ามันยังสู้ความสำคัญส่วนจิตใจไม่ได้ เพราะจิตใจมันเป็นส่วนลึก ส่วนที่ควบคุมร่างกาย ถ้าผิดพลาดในทางใจ ทางร่างกายมันก็ผิดหมด เพราะฉะนั้น เราจะต้องนึกถึงในส่วนจิตใจกันนั้นให้มาก ว่ามันมีความถูกต้องอย่างไร ก็ต้องให้มีความถูกต้องเพียงพอ จะต้องคอยระวังให้จิตใจได้รับการบำรุงส่งเสริมหรือว่าปรุงแต่งนี่อย่างถูกต้อง อะไรจะเข้ามาหาใจ จะเข้าไปกระทบใจ จะเข้าไปปรุงแต่งจิตใจ ล้วนแต่จะต้องทำให้มันถูกต้อง ถ้ามันผิดมันก็เกิดเรื่องร้าย ร้ายกาจยิ่งกว่าความผิดทางร่างกายเสียอีก คือมันจะทำลายหมด เมื่อจิตใจมันผิดแล้วอะไรมันก็จะผิดหมด การพูดจาก็ผิด การกระทำทางกายก็ผิด ก็เลยผิดหมด เรียกว่าผิดกันทั้งกาย วาจา ใจเลย มันก็วินาศ
เราจึงต้องมีความถูกต้องเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ความถูกต้องนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ฉะนั้นจึงมีบทนิยามว่า “ธรรมะ คือ ระบบการประพฤติกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น” คำแรกว่า ระบบแห่งการประพฤติกระทำ ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ตัวหนังสือที่จดไว้ในสมุด มันต้องเป็นระบบการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจเลย การกระทำนั้นๆ เป็นระบบเพราะว่ามันมีซับซ้อนกันอยู่หลายอย่างหรือหลายชั้นจึงต้องใช้คำว่า “ระบบ” ซึ่งมีขั้นตอน มีลำดับ มีส่วนประกอบอะไรต่างๆ ครบถ้วนทุกอย่างก็เรียกว่า “ระบบ”
ทีนี้ระบบของการกระทำ ที่ว่าเต็มไปด้วยการกระทำอย่างครบถ้วนทุกอย่าง อย่างนี้แหละตัวๆๆ ตัวยืน ยืนโรงว่า ระบบแห่งการกระทำ แล้วบอกลักษณะว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทีนี้ ความเป็นมนุษย์คืออะไร? บางคนจะรู้แต่เพียงว่า เกิดมาก็เป็นมนุษย์ โดยที่แท้แล้วเกิดมานั้นเป็นแต่เพียงคน ยังไม่ค่อยรู้อะไรหรอก ยังไม่มีอะไรดีไปกว่าธรรมชาติ อาจจะเสมอกันกับสัตว์เดรัจฉานก็ได้ถ้าเพียงแต่เกิดมา ไม่ได้รับการศึกษาอบรมใดๆ มันก็จะเท่ากันกับสัตว์เดรัจฉาน มันจะรู้จักคิดนึกกระทำเพียงเหมือนสัตว์เดรัจฉาน นี่ไม่ใช่มนุษย์ อย่างมากก็เรียกได้ว่า คน เป็นคน แต่ว่าเกิดมา ถ้าเป็นมนุษย์มันต้องมีจิตใจสูง ตามความหมายของคำว่า “มนุษย์” มน (มะ-นะ) ใจ อุษยะ อุษย์ อุษะ นี่แปลว่า สูง “ใจสูง” จึงจะเรียกว่า “มนุษย์” ถ้าใจต่ำตามธรรมดาก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คน คงไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก เราจึงใช้คำว่า ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ คือการที่จะเป็นมนุษย์ให้ได้ต้องมีความถูกต้อง ศึกษาต่อไปว่าเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร ต้องการอะไร มีอะไรบ้าง เราก็จะได้ศึกษากันต่อไป
ทีนี้ก็มาถึงคำว่า “ทุกๆ ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ” เพราะว่าการเกิดมานี้มันมีขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ต้องถูกต้องทุกขั้นตอน ขั้นตอนที่อยู่ในครรภ์ก็ต้องมีการกระทำที่ถูกต้อง แม้ว่าเราทำเองไม่ได้ แม่ก็ช่วยทำ ขั้นตอนที่คลอดออกมาใหม่ๆ ก็ต้องมีการกระทำถูกต้อง เป็นเด็กทารก เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า กระทั่งเข้าโลงไป นี่มันมีหลายขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการต้องมีความถูกต้อง เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงไว้ ทารกเล็กๆ ถ้าไม่มีการแวดล้อมที่ถูกต้องมันก็ตายหมดแหละ ไอเด็กๆ ที่มันวิ่งได้เดินได้วิ่งได้ก็เหมือนกันแหละ มันก็ต้องมีการแวดล้อมที่ถูกต้อง ประพฤติกระทำต่ออย่างถูกต้อง ซึ่งมันจะทำเองหรือว่าใครจะช่วยทำก็สุดแท้ แต่ต้องมีการแวดล้อมที่ถูกต้อง ทีนี้ก็ขึ้นมาถึงวัยรุ่นเป็นหนุ่มเป็นสาว ไอ้ความถูกต้องก็เพิ่มชนิดมากขึ้น เพิ่มชนิดมากขึ้นยิ่งกว่าที่เป็นทารกแบเบาะ ไอ้สิ่งที่จะต้องทำให้ถูกต้องนั้นมันก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มาถึงวัยหนุ่มสาวแล้วมันก็มีมากแหละ เพราะมีเรื่องทางกาย ทางใจ ทางสังคม ทางกิเลส ทางอะไรต่างๆ ต้องถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องขึ้นมา พอเป็นพ่อบ้านแม่เรือนเดี๋ยวนี้มีภาระมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวก็ต้องการความถูกต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ทีนี้พอเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ที่จะต้องดูแลคนทั่วๆ ไปก็ยิ่งฉลาด ยิ่งมีความรู้ถูกต้องที่จะควบคุม จะบอก จะกล่าว จะสั่งสอน แล้วก็มีความถูกต้องสำหรับจะไปนิพพานมากขึ้น นี่ความถูกต้องต้องการทุกๆ ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของความเป็นมนุษย์
ทีนี้ก็ว่า “ทั้งตนเอง และผู้อื่น” นี่หมายความว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้หละ มันต้องอยู่รวมกันกับเพื่อน เพราะฉะนั้นมันจะถูกต้องแต่คนเดียวเพราะเราอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องมีความถูกต้องสำหรับจะอยู่ร่วมกันกับเพื่อนมนุษย์ของเราได้ มันก็ต้องการความถูกต้องอีกแผนกหนึ่งสำหรับผู้อื่น หรือเพื่อนมนุษย์ของเราที่เรียกว่า ทางสังคม ใครอยู่คนเดียวในโลกได้ ใครว่าอยู่คนเดียวได้ มันอวดดี มันบ้าไม่รู้สึกตัว ใครอยู่คนเดียวในโลกได้คิดดูสิ ถ้าสมมติว่าเขาจะยกโลกนี้ทั้งหมดให้แก่เราคนเดียว ให้เราอยู่คนเดียว จะอยู่อย่างไรได้ แล้วใครจะเอา ใครจะสมัครเอา มันก็เกือบ เกือบไม่มีประโยชน์อะไรถ้าเราอยู่คนเดียวโดดในโลก มันต้องมีอะไรๆ ครบถ้วนในโลกมันจึงจะอยู่ได้ แม้แต่สุนัขและแมวนี้มันก็ยังขาดไม่ได้นะ อย่าว่าแต่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีความถูกต้องสำหรับจะอยู่กันเป็นผาสุก ทั้งส่วนตัวเราเองและส่วนผู้อื่น แม้กระทั่งที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้กระทั่งสิ่งแวดล้อมทั่วๆ ไป ต้นไม้ ต้นไร่ ธรรมชาติทั้งหลาย มันต้องอยู่กันอย่างกลมกลืนกันเป็นผาสุก นี่ช่วยจำคำนี้ไว้ทีเถิดว่า ธรรมะคืออะไร ธรรมะ คือ ระบบของการกระทำอย่างครบถ้วน ที่ถูกต้องแก่วิวัฒนาการของมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น มันจะเขียนให้สั้นๆ ก็ได้ว่า ระบบการกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่น
นี่แยกออกไปศึกษาทีละอย่าง ทีละอย่าง แล้วก็จะพบแต่ธรรมะ ทีนี้ก็พบแล้วว่าไอความถูกต้องจำเป็นที่จะต้องมีเพื่อดำรงชีวิตไว้ ชีวิตนั้นมันอยู่ด้วยความถูกต้อง และความถูกต้องนั้นเราเรียกว่า ธรรมะ ไม่ต้องบอกกระมังว่า ธรรมะจำเป็นอย่างไร ถ้ามันขาดธรรมะคือขาดความถูกต้องแล้วมันตายน่ะสิ เพราะฉะนั้น ธรรมะมันจึงเป็นคู่ชีวิต ฟังดูให้ดี คู่ชีวิต คู่ชีวิตชนิดที่เขาเรียกว่าคู่ชีวิต คู่ชีวิต แฟน เฟินน่ะ ไม่เท่าไรมันก็กัดกัน นี่จะเป็นคู่ชีวิตได้เท่าไร กี่มากน้อย แต่ถ้ามีธรรมะเป็นคู่ชีวิตแล้วก็แน่นอน ถาวร ตลอดกาล ธรรมะเป็นคู่ชีวิตอย่างแท้จริงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าเอาเป็นของไว้สมัครเล่น หรือของเล่น ของอดิเรกสิ ชีวิตนี้มันเป็นของจริง เป็นคู่ชีวิตจริงๆ คือเป็นความถูกต้องสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตนั่นเอง เราจึงต้องรู้ให้ครบถ้วนและได้ประพฤติและกระทำ
เป็นครูบาอาจารย์เป็นนักศึกษาคงจะรู้แล้วกระมังว่า มันต้องการความถูกต้องหล่อเลี้ยงชีวิต นั่นแหละคือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ จำไว้เลย หน้าที่คือทำความถูกต้องเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ก็เลยพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมะนั้น คือ หน้าที่ ธรรมะ คือ หน้าที่ที่จะต้องทำความถูกต้อง เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตนั้นไว้ ที่ธรรมชาติมันช่วยหรือมันทำโดยเราไม่รู้สึกนั้นไม่พอ มันก็มีอยู่บ้างเหมือนกันแหละ ระบบที่ใต้สำนึกที่มันทำได้เอง ระบบประสาทที่มันอยู่นอกการควบคุมมันก็มีอยู่ ก็มีประโยชน์มากเหมือนกันแต่มันไม่พอ เราต้องทำส่วนที่จำเป็นกว่านั้น สำคัญกว่านั้น ที่ธรรมชาติช่วยทำ คือทำมาได้ เช่นว่า มันหายใจ มันหายใจมันเอง ระบบควบคุมการหายใจเป็นอยู่ในระบบประสาทนอกการควบคุม มันก็หายใจ หัวใจมันก็ฉีด สูบฉีดโลหิต ปอดมันก็หายใจ อะไรๆทุกอย่างในร่างกายก็ทำหน้าที่ที่เราไม่ได้เจตนา หรือควบคุมมัน นี่มันก็มี การกิน การถ่าย การอะไรเหล่านี้มันก็เป็นไปได้ส่วนใหญ่นั้นโดยธรรมชาติ เราช่วยเหลือเล็กน้อย
ก็มีที่ธรรมชาติมันช่วยทำให้โดยเราไม่รู้สึกนี้ก็มีแต่มันไม่พอ เราจะต้องควบคุมให้มันถูกต้องยิ่งขึ้น เช่น อาหาร มันกินเอง มันย่อยเอง มันถ่ายเอง แต่เราต้องช่วยให้มันถูกต้อง ให้มันมีอาหารถูกต้อง พออาหารผิดเข้าไปเกือบตาย บางทีตายเลยก็มี ที่จะให้ธรรมชาติทำไปเสียหมดมันไม่ได้อย่างนี้ มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำให้เกิดความถูกต้อง ดังนั้น ธรรมะจึงคือหน้าที่ของการทำความถูกต้อง ให้แก่สิ่งที่มีชีวิต เพื่อมันจะรอดอยู่ได้ มีประโยชน์ ถ้าจะเอากันทางภาษาศาสตร์ก็จะศึกษาให้มากออกไปถึงภาษาศาสตร์ มันก็รู้ไปถึงว่าไอธรรมะนี้คือเรื่องของธรรมชาติ ธรรมะทั้งหลายมันเป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้นอะไร ที่พวกเราเรียกกันว่า ธรรมชาติ ธรรมชาติ นั่นแหละ แต่เรายังรู้จักน้อยเกินไป ในทางธรรมะก็มีคำว่า ธรรมชาติ ความหมายกว้างกว่านั้น คือพูดได้เลยว่าไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ร่างกาย จิตใจอะไรก็เป็นธรรมชาติ ความรู้สึกอะไรก็เป็นธรรมชาติ ความดี ความชั่วก็เป็นธรรมชาติ ความสุข ความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติแม้กระทั่งสูงสุด คือ พระนิพพานก็ธรรมชาติ เรียกว่า ธรรมชาติทุกชนิดเท่าที่มนุษย์จะรู้จักได้ นี่เรียกว่า ธรรม ธรรมะ ทั้งนั้น ธรรมะ แปลว่า ธรรมชาติ นี่ๆ มันๆๆ รู้มากเกิน มันรู้มากไปหน่อย แต่ก็ดีเหมือนกัน จำไว้ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
และความหมายที่ ๒ ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ ในธรรมชาติทั้งหลายต้องมีกฎของธรรมชาติควบคุม มิฉะนั้น ธรรมชาติมันก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีกฎของธรรมชาติควบคุมธรรมชาติ ตัวธรรมชาติก็เรียกว่า ธรรมะ ตัวกฎของธรรมชาติก็เรียกว่า ธรรมะ ทีนี้มันมีกฎของธรรมชาติตายตัวอยู่อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น สิ่งที่มีชีวิตก็มีหน้าที่ที่จะต้องสนองกฎของธรรมชาติ คือทำตามกฎของธรรมชาติให้ถูกต้อง เช่น ร่างกายนี้มีกฎว่าต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย เป็นกฎของธรรมชาติ หลีกไม่ได้ เราก็ต้องสนองคือการทำหน้าที่กิน อาบ ถ่าย เป็นต้น ให้มันถูกต้อง นี่หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่า ธรรมะ
ทีนี้ความหมายที่ ๔ ก็คือ ผลที่มันจะเกิดขึ้นมา เมื่อเราทำหน้าที่ของเราแล้วก็มีผลเกิดขึ้นตามสมควรเสมอ จะผิด จะถูก จะสุข จะทุกข์มันก็แล้วแต่การกระทำ แต่ว่าการกระทำแล้วมันจะมีผลเสมอ เรามีหน้าที่ที่จะกระทำให้ถูกต้อง เราก็ทำให้ถูกต้อง นี่เรียก ผลตามหน้าที่นั้นก็เรีกยว่า ธรรมะด้วยเหมือนกัน ข้อนี้กล้าพูดกล้าท้าทายว่าพวกคุณยังไม่รู้ เพราะว่าในโรงเรียนของคุณไม่ได้สอน แต่ถ้าตามหลักพระศาสนาตามพระบาลีมันเป็นอย่างนี้
เป็น ๔ ความหมายด้วยกัน ถ้าเข้าใจทั้ง ๔ ความหมายอย่างนี้แล้ววิเศษเลย จะรู้ธรรมะหมดทั้งสิ้นไม่มีอะไรเหลือ ธรรมะในพระไตรปิฎกก็ดี นอกพระไตรปิฎกก็ดี ธรรมะอะไรก็ดี มันรวมอยู่ในคำ ๔ คำนี้ทั้งนั้น คิดดูว่ามันมีอะไรที่นอกไปจากไอ ๔ อย่างนี้ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย ไม่ว่าเหลียวข้างไหนของธรรมชาติ ข้างนอก ข้างใน จิตใจ ร่างกายก็เป็นธรรมชาติ ทุกอันมีกฎคือกฎธรรมชาติ และเกิดหน้าที่ที่จะต้องสนองกฎ คือ ทำตามกฎแล้วก็จะเกิดผลออกมา ถ้าจะจำสั้นๆ ก็ ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ผลจากหน้าที่
คนเราทั้งเนื้อทั้งตัวนี้เป็นธรรมชาติ ทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งจิตทั้งใจนี่เป็นธรรมชาติ แล้วก็มี มันมีกฎธรรมชาติควบคุมไว้ทุกส่วน ทุกๆ เซลล์ ทุกๆ ปรมาณูของร่างกายเรา ก็เรียกว่ามันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ว่าจงเป็นอย่างนั้น จงเป็นอย่างนี้ จงเป็นอย่างโน้นตามกฎของธรรมชาติหละ ที่เราไม่รู้สึกไม่ต้องบังคับก็มี มันต้องบังคับก็มี เช่น ผม ขน เล็บพวกนี้ มันยาวออกมาเองแหละ อะไรๆ ที่มันมีกฎของธรรมชาติบังคับ มันก็ต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เราก็ร่วมมือกันให้ดี ต้องกินอาหารอย่างไร ต้องอาบอย่างไร ต้องถ่ายอย่างไรก็ทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ ไม่เจ็บไม่ไข้สบายดี แล้วก็ได้ผลคือความสบายดี สัตว์เดรัจฉานก็อย่างนี้ ต้นไม้ต้นไร่ก็อย่างนี้ มันต้องทำหน้าที่ของมันแหละ ต้นไม้ ทำหน้าที่ให้ครบถ้วนให้รอดอยู่ได้ ทำไม่ถูกต้องต้นไม้ต้นนั้นก็ตาย สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน พอทำผิดหน้าที่มันก็ต้องตาย คนก็เหมือนกัน ถ้าทำไม่ถูกตามกฎที่เป็นหน้าที่มันก็ตาย
นี่เห็นไหมว่าไอ ธรรมะ มันคือ หน้าที่ หน้าที่ที่จะทำให้ถูกต้อง ถูกต้องสำหรับมีชีวิตรอดอยู่ นี่ทบทวนมาแต่แรก ตอนแรกที่พูดก็ได้ว่า ธรรมะมันเป็นความถูกต้องสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิต ชีวิตมันต้องการความถูกต้องสำหรับหล่อเลี้ยง ความถูกต้องนั้น คือ ธรรมะ ความถูกต้องนั้นเป็นหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ถ้ามันไม่มีชีวิตมันก็ไม่มีปัญหาข้อนี้ เช่น ก้อนหินมันไม่มีชีวิต มันก็ไม่มีหน้าที่เหมือนสิ่งที่มีชีวิต นับตั้งแต่ต้นไม้ขึ้นไป ถึงสัตว์เดรัจฉาน ถึงมนุษย์ ถึงเทวดา ถึงอะไรก็ตามถ้ามันมีนะ สิ่งที่มีชีวิตมันก็ต้องมีหน้าที่ทั้งนั้น
ทีนี้คุณจะหลบหลีกอย่างไรเมื่อกฎของธรรมชาติมันมีอยู่อย่างนี้ เราจะหลบหลีกโดยไม่มีธรรมะได้อย่างไร มันเท่ากับหลบหลีกไม่ให้มีความถูกต้อง การที่ดันทุรังประพฤติผิดธรรมะมันคือเชือดคอตัวเอง เด็กอันธพาลเขาถืออย่างนั้น เด็กอันธพาลทั้งหลายเขาไม่เอื้อเฟื้อต่อธรรมะ เอาตามกิเลสของเขา มันก็เท่ากับเชือดคอตัวเอง ไม่เท่าไรมันก็ร่วงลงไปอยู่ในคุกในตะราง ตายแล้วมันก็ไปรวมกันอยู่ในนรก เพราะมันไม่เอื้อเฟื้อต่อกฎของธรรมะที่จะทำให้ถูกต้อง นี่เราเห็นชัดแล้วว่าหลีกไม่ได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นต้องคู่กับชีวิตเสมอ จะได้มีความถูกต้องหล่อเลี้ยงชีวิตนั้นไว้ ให้มันรอดอยู่ได้และเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
เรามีหน้าที่ทำให้ชีวิตรอด ขั้นแรก แล้วเรามีหน้าที่ทำต่อไปเพื่อให้ชีวิตเจริญถึงที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นมันเสียชาติเกิด คือ มันเป็นคำที่หยาบคายหน่อยนะ แต่จำเป็นที่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้ามันไม่ทำให้รอดชีวิตอยู่ได้มันก็เสียชาติเกิด หรือว่ารอดชีวิตอยู่ได้แต่มันไม่มีดีอะไรที่จะยิ่งๆ ขึ้นไปมันก็เสียชาติเกิดเหมือนกัน นั่นแหละคือไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะสำหรับจะถูกต้องเพื่อจะรอดชีวิตอยู่ได้ หรือเพื่อจะทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เห็นไหมว่าเราไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงจากการมีธรรมะ เราก็ต้องมีธรรมะ คอยศึกษาไอสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” ให้เพียงพอ แยกเป็นเรื่อง เรื่อง เรื่อง เรื่อง เรื่อง เรื่อง ไปเลย ปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าพูดโดยหลักทั่วไปก็ถูกต้องสำหรับการมีชีวิต ถูกต้องสำหรับการมีชีวิตอยู่ได้และเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ทีนี้เรียกพูดอย่างทั่วไปอย่างนั้นมันไม่ชัดพอ มันก็ต้องแยกออกไปเป็นขั้นตอนว่า ไอชีวิตนั้นมันเป็นขั้นตอน ถ้าเป็นเด็กก็ต้องมีธรรมะสำหรับเด็กระบบหนึ่งเลย ถ้าเป็นวัยรุ่นก็มีธรรมะสำหรับวัยรุ่นระบบหนึ่ง ถ้าเป็นคนหนุ่มคนสาวก็มีธรรมะสำหรับคนหนุ่มคนสาวระบบหนึ่ง เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นภรรยาสามี มันก็มีธรรมะระบบหนึ่ง ไปเป็นคนเฒ่าคนแก่ก็มีระบบหนึ่ง มันเป็นระบบ ระบบ ซึ่งเราจะต้องจัดให้ถูกต้องทุกระบบ เพราะว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้นี่ที่จะไม่เดินมาตามลำดับอย่างนั้น และเดี๋ยวนี้เราเป็นอะไรเราก็ต้องรู้สิ เราเป็นอะไรเราก็ต้องรู้ เป็นมนุษย์ในวัยไหน วัยหนุ่มสาว วัยรุ่น ก็ต้องรู้ ก็ทำให้ถูกตามระบบนั้นๆ
ทีนี้ ไม่อย่างนั้นมันยังมีอีกที่ว่าจะต้องพิจารณาว่า เราเป็นมนุษย์ในขั้นตอนนั้นแล้วเราเป็นอะไรอีกล่ะ เราเป็นนักเรียน เราเป็นครู เราทำงานเป็นข้าราชการ หรือว่าอีกทางหนึ่ง เราเป็นชาวนา เราเป็นชาวสวน เราเป็นพ่อค้า เราเป็นกรรมกร กระทั่งว่าเราเป็นคนขอทานถ้าๆ มี ก็ต้องทำให้ถูกตามระบบนั้นๆ ด้วยเสมอไป เป็นชาวนาก็มีธรรมะสำหรับชาวนา จะได้เป็นชาวนาที่ดีมีความเจริญ เป็นชาวสวนก็มีธรรมะของชาวสวน เป็นพ่อค้าแม่ค้าก็มีธรรมะอย่างพ่อค้าแม่ค้า เป็นข้าราชการก็มีธรรมะอย่างข้าราชการ เป็นกรรมกรทุกชนิดเลยก็ต้องมีธรรมะสำหรับการเป็นกรรมกร กระทั่งว่าเป็นคนขอทานก็ต้องประพฤติธรรมะของคนขอทานให้ถูกต้องให้เป็นคนขอทานที่ดี
ทีนี้เลยพูดออกไปถึงว่า แม้ในฝ่ายเลวฝ่ายชั่ว มันก็มีธรรมะฝ่ายเลวฝ่ายชั่ว เราไม่ต้องการหละ เราไม่พูดถึงก็ได้ แต่ถ้าพูดถึงมันก็มีธรรมะฝ่ายเลวฝ่ายชั่ว เช่น เป็นโจรก็มีธรรมะของโจร ระบบธรรมะของโจร แต่เราจะเรียกเสียว่า “อธรรม” ไม่เรียกว่า “ธรรมะ” จริงๆ มันก็คือธรรมะระบบนั้นๆ หละธรรมะของโจร ธรรมะของไออันธพาล กระทั่งธรรมะของคนขี้เกียจ ธรรมะของไอคนเหลวไหล ธรรมะอย่างนี้มันส่วนที่ไม่พึงปรารถนาก็ไม่ต้องพูดกัน
ทีนี้ถ้าพูดถึงธรรมะในฝ่ายที่มันจะเจริญจะงอกงามนี้จึงพูดกัน ว่าทุกระบบการงานต้องมีธรรมะที่ถูกต้องสำหรับบุคคลผู้มีระบบการงานนั้นๆ ก็คือมีธรรมะนั่นเอง
นี่คงจะนึกออกได้ทุกคนแล้วว่า การงาน นั้นคือ ธรรมะ ธรรมะนั้นคือการงาน เพราะธรรมะคือหน้าที่ พูดมาหยกๆ ว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะก็คือหน้าที่ หน้าที่ก็คือการงาน ธรรมะคือการงาน ดังนั้น ก็เห็นได้ชัดว่า การทำการงานในหน้าที่นั้น คือ การปฏิบัติธรรมะ นี่ความสำคัญที่สุดที่คนมันยังโง่ และทำลายตัวเอง ไม่รู้ว่าการทำการงานนั้นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ ถ้าเขารู้เขาก็จะสนุกสนานพอใจในการทำการงาน เพราะว่ามันเป็นการปฏิบัติธรรมะ บางคนเรียนมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่การงานนั่นเอง บางคนเอาธรรมะไว้ที่วัด ตัวเองอยู่ที่บ้าน ถ้าจะพบธรรมะกันสักทีหนึ่งก็มาวัด ต้องมาวัดจึงจะพบธรรมะ นี่มันสอนกันผิดๆ ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตที่ไหน ธรรมะก็มีอยู่ที่นั่น เมื่อชาวนาไถนาอยู่กลางนา เขาก็มีธรรมะของชาวนาอยู่กลางนา อย่างนี้ทั้งนั้นเลย บางคนแจวเรือจ้างอยู่เขาก็มีธรรมะอยู่ขณะที่กุมแจวเรือจ้าง คนถีบสามล้อ คนล้างท่อถนน คนกวาดถนนเขาก็มีธรรมะอยู่เมื่อเขากำลังทำหน้าที่นั้นๆ คนขอทานที่ขอทานอย่างดี อย่างเป็นคนขอทานที่ดี ก็มีธรรมะอยู่ในการขอทาน ดังนั้น ไม่ว่าอาชีพหน้าที่การงานอะไรๆ เป็นธรรมะหมด จึงพูดว่า “การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่การงาน”
ถ้าเป็นครูก็เมื่ออยู่กับนักเรียน ตัวถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำกับนักเรียน นั่นแหละคือปฏิบัติธรรมะ สำหรับครูแล้วก็ได้เป็นครูที่ดี ถ้าทำดี ทำถูกต้อง ทำสมบูรณ์ ก็เป็นครูที่ดี ถ้าคดโกงหน้าที่ก็เป็นครูโกง คดโกงหน้าที่ก็เป็นครูที่ไม่ดี เพราะไม่มีธรรมะของครู นี่ขอให้ดูเถิดว่าไอธรรมะนี้มันเกี่ยวกับชีวิตอย่างไร ก็ต้องศึกษาให้รู้ธรรมะสำหรับเป็นทางดำเนินของชีวิต ความถูกต้องสำหรับจะดำเนินชีวิตนั้นคือธรรมะ ต้องศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นทางดำเนินของชีวิต จะดำเนินไปได้ไม่ยากหรอกถ้ารู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ หรือการทำการงาน คือการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นก็ขอให้ถือหลักสั้นๆ ที่จะบอกนี้ ตั้งใจฟังให้ดีหน่อย จำทีเดียวแม่นเลย ว่า “จงทำงานให้สนุก มีความสุขเมื่อกำลังทำงาน” เท่านี้เอง สั้นๆ เท่านี้เอง ถ้าจำสั้นๆ เพียงเท่านี้ไม่ได้ก็ไปพิจารณาตัวเอง จะไปโดดกระโดดบ่อไหนตายก็ตามใจ “ทำงานให้สนุก แล้วเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน” นั่นแหละ วิธีทางดำเนินชีวิตแหละ ทำงานให้สนุก หมายถึงงานที่เป็นหน้าที่ที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างถูกต้องก็ทำ ทำงาน ทีนี้ที่ทำให้สนุก คำว่าสนุกนี้มี ๒ ความหมาย สนุกของกิเลส ไม่มีหรอกมันไม่ทำงานสนุกหรอก กิเลสนั้นมันไปกามารมณ์ สนุกไปเพลิดเพลินนั่นสนุก กิเลสมันไปสนุกที่โน่น ส่วนมนุษย์ที่แท้จริงนี้ มีสติปัญญานี่ มันสนุกเมื่อทำการงาน เพราะว่าการงานนั้นเป็นธรรมะ เป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งที่มีเกียรติที่สุดของมนุษย์ เป็นสิ่งที่คู่ชีวิตกับมนุษย์คือธรรมะ เขาก็เลยชอบธรรมะ และทำการปฏิบัติธรรมะนั้นสนุกที่เรียกว่าทำงานสนุก ทำงานสนุก คนที่โง่เกินไปไม่รู้ข้อนี้ ไม่ทำงานสนุก ทำงานสนุกไม่ได้ ไปขโมยดีกว่าแหละ ต้องเป็นคนที่มีจิตใจสว่างไสวแล้วพอสมควร มองเห็นว่าธรรมะคืออะไร แล้วเขาก็จะสนุกในการทำงาน เหมือนกับสนุกในการเล่น แต่สนุกในการเล่นนั้นมันไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวนี้สนุกในการปฏิบัติธรรมะคือหน้าที่การงาน ถ้าใครทำงานสนุก คนนั้นมีธรรมะ ถ้าใครทำงานไม่สนุก อยากจะเลิกอยากจะไปเที่ยวอยากจะโกงเวลาราชการ ทำงานไม่สนุกอย่างนี้ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะจะทำงานสนุกจนลืมเวลา ทำงานเลยเวลาโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่ามันทำงานสนุก นี่สนุกของสติปัญญาคืออย่างนี้ ถ้าสนุกของกิเลสคืออย่างอื่น เขาต้องไปสถานเริงรมย์ไปอะไรกันที่โน่น เอาเงินไปใช้เท่าไรเท่าไรก็ไม่พอ ต้องโกงต้องคอรัปชั่นต้องถูกไล่ออก เพราะว่าเขาไปสนุกชนิดนั้น แต่ถ้ามาสนุกชนิดนี้คือสนุกในการทำการงานที่เป็นธรรมะแล้วไม่ต้องใช้เงิน เงินเหลือเพราะมันสุขสนุกเสียแล้วในการทำงานไม่ต้องใช้เงินเงินก็เหลือ นี่มันๆ ผิดกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอให้ทำงานให้สนุกเพราะว่าสิ่งนั้นคือธรรมะสูงสุด พระพุทธเจ้าก็เคารพธรรมะ ท่านก็มีธรรมะ สอนธรรมะ เผยแผ่ธรรมะเราจงมีธรรมะ ประพฤติธรรมะกันให้สนุกเพราะว่าเป็นของประเสริฐที่สุดของมนุษย์เรา
คำพูดนี้เข้าใจกันให้ดีๆ ว่า สิ่งประเสริฐของมนุษย์มันก็คือหน้าที่ของมนุษย์นั่นแหละ ถ้าไม่มีหน้าที่แล้วไม่มีอะไรประเสริฐหรอกมนุษย์นี่ มันต้องมีหน้าที่ของมนุษย์ มีมนุษยธรรม มีธรรมะของมนุษย์ นั่นแหละประเสริฐอยู่ที่ธรรมะที่มนุษย์มี มนุษย์มีค่าขึ้นมาได้เพราะมีธรรมะของมนุษย์ ธรรมะทำให้มนุษย์มีค่าที นี้เราก็ถือธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดเคารพบูชาธรรมะเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็เคารพพระธรรม นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้
“ทำงานสนุก” เสร็จไปตอนหนึ่ง เข้าใจแล้ว ทีนี้ก็ “เป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำงาน” ข้อนี้ง่ายนิดเดียว คือมันมีหลักอยู่ว่า ถ้าพอใจก็เป็นสุข ถ้าไม่พอใจก็ไม่เป็นสุข เรามีจิตใจสูงพอที่จะเห็นว่าธรรมะคืออะไร เราก็ทำสนุกแล้วก็พอใจ พอใจธรรมะ เมื่อมีพอใจก็ต้องเป็นสุขแหละ ทุกคนไปพิจารณาดูเถิดว่า ไอ้ความสุขทุกชนิดต้องมาจากความพอใจนะ ถ้าไม่มีความพอใจแล้วจะไม่มีความสุขหรอก พอใจเลวๆ พอใจสกปรกมันก็มีความสุขเลวๆ ความสุขสกปรก ถ้าพอใจในสิ่งที่ดีที่สะอาดมันก็เป็นความสุขที่ดี ที่ถูกต้อง ที่สะอาด พอใจในสิ่งชั่วก็เป็นความสุขชั่ว พอใจในสิ่งดีก็เป็นความสุขดี เดี๋ยวนี้พอใจในธรรมะนี่จะเอาอย่างไรกันอีกล่ะ มันดีที่สุดแล้ว มันก็เลยเป็นความสุขที่แท้จริง หรือความสุขที่ดีที่สุดเพราะว่าพอใจในธรรมะ จากความพอใจนั้นก็เกิดความรู้สึกที่เป็นสุขเพราะพอใจในธรรมะ มันก็พอใจในตัวเองที่ได้ประพฤติธรรมะ ก็ยิ่งเป็นสุขเพิ่มขึ้นไปอีก พอใจในธรรมะก็เป็นสุขทีหนึ่งแล้ว พอใจในตัวเองที่ได้ประพฤติธรรมะมันก็ยิ่งเป็นสุขอีกส่วนหนึ่งอีก เพราะฉะนั้นความสุขมันจึงอยู่ที่ความพอใจ ทีนี้เราพอใจในตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้เพราะความพอใจ นั่นแหละคือสวรรค์ สวรรค์ของคนเราอยู่ที่พอใจตัวเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว สวรรค์ต่อตายแล้วยังไม่แน่ เพราะยังมองไม่เห็นยังไม่มีใครรับประกัน แต่สวรรค์ที่นี่ พอใจตัวเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้ก็มีความชื่นอกชื่นใจเป็นสวรรค์ จะว่าพระพุทธเจ้ารับประกันก็ได้ แต่ไม่ดีเท่ากับตัวเองนั่นแหละเป็นผู้รับประกันตัวเอง เพราะมันรู้สึกอยู่กับใจนี้ว่าเป็นสุข เป็นสุข แล้วต้องเอาใครมารับประกันอีก พอใจในตัวเองมันรู้สึกอยู่แท้ๆ แล้วก็เป็นสุขมีความสุข ที่เรียกกันว่า “สวรรค์” นั้นมันเป็นชื่อของความสุข เดี๋ยวนี้มันมีความสุขก็เรียกว่า สวรรค์ สวรรค์มีได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้คือทำความพอใจในตัวเองจนถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าจะถามว่าที่นี่ใครยกมือไหว้ตัวเองได้กี่คน มันจะกลายเป็นคำกระทบกระเทียบ หรือจะเรียกเป็นคำด่าไปเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ถาม แต่อยากจะขอร้องว่า พอค่ำลงจะนอนอย่างนี้ลองคิดบัญชีดูตลอดวันนี้ เราทำอะไรบ้างที่ถึงขนาดยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้ามีก็พอแล้วแหละ วันนี้ทั้งวันเราได้ทำอะไรดีถึงขนาดที่พอจะไหว้ตัวเองได้ จะไหว้ตัวเองสักครั้งหนึ่งก็ได้ไม่เป็นไร ไม่ต้องพนมมือไหว้ก็ได้ ใจมันไหว้อยู่เองก็ใช้ได้แล้ว มันไหว้ตัวเองได้ นี่มีสวรรค์ วันนี้มีสวรรค์ ทุกวันทำอย่างนี้ ทุกวันทำอย่างนี้ก็มีสวรรค์ทุกวัน ทุกวัน แต่ถ้ามันไม่เห็นอย่างนี้นะ เพราะไม่ได้ทำ เห็นแต่ความผิดพลาด เกลียดน้ำหน้าตัวเอง นั่นแหละคือ “นรก” เมื่อไรเกลียดน้ำหน้าตัวเองว่าไม่มีอะไรดีเสียเลย นั่นแหละคือ นรก พึงเสียใจให้มาก พึงหลบหลีกให้มากอย่าให้มันมี อย่าให้มีอาการที่เรียกว่า “เกลียดน้ำหน้าตัวเอง” ที่เขาเรียกกันภาษาจริยธรรมสากลว่า “ดูหมิ่นตัวเอง ดูถูกตัวเอง” นั่นแหละคือ นรกหละ เมื่อใดเคารพตัวเอง บูชาตัวเองเมื่อนั้นแหละคือ สวรรค์
นี่ นรก หรือ สวรรค์ เป็นสิ่งที่เราทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้จริงแท้แน่นอน สวรรค์ต่อตายแล้ว นรกต่อตายแล้ว ก็มีอยู่อย่างนั้นแหละ เราไม่ต้องยกเลิกหรอกมันมีไปอย่างนั้นก็แล้วกัน แต่ว่าเรารับประกันได้ว่า ที่นี่เรามีนรก เรามีสวรรค์ชนิดที่เรารู้สึกอยู่กับจิตใจ ถ้าเรามีนรก ถ้าเรามีสวรรค์ชนิดนี้ ตายแล้วก็ได้สวรรค์อย่างโน้นอย่างที่เขาว่ากัน ถ้าเราไม่ตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วก็ไม่ตกนรก แต่ถ้าเราเกลียดชังตัวเองตกนรกอยู่ที่นี่ ตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัยก็ต้องไปตกนรกข้างหน้าโน้นอีก เพราะฉะนั้นขออย่าได้ตกนรกที่นี่เลย จงมีแต่สวรรค์ชื่นชมตัวเอง นับถือตัวเอง เคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดเวลาเถิด
นี่แหละคือ “ทางดำเนินแห่งชีวิต” ธรรมะเป็นทางดำเนินแห่งชีวิต หมายความว่าอย่างนี้ เอานรกก็ได้ เอาสวรรค์ก็ได้ ถ้าดีกว่านั้นต้องศึกษามากขึ้นไป มากขึ้นไป มากขึ้นไปจนเหนือๆ สวรรค์ แล้วจึงเป็นนิพพาน คือไม่ๆ มามัวยินดียินร้าย ขึ้นๆ ลงๆ อะไรอยู่ ต้องการสงบเงียบ เกลี้ยง ว่าง เป็นนิพพาน อธิบายได้ง่ายๆ ความดีใจก็เหนื่อย ความเสียใจก็เหนื่อย เราอย่าดีใจ อย่าเสียใจ อยู่เกลี้ยงๆ ว่างๆ ดีกว่า อธิบายแบบนิพพานมันดีกว่านรกหรือสวรรค์ ก็ไปสังเกตดูเองก็แล้วกันนี่ ถ้าดีใจ ดีใจบางทีเป็นลมชักไปเลย กินข้าวก็ไม่ลง นี่ดีใจเกินไปกินข้าวไม่ลงเหมือนกัน เสียใจเกินไปกินข้าวไม่ลงเหมือนกัน เพราะนั้นอย่าไปดีใจ เสียใจเลย ปรกติอยู่ตรงกลาง เกลี้ยงๆ ว่างๆ นั่นแหละคือนิพพาน หรือเย็น เย็น เย็นสนิท
ถ้าดีใจมันก็เหนื่อยนะ ไปสังเกตดูเถอะไม่ต้องเชื่อใครหรอกไปสังเกตดูเอง ไอ้ความดีได้ที่รุนแรงนั้นมันก็เหนื่อย ความเสียใจมันก็เหนื่อย มันก็ไม่เป็นการพักผ่อนหรอก ดีใจก็ไม่พักผ่อน เสียใจก็ไม่พักผ่อน ต่อเมื่อมันไม่มีทั้งสองอย่างนั่นแหละถึงจะเป็นความพักผ่อน ไออยู่ที่บ้านมันก็เดี๋ยวเสียใจ เดิ๋ยวดีใจ เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้าย ไปเที่ยวที่ทุ่งนา ไปเที่ยวที่ชายทะเล ไปเที่ยวที่ไหนเสียมันอย่ามีความยินดียินร้าย จิตมันว่างมันเกลี้ยงมันเป็นการพักผ่อน แต่ถ้าเก็บเอาความยินดี ยินร้าย ดีใจ เสียใจไปที่นั่นอีก มันก็ไม่มีพักผ่อนอีกเหมือนกัน มันจะไปตากอากาศที่ทะเล ไปพักผ่อนที่ทะเลนั้นมันก็ไม่แน่ มันอยู่ที่ว่าทำจิตใจอยู่ให้เกลี้ยงให้เย็นได้หรือไม่ ถ้าเราอยู่ที่บ้านทำจิตใจอยู่ให้เย็นให้เกลี้ยงได้มันก็เป็นการพักผ่อน ไม่ต้องไปตากอากาศให้เสียสตางค์ เราจัดในใจของเราให้ถูกต้อง ปรับปรุงให้ถูกต้องมันก็เป็นความสุข สงบ เย็น มันไม่ต้องเสียสตางค์ คนโง่ๆ ต้องขนสตางค์ไปใช้ที่สถานเริงรมย์ ถมลงไปเท่าไร ถมลงไปเท่าไรมันก็ไม่มีความสุขเพราะมันเป็นเรื่องหลอกลวงของกิเลส เงินเดือนก็ไม่พอใช้ ต้องคดโกง ต้องหลอกลวง ต้องคอรัปชั่นถ้าเขาจับได้ก็ถูกไล่ออก นี่ไม่รู้จักสร้างสวรรค์ ไม่รู้จักสร้างนิพพานขึ้นในจิตใจ เพราะว่าเขาไม่รู้จักทางเดินแห่งชีวิต จงทำงานให้สนุกแล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน มันก็เห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่า ถ้าอย่างนี้มันก็ทำงานได้มากนี่เพราะมันทั้งสนุกและทั้งเป็นสุข มันก็ทำงานได้มาก คนอื่นเขาทำงานกันวันละ ๘ ชั่วโมงก็เบื่อแล้ว เราทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมงก็ยังไม่เบื่อ นี่อาตมาไม่ได้หลอก ไม่ได้พูดหลอกให้ใครทำงาน ตัวเองเป็นพยานว่าได้เคยทำอย่างนั้นมาแล้ว สมัยที่มาทำงานจริงๆ จังๆ นี้ทำงานหนังสือ ทำสนุกวันละ ๑๘ ชั่วโมง มีผลงานแยะจนเขาไม่เชื่อว่านี่ทำคนเดียว ไอหนังสือในตึกแดงนี้เข้าไปดูเถิด นั่นอาตมาทำคนเดียว ได้ผลเท่านั้นตลอดเวลา ๓๐ ปี แต่คนเขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่านี่ทำคนเดียวเพราะเขาไม่เคยถือหลักอย่างเรา เราบอกว่าทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำการงานแล้วมันจะทำได้มากไม่น่าเชื่อ
นี่ขอให้ทุกคนถือเป็นหลักดำเนินชีวิตว่า ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เพราะว่างานนั้นคือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ ก็คือปฎิบัติธรรมะให้สนุกนั่นเอง เอาธรรมะมาเป็นคู่ชีวิตจิตใจของเรา มาหล่อเลี้ยงชีวิตของเรา มันก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองไปตามทางของธรรมะ เท่านี้ก็พอแล้วที่เป็นการชี้ให้เห็นว่า ธรรมะเป็นทางดำเนินแห่งชีวิต ขอให้รู้จักธรรมะกันให้แท้จริงให้ถูกต้อง อย่ารู้จักเหมือนเด็กๆ อมมือในโรงเรียนว่า “ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” มันรู้กันเพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร ครูก็สอนนักเรียนแต่ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันก็ยังไม่ได้บอกว่าท่านสอนอย่างไร ถ้าบอก มันก็ต้องบอกว่า “ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้ทำหน้าที่ของมนุษย์ อะไรที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ให้ทำเถิด” ท่านสอนอย่างนั้น
ทีนี้อาตมาขยายความอธิบายให้ชัดเจนลงไปว่า จงทำงานให้สนุกคือปฏิบัติธรรมะและเป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำงาน ก็คือเป็นสุขเมื่อกำลังปฏิบัติธรรมะนั่นเอง เรามีธรรมะเป็นเนื้อตัวเป็นชีวิตจิตใจของเรา มีธรรมะเป็นตัวเรา อย่ามีกิเลสเป็นตัวเรา กิเลสสกปรก เร่าร้อน มืดมัว เอาไปทิ้งเสีย เอาธรรมะนั่นแหละ ถ้าจะมีตัวเรานะ เอาธรรมะเป็นตัวเรา มีความสะอาด สว่าง สงบแห่งจิตใจเป็นตัวเรา อย่างนี้มีธรรมะเป็นตัวเรา ไม่ต้องใช้เงิน มีความสุขที่สุด เงินก็เหลือใช้เอาไปช่วยใครที่ไหนก็ได้เพราะมันไม่ต้องใช้เพื่อซื้อหาความสุข มันเป็นสุขเสียแล้วเมื่อกำลังทำงาน
จะบอกให้เป็นหลักง่ายๆ สั้นๆ อีกนิดหนึ่งว่า ถ้าความสุขแท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ถ้าความสุขหลอกลวงต้องใช้เงินจนไม่พอ ให้รู้เอาเอง ใครกำลังทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความสุขที่ซื้อมาด้วยเงินนั้นเป็นความหลอกลวง เป็นความเพลิดเพลินไม่ใช่ความสุข ถ้าความสุขที่แท้จริงจะไม่ต้องใช้เงินเลยคือเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ทำหน้าที่ ปฏิบัติธรรมะ ช่วยบอกกันต่อๆ ไปให้ลูกเล็กเด็กแดงมันรู้ว่า ความสุขแท้ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ที่ซื้อกันจนเงินเดือนไม่พอใช้นั้นเป็นความหลอกลวง คือความเพลิดเพลินของกิเลส หลอกลวงเพื่อกิเลส กิเลสมันดึงเอาไปเป็นทาสของมัน จะใช้เงินเท่าไร เท่าไรซื้อความเพลิดเพลินให้แก่กิเลสเท่าไร เท่าไรมันก็ไม่พอ เงินเดือนก็ไม่พอใช้ ก็ต้องคดโกง เพราะฉะนั้นความสุขที่แท้จริงจะไม่ทำให้ใครต้องคดโกงหรือต้องทำลายตัวเอง ความสุขหลอกลวงที่ชอบเอาเงินไปซื้อหากันนักนั่นแหละมันจะทำลายคนนั้น เพราะฉะนั้น จงประพฤติธรรมะอยู่เป็นประจำ ถ้าเขาเป็นคนปฏิบัติธรรมะ มีธรรมะ เขาก็จะกินอยู่แต่พอดี ถ้าเขามีธรรมะ เขาจะกินอยู่แต่พอดี ถ้าเขาไม่มีธรรมะ เขาจะกินดีอยู่ดีอย่างไม่มีขอบเขต เป็นห่วงอยู่ที่วิทยุมันมักจะตะโกนว่า “กินดี อยู่ดี” ถ้ากินดี อยู่ดีอย่างไม่มีขอบเขตแล้ววินาศ แล้วก็ไม่มีธรรมะ “จงกินอยู่แต่พอดี แต่พอดีนั่นแหละ นั่นแหละ มีธรรมะ” อย่าไปหลงว่ากินดี อยู่ดีแล้วก็ไม่มีขอบเขต มันก็ลากคอไปลงนรกคือไม่มีธรรมะ นี่ ธรรมะเป็นเครื่องควบคุมให้เรากินอยู่แต่พอดี ไม่ต้องอธิบายแล้ว เท่านี้ก็เข้าใจกันอยู่แล้ว ว่ากินเกิน มากเกิน ดีเกิน แพงเกินมันก็รู้กันอยู่แล้ว ควรจะรู้จักเข็ดหลาบกันเสียบ้าง เปลี่ยนมาเป็นกินอยู่แต่พอดี อย่าไปหลงกินดีอยู่ดีที่ไม่มีขอบเขตเหมือนที่เขานิยมกันเลย นั่นมันผิดหลักธรรมะไม่เป็นทางดำเนินแห่งชีวิตได้
ขอให้กินดี เอ่อ กินอยู่แต่พอดีโดยมีธรรมะควบคุม ถ้าเรามีสติปัญญาก็มีธรรมะ ถ้าเรามีแต่กิเลสมันก็ไม่มีธรรมะ มีสติปัญญาควบคุมอย่าให้เกิดกิเลสขึ้นมาในใจซึ่งจะพาไปสู่ความเสื่อม มันจะไม่สนุกในการทำงาน แต่มันจะกินดีอยู่ดีวิเศษวิโสเรื่อยไป เมามายและอบายมุขทั้งหลายมันตั้งอยู่ได้กับคนที่ไม่มีธรรมะ ถ้าพอคนมันมีธรรมะขึ้นมาอบายมุขทั้งหลายหมดเกลี้ยงไปเอง ไม่ต้องไปปราบการพนัน ไม่ต้องไปปราบไอเครื่องดองของเมาอะไรมันก็ไม่มีเอง ถ้ามีธรรมะแล้วอบายมุขมันหมดไปเอง ถ้าไม่มีธรรมะอบายมุขมันก็หนาแน่น นี่คือทางดำเนินชีวิตอย่าไปแตะต้องกับอบายมุข เพราะมันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ อย่าดื่ม อย่าเสพของเมา อย่าเที่ยวกลางคืน อย่าดูการเล่น อย่าเล่นการพนัน อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร อย่าเกียจคร้านการงาน เรียกว่า ปิด ปิด ปิด ปิดประตูอบาย ประตูอบายเปิดสำหรับลงไปในอบาย มีธรรมะแล้วก็ไม่ต้องทำอย่างนั้น แล้วมันก็ปิดประตูอบาย ก็เปิดประตูสวรรค์ ยกมือไหว้ตัวเองอยู่ได้ตลอดเวลา แล้วก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนถึงสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ เกิดมาเพื่อทำให้เจริญขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดที่มนุษย์ควรจะไปถึง นี่เป็นแนวดำเนินแห่งชีวิต
หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้ทราบหลักพื้นฐานทั่วๆ ไปของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ สมตามความประสงค์ที่ท่านอุตส่าห์มาที่นี่ เพื่อขอฟังเรื่องวิถีทางดำเนินชีวิตด้วยธรรมะ อาตมาก็บอกให้เห็นว่าชีวิตคืออะไร ธรรมะคืออะไร มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร อย่างที่ได้ว่ามาแล้ว หวังว่าจะมีความรู้ความเข้าใจเอาหลักธรรมะไปเป็นเครื่องดำเนินชีวิตแล้วประสบความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.