แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนที่มีความสนใจในธรรมะทั้งหลาย ในการบรรยายธรรมะนี้ เน้นการขอโอกาสกล่าวกับนักศึกษา ครูบาอาจารย์ นักเรียน โดยเฉพาะ ตามความมุ่งหมายของท่านที่ต้องการมาที่นี่ อาตมาก็พอจะมีโอกาสสนองความประสงค์นี้ได้สักครั้งหนึ่ง
ข้อแรกที่สุดนี่ก็ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายด้วยความหวังดี ที่ได้ ที่จะได้รับประโยชน์เกื้อกูลแก่ความเป็นมนุษย์ของเรา ได้เลือกดูเรื่องที่จะพูดแล้วก็เห็นว่าจะพูดโดยหัวข้อว่า ทำไมจึงต้องศึกษาธรรมะกันดีกว่า แม้ว่าเรื่องทำนองนี้จะได้เคยพูดมาแล้วหลายครั้งหลายหน แต่ท่านทั้งหลายซึ่งมาใหม่วันนี้ไม่เคยฟัง ดังนั้นก็ต้องพูดกันอีกโดยหัวข้อนี้ว่าทำไมเราจะต้องศึกษาธรรมะ หรือว่าศึกษาธรรมะทำไมกัน
เมื่อถามว่าศึกษาธรรมะทำไมกัน มันก็มีปัญหาอยู่เป็นสองชั้นว่า คนทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดเขาศึกษาธรรมะทำไมกัน อันนี้อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งก็ว่า พวกนักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะนี่จะศึกษาธรรมะทำไมกัน ขอให้ฟังดูให้ดีดีว่าสำหรับคนทั่วไปนั้นมันก็อย่างหนึ่ง เราโดยเฉพาะนี่มันก็อีกอย่างหนึ่ง เราจะต้องรู้ว่าธรรมะนั้นคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และก็มองเห็นได้เองว่าจะศึกษาธรรมทำไมกัน เดี๋ยวนี้ยังไม่พูด เพราะว่าให้พูดตอนหลังที่ว่าศึกษาธรรมะทำไมกัน
สำหรับนักศึกษา นักเรียนทั้งหลายนี้ ขอบอกว่าท่านต้องศึกษาธรรมะนี้ เพราะว่ารัฐบาลให้การศึกษาแก่พวกท่านไม่พอ การศึกษาที่รัฐบาลจัดให้นั้น มีแต่การเรียนหนังสือกับเรียนวิชาชีพสองอย่างเท่านั้น ส่วนอย่างที่สามที่ว่าจะเป็นคนเป็นกันอย่างไรเนี่ยไม่ได้สอน ไม่ได้จัดให้ เรียนจบแล้วแม้ได้จบมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคนเป็นอย่างไรจึงจะไม่มีความทุกข์ โดยเฉพาะในทางใจนี่ ทีนี้ก็ไม่รูจักควบคุมตนเอง ก็ปล่อยให้ตกไปในอำนาจของกิเลส เป็นบุคคลอันตราย คือ เป็นบุคคลที่ไม่มีธรรมะ คนไม่มีธรรมะคือเป็นบุคคลอันตราย ย่อมทำร้ายตนเองและทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายตนเองนั้นโดยไม่ต้องเจตนาก็ได้ เขาทำอย่างโง่เขลา และก็เป็นอันตรายเดือดร้อนแก่ตนเอง อย่างนี้เราเรียกว่าเบียดเบียนตนเอง เมื่อเบียดเบียนตนเองไม่พอยังเบียดเบียนผู้อื่นอีก ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนอีก นิสัยของคนอันธพาลมันเป็นอย่างนี้เพราะไม่รู้ธรรมะ
ฉะนั้น เราต้องเรียนธรรมะเป็นเรื่องที่สาม เรื่องที่หนึ่งนี่เรียนหนังสือ เรื่องที่สองเรียนวิชาชีพ ตามที่ทราบกันอยู่นักศึกษาทั้งหลายนี่ก็เป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยอาชีพ ส่วนเรื่องที่สามนี่ยังไม่ได้เรียน เพราะเขาไม่ได้จัดให้ จนกระทั่งว่าท่านทั้งหลาย นักศึกษาเองต้องจัดชุมนุมกันขึ้นมาเอง นี่ล่ะนอกหลักสูตร อันนี้ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาแต่ละสถาบันชวนกันเอง จัดกันเอง ให้เกิดชุมนุมศึกษาพระพุทธศาสน์คือเรียนธรรมะ เพื่อว่าอย่าให้มันขาดความรู้ที่สามนี้ไปเสีย อุตส่าห์ชวนกันมาที่สวนโมกข์ก็เพราะเหตุผลนี่แหล่ะที่จะศึกษาธรมะซึ่งเป็นการศึกษาที่สาม ในที่สุดเราก็มีการศึกษาสมบูรณ์ รู้หนังสือ รู้วิชาชีพ และก็รู้ธรรมะ สำหรับเรื่องทางจิตใจจะได้มีความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง
ถ้ารู้เพียงสองอย่าง ไม่มีความรู้ทางธรรมะนี่ก็ต้องเรียกว่าการศึกษานั้นมันยังด้วนอยู่ ภาษานี้หยาบคายหน่อยขออภัย มันด้วน มันก็หางด้วน หรืออะไรด้วนก็แล้วแต่ การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์อย่างที่ว่านั้นน่ะ มันก็เหมือนกับสุนัขหางด้วน มันก็ดูไม่งาม หรือถ้าจะพูดให้ดีกว่านั้นก็เหมือนกับเจดีย์ยอดด้วน มันก็ไม่งามเหมือนกัน ถ้าจะให้งามก็ต้องต่อหาง ต้องต่อยอดอย่าให้มันด้วน นี้การที่ท่านทั้งหลายขวนขวายจัดการศึกษาขึ้นในสถาบันศึกษาของตนเองเพื่อเรียนธรรมะนี้ เป็นการต่อไม่ให้ด้วน อาตมาขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้ที่นี่ในบัดนี้ ขออนุโมทนาชุมนุมนักศึกษาที่จัดชุมนุมพุทธศาสน์ขึ้นในสถานศึกษาของตน ของตน เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้มีการศึกษาที่สมบูรณ์สำหรับความเป็นมนุษย์ของตน ของตน อย่าให้เป็นการศึกษาที่ด้วนอยู่เลย นี้เรียกว่าทำไมนักศึกษาทั้งหลายจะต้องศึกษาธรรมะ
ทีนี้อีกประเด็นหนึ่งก็คือว่า ทุกคนต้องศึกษาธรรมะให้มันกว้างออกไป ธรรมะจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ ไม่มีธรรมะแล้วไม่อาจเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องหรือสมบูรณ์ได้ เด็กๆจะต้องศึกษาธรรมะสำหรับเด็ก วัยรุ่นก็ต้องศึกษาธรรมะสำหรับวัยรุ่น หนุ่มสาวก็ต้องศึกษาธรรมะสำหรับคนหนุ่มคนสาว พ่อบ้านแม่เรือนก็ต้องศึกษาธรรมะสำหรับพ่อบ้านแม่เรือนให้สมบูรณ์ จึงจะเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ครบถ้วน ครั้นเป็นคนเฒ่าคนแก่ ต้องเผชิญกับไอ้ความแก่ ก็ต้องมีธรรมะสำหรับเผชิญกับความแก่ เพื่อจะไม่เป็นทุกข์มาก จนกระทั่งว่าจะต้องเผชิญกับความตาย ก็มีธรรมะสำหรับหัวเราะเยาะความตาย ไม่ต้องมีความทุกข์เพราะความตาย นี่เป็นอย่างนี้จึงต้องมีธรรมะ
ทีนี้ดูกันอีกแนวหนึ่ง เด็กเล็กก็ต้องศึกษาธรรมะโดยที่พ่อแม่จัดหาให้ ให้เขารู้ธรรมะสำหรับเป็นเด็กที่ดี อย่าให้เป็นอันธพาลตั้งแต่เล็ก นักเรียนก็ต้องศึกษาธรรมะเพื่อเป็นนักเรียนที่ดี มีธรรมะอย่างนักเรียน นักศึกษาก็ต้องศึกษาธรรมะเพื่อเป็นนักศึกษาที่สมชื่อว่าเป็นผู้มีการศึกษา นักธุรกิจทั้งหลายก็ต้องมีธรรมะเพื่อปฏิบัติธุรกิจให้ดี ให้เป็นที่ไว้วางใจ ได้รับความเคารพนับถือ หรือเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะธุรกิจนั้นๆ เพราะว่าในโลกนี้มันเต็มไปด้วยอุปสรรค์ เรามีธรรมะสำหรับแก้อุปสรรค ถ้าเป็นนักการเมืองยิ่งต้องมีธรรมะ มิฉะนั้นจะเป็นนักการเมืองสกปรก ก็สกปรกตั้งแต่เลือกผู้แทนไปนะ และก็ไปเป็นสมาชิกผู้แทนก็ทำเพื่อพรรคเพื่อพวก เพื่อประโยชน์ของตน ไม่ได้เพื่อประเทศชาติ
ทีนี้แม้จะเป็นรัฐบุรุษของชาติก็ต้องมีธรรมะ ยิ่งต้องมีธรรมะมิฉะนั้นไม่อาจจะเป็นรัฐบุรุษของประเทศชาติได้ ถึงจะเป็นนายกรัฐมนตรียิ่งต้องมีธรรมะมาก เพราะปัญหามันมาก ถ้าเป็นประธานาธิบดีก็ยิ่งมีปัญหามาก กระทั่งเป็นพระมหากษัตริย์ก็ต้องยิ่งมีธรรมะมากและสูงยิ่งขึ้นไม่งั้นเป็นไม่ได้ มันจะล้มละลาย นี่จึงว่าทุกคน ทุกชนิดของบุคคล จะต้องศึกษาธรรมะให้ตรงตามสถานะหรือสภาวะแห่งตน แห่งตน ดังนี้
นี่แหล่ะเรียกรวมรวมกันไปทีก่อนว่าจะต้องศึกษาธรรมะกันทุกคนทุกชนิดของคน ทุกระดับ ทุกวัยของคน ทุกเพศของคน ไม่ว่าหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ หนุ่ม สาว แก่ เฒ่า ต้องมีธรรมะตรงตามสถานะของตน ของตนดังนี้ มิฉะนั้นจะเกิดเป็นปัญหา นั่นคือความผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ และจะเกิดความทุกข์ จะต้องนั่งร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะสิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่ตนปรารถนา มันจะมีเรื่อเล็ก เรื่องน้อย ยุ่งไปหมดแหล่ะ กระทั่งว่าจะต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว แมวไม่เป็นโรคประสาทสักตัวหนึ่ง ไม่เคยเห็นแมวตัวไหนเป็นโรคประสาทแต่คนนั้นแหล่ะเป็นโรคประสาทกันมาก เป็นโรคจิตก็มีเลยไปอีก หรือว่าเริ่มนอนไม่หลับกันอยู่มากต้องกินยานอนหลับ ขอให้รู้เถอะว่านั้นน่ะมันขาดธรรมะ ไม่มีธรรมะสำหรับทำความสงบให้จิตใจของตน นอนไม่หลับกันบ้าง เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง เพราะไม่มีธรรมะ ขอให้มองเห็นอานิสงส์ของธรรมะว่ามีอยู่อย่างนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ หรือจะให้พูดมากกว่านั้นก็ได้ว่ามันจำเป็นเป็นสำหรับทุกสิ่งที่มีชีวิต ชีวิตทุกชนิดต้องมีธรรมะมิฉะนั้นมันจะต้องตาย
สรุปความได้ขอให้จำไว้ให้แม่น แม่นยำหน่อยว่า ธรรมะคือหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติ นี่เป็นคำบัญญัติที่สั้นที่สุด และมีความหมายสมบูรณ์ที่สุด ธรรมะคือหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติ มิฉะนั้นมันจะต้องตาย หรือมันจะไม่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดของความมีชีวิต จึงพูดว่าธรรมะคือสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต มองกันดูอีกทางหนึ่งก็คือ หน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติ
หน้าที่ของเรานั่น โดยทั่วไปล่ะคือหน้าที่ให้มันรอดชีวิตอยู่ได้ และต้องทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ไม่เจ็บไม่ไข้ มีสุขภาพอนามัยดี ไม่อดอยาก ยากจน อยู่สบายดี นี่เป็นหน้าที่อันที่หนึ่ง ครั้นสำเร็จประโยชน์ในหน้าที่อันนี้แล้วก็ไปถึงหน้าที่อันที่สอง คือว่าให้มันมีอะไรดียิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ เป็นมนุษย์ที่ดียิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ จนเป็นอริยะชน เป็นอริยะบุคคล บรรลุมรรคผลนิพพาน นั่นน่ะจบอยู่ตรงนั้น
เดี๋ยวนี้หน้าที่ขั้นที่หนึ่งคือรอดชีวิตอยู่ได้อย่างสบายนี่ก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ ไปทำอบายมุขจนตัวเองก็เดือดร้อน ลูกเมียก็เดือดร้อน ครอบครัวก็เดือดร้อน เพราะไม่มีธรรมะแม้ในระดับต้น บกพร่องในหน้าที่ระดับต้น ขอให้จำให้ดีว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ในเมืองไทยธรรมะสอนกันว่า เขาสอนกันว่าธรรมะแปลว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า และก็ไม่เคยบอกว่าสอนอย่างไร นี้จะบอกให้เสียเลยว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องหน้าที่ คนนั้นมีหน้าที่อย่างนั้น คนนั้นมีหน้าที่อย่างนั้น หน้าที่อย่างนั้น อย่างนั้น ทุกคนมีหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ก็จะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องทุกขั้นตอนที่เติบโตขึ้นมา
ถ้าเราจะศึกษาธรรมะ ดูว่าคำว่าธรรมะ ธรรมะนี้มันเกิดขึ้นมาในโลกอย่างไร เมื่อไร นี่มันคงหลายหมื่นปีมาแล้วก็ได้ ตั้งแต่มนุษย์รู้จักคิดรู้จักนึก มีวัฒนธรรมพอสมควร มนุษย์จะหลุดปากออกมาว่าธรรมะ ธรรมะนั้น เมื่อเขามองเห็นสิ่งที่เป็นหน้าที่ สิ่งที่เป็นหน้าที่ และคำบอกกล่าวเรื่องสิ่งที่เป็นหน้าที่นั้นก็ธรรมะเหมือนกัน ไอ้ตัวหน้าที่นั่นแหล่ะเป็นตัวธรรมะ ต้องรู้และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ธรรมะจึงแปลว่าหน้าที่มาแต่แรกเริ่มเดิมที หมายถึงหน้าที่มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที
ในครั้งพุทธกาลเขาใช้คำว่าธรรมะนี้ในความหมายที่ว่า ระบอบปฏิบัติสำหรับดำรงชีวิตให้เป็นสุข การปฏิบัติที่รวมกันเป็นระบบสมบูรณ์เพื่อทำให้ชีวิตนี้มันอยู่ด้วยความสงบสุข เขาเรียกว่าธรรมะคำเดียว ธรรม ธรรมะคำเดียว เขาจึงสนทนากันในหมู่เพื่อฝูงว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร ประชาชนก็จะพบปะและสนทนากันว่า ท่านชอบใจธรรมะของใคร ท่านชอบใจธรรมะของพระสมณโคดม หรือว่าท่านชอบใจธรรมะของนิครนถนาฏบุตร หรือท่านชอบใจธรรมะของสัญชัยเวลัฏฐบุตร เป็นต้น แล้วแต่ว่าอาจารย์เหล่านั้นสอนอยู่อย่างไร และใครมันชอบใจ เขาก็รับไปปฏิบัติ
ถ้าเป็นพุทธบริษัท ก็ชอบใจธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ว่ามีผู้อื่นอีกจำนวนมากมายไม่ได้ชอบใจธรรมะของพระพุทธเจ้า อย่าเข้าใจว่าในครั้งพุทธกาลในประเทศอินเดียนั้น เขาถือพุทธศาสนากันทุกคน ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มีหลายลัทธิ คือมีเดียรถีย์อีกหลายเดียรถีย์นอกไปจากพุทธศาสนา เขาก็สอนไปตามแบบของเขา ใครถูกใจของใครก็รับปฏิบัติตามนั้น บางทีก็ถึงกับตรงกันข้ามจากพุทธศาสนาก็มี แต่เมื่อเขาชอบใจจะทำอย่างไงได้ เขาชอบใจก็มีเสรีภาพที่จะเลือก แต่ลงความว่าธรรมะนั้นมันเป็นระบบปฏิบัติที่สำหรับให้ชีวิตนั้นอยู่สงบสุข ไม่มีทุกข์ เป็นรูปแบบต่างๆกันตามแต่ลัทธิ แต่ความหมายมันก็คงเดิมน่ะ คือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ตนได้รับความพอใจ และความสุขความพอใจ และเพื่อนมนุษย์ก็พลอยได้รับความสุขความพอใจ
แล้วก็ได้คำบัญญัติใหม่ที่ยาวสักหน่อยนะแต่สมบูรณ์กว่าว่า ธรรมะ คือ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ของตน ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อประโยชน์ตน และเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ธรรมะคือระบบปฏิบัติ เพราะว่ามันไม่ได้มีข้อเดียว ธรรมะต้องมีหลายข้อมารวมกันเป็นระบบไว้สำหรับปฏิบัติ ไม่ได้เพื่อเว้นเฉยๆ สำหรับปฏิบัติทั้งระบบและถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ คือจะช่วยให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนั่นเอง การปฏิบัตินั้นมันถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของผู้นั้น
ที่ว่าถูกต้องนั้น ถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า ทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ มีธรรมะที่ถูกต้องสำหรับประพฤติปฏิบัติ จึงใช้คำว่าถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา มีทั้งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเองและเป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น มันก็สมบูรณ์ นี่หน้าที่มันคืออย่างนี้ และจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเราทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ได้รับประโยชน์กันทุกฝ่าย นี้เรียกว่าธรรมะในความหมายที่จำเป็นแก่มนุษย์
ทีนี้ถ้าว่าจะเอากันให้มากกว่านั้น จะพูดให้มากกว่านั้นสำหรับการศึกษา สำหรับ สำหรับการศึกษา ด้วยนี่ ก็จะพูดว่าธรรมะนั้นน่ะคือเรื่องของธรรมะชาติ ธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาติและเรื่องของธรรมชาติทั้งหลายนั่นแหล่ะคือธรรมะ ในความหมายที่หนึ่งคือเรื่องตัวธรรมชาตินั้นเอง ธรรมชาติเป็นอยู่อย่างไร เราศึกษาให้รู้ เรื่องที่สอง คือ กฎของธรรมชาติมันมีอยู่อย่างไร เราศึกษาให้รู้ และหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร เราก็ศึกษาให้รู้ และผลมันจะเกิดขึ้นมาอย่างไรเราก็ต้องรู้ รู้ก่อนหรือรู้ทีหลัง รู้หมดเลยว่าผลจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นอย่างไร นี่สี่ความหมายถ้าอย่างนี้ล่ะสมบูรณ์ทั้งสำหรับพูด สำหรับเรียน สำหรับปฏิบัติ สำหรับจะเป็นวิชา เป็นปรัชญา เป็นอะไรก็ได้ ครบถ้วนเลย
ธรรมะก็ ความหมายที่หนึ่งก็คือ ตัวธรรมชาติ รู้เรื่องตัวธรรมชาติ ธรรมะ
ความหมายที่สอง คือ รู้เรื่องกฎของธรรมชาติ
ความหมายที่สาม คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
ความหมายที่สี่ คือ ผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่
หลักการอันนี้ใช้ได้ทั่วไปทั้งภายนอกและภายใน พูดกันภายในดีกว่า คือภายในตัวเอง เนื้อหนัง ร่างกาย ชีวิต จิตใจ ของเราทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นตัวธรรมชาติ ต้องรู้ให้ดี นี้ในตัวธรรมชาตินี้มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่นะ มันจึงเป็นไปอย่างนั้น เป็นไปอย่างนี้ ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงจะอยู่ได้นะ
เราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตัว ชีวิต ร่างกายนี้ เช่นจะต้องกินอาหาร ต้องบริหารกาย ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องอะไรก็สุดแท้แต่ที่เป็นหน้าที่ที่จะต้องบริหารร่างกายนี้ให้มีสุขภาพดีทั้งทางกายและทางจิต ครั้นแล้วเราก็ได้รับผลเป็นผลในตัวชีวิตนี้ มันสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วแต่เราทำผิดหรือทำถูก ถ้าเราทำถูกมันก็ไม่มีทุกข์ ถ้าเราทำผิดมันก็มีความทุกข์
แม้ว่าความทุกข์มันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เราก็มีความรู้ทางจิตใจของเราที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์แก่จิตใจของเรา แม้ว่าร่างกายจะต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องตาย แต่จิตใจก็รู้จักสลัดออกไปว่ามันเช่นนั้นเอง และไม่ต้องเอามาเป็นทุกข์ นี่ความเอ่อ! ธรรมะมันจะป้องกันได้ถึงขนาดนี้ ว่าแม้ความทุกข์ที่มันเกิดอยู่ตามธรรมชาติ ถ้าเรามีธรรมะแล้วมันก็ขจัดไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์นั้นออกไปเสียได้ และแม้ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราก็ไม่มีความทุกข์ เราทำทุกอย่างไปตามที่ควรทำต่อไปก็แล้วกัน แม้ที่เหลือวิสัยที่เราป้องกันได้เราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเห็นว่ามันเช่นนั้นเอง
เป็นอันว่าถ้าไม่มี ถ้ามีธรรมะแล้วจะไม่เกิดความทุกข์เลย ถ้าไม่มีธรรมะแล้วจะเกิดทุกข์รอบด้านทีเดียว นี่ท่านดูเอาเองว่าไอ้ธรรมะนั้นมันคืออะไร ถ้าเห็นประโยชน์ของธรรมะชัดเจนแล้ว ก็จะต้องเห็นได้เองว่าทำไมเราจึงต้องศึกษาธรรมะ ถ้าเรามองเห็นประโยชน์แล้ว ก็รู้ได้เองว่าทำไมเราต้องศึกษาธรรมะ ก็เพื่อประโยชน์เหล่านั้น นี่มันเป็นคำตอบที่พอสมควรแล้วที่ว่าทำไมจึงต้องศึกษาธรรมะ สำหรับคนทุกขั้นทุกตอนแห่งวัย ทุกหน้าที่การงานของมนุษย์ในโลกนี้
เอ้า! ทีนี้จะต้องพูดแข่งกับฝน จะเรียนธรรมะกันอย่างไร ศึกษาธรรมะ จะเรียนธรรมะกันอย่างไร ข้อนี้ตอบได้ว่าเรียนจากคัมภีร์ ตำรับตำรา การศึกษาจากตำรับตำรานั้นก็ได้ แต่เรียนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นยิ่งดีกว่า เรียนจากหนังสือหนังหาตำรับตำรานั้นมันรู้ผิวเผิน ถ้าเรียนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงๆแล้วรู้จริงกว่า รู้แน่กว่า รู้ชัดกว่า
เมื่อมันมีความทุกข์ก็เรียนจากความทุกข์ เมื่อมีความสุขก็เรียนจากความสุข เมื่อทำผิดก็เรียนจากความผิด เมื่อทำถูกก็เรียนจากความถูก พูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่าเรียนตามที่เค้าบอกสอนกันอยู่ก็ได้ เรียนจากการคิดนึก ค้นคว้า ศึกษาภายในใจของเราก็ได้ นี่เรียกว่ามันมีวิธีเรียนกันมาก แต่สรุปแล้วมันก็เหลืออยู่สองอย่าง คือว่าเรียนจากที่ผู้อื่นสองให้ และเรียนจากการคิดนึกเอาเอง
มันคงจะตกแน่ ดู คงจะตกแน่เลย ขอยุติการบรรยายอย่างคาราคาซังไว้เพราะธรรมชาติ ธรรมชาติที่มันเป็นธรรมชาติมันก็มาอย่างนี้ แล้วเราก็ต้องไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์ไม่ใช่พุทธบริษัท พุทธบริษัทต้องเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าใครเป็นทุกข์ไม่เป็นพุทธบริษัทและต้องละอายแมวด้วย เอ้า! ก็มีโอกาสค่อยพูดต่อ ปิดประชุม เพราะฝนบังคับให้ปิดประชุม