แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทีนี้ก็จะบรรยายธรรมะ ในชั้นแรกนี้ขอแสดงความยินดีในการที่เธอทั้งหลายมาที่นี่ เพื่อประโยชน์คือการศึกษาธรรมะ นี่เป็นความคิดที่ดี เป็นการกระทำที่ดี จึงขอแสดงความยินดี และอนุโมทนาในการที่มาที่นี่ ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่าจะมาศึกษาธรรมะให้ถูกต้องและเพียงพอ สำหรับจะประพฤติปฏิบัติให้เอาตัวรอดได้ คำว่ารอด รอดได้นั่นแหละเป็นคำสำคัญที่สุดในทุกๆศาสนาเลย ไม่ว่าศาสนาไหนพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์อะไรก็ตาม จุดสุดท้ายของเขาเรียกว่าความรอดด้วยกันทั้งนั้น แต่ในภาษาไทยเรียกว่าความรอด ในภาษาอื่นมันก็ต้องออกเสียงอย่างอื่น แต่ความหมายมันอย่างเดียวกันคือความรอด รอดออกไปจากปัญหาทุกชนิดที่มันทำความยุ่งยากลำบากหรือทรมานเรา จะเรียกว่าความทุกข์มันก็ยังค่อยไม่ถูกหรอก รอดจากความทุกข์มันก็ยังไม่ครบถ้วน ไอ้ที่มันไม่เป็นความทุกข์ มันทรมานเราก็มีเหมือนกัน ฉะนั้นเราจะรอดจากสิ่งที่เป็นปัญหาคือทำให้เราหนักอกหนักใจชนิดต่างๆกันนับไม่ไหว ธรรมะจะช่วยปลดเปลื้องในข้อนี้
ทีนี้จะอยากบอกให้รู้ในสิ่ง ในข้อแรกก็ว่า การศึกษาเท่าที่เรามีอยู่นั้นมันไม่พอที่จะขจัดปัญหาทั้งหมดนี้ ในโรงเรียนให้เรียนกันแต่หนังสือหรืออักษรศาสตร์และวิชาชีพ พูดกันง่ายๆในหลักสูตรที่เขาวางไว้ให้ดำเนินตามมีแต่เรียนหนังสือกับวิชาชีพ ไม่ได้เรียนเรื่องความรอดจากปัญหา หรือความทุกข์ในด้านจิตใจ ยกเลิกไปเสีย ไม่เรียนธรรมะ ไม่เรียนศาสนาโดยตรง เอาเรื่องสำคัญที่สุดนั้นมาเป็นเพียงเรื่องประกอบเล็กๆน้อยๆของการเรียนหนังสือและวิชาชีพอย่างนี้มันไม่พอ เพราะว่าเรื่องใหญ่ที่สุดของมนุษย์เรานั้นคือความรอดจากความทุกข์ในด้านจิตใจโดยเฉพาะ เธอก็ดูเอาเป็นตัวอย่างไอ้คนที่มันรู้หนังสือมากๆ มีอาชีพดี ร่ำรวย มันก็ยังมีความทุกข์อยู่นั่นแหละ เรียนมาจากเมืองนอกเท่าไร เท่าไรก็ถ้ารู้แต่หนังสือกับอาชีพมันก็ยังมีความทุกข์ นี่เรียกว่ายังไม่พอ มันต้องไม่มีความทุกข์ที่เรียกว่ารอด รอดจากปัญหานานาชนิด ให้ชีวิตของเรานี้เป็นชีวิตที่ไม่มีการทนทรมานแต่ประการใด ให้เรียกว่ามันเป็นชีวิตที่เบา ไม่หนัก ไม่มีอะไรมากดทับให้มันหนัก ให้เป็นชีวิตที่มันเย็น ไม่มีอะไรมาทำให้มันร้อน ตลอดถึงให้มันสะอาด ให้มันสว่าง ให้มันสงบ ถ้ามันได้อย่างนั้นแล้วก็เรียกว่าไม่มีทุกข์ พ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพนั้นไม่พอแน่ ไม่พอที่จะเป็นอย่างนั้น เรื่องอาชีพนี้บางทียิ่งเรียนมาก ยิ่งทำได้มากกลับโลภมาก คดโกงมาก กอบโกยมาก ฉะนั้นต้องมีธรรมะมาควบคุมอาชีพอย่าให้ทำอาชีพโกง หรือได้ผลเป็นเงินเป็นทองมาแล้วอย่าได้หลงใหล เมื่อหลงใหลในความร่ำรวยมันก็ทำผิดต่อไปอีกมากหลายอย่างหลายประการ จึงถือว่าเรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพนี้ไม่สมบูรณ์ จึงเปรียบอุปมาว่าเหมือนกับสุนัขหางด้วน ไม่น่าดูไม่งดงาม วิ่งก็ไม่ค่อยตรงหรอกเพราะไม่มีหางเป็นเครื่องถ่วง มันแกว่งไปแกว่งมา ตัวมันแกว่งไปแกว่งมา การศึกษาในโลกทั้งโลกมันกำลังเป็นหางด้วน เมื่อก่อนนี้มันตั้งต้นมาจากธรรมะหรือศาสนา ขอให้เรารู้กันเสียให้ถูกต้องว่าเมื่อก่อนนู้นคำว่าเล่าเรียน คำว่าศึกษานั้นเขาหมายถึงเรียนศาสนา เรียนธรรมะ เรียนความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องกันทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าที่ไหน ยุคไหน ประเทศไหน ไอ้เรียนหนังสือหรือเรียนอาชีพนี้มันเป็นส่วนประกอบ แล้วเขาก็เรียนกันทีหลัง หรือเรียนในฐานะเป็นส่วนประกอบของการเรียนธรรมะ ทีนี้ต่อมามนุษย์มันเจริญในทางวัตถุในทางร่างกาย มันขวนขวายกันแต่เรื่องทางวัตถุ ความนิยมในทางวัตถุมันมากขึ้น จนเห็นเป็นเรื่องสูงสุดหรือเรื่องจำเป็น ไอ้เรื่องธรรมะเลยไม่จำเป็น ก็เลยค่อยๆตัดเรื่องธรรมะออกไปในการศึกษาสมัยใหม่ ถ้าเป็นการศึกษาสมัยโบราณดึกดำบรรพ์ที่เขาเรียนกันตามแผ่นดิน ตามโคนไม้ ในป่าในดง ในอาศรมในอารามชนิดนั้นมันก็นั่งสอนนั่งเรียนกันอย่างที่เรากำลังนั่งกันอยู่ที่นี้ ถ้ายุคนั้นแล้วการศึกษาก็คือศึกษาธรรมะทั้งนั้น เพราะเขาถือว่าไอ้ธรรมะสำคัญที่สุดแหละ รู้หนังสือก็ได้ ไม่รู้หนังสือก็ได้ แล้วเกือบจะพูดได้ว่าพระอรหันต์เกือบจะทั้งหมดทุกองค์ในพุทธศาสนาไม่รู้หนังสือหรือไม่ได้ใช้หนังสือ แล้วเขาก็เป็นพระอรหันต์ได้โดยที่ไม่ต้องรู้หนังสือ ประชาชนก็เหมือนกัน เขาอยู่กันอย่างสันติสุขสงบสุขได้โดยไม่รู้เรื่องหนังสือ หนังสือนั้นมันเป็นเครื่องมือตอนหลัง เป็นเครื่องมือสื่อสาร เป็นเครื่องมือถ่ายทอด เพิ่งเกิดขึ้นทีหลัง แต่ก่อนนี้มนุษย์ไม่ได้มีหนังสือใช้เขาก็สอนกันได้ สืบต่อกันมาได้ ตั้งแต่สมัยคนป่า เรียกว่าคนป่านู้น ยุคหินยุคไอ้ป่านู้นมันก็ไม่มีหนังสือ แต่มันก็สอนกันได้โดยวิธีที่ดีกว่าหนังสือ ก็คือมันทำให้ดูหรือมันบอกด้วยปาก แล้วมันก็ควบคุมอบรมกันจริงๆ มันกลายเป็นเรื่องอบรมให้ทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่ให้เรียนหนังสือ ดังนั้นต่อมานี่เขาก็ค่อยพบเรื่องของหนังสือ วิชาหนังสือเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการบันทึก ในการสื่อสาร ในการถ่ายทอด ก็เลยใช้หนังสือกันเป็นการใหญ่ คนเลยต้องเรียนหนังสือ ต่อมาก็เห็นว่าอาชีพนั้นก็เป็นใหญ่ก็สำคัญ ก็สอนอาชีพ มันก็เลยให้ความสำคัญแก่ธรรมะน้อยลง มันก็มีธรรมะน้อยลง ไอ้คนมันก็เป็นมนุษย์น้อยลง ก็เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนกับสัตว์ เกิดมาก็เป็นสัตว์ คนเกิดมาก็เป็นคน มันมีเท่านี้ มันเป็นแต่คน มันไม่เป็นมนุษย์เพราะมันไม่มีธรรมะในส่วนจิตใจ แต่โบราณนั้นเขาถือมาเป็นหลักว่าธรรมะที่ทำให้คนเป็นมนุษย์แตกต่างจากสัตว์ ถ้าไม่มีธรรมะคนก็เหมือนกับสัตว์ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถือกันอย่างนั้น มันธรรมะมันเปลี่ยนความหมายกลายเป็นประโยชน์ ก่อนนี้เขาบูชาธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด เดี๋ยวนี้บูชาประโยชน์ ประโยชน์ก็เหมือนกันมันก็เปลี่ยนความหมาย มันมาเป็นประโยชน์ต่ำๆเตี้ยๆ เป็นประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ทางวัตถุ เป็นความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง นี่เรียกว่าประโยชน์ แล้วก็บูชาประโยชน์แทนที่จะบูชาธรรมะ ดังนั้นคนสมัยหลังจึงบูชาประโยชน์ ไม่ต้องเห็นแก่ธรรมะว่าผิดถูกชั่วดีอะไรไม่รู้ ประโยชน์ของฉันนั่นแหละเป็นสิ่งสูงสุด เป็นความดีที่สุด อันธพาลก็เกิดขึ้นเต็มไปทุกหนทุกแห่ง อันธพาลในเมืองหลวงมากที่สุด ล้วนแต่บูชาประโยชน์ของฉัน ของเขา ของตัวเองเป็นสิ่งสูงสุด จึงประกอบอาชญากรรมนานาชนิด กระทั่งเลวร้ายที่สุดเรื่องปล้น เรื่องจี้ เรื่องข่มขืนแล้วฆ่า ซึ่งมันไม่ควรจะมีในหมู่มนุษย์ เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานมันยังไม่ทำ เรื่องปล้น เรื่องจี้ เรื่องฆ่า เรื่องข่มขืนแล้วฆ่า ฆ่าแล้วข่มขืนอะไรก็ตามสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ทำแต่มนุษย์มันทำ เพราะว่าไอ้การบูชาประโยชน์นั่นมันรุนแรงขึ้น บูชาธรรมะไม่เหลือแล้ว ไม่ ไม่ ไม่รู้ว่าผิดชอบชั่วดี บุญบาปอะไรอีกแล้ว ประโยชน์ของฉันเป็นสิ่งสูงสุด ยิ่ง ยิ่ง มันยิ่งกว่าขึ้นสมอง ยิ่งกว่าหลงใหล มันจึงประโยชน์ของฉันเป็นพระเจ้า ประโยชน์ของฉันเป็นทุกสิ่ง เป็นสิ่งที่ดีที่สุด คิดดูตอนนี้ก็พอ เพราะว่าวันนี้จะพูดกันเรื่องไอ้ความรักดี
ความรักดี ความรักดีกำลังไม่มีในโลก แม้ว่าไอ้ความรักดีนี่มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ แต่เดี๋ยวนี้ เขาไม่รู้ว่ามันดีที่ตรงไหน มันมาดีที่ประโยชน์ของกู เอาประโยชน์ของกูเป็นความดีมันก็ไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ความดี เขาก็ไม่รักความดีที่ถูกต้อง เขามารักประโยชน์ของกู ก็ต้องพูดว่าไอ้คนชนิดนี้มันก็ไม่ได้รักดี มันรักประโยชน์ของมัน รักกิเลสของมัน รักการสนองกิเลสของมัน มันรักไอ้นั่น มันไม่ได้รักความดี ความจริง ความตรง ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความอะไรที่เรียกกันว่าความดี เดี๋ยวนี้ไม่รักดี แม้ว่าเขาจะมีความรักดีแต่เขาตีความหมายของคำว่าดีนั้นผิด มันก็ไม่ถูกความดี มันก็เลยไม่มี ไม่มีการรักดีอยู่นั่นเอง ที่จริงความรักที่จะดีจะเจริญจะก้าวหน้านี่มันเป็นไอ้เรื่องของสัญชาตญาณของสิ่งที่มีชีวิต กระทั่งมันตีความหมายคำว่าดี ดีนี้ผิดเสียแล้ว มันก็ไปรักไอ้ที่ผิดๆนั้น มันก็เลยไม่ถูกความดี นี่มนุษย์เดี๋ยวนี้มันบูชาประโยชน์เป็นความดี มนุษย์สมัยนี้ในโลกนี้มันก็ไม่ได้รักดี มันไปหลงประโยชน์ เอาประโยชน์เป็นความดี เห็นแก่ตัว มันก็ดีแบบกิเลส ดีแบบสนองกิเลส เป็นความดีของกิเลสไม่ใช่ความดีของธรรมะ เราจะต้องรู้จักว่าดีที่แท้จริงนั้นมันเป็นอย่างไร ไอ้ดีของกิเลสนั้นมันก็เป็นเรื่องของกิเลสแหละ เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ก็ทำไปอย่างโง่เขลา เป็นทุกข์เดือดร้อนกันไปทั้งนั้น ตัวผู้ทำนั้นก็มัวเมาอย่างยิ่ง นี่เรามาพูดกันถึงข้อนี้ให้มากพอที่จะเข้าใจว่าไอ้ความรักดีนั้นสำคัญที่สุด แล้วมนุษย์กำลังไม่มี กำลังขาดความรักดีโดยที่มันเปลี่ยนไอ้ความหมายของคำว่าความดี ไปเอาความไม่ดีมาเป็นความดี มันก็จะเป็นเรื่องรักดีไปไม่ได้ จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ มองเห็นง่ายๆมันก็ต้องแยกพูดว่าดีของกิเลสและดีของธรรมะ ดีของธรรมะนั่นแหละดีจริง ดับทุกข์ของทุกคนได้จริงเรียกว่าดีของธรรมะ แต่ดีของกิเลสมันก็ของกิเลส มันก็ของผู้เห็นแก่ตัว มันก็เอาเปรียบคนอื่นทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ แล้วตัวมันก็ไม่ได้เป็นสุขหรอกเพราะว่ากิเลสมันสุมเผาคนนั้นให้เร่าร้อนอยู่ แม้ว่ามันจะร่ำรวย มันจะมีอำนาจวาสนา มันจะมีอะไรมันก็มีกิเลสและกิเลสมันก็สุมเผาคนนั้นให้เร่าร้อนด้วยโลภะ ราคะ โทสะ โกธะ โมหะ อะไรอีกมากมาย นี่ดีของกิเลสมันเป็นอย่างนี้ ช่วยเข้าใจกันไว้ดีๆเดี๋ยวจะไปหลงเข้า ถ้าเป็นดีที่ถูกต้องจะเรียกชื่อว่าดีของธรรมะแล้วมันจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน คือผู้นั้นก็ไม่เดือดร้อน คนเหล่าอื่นทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่เดือดร้อนนั่นแหละเรียกว่าดี แล้วก็ดีจนผู้อื่นเขาเดือดร้อนกันหมด ตัวเองก็ร้อนเพราะกิเลสเผานี้ก็ไม่มีอะไรเหลือ มันเลว นี่คือคำที่จะต้องจำไว้ให้ดีดๆว่าดีหรือถูก ความดีหรือความถูกต้องมันมีความหมายเฉพาะอยู่อย่างนี้ ของอันธพาลมันก็อย่างหนึ่ง ของสัตบุรุษ วิญญูชนมันก็อีกอย่างหนึ่ง แล้วเรามันอยู่ฝ่ายวิญญูชน ฝ่ายสัตบุรุษคือผู้มีความถูกต้อง ไม่ใช่ฝ่ายอันธพาล ถ้าเป็นฝ่ายอันธพาลก็เอาดีอย่างอันธพาลคือเอาการได้สนองกิเลสของตัวแล้วก็เป็นดีทั้งนั้น ถ้ามันจะมาพูดกัน ตัดสินกัน เถียงกันก็อาจจะได้ว่าไอ้ความดีนั้นเป็นอย่างไร ความถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัทเราก็ตอบได้ตามหลักของพุทธบริษัทว่าไอ้ความดีก็ตาม ความถูกต้องก็ตามมันมีลักษณะคือไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำให้ทุกคนไม่เดือดร้อนไอ้นั่นแหละถูกแหละ นั่นแหละดีแหละ ถ้าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ตัวไม่เดือดร้อน มันก็ถูกครึ่งเดียว หรือมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนแล้วตัวเองไม่เดือดร้อนนั้นมันไม่มี หรือว่าตัวเองเดือดร้อน ผู้อื่นไม่เดือดร้อน มันก็ถูกครึ่งเดียว ก็ใช้ไม่ได้อีกเหมือนกัน ต้องไม่มีใครเดือดร้อนจึงจะเรียกว่าดีหรือถูก ความดี ความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความงดงามอะไรเหล่านี้มันมีความหมายชัดอยู่ที่ว่าไม่มีใครต้องเดือดร้อน แม้แต่บิดามารดาของเราก็ไม่ต้องเดือดร้อน ถ้าลูกยังทำให้บิดามารดาเดือดร้อนอยู่ก็ไม่ ไม่ดีหรอก ไม่ถูกหรอก ทุกคนมีสัญชาตญาณแห่งการรักดีอยู่ในสันดาน แต่แล้วมันเปลี่ยนๆ เปลี่ยนไปเป็นไอ้ความรักประโยชน์สุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ สัญชาตญาณเดิมๆมันก็สู้ไม่ได้ แล้วมันก็พลอยเปลี่ยนไปหาไอ้ความดีที่ปลอมนะ ไม่ใช่ดีจริงหรือว่าไปยึดถือความดีผิดแล้ว เรื่องนี้มันลำบาก แล้วมันก็ไม่รู้ว่าใครจะรับผิดชอบได้ มันไม่มีใครรับผิดชอบได้มันเป็นมาตามธรรมชาติ ครั้นเมื่อมันเป็นจนเกิดปัญหาแล้วเรานี่แหละจะต้องรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้นเราก็จะต้องเป็นทุกข์ เราก็จะทนไม่ได้ แล้วจะเป็นทุกข์กันทั้งหมดทั้งโลกเลย ต้องจัดการกันเสียให้ถูกต้องคือให้มันได้ความดีที่ถูกต้องมาโดยไม่มีใครเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้มันก็ถือเอาประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ คนอื่นเป็นทุกข์ก็ช่างมัน แม้ว่าองค์การโลกที่ว่าเป็นองค์การสำคัญของโลกมันก็ยังถือไอ้เรื่องประโยชน์ของตนหรือของพวกตนเป็นใหญ่อยู่นั่นแหละ คนอื่นเดือดร้อนไม่รับผิดชอบ บนโลกนี้จึงไม่มีสันติสุขไม่มีสันติภาพ เพราะว่าคนในโลกมันยังไม่มีธรรมะ ไม่ประกอบด้วยธรรมะ กิเลสยังครองโลกคือครองจิตใจของคนที่มีอำนาจในโลก เราเรียกว่ากิเลสมันครองโลก ฉะนั้นเราจะต้องยึดเอาความหมายของคำว่าความดีนี่เอาไว้ให้ถูกต้องตลอดไป แล้วต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถ้าเรายังทำให้ใครเดือดร้อนอยู่ เราเองก็ตาม ผู้อื่นก็ตามแหละมันยังไม่ถูก ให้เรียกว่ามันโง่แล้ว มันไปเอาสิ่งที่ไม่ดีมาเป็นความดีเสียแล้ว เรื่องนี้มันลำบากเพราะว่าไอ้เรื่องของกิเลสนี่มันซับซ้อน ยุ่งยากลำบาก แล้วมันก็ เราไม่รู้จักมัน เราควบคุมมันไม่ได้ ดังนั้นขอให้แยกว่าดีจริงนี่มันเป็นอย่างหนึ่ง ดีไม่จริง ดีหลอก ดีของกิเลสนี่อย่างหนึ่ง ดีของธรรมะนั่นดีจริง ไอ้ดีของกิเลสนั้นไม่จริงแล้วยังชั่วเสียด้วย ดีของกิเลสนั่นคือชั่ว มันจะเอาแต่ความต้องการของกิเลส มันไม่คำนึงถึงอะไร เพราะฉะนั้นมันก็เบียดเบียนคนอื่นได้ ฆ่าคนอื่นก็ได้ ในที่สุดมันก็ฆ่าตัวมันเองนี่มันทำลายทั้งสองฝ่ายที่ดีของกิเลส คนโบราณเขาเล่านิทานสั้นๆไว้มีประโยชน์มาก ช่วยฟังและจำกันไว้ดีๆ ดีกว่านิทาน นิยาย การ์ตูนอะไรที่เราหลงใหลซื้อหามาอ่านกันเป็นวรรคเป็นเวร เรื่องบ้าๆบอๆทั้งนั้น คนโบราณเขาเล่านิทานไว้ว่าไอ้เด็กมันคลอดมาแล้วจากท้องแม่ มันอยู่กับพ่อแม่ เมื่อโตขึ้นมาพอสมควรแล้วมีพวกโจรเข้ามาเอาของเล่นหัวสนุกสนานมาล่อ ของกินมาล่อ ไอ้เด็กนั้นมันก็ทิ้งพ่อแม่วิ่งหนีตามโจรไป ไปอยู่ในอำนาจของพวกโจร แล้วแต่พวกโจรจะทำอะไร เพราะมันไปอยู่ในน้ำมือ ในเงื้อมมือของโจรแล้วมันก็ต้องทำตามโจร ไม่ทำตามที่โจรต้องการโจรมันก็ฆ่าเสีย มันทุบตีเอาทนอยู่ไม่ได้ มันก็ต้องทำไปตามที่พวกโจรเขาต้องการ นักเรียนมีปัญญามีความเฉลียวฉลาด ลองตีความ ตีความหมายของนิทานเรื่องนี้ดูทีว่ามันได้แก่ใคร มันได้แก่ใคร จะได้แก่ตัวเราเองนั่นระวังให้ดีนะ ทิ้งพ่อแม่เสีย วิ่งตามโจรไป ตีความได้ว่าเรามีสัญชาตญาณแห่งความรักดีอยู่ในสันดาน รักที่จะดีโดยที่ไม่ต้องรู้ว่าอะไร แต่มันมีรักที่จะดีกว่าเก่า รักจะดี เห็นได้ที่เด็กๆเล็กๆที่มันยังไม่ทันถูกเปลี่ยนแปลงนักมันรักดี ถ้าใครว่าดีมันก็ชอบ เขายอว่าดีมันก็ชอบ มันอยากะแสดงความดีเพราะว่ามันมีสัญชาตญาณแห่งความดี แต่สัญชาตญาณแห่งความดีนั้นมันค่อยๆเปลี่ยน ค่อยๆเปลี่ยนโดยไม่รู้สึกตัว เด็กทารกได้กินของอร่อย ได้กินของอร่อย ลองดูเถอะมันก็เปลี่ยนเป็นชอบของอร่อย ไม่ได้ชอบของดี หรือมันจะเอาของอร่อยนั่นแหละเป็นความดี เป็นของดีไปเสีย อร่อยทางตา เห็นสวยงามมันก็ ก็ชอบ ไปหลงรักไอ้สวยงาม ไอ้คำว่าดีเปลี่ยนความหมายแล้วมาอยู่ที่สวยงามตามตัวอย่าง มันได้ฟังเสียงที่ไพเราะมันก็มาดีที่ความไพเราะ แล้วก็สนองกิเลสของมันได้คือความไพเราะ จมูกหอม ได้กลิ่นหอม มันก็มาดีอยู่ที่กลิ่นหอม ก็มาหลงกลิ่นหอม ความอร่อยทางลิ้น การกิน มันก็มาหลงไอ้ความอร่อยนี่ว่าดี สัมผัสผิวหนังนิ่มนวล เป็นที่ถูกใจ มันก็ว่าดี อารมณ์ ความคิด นึกคิด กล่อม กล่อมกิเลสได้มันก็ว่าเป็นความคิดที่ดี อยากจะซึมกันอยู่กับความรู้สึกอย่างนั้นว่ามันเป็นของดีเขาเรียกว่า ๖ ประการ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มันจะรู้สึกได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ๖ ทางนี้ พอมันมาพบความอร่อยทางนี้มันก็หันมาบูชาความอร่อย โตขึ้นมันก็ยิ่งบูชาความอร่อย โตขึ้นเป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็ยิ่งบูชาความอร่อยนั้นว่าเป็นความดี เรื่องการสนองกิเลสกลายเป็นความดี นี่เรียกว่า ทิ้งพ่อแม่เสีย วิ่งตามโจรไป ก่อนแต่ที่มันจะมาพบความอร่อยทางอายตนะนี้มันมีสัญชาติเดิมๆ สัญชาตญาณเดิมๆว่าอยากดี อยากจะดี แต่พอมาพบความอร่อย สนองกิเลสได้มันก็หันมาบูชาความอร่อย สนองกิเลสได้ ยึดถือมาทางนี้เลย ไม่ยึดถือที่ดีที่ถูกต้องตามที่สัญชาตญาณต้องการแล้ว ฉะนั้นคน คนเหล่านี้คนชนิดนี้มันก็บูชาสิ่งที่สนองกิเลสได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ จนเป็นทาสของสิ่งที่สนองกิเลส มันก็ขึ้นสมอง มันไม่เห็นอะไรแล้วทีนี้นอกจากไอ้สิ่งเหล่านี้ คือความสุขสนุกสนานแบบกิเลส เมื่อมันไม่ได้ โดยวิธีที่ถูกต้อง เพราะมันมัวแต่สนองกิเลส มันไม่ทำการทำงาน มันก็ไม่มีเงินจะซื้อหา มันก็ต้องจี้ต้องปล้น ต้องข่มขืนต้องเอาด้วยพละกำลังนั่น นี่ก็เรียกว่าวิ่งหนีตามโจรไป ไปเป็นโจรแล้วมันก็ต้องประพฤติอย่างนี้ ช่วยจำนิทานนี้ให้ดีๆนะ สองสามประโยคเท่านั้นแหละ เด็กทารกเกิดขึ้นมาจากพ่อแม่ อยู่กับพ่อแม่ พอถึงวันหนึ่งพวกโจรเขาเอาของเอร็ดอร่อยสวยงามมาล่อ เด็กคนนี้ก็ทิ้งพ่อแม่วิ่งหนีตามโจรไป ไปเป็นโจร ไปอยู่ในอำนาจของพวกโจร นั่นแหละคือจิตใจของเราที่มันเคยอยู่ในโอวาทของบิดามารดา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีมาตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้นมา โตขึ้นมา มาหลงใหลในความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางอายตนะ แล้วก็ต้องทิ้งไม่เอาแล้วไอ้ที่ดีอย่างที่เขาสอนเขาอบรมกันมาไม่เอาแล้ว เอาดีคือได้สิ่งที่กูต้องการ ขึ้นมาถึงวัยนี้แล้ว เป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มสาวแล้วมันก็มีเรื่องร้ายแรงที่สุด สูงสุดก็คือเรื่องกามารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนังอยู่นั่นเองแหละแต่ว่ามันสูงขึ้นมา สูงขึ้นมาเป็นเรื่องทางกามารมณ์ เป็นเรื่องทางเพศ ข้อนี้ไม่ต้องอธิบายกันนักก็ได้เพราะเห็นกันอยู่แล้ว แล้วบางคนก็เคยเผชิญมาแล้วอย่างเจ็บปวด เพราะคุมความรู้สึกทางเพศ ทางกามารมณ์ไม่ได้ ก็ทำความเสื่อมเสียนานาประการ ตัวเองก็นั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า บิดามารดาก็นั่งเช็ด น้ำตาเช็ดหัวเข่า มันถึงขนาดนี้มาแล้วก็มี นี่การวิ่งหนีตาม ทิ้งพ่อแม่วิ่งหนีตามโจรไปนั่นมันเป็นอย่างไรบ้าง คือทิ้งธรรมะทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี แล้วก็หนีไปตามกิเลส ตามแต่กิเลสจะพาไป มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แล้วชีวิตนั้นมันก็ถึงความวอดวายไม่มีความเป็นมนุษย์ มีแต่กิเลส ถ้าเรียกมันก็หยาบคาย มันเป็นภูตผีปีศาจเป็นอะไรก็ไม่รู้ นั่นแหละระวังให้ดี ความรักดีมันไม่มี หรือว่าคำว่าดีมันเปลี่ยนความหมายเสียแล้ว มันเปลี่ยนความหมายเสียแล้ว ไปดีที่ได้ตามกิเลส กิเลสเป็นผู้ต้องการ เป็นผู้ได้ มันก็ดีอย่างกิเลส ไอ้ความดีอย่างธรรมะอย่างมนุษย์ที่ถูกต้องมันก็ไม่มี นี่ความล้มเหลวจะเกิดขึ้น แม้จะเป็นนักเรียนเรียนหนังสือ มันก็เรียนไม่ได้ดี บางทีก็ล้มละลายเลย ล้มเหลวไปเลย แม้จะทนเรียนอยู่ได้มันก็ไม่ดีถ้าหากว่ามันพ่ายแพ้แก่สิ่งนี้เสียแล้ว เรียกว่ามันไม่รักดี ไอ้คำพูดมันฟังยากอย่างนี้แหละ ไอ้ที่มันไปทำชั่วมันก็เห็นว่าไอ้ชั่วนั่นแหละดี มันก็รักดี มันก็ยังเป็นคนรักดีแต่ตามแบบของคนชั่ว ตามแบบของคนโง่ ตามแบบของอวิชชา เห็นว่าอย่างนั้นดี มันก็ยืนยันว่ามันก็รักดี ไอ้ดีของมันเป็นอย่างนั้นมันก็รักดีแบบนั้น มันก็ได้อย่างนั้น มันก็รักดี แต่เราฝ่ายนี้ ฝ่ายที่ถูกต้องไม่เห็นว่าอย่างนั้นดี อย่างนั้นไม่ดี แต่ไปรักสิ่งที่ไม่ดี ไม่รักสิ่งที่ดี ถ้ารักดีมันต้องอยู่ในอย่างที่ว่านี้นะ คือไม่ต้องทำให้ใครเดือดร้อนนะ ตัวเองก็ไม่เดือดร้อน ทุกคนก็ไม่เดือดร้อน เดี๋ยวนี้ทำตัวเองให้เดือดร้อน ทำบิดามารดาให้เดือดร้อน ครูบาอาจารย์เดือดร้อน เพื่อนบ้านเดือดร้อน ทุกคนเดือดร้อน ใครที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้วพลอยเดือดร้อนไปหมดนี้เรียกว่าไม่ดี คำจำกัดความของคำว่าดีคือไม่มีใครเดือดร้อน ไม่ทำใครเดือดร้อน คำจำกัดความของคำว่าถูกต้องคือไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ฉะนั้นขอให้ยึดหลักนี้ก่อน แล้วมันก็จะตัดสินถูกต้องว่าดีว่าถูก จึงจะเรียกว่าเราเป็นคนรักดี คือรักการกระทำที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราเองก็ไม่เดือดร้อน บิดามารดาก็ไม่เดือดร้อน ทุกคนที่เนื่องกันอยู่กับเราก็ไม่เดือดร้อน นั่นแหละคือดี
ทีนี้คำว่าเดือดร้อน เดือดร้อนนี่มันมีหลายระดับ เพราะฉะนั้นไอ้ความถูกต้องหรือความดีมันจึงมีหลายระดับ คนธรรมดาก็เดือดร้อนด้วยการเงิน ไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร ไม่มีปัจจัยก็เดือดร้อนนี่ทำให้หมดเดือดร้อนนี้ก็ชั้นหนึ่ง ทีนี้ได้แล้วเงินก็มี อาหารก็มี ปัจจัยก็มี อะไรก็มีแต่ยังเดือดร้อนเพราะกิเลส เพราะหลงใหลอยู่ด้วยกิเลส มันก็ต้องเอากิเลสออกทีหนึ่งจึงจะดี เอากิเลสออกแล้วเหลืออยู่แต่ตัวกู ตัวตน ตัวตนที่บริสุทธิ์ก็หลงใหลอีกมันก็ยังไม่ดี เพราะฉะนั้นต้องเอาออกอีกทีหนึ่ง ให้มันหมดความเดือดร้อนชนิดที่พ้นจากแต่เรื่องของคนธรรมดา พ้นจากเรื่องของเทวดา กลายเป็นเรื่องของนิพพาน ถ้าคนแก่ๆเขาพูดว่ามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ แล้วอย่าเพิ่งหัวเราะเยาะเขานะ พวกเราเด็กๆนี่อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะไอ้ที่คนแก่ๆเขาพูด มนุษย์สมบัติคือได้ดีอย่างมนุษย์ มีเงินมีทอง มีข้าวมีของ มีครอบครัว มีอะไรตามประสาของมนุษย์ ฆราวาสนี้ก็ดีอย่างมนุษย์ ทีนี้เรียกว่าได้เกิดอย่างสวรรค์ ที่นี้ก็ได้คือเป็นคนร่ำรวย ไม่ต้องมีความทุกข์เดือดร้อน ไม่ต้องออกเหงื่อ นี่ก็เป็นในชั้นสวรรค์สมบัติ ไม่ต้องออกเหงื่อ เขาก็พูดไว้เป็นหลักเกณฑ์ว่าในพวกเทวดานั่นไม่ออกเหงื่อ ถ้าเทวดาตนไหน เทวดาตัวไหนมันเกิดเหงื่อออกมาแล้วมันต้องจุติจากความเป็นเทวดาไปเป็นอะไรไปตามเรื่องของมัน ถ้าเป็นเทวดาแล้วมันไม่ออกเหงื่อ หมายความว่าเขาไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานหนัก อยู่ในโลกนี้ก็ได้ พวกหนึ่งอาบเหงื่อต่างน้ำไปเป็นมนุษย์ พวกหนึ่งไม่ต้องอาบเหงื่อเลยก็เป็นเทวดา แต่แล้วมันก็ยังมีความทุกข์เพราะไอ้ความไม่ต้องอาบเหงื่อของมันนั่นแหละ คือมันมีกิเลสมาก มีราคะมาก มีโลภะมาก มีโทสะมาก ถึงคราวที่มันจะโกรธมันก็โกรธแรง มันอาละวาดใหญ่ มันมีโมหะมาก มีความโง่มาก มันก็ทำอะไรผิดๆให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนอีกมาก ดังนั้นสวรรค์สมบัติในชั้นนี้ก็ยังไม่น่าเลื่อมใสหรอก นี่ก็ยังมีสวรรค์ชั้นพรหม ไม่เกี่ยวข้องด้วยกามารมณ์ด้วยเรื่องอย่างนี้แล้ว มีตัวตนบริสุทธิ์อยู่ แต่หลงบูชาตัวตนยิ่งนัก ก็เลยเป็นห่วงเรื่องตัวตนจะตาย นี่คือเหลือแต่เพียงว่ากลัวว่าตัวตนจะตาย มันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน นี่สวรรค์ชั้นพรหม เป็นสวรรค์สมบัติแต่ไม่หมดปัญหา มันต้องเอาความโง่เหล่านี้ออกไปเสียให้หมดจนไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนแล้วก็ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะว่ามันไม่มีตัวตน นี่จะถึงชั้นที่เรียกว่านิพพานสมบัติคือจิตใจเย็นอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเขาไม่มีกิเลสนั่นเอง พวกเรามีกิเลสซึ่งเปรียบเหมือนของร้อนหรือไฟ เมื่อกิเลสเกิดขึ้นมันก็ร้อนเป็นไฟ พอกิเลสว่างไปสักระยะหนึ่งก็เย็นเพราะไม่มีไฟลุกในใจ เป็นนิพพานนิดๆหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งอย่างนี้ไม่พอ เขายังไม่เรียกว่านิพพานโดยสมบูรณ์ นิพพานโดยสมบูรณ์คือว่ามันไม่มีกิเลสเลย แล้วมันจะร้อนได้อย่างไรเล่าเพราะมันไม่มีไฟเลยมันก็เย็นตลอดไปแหละนิพพาน นิพพานสมบัติเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เรายังได้นิพพานชนิดชั่วคราวคือกิเลสว่างไปบางครั้งบางคราวบางเวลา โดยมันเองก็ได้คือมันโดยบังเอิญ หรือว่าเราปฏิบัติธรรมะ รู้จักข่มกิเลสกันบ้าง มันก็หายไปบางคราว กิเลสยังไม่หมดอยู่เพียงไรมันก็เกิดขึ้นรบกวนอยู่เป็นคราวๆ ยังไม่เย็นถึงที่สุด เรื่องที่จะถึงที่สุดมันก็คือดับกิเลสเสียได้ เพราะรู้ความรู้ที่สูงสุดชนิดที่กิเลสเกิดไม่ได้ ก็เรียกว่ารู้จริงในเรื่องของความดี ดีอย่างมนุษย์ก็ดีแล้ว ดีอย่างเทวดาก็ดีแล้ว ดีอย่างนิพพานคือไม่มีกิเลสเลย เราก็รู้แล้ว นี่อย่างนี้เรียกว่ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าดี แล้วก็รักดี เรียกว่าเป็นผู้มีความรักดีอย่างถูกต้อง ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่สนองกิเลสอีกต่อไป
ทีนี้ข้อสุดท้ายที่จะพูดกันก็คือว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นอย่างนั้นได้ ทำอย่างไรเธอจะไม่เกิดกิเลสได้ จะให้เรามันเย็นอยู่ตลอดไปโดยไม่เกิดกิเลสนั้นจะต้องทำอย่างไร เรื่องมันก็มีอยู่ อธิบายอยู่อย่างชัดเจน มันเหลืออยู่แต่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้นี่อย่างหนึ่ง และมันเหลืออยู่แต่ว่าอยากจะทำหรือไม่อยากจะทำนั้นมากกว่า แต่ถ้าเขาเป็นคนรักดีจริงๆเขาก็อยากจะทำ ทำชนิดที่ไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นมาให้เป็นไฟเผาให้ร้อน โลภะ โทสะ โมหะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ไอ้ราคะ โทสะ โมหะ จำไว้ดีๆเถอะ นั่นแหละเป็นตัวการตัวร้าย ตัวเลวร้ายที่สุด เมื่อไรราคะเกิดขึ้นมันร้อนอย่างไรนี่ทางเพศทางกามารมณ์ เมื่อไรโทสะเกิดขึ้นเพราะมันไม่ได้ตามที่มันต้องการมันร้อนเท่าไรโทสะ แล้วเมื่อมันโง่มันทำอะไรไม่ถูกก็ร้อนอยู่ด้วยความโง่ ความหวัง ความสงสัย สนใจที่จะได้สิ่งที่ตัวเอาไม่ได้อยู่อย่างนั้นแหละ ก็เรียกว่าไฟ แต่มีชื่อหลายชื่อเพราะมันเผาให้ร้อนก็เรียกว่าไฟ ไอ้สิ่งทั้ง ๓ นี่ราคะ โทสะ โมหะ เพราะมันร้อนนี่ก็เรียกว่าไฟ แล้วบางทีมันก็สกปรก มันเป็นของสกปรกก็เรียกมันว่ากิเลส บางทีมันก็ท่วมจิตใจ ท่วมทับจิตใจก็เรียกว่าน้ำท่วมหรือจมน้ำ แล้วแต่จะเรียกเถอะ นั่นมันเป็นไอ้เรียกไปตามกิริยาอาการที่มันได้ทำอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เราจะเรียกกันสั้นๆชื่อเดียวว่าไฟ ไฟ ร้อนเมื่อร้อนก็ไม่เย็น ชีวิตนี้ก็เป็นของร้อนนะ เดี๋ยวร้อนอย่างนั้นเดี๋ยวร้อนอย่างนี้ไม่รู้กี่ร้อนในวันหนึ่งๆ เอากิเลสออกเสียได้ความร้อนนั้นก็ไม่มีก็เรียกว่าชีวิตเย็น จะเรียกว่าชีวิตเบา ชีวิตสวยงาม ชีวิตสะอาด ชีวิตอะไรก็แล้วแต่จะมอง แต่เดี๋ยวนี้เราจะเรียกว่าชีวิตเย็นกันดีกว่า คือไม่ไปหลงเอาความร้อนมาเป็นความดี รู้จักความดีถูกต้องว่าความที่ไม่ร้อน ความที่ชีวิตไม่ร้อนนี่เป็นความดี มันจะเกิดกิเลสขึ้นมา จะเกิดไฟลุกขึ้นมาได้อย่างไรนี่จำไว้ให้ดีเถอะ มันเป็นคำพูดสั้นๆไม่ยากที่จะจำว่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ ทำผิดเมื่อมีผัสสะ ๖ พยางค์ ประโยคสั้นๆว่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ นี่คือจะเกิดกิเลสจะเป็นชีวิตร้อน ถ้าตรงกันข้ามไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะมันก็ไม่เกิดกิเลส มันก็ไม่ร้อน มันก็เป็นของเย็นอยู่โดยปกติ นี่เรื่องสูงสุดในพระพุทธศาสนาซึ่งเขาไม่ค่อยเอามาบอกให้พวกเธอฟัง เขาว่ามันเป็นเรื่องสูงสุดไม่ใช่เรื่องสำหรับเด็ก เพราะฉันเอามาพูดให้เธอ เด็กๆฟังเขาว่าฉันบ้า เอาเรื่องที่สูงเกินไปมาพูดให้เด็กๆฟัง นี่เธอควรจะเห็นอกเห็นใจบ้างว่าเขาทำกันอย่างนี้ แต่ฉันก็ไม่กลัวหรอก ฉันก็มาพูดให้ทุกคนฟัง จะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามใจ ถ้ามันต้องการจะไม่ร้อน มันต้องการจะได้ดี โดยแท้จริงมันก็ต้องฟัง ฉะนั้นอย่าทำผิดเมื่อมี เมื่อเกิดผัสสะ เดี๋ยวนี้มันยังไม่เข้าใจหรือไม่รู้ใช่ไหมว่าผัสสะนั้นคืออะไร ผัสสะแปลว่าการกระทบ กระทบของอะไร กระทบของสิ่งที่เป็นคู่สำหรับการกระทบ เป็นคู่สำหรับการกระทบ ตาคู่กับรูปที่เห็นด้วยตานั่นคู่หนึ่ง กระทบกันเมื่อไร ทีนี้หูคู่กับเสียง คู่หนึ่ง จมูกคู่กับกลิ่น คู่หนึ่ง ลิ้นคู่กับรส คู่หนึ่ง ผิวหนังหรือผิวกายนี่คู่กับสิ่งที่มากระทบผิวหนัง คู่หนึ่ง แล้วก็ใจคู่กับความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นในใจ เป็น ๖ คู่ อยู่ข้างใน ๖ อยู่ข้างนอก ๖ อยู่ข้างในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ข้างนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้ง ๖ นี้เขาเรียกว่าอายตนะ อายตนะคือสิ่งที่รู้สึกได้ ถึงได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นสิ่งที่เราจะรู้สึกได้ ที่จิตจะรู้สึกได้สัมผัสได้ ถ้าคนเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจคิดดูว่าเป็นอย่างไร เหมือนก้อนหินนี่ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจปัญหามันก็ไม่มี ไม่เกิดเรื่องอะไรไม่มีเรื่องอะไรเลย แต่เรามันไม่ได้อย่างนั้นนี่เรามันไม่ได้เป็นก้อนหินนี่ เรามันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมาแล้ว เป็นมนุษย์แล้ว เกิดมาแล้ว ทั้งที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะเกิดหรอกแต่มันก็เกิดมาแล้ว เธอเกิดมาแล้วเธอจะไม่รับผิดชอบไม่ได้ เพราะว่าเธอมันก็เกิดมาแล้ว ก็ต้องทำให้ถูกต้องสำหรับการเกิดมาแล้วจะได้ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเธอไม่รับผิดชอบ กูไม่ได้ตั้งใจเกิดมากูไม่รับผิดชอบ ปล่อยไปตามเรื่อง กูนั่นแหละมันจะเป็นทุกข์ จิตใจ ร่างกายของคนนั้นที่เรียก ที่เรียกว่าคนนั้นมันเป็นทุกข์แหละ เพราะว่าเรามันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมาแล้ว ถ้าเราทำต่อสิ่งเหล่านี้ผิดมันก็ผิด ถูกก็ถูก ทีนี้ก็จะพูดต่อไปว่ามันเกิดกิเลสอย่างไร ตาถึงเข้ากับรูปก็เกิดการเห็นทางตา การเห็นทางตา ตาอย่างหนึ่ง รูปมากระทบตาอย่างหนึ่ง การเห็นทางตาอย่างหนึ่ง ๓ อย่างนี้ถึงกันอยู่ ทำหน้าที่ร่วมกันอยู่นั่นเขาเรียกว่าผัสสะ ถ้าพูดอย่างชาวบ้านเขาพูดสั้นๆรุ่นๆเขาก็พูดว่าไอ้รูปมากระทบตา ไอ้รูปมากระทบตานั่นแหละคือผัสสะ ผัสสะแปลว่าการกระทบ รูปมากระทบตาก็เรียกว่าผัสสะทางตา เสียงมากระทบหูก็เรียกว่าผัสสะทางหู กลิ่นมากระทบจมูกก็เรียกว่าผัสสะทางจมูก อย่างนี้เรื่อยไปจนครบทั้ง ๖ ทาง นั่นแหละผัสสะ รู้จักให้ดีทั้งที่มันมีอยู่กับเราตลอดเวลา แต่เราไม่ได้เรียน เราไม่ได้รู้ แล้วเราไม่ได้สังเกตว่าเรามีผัสสะอยู่ตลอด เกือบจะตลอดเวลา ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ผิวหนังสัมผัสสิ่งที่มากระทบผิวหนัง จิตก็รู้สึกอะไรต่างๆอยู่ นี่ผัสสะนั้นเป็นสิ่งที่เรามีอยู่ตลอดเวลานะ ถ้าเราไม่รู้จักมันเราจะทำให้ถูกต้องได้อย่างไร เราก็ต้องทำผิดคือปล่อยให้มันไปตามเรื่องของมัน มันก็เกิดเรื่องนะ รูปงามๆมากระทบตาเกิดการเห็นทางตา รวมกันแล้วเรียกว่าผัสสะ ก็เกิดเวทนาคือความรู้สึกที่ตา สบายแก่ตา สบายแก่ตา เกิดความรัก อารมณ์ที่มากระทบตา แต่บางทีรูปนั้นน่าเกลียดน่าชังก็เกิดเวทนาที่เป็นทุกข์ ไม่สบายแก่ตา เจ็บปวดแก่ตา มันก็เรียกว่าเวทนา มีผัสสะแล้วก็ต้องมีเวทนา ถ้าเวทนานั้นถูกใจมันก็รักเวทนาไม่ถูกใจมันก็เกลียด เวทนาแล้วมันก็เกิดตัณหานั่นแหละคือกิเลสแหละ เมื่อมีเวทนาถูกใจมันก็เกิดความรักอยากจะได้ เมื่อเวทนาไม่ถูกใจมันก็เกิดไอ้ความโกรธ อยากจะฆ่าอยากจะทำลาย ถ้ามันไม่รู้ว่าอย่างไรแน่คือถูกใจ ก็ไม่ใช่ ไม่ถูกใจ ก็ไม่ใช่ มันก็มีความสนใจ สงสัย สนเท่ห์ ทึ่ง อาลัยอาวรณ์อะไรอยู่ที่นั่น นี่ก็เรียกว่ากิเลสเกิดแล้ว ร้อนไม่ร้อนเธอไปสังเกตดูเอง เมื่อเกิดความรักอยากจะได้ร้อนหรือไม่ร้อน เมื่อเกิดความเกลียดมารบกวน น่าเกลียดน่าชังมารบกวนมันก็ร้อนนะ มาทำให้โง่ให้หลงมันก็ร้อนไปอีกแบบหนึ่ง ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันก็ต้องเป็นไฟเผาให้ร้อน ตัวมันเองเรียกว่ากิเลสแปลว่าสกปรกหรือน่าเกลียด มันก็น่าเกลียดเพราะมาทำให้เราเดือดร้อนนั่นเอง ของสกปรกนี่มาทำให้เรามันเป็นทุกข์เดือดร้อน คำว่ากิเลสแปลว่าของสกปรก ลงเกิดขึ้นมาแล้วมันก็เผาจิตใจให้ร้อน ชีวิตก็ร้อน เดี๋ยวเผาทางตาที เดี๋ยวเผาทางหูที เดี๋ยวเผาทางจมูกที เดี๋ยวทางลิ้นที ทางผิวกายที ทางจิตใจที วนไปวนมาแต่ละวัน ละวัน นั่นแหละคือร้อน ชีวิตที่ร้อน ไม่เย็น ทีนี้มันยังร้อนแล้วมันยังมีทางที่จะทำผิด ทำผิด ทำกรรมชั่ว กรรมไม่ดีต่อๆ ต่อ ต่อกันไปอีก เลยขยายกว้างออกไปจนได้ร้อนกันมากๆแหละ ร้อนกันมากๆคน จึงเรียกว่าทุกคนมันร้อนแหละ ทุกคนมันเป็นทุกข์แหละ ถ้าเรื่องกิเลสมันแสดงบทบาทออกมาแล้วทุกคนจะต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นเราว่าไม่ดี ทีนี้ถ้าไม่เกิดกิเลสไม่มีใครเป็นทุกข์นั่นแหละเราว่าดี อยู่กันดี อยู่กันอย่างเยือกเย็น ไม่มีกิเลสชีวิตนี้ก็เย็น เมื่อเย็นแล้วก็จะใช้ประโยชน์ได้ดี จิตใจของเราเย็น เราจะเรียนหนังสือก็เรียนได้ดี เราจะทำการงานอะไรเราก็จะทำได้ดี เราจะพักผ่อนมันก็เป็นการพักผ่อนที่ดี ถ้ากิเลสเกิดแล้วแม้จะพักผ่อนมันก็พักไม่ได้หรอก มันนอนไม่หลับหรอก มันก็ดิ้นรนกระวนกระวายหลายๆแบบ นี่มันว่าไม่เป็นการพักผ่อนหรอกถ้ากิเลสมันมี ถ้ากิเลสไม่มี จิตใจดี จิตใจปกติ จิตใจเย็น การพักผ่อนมันก็ดี ก็เป็นการพักผ่อนจริง คนนั้นมันก็นอนหลับดี ไม่เป็นโรคประสาทมันก็อายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเพราะใจคอมันปกติ ชีวิตนี้มันเย็น เราควรจะต้องการชีวิตเย็น เย็นเพราะไม่มีไฟคือกิเลส เราป้องกันกิเลสได้ก็เพราะไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะอย่างที่ว่ามาแล้ว รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้ดีๆ แล้วก็รู้จักคู่เต้นรำของมันให้ดีๆคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ พอมันจับคู่กันเต้นรำเมื่อไรเราก็แย่ทุกที รู้จักมันไว้ดีๆ เรียกว่าอายตนะทั้ง ๖ ถ้าเรียกอย่างธรรมดาสามัญก็เรียกว่า กอ ขอ กอ กา ของพุทธศาสนา ถ้าเธออยากจะเรียนพุทธศาสนา ตั้งต้นที่ กอ ขอ กอ กา ก็คือตั้งต้นที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พวกฝรั่งเขาก็เรียกว่า A B C ของพุทธศาสนาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ใช้คำสากลหน่อยเขาก็ว่าเป็น Alpha กระทั่ง Omega ตั้งแต่ ก ถึง ฮ Alpha คือตัว ก Omega คือตัว ฮ ตั้งแต่ ก ถึง ฮ ของพุทธศาสนาคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีอยู่ที่เราแล้ว แล้วเราไม่ดู เราไม่รู้จัก เราควบคุมมันไม่ได้ ไม่ควบคุมผัสสะได้มันก็ปรุงกันผิดจนเกิดกิเลส ถ้าเรารู้ เรามีสติมีปัญญาควบคุมผัสสะได้ก็ไม่เกิดกิเลสแล้วก็เย็นสบาย ถ้าไม่มีกิเลสโดยเด็ดขาดนั้นเป็นพระอรหันต์ แต่เราอย่าเอาถึงอย่างนั้นเลย ให้มันเกิดน้อยก็เป็นการดีแล้ว อย่าให้เกิดเต็มที่ และอย่าให้เกิดบ่อยๆนักมันก็ดีแล้ว นานๆเกิดครั้ง แล้วก็เกิดแต่น้อยๆ มันก็พอทนได้พอสบาย เป็นพระอริยเจ้าเหมือนกันแต่ไม่ถึงพระอรหันต์ เป็นโสดา สกิทา อนาคาอะไรไปตามเรื่อง ก็เป็นชีวิตที่เย็นมากโขอยู่ทีเดียว นี่ชีวิตเย็น เป็นผลแห่งการปฏิบัติถูกต้องของการรู้จักว่าอะไรเป็นอะไร เรียกว่ารักดีอย่างถูกต้อง ทีนี้ขอให้ความรักดีนี่มันคงเส้นคงวามาตั้งแต่คลอดมาจากท้องแม่ อย่าไปหลงในของสวยงาม ไพเราะ เอร็ดอร่อยที่เขาเอามาบำรุงบำเรอ เมื่อยังเป็นทารกอยู่มันก็ไม่เป็นไรหรอกมันไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้เรามันโตแล้วนี่ เป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มสาวกันแล้วนี่มันก็ควรจะพอที่จะไม่โง่ ไม่ทิ้งพ่อทิ้งแม่แล้ววิ่งหนีตามโจรไป คือมันทิ้งเรื่องของความถูกต้อง แล้วไปยึดถือเอาความผิด ความชั่วหรือบาป นี่ตัวบาป ตัวบาปอยู่ที่นี่ แล้วเป็นบาปตั้งต้นเสียด้วย เป็นบาปที่เป็นจุดตั้งต้นคือทิ้งพ่อทิ้งแม่หนีตามโจรไป
นี่ฉันก็ได้พูดตามที่ต้องการจะพูดแล้วคือเรื่องความรักดี เดี๋ยวนี้เราขาดความรักดี ไม่รู้จักความดีที่ถูกต้อง ไปรักเอาความชั่วมาเป็นความดีก็เรียกว่าไม่รักดี พูดอย่างนี้หมายถึงทั้งโลกนะ ไม่ใช่พูดเพราะใครบางคนหรอก ไอ้ทั้งโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้มันไม่รู้จักดี แล้วมันไม่รักดี มันก็รักประโยชน์ที่สนองกิเลส ตัณหาของมัน มันก็สร้างเรื่องที่เดือดร้อนกันทั้งโลก เราอย่าไปเอากับเขาเลยเพราะว่าเราเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อุตส่าห์สวดมนต์ภาวนาออกชื่อพระพุทธเจ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไว้บ่อยๆทุกวันทุกคืน จะทำอะไรนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก่อน จะทำอะไร จะตัดสินใจอะไรให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน มันจะตัดสินถูกต้องไปหมดเลย มันจะเดินแต่ในทางที่ถูกต้องไม่มีทางผิด นี่เรียกว่ารักดีได้จริงตามที่ควรจะรักได้คือรักดีที่ถูกต้องของธรรมะ ไม่รักดีที่ผิดพลาดของกิเลส ความดีของกิเลสอย่าเอาเลย ความดีของกิเลสตัณหา ราคะ กามารมณ์นั้นอย่าไปเอากับมันเลย มันเป็นสัตว์ร้าย เป็นโจร ทิ้งพ่อแม่คือทิ้งธรรมะเสีย หนีตามโจรไปคือไปเอาเรื่องของกิเลสแล้ว มันก็ตกนรกนานแหละ ตกนรกหมกไหม้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่เรื่อยๆไป ตายแล้วก็ไปตกนรกอีกชนิดหนึ่งแหละ ที่นี่ก็ตกนรก ตายไปแล้วก็ตกนรก แล้วมันจะดีอะไรเล่า
เอาแล้วเป็นอันว่าได้พูดตามที่ตั้งใจจะพูดแล้วคือเรื่องความรักดี ขอให้เธอท่านทั้งหลายทุกคนจงรักดี ถูกต้อง สิ่งที่เรียกว่าความดีแท้จริง แล้วปัญหาก็จะหมด เอ้า, ฉันต้องจบการพูดแล้วเพราะว่าวันนี้ไม่ค่อย รู้สึกไม่ค่อยมีแรง ในที่สุดก็ขอแสดงความยินดีที่เธอมา ได้พูดให้เธอฟังแล้ว ขอแสดงความหวังว่าเธอจะประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่แนะนำสั่งสอนนี้ แล้วเป็นผู้ชนะ มีความสุข เยือกเย็นอยู่ทุกทิพพาราตรีกาลเทอญ