แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ครูบาอาจารย์ นักศึกษาและผู้สนใจในธรรมทั้งหลายอื่น ครูบาอาจารย์พานักเรียนมาจากที่ไกล ถามว่าให้พูดเรื่องอะไร นี่เขาบอกว่าเรื่องอะไรก็ได้ ก็เลยจะพูดเท่าที่นึกได้ ว่าจะเหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาเหล่านี้ การมาที่นี่เป็นที่รู้กันว่าต้องการจะศึกษาธรรมะ เราก็ต้องพูดกันถึงเรื่องธรรมะอยู่ตลอดเวลาเสมอมา ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจ ให้ได้รับประโยชน์ในการมานี้ให้เต็มที่เท่าที่มันจะเป็นได้
ถ้าจะถามขึ้นว่า ธรรมะจำเป็นอย่างไรที่จะต้องศึกษา ก็ตอบได้ง่ายๆ ว่าเพื่อให้ได้ประโยชน์ถึงที่สุดในการเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าใครต้องการให้การเป็นมนุษย์ของตนมีผลสมบูรณ์ก็ต้องอาศัยธรรมะ ถ้าใครไม่ต้องการให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ก็ไม่ต้องมา ถึงมาก็เหนื่อยเปล่า เปลืองเปล่า แม้ว่าจะมาก็เหนื่อยเปล่า เปลืองเปล่า ถ้าไม่ได้คิดว่า เราจะให้ไอ้ความเป็นมนุษย์ของเรานี้ได้มีค่าถึงที่สุดหรือสมบูรณ์ มันเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่นักเรียน นักศึกษา หรือทุกคนจะต้องทราบว่า ไอ้ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นมันเป็นอย่างไร มีเงินใช้มาก ๆ ขึ้น สนุกสนานนี่ ทุกวัน ๆ นี่ ความเป็นมนุษย์จะสมบูรณ์ไหม จะสมบูรณ์หรือยัง บางคนก็คิดว่า ที่อุตส่าห์เรียน นี่ก็เรียนเพื่อให้สอบไล่ได้แล้วก็ไปหางานทำ แล้วก็ได้เงินมาดำเนินชีวิตให้สนุกสนานอย่างที่ตัวเองพอใจ อย่างนี้สมบูรณ์หรือไม่ ท่านทั้งหลายจงดูคนหลาย ๆ คนที่เขาก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ เรียนได้มาก สอบได้ชั้นสูง ออกไปแล้วก็ทำงานหาเงินได้มาก แล้วก็ยังมีเรื่องเลวร้ายอยู่นั่นเอง ถึงแม้ว่าไม่มีเรื่องเลวร้าย การทำได้เพียงเท่านั้น มันไม่ ไม่สมบูรณ์อะไร เราจะได้เห็นบ่อย ๆ ได้ยินบ่อย ๆ ไอ้คนที่เขามีเกียรติสูง มีตำแหน่งสูง มีเงินเดือนมาก พอตายลง ตำรวจก็ต้องค้นคว้าหาข้อเท็จจริงอะไรต่าง ๆ ปรากฏว่า เบื้องหลังนั้นน่ะ มันมีอะไรที่ทุกคนสั่นหัว อย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เหมือนกัน
ในทางธรรมะนี้เราวางกันไว้เป็นหลักว่า ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์นั้น คือ เป็นมนุษย์ที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นที่เราเรียกว่าสังคม ไอ้สังคมนั้นหมายถึงผู้อื่นนอกไปจากตัวเราทั้งโลกก็ได้ หรือไม่กี่คนก็ได้ เรียกว่าสังคม ก็ตามธรรมดาก็หมายทุกคนหรือทั้งโลก ถ้าว่าเราเป็นคนที่มีชีวิต และชีวิตของเราเป็นประโยชน์ทั้งแก่เราเองและแก่สังคม นี่เรียกว่า ความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นสมบูรณ์
ที่ว่าเราเองมีประโยชน์เต็มที่ก็หมายความว่า เรามีความสงบสุขนับตั้งแต่ว่าเรารอดชีวิตอยู่ได้ เรามีอะไรกิน มีอะไรใช้ รอดชีวิตอยู่ได้ หมายความว่าชีวิตของเราอยู่ได้นี่ กำลังก้าวหน้าสูงขึ้นไปสูงขึ้นไปในทางโลก แล้วก็สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปในทางธรรม มนุษย์คนหนึ่ง ๆ มีจุดจบ เอ่อ,จุดสูงสุดอยู่ที่ความเป็นพระอริยะบุคคล จะเรียกว่าพระอรหันต์หรืออะไรก็ได้ สูงสุดอยู่ที่ความเป็นพระอริยะบุคคล ฉะนั้นเราแต่ละคนละคนต้องมีธรรมะพอที่จะให้รอดชีวิตอยู่ได้ แล้วก็เจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ กว่าจะเป็นมนุษย์สูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา ก็คือ เป็นพระอรหันต์
ที่นี้ประโยชน์สังคม ประโยชน์ผู้อื่นนั้น หมายความว่า เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้การกระทำของเราเป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นด้วย เราทำ เราช่วยกันทำโลกนี้ให้มีสันติสุข มีสันติภาพ คนที่อยู่ในโลกนี้ทุกคนก็พลอยได้รับประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องนึกถึงข้อที่ว่า เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม ทำโลกนี้ให้งดงาม ดูต้นไม้ต้นไร่ สัตว์นกหนูอะไรก็ตาม มันมีส่วนที่ทำให้โลกนี้งดงามไม่ว่างเปล่า ไม่เปล่าเปลี่ยวหรือไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นสิ่งที่มีชีวิตต้องรับผิดชอบในการที่จะให้โลกนี้มันงดงาม ให้โลกนี้มันมีประโยชน์แก่ทุกชีวิตยิ่งดี
เอาละรวมความว่า เราเกิดมาทั้งทีนี้จะต้องทำประโยชน์ให้ถึงที่สุดทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น บางคนอาจจะคิดแต่ว่าส่วนตัว เราเรียนหนังสือได้มาก ๆ หางานทำได้ ได้เงินมาก ๆ แล้วกินอยู่สนุกสนานไปกว่าจะตาย ไม่ต้องนึกถึงบุคคลอื่นอย่างนี้ก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี เราอย่าเห็นว่าเพียงเท่านั้นมันจะดีวิเศษอะไร ถ้าคิดเพียงเท่านั้นมันจะเห็นแก่ตัวมากเข้ามากเข้าเดี๋ยวมันก็คดโกง เอาเปรียบผู้อื่น ขูดรีดผู้อื่น ทีนี้ก็จะหมดกันเลย คือจะหมดความเป็นมนุษย์ หมดความหมายของความเป็นมนุษย์ แล้วหนักเข้าหนักเข้าก็จะต้องตายด้วย เพราะว่าถ้าขืนทำอย่างนั้น มันก็ต้องไปพบกันเข้ากับผู้ที่เขาต่อต้าน เขาโกรธแค้น เขาเคือง ที่ว่าเราไปเอาประโยชน์ ขูดรีดเขา รุกล้ำเขา เอาเปรียบเขา เขาก็ฆ่าตาย นี่เราจะต้องถึงขนาดว่าตาย หรือถ้าไม่ตาย เราก็เป็นอยู่อย่างที่ไม่มีความหมายในความเป็นมนุษย์ ไม่มีความเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง นี่รวมความว่า ประโยชน์ส่วนตัวเราก็ต้องมี ต้องได้ เป็นที่พอใจ ประโยชน์แก่ผู้อื่นเราก็ต้องทำ เพราะว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ เราเป็นหนี้บุญคุณของคนในโลกที่เขาได้ทำอะไรไว้ให้เราได้อยู่ ได้อาศัย ได้สะดวก ได้สบาย ถ้าร่วมมือกันทำไว้สำหรับทุกคนสบาย เมื่อทุกคนไปเกี่ยวข้องหรือว่าไปใช้สอยเข้าก็ต้องถือว่า เป็นหนี้บุญคุณเขา เช่น เขาได้สร้างบ้าน สร้างเมือง สร้างสิ่งสะดวกสบายต่าง ๆ นานา เราได้มีส่วนใช้สอย อย่างถนนหนทางอย่างนี้ก็ต้องถือว่า เรามีส่วนผูกพันกันแล้ว เป็นผู้มีบุญ มีคุณต่อกัน จึงต้องนึกถึง ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ ก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ไม่ได้รับความสะดวกสบาย
ในทางธรรมะยังให้ถือไกลออกไปถึงกับว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฉะนั้นเราต้องนึกถึงเขา ประโยชน์อะไรที่จะทำให้แก่เขาได้ เราก็ทำ เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา ไอ้ความคิดอย่างนี้ เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ให้มนุษย์อยู่กันโดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน ถ้าเรายอมรับว่าเขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา เราก็ฆ่าเขาไม่ได้ เราก็ขโมยเขาไม่ได้ เราก็ล่วงเกินของรักของเขาไม่ได้ เราไม่พูดเท็จ พูด เอ่อ,ส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อให้เสียประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เรายังมีความคิดที่จะทำให้เพื่อนมนุษย์ได้รับประโยชน์ ฉะนั้นขอให้นักศึกษาที่เรียกตัวเองว่านักศึกษา ศึกษากันในเรื่องนี้บ้าง
เอ้า,ขอโอกาสแทรกสักนิดหนึ่ง คือ คำว่า ศึกษา คำว่าศึกษานี่ เรายืมมาจากภาษาอินเดีย เป็นภาษาบาลีก็มี เป็นภาษาสันสกฤตก็มี ถ้าเป็นภาษาบาลีแปลว่า สิกฺขา ถ้าเป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า (0.12.13ศิกฺษา) มาเป็นภาษาไทยว่า ศึกษา ก็เป็นคำเดียวกันทั้งนั้น ความหมายเดิมของเขา คำว่า ศึกษานี่ คือ การประพฤติกระทำที่ถูกต้องทางกาย ทางวาจาและทางใจ ทางกายไม่มีข้อผิดพลาดเสียหาย ทางวาจาไม่มีข้อผิดพลาดเสียหาย ทางใจไม่มีข้อผิดพลาดเสียหาย นี่คือ การศึกษา
ทีนี้พอมาเป็นภาษาไทยมักจะใช้ในความหมายที่ไม่สมบูรณ์ เพียงแต่เรียนหนังสือก็เรียกว่าศึกษาแล้ว เรียนหนังสือสามัญเรียก ศึกษา ก็เรียกว่าเป็นการศึกษาแล้ว ไม่ได้คำนึงถึงว่ากาย วาจา ใจ ถูกต้องหรือยัง การศึกษาที่ไม่สอนให้คนรู้จักประพฤติกระทำให้ถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจนั้น มันไม่สมบูรณ์ มันรู้แต่หนังสือ หรืออาชีพ มันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ให้เป็นมนุษย์ที่มีธรรมะ คือ ประพฤติประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นได้โดยสมบูรณ์ การศึกษาที่รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพนี้มันไม่ครบ ไม่พอที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์เต็มเปี่ยม มนุษย์ที่ไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่ได้เรียนศีลธรรมมันก็ยังเห็นแก่ตัว ให้เรียนความรู้ปริญญายาวเป็นหางมันก็ยังคดโกง มันก็ยังประพฤติทุจริต แล้วไม่รู้ธรรมะแล้วก็จะมีความทุกข์ เนื่องมาจากการประพฤติผิดทางกาย ทางวาจา และทางใจ คือ จะมีกิเลสที่เผาให้เร่าร้อน เหมือนกับไฟ นี่ไปดูพวกที่มันเรียนมามาก ๆ นี่ มันก็ยังฆ่าตัวตายด้วยความโง่ของมัน มันก็ยังอยู่ด้วยความร้อน กินเงินเดือนไม่พอใช้ แม้ว่าเงินเดือนมันตั้งเป็นหมื่น ๆ แล้วมันก็ยังใช้ไม่พอเพราะกิเลสมันมาก ในความเป็นมนุษย์มันเดินผิดทาง เงินเดือนมันก็ไม่พอใช้ มันก็ต้องทนทุกข์ นี่การศึกษาไม่สมบูรณ์ ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วจะเย็น ชีวิตจะเย็น จะเป็นอยู่อย่างเย็น เงินเดือนจะเหลือใช้ เพราะไม่เอาไปสนองกิเลสมากเหมือนที่คนไม่มีธรรมะ คนไม่มีธรรมะได้เงินเดือนมาสักเท่าไร ก็เอาไปสนองกิเลสหมดจนไม่พอใช้ จนต้องคอรัปชั่นอยู่นั่นแหละ จะมีตำแหน่งสูงเท่าไร เงินเดือนมากเท่าไรยังต้องคอรัปชั่น แล้วมันก็ปรากฏออกมา ก็เป็นความเสียหาย แม้ไม่ปรากฏออกมาก็เร่าร้อนอยู่ด้วยกิเลสมันแผดเผา
การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ มันก็ไม่ช่วยมนุษย์ให้ได้รับประโยชน์ส่วนตนได้ และเขาก็เห็นแก่ตัวมาก เขาไม่คิดช่วยผู้อื่น คนที่ไม่มีธรรมะตัวเองก็ร้อนเพราะกิเลสมาก และไม่เคยคิดช่วยผู้อื่นเพราะเห็นแก่ตัว มีแต่จะเอาเปรียบ มีแต่จะขูดรีดผู้อื่นเสียอีก ทั้งที่ตัวมีเงินเดือนมาก ก็ยังไปเอาเปรียบคนยากจน คนธรรมดา หรือยากจนนี่ มันก็มีอยู่ ให้เห็นอยู่ ฉะนั้นขอให้เรามุ่งหมายที่จะมีการ ศึกษาที่สมบูรณ์
ศึกษาสมบูรณ์ต้องทำถูกต้องทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางจิตใจ ไม่มีความผิดพลาดที่น่าตำหนิติเตียน และก็มีความสงบสุขด้วย เราเคยเรียกการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ว่า เป็นการศึกษาหมาหางด้วน หมาหางด้วนเรื่องมันมีว่า ไอ้หมาตัวหนึ่งมันไปติดกับเครื่องตัดหางขาด มันก็เที่ยวบอกหมาทั้งหลายว่า หางขาดดีกว่า สบายกว่า สะดวกกว่า ให้หมาทั้งหลายตัดหางตามเขา หมาโง่ ๆ มันก็พลอยตัดหางตามคำชักชวนนั้น ส่วนหมาฉลาด หมาแก่ ๆ เขารู้เท่า เขาบอกว่าไม่เอา นี่มาหลอกกันอย่างนี้ไม่เอา
นี่ระวังนะเรากำลังมีการศึกษาชนิดหมาหางด้วน เรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพ ไม่รู้จักทำกาย วาจา ใจให้ถูกต้องตามทางของธรรมะ หมาหางด้วนเพิ่งเกิดขึ้นในโลกนี้ เมื่อก่อนมนุษย์ในโลกเขาถือศาสนาอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าศาสนาไหนเขาถือกันอย่างเคร่งครัด แล้วเขาเรียนหนังสือ เรียนวิชาชีพพอสมควร เขาเรียนวิชาศาสนามากกว่า เขาจึงเคร่งครัดในศาสนา อยู่กันเป็นผาสุก ไม่ฆ่าฟันกันมากมายเหมือนสมัยนี้ ซึ่งละทิ้งศาสนา เอ้า,แต่ก่อนเขามีศาสนา ประพฤติศาสนาถูกต้องคู่กันไปกับวิชาความรู้สำหรับทำมาหากิน ต่อมามนุษย์มันจะได้คิดยังไงก็อธิบายไม่ได้ คือ เขาหันไปหาเรื่องเป็นสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง ทางกามารมณ์ นี่ส่งเสริมกันใหญ่ จนเกลียดศาสนานี่ มนุษย์คนแรกจะเป็นคนไหนก็สุดแท้ มันไปหลงเรื่องความเอร็ดอร่อยสนุกสนานทางวัตถุจนมันเกลียดศาสนา ไม่ชอบศาสนา ละทิ้งศาสนา นี่ล่ะหมาตัวแรกที่ตัดหางขาด ก็เที่ยวชักชวนผู้อื่นให้ละทิ้งศาสนา ให้เอาศาสนาออกไปเสียจากการศึกษาในโรงเรียน ในสถานศึกษา ในมหาวิทยาลัยนี้เราไม่ต้องสอนศาสนา เอาศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา ดี บอกว่าอย่างนี้ดี ไอ้สุนัขโง่ ๆ ทั้งหลายมันก็ทำตาม มีคนเป็นอันมากในโลกนี้ หลายชาติ หลายประเทศที่ตัดการศึกษาเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนาออกไปเสีย มาเรียนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพล้วน ๆ นี่เรียกว่า ไอ้การศึกษาในโลกมันขาดส่วนสำคัญ คือ ส่วนที่สำคัญ ส่วนที่เป็นหัวใจ เดี๋ยวนี้มันรู้กันแต่หนังสือกับวิชาชีพมันก็ทำได้เท่านั้น มันก็เป็นมนุษย์กันไม่ถูกต้อง คือ มันเห็นแก่ตัวจัด มันก็เอาเปรียบกัน มันก็เอาเปรียบกัน ขูดรีดกัน มันก็ได้ต่อสู้ รบราฆ่าฟัน แข่งขันกัน เป็นความเสียหาย เป็นความยุ่งยากลำบาก เป็นวิกฤตการณ์อันถาวร สันติภาพมันก็ไม่มี สมัยก่อนโน้น เมื่อมันยังดีอยู่ มีธรรมะพอจะรักใคร่กันทั้งโลก ทุกศาสนาก็สอนให้รักใคร่กันทั้งโลก ให้รักผู้อื่นเหมือนกับรักตัว หรือให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัวนี่ก็ยังมี ดังนั้นเขาจึงไม่เบียดเบียนกัน เขาจึงรักเพื่อนมนุษย์อย่างว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นี่การศึกษามันสมบูรณ์ เดี๋ยวนี้มันเป็นการศึกษาหางด้วน ไม่สมบูรณ์ หรือจะเรียกว่าการศึกษาเปรียบเหมือนกับเจดีย์ยอดด้วนก็ได้ มีแต่ฐาน ไม่มีตัว ไม่มียอดที่น่าดู มันก็ไม่น่าดู ฉะนั้นขอให้สนใจว่า ไอ้ธรรมะนี่ คือส่วนนี้ คือ ส่วนที่เราเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยนิยม ตัดทิ้งออกไปเสียจากการศึกษาในโรงเรียนประถม มัธยม อุดมมหาวิทยาลัยก็ไม่สอนธรรมะ ไม่สอนศาสนา เราก็ไม่รู้ เราก็ไม่มี ไม่มีธรรมะนั่นเอง เราก็จะเห็นแก่ตัวจัด เราก็จะเป็นทาสของกิเลส เราก็จะทำผิดตั้งแต่เด็ก ๆ เราก็จะต้องเดือดร้อน วัยรุ่นจะต้องไปโดดน้ำตายมากขึ้น วัยรุ่นก็จะไปกินยาตายมากขึ้น เพราะทำผิด เพราะชิงสุกก่อนห่าม เพราะอะไรก็ตาม คือมันไม่มีธรรมะ เอาละเป็นอันว่า การศึกษาที่ไม่มีธรรมะรวมอยู่ด้วยนี้จะพามนุษย์ไปไม่ได้ จะช่วยโลกให้รอดไม่ได้
เราก็มาดูโดยเฉพาะที่สิ่งที่เรียกว่าธรรมะกันโดยตรง มาสวนโมกข์นี่เพื่อศึกษาธรรมะ มนุษย์จำเป็นที่จะต้องมีธรรมะ ไม่อย่างนั้นไม่เป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้การศึกษาไม่มีธรรมะในหลักสูตรการศึกษา เราก็ต้องหาเอาเองเพิ่มเติม บางประเทศออกกฎหมายไม่ให้สอนศาสนาในโรงเรียนในมหาวิทยาลัย เพราะถือว่ามันไม่เกี่ยวกันกับเรื่องการบ้านการเมือง ใครอยากรู้ก็ไปหาเอาเอง ไปหาความรู้ทางธรรม ทางศาสนาเอาเอง เดี๋ยวนี้ก็ได้แต่พวกเราที่อุตส่าห์มาจากที่นั่นที่นี่ มาไกล ๆ มาถึงที่นี่ ก็เพื่อจะมาหาธรรมะเอาเอง เพราะว่าเขาตัดออกเสียแล้ว จากหลักสูตรของการศึกษา มีนิด ๆ หน่อย ๆ ไว้หลอกเด็ก ไว้จดไว้ในสมุดแล้วก็ปิด อย่างนี้มันมีธรรมะไม่ได้ เราก็ต้องต่อสู้มาหาธรรมะเอาเอง อาตมาจึงถือว่าการที่ท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ก็เพื่อจะหาธรรมะส่วนที่มันขาดไปจากหลักสูตรของการศึกษา
ฉะนั้นขอให้ตั้งใจฟังให้ดี ให้เข้าใจคำว่าธรรมะนั้นคืออะไรเป็นข้อแรก บางทีจะสอนกันอยู่แล้วในโรงเรียนว่า ธรรมะ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้มันสั้นเกินไป ยังไม่รู้ว่าอะไร ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ได้แต่บอกว่าธรรมะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวก็จะบอกให้เสียเลยว่าไอ้ธรรมะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนทุกเรื่องที่จำเป็นแก่มนุษย์ แล้วก็จะสรุปได้สั้น ๆ ว่า ธรรมะนี่ เป็นเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของธรรมชาติทั้งหมดเรียกว่าธรรมะเหมือนกัน เรื่องของกฎของธรรมชาติทั้งหมดก็เรียกว่าธรรมะ เรื่องหน้าที่ที่จะต้องกระทำตามกฎของธรรมชาตินี่ก็เรียกว่า ธรรมะ ได้รับผลอะไรออกมาจากการทำหน้าที่นี่ก็เรียกว่า ธรรมะ
ขอร้องให้ช่วยจำไอ้คำสี่คำนี้ไว้ให้ดีๆ เพื่อสะดวกอย่างยิ่งในการที่จะศึกษาธรรมะให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปในอนาคต แต่ถ้าใครทำอย่างไม่ได้จริงใจก็ไม่ต้องจำก็ได้ ฟังเข้าหูนี้ออกหูโน้นมันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ แต่ถ้าใครตั้งใจว่า ต่อไปในอนาคตเราจะศึกษาธรรมะให้มาก ให้ยิ่ง ให้ละเอียด ให้สำเร็จประโยชน์ละก็ให้ช่วยจำคำสี่คำนี้ไว้เดี๋ยวนี้ให้แม่นยำว่า ธรรมะ คือเรื่องของธรรมชาติ ธรรมะ คือเรื่องกฎของธรรมชาติ ธรรมะ คือ เรื่องหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกกฎของธรรมชาติ ธรรมะ คือ ผลที่ได้รับจากหน้าที่ พูดสั้นๆ ว่าธรรมชาติ ว่ากฎธรรมชาติ ว่าหน้าที่ตามธรรมชาติ ว่าผลตามธรรมชาติ
ธรรมชาติหมายถึงทุกสิ่ง แม้แต่ร่างกายของเรานี้ก็เป็นธรรมชาติ อะไรที่เรามีอยู่รอบตัวเราก็เป็นธรรมชาติ เราต้องรู้ให้ถูกต้องว่า สิ่งเหล่านั้นมันคืออะไร เป็นอย่างไร เพื่อประโยชน์อะไร ประพฤติกระทำให้ถูกต้องต่อธรรมชาติเหล่านั้น
ทีนี้ก็รู้ว่ามันมีกฎของธรรมชาติ ควบคุมธรรมชาติทั้งหลายอยู่ กฎนี้เฉียบขาดอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นพระเจ้าเลย กฎของธรรมชาตินี่บันดาลให้สิ่งบาง ให้สิ่งทุกสิ่งเกิดขึ้น ให้สิ่งทุกสิ่งตั้งอยู่ ให้สิ่งทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป ให้ดูส่วนใหญ่ ๆ เช่นว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว โลก จักรวาลทั้งหลาย ทำไมจึงอยู่กันเป็นระเบียบ นี่เป็นอำนาจของอะไร นี่ก็ด้วยอำนาจกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ และในแผ่นดินโลกเล็ก ๆ นี้ก็มีกฎของธรรมชาติบังคับให้เป็นไป เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นก้อนหิน เป็นก้อนดิน เป็นอะไรต่าง ๆ กฎของธรรมชาติมันบังคับให้เป็นไป ทีนี้มองเข้ามาในตัวเราคนๆ หนึ่ง ยาวสักวาหนึ่ง หนาสักไม่กี่นิ้วนี่ กว้างศอกหนึ่ง ในคนๆ หนึ่งนี่ก็มีกฎของธรรมชาติบังคับไว้ บังคับให้เป็นไปอย่างถูกต้องมันจึงรอดชีวิตอยู่ได้นะ ถ้ามันเกิดผิดธรรมชาติ ผิดกฎธรรมชาติขึ้นมามันก็ต้องเจ็บไข้ และมันก็จะต้องตาย นี่ว่าธรรมชาติควบคุมอยู่ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกส่วน ทุก ๆ ปรมาณูในโลกนี้ กฎของธรรมชาติมันควบคุมอยู่ อย่างเฉียบขาดที่สุด ที่นี้มันก็เกิดมีหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตนั้นจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้น ๆ มิฉะนั้นมันจะต้องตาย คนนี่ลองประพฤติผิดกฎธรรมชาติก็จะต้องตาย ต้นไม้นี่ถ้าไม่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติมันก็ตาย สัตว์เดรัจฉานไม่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติมันก็ต้องตาย นี้เรียกว่า มันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ จึงเกิดหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ
ฉะนั้นขอร้องให้นักศึกษา นักเรียนทุกคนจำไว้ คำที่สำคัญที่สุดคือคำว่า หน้าที่ ปทานานุกรมภาษาอินเดีย คำว่า ธรรมะ คำนี้เขาแปลว่า หน้าที่ หน้าที่ที่มนุษย์ เอ้อ,สิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้ถูกกับกฎของธรรมชาติ ธรรมะ แปลว่า ธรรมชาติ ธรรมะ แปลว่า กฎของธรรมชาติ ธรรมะแปลว่า หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ไอ้คำที่สามนี่สำคัญ ดังนั้นถือว่าเป็นความหมายหรือคำแปลของคำว่า ธรรมะ เมื่อเราปฏิบัติหน้าที่แล้ว เราก็ต้องได้รับผลจากหน้าที่ตามสมควร อันนี้ไม่ค่อยสำคัญอะไรนัก สำคัญอยู่ที่หน้าที่ ขอให้ทำหน้าที่ มันก็มีผล ถ้าทำหน้าที่ให้ถูกต้องมันก็มีผลถูกต้อง มีผลดีดังที่ควรจะได้ นี้ความสำคัญมันไปอยู่ที่คำว่าหน้าที่ ซึ่งเป็นความหมายที่สาม ความหมายที่หนึ่งคือ ตัวธรรมชาติ นี้ก็ต้องรู้ ต้องเกี่ยวข้องกับมัน ความหมายที่สองคือกฎของธรรมชาติ ก็ต้องรู้ ไม่ฉะนั้นจะทำผิด ความหมายที่สามคือหน้าที่ นี่บังคับเด็ดขาด ไม่ทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำหน้าที่ให้ถูกตามกฎของธรรมชาติแล้วจะต้องตาย ถ้าคนไม่ทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติมันก็เกิดการเจ็บป่วยขึ้นมา หรือว่ามันจะต้องตายด้วยทุกวิถีทาง เราจึงต้องทำหน้าที่ทุกอย่างที่ให้มันถูกกับกฎของธรรมชาติ สำหรับให้เรารอดชีวิตอยู่ได้ ทีนี้เมื่อเราต้องการให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราก็ต้องทำหน้าที่ส่วนนั้นแหละ ส่วนที่มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราจึงจะเจริญ หน้าที่อันแรก พื้นฐานที่สุด ก็คือให้รอดชีวิตอยู่ได้ เราต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องบริหารร่างกายให้ถูกต้องมันจึงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ นี่คือ หน้าที่ แล้วก็อยากจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป ก็มีหน้าที่ส่วนที่สูงขึ้นไปก็ต้องกระทำ จึงจะได้รับผลที่สูงขึ้นไป ดังนั้นเราก็ต้องรู้เรื่องหน้าที่ให้พอ ให้ถูกต้อง สำหรับจะประพฤติปฏิบัติให้ได้รับผลเต็มที่ตามที่เราต้องการ อย่าลืมว่า หน้าที่ หน้าที่ คำเดียวนี่เป็นคำแปลของคำว่า ธรรมะ ที่เจ้าของภาษาเดิม คือ ภาษาอินเดียเขานิยมใช้กัน ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ ดังนั้นก็เป็นอันเห็นได้ว่า ทุกคนต้องปฏิบัติธรรมะ เพราะว่าทุกคนต้องปฏิบัติหน้าที่ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ก็คือ ปฏิบัติธรรมะ ซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เมื่อเราทำหน้าที่ก็คือเราปฏิบัติธรรมะ เราควรจะพอใจในการทำหน้าที่ อย่าขี้เกียจ หน้าที่อะไรมีอยู่ก็ทำ นั่นคือการปฏิบัติธรรมะ เมื่อเราก็พอใจว่าเราได้ปฏิบัติธรรมะ เราก็นับถือตัวเอง เคารพตัวเอง ว่ามันมีอะไรดี มันมีอะไรดี ยกมือไหว้ตัวเองได้เพราะข้อนี้ ฉะนั้นขอให้ช่วยจำด้วยไว้ว่า ถ้ายกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็มีธรรมะแหละ ถ้าพิจารณาดูตัวเองแล้วขยะแขยงไหว้ไม่ลง นี่คือไม่มีธรรมะ ช่วยจำหลักเกณฑ์อันนี้ไปไว้เป็นเครื่องทดสอบตัวเอง
ทุกคนต้องทำหน้าที่ สัตว์เดรัจฉานทุกตัวต้องทำหน้าที่ ต้นไม้ทุกต้นก็ต้องทำหน้าที่ต่อสู้เพื่อให้ได้กินอาหาร ได้แสงแดด ได้น้ำ แล้วก็ทำหน้าที่ปรุงอาหารเลี้ยงดูมันเอง กล่าวได้เลยว่า สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ต้องทำหน้าที่ มิฉะนั้นมันจะต้องตาย แม้มันไม่ตายมันก็ไม่เจริญงอกงามไปจนถึงที่สุดของสิ่งที่ควรจะเจริญ ให้สนใจหน้าที่ เคารพหน้าที่ เมื่อได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ ก็มีความสุขอยู่ในการทำหน้าที่ พอใจอยู่ในการทำหน้าที่ มันก็จะเป็นสุขอยู่ในการทำหน้าที่ ไม่ต้องไปเล่นหัว อบายมุข เริงรมย์ กามารมณ์อะไร ซึ่งเป็นเรื่องทำลายมากกว่าเป็นเรื่องที่จะส่งเสริมให้มีความสุข เมื่อเราทำหน้าที่ของเราอยู่นั่นแหละคือ ประพฤติธรรมะ เป็นนักเรียนก็เรียน เป็นคนทำนา ทำสวน ค้าขาย ก็ทำ เป็นครูบาอาจารย์ก็สอน เมื่อทำหน้าที่ขอให้พอใจ ให้ภูมิใจว่าเรากำลังมีธรรมะ กำลังปฏิบัติธรรมะ คือ การทำหน้าที่ เมื่อยู่หน้าชั้นเรียน สอนนักเรียนอยู่ ครูก็ควรจะพอใจ มีความสุขอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ว่าอยากให้ถึงชั่วโมงเลิกเรียนแล้วก็ไปสนุกสนานอยู่ที่สถานที่เริงรมย์ อย่างนั้นไม่เท่าไหร่จะตกนรก ไม่เท่าไหร่เงินเดือนจะไม่พอใช้ จะต้องคอรัปชั่น จะต้องโกง เพราะกิเลสมันขยายตัวมาก ไม่มีที่สิ้นสุด เงินเดือนต้องไม่พอใช้แน่ แต่ถ้าเรามีความสุขอยู่ที่ที่ทำงาน ที่โต๊ะทำงาน ในห้องทำงาน ไม่อยากจะเลิกเรียน ไม่อยากจะไปบ้านด้วยซ้ำไป เพราะมันเป็นสุข สนุกอยู่ในการทำงาน ไม่ต้องเสียเงินมันก็มีความสุข พิจารณาแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้ เงินเดือนจะเหลือใช้จนไม่รู้จะเอาไปไหนล่ะ เพราะมันไม่ต้องเอาไปทำอบายมุข นี่คือ ธรรมะ คนทำนา ทำสวนก็เหมือนกัน เป็นสุขอยู่ในการทำ มันก็ไม่ต้องใช้เงินให้เปลือง ไม่ไปกินเหล้าเมายา ไม่ไปอบายมุข ไม่ไปสถานเริงรมย์ เงินมันก็เหลือ ข้าราชการเงินเดือนไม่พอใช้เพราะมันไปเป็นทาสของกิเลส ไปหาความสุขจากสิ่งเริงรมย์จนเงินเดือนไม่พอใช้ จนต้องคดโกง อยากรวยเร็วก็ไปเล่นการพนัน ก็วินาศฉิบหาย นี่มันไม่มีธรรมะมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้บูชาธรรมะในความหมายที่ว่าเป็นหน้าที่ หน้าที่มีอย่างไร อุตส่าห์ทำ หน้าที่ต้องเรียนก็ต้องเรียน หน้าที่ที่ต่ำลงไป เช่นว่า จะต้องหาอาหารกิน จะต้องอาบน้ำ จะต้องบำรุงร่างกายให้ถูกต้องก็ต้องทำ หน้าที่เหล่านั้น เรียกว่า ธรรมะทั้งนั้น
นักเรียนอาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ที่ว่า เราทำการบริหารร่างกายของเราแท้ ๆ นี่ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ จะบอกไว้กันลืมว่า เราดู ทั่วๆไป สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทำหน้าที่ อย่างเช่น ไก่นี่ พอเช้าขึ้นก็เที่ยวหากิน คุ้ยเขี่ยไปตามเรื่อง ทำหน้าที่เพื่อให้ได้กิน นั่นไก่ปฏิบัติธรรมะของไก่ นกก็เหมือนกัน ก็บินไปแสวงหาผลไม้ อาหารอะไรต่าง ๆ นั้นมันทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ คือ มันปฏิบัติธรรมะของนก เพราะไม่ว่าสัตว์อะไรเขาจะต้องมีหน้าที่ที่ให้ชีวิตรอด การทำให้มีชีวิตรอดนั้นคือปฏิบัติธรรมะ ในระดับนั้น ในระดับนั้น ต้องจำไว้ ในระดับนั้นนะ ในระดับสัตว์เดรัจฉาน ในระดับที่ยังต่ำอยู่ คนนี่ก็เหมือนกัน ต้องทำหน้าที่ ต้องเล่าเรียนมันก็เป็นหน้าที่ ต้องทำการงานมันก็เป็นหน้าที่ แม้ว่าการงานนั้นต่ำมาก เช่น ทำนา ทำไร่ ทำอะไร ก็เรียกว่าทำหน้าที่ เราอย่าไปดูถูกเขา เราจะโง่เอง เราจะโง่เอง ขอร้องว่า เราอย่าดูถูกเขา เขาต้องถีบสามล้อ เขาต้องล้างท่อถนน เขาต้องกวาดถนน เขาต้องแจวเรือจ้าง อย่าไปดูถูกเขา เขาก็ปฏิบัติธรรมะเต็มตามที่เขาจะทำได้ เราจงเคารพเขา ให้เกียรติแก่เขา ว่าเขาก็กำลังปฏิบัติธรรมะอยู่ ถ้าเขาไม่ทำ เขาไปเป็นโจร เป็นขโมย เป็นอะไรนอกรีตไปนั้น นั้นไม่มีธรรมะ เราไม่ต้องเคารพเขา แต่ถ้าเขาปฏิบัติหน้าที่ของเขาเต็มความสามารถของเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ แม้เขาจะกวาดถนนอยู่ ล้างท่อถนนอันแสนสกปรกอยู่ เราก็เคารพเขาได้ เพราะว่าเขาทำหน้าที่ปฏิบัติธรรมะตามหน้าที่ ไม่ให้ความเป็นมนุษย์ของเขาบกพร่อง มันก็ทำอย่างไรได้ล่ะ เพราะว่าเขาเกิดมา ธรรมชาติให้เขามาเพียงเท่านั้น ไม่มีสติปัญญาที่จะไปเป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี เขาเป็นไม่ได้ ธรรมชาติสร้างเขามาเพียงแต่ว่าสามารถกวาดถนน แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ แต่เมื่อเขาได้ใช้ความสามารถเต็มที่แล้ว ก็เรียกว่า เขาประพฤติธรรมะ เราจงให้ความเคารพแก่เขา ว่าเขาก็ได้ประพฤติธรรมะ ไอ้เราก็จะประพฤติธรรมะของเรา แม้รูปร่างจะต่างกัน แต่ก็มีค่า ความหมายเหมือนกัน คือ ได้ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็พอใจ เราเคารพเขา เมื่อเขาเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง อย่าได้ไปดูถูก ดูหมิ่น เหยียดหยามเขา เมื่อเขาประพฤติธรรมะตามกำลังของเขา เขาก็ค่อยดีขึ้น ๆ จนเขาไม่ต้องกวาดถนน ไม่ต้องถีบสามล้อ เขาก็จะสูงขึ้นมาสูงขึ้นมา
ถ้าเราศึกษาเรื่องของคนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตในประวัติศาสตร์ที่แล้วมาแต่หนหลัง หรือแม้ที่กำลังมีอยู่ในบัดนี้ก็ดี นายกรัฐมนตรีบางคนมาจากคนขายเต้าฮวย คราวหนึ่งสนทนากับคนญี่ปุ่น เขาว่านายกรัฐมนตรีของเขามาจากคนขายเต้าฮวย เมื่อยังหนุ่ม ๆ ยังรุ่น ๆ เขาขายเต้าฮวย บางคนมาจากเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เดี๋ยวนี้เป็นนายกรัฐมนตรี นี่เขาก็ไปตามกรรม ตามเหตุ ตามปัจจัย เขาได้ทำหน้าที่ของเขาดีขึ้น ๆ เขาก็เจริญ เขาไม่ต้องถีบสามล้อ เขาก็ไปขายเต้าฮวย แล้วเขาไปทำอะไรที่สูงกว่าขายเต้าฮวย แล้วเขาก็จะได้มีกำลังมีทุนมีรอนทำการทำงานได้รับความเคารพเชื่อถือจนเป็นหัวหน้าหมู่ หัวหน้าคณะ ได้เป็นผู้แทน ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ล้วนแต่ทำหน้าที่ทั้งนั้น ล้วนแต่ทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง อย่าไปคดโกงเลย เขาจะจับได้แล้วก็ล้มละลายกันเป็นแน่ อย่าไปหวังว่าเขาจะจับไม่ได้ อย่าใช้วิธีคดโกง ทำแต่ที่ดีที่ถูกเปิดเผยได้ โดยที่ตัวเราควบคุมตัวเรา ให้เราไหว้ตัวเราเองได้อยู่เสมอ ขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า ช่วยจำคำว่ายกมือไหว้ตัวเองได้นี่ ให้จำให้แม่นยำ แล้วเอาไปทำให้ได้อย่างนั้น พอค่ำลงก็ใคร่ครวญดูว่า วันนี้ได้ทำอะไร ดีชั่วอย่างไร ถ้ามีแต่ความดี ความถูกต้อง หน้าที่ถูกต้อง ก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าไปทำผิดทำเลว เสร็จแล้ว แม้ไม่มีใครเห็นมันก็ยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ เพราะว่าเรามันเห็น เราทำอะไร เท่าไร เราก็เห็น ถ้าเราไปทำชั่ว จิตมันก็ไม่ยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่ถ้าเห็นแต่ความดีไปทั้งนั้น ไม่มีอะไรบกพร่อง มันก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ด้วยความสมัครใจ เอาการที่ยกมือไหว้ตัวเองได้นี่ เป็นเครื่องสอบไล่ เป็นเครื่องวัดว่าเราได้มีการศึกษาดีแล้ว เราได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องแล้ว มีธรรมะแล้ว ธรรมะคือหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ไม่บกพร่องแล้ว ก็มีธรรมะสมบูรณ์แล้ว วันนี้ยกมือไหว้ตัวเองได้
พอตื่นนอนขึ้นมาก็ตั้งใจว่า วันนี้จะทำอะไร วันนี้จะทำอะไรจะทำให้ดีที่สุด การงานในบ้าน ที่จะช่วยบิดามารดาก็ทำดีที่สุด ไปถึงโรงเรียนก็ช่วยโรงเรียนดีที่สุด พอถึงเวลาเรียนก็เรียนดีที่สุด นี่คือปฏิบัติธรรมะเต็มเปี่ยมถึงที่สุด ค่ำลงก็จะได้ยกมือไหว้ตัวเองได้อีก ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ทุกวัน ๆ ทุกเดือนทุกปี มันก็เจริญถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นแน่นอน เพราะคำว่า ธรรมะ คำเดียว ธรรมะคำเดียว ธรรมะคำเดียว เป็นทุกอย่างเป็นทั้งหมดของความเจริญ แก้ปัญหาได้หมด สร้างความสุขความเจริญได้หมด เพราะสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ เพียงคำเดียว จะบอกคำนิยาม บทนิยามของคำว่าธรรมะ ขอให้ช่วยจำไว้ทุกคน ถ้าบทนิยามของธรรมะแล้วก็ขอให้ช่วยจำไว้จะรับรองว่า จะไม่เสียทีที่อุตส่าห์มาถึงสวนโมกข์ บทนิยามของคำว่าธรรมะนี่ อาตมาได้รวบรวมเอามา คนคนหนึ่งว่าธรรมะคืออย่างนี้ คนโน้นว่าธรรมะคืออย่างนี้ คนโน้นว่า ธรรมะคืออย่างนี้ คนว่าธรรมะคืออย่างนี้ เอามาพิจารณาดู มันไม่สมบูรณ์นี่ เอามาต่อกันหมด เอามาต่อกันเข้าหมดให้สมบูรณ์
ธรรมะ คือ การกระทำที่เป็นระบบ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา เพราะไม่เห็นใครจด ก็ต้องพูดอีกทีว่า ธรรมะ คือ การปฏิบัติที่เป็นระบบที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ครูบาอาจารย์ นักเรียน บางหมู่ บางพวก จดกันมือสั่นเลย แต่พวกคุณที่นี่ไม่เห็นมีจดกี่คน คงจะเก่งมากแล้ว คงจะรู้แล้ว พวกครูบาอาจารย์ที่มาจากกรุงเทพ เขายังจดกันมือสั่นเลย ที่บอกว่า ธรรมะ นั่นคือ การปฏิบัติที่เป็นระบบ หรือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา บางคนนั่งโงกเสีย บางคนหยอกกันเสีย ไม่สนใจที่จะฟังคำนิยามของคำว่า ธรรมะ
ธรรมะ คือ ระบบปฏิบัติ หมายความว่า ไม่ใช่ปฏิบัติเพียงข้อเดียวต้องปฏิบัติหลาย ๆ อย่าง ปฏิบัติธรรมะพร้อมกันหลายอย่าง เรียกว่า ระบบ ระบบปฏิบัติ ทีนี้ไม่ใช่เพียงแต่เรียน ไม่ใช่เพียงแต่จดไว้ในสมุด ต้องปฏิบัติจึงจะเป็นธรรมะ ถ้ายังเป็นวิชาท่องจำอยู่ในสมุด ยังไม่ใช่ธรรมะ เป็นธรรมะที่ไม่สมบูรณ์ เป็นธรรมะจด ธรรมะเรียน ไม่ใช่ธรรมะจริง ถ้าเป็นธรรมะจริงอันนั้นต้องมาเป็นการปฏิบัติ ให้ความรู้ข้อนั้นมาเป็นการปฏิบัติ ที่ปฏิบัติอยู่ครบถ้วนทุกอย่างทุกอย่าง เราจึงใช้คำว่า ระบบ การปฏิบัติที่เป็นระบบ ปฏิบัติหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน นี่เรียกว่า ระบบของการปฏิบัติ นี้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ถ้าใครเป็นมนุษย์ ปฏิญาณตัวเองว่าเป็นมนุษย์ก็ต้องหาการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ จะเป็นมนุษย์กันอย่างไร เป็นมนุษย์นี่ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานหรือไม่ใช่อะไร ๆ อื่น แต่เป็นมนุษย์ ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ มีจิตใจสูง ๆ ๆ ๆ ขึ้นไปตามลำดับ จนไปสูงถึงที่สุด ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์นี่ก็หมายความว่า จะถูกต้องแก่การที่เราจะเป็นมนุษย์ที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา หมายความว่า เราไม่ได้อยู่นิ่ง เรามีวิวัฒนาการอยู่เรื่อย ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ตั้งแต่เราเกิดมาจากท้องแม่นั้นก็มีวิวัฒนาการเรื่อยมาทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี นี้เรียกว่าขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ เมื่อเราเป็นเด็กก็มีความถูกต้องอย่างหนึ่ง เมื่อเราเป็นวัยรุ่นมันก็มีความถูกต้องอย่างหนึ่ง เราเป็นหนุ่มสาวมีความถูกต้องอย่างหนึ่ง เป็นพ่อบ้านแม่เรือนมีความถูกต้องอย่างหนึ่ง กระทั่งเป็นคนเฒ่าคนแก่มีความถูกต้องอย่างหนึ่ง นี่เรียกว่า ตามธรรมชาติ มันก็เป็นขั้นตอน ทีนี้บางทีเราก็เป็นนักเรียน บางทีเราก็เป็นครู บางทีเราเป็นชาวนา บางทีเราเป็นชาวสวน บางทีเราเป็นพ่อค้า เราเป็นอะไรหลาย ๆ อย่าง ทุกอย่างล่ะ เราก็ต้องกระทำให้ถูกต้องแก่ความเป็นอย่างนั้น ทุกขั้นตอน นี่ว่าเรามีวิวัฒนาการเป็นตอน ๆ ๆ ๆ อยู่กว่าจะตาย เราประพฤติธรรมะให้ถูกต้องแก่วิวัฒนาการนั้น ๆ ทุกขั้นตอน เป็นเด็กที่ดี เป็นวัยรุ่นที่ดี เป็นหนุ่มสาวที่ดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดี เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่ดี ดีที่สุด จนถึงที่สุด นี่เรียกว่า ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ธรรมะ ๔ ความหมายถ้าเรารู้แล้วนะ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ ธรรมะ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะ คือ ผลจากหน้าที่ ๔ อย่างนี้ถ้าเรารู้แล้ว เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เราก็เอามาประพฤติปฏิบัติ ให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา นั่นแหละคือธรรมะ บทนิยามว่า ระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา นี่เรา นี่ ต่อไปนี้จะเป็นอะไร จะไป จะเป็นอะไร เป็น ๆ ๆ ๆ จนถึงที่สุด ก็เพราะว่าเราปฏิบัติถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา เราไปดูคนที่มันชิงสุกก่อนห่ามสิ มันต้องนั่งเช็ดตา ไอ้น้ำตาเช็ดหัวเข่าบ้าง ไปต้องกระโดดน้ำตายบ้าง แขวนคอตายบ้าง ล้มให้รถทับตายบ้าง ไอ้คนชิงสุกก่อนห่าม มันไม่ถูกตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ขอให้ดูให้ดี เราอย่าต้องเป็นอย่างนั้นเลย ให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด คือ ปฏิบัติธรรมะ ดีที่สุดและพอใจ เป็นสุขในการปฏิบัติหน้าที่นี่ เป็นสุขเมื่อปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เป็นสุขเมื่อออกไปกระโดดโลดเต้นชนิดที่ตามใจกิเลส สนองกิเลสอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ความสุขหรอก มันเป็นความร้อน ถ้าเป็นความสุขมันต้องเย็น แต่มันเป็นความร้อนเพราะอำนาจของกิเลส มันไม่ใช่ความสุข นี่ขอให้จำไว้ให้ดีว่า ความสุขต้อง ขอ สะกด สุขะ แปลว่า สงบเย็น ไอ้สุก กอ สะกด มันสุกด้วยไฟเผา เผา จี่ ปิ้ง ต้ม มันสุก ร้อน อย่าไปเอากะมัน ไอ้ธรรมะนี้ต้องการให้ดำเนินไปตามทางของความสุข สงบ เย็น ถ้ากิเลสเข้ามาก็เป็นสุกร้อน ถ้าธรรมะเข้ามาก็เป็นสุขเย็น เราก็ระวังให้มีความถูกต้องของธรรมะเป็นสุขเย็นอยู่ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา ถ้าเราจะถือว่าเรามีวิวัฒนาการทุกชั่วโมง เราก็ต้องถูกต้องทุกชั่วโมง ถ้าเราถือว่าวิวัฒนาการของเรามีทุกวัน ๆ เราก็ต้องถูกต้องทุกวัน ถ้าทุกสัปดาห์ก็ถูกต้องทุกสัปดาห์ ถูกต้องทุกเดือนก็ทุกเดือน ถูกต้องทุกปีก็ทุกปี แล้วแต่ว่าเราจะจัดแบ่งวิวัฒนาการของเราอย่างไร กระทั่งว่าเป็นคนผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ คนเฒ่า ถึงที่สุดแห่งชีวิต มีอะไรถูกต้องหมด มีแต่ความน่าไหว้ทั้งนั้น ยกมือไหว้ได้ทั้งนั้นเลย นี่ผลของธรรมะ
ประโยชน์ของธรรมะ ทำให้เรายกมือไหว้ตัวเองได้ ความยกมือไหว้ตัวเองได้นั้นคือความสุข คือ ความสุขที่แท้จริง อยู่ในการที่เรายกมือไหว้ตัวเองได้ ก็เป็นอันว่า เรามันก็เป็นมนุษย์ หน้าที่ที่จะต้องทำแก่เราเอง เราก็ทำแล้ว หน้าที่ที่จะทำแก่ผู้อื่นเราก็ทำแล้ว แก่ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราก็ทำแล้ว เรียกว่า ประพฤติประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น นั่นแหละคือความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ ขอให้ทุกคนตั้งใจคิดใคร่ครวญดูให้ดีอีกทีว่า ถ้าทุกคนในโลกนี้มีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องเช่นนี้ แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร โลกนี้จะเป็นโลกพระศรีอารยเมตไตรย น่าชื่นใจที่สุด ไม่เป็นโลกที่เลวร้ายสกปรก ซึ่งรู้ได้จากหน้าหนังสือพิมพ์แต่ละวัน แต่ละวัน ทุกวัน ๆ ทุกฉบับ มีแต่ความเลวร้ายของสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์ อย่าต้องเอามาบอกมาเล่า ไปอ่านเอาเองก็ได้ บางเรื่องมันเลวถึงขนาดที่ไม่ควรจะพูดให้สกปรกปาก ข่าวหนังสือพิมพ์บางข่าวมันเลวมากขนาดที่ไม่อยากจะเอามาพูดให้สกปรกปาก ถ้าคุณไม่กลัวสกปรกตาคุณก็ไปหาอ่านเอาเอง หนังสือพิมพ์วันหนึ่ง ๆ เอามารวม ๆ กันดู มันจะพบว่าไอ้ความเลวร้ายของมนุษย์นี่มันมีถึงขนาดนี้นะเดี๋ยวนี้นะ เพราะมันไม่มีธรรมะสิ่งเดียวเท่านั้น เพราะมันไม่มีความถูกต้องจนถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ ธรรมะ คือ หน้าที่ ทำหน้าที่แล้วคือปฏิบัติธรรมะ มีธรรมะแล้วก็ชอบใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง ฉะนั้นขอให้ทุกคนสนใจที่จะมีธรรมะ ถือธรรมะเป็นใหญ่ การที่จะถือธรรมะเป็นใหญ่ต้องเสียสละบ้าง อย่าเห็นแก่ความสุข สนุกสนานของกิเลส เสียสละกิเลส เสียสละความต้องการของกิเลสมาเป็นความต้องการของธรรมะ จะสำเร็จอยู่ตรงที่ว่า เราไหว้ตัวเองได้ ถ้าเราหันมาถือธรรมะ ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงหมด จนเราไหว้ตัวเองได้ เมื่อทุกคนไหว้ตัวเองได้ โลกนี้ก็ไม่มีสิ่งเลวร้ายเหมือนที่กำลังมีอยู่นี่ โลกนี้ก็เป็นโลกที่ของมนุษย์ เป็นโลกของมนุษย์ที่ถูกต้องแท้จริง มันสุขกันทั้งโลกเลย เพราะว่ามนุษย์เป็นมนุษย์กันได้อย่างแท้จริงเท่านั้น สำเร็จได้ด้วยธรรมะ ไม่มีกิเลสมาครองโลก แต่มีธรรมะครองโลก เดี๋ยวนี้กิเลสครองโลก หรือธรรมะครองโลก ก็ลองคิดลองคำนวณดูเอง
เอ้า,พูดถึงตัวเรากันดีกว่า พูดกับท่านทั้งหลายทุกคน ๆ นะเหมือนกับอาตมาพูดกับเฉพาะคนทุกคน เฉพาะคนทุกคนนะ ว่าขอให้ทุกคนใคร่ครวญดูว่า เดี๋ยวนี้ กิเลสกำลังครองเราหรือว่าธรรมะกำลังครองเรา ตัวของท่านแต่ละคน ๆ ทั้งกายทั้งใจ กิเลสกำลังยึดครองหรือว่าธรรมะกำลังยึดครอง ถ้ากิเลสกำลังยึดครอง แล้วร้อนเป็นไฟ ไปดูเองเถอะ เมื่อไรร้อนเป็นไฟ แล้วเดี๋ยวดูเถอะ กิเลสกำลังขึ้นขี่อยู่บนคอ ถ้าเมื่อไรไม่ร้อน เย็นดี เหมือนธรรมะยึดครอง ฉะนั้นเข้าใจว่า คุณจะมีธรรมะคุ้มครองหรือยึดครอง เพราะว่าอุตส่าห์มาถึงส่วนโมกข์ มาไกลมาก มาจากที่ไหนเมื่อตะกี้ลืมไปแล้ว จากสงขลาหรือจากอะไรก็ไม่ทราบ แล้วก็มาถึงสวนโมกข์ ก็ได้หวังว่าจะมีธรรมะ จะพบธรรมะ จะรู้จักธรรมะ จะประพฤติปฏิบัติธรรมะ ให้ธรรมะคุ้มครองเรา เราต้องยอมให้ธรรมะครองเรา อย่าให้กิเลสครองเรา กิเลสกับธรรมะนี่เขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าธรรมะเข้ามากิเลสออกไป ถ้าธรรมะออกไปกิเลสเข้ามา นี่มันเล่นตลกกันอยู่อย่างนี้ ดังนั้นเราศึกษาธรรมะให้ดี ให้เข้าใจ ประพฤติธรรมะอยู่ กิเลสก็จะไม่เข้ามา จะไม่เกิดขึ้นในจิตในใจ เพราะว่าธรรมะไปอยู่แทน อย่างนี้ถ้าเรียกตามโวหารในทางพระศาสนาว่า เราได้ทำให้ร่างกายของเรานี้เป็นโบสถ์เป็นวิหารที่ประทับสถิตอยู่ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือของพระเป็นเจ้าก็ได้ ถ้าเราถือศาสนามีพระเป็นเจ้า เราก็ทำร่างกายของเรานี้ให้เป็นโบสถ์ วิหาร ให้พระเจ้า พระเป็นเจ้ามาสิงสถิตอยู่ แต่ถ้าเรานับถือพุทธศาสนาเราก็จะทำให้ร่างกายนี้เป็นโบสถ์วิหารที่สถิตของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราปฏิบัติถูกต้องตามธรรมะ ไม่มีข้อบกพร่องสักนิดเดียว เราก็มีจิตใจเหมือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จิตใจของเราก็เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็เข้ามาครองร่างกายนี้ ร่างกายนี้ก็เป็นเหมือนโบสถ์ วิหาร สำหรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้ามาครอง มันก็ปลอดภัย มันถูกต้อง มันมีแต่ทำไปในสิ่งที่ถูกต้อง หรือมีประโยชน์ ไม่มีการทำผิดเลย นี่ด้วยอำนาจของธรรมะ เรารู้แล้ว เราประพฤติแล้ว มีความถูกต้องในทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเราตั้งแต่เกิดจากท้องแม่จนกว่าจะตาย มันจะมีกี่ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ เราก็ถูก ทำให้ถูกต้องหมด นี่อานิสงส์ของธรรมะ ศึกษาธรรมะ เพื่อให้รู้อย่างนี้ เพื่อให้ได้อย่างนี้ รายละเอียดที่ต้องประพฤติ ปฏิบัตินั้นโดยมากก็รู้กันอยู่แล้ว
จะสรุปเป็นใจความสั้น ๆ แค่ว่า เราจะต้องยอมรับในข้อที่ว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน นี่ข้อแรกนะ ช่วยจำด้วยนะว่า ถ้าจะปฏิบัติธรรมะแล้วขอให้จำหัวข้อไม่กี่ข้อ ข้อแรกก็ต้องยอมรับว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน เพราะฉะนั้น เรารักผู้อื่น ข้อที่หนึ่ง ข้อแรก เรารักผู้อื่น ข้อที่สอง เราบังคับจิตใจ บังคับกิเลส บังคับจิตใจของเราไม่ให้ทำผิด ให้รักผู้อื่นอยู่ และให้ทำถูกต่อคนทุกคน รวมทั้งตัวเราเองด้วย ดังนั้นเราต้องบังคับจิตของเราไม่ให้ผิดพลาดได้ ถ้าเราบังคับตัวเราไม่ให้ผิดพลาดได้ นี่เราจะยกมือไหว้ตัวเองได้ เราจะเคารพตัวเองได้ เราไม่เกลียดชังตัวเอง เราไม่ดูหมิ่นตัวเอง เราไม่ดูถูกตัวเอง เราจะเคารพตัวเอง นี่เราก็มาถึงขั้นที่เราเคารพตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วเราก็พอใจ พอใจ ในความเป็นมนุษย์ของเรา ไอ้ความพอใจนั้นคือความสุข ถ้าเราเกิดความพอใจในความสุข ถ้าทำให้เกิดความพอใจในตัวเราได้ ก็มีความสุขอยู่ได้ในตัวเราเอง นี่ก็เป็นข้อที่จะต้องสังเกตให้รู้ไว้นะ ว่าไอ้ความสุขทุกชนิดมาจากความพอใจ ถ้าไม่พอใจแล้วไม่มีเป็นสุขหรอก ถ้าพอใจอย่างถูกต้องแท้จริง ความสุขก็แท้จริง ถ้าพอใจโง่ ๆ พอใจเขลา ๆ พอใจผิด ๆ ไอ้ความสุขนั้นก็ผิด ๆ โง่ ๆ เขลา ๆ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องแท้จริง ไอ้ความพอใจนั้นก็จะพอใจจริง ความสุขนั้นก็จะจริง เป็นความสุขจริง เราก็เป็นสุข ผู้อื่นก็เป็นสุข ถ้าเราบังคับตัวเองให้ประพฤติธรรม นี่ถ้าเราจะมีหลักปฏิบัติชัดเจน ตรง ๆ แล้วก็ว่า เราจะต้องรักผู้อื่นก่อน ทำลายความเห็นแก่ตัวก่อน ถ้ามิฉะนั้น เราก็จะทำผิด ๆ เพราะเห็นแก่ตัว เพราะไม่รักผู้อื่น จะล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น กระทบกระทั่งผู้อื่น เราเตรียมพื้นฐานไว้เป็นอย่างดีว่า เราจะรักผู้อื่น จะยอมรับว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา
ทีนี้เราก็มาดูว่าเราจะต้องทำอย่างไร เราจะต้องทำอย่างนั้น นี่เราจะต้องบังคับตัวเองให้ทำอย่างนั้น กิเลสมันไม่อยากจะทำดี ธรรมะมีหลักให้ทำดี กิเลสมันไม่ทำดี ไม่ยอมทำดี จะเอาแต่ตามกิเลส ก็ต้องบังคับกิเลส บังคับตัวเอง คือ บังคับกิเลส อย่าให้กิเลสขึ้นมา บังคับบัญชากาย ใจ ให้ทำไปอย่างกิเลส ทำไปแต่โดยธรรมะ นี่เราก็บังคับตัวเองสำเร็จ ปฏิบัติธรรมะสำเร็จ เรื่องดีเรื่องชั่วนั้นเกินที่จะรู้กันแล้ว ในหนังสือเล่มแรก ก็มีเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องประพฤติน่าดู ไม่น่าดู อะไรมันก็รู้กันอยู่แล้ว มันเหลืออยู่แต่ไม่บังคับตัวเองให้ปฏิบัติตามนั้น มักจะไปตามผู้อื่นเมื่อเห็นเพื่อนฝูงเขาไม่บังคับตัว เขาทำกันสนุกสนานสรวลเสเฮฮา เราก็ไปเอากับเขาด้วย อย่างนี้มันก็ล้มละลายหมดแหละ เราต้องดูก่อนว่ามันถูกหรือไม่ถูก มันดีหรือไม่ดี มันควรหรือไม่ควร เราบังคับตัวเองให้มันอยู่แต่ในทางที่ถูก ที่ดี ที่ควร จะบังคับตัวเองได้ นี่คือปฏิบัติธรรมะ ซึ่งเป็นหน้าที่ พอเรามองเห็นว่าเราตั้งอยู่ในธรรมะ เราก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เราประพฤติกระทำให้เรายกมือไหว้ตัวเองได้ทุกค่ำเช้า เรานึกถึงตัวเราขึ้นมาเมื่อไร ทุกค่ำเช้า เราก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เราจะพอใจตัวเอง ไอ้ความพอใจตัวเองนั้นเป็นความสุข นี่ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องจ่ายเงิน เงินจะเหลือใช้ ที่พ่อแม่ให้มาศึกษาเล่าเรียนนั้นจะพอใช้ จะเหลือใช้ ไม่ต้องไปรบกวนพ่อแม่ ที่เป็นครูบาอาจารย์ทำงานมีเงินเดือนใช้แล้ว เงินเดือนก็จะเหลือ เพราะมันเป็นสุขอยู่ได้ที่การไหว้ตัวเอง เคารพตัวเอง มีเรื่องที่จะใช้เงินน้อยที่สุด เงินเดือนก็เหลือแน่นอน พวกที่เงินเดือนไม่พอใช้ กลับมาถือหลักอย่างนี้ เงินเดือนจะเหลือใช้ โดยอำนาจของธรรมะ ทำให้มีความสุขได้ในตัวบุคคลนั่นเอง
นี้จบได้แล้วกระมัง ก็มันไม่มีปัญหาอะไรแล้วนี่ เดี๋ยวนี้คนนี้มันไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เงินเดือนเหลือใช้แล้ว เนื้อตัวดี สะอาดจนไหว้ตัวเองได้แล้ว ประโยชน์ตนก็ทำแล้ว ประโยชน์ผู้อื่นก็ทำแล้ว เรื่องมันก็จบ ธรรมะมันมีเท่านี้ จะมาหาธรรมะ มาปรึกษาธรรมะก็ศึกษาให้เข้าใจ จำไปให้ได้ ไปคิดให้เข้าใจ แล้วไปปฏิบัติจนได้รับผลของธรรมะนั้น ได้เสวยผลของธรรมะ ได้รู้รสของธรรมะ ได้ดื่มรสของธรรม นั่นล่ะเรื่องมันจบ มันเย็นเป็นสุขสบายตลอดชีวิตเลย แต่ว่าธรรมะมีเท่านี้
นี้ทบทวนว่าหนทางที่จะพาให้เรามีประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น นั้นต้องปฏิบัติธรรมะ ธรรมะมี ๔ ความหมาย คือ ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผลที่เกิดมาจากหน้าที่ เรารับเอามันมาปฏิบัติแล้ว มันจะมีการปฏิบัติที่ทำให้เกิดความถูกต้องขึ้นมาแก่ชีวิตของเรา แก่ความเป็นมนุษย์ของเราทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเราตั้งแต่เกิดจากท้องแม่จนเข้าโลง ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ผลเกิดมาจากหน้าที่ นี่นักศึกษา ครูบาอาจารย์ดูให้ดีจะเห็นว่า ไอ้เรื่องของธรรมะนั้นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องโง่เขลา งมงาย บ้า ๆ บอ ๆ เหมือนที่คนสมัยนี้เขาเข้าใจกันว่าศาสนาเป็นเรื่องโง่เง่า ครึคระ บ้า ๆ บอ ๆ ศาสนาอื่นไม่ทราบ แต่พุทธศาสนาแล้วเป็นไปไม่ได้ เขาสอนเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลอันเกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกเลย ท้าทายได้ว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกเลยจะพอใจระบบธรรมะในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ เห็นชัดอยู่ด้วยความรู้สึกของตนเอง ไม่ต้องคำนวณ ดังนั้น พุทธศาสนาจึงเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา พุทธศาสนาไม่ใช่ philosophy พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา เนื้อแท้เป็นวิทยาศาสตร์ แต่เราจะเอาไปพูดให้เป็นปรัชญาก็ได้ เอาพุทธศาสนาให้ไปพูดให้เป็นปรัชญาบ้าน้ำลายไม่รู้จบก็ได้เหมือนกัน นี่ขออภัย จะพูดว่าพวกฝรั่งเขารู้จักพุทธศาสนาแต่ในแง่ของปรัชญา เขาไม่รู้พุทธศาสนาในแง่ของวิทยาศาสตร์ พวกฝรั่งเขาเขียนว่า Philosophy Buddhism นี่ทุกเล่มผิดหมดทั้งนั้นเลย ไม่เป็นพุทธศาสนาไปได้ เพราะพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา เป็นวิทยาศาสตร์ที่มองเห็นได้เหมือนกับของที่วางอยู่ตรงหน้า ลูบคลำได้ด้วยจิตใจ จัดการได้ด้วยจิตใจ แก้ไขให้เป็นไปตามที่เราประสงค์ได้ เราก็มีพระเจ้า คือ กฎของธรรมชาตินั่นแหละ เรานับถือกฎของธรรมชาติอย่างพระเจ้า ถ้าจะมีพระเจ้านะ ถ้าจะไม่เรียกว่าพระเจ้า เราก็เรียกว่าพระธรรม พระธรรมในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาตินั่นแหละ คือ พระเจ้าที่พวกศาสนาอื่นเขามี เขาเรียกว่าพระเจ้าก็ตามใจเขา แต่เราเรียกว่าพระธรรม พระธรรมนี้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตถาคตจะอยู่อย่างมีที่เคารพ เคารพอะไร เคารพพระธรรม พระธรรมไหน พระธรรมที่ตถาคตได้รู้ขึ้นมานั่นเอง ที่รู้แล้วนำมาสั่งสอนนั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรมนี้แล้วนำมาสั่งสอน แล้วพระองค์ตรัสเคารพพระธรรมนั้นเป็นสิ่งสูงสุด นั่นเราก็ควรจะเคารพพระธรรม เราไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าพระพุทธเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าเคารพพระธรรม เราก็ควรจะเคารพพระธรรม แล้วก็ปฏิบัติธรรมถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา เราก็เป็นมนุษย์ที่รอดอยู่ได้ เจริญงอกงามถึงที่สุดที่มนุษย์จะเป็นได้ ถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์จะเป็นได้ เรื่องมันก็จบกัน นี่โดยหัวข้อใหญ่ ๆ มันเป็นอย่างนี้ เรามีเวลาพูดกันชั่วโมงเดียว มันก็พูดได้แต่หัวข้อใหญ่ ๆ อย่างนี้ รายละเอียดไปหาอ่านศึกษาดูจากคนอื่น จากผู้รู้ จากหนังสือหนังหา ตำรับตำราเดี๋ยวนี้ก็มีถมไป เขาพิมพ์ขึ้นมากมาย แต่ใจความสำคัญมันมีหลักเกณฑ์อยู่อย่างนี้ มาแล้วก็ขอให้เข้าใจ หัวใจของพระธรรมก็มีอยู่อย่างนี้ เอาไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดความหลุดความรอดด้วยกันทุก ๆ คนเถิด
อาตมาขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งในการมาของท่านทั้งหลายที่มาที่นี้ เพราะท่านมาด้วยความหวังดี มาด้วยความหวังที่จะได้รู้ได้ศึกษาพระธรรม แล้วเอาไปปฏิบัติ อาตมาขอแสดงความยินดีอย่างยิ่ง เพราะมันตรงกับความประสงค์ เราจัดสวนโมกข์นี้ก็เพื่อให้เป็นที่สะดวกแก่การศึกษาพระธรรมในทุกแง่ทุกมุม พูดจากันก็ได้ ก็สะดวก หรือว่ามาสัมผัสธรรมชาติ ธรรมชาตินี่ เป็นเกลอกับธรรมชาตินี่ มันก็รู้ธรรมะโดยง่ายขึ้นมันก็สะดวกที่เราจะมาใกล้ชิดธรรมชาติ มานั่งกลางดิน มันง่ายที่จะระลึกนึกถึงข้อที่ว่า พระพุทธเจ้านั้นประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้านั้นตรัสรู้ก็เมื่อนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าสอนอยู่จนตลอดพระชนม์ชีพของท่านส่วนมากก็นั่งกลางดิน และในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานกลางดิน ประสูติกลางดินใต้ต้นสาละ นิพพานกลางดินใต้ต้นสาละ เราก็มีต้นสาละปลูกอยู่ที่หน้าตึกนั่น ถ้าใครต้องการจะเอาใบไปเป็นที่ระลึกสักใบหนึ่งก็ได้ ต้นสาละนั่นเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประสูติแล้วก็ปรินิพพาน ใบแห้ง ๆ ที่มันหล่นอยู่ก็ยิ่งสะดวก ไปถึงก็เอาเตารีด ๆ เสียให้ดี แล้วก็เอาประกบด้วยกระจกใส่กรอบไว้เป็นที่ระลึก ใบสาละต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประสูติและนิพพาน และยังจะเป็นที่ระลึกแก่การมาสวนโมกข์ด้วย มันเป็นที่ระลึกได้อย่างนี้ตามธรรมชาติอย่างนี้ จึงเข้าใจว่าท่านทั้งหลายคงจะได้รับประโยชน์จากการมาที่นี่คุ้มค่า คุ้มเวลา คุ้มเหนื่อย คุ้มอะไรทุกอย่าง ดังนั้นก็ขอแสดงความยินดี และหวังว่าท่านทั้งหลายจะเข้าใจในธรรมะนี้ เอาไปประพฤติปฏิบัติแล้วได้รับประโยชน์จากธรรมะนั้น เป็นผู้เจริญในธรรมะ เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยายคราวนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้