แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นนักศึกษา และท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ก่อนอื่นทั้งหมดอาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย หลายอย่าง หลายประการด้วยกัน ข้อที่ท่านมาด้วยความหวังว่าจะได้ศึกษาก็ดี จะได้บำเพ็ญกุศลก็ดี จะได้มาทำพิธีเรียก ที่เกี่ยวกับปีใหม่ก็ดี มันก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ควรจะทำ และหวังว่าท่านคงจะได้รับผลคุ้มค่ามา ถ้าไม่ได้รับผลคุ้มค่ามาโดยแท้จริงแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับไอ้ความไม่ประสีประสา ของคนที่มานั้นเอง การมาในป่า ในวัดที่ ที่จัดแบบวัดป่า ยังมีสภาพป่าอย่างนี้ มันก็ต้องผิดกันกับสภาพวัดในเมือง บรรยากาศแบบป่าจะมีลักษณะเหมือนกับว่าช่วยอาบน้ำให้แก่จิตใจ ให้มันเกลี้ยงลงบ้าง ให้มันเย็นลงบ้าง ให้มันมี เอ่อ,ความรู้สึกว่างจากความทุกข์ได้ตามสมควร ถ้าสังเกตดูให้ดี มันต้องได้อย่างนี้ ถ้าไม่ได้ก็เพราะว่ามันสักแต่ว่า มา มา เหมือนกับที่ว่า รับศีลมาไม่รู้กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง แล้วมันก็ยังไม่มีศีลอยู่นั่นเอง มันก็คงจะยังจะต้องรับศีลกันอีกหลายสิบครั้ง หรือหลายร้อยครั้ง มันจะมีศีลขึ้นมาได้หรือไม่ มันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ข้อนี้ก็เพราะเหตุที่ว่า ไม่มีความรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นทำทำไม ทำเพื่อประโยชน์อันใด มันก็ไม่รู้ นี่คือเรื่องของธรรมะที่ยังติดตันอยู่ในยุคนี้ แม้ว่าจะเป็นปีใหม่ มันก็เป็นอย่างพูด ๆ เท่านั้น มันไม่มีอะไรใหม่ขึ้นมา ไม่มีความเป็นนักศึกษาที่ใหม่ขึ้นมา ไม่มีความเป็นพุทธบริษัทที่ใหม่ขึ้นมา ไม่มีการได้รับผลของธรรมะที่แปลกที่ใหม่ขึ้นมา ขอให้ศึกษาดูจากจิตใจของตนเอง ว่าเมื่อวานนี้กับวันนี้มีอะไรผิดกันบ้าง ถ้ายังไม่มีอะไรผิด ก็หมายความว่ามันไม่ได้มีอะไรใหม่ ถ้าเห็นว่าวานนี้ กับวันนี้ซึ่งเป็นวันปีใหม่มันมีอะไรผิดกัน ก็จะเป็นที่เชื่อได้ว่าไม่เสียทีที่มันเป็นปีใหม่ วันใหม่ เราควรจะทำชนิดที่มันมีอะไรใหม่ขึ้น แม้ไม่ใช่ปีใหม่ก็ได้ แต่ถ้าว่าวันหนึ่งก็ขอให้มันมีอะไรแปลกขึ้นมา วันหนึ่งก็มีอะไรแปลกขึ้นมา วันหนึ่งก็มีอะไรแปลกขึ้นมา ใหม่ขึ้นมา ดีกว่าเก่า นั่นแหละมันจึงจะน่าพอใจ ธรรมะมันก็มีความมุ่งหมายอย่างนี้แหละ คือจะให้ทำให้คนแต่ละคน มีอะไรแปลกใหม่ดีขึ้นทุกวัน ๆ ถ้าเรามีธรรมะกันจริงมันก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น ก็คือไม่มีธรรมะเลย เราจะดูกันในข้อนี้แหละ และเวลาที่เหมาะที่จะดูมันก็คือวันที่จะถือกันว่าสิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ มันเหมือนกับวันสำหรับคิดบัญชี และสถานที่ที่เหมาะสำหรับจะดูก็คือสถานที่ชนิดนี้ ในราวป่าชนิดนี้ ทำให้จิตเกลี้ยง หรือมีสมาธิพอที่จะดู ถ้าอยู่ในบ้านในเมือง แม้แต่ในตึกเรียน ในมหาวิทยาลัย มันก็เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน จิตมันไม่ได้สงบ ไม่ได้เย็น ไม่เกลี้ยง แล้วมันก็ดูไม่เห็น เพราะว่าไอ้ตานั้นมันไม่ได้แจ่มใสพอที่จะดู คือจิตใจถ้าแจ่มใสแล้วมันก็จะมีลักษณะเหมือนตาที่ดูอะไรเห็นได้โดยง่าย แต่ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรให้มันมีจิตใจที่แจ่มใสแล้วมันก็เหมือนกับตาบอด เหมือนกับหลับตา กี่ปี ๆ ก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาตมาจึงเห็นว่าเป็นการเหมาะแล้วที่วันเช่นวันนี้ มันก็เหมาะที่ควรจะพูดเรื่องอะไรกันให้ดีที่สุด ในสถานที่เช่นนี้ ก็เรียกว่ามันเหมาะที่สุด ที่จะพูดอะไรกันให้ถึงที่สุด ก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราได้มานั่งกันกลางดิน บางคนก็จะไม่รู้สึกว่ามันจะมีประโยชน์อะไร แต่อาตมาอยากจะให้ทุกคนเข้าใจ อย่าให้เสียทีที่เป็นพุทธบริษัทเลย ว่าการนั่งกลางดินนี่ มันนั่งลงไปแล้วบนที่นั่ง ที่นอนของพระพุทธเจ้า มันคงจะผิดกันกับที่ในห้องเรียน ในตึกมหาวิทยาลัย เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดินใต้ต้นไม้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ นั่งกลางดินใต้ต้นไม้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมะของท่านเมื่อนั่งอยู่กลางดิน สอนนอกวัดพบกันนอกวัดก็นั่งกลางดิน สอนในวัดก็กลางดิน เพราะว่าไอ้ห้องประชุมมันเป็นพื้นดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน ในที่อื่น ๆ เดินทางอยู่ก็สอน อย่างนี้ก็มี เรียกว่าพระธรรมของเราทั้งพระไตรปิฎกนั้นนะมันเกิดขึ้นกลางดินด้วยเหมือนกัน หรือทั้ง ๙๙ เปอร์เซ็นต์ มันเกิดขึ้นกลางดิน ในที่สุดพระพุทธเจ้าท่านก็นิพพานโดยร่างกาย ที่จริงท่านนิพพานโดยจิตใจแล้วเมื่อตั้งแต่ตรัสรู้ ทีนี้โดยนิพพานทางร่างกายนี่ก็มีอีก เมื่อท่านประทับกลางดิน นิพพานกลางดินใต้ต้นไม้ ที่เป็นที่ระลึกอยู่กระทั่งจนทุกวันนี้ คือ ต้นสาละ ประสูติใต้ต้นสาละ นิพพานใต้ต้นสาละ
ขอให้จับใจความให้ได้ว่า ไอ้คนที่มันชอบอยู่บนวิมาน มันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน และนิพพานกลางดิน ท่านนึกถึงข้อนี้แล้วก็ควรจะภาคภูมิใจว่าเรามาประชุมกันที่นี่ในวันนี้ นั่งกันอยู่บนที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า คือ พื้นดิน ซึ่งประกอบด้วยโคนต้นไม้ ดินและโคนนี่ไม้ที่นั่ง ที่นอน ที่ตาย ที่เกิด ที่ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เคยนึก ไม่เคยทราบมาก่อนก็ควรจะทราบ และก็จะได้รู้สึกเคารพในพื้นดิน ไม่หวังที่จะไปแสวงหาที่ ๆ มันตรงกันข้าม อยากจะอยู่บนวิมาน อยากจะอยู่บนสถานที่สวยงาม เอร็ดอร่อยในทางส่งเสริมกามารมณ์ จิตใจเป็นทาสของกามารมณ์ แล้วจะมาชอบใจในธรรมะของพระพุทธเจ้าผู้อยู่กลางดิน ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน และนิพพานกลางดิน ซึ่งใคร ๆ ก็จะพูดว่ามันต่ำ ต่ำแล้วทำไมไอ้คนสูง ๆ กลับมาเคารพ พวกเทวดาก็เคารพพระพุทธเจ้าทั้งที่มันอยู่ในวิมาน แม้มนุษย์ที่มันอยู่อย่างฟุ่มเฟือย มันก็ยังเคารพพระพุทธเจ้า ผู้ที่อยู่อย่างที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร และมีเหตุการณ์ที่ควรจะประหลาดใจในข้อที่ว่าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน และนิพพานกลางดิน มันน่าจะคิดได้กันบ้างว่าไอ้เป็นอยู่ต่ำ ๆ นั่นแหละมันมีหวังที่จะทำไปในทางสูง ถ้าเป็นอยู่สูงมันโง่ซะแล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะสูงไปไหนได้อีก มันก็ต้องพลัดลงมาทางต่ำ ฉะนั้นเราเมื่อจะเดินตามรอยพระพุทธเจ้าก็ขอให้เป็นอยู่ต่ำ ๆ ตามแบบของพระพุทธเจ้า นั่นแหละมันจึงจะเป็นการง่ายที่จะเข้าใจในคำสอนของท่าน ดูเหมือนจะเป็นหลักที่ยอมรับกันทั่วไปว่าจะเข้าใจไปถึงวิชาความรู้ หรือจิตใจของท่านผู้ใด เราจะต้องมีการเป็นอยู่ให้เหมือนท่านผู้นั้น แล้วมันจะง่ายในการที่จะเข้าถึงจิตใจ หรือความรู้ของท่าน จึงอยากจะพูดในขั้นแรกนี้ว่าขอให้พยายามทำตนให้เป็นอยู่ต่ำ ๆ เหมือนพระพุทธเจ้า แล้วจิตใจมันจะได้ไปสูง
ท่านคิดว่าจะศึกษาและรู้ และปฏิบัติคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ทำตัวชนิดที่ตรงกันข้ามกับการที่เป็นอยู่อย่างพระพุทธเจ้า นี่ขอให้ไปคิดดู พระพุทธเจ้าไม่ได้มีทรัพย์สมบัติเหมือนที่เรามี อาตมานึกถึงท่านทีไรแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนในใจ ในข้อที่ท่านไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหมือนที่เรามี อย่างที่เรามีกันเดี๋ยวนี้ ก็คิดดูเถิด มีบ้าน มีตึก มีรถยนต์ มีทีวี มีอะไรต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่พระพุทธเจ้าไม่มี แล้วก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราจะ ที่จะทำให้เราเดินคนละทาง เดินหันหลังให้กับพระพุทธเจ้า คีมตัดเล็บนี่ ไม่มีแน่ พระพุทธเจ้าจะต้องตัดเล็บด้วยเครื่องตัดเล็บอะไร มีดธรรมดาก็จะต้องลำบาก ไอ้เรามีคีมตัดเล็บ สะดวกสบายเรียบร้อยเราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาเรานั่งบนรถยนต์เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ดำเนินด้วยพระบาท ไม่มีรถยนต์ แม้จะมีเกวียน ท่านก็ไม่นิยมนั่ง ในหมู่บรรพชิตท่านจะไม่ ถ้าสบายดีนะ ไม่ ไม่เป็นไข้ จะไม่นั่งด้วยยานพาหนะที่มีสัตว์มีชีวิต หรือคนนะเป็นผู้ลาก ๆ ๆ จูงไป รถ หรือเกวียนที่คนลาก หรือสัตว์ วัว ควาย ลากนี่ท่านจะไม่นั่ง แล้วท่านก็เดินไปเลย แม้ว่าจะเรียกว่าไปด้วยหมู่เกวียน ก็คือเดินไปข้าง ๆ เกวียน ท่านก็ไม่มีร่ม และท่านก็ไม่มีรองเท้า คิดดู ไอ้เรานี่มันมี ๆ ๆ มันยิ่งกว่ามี เราจะเป็นลูกศิษย์ของคนไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร กันได้อย่างไร แต่เมื่อท่านไม่นึกถึงข้อนี้ มันก็ไม่ ไม่มีอะไร ไม่มีปัญหาอะไร หรือว่าถ้าท่านมานึกถึงข้อนี้ท่านอาจจะไม่สนใจในธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะว่าท่านอยู่อย่างที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรมากเกินไป ท่านไม่รู้ข้อนี้ก็คิดเหมาเอาว่าท่านก็มีอะไร เราก็อยากจะแบ่งความรู้ของท่านเพื่อจะมีอะไรมาก ๆ เหมือนท่าน นี่เป็นความละเมอเพ้อฝัน ถ้าจะให้เหมือนท่านก็ไปปรับปรุงดูเองว่า จะต้องปรับปรุงอะไรบ้าง กาย ใจ ความคิด อะไรของเราจะอนุโลมกันกับพระพุทธเจ้า คงจะคิดว่าพระพุทธเจ้ายังป่าเถื่อนมากนะ เพราะฉันข้าวด้วยมือ ไม่มีช้อน ส้อม พวกคุณจะไม่เคย มันไม่ยอม ฉันข้าวด้วยมือ กิน รับประทานอาหารด้วยมือ นี่ขอให้คิดดูบ้างเถอะ อะไรมันก็จะปรับปรุงตัวมันเองให้เหมาะสมที่จะเข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้า นี่ไอ้คนเดี๋ยวนี้มันดีจนเกินไปกว่าที่จะศึกษา หรือปฏิบัติคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงเดินกันคนละทางนะ เมื่อเราเป็นทาสของกิเลส ตัณหา พระพุทธเจ้าก็เป็นนายอยู่เหนือกิเลสตัณหา มันเดินกันคนละทางถึงขนาดนี้ พระพุทธเจ้าเจ็บป่วย อาพาธ ไม่เคยพบหมอ แล้วก็เจ็บป่วยอยู่อย่างไม่ ไม่พบหมอ จนกระทั่งนาทีสุดท้ายคือ ตาย คือ นิพพาน ก็ไม่ได้พบหมอ พวกคุณนะปวดหัวนิด ปวดฟันนิด ก็วิ่งไปโรงพยาบาลเหมือนกับจะตายแล้ว นี่มัน มันต่างกันอย่างนี้ ท่านเจ็บไข้โดยไม่พบหมอ ท่านนิพพาน คือตายโดยไม่ต้องพบหมอ แล้วเรามันดียังไงมา เราก็กินยากันมากมาย แต่ก็ไม่วายที่จะเป็นโรคจิต โรคประสาท โรคที่รบกวนความผาสุกอื่น ๆ นี่เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจกันในเบื้องต้น ว่าเราจะมาเป็นสาวกของบุคคลชนิดนี้ได้อย่างไร มันมีอะไร มีดีอะไร ที่ตรงไหน
ขอฝากไว้ให้เอาไปทำความเข้าใจให้มันเข้ารูปเข้ารอยกันเสียก่อน คือให้มีจิตใจเหมาะสมยินดีที่จะรับฟังศึกษาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน ตายกลางดิน ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ต้องมีหมอ กระทั่งนิพพานไปก็ไม่เคยพบหมอ ใจจริงของท่านเลื่อมใสไหม ในสภาพอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ ถ้าไม่มองเห็นค่าของธรรมะแล้วคงไม่เลื่อมใสแน่ แล้วใครยืนยันบ้าง ที่นั่งอยู่ที่นี้ว่าได้เห็นธรรมะ รู้จักค่าของธรรมะ แล้วก็ไม่รังเกียจพระพุทธเจ้าผู้มีความเป็นอยู่ต่ำสุดเช่นนั้น นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องเอาไปจัดการให้เข้ารูป เข้ารอยกันอีกเหมือนกัน เราจะรับนับถือพระพุทธเจ้าได้โดยสนิทใจอย่างไร ในเมื่อเรายังอยากจะเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และก็กำลังเป็น กำลังมุ่งหมายจะมีความสุขโดยทางกิเลส ตัณหา กามารมณ์อยู่ แล้วจะมาพูดว่าจะสนใจศึกษาธรรมะซึ่งตรงกันข้ามนี่ มันจะเป็นการหลอกตัวเองหรือเปล่า ถ้ามันมีการหลอกตัวเองแล้วมันก็ไม่มีผลอะไรจะเกิดขึ้นเพราะมันไม่ได้ต้องการโดยแท้จริง ถ้าว่าเรื่องนี้มันใหม่แปลกไปสำหรับท่าน ไม่เคยฟังมาก่อน ก็ขอให้ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่อาตมามอบให้ท่านทั้งหลายก็แล้วกัน อย่าโกรธ อย่าด่า อย่านึกแช่งอยู่ในใจว่าได้มายินอย่างนี้ มาได้ยินอย่างนี้ ถ้ามันเป็นของแปลก ของใหม่ในวันนี้ก็ขอให้ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่อาตมาได้มอบของแปลกอะไรให้แก่ท่านทั้งหลาย เพื่อว่าจะได้เตรียมตัวให้เหมาะสม ให้ถูกต้องสำหรับจะรับเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ถ้าถามกันก็ต้องตอบอย่างนั้นนะ มาสวนโมกข์ทำไม มาศึกษาธรรมะ เอาไปทำไม เอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติทำไม ก็เพื่อจะดับทุกข์ มันก็เป็นสูตรสำเร็จที่ท่องกันไว้โดยไม่เจตนา แต่มันจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือไม่ เดี๋ยวนี้เรามีความทุกข์ลดน้อยลงหรือเปล่า ถ้ามันไม่ ถ้าความทุกข์มันไม่ได้ลดน้อยลงก็มันก็คือไม่มีธรรมะ เรายังมีอะไรที่ต้องกินยาปวดหัวอยู่นี่ ถ้าอย่างนี้ไม่มีธรรมะหรอก ถ้ามีธรรมะไม่ต้องกินยาปวดหัว ไม่ต้องเป็นโรคจิต ไม่ต้องเป็นโรคประสาท เหมือนที่เขาเป็นกันมากขึ้นทุกที เอาละเราก็จะพูดกันถึงเรื่องธรรมะโดยตรงกันต่อไป ว่าท่านมาเพื่อจะศึกษาธรรมะ เอาธรรมะไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต จะทำได้อย่างไร เพราะท่านยังไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักปัญหาของตัวเอง เรียนจบมหาวิทยาลัยปริญญาเป็นหาง ก็ยังไม่รู้ว่าในตัวเองมีผีอยู่กี่ตัว ในตัวเรามันมีผีอยู่กี่ตัวอย่างนี้ก็ไม่รู้ ถ้าอย่างนี้ก็ไม่รู้แล้วก็ยังไม่ใช่ระดับหรือไม่ใช่หนทาง หรือไม่ใช่ความเหมาะสมที่จะเรียนธรรมะ เพราะธรรมะมันต้องการจะดับทุกข์ซึ่งเกิดมาแต่ผีที่มีอยู่ในตัวคน สอง สามตัวเท่านั้นแหละ คือ โลภะ โทสะ โมหะ สอง สามตัวเท่านั้นแหละ ไอ้ความทุกข์ทั้งหลายมันเกิดมาจากผีเหล่านั้น ในเมื่อเราก็ไม่รู้จักผีเหล่านั้น เราก็ไม่ต้องรู้เรื่องความทุกข์ หรือรู้ไม่จริง การที่จะรู้เรื่องอะไรนั่น พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้เป็นหลักเกณฑ์ที่ดีมาก คือต้องรู้ว่ามันมีลักษณะอย่างไร มันมีลักษณะอย่างไร มีรส มีชาติอย่างไร มีกิริยาอาการอย่างไร มีประเภท มีชนิดอย่างไร นี่รู้ แล้วถัดไปต้องรู้ว่ามันเกิดมาจากอะไรก็ต้องรู้ แล้วมันจะดับหายไปด้วยอะไร อย่างไรก็ต้องรู้ แล้วที่มันหลอกลวงเราให้โง่ ให้หลงใหลอยู่ในมันในลักษณะอย่างไร นี่ก็ต้องรู้ มันหลอกเราให้หลงจนเป็นทาสของมันคือ กิเลสตัณหา แล้วความเลวร้ายของมันมีสักเท่าไหร่เราก็ต้องรู้ แล้ววิธีการที่จะออกมาเสียให้พ้นจากอำนาจกดขี่ของมันอย่างไรก็ต้องรู้ นี่รวมกันแล้วเป็น หก เจ็ด อย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เราควรจะรู้ เราจะรู้สิ่งใดได้ก็เพราะเรารู้ไอ้ส่วนที่เป็นประกอบ เป็นองค์ประกอบกันอยู่ทั้ง หก เจ็ดอย่าง มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไร มีอาการอย่างไร มีรสชาติอย่างไร เกิดมาแต่อะไร มีมายาล่อหลอกอย่างไร มีความจริงอันเลวร้ายอย่างไร เราจะอยู่นอกเหนืออำนาจของมันได้อย่างไร ดังนั้นเราก็ต้องรู้ตัวปัญหา ซึ่งในที่นี้ก็ได้แก่ความทุกข์ ถ้าไม่มีความทุกข์ก็คือไม่มีปัญหา ฉะนั้นคนที่จะมาหาธรรมะก็คือผู้ที่มีความทุกข์ หรืออย่างน้อยก็ว่ามันมีความทุกข์ส่วนที่สอง คือทุกข์เพราะว่าไม่ได้มีโอกาสดี หรือก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ทุกข์ตามธรรมดาก็ไม่ควรจะมี อุปสรรคที่จะก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปก็ไม่ควรจะมี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา ดังนั้นเราจะต้องรู้จักตัวปัญหา แล้วมาหาทางดับปัญหา ปัญหาของอะไร ก็คงจะตอบกันได้ทั้งนั้นแหละแล้วแต่จะชอบคำไหน ปัญหาของคน ปัญหาของมนุษย์ ปัญหาของชีวิต ก็แล้วแต่จะตอบ มันถูกทั้งนั้น แต่ถ้าว่าเป็นปัญหาของอะไร ก็ต้องรู้จักสิ่งนั้นให้พอ ถ้าเป็นปัญหาของชีวิต ก็ต้องรู้จักตัวชีวิตให้พอ ถ้าว่าเป็นปัญหาของคน ก็ต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าคนนั้นให้พอ ถ้าว่าเป็นปัญหาของตน ก็จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าตนนั่นแหละให้พอ ที่อยากจะขอบอกท่านทั้งหลายว่าอย่าอวดดีไปเลย ไอ้สิ่งที่รู้จักยากที่สุดก็คือสิ่งที่เรียกว่าตนของตนนั่นแหละ ในบรรดาสิ่งที่จะรู้จักยากที่สุด ได้ยากที่สุด ก็คือสิ่งที่เรียกว่าตน แต่สิ่งที่เรียกว่าชีวิตก็ไม่ใช่เล่นนะ ยากที่จะรู้จักว่าชีวิตมันคืออะไรนะ ดีแต่บอกกันว่าชีวิตคือความเป็นอยู่นี้มันไม่พอ ชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้น หรือว่าคน ไอ้ความเป็นคนมันอยู่ที่ตรงไหน เป็นคนอย่างไร เป็นคนจริงหรือไม่จริง นี่ความเป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน เป็นมนุษย์นี่คือเป็นอย่างไร ไอ้เรื่องนี้มันก็ประหลาดมากถึงกับว่า ถ้าว่าไอ้คนใดมันรู้จักความเป็นมนุษย์แล้ว คนนั้นจะไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้ปัญหาทั้งหลายมันเกิดอยู่เต็มไปหมดก็เพราะว่าไอ้คน ๆ นั้นมันไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนก็ยังจะไม่รู้ ความเป็นมนุษย์ก็ยิ่งไม่รู้เพราะว่าไอ้ความเป็นมนุษย์นั้นมันดีกว่าคนมาก เป็นคนก็เป็น ๆ ตามธรรมดา เกิดมาก็เป็นคนนะ แต่เป็นมนุษย์นี่ต้องได้รับการปรับปรุงจิตใจให้สูงมากพอเสียก่อนมันจึงจะเป็นมนุษย์ ฉะนั้นจึงอยู่กันคนละขั้นละตอน คน มาจากคำว่า ชน ชะ-นะ แปลว่าเกิดมาก็เป็นคน แต่ มนุษย์ นี่แปลว่า มีจิตใจสูง มันต้องทำให้จิตใจสูงเสียก่อนมันจึงจะเป็นมนุษย์ นั้นโดยมากก็เป็นกันแต่เพียงคน คือ เกิดมาก็เป็นคน ถ้าใจมันไม่สูงมันก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ ไอ้คนในโลก อยากจะพูดว่าตั้ง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ นี่มันไม่ได้เป็นมนุษย์ มันเป็นแต่คน ดังนั้นมันจึงสร้างปัญหาขึ้นในโลกเต็มไปหมด ในโลกนี้กำลังเต็มไปด้วยปัญหาที่คนมันสร้างขึ้นมา เพราะว่าถ้ามันเป็นมนุษย์กันนะมันไม่สร้างปัญหา นั่นพูดอย่างกำปั้นทุบดิน ว่าเป็นมนุษย์กันเสียเถิด ในโลกนี้ก็จะหมดปัญหา จิต ถ้าจิตใจสูงอย่างมนุษย์เสียเถิด ก็จะไม่มีปัญหา ทีนี้อะไรจะทำให้จิตใจสูง มันก็คือธรรมะ คือแล้วแต่จะเรียกนะ จะเรียกว่าธรรมะก็ได้ เรียกว่าศาสนาก็ได้ ทีนี้คนมันไม่รู้จักธรรมะ มันเอาธรรมะไปใช้ให้เป็นประโยชน์ คือเป็นมนุษย์ มันไม่ได้ นี่มันเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเรายังไม่ได้ทำอันนี้เราก็ยังเป็นเพียงคนอยู่นั่นเอง แม้จะเรียนให้จบมหาวิทยาลัยมาสักเท่าไร ๆ มันก็ยังเป็นเพียงคนอยู่นั่นเอง คือมันไม่มีจิตใจอยู่สูงเหนือกิเลส คนที่ยิ่งเรียนมาก ยิ่งจมอยู่ภายใต้กิเลส เพราะมันมีช่องทางที่จะใช้กิเลสได้มาก คนยิ่งเรียนมาก รู้มาก เก่งมาก ฉลาดมาก มันก็รู้จักใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ได้มาก มันก็ยิ่งจมลงไปในความเป็นคน ไม่ขึ้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ ดังนั้นเราก็จะต้องคิดกันในข้อนี้ ทำอย่างไรจึงจะได้เป็นมนุษย์ คือเอาธรรมะมา
ก็ขอพูดเกี่ยวกับคำว่า ธรรมะ สักนิด เพราะเชื่อว่าบางคนยังไม่เคยฟังก็ได้ บางคนก็เคยฟังแล้วก็ได้ เพราะอาตมาก็ได้พูดมาหลายปีแล้ว ไอ้คำว่าธรรมะนี่ คำว่า ธรรมะ นี่มันมีอะไรลึกมาก คือ มันเป็นคำที่รวมหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกคำว่าธรรมะ แต่ในโรงเรียน ครูสอนเด็กแต่เพียงว่าธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เด็กก็จดลงไปในสมุดจดว่า ธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ปิดสมุดเก็บไว้จนเดี๋ยวนี้ไม่เคยเปิดใช่ไหม ธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นั้นก็เลยไม่ต้องรู้กันว่าสอนเรื่องอะไร นี่เราก็จะมาดูกันเดี๋ยวนี้ว่า ธรรมะนั้นมันมีความหมายที่เป็นหัวข้อสำคัญอยู่ ๔ ความหมาย ธรรมะ คือ ธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น ธรรมะ คือ ธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องธรรมะในฐานะเป็นธรรมชาติ ก็คือสอนทั้งหมดทั้งสิ้น เรื่องดิน เรื่องน้ำ เรื่องลม เรื่องไฟ เรื่องกาย เรื่องใจ เรื่องทุกอย่าง ที่มันเป็นตัวธรรมชาติท่านก็สอน แต่ท่านสอนไปในทางให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไรนะ ไม่ใช่ ไม่ใช่เพียงแต่บอกแต่ชื่อ ให้รู้ว่ามันอยู่ในสภาพอย่างไร มันอยู่ในลักษณะอย่างไร ควรจะไปหลงรักมันหรือไม่ เดี๋ยวนี้เราก็ไม่เคยสนใจว่าธรรมชาติคืออะไร ทั้ง ๆ ที่ร่างกายของเราก็คือธรรมชาติ จิตใจของเราก็คือธรรมชาติ ความเป็นไปต่าง ๆ ในกายในใจของเราก็คือธรรมชาติ เราก็ไม่รู้เรื่องนี้ ในความหมายที่ ๑ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
ฉะนั้น ธรรมะ ในความหมายที่ ๒ คือ กฎของธรรมชาติ ในตัวธรรมชาติทั้งหลายจะมีกฎของธรรมชาติกำกับอยู่เสมอไป ยกตัวอย่างว่าก้อนหินก้อนนี้มันเป็นตัวธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ เป็นพวกธรรมชาติที่มีปรากฏการณ์ คือ เป็นวัตถุธรรมดานี่เอง ไม่ลึกซึ้งอะไร แต่ในตัว ในก้อนหินนี้ก็มีกฎของธรรมชาติกำกับอยู่ ฉะนั้นก้อนหินก้อนนี้ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ กว่าจะมาเป็นหิน ก้อนหินอย่างนี้ แล้วกว่าจะสูญหายไปจากความเป็นอย่างนี้ ล้วนแต่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ในก้อนหินมันยังมีกฎของธรรมชาติ ทีนี้ในสิ่งที่มีชีวิต จิตใจ ในต้นไม้ ในร่างกายสัตว์ ในร่างกายคน ในต่าง ๆ มันก็ยิ่งมีกฎของธรรมชาติ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นธรรมชาติ แต่ก็มีกฎของธรรมชาติที่บังคับให้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จะต้องเป็นไปตามกฎ ที่มันเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ มันจะต้องเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันจะต้องเปลี่ยนแปลง มันหยุดไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ความที่มันเปลี่ยนแปลงหลอกลวงเรานี้มันไม่น่ารัก มันไม่น่ายินดี แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนอะไร เพราะมันไม่เชื่อฟังใคร มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติมีอำนาจเหนือสิ่งใดหมดแหละ คุณไป ไปคิดดูเหอะอาตมากล้าท้าให้คุณไปคิด คิด ๆ ไปเถอะว่าอะไรมันจะมีอำนาจเหนือกฎธรรมชาตินั้นมันเป็นไม่มี พวกอื่นเขาจะเรียกว่าพระเป็นเจ้า ก็ตามใจเขา แต่เราจะเรียกว่ากฎของธรรมชาติ แล้วเราจะทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่ามีพระเจ้า คือ กฎของธรรมชาติ ไอ้สอนว่ามีพระเจ้าอย่างนั้น อย่างนี้ เหมือนที่เขาสอนอยู่บางศาสนานั้น นักวิทยาศาสตร์ยอมรับไม่ได้ มันกลืนไม่เข้า มันก็ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าสิ แต่พอสอนว่าพระเจ้า คือ กฎของธรรมชาติ ที่คุณพวกนักวิทยาศาสตร์ใช้มันอยู่ทุกวันนั่นแหละคือพระเจ้า นี่เขาจะมองเห็น เขาก็ยอมรับ พวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็จะมีพระเจ้า จะมีศาสนา มีธรรมะขึ้นมาทีเดียว นี่ ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ เป็นความหมายที่ ๒ ถ้าเราไม่รู้ เราก็จะต้องเจ็บปวดมาก เพราะว่าจะทำผิดกฎธรรมชาติ แล้วจะได้รับโทษเพราะทำผิดนั้นอยู่เรื่อยไป
ฉะนั้น ธรรมะ ในความหมายที่ ๓ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วชีวิตนั้นจะเป็นทุกข์ขึ้นมา เป็นศัตรู เป็นนรก เป็นสิ่งที่ขบกัดเราขึ้นมา ชีวิตนั่นเอง ที่มันไม่ได้ทำตามกฎของธรรมชาติ แล้วมันจะกลายเป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นนรก เป็น ทำให้เรามีความทุกข์กระทั่งตาย คืออยู่ก็อยู่อย่างเจียนตาย จวนตายอยู่เสมอ นี่รู้หน้าที่เสีย หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติสำหรับมนุษย์มีอยู่อย่างไร อย่าให้ละอายแก่สัตว์เดรัจฉานเลย สัตว์เดรัจฉานรู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติแล้ว มันก็ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันก็อยู่ได้ แล้วรอดชีวิตอยู่ได้ แล้วมันดีตรงที่ว่า มันไม่ต้องกินยาปวดหัวเหมือนพวกเรา พวกเรามันกินยาปวดหัวกันไม่ค่อยหยุด ไม่ค่อยหย่อน มันก็ยังเป็นปวดหัว และเป็นโรคประสาทอยู่นั่นเอง นี่มันต้องมีเรื่องไม่ถูกอยู่มากแหละ ดังนั้นรู้เรื่องของกฎธรรมชาติ แล้วทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นับตั้งแต่หาอาหารกิน ต้องถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ต้องบริหารทุกอย่าง ทุกประการ กิน อยู่ นุ่งห่มให้มันชีวิตรอดอยู่ได้ ไม่ ๆ ไม่เจ็บ ไม่ไข้ แม้กระทั่งว่าจะดีให้มากกว่านั้นไปได้อย่างไร ก็ทำไป ทำไป ทำไปจนบรรลุมรรคผลนิพพาน นั่นเรียกว่าหน้าที่เหมือนกัน หน้าที่ต่ำที่สุดถึงหน้าที่สูงที่สุด นี่ก็เรียกว่า ธรรมะ ศึกษาให้เข้าใจไว้แล้วอย่าบกพร่องในหน้าที่ของตนเลย
ทีนี่ ธรรมะ ในความหมายที่ ๔ คือ ผลที่ได้รับจากหน้าที่ เมื่อเราทำหน้าที่แล้วมันก็มีผลเกิดขึ้น แม้แต่ผลนี่ก็ต้องเรียกว่าตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ และเรียกด้วยชื่อเดียวกันว่า ธรรม ธรรมะ คือ ผลเกิดจากหน้าที่ ที่ประพฤติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นี่เรียกว่าธรรมะ ๔ ความหมาย ธรรมะ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสอน ๔ เรื่องนี้หมด ทั้งพระไตรปิฎกมันรวมอยู่ใน ๔ คำนี้ ๔ เรื่องนี้ เรารู้ธรรมะที่เป็นตามธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ เรารู้ธรรมะที่เป็นตัวกฎของธรรมชาติ เรารู้ธรรมะตัวที่เป็นหน้าที่ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ รู้ธรรมในฐานะที่เป็นผลเมื่อไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว อันหนึ่งคือตัวธรรมชาติ อันที่สองคือกฎ อันที่สามคือหน้าที่ อันที่สี่คือผล ฉะนั้นคุณไปคิดดูมีอะไรนอกเหนือไปจาก ๔ คำนี้ ในสากลจักรวาล ในทั้งหมดทั้งสิ้นที่มนุษย์จะรู้จักได้ ไม่มีอะไรที่อยู่นอกไปจากไอ้ ไอ้ ๔ ความหมายนี้ ซึ่งเรียกด้วยชื่อ ๆ เดียวว่า ธรรม ธรรมะ หรือ พระธรรม ถ้าเรารู้ธรรมะจริง เราก็รู้หมดทั้ง ๔ อย่างนี้ เพียงพอที่จะแก้ปัญหาของเราให้หมดสิ้นไปได้ เรารู้ครบทั้ง ๔ เท่าที่จำเป็นแก่การที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ จะรู้เกินจำเป็นก็ไม่มีประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านรู้หมด แต่ท่านเอามาสอนส่วนน้อยเท่านั้น คำนวณแล้วเท่ากับใบไม้กำมือเดียว เมื่อเปรียบกับใบไม้ทั้งป่า ไม่ต้องทั้ง ทั้งโลกหรอก ที่สวนโมกข์นี้ใบไม้มีเท่าไรคุณลองคำนวณดู แล้วที่พระพุทธเจ้าท่านมาสอนพวกเรากำมือเดียว ใบไม้กำมือเดียว นี่เราจะดีมาแต่ไหน ที่จะไปรู้ให้หมดเหมือนพระพุทธเจ้า มันก็เป็นไปไม่ได้ รู้ที่ท่านให้กำมือเดียวกันหมดเสียก่อนเถิด ถ้ารู้ว่าหมดกำมือเดียวนั้นมันดับทุกข์ได้จริงเหมือนกัน ได้หมดจดเหมือนกัน ดังนั้นรู้ธรรมะเท่าที่จำเป็นจะดับทุกข์ ทีนี้พวกฝรั่งหลายคนแล้ว พอได้ยินคำอธิบาย ๔ อย่างนี้ เรื่องธรรมะ ๔ ความหมาย เขาเห็นด้วย เขาว่าเขาไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อน เขาได้ยินเราพูด เขาเห็นด้วย เขายอมรับเอาไว้เป็นหลักสำหรับศึกษาและปฏิบัติมันสะดวกดี นี่พวกเราก็ ก็ควรจะไม่ ไม่ล้าหลัง หรือ ไม่เสียเปรียบไอ้คนเหล่านี้ จะต้องรู้ธรรมะไว้ในลักษณะอย่างนี้
พวกฝรั่งชุดหนึ่งเขาเรียกตัวเขาเองว่า พวกสมาคม Theosophy Theosophy นะไม่ใช่ Theology ไอ้ Theology นั้นมันพวกศาสนาถือพระเจ้าชนิดที่เป็นบุคคล Theosophy นี่เขาถือธรรมะที่ไม่ใช่บุคคล แล้วของทุกศาสนา ความรู้ที่ถูกต้องของทุกศาสนา เขามาเรียกว่า sophy นี่ theo นั่นก็มีความหมายว่า เทวะ คือ เทพ คือสูงกว่าธรรมดาก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่พระเจ้าอย่างในนิยาย Theosophy คือ ความรู้ทั้งหลายที่เป็นของชั้นสูงสุด ชั้นของเทพ เราเอามารวมกันเข้าเป็นเพียงชุดเดียว เรียกว่า Theosophy พวกนี้เขาศึกษาทุกศาสนา ตั้งสำนักงานรวมศาสนาอยู่ที่ตำบล Adyar ในแคว้น Madras ที่อินเดีย อาตมาอุตส่าห์ไปดูจนถึง ที่นั่นมีโบสถ์ของทุกศาสนา มีหนังสือซื้อได้ในราคาถูก ๆ ของทุกศาสนา พวกนี้เขาพยายามจะค้นหาคำบัญญัติที่เหมาะสมที่สุดของคำว่าธรรมะ ในที่สุดเขาตกลงกันว่า ธรรมะ คือ ระบอบของการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ทุกขั้น ทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา อาตมาก็ชอบคำบัญญัตินี้ definition อันนี้ดีที่สุดกว่าอันอื่น ก็เอามาใช้พูด บอกสอน กันเหมือนกัน เพราะว่ามองเห็นว่ามันจริงอย่างนั้น มันจริงอย่างนั้นนะ ระบอบปฏิบัติ คือว่าอย่ามัวแต่รับศีล เป็นพิธีอย่างนี้สิ มันต้องปฏิบัติสิ ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องเป็นระบอบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ คือ จะเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดได้อย่างไร แล้วก็ทุกขั้น ทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ เพราะว่ามนุษย์ มันมีวิวัฒนาการหลายขั้นตอนนัก แต่มันจะหลายขั้นตอนก็ช่างมัน เรามีธรรมะเป็นหลักปฏิบัติถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรา ส่วนตัว หรือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมทั้งโลก ก็เรียกว่าเรื่องของมนุษย์ทั้งนั้น นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีลักษณะอย่างนั้นจริง ถ้าเราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วจะพบว่ามุ่งหมายอย่างนี้จริง ให้มีการกระทำที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ให้ถึงสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ มันก็สูงสุดได้จริงเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้ท่านทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่สนใจธรรมะ ในฐานะที่เป็นสิ่งอย่างนี้ คือถูกต้อง จำเป็นแก่ความเป็นมนุษย์ของเราทุกขั้นทุกตอน ตั้งแต่แรกคลอดมาจากท้องแม่ เป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้เฒ่า กระทั่งเน่าเข้าโลงไป มันมีความถูกต้องไว้ให้ทุกขั้นตอน ไปรับเอามาแล้วปฏิบัติ นี่คือธรรมะ ท่านอาจจะได้ทำอยู่แล้ว กระทำอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ ไม่รู้เรื่องชื่อเรียก ไม่รู้การบัญญัติอะไรบางอย่าง ก็ไม่เป็นไร เอาไปปรับให้มันเข้ากับชื่อเรียก หรือการประพฤติ การกระทำหรือขั้นตอนต่าง ๆ จนกระทั่งว่าเรา มีขั้นตอนแห่งการปฏิบัติอยู่แต่ละวัน ๆ นี่ถูกต้องตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา เป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว เป็น เอ่อ,ผู้ใหญ่ เป็นผู้แก่ เป็นผู้เฒ่า ให้มันถูกทุกขั้นตอนไป กว่าจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เอาละนี่มันจะมีวี่แววของคำว่าชีวิต ชีวิต เข้ามาให้เห็นบ้างแล้วใช่ไหม ถ้าใครไม่ ยังไม่เคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ก็เริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่าชีวิตเสียสิ ชีวิตของตนแท้ ๆ ตนยังไม่รู้จัก แล้วจะมาเอ่ยอ้างว่าจะพัฒนาชีวิตบ้าง อะไรบ้าง มันเรื่องหลับหูหลับตาไม่เข้าเรื่อง
เดี๋ยวนี้ก็มาถึงตอนที่จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ธรรมะ คือ ระบอบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ แห่งชีวิตของเขา นี่แสดงว่าไอ้ชีวิตนั้นมันมีลำดับ หรือขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ฉะนั้นชีวิตมันจึงเป็นตอน ๆ ๆ ๆ แล้วมันก็ดีขึ้น ๆ ๆ ๆ จนกว่าจะ มันถึงระดับสุดท้าย ขั้นตอนสุดท้าย ฉะนั้นมาพูดกันเสียใหม่ก็ได้ว่า ไอ้ชีวิตนี้คือ สิ่งที่ดำเนินไปตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ นี่ถ้าว่าปีกลายมันก็ยังเหมือนปีนี้ ปีนี้มันก็ยังไม่ดีกว่าปีกลาย มันก็ชีวิตบ้า ขออภัยพูดตรง ๆ ประหยัดเวลาหน่อย แล้วจะได้เตือนกันไม่ลืม ไม่ให้ลืม ลืมยากนะว่า ถ้าว่าไอ้ชีวิตปีนี้มันยังเหมือนกับชีวิตปีกลายนั่นมันชีวิตบ้า คือมันไม่ใช่ชีวิต เพราะมันไม่พัฒนาไปตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของชีวิตนั้น ดังนั้นเราก็จะต้องรู้จักชีวิต ที่เราเรียกว่าชีวิตของเรา ที่เรารักนักหนา ที่เราหวงแหนนักหนาแล้วว่ามันคืออะไร มันคือสิ่งที่เป็นไปตามขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ คือมันจะต้องมีความเป็นไปที่ดีขึ้น สูงขึ้น ดีขึ้น สูงขึ้น กว่าจะถึงระดับสูงสุด นั่นคือชีวิต ไม่ใช่เพียงแต่ว่าไม่ตาย ชีวิตคือความไม่ตาย พวกครู สอนหลอกลูกเด็ก ๆ ได้เพียงเท่านี้ ในโรงเรียนครูสอนว่า ชีวิต แปลว่าความไม่ตาย ชีวิต คือความไม่ตาย มันสอนเด็กก็ได้ แต่มาสอนผู้ใหญ่มันไม่ถูกแล้ว ชีวิตคือสิ่งที่ต้องวิวัฒนาการไปตามขั้นตอนของชีวิตนั้น มันไม่ใช่เพียงแต่ไม่ตายนะ มันต้องวิวัฒนาการนะ มันจึงจะเป็นชีวิต ถ้าอย่างนั้นมันก็จะเป็นชีวิต ชนิดที่ใช้ไม่ได้ สุนัขหรือแมว มันก็มีชีวิต มันก็ไม่น่าดู นี่เรามันเป็นคน เป็นมนุษย์ มันมีชีวิตชนิดที่วิวัฒนาการสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ไปจบที่ไหน ท่านคงเดาถูกนะ อาตมาไม่บอก เพราะได้ยิน ได้ฟังมามากแล้ว มันไปจบที่พระนิพพาน หรือจะเรียกเป็นบุคคลก็มันไปจบที่เป็นพระอรหันต์ ชีวิตมันสูงได้เพียงเท่านั้น แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันแหละ เพราะไม่รู้ว่าพระอรหันต์คืออะไร ก็ไม่รู้ แต่คงจะได้ยินกันมามากพอทีเดียว ว่ามันสูงสุดแค่เป็นพระอรหันต์ และพระอรหันต์ท่านได้บรรลุนิพพาน เมื่อพูดโดยบุคคลที่สมมติก็คือ พระอรหันต์ เมื่อพูดโดยผลที่แท้จริงมันคือ พระนิพพาน มันไปจบอยู่ที่นั่น ฉะนั้นจะเอากันไหมเล่าที่ ๆ นั่งอยู่ที่นี่ จะเอาเรื่องของชีวิตกันในลักษณะเช่นนี้หรือไม่ หรือว่าจะปล่อยไปตามเดิม ที่ไม่ต้องรู้ว่าชีวิตนั้นคืออะไร แล้วก็ไม่รับผิดชอบชีวิตของตนด้วย ถ้าว่าจะเอากันจริง ๆ มันก็ต้องรับผิดชอบ แล้วก็ทำให้ชีวิตนี้มันเป็นไปในลักษณะที่ว่า มีวิวัฒนาการเรื่อยไปจนกว่าจะถึงอันดับสุดท้าย
ทีนี้ก็อยากจะพูดคำใหม่ ๆ ให้ได้ยินอีกสักคำหนึ่งว่า ชีวิต คือการลงทุน เพื่อผลกำไรยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกว่าจะถึงระดับสูงสุด ชีวิตเป็นการลงทุนโดยธรรมชาติจัดมาให้ ให้ชีวิตเป็นการลงทุน แล้วมันก็จะมีวิวัฒนาการกว่าจะสูงสุดเท่าที่ธรรมชาติจัดให้ ทีนี้อีกส่วนหนึ่ง อีกซีกหนึ่งนั้น มนุษย์ต้องจัดเอาเอง คน ๆ นั้นมันจะต้องเรียนรู้ ต้องปฏิบัติให้ชีวิตมันวิวัฒนาการ อันนี้มันต้องดีกว่าเท่าที่ธรรมชาติจะจัดให้ ธรรมชาติมันจัดให้มันมักจะเป็นวิวัฒนาการในฝ่ายวัตถุ เป็นเรื่องทางวัตถุ ทีนี้มนุษย์มันมีจิตใจ มันต้องวิวัฒนาการทางจิตใจ ข้อนี้มนุษย์จะต้องจัดเอาเอง ให้เรามีจิตใจที่สูงไปจนถึงอันดับสุดท้าย ให้ชีวิตนั้นมันไม่ใช่ของอยู่นิ่ง มันเป็นของที่งอกงามออกไป ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป กว่าจะถึงจุดสูงสุด ถ้าเราจะเห็นเป็นตัวอย่างง่าย ๆ เราดูที่ชีวิตต้นไม้ดีกว่า ไอ้ต้นไม้ มันออกมาเป็นเมล็ด แล้วมันก็ได้รับความชื้นพอ เมล็ดมันก็เป็นหน่อ งอกออกมาเป็นต้นไม้ แล้วมันต้องดูดกินอาหารมาสร้างให้ต้นมันโตขึ้น ๆ มันก็รู้จักลงทุน ต้นมันก็โตขึ้น ๆ จนเป็นต้นไม้ที่มีดอก มีลูก มีอะไรเต็มที่ วิวัฒนาการของชีวิต หรือ ชีวิต คือการลงทุนอยู่โดยธรรมชาติเพื่อสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ชีวิตสัตว์เดรัจฉานก็อย่างเดียวกัน ชีวิตคนก็อย่างเดียวกัน พอเกิดมาจากท้องแม่มันกินนมเป็นแล้ว มันกินเข้าไปทำไมเล่านมนั้น มันก็ต้องเพื่อให้ขยายตัวในทางร่างกาย งอกงาม ลงทุนด้วยนมของแม่แล้วก็ได้กำไรมาเป็นเนื้อเป็นหนังมากออกไป แล้วต่อไปมันกินกล้วย กินข้าว กินเนื้อ กินปลา กินอะไรต่าง ๆ มันก็เอามาเป็นทุนสำหรับเจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปในทางร่างกาย จนกว่าจะเป็นหนุ่ม เป็นสาว เป็นคนผู้ใหญ่ ชีวิตเป็นการลงทุนเพื่อกำไรที่ยิ่งกว่าเดิมออกไป ๆ นี่มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ส่วนจิตใจก็เหมือนกันแหละ มันก็จะต้องลงทุนเหมือนกัน เด็ก ๆ เกิดมาไม่รู้อะไร ไปคว้าเอาอะไรเข้าที่บาดมือบ้าง ที่ต่อยมือเจ็บบ้าง อะไรบ้าง มันก็ลงทุนด้วยสัมผัสอันนั้น แล้วมันก็ฉลาดขึ้นต่อไปมันก็ไม่หยิบไฟ มันไม่ไปหยิบแมลงที่มันต่อยเจ็บ หรือมันไม่ไปทำให้มีดบาดมือ มันก็ฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ชีวิตเป็นการลงทุนได้ในตัวมันเอง คือคว้าเอาสภาพแวดล้อมมาเป็นทุน แล้วก็ลงทุน แล้วก็งอกงาม งอกงาม จนมีสติปัญญารู้จักทำอย่างนั้น รู้จักทำอย่างนี้ และรู้จักถ่ายทอดให้แก่กันและกัน ฉะนั้นชีวิตของมนุษย์แรก ๆ มันก็รู้อะไรมาก แล้วมันก็ถ่ายทอดให้ชีวิตชั้นหลัง ๆ ได้รู้อะไรมาก เราอย่าอวดดีไปเลยว่าไอ้ที่เรารู้อยู่เดี๋ยวนี้มันคือการถ่ายทอดมาจากไอ้มนุษย์ก่อน ๆ ที่ตายไปแล้วตั้ง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เรามารู้เพิ่มเติมทีหลังนี้มันเป็นส่วนน้อย ถ้าให้เราตั้งต้นค้นคว้าใหม่หมด เราก็คงตายซะหลายหนแล้ว ก็ยังไม่พบเท่าที่คนก่อน ๆ เขาถ่ายทอดไว้ให้ นี่ก็ต้องนับรวมเข้าไปการลงทุนด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นชีวิตมันก็เป็นการลงทุน ถ้ามันอยู่นิ่งมันตาย หรือว่ามันไม่มีความหมาย มันไม่มีคุณค่าอะไร ถ้ามันไม่เป็นการขยายตัว มันก็ต้องตายแน่ หรือมันอยู่อย่างไม่มีค่าอะไร ฉะนั้นใครมีชีวิต ไม่ต้อง ๆ ถามให้ยกมือ ใครมีชีวิต คนนั้นรับรู้ หรือรีบรู้ซะเถิดว่า มันเป็นการลงทุน เพื่อให้มีผลกำไรงอกงามยิ่งออกไป ยิ่งขึ้นไป ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกว่าจะถึงจุดสุดท้าย ถ้ายัง ถ้าไม่เช่นนี้ไม่เรียกว่ามีชีวิตหรอก ถ้ามันไม่เป็นการลงทุนที่มันจะเจริญงอกงามขึ้นไป คือไม่มีวิวัฒนาการ แล้วมันไม่ใช่ชีวิต มันเป็นชีวิตในความหมายอื่น ไม่มีราคาอะไร ไอ้ความที่ชีวิตมีลักษณะลงทุนเพื่อผลดียิ่ง ๆ ขึ้นไปนี่ ในพระบาลี เขาเรียกลักษณะนี้ว่า โวหาร โวหาร ท่านทั้งหลายครูบาอาจารย์นี้รู้จักคำว่าโวหารในตามดิก ตามปทานุกรมมันก็เรียกว่า โวหารพูด โวหารแยบคาย รู้เท่านั้นนะ แต่ในพระบาลี คำว่าโวหาร หมายถึง การลงทุนทำให้มีผลก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ฉะนั้นจึงแปลคำ ๆ นี้ไว้ว่า การพูดจาเรียกว่าโวหาร การพูดจาให้เฉียบแหลมเรียกว่าโวหาร อรรถคดีในโรงในศาลที่ต้องทำด้วยวาจาอันเฉียบแหลมก็เรียกว่าโวหาร การซื้อ การขายนี่ก็เรียกว่าโวหาร การทำให้เกิดผลมากยิ่งขึ้นไปอย่างเป็นที่น่าพอใจก็เรียกว่าโวหาร คำว่าโวหารในภาษาบาลีมีความหมายอย่างนี้ แต่ภาษาไทยเอามาใช้ในความหมายนิดเดียว ว่าโวหารก็คือดีกว่าธรรมดาหน่อย แต่แล้วก็ไม่พ้นไปจากการลงทุน ที่เราจะพูดจาให้ดี ให้เฉียบแหลมก็เพื่อลงทุนเอาผลอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งใช่ไหม ฉะนั้นคำว่าโวหารนั้นมันมีความหมายว่า ลงทุนเพื่อผลที่มากขึ้นไปเสมอ ชีวิตมีโวหารอยู่ในตัวมันเอง ฉะนั้นชีวิตนี้จะต้องรู้จักลงทุนให้มีผลมากออกไป นี่ท่านเรียนวิชาหนังสือ เรียนวิชาชีพในมหาวิทยาลัย รู้หนังสือ รู้อาชีพ มันก็ มันก็ได้กำไรแต่ในเรื่องวัตถุ เรื่องเนื้อ เรื่องหนัง เรื่องวัตถุ ไม่ได้ในทางจิตใจ และแล้วก็มา อาตมาก็พูดไม่กลัวใครโกรธว่าการศึกษาชนิดนั้นเป็นการศึกษาที่ด้วน ถ้าเป็นหมาก็เป็นหมาหางด้วน ถ้าเป็นเจดีย์ก็เป็นเจดีย์ยอดด้วน เพราะมันรู้แต่หนังสือกับอาชีพ ชีวิตมันไปตายด้านอยู่แค่วัตถุ มันต้องเรียนธรรมะให้ชีวิตด้านจิต ด้านวิญญาณ เจริญงอกงามก้าวหน้าสืบไป เป็นการศึกษาที่ ๓ คือธรรมะ จึงต้องศึกษาธรรมะกันมาเป็นเรื่องที่ ๓ เรื่องที่ ๑ คือหนังสือ เรื่องที่ ๒ คืออาชีพ เรื่องที่ ๓ คือธรรมะ สำเร็จการศึกษาทั้ง ๓ ขั้นตอนอย่างนี้แล้วก็เรียกว่า การศึกษานั้นไม่ด้วน เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ แต่ก่อนเขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เกือบจะทั้งโลกก็ว่าได้ เพิ่งมาตัดไอ้ธรรมะทิ้งออกไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เมื่อคนรู้จักวัตถุ รู้จักผลิตวัตถุให้หลอกลวงตัวเองให้มากขึ้น ไปหลงใหลในวัตถุแล้วก็รังเกียจธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องจิตใจ ไม่ใช่วัตถุ ตัดทิ้งออกไป ตัดทิ้งออกไป ไม่เอามารวมในการศึกษา การศึกษาก็ขาดส่วนสูง ส่วนที่ ๓ คือธรรมะ เหลือแต่หนังสือกับอาชีพ เป็นการศึกษาหมาหางด้วน การศึกษาหมาหางด้วนนี้จะยิ่งทำให้คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวขึ้นทั้งโลก ในโลกนี้จะเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว แล้วมันก็ได้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความเลวร้าย ทุกข์ร้อนเป็นวิกฤติกาล ถ้าการศึกษาในโลกมันสมบูรณ์ มันก็มีธรรมะ คนก็มีธรรมะ มีใจสูง มันไม่เห็นแก่ตัว มันรักผู้อื่น โลกนี้ก็เป็นสุขสงบเย็น คนแต่แรกเริ่มสมัยโน้น เขารู้ข้อความจริงข้อนี้กันทั้งนั้นแหละ แล้วเขาก็ตั้งศาสนาขึ้นมา ตั้งศาสนาขึ้นมาที่ตรงนั้น ที่ตรงนี้ ที่มุมนั้น ที่มุมนี้ของโลก โดยทั่วไปทั้งโลก เขาตั้งศาสนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา ดังนั้นทุกศาสนามันจึงเน้นที่ความรักผู้อื่นทั้งนั้นแหละ ทุกศาสนา คุณไปค้นดู ไปค้นดูให้ถึงหัวใจของศาสนา ทุกศาสนาที่มันมีอยู่ในโลก กี่สิบ กี่ร้อยศาสนามันจะไปเน้นที่ความรักผู้อื่นทั้งนั้น ไปศึกษาพระพุทธศาสนาของเราให้พบจุดอันนี้ แล้วไปศึกษาคริสเตียน อิสลาม ฮินดู อะไรก็ทั่วไปเถอะ มันจะไปพบจุดที่เน้นกันอยู่จุดหนึ่งคือ รักผู้อื่น ไม่รักผู้อื่นก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นนะคำสำคัญที่สุด ถ้ามันไม่มีธรรมะมันก็เห็นแก่ตัว มันก็เบียดเบียนผู้อื่น มันตรงกันข้ามเลย ฉะนั้นการศึกษาหมาหางด้วนจึงนำมาซึ่งการเบียดเบียนผู้อื่นเพราะเห็นแก่ตัว ฉะนั้นการศึกษาที่สมบูรณ์มันก็รักผู้อื่นสิ มันก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่นสิ เพราะมันมีธรรมะ ในประเทศอินเดียเขามีหลักครอบหมดอยู่คำหนึ่งว่า อหิงสา ปรโม ธัมโม อหิงสา ปรโม ธัมโม เป็นธรรมะของอินเดีย อหิงสา แปลว่าไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใคร ปรโม ธัมโม เป็นธรรมะสูงสุด ไอ้หลักข้อนี้มันครอบคลุมศาสนาพุทธ ศาสนาไชนะ ศาสนาพราหมณ์ ทุก ๆ ศาสนาในประเทศอินเดีย ว่าไอ้ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมะสูงสุด ดังนั้นจะมีธรรมะสูงสุด มันก็อยู่ที่ความไม่เบียดเบียน ซึ่งเป็นผลของความรู้ตามที่เป็นจริงในสิ่งที่ควรจะรู้ มันจึงรู้ถูกต้อง คือว่าไม่เบียดเบียนใคร เพราะรู้ว่าการเบียดเบียนนั้นมันผิด แล้วมันเห็นแก่ตัว มาจากความเห็นแก่ตัว มันก็เกลียดความเห็นแก่ตัว มันก็พยายามควบคุมความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นธรรมะมันจึงมารวมอยู่ที่ตรงนี้ ควบคุมความเห็นแก่ตัวไว้ให้ได้ มันก็รักผู้อื่นได้ มันไม่ฆ่า มันไม่ขโมย มันไม่ละเมิดของรักของผู้อื่น มันไม่พูดโกหก มันไม่ดื่มของเมาให้เป็นคนบ้า ธรรมะทั้งหมดมันมารวมอยู่ที่รู้ในข้อนี้ มันก็ไม่เบียดเบียน ที่จริงธรรมชาติแท้ ๆ ธรรมชาติล้วน ๆ มันก็ไม่ต้องการจะเบียดเบียนนะ สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่ต้องการจะเบียดเบียนกันแล้ว เว้นไว้แต่ไอ้สัตว์บางชนิดที่มันต้องกินสัตว์อื่นเป็นอาหารนั้นมันก็กินอาหาร มันไม่ใช่เบียดเบียน สัตว์ทั้งหลายมันก็ไม่อยากจะเบียดเบียนกัน แต่เมื่อจำเป็นมันก็ต้องต่อสู้ จะต้องฆ่า แต่ว่าธรรมชาติเนื้อแท้มันไม่ได้ต้องการจะเบียดเบียน มันต้องการจะไม่ทำอะไรกันเหมือนกัน แต่เมื่อมันต้องกินเนื้อสัตว์อื่นมันก็ต้องกิน เช่น แมวมันจะกินหนู อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องของกินอาหาร ไม่ใช่เรื่องการเบียดเบียน ข้อนี้ก็ต้องรู้กันเสียให้ดีนะว่าอย่างไรเรียกว่าเบียดเบียน อย่างไรเรียกว่าหน้าที่ แต่ธรรมะต้องไม่เบียดเบียน รู้ความเป็นจริงของไอ้ธรรมชาติแล้ว ดำเนินให้มันถูกต้อง ความเบียดเบียนก็เกิดขึ้นไม่ได้ เดี๋ยวนี้มนุษย์นั่นแหละตัวเบียดเบียน มันไม่ต้องฆ่ามันก็ฆ่า มันไม่ต้องทำให้ผู้อื่นลำบาก มันก็ทำให้ผู้อื่นลำบาก แล้วมันโง่ถึงที่สุดก็คือ เบียดเบียนตัวเอง ดังนั้นถ้าคุณทำตัวเองให้ลำบาก นั้นก็รีบเสียใจให้มากเถอะว่า มันผิดธรรมะหมดแล้วแหละ มันไม่มีอะไรเหลือ อย่าทำตัวเองให้เป็นทุกข์ ให้ลำบากด้วยความโง่ ความเขลา หรือ อวิชชาของตัวเอง นี่แหละคือ ธรรมะ
ธรรมะ ๔ ความหมาย ความหมายที่สำคัญที่สุดคือ หน้าที่ ธรรมะ ความหมายที่ ๑ คือ ตัวธรรมชาติ ความหมายที่ ๒ คือ กฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๓ คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๔ คือ ผลจากหน้าที่ ดังนั้นไอ้ ๔ อย่างนั้น ไอ้ที่สำคัญที่สุดก็คืออันที่ ๓ คือ หน้าที่ ถ้าเอาปทานุกรมธรรมดาสามัญเป็นหลักกันแล้ว ธรรมะ ก็แปลว่าหน้าที่ ไอ้เรานี่ว่าธรรมะ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ได้บอกว่าทำอะไร แต่ถ้าปทานุกรมภาษาอินเดีย คำว่า ธรรมะ ก็แปลว่าหน้าที่ หรือแปลว่า duty ตามสมควรแก่สัตว์ หรือบุคคลนั้น ๆ หน้าที่คือธรรมะ ดังนั้นขอให้ทุกท่านสนใจว่า หน้าที่ คือ ธรรมะ เมื่อได้ทำหน้าที่ ก็ขอให้ถือว่ามีธรรมะ เมื่ออยากมีธรรมะขอให้ทำหน้าที่ เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นนักเรียน เป็นบิดา มารดา เป็นอะไรก็ตามขอให้ทำหน้าที่ ให้ถูกต้องตามหน้าที่ เมื่อนั้นเรียกว่ามีธรรมะ ฉะนั้นเราไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทอง เป็นมากมายอะไร ทำหน้าที่ให้ถูกต้องก็มีธรรมะ แล้วก็จะเจริญ วิวัฒนาการไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้ เมื่อใดทำหน้าที่ เมื่อนั้นมีธรรมะ เมื่อนั้นยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่คนโดยมากไม่ชอบทำหน้าที่ นิสัยสันดานขี้เกียจมันมีอยู่ มันเห็นแก่ตัว มันไม่อยากเหนื่อย มันไม่ทำหน้าที่ มันมาทำงานสาย มันกลับบ้านก่อนเวลา เมื่ออยู่ในออฟฟิศทำงานมันก็เกเร มันไม่ได้ทำหน้าที่ เพราะมันไม่รู้ว่าไอ้หน้าที่ คือ ธรรมะ มันก็เป็นคนคดโกงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเรามาที่ออฟฟิศทำงานแล้ว ทำงานให้สนุก ให้เป็นสุขที่นั่น ไม่ต้องรีบไปอาบอบนวด เพราะมันเป็นสุขอยู่ในออฟฟิศทำงานเสียพอแล้ว จะไปเอาสุขอะไรที่ไหนกันอีก มันพอเสียแล้ว แล้วเป็นสุขดี สุขจริง สุขแท้ สุขไม่หลอกลวง ได้สุขดี สุขจริง สุขแท้พอแล้ว จะต้องไปเอาสุขหลอกลวงที่อาบอบนวดทำไมอีกเล่า มันจะทำให้เงินเดือนไม่พอใช้ มันจะต้องคอรัปชั่น จะต้องเป็นข้าราชการที่ทำคอรัปชั่น อย่างที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ ถ้าเป็นครูมันก็ขายข้อสอบแน่ เพราะมันไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหนแล้วมันไม่เอานี่ มันก็ขี้เกียจทำหน้าที่ ๆ เป็นไอ้หน้าที่อันแท้จริง เลยมีธรรมะ
ขอฝากความคิดข้อนี้ไว้แก่ท่านทั้งหลายทุกคนได้เอาไปคิด ไปนึก ไปพิจารณาดูเสียใหม่ ว่ามีธรรมะเมื่อทำหน้าที่ เมื่อเขาทำหน้าที่แล้วขอให้เคารพเขาเถิดว่าเขามีธรรมะ เขาจะกำลังแจวเรือจ้างอยู่ก็ได้ ถีบสามล้ออยู่ก็ได้ ล้างท่อถนน กวาดท่อถนน หรือทำอะไรอยู่ก็ได้ เขาทำหน้าที่ของเขาดีที่สุดแล้ว เขามีธรรมะ เราควรให้ความเคารพแก่เขาเหมือนกับที่เราจะทำได้ เพราะธรรมชาติสร้างเขามาเท่านั้นนี่ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ธรรมชาติไม่ได้สร้างมาเพื่อเป็นอย่างนั้น สร้างเขามาเป็นชาวนา เป็นชาวสวน หรือว่ามาถีบสามล้อ หรือมากวาดถนนเขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น เขาก็ทำสิ ถ้าเขาทำเต็มที่แล้ว ก็เรียกว่ามีธรรมะของเขาเต็มที่ เราควรจะให้เกียรติแก่เขา ถ้ามีธรรมะแล้วจะไม่มีโอกาสที่จะดูถูกใคร ช่วยจำไว้ด้วย ถ้าคุณเป็นสุภาพบุรุษมีธรรมะจริงแล้วคุณไม่มีใครสำหรับไว้ให้ดูถูกหรอก แม้แต่ในจิตใจก็จะไม่ดูถูกใคร แม้เขาจะเป็นคนทำงานชั้นต่ำสุด ล้างท่อถนนนี่ เราก็ไม่มีอะไรที่เป็นเหตุผล หรือเป็นความสมควรที่จะไปดูหมิ่นดูถูกเขา เราก็จะถือเอาเขาทุกคนว่าเขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเรา มีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น นี่ธรรมะ ถ้ามาที่นี่เพื่อศึกษาธรรมะ อาตมาก็บอกตามตรงตามจริง ว่าธรรมะคืออย่างนี้ แล้วให้รู้จักชีวิตที่มีธรรมะ คือ ชีวิตที่ทำหน้าที่ ตามความหมายของคำว่าชีวิต ชีวิตจะมีการเคลื่อนไหวที่เป็นการลงทุนเพื่อผลที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปทั้งนั้น ไม่ว่าชีวิตชนิดไหน ชีวิตจึงมีวิวัฒนาการ แม้แต่ชีวิตของต้นหญ้า ตะใคร่น้ำ อะไรก็ มันก็มีวิวัฒนาการ เพราะมันมีการลงทุน เพื่อผลอันยิ่งขึ้นไปเสมอ ฉะนั้นชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดผลกำไร ดังนั้นเราจะถือเอาชีวิตในความหมายนี้ มีความถูกต้องในลักษณะอย่างนี้ จึงจะเรียกว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นมนุษย์ เป็นบุคคลที่มีค่า ฉะนั้นเราศึกษามาต่างกัน จะมีอาชีพต่างกันอย่างไร ก็ขอให้ถือว่าไอ้อาชีพนั้นมันล้วนแต่เพื่อวิวัฒนาการของชีวิตทั้งนั้น เมื่อเรื่องทางโลกยังไม่พอ จะเป็นไอ้ที่ชื่นใจได้ก็เลื่อนไปทางธรรมะ ทางจิต ทางวิญญาณ รู้ธรรมะให้สูงขึ้นไป นี่จึงจะตรงตามหลักของชีวิตตามธรรมชาติ ถ้าว่าได้ทำงาน มีเงิน มีเกียรติ มีอำนาจ วาสนา ร่ำรวยแล้ว จะเรียกว่าจบเรื่องของชีวิตนี้ ไม่ ๆ ถูก ไม่พอ มันถูกแต่เรื่องว่าไอ้ด้านวัตถุ ชีวิตด้านวัตถุเราอาจจะจบได้ มีเงินมาก มีอำนาจวาสนามาก มีหลักทรัพย์เหลือเฟือ เอ้า,ไม่ต้องทำอะไร จบชีวิตด้านวัตถุ แต่ด้านจิต ด้านวิญญาณยังไม่จบ เพราะว่าคนร่ำรวยเหล่านั้นยังเป็นโรคประสาท นอนไม่ค่อยหลับอยู่ แล้วก็มักจะเป็นไปด้านนายทุน เห็นแก่ได้ ยิ่งรวยยิ่งสูบเลือดผู้อื่นแหละ คือนายทุน นายทุนใจมันเป็น มันไม่ใช่ว่ามีธรรมะนะ ถ้ามีธรรมะก็ธรรมะนายทุน ถ้าเป็นเศรษฐีใจบุญ มีธรรมะ ถ้าเป็นนายทุนใจร้าย ไม่ใช่ ไม่มีธรรมะ ขอนักศึกษาทุกท่านนี่อย่าเอาไปปนกันนะ เศรษฐีใจบุญ นายทุนใจร้าย นายทุนเขาไม่มีธรรมะ เขาต้องการแต่ความเจริญทางทุน ทรัพย์สมบัติ เงินทอง ยิ่งรวยยิ่งสูบเลือดผู้อื่น เห็นอยู่ว่าอบายมุขเป็นของเลวแท้ ๆ ให้โทษที่สุด เขาก็ยังใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อความร่ำรวยของเขานะ ดูความใจร้ายของนายทุน ถ้าเขาเป็นเศรษฐีใจบุญเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ เขายอมอดตายเสียดีกว่าที่จะไปสูบเลือดเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างนั้น เศรษฐีใจบุญ นายทุนใจร้าย เป็นเศรษฐีที่ร่ำรวย มีความร่ำรวยเหมือนกัน แต่คนหนึ่งมันเป็นใจบุญ คนหนึ่งมันเป็นใจร้าย เศรษฐีเอา กับเศรษฐีให้ มีอยู่ ๒ ชนิดนะ เศรษฐีมีอยู่ ๒ ชนิด นี่พูดอย่างธรรมดาสามัญ เศรษฐีเอา เอาตะพึดละ ลงทุนเพื่อเอา ได้มาแล้วก็เอา ยิ่งรวยยิ่งเอา นี่เศรษฐีเอา เขาคือนายทุนใจร้าย นี่เศรษฐีให้ เศรษฐีพวกนี้ไม่เอา อุตส่าห์ทำเหน็ดเหนื่อยได้มาเท่าไหร่ ให้ ๆ ๆ ๆ นี่เศรษฐีใจบุญ ทำมากกินแต่น้อย เหลือช่วยผู้อื่น สร้างวัดสร้างวา ตั้งโรงทาน อย่างนี้ นี่เศรษฐีใจบุญ คือเศรษฐีให้ นี่เศรษฐีพวกหนึ่งตรงกันข้ามคือเศรษฐีเอา ๆ ๆ ๆ ๆ เรื่อยนั่น คือนายทุนใจร้าย นักศึกษาเขาเรียนกันมาอย่างไรก็ไม่รู้ เขาถือว่าถ้าร่ำรวยแล้วเป็นนายทุนหมด เมื่อชอบลัทธิมาร์กซิสต์ คอมมิวนิสต์แล้วเขาอยากจะฆ่าคนรวยเสียให้หมด เขาไม่ดูให้ดีว่ามันมีเศรษฐีใจบุญ นายทุนใจร้ายอยู่ มันมีเศรษฐีเอา มีเศรษฐีให้ เศรษฐีให้นั้นอย่าไปฆ่าเขานะ จะบาปท่วมหัวเลย เขาทำเพื่อช่วยผู้อื่น เพื่อให้ เขาทำเพื่อให้ ไม่ได้ทำเพื่อเอา นี่ปัญหาเดี๋ยวนี้มันยังมีคาราคาซังอยู่ เรื่องไม่รู้เรื่องนี้ เกิดแบ่งแยกกันเป็นคนมั่งมี คนยากจน แล้วเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน ทำตนเป็นศัตรูกัน ฆ่าฟันกันไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่ดูให้ดี ที่ไม่ดูให้ดียิ่งขึ้นไปอีกก็คือว่า นี่เพราะขาดธรรมะนะ ถ้ามีธรรมะมาอย่างเดียวเท่านั้น สภาพอย่างนี้จะไม่เกิด คือ จะไม่เกิดนายทุนใจร้าย แล้วปัญหาก็ไม่มี ที่จะต้องเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ เพราะมันไม่มีนายทุนสูบเลือด มันมีแต่เศรษฐีใจบุญ พอเศรษฐีใจบุญ ไอ้คอมมิวนิสต์มันก็เกิดขึ้นในโลกไม่ได้ ถ้าสมมุติว่าเศรษฐีใจบุญมันก็เกิดเผอิญมันเกิดขึ้นมาได้ในโลกนี้เวลานี้ พวกคอมมิวนิสต์ก็ตายหมดเองแหละ ไม่ต้องใครฆ่า เศรษฐีใจบุญประกอบด้วยธรรมะเผอิญเกิดขึ้นมาในโลกเวลานี้เต็มไปหมด คอมมิวนิสต์ก็สูญหายไปจากโลกโดยไม่ต้องมีใครฆ่าแล้วก็ได้ เพราะธรรมะมันมาช่วยจัดให้ ให้เราอยู่กันอย่างเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครสูบเลือดใคร นายทุนก็เกิดไม่ได้หรอกถ้าธรรมะมีอยู่ เพราะขาดธรรมะจึงมีเกิดนายทุนใจร้าย หรือเศรษฐีเอาไม่รู้จักให้ ไอ้พวกหนึ่งก็ไม่ยอม ก็ต่อสู้ มันก็เกิดลัทธิต่อสู้ เป็นคู่ปรับกันไม่มีที่สิ้นสุด ดู ๆ จะยังไม่มีหวังนะว่าจะหมดคู่การต่อสู้ชนิดนี้ในโลกนี้ จนกว่าเมื่อไหร่ธรรมะกลับมา พอธรรมะกลับมาสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นดีไปหมดไม่มีปัญหาเหลือ ธรรมะสูงสุดอย่างนี้ ปัญหาของส่วนตัวบุคคลมันก็แก้ได้ ปัญหาส่วนรวมของโลกธรรมะก็แก้ได้ ดังนั้นขอให้ถือเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง เอาธรรมะเข้ามาใส่ตัวแล้ว ไอ้ชีวิตนี้จะมีวิวัฒนาการ คือการลงทุนเพื่อกำไรอันสูงสุดยิ่งขึ้นไป ดูธรรมชาติสร้างให้ แผ่นดินนี่ มันสร้างมาเพื่อลงทุน ให้มีอะไรมากขึ้น ๆ ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป คำว่าแผ่นดินนี่ มันเป็นที่ตั้งของการลงทุน เหมือนกับธรรมะ ธรรมะเป็นที่ตั้งของการลงทุนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แผ่นดินนี่ก็เหมือนกันถ้าเรารู้จักใช้ มันก็ทำให้แผ่นดินนี้มีค่ามากขึ้น เป็นประโยชน์แก่มนุษย์นั่นเอง ฉะนั้นอย่าเป็นเกษตรกรโง่ เกษตรกรโง่ที่มันทำลายแผ่นดิน ทำลายป่าไม้ ทำลายอะไร เป็นเกษตรกรที่ฉลาดเถอะ แล้วแผ่นดินนี้ก็จะเป็นการลงทุนเพื่อผลอันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป บาลีเขาเรียกว่า เขต สันสกฤตเขาเรียก เกษตร คำเดียวกันนี้ แปลว่าแผ่นดินสำหรับพืช พืชพรรณมันงอก ในแผ่นดินไม่เท่าไรมันก็มีพืชพรรณงอก เป็นพืชที่มีประโยชน์ก็มี ไม่มีประโยชน์ก็มี เราเป็นเกษตรกรที่ดี เราก็กำจัดพืชที่ไม่มีประโยชน์เสีย ให้พืชที่มีประโยชน์เจริญงอกงามก้าวหน้า เราก็ได้แผ่นดินที่มีประโยชน์ นี่ได้รับประโยชน์อย่างนี้ เขาเรียกว่าเขต เขต หรือ เกษตร เป็นที่ให้เกิดผล แต่นี่เป็นเรื่องทางวัตถุ ได้ข้าวกินเป็นอย่างมาก ทีนี้มีเขต หรือ เกษตร นา ฝ่ายจิตใจ คือ ธรรมะนั่นแหละ หรือผู้มีธรรมะ คือ พระสงฆ์ พระสงฆ์ เป็นพระสงฆ์เพราะมีธรรมะ ทีนี้พระสงฆ์เป็นนาบุญ เป็นเนื้อนาบุญ หากพระสงฆ์จะทำให้เกิดบุญขึ้นในพระสงฆ์ ในคณะสงฆ์ พระสงฆ์จึงเป็นบุญเขต เป็นบุญเกษตร พระสงฆ์เป็นบุญเกษตรเป็นที่นาที่ให้เกิดบุญ ก็ไปอยู่ที่ธรรมะนั่นอีกแหละ ถ้าไม่มีธรรมะมันเป็นบุญเกษตรขึ้นมาไม่ได้ นี้เรานี่แหละถ้าว่าทำให้เป็นอย่างนั้นได้ ก็เป็นพระสงฆ์ขึ้นมาเหมือนกัน เพราะว่าเป็นผู้ปฏิบัติถูก ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นไปเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก เรารู้จักทำนา นาดิน ดิน นั่นก็รู้จักทำนา แล้วนาในหัวใจ ในจิต ในวิญญาณ ก็รู้จักทำนา คือ ทำเกษตร ทั้งฝ่ายวัตถุ ทั้งฝ่ายจิตใจ ความสมบูรณ์แห่งมนุษย์ก็เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้อาศัยสิ่ง ๆ เดียว คือ ธรรมะ
ขอแสดงความหวังว่า ที่ทำนาทั้งฝ่ายวัตถุ และฝ่ายจิตใจนี้คงจะดีขึ้น ๆ ทุก ๆ ปี ทุก ๆ ปี ให้เป็นปีใหม่ วันใหม่ เดือนใหม่ ให้มันดีขึ้นมาทุกปี หวังว่าปีนี้เป็นปีใหม่ ท่านทั้งหลายก็จะผลิตอะไรได้มากกว่าปีเก่า คือดีกว่าปีเก่า ไม่มี ไม่ขาดทุน จะมีผลคุ้มค่า อุตส่าห์มาที่สวนโมกข์ ทั้งเหนื่อย ทั้งเปลือง ทั้งลำบาก อย่าให้มันขาดทุน ให้มันได้ผลคุ้มค่า เอาธรรมะไปพัฒนาให้ชีวิตเป็นการลงทุน เกิดกำไรยิ่ง ๆ ขึ้นไป เท่านี้ก็หมดแล้ว เรื่องของมนุษย์ก็จะหมดแล้ว ท่านทั้งหลายก็ทำหน้าที่ของมนุษย์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลว่าเรายังไม่ได้ทำอะไร หรือไม่ได้ทำอะไรให้ดีที่สุด มันดีที่สุดเท่านี้แหละ ทำให้ชีวิตนี้เป็นการลงทุนที่มีกำไรเรื่อยไป ๆ ทั้งฝ่ายวัตถุ ทั้งฝ่ายจิตใจ ไปจบลงที่เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้ไม่มีทุกข์เลย เราสำเร็จแต่เพียงด้านวัตถุ เป็นเศรษฐีมหาศาล เป็นนายทุนมหาศาลก็ยังมีความทุกข์ เพราะกิเลสรบกวน เพราะว่าวิวัฒนาการยังไม่สูงสุด ทีนี้เดินต่อไปอีก แค่นั้นไม่พอ เดินต่อไปอีก จนจิตใจอยู่ในสภาพเหนือปัญหา ไม่มีความทุกข์อะไรเกิดขึ้นได้ในจิตใจของเรา นี่เรื่องมันจบ มันจบเท่านี้ พูดอะไรขึ้นไปอีก ไม่มีประโยชน์หรอก มันจบเท่านี้ ทำให้จิตใจอยู่ในสภาพที่เกิดปัญหาไม่ได้ เกิดความทุกข์ไม่ได้ เพราะมันรู้ ๆ ๆ ในเรื่องเหล่านี้หมด นี่ขอให้ชีวิตก้าวหน้าอย่างนี้ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ปีใหม่ดีกว่าปีเก่า เราก็คุ้มค่า ได้รับผล คุ้มค่าที่ลงทุนด้วยเจตนา จะให้ธรรมชาติมันช่วยทำให้อย่างเดียวมันไม่พอ มันไม่พอแม้จะทำได้ถึงที่สุดก็ยังไม่พอ เรามนุษย์เจ้าของชีวิตที่เรียกว่าคนนี่ พัฒนาให้เป็นมนุษย์แล้วเป็นมนุษย์สูงสุด เรื่องก็จบ นี่ธรรมะช่วยได้ เพราะว่าธรรมะมีหน้าที่อย่างนี้ ธรรมะไม่มีหน้าที่อย่างอื่น ธรรมะมีหน้าที่ให้สิ่งที่มีชีวิตลงทุนได้ผลกำไรเรื่อย ๆ ขึ้นไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ถ้าคุณมองเห็นข้อนี้ คุณจะรักพระพุทธเจ้า ไม่รับ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ แต่ปาก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านค้นพบความจริงข้อนี้แล้วเอามาสอน เมื่อเรารู้ความจริงข้อนี้ เราจะรักพระธรรม เพราะพระธรรมนั้นคือระบบสำหรับเรียน สำหรับรู้ สำหรับปฏิบัติแล้วก็ได้ผลเช่นนี้ เราก็รักพระธรรม แล้วเราก็รักพระสงฆ์ คือว่าสืบความรู้นี้ไว้ให้เรา ท่านไม่เพียงแต่ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ท่านอุตส่าห์สืบไว้ให้เรา เราก็ได้รับถ่ายทอดกันมา เราก็รักพระพุทธ รักพระธรรม รักพระสงฆ์จริงด้วยชีวิต จิตใจจริง ไม่รัก พุทธัง สรณัง แต่ปาก ธัมมัง สรณัง ก็แต่ปาก สังฆัง สรณัง ก็แต่ปาก รับมากี่สิบครั้งแล้วไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ปีนี้ก็ไม่ดีกว่าปีกลาย เพราะว่าเราไม่เข้าถึงจุดหมายของชีวิตนั่นเอง
อาตมาก็รู้สึกว่าได้พูดเรื่องที่ควรจะพูด ถึงที่สุดแล้วโดยใจความ ไอ้คำพูดย่อยปลีกฝอย จะพูดไปอีกกี่ชั่วโมง กี่ปีก็ได้ แต่หัวใจมันมีเท่านี้ ธรรมะเป็นหน้าที่ ๆ สิ่งที่มีชีวิตจะต้องนำเอาไปใช้ ให้ชีวิตนั้นเป็นการลงทุนที่ได้ผล เป็นกำไรยิ่งขึ้นไปโดยเร็ว จนถึงที่สุดของความมีชีวิต เรื่องก็จบ ก็ได้แต่ขอแสดงความหวังว่าท่านคงจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เต็มความหมายของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น ขอแสดงความยินดีที่ท่านเป็นผู้สนใจเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าท่านต้องสนใจเรื่องนี้ มิฉะนั้นคงไม่มาที่นี่ เมื่อมาที่นี่คงสนใจเรื่องนี้ อาตมาขอแสดงความยินดีที่ได้พบท่าน แล้วบางทีขอร้องว่า อาจจะบอกว่า ขอบคุณท่านที่มา ให้วัดนี้ได้ทำหน้าที่ของตน คือ เผยแผ่ธรรมะ ขอบคุณที่ท่านมา ผู้มาไม่ต้องขอบคุณเจ้าของบ้าน ให้เจ้าของบ้านขอบคุณผู้มาดีกว่า เพราะว่ามาทำให้บ้าน หรือเจ้าของบ้านนี้ไม่เป็นหมัน สวนโมกข์ไม่เป็นหมัน เพราะว่าท่านมาทำให้มันเป็นประโยชน์ คือได้รับประโยชน์ตรงตามความมุ่งหมายของการมีสวนโมกข์ เป็นที่เผยแผ่ธรรมะ ให้ได้รับธรรมะกลับไป เหมือนรูปภาพที่มีอยู่ที่ผนังตึก ด้านหัวตึก เขาได้ดวงตาไป พวกหนึ่งเขาไปหัวขาด วิ่งไปเป็นฝูง ไม่มีหัวเลย นี่คนส่วนมากมาที่นี่ยังเป็นอย่างนี้ มาที่นี่แล้วก็ยังไม่ได้ธรรมะกลับไป หัวขาดวิ่งไปเป็นฝูงเลย สอง สาม คนเท่านั้นที่ได้รับธรรมะออกไป ขอร้องให้พรุ่งนี้ไปดูรูปภาพนั้นเสียใหม่ แล้วปรับตัวเองให้ได้รับธรรมะไปจนได้ เอาละ ขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย แล้วขอแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะก้าวหน้า ตรงตามความหมายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้น คือการลงทุนเพื่อผลกำไรยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกวัน ทุกเดือน ๆ ทุกปี ปีใหม่ก็เป็นปีใหม่ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดนี้ ก็ขออวยพร ขออวยพร ด้วยอำนาจของความจริงของธรรมชาติ ของพระเจ้าที่เป็นกฎของธรรมชาติ จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายมีความกล้าหาญพอ มีความเข้าใจถูกต้อง มีความเชื่อเพียงพอ มีความขยันขันแข็งเพียงพอปฏิบัติธรรม ธรรมะ ให้ตรงตามความมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น แล้วมีความเจริญ เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ