แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เข้าใจว่าที่มากันนี้ก็เพื่อจะศึกษาธรรมะ มันก็ต้องพูดเรื่องธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่จะดับความทุกข์ได้ ธรรมะในความหมายจำกัดเฉพาะนี่ก็คือสิ่งที่จะดับความทุกข์ได้ ที่จริงธรรมะนั้นหมายถึงทุกสิ่ง อะไรก็เรียกว่าธรรมะ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ เรารู้เรื่องธรรมชาติในส่วนที่จะดับทุกข์ได้ นี่เรียกว่าธรรมะหรือพระธรรม ที่คนเราจะต้องมีเพื่อจะดับทุกข์ของเราให้ได้ ถ้าเราไม่ดับทุกข์ได้เราก็มีอาการเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น ขอให้ไปคิดดูเองเมื่อเรามีความทุกข์ ทุกข์ด้วยอะไรก็ตาม ก็เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ถ้าเรารู้ธรรมะ เราก็สามารถจะดำรงจิตใจไว้ให้ถูกกับเรื่องของธรรมชาติ แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าว่ามนุษย์ไม่มีความทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องเกิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนั้น ถ้ามนุษย์ไม่มีความทุกข์ ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นมาในโลก เดี๋ยวนี้มนุษย์มีความทุกข์ก็ต้องการผู้ที่จะบอก บอกให้รู้ไอ้เรื่องดับทุกข์ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงต้องเกิดขึ้นมาในโลก คำสอนของพระองค์จึงต้องมีในโลกและทุกคนในโลกจะต้องช่วยกันรักษาคำสั่งสอนของพระองค์ไว้ อย่าให้สูญหายไปเสียได้ เพื่อจะใช้เป็นเครื่องดับทุกข์ นี่คือความเกี่ยวข้องกันระหว่างธรรมะกับเราคือจะใช้เป็นเครื่องดับทุกข์ ถ้าที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครมีความทุกข์ ก็ไม่ต้องศึกษาธรรมะให้ป่วยการ พูดตามความจริง ใครไม่มีความทุกข์ช่วยชูมือขึ้นสูง ๆ ใครไม่มีความทุกข์ ใครไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครยกมือสักคนเดียว นี่คิดดู แต่หนหลังมาจนกระทั่งบัดนี้ เราคงจะมีความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งโดยมากเราก็แก้ไขมันไม่ค่อยจะได้ คือมันค่อย ๆ หมดเหตุ หมดต้นเหตุ แล้วมันหาย ๆ ไปเอง แต่การที่เราจะปล่อยให้มันค่อย ๆ หายไปเองนั้นมันนานนัก มันทนทรมานมากนัก ดังนั้นเรารู้จักทำให้มันหายไปเสียเร็ว ๆ ที่ดีกว่านั้นก็คือรู้จักป้องกันอย่าให้มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาได้นั่นแหละดี การเรียนในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย ไม่ได้สอนเรื่องธรรมะ เพราะฉะนั้นวิชาธรรมะมันจึงยังขาดอยู่ การศึกษาในโลกนี้ให้ศึกษากันแต่เรื่องหนังสือกับอาชีพ วิชาชีพกับวิชาหนังสือ ไม่ได้สอนวิชาธรรมะ ดังนั้นเราจึงขาดความรู้ทางธรรมะ ไม่ค่อยสามารถจะดับไอ้ความทุกข์ ก็เลยทน ๆ กันไปอย่างนั้น ไม่ได้เป็นหมู่คนที่มีความสุขสงบเย็น มีความขลุกขลัก เป็นทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ดิ้นรน กระวนกระวาย มีจิตใจไม่ปกติเพราะความทุกข์นั้นเอง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วแม้จะเรียนหนังสือเรียนวิชาชีพมันก็เรียนไม่ได้ดี ดังนั้นเรามีธรรมะชนิดที่ทำให้ใจคอปกติสบายดีกว่า จะเรียนหนังสือก็เรียนได้ดี เรียนวิชาชีพก็เรียนได้ดี อย่าให้มีเรื่องที่เรียกว่ารบกวน ความทุกข์นั้นมันรบกวน ทำให้มนุษย์มีปัญหามาก มีเรื่องมากสำหรับจะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้าเราเป็นเหมือนกับสัตว์ สัตว์ทั่ว ๆ ไป สัตว์เดรัจฉาน เราก็ไม่มีปัญหามาก แต่เดี๋ยวนี้เรามันดีกว่าสัตว์ เรามีปัญญามันสมองดีกว่าสัตว์มาก เรื่องต่าง ๆ มันก็เลยเข้ามาเป็นปัญหามาก ฉะนั้นเราต้องเรียนธรรมะ เราอย่าเห็นหรืออย่าเถียงว่าไอ้แมว สุนัข อย่างนี้มันไม่ต้องเรียนธรรมะทำไมมันอยู่ได้เล่า ก็เพราะว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันสมองของคนนั่นมันกว้างกว่า เฉียบแหลมกว่า ลึกซึ้งกว่า ว่องไวกว่า กว่าสัตว์ มันก็ยิ่งคิดได้มาก นึกได้มาก ขยายตัวได้มาก มันจึงมีโอกาสที่มีความทุกข์ได้มาก เปรียบเทียบกันอย่างนี้ก็ได้ว่า แมวนะไม่มีปัญญา ไม่มีความคิดที่จะคิดว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไร แมวนั้นไม่อาจจะคิดว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร เดือนหน้าจะกินอะไร แต่คนนั้นมันมีความคิด มีปัญญาว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร จะได้อะไรมากิน สัปดาห์หน้า เดือนหน้า มันคิดได้มากอย่างนี้ ฉะนั้นเราจะเอาอย่างว่าสัตว์ไม่ต้องเรียนธรรมะ แล้วทำไมเราจะต้องเรียนธรรมะ อย่างนี้มันไม่ถูกแน่ เรายิ่งไกลกว่าสัตว์ ยิ่งเฉลียวฉลาดกว่าสัตว์ เราก็จะยิ่งมีปัญหามากกว่าสัตว์ เราจึงต้องมีธรรมะช่วย เช่นเดียวกับว่าเดี๋ยวนี้แมวไม่ต้องกินยานอนหลับ ไม่ปวดหัว ไม่ต้องกินยาปวดหัว ใครเคยเห็นแมวปวดหัว ใครเคยเห็นแมวนอนไม่หลับต้องกินยานอนหลับ ไอ้พวกเราระวังให้ดี เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวนอนไม่หลับ ต้องกินยาแก้ปวดหัว กินยานอนหลับ เพราะมนุษย์มีมันสมองอีกอย่างหนึ่ง ต้องมีอะไรสำหรับต้องแก้ปัญหาในส่วนนี้ คือธรรมะนั่นเอง มนุษย์ก็มีจิตใจที่ว่องไว เฉียบแหลม กว้างขวาง คิดนึกได้มาก ฉะนั้นมันจึงมีความรู้สึกยินดียินร้าย วิตกกังวลอะไรได้มาก ซึ่งมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือความทุกข์ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ทุกอย่าง หลาย ๆ อย่างนี่ มันเป็นเรื่องให้ยุ่งหรือให้เกิดความทุกข์ ถ้าไม่มีธรรมะมาควบคุมสิ่งเหล่านี้แล้วเราก็จะได้เป็นโรคประสาทบ้าง ได้เป็นบ้ากันบ้าง หรือตาย ขอให้นักเรียนสนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราจะต้องมีแน่ ๆ ฉะนั้นขอให้คอยจ้องหาโอกาสไว้เสมอไปที่จะมีความรู้ธรรมะเพิ่มขึ้น ๆ ไม่ใช่ว่าเพียงแต่ครั้งนี้หรือที่นี่ ที่ไหน อยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อไรที่ไหนก็ล้วนแต่จะต้องหาความรู้ทางธรรมะเพิ่มเติม แล้วเราก็จะมีจิตใจปกติมากกว่านี้ แล้วเราก็จะเรียนหนังสือได้ดีเพราะใจคอปกติจะจำเก่ง จะคิดเก่ง จะตัดสินใจเก่ง จะมีความรวดเร็วแห่งความคิด เราก็เรียนหนังสือได้ดีและก็มีปัญญาที่จะประกอบอาชีพได้ดี ถ้าเราไม่มีธรรมะที่จะทำให้ใจคอปกติเราก็เรียนไม่ได้ดี ประกอบอาชีพไม่ได้ดี แล้วพอมีความผิดหวังในอาชีพ เราจะเป็นทุกข์มาก แล้วบางทีเราจะแก้ความทุกข์นั้นไม่ได้ด้วย แล้วเราก็จะต้องเป็นโรคประสาทโรคจิต สนุกเมื่อไร เป็นบ้า มันสนุกเมื่อไร เราจะต้องรู้ไว้ ให้เห็นแก่ธรรมะไว้ เพื่อมีธรรมะไว้ อย่าไปทำไม่รู้ไม่ชี้กับธรรมะ แล้วปล่อยไปตามกิเลส อย่าปล่อยไปตามกิเลส ให้อยู่ในระเบียบวินัยของธรรมะ อย่าปล่อยไปตามกิเลส กิเลสนั่นมาจากความไม่รู้ เขา เขาเรียกว่า อวิชชา แปลว่าความไม่รู้ ถ้าพูดภาษาตรง ๆ ก็ว่าคือความโง่ อวิชชา ความไม่รู้ ทำให้เราอยากได้ เรียกว่าความโลภ อยากได้อย่างโง่ ๆ นั่นแหละเรียกว่าความโลภ แล้วทำให้เราโกรธเมื่อไม่ได้ เมื่อไม่ได้อย่างที่เราต้องการเราก็โกรธ เราก็โกรธอย่างโง่ ๆ แล้วก็เรายังมีความเข้าใจผิด ความสัพเพร่า ความโง่อีกพวกหนึ่งเรียกว่าความโง่ไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง เราเรียกว่าความหลง ฉะนั้นจำให้ดีว่าไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นคือจิตที่คิดไปอย่างโง่เขลาต่อสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ถ้าเราอยากจะได้ ก็ควรจะรู้ว่ามันควรจะได้หรือไม่ ควรจะได้อย่างไร ถ้าได้มาด้วยความฉลาด ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ความโลภ ถ้าอยากได้ด้วยความฉลาดก็เรียกว่าไม่ ไม่ใช่ความโลภ ไม่ ไม่เป็นกิเลส ถ้าเราควรจะทำให้ได้ตาม ตามนั้นด้วย ถ้าอยากได้ด้วยความโง่มันก็ไม่ควรจะได้ แล้วก็ไปฝืนเอาจะให้ได้มันก็เป็นทุกข์แล้ว ได้มาก็ยังเป็นทุกข์เพราะมันไม่เข้ารูปเข้าเรื่องกัน เราเกิดมาจากท้องของแม่ ไม่มีใครฉลาดมาจากในท้องได้ เพราะตามธรรมชาตินั้นมันฉลาดมาจากในท้องไม่ได้ เพราะว่าในท้องนั้นไม่มีการศึกษา ไม่มีความรู้เรื่องอะไรเป็นอะไร ไม่มีการศึกษา แล้วก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรด้วยเมื่อเด็กอยู่ในท้อง คลอดออกมาใหม่ ๆ ก็ยังไม่รู้อะไร จนกว่าเด็กนั้นจะได้ใช้อวัยวะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสนั่นสัมผัสนี่ รับปฏิกิริยาอย่างนั้นอย่างนี้ จึงค่อย ๆ รู้ค่อย ๆ รู้ เช่นว่าได้กินนมเป็นครั้งแรกค่อยรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร จะค่อยรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไรเพิ่มขึ้น ๆ ได้เห็นนั่นเห็นนี่ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ได้ยินเขากล่อม ได้ลิ้มรสอาหาร น้ำนม ได้สัมผัสที่อบอุ่น หรือว่าหนาว หรือว่าหยาบคาย หรือว่านิ่มนวล เขาก็ค่อยรู้ ค่อย ๆ รู้ จนค่อย ๆ รู้ว่าอย่างนี้เราชอบ อย่างนี้ไม่เราชอบ แต่ทีนี้เขาไม่มีปัญญาพอ เขาก็ชอบเกินขอบเขตจนกลายเป็นความโลภไป นี่เด็ก ๆ ยังไม่รู้ แล้วก็ทำไปด้วยความไม่รู้ เมื่อไม่ได้อย่างใจเขาก็โกรธ โกรธเขาก็เดือดร้อนเอง ต่อมาก็ค่อยรู้ว่าเราไม่ควรจะทำอย่างนั้น เราไม่ควรทำอย่างนั้นให้ใจมันร้อน เรารู้จักคิดจักนึกแต่พอดี แล้วก็ทำไปแต่พอดี นี่เรียกว่าค่อย ๆ รู้ ค่อย ๆ รู้ขึ้น ค่อย ๆ ฉลาดขึ้นจนกระทั่งรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ แต่ทีนี้มันมีหลายอย่าง มีมากที่เรายังไม่อาจจะรู้ได้เอง ถ้าจะรอให้เรารู้ได้เองความผิดพลาดจะมากเกินไป เราอาจจะวินาศ ฉิบหายหรือตายเสียก่อนก็ได้ ถ้าในชั้นนี้แล้วเราต้องเชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ซึ่งเขาจะสอนเราว่านี้อย่าทำ นี่ธรรมะที่มันเกินกว่าที่เราจะรู้ได้เอง ไอ้ที่เราจะรู้ได้เองก็เป็นเรื่องทางภายนอก ทางวัตถุเสียโดยมาก เช่น เรากินอันนี้เข้าไปมันเผ็ด เราก็รู้ว่ามันเผ็ด ทีหลังเราก็ไม่กิน หรือเราขยำเอาไฟเข้า เราก็รู้ว่ามันร้อนทีหลังเราก็ไม่ขยำ นี่มันเป็นเรื่องวัตถุพอจะรู้ได้เอง แต่ถ้าเป็นเรื่องกิเลสในภายในจิตใจละเอียดแล้วยังรู้ไม่ได้ จะรอให้รู้ได้มันก็จะเป็นทุกข์มากเกินไป นี่เขาจึงให้เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ บิดามารดาจะคอยให้ความรู้ในเรื่องที่บุตรไม่อาจจะรู้ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเราจึงสนใจ พยายามอย่างยิ่งที่จะฟังแล้วก็จะใคร่ครวญดู ไม่ดื้อ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไอ้ ไอ้บุตรที่เกิดมานี่มีอยู่ ๓ พวก คือพวกที่ทำอะไรได้ดีกว่าบิดามารดา พวกที่ทำอะไรได้เสมอกับบิดามารดา และพวกที่ทำอะไรได้เลวกว่าบิดามารดา แต่ทั้ง ๓ พวกนี้สู้พวกที่ไม่ดื้อก็ไม่ได้ ไอ้บุตรที่ไม่ดื้อ ที่เชื่อฟังบิดามารดานี้ดีกว่าบุตรทั้ง ๓ พวกนั้น เพราะว่าเขาจะไม่ทำอะไรผิดได้ และเขาก็จะรู้จักเคารพบิดามารดา รู้จักสนองคุณบิดามารดา ทำโลกนี้ให้เจริญ ฉะนั้นขอให้รับรู้ไว้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุตรที่เชื่อฟังนั้นประเสริฐกว่าบุตรทุกประเภท บุตรที่ไม่เชื่อฟังจะต้องมีเรื่อง ตัวเองก็จะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน คนอื่นจะพลอยเดือดร้อน ดังนั้นเราจึงมีการศึกษา ให้การศึกษา ให้พอ ให้ทัน ให้ทันแก่เวลาด้วย ให้พอให้เหมาะแก่ความเป็นไป จึงขอให้นักเรียนทุกคนศึกษาเพิ่มเติม ให้ ให้รู้ธรรมะเพิ่มเติมขึ้นให้ทันแก่เวลาที่อายุมันมากขึ้น ๆ ความเปลี่ยนแปลง ความผันแปรของร่างกายจิตใจนี้มันจะไปไกล ไปกว้าง ไปลึก ถ้ารู้ธรรมะไม่พอแล้วมันจะต้องผิดพลาดแน่ ดังนั้นเมื่อที่โรงเรียนก็ไม่ได้เรียนไม่ได้สอนเราก็มาหาเอาเองอย่างนี้ ก็นับว่าถูกแล้ว ในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้สอนธรรมะกัน ใครต้องการก็มาหาเอา เราก็หา แล้วก็อย่าทำเล่น อย่าประมาท พยายามหาให้ได้ ให้มาก ให้คุ้มกับเวลา ให้คุ้มกับการมา แล้วก็บันทึกจดจำไว้ดี ๆ ถ้าจำไม่ไหวก็จดเอาไว้ให้ดี ๆ เอาไปคิดไปนึกให้ดี ๆ ถ้าไม่ได้จดไม่ได้จำไว้มันก็เลยทิ้งไปเลย มันก็ไม่เหลืออยู่ ไม่มีโอกาสที่จะคิด จะนึก จะทดสอบ จะอะไรได้ เราจดไปไว้สำหรับคิดนึกให้เข้าใจ เมื่อเห็นว่ามีประโยชน์แน่แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติ เราก็ได้รับผลของการปฏิบัติ ได้เสวยรสของธรรมะที่ดับทุกข์ได้ เรื่องมันมีอย่างนี้ ดังนั้นขอให้ทุกคนได้ผล ได้รับผลตามที่ตั้งใจมา รูปภาพฝาผนังนี่เขาก็เพื่อจะสอนธรรมะทั้งนั้นแหละ แต่เดี๋ยวนี้มันมืดแล้ว ควรจะได้ศึกษาให้มากที่สุด สอนธรรมะด้วยรูปภาพนี้มัน มัน มันไม่น่าเบื่อ แล้วมันจะเข้าใจได้ลึกเพราะเป็นรูปภาพที่เขาประดิษฐ์ขึ้นโดยบุคคลที่มีสติปัญญา พยายามดูเขาดี ๆ จะได้รับประโยชน์ สนุกกว่าที่จะพูดให้ฟังหรือเอาหนังสือให้อ่าน แล้วมันก็ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไอ้อ่านไอ้ฟังก็ได้ประโยชน์ จะศึกษาจากรูปภาพที่มีความหมายลึก ๆ อย่างนี้ก็ทำให้ฉลาด ทำให้เฉียบแหลมฉลาด ถ้าเราดูภาพ รู้ความหมายของภาพก็จะรู้ธรรมะด้วย ถ้ารู้ธรรมะคือความหมายของภาพแล้วเราจะรู้สึกว่า แหม, เรามันโง่ถนัดใจ ธรรมดาเราไม่ค่อยรู้ว่าเราโง่ ลองไปศึกษาดูไอ้สิ่งเหล่านี้จะรู้ว่าไอ้เรานี้มันยังไม่รู้อะไร เหมือนกับว่าไอ้รูปภาพนั้นมันด่าเราว่าเรามันยังโง่ไม่รู้อะไร ความมุ่งหมายของภาพชุดนี้เป็นอย่างนี้ เข้าประตูทางโน้นนะแล้วไอ้รูปซ้ายมือรูปแรก ทางซ้ายมือรูปแรกที่สุดติดประตูนั้นนะ เปิดความโง่ของเธอออกเสียสักนิดเธอจะพบพระพุทธเจ้าที่ตรงนั้น ไอ้ความโง่ของเธอนั้นเหมือนผ้าม่านที่ขึงอยู่ แหวก เหวี่ยงไปนิดจะพบพระพุทธเข้านั่งอยู่ที่ตรงนั้น นี่เขาก็บอกว่าไอ้คนนี้มันโง่ มีพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้มันยังมองไม่เห็น ถ้าว่าความโง่มันอยู่ในหัวใจของคนนั้น พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั่น มันก็ไม่อาจจะเปิด แหวกม่านสักนิดหนึ่งแล้วก็จะเห็นว่าพระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่ตรงนั้น นี่ดูรูปภาพที่เขา เขามีความหมายลึกนะ แล้วเขาไว้ด่าคนโง่นะรูปภาพเหล่านี้ ดังนั้นใครไม่กลัวก็ลองดู ลองไปศึกษาดู จะต้องฉลาดขึ้นไม่น้อยทีเดียว เรื่องอบรมจิตใจให้ฉลาดขึ้น ๆ นั่นแหละจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน อย่าให้มันเท่าเดิมอยู่เลย ให้มันฉลาดขึ้น ๆ โดยเร็ว จะรู้เรื่องที่ลึกซึ้งของธรรมชาติที่จะดับทุกข์ได้ ความทุกข์และความดับทุกข์นี้ลึกซึ้งมาก ต้องมีความฉลาดพอสมควรแล้วก็จะได้รู้ แล้วก็ไปอบรมให้ได้มีความฉลาดเพิ่มขึ้นโดยทุกวิถีทาง แล้วก็ขออย่างเดียวว่าอย่าดื้อ อย่าเป็นเด็กดื้อซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าบุตรที่เชื่อฟังนั้นประเสริฐสุดกว่าบุตรทั้งหลายทุกจำพวก ถ้าเราอย่าดื้อกันทุกอย่างจะหมุนไปในทางดี เพราะว่าไอ้ความดื้อนั้นมันเป็น เป็นสมบัติของกิเลส ที่เราไม่ดื้อนั้นมันเป็นสมบัติของพระธรรม ถ้าเราไปดื้อเสียก็แปลว่าเรายอมรับสมบัติของกิเลส เข้าเป็นพรรคพวกของกิเลสต่อสู้กับพระธรรม ใครจะวินาศ คอยดู ถ้าเราไม่ดื้อดึงต่อคำสั่งสอน ระเบียบไอ้ที่เขาวางไว้ดีแล้ว มันก็ง่ายที่เราจะเข้าถึงธรรมะที่เราไม่อาจจะรู้ได้เอง จึงขอสรุปสั้น ๆ ว่าจงเป็นบุตรที่เชื่อฟัง แล้วก็จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ แล้วก็จะเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ทั้งหมดนี้สำเร็จได้ด้วยความเชื่อฟังในเบื้องต้น ไม่เป็นคนดื้อดึง เอาแหละ ขอแสดงความหวังว่าเธอทุกคนจะเป็นคนเชื่อฟัง แล้วก็ทำตนให้สำเร็จประโยชน์ในการเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนด้วยกัน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติในอนาคต เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าแล้ว จะไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง จะดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ขอให้ได้เป็นอย่างนี้ และมีความเป็นอย่างนี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป พร้อมกับมีความสุขในทางธรรมะ อยู่ทุกทิวาราตรีกาล ทุก ๆ คนเทอญ