แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สวัสดีเด็กๆ ทั้งหลาย สวัสดีเด็กๆ ทั้งหลายฉันขอมอบของขวัญวันเด็กในวันนี้ หวังว่าทุกคนคงจะรู้จักรับ ฉันพูดว่าเธอทั้งหลายยังรู้จักตัวเองกันน้อยเกินไป เธออย่าพึ่งโกรธหรือด่าอยู่ในใจขอให้ลองฟังดูก่อน แล้วข้อนี้มันไม่ใช่ความผิดของเธอฝ่ายเดียวมันเนื่องมาจากพ่อ แม่ ครู อาจารย์ ตลอดจนถึงรัฐที่จัดการศึกษาให้แก่ประชาชนไม่สมบูรณ์ เธอจึงรู้จักตัวเองน้อยเกินไปด้วย ที่ฉันว่าเธอรู้จักตัวเองน้อยเกินไป แล้วก็ไม่รู้สึกตัวแล้วก็ไม่สนใจที่จะรู้สึก ข้อนี้ฉันหมายความว่าเธอไม่รู้สึกไม่รู้จักตัวเองว่า ชีวิตของเธอได้มาจากใครหรือแบ่งมาจากใคร เนื้อหนังมังสาของเธอนี้แบ่งมาจากใคร เธอเกิดมาจากใคร เกิดมาจากโพลงไม้หรือว่าเกิดเองได้ เสื้อที่สวมอยู่นี้ใครให้ กางเกงที่นุ่งอยู่นี้ใครให้ หมวกนี้ใครให้ เข็มขัดนี้ใครให้ เธอกำลังใช้อยู่นี้ใครหาให้ใครจ่ายเงินซื้อให้หรือได้มาจากใคร เมื่อยามเจ็บไข้ของเธอใครทุกข์ร้อนนอนตาไม่หลับจัดการเยียวยารักษา เธอคิดดูว่าธนาคารไหนที่เราเบิกเงินได้เรื่อยเบิกท่าเดียวโดยไม่ต้องฝาก หรือว่าเมื่อเธอเป็นอะไรลงไปใครหลั่งน้ำตาให้เธอมากที่สุด ใครรักเราจนตายแทนเราก็ได้โดยไม่รู้สึกตัว และวันนี้เรามาพรรณนาพระคุณของพ่อแม่กันจนน้ำตาไหลดีกว่า แทนการโห่ร้องกระโดดโลดเต้นเป็นลิงทะโมนให้มันมากขึ้นไป ยังมีที่ยิ่งไปกว่านั้นอีก ที่ฉันว่าเธอรู้จักตัวเองน้อยเกินไปนั้นคือไม่รู้จักตัวเองว่าเด็กๆ ทั้งหลายเป็นผู้สร้างโลก เด็กๆ ทั้งหลายเป็นผู้สร้างโลก ฉันกำลังพูดว่าเด็กๆ ทั้งหลายเป็นผู้สร้างโลกทุกคนคิดดูก็จะเห็น หมายความว่าเด็กทุกคนเป็นอย่างไรในอนาคตโลกทั้งหมดก็จะเป็นอย่างนั้น เธอไม่ใช่เป็นแต่เพียงเด็กวันนี้ เธอไม่ใช่เป็นแต่เพียงว่าเป็นเด็กวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าเหมือนที่เขาพูดๆ กัน มันไม่มีความหมายอะไรนัก ธรรมดามันก็เป็นอย่างนั้นอยู่เองแล้ว แต่นี่ฉันพูดว่าเธอเป็นผู้สร้างโลก โลกในอนาคตจะเป็นโลกที่เธอสร้างขึ้น มันเหมือนกับโลกของเธอที่เธอสร้างมันขึ้นมา เธอรู้จักตัวเองน้อยเกินไปจึงไม่รู้จักข้อนี้ เพราะฉะนั้นอย่างพึ่งโกรธอย่าพึ่งด่าอยู่ในใจในเมื่อฉันพูดว่าเด็กๆ ทั้งหลายยังรู้จักตัวเองน้อยเกินไป ไม่รู้ถึงเกียรติอันสูงสุดว่าเป็นผู้สร้างโลก ดังนั้นเธอทั้งหลายจึงตกอยู่ในความสะเพร่า อวดดี ทำอะไรหวัดๆ จนกระทั่งเธอต้องตกไปเป็นทาสของยาเสพติด ซึ่งไม่ใช่เป็นแต่เพียงจับตัวเองโยนนรกแต่เป็นการจับบิดา มารดาใส่นรกด้วย นี่หรือคือความกตัญญูกตเวทีของพวกเธอ เธอบูชาอบายมุขทุกชนิดกันเอิกเกริก เป็นกามโรคกันตั้งแต่เล็กก็มี เป็นเจ้าชู้กันตั้งแต่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็มี นี่มันชิงสุกก่อนห่าม เด็กหญิงบางคนต้องทำแท้ง ทุกคนเหล่านี้ดื้อดึงบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ เธอโกรธเมื่อท่านดุด่าว่า เธอทั้งหลายดูให้ดี บิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ นี่มัน ท่านเป็นคนตีหม้อ ท่านต้องเป็นคนตีหม้อ มิฉะนั้นในโลกนี้จะไม่มีลูกที่ดี ตีหม้อหมายความว่าอย่างไร ถ้าเธอรู้จักตัวเองน้อยเกินไปเธอก็ยิ่งไม่รู้จักคำว่าตีหม้อ การตีหม้อนั้นเขาเอาดินดิบๆ มาปั้นเป็นรูปหม้อแล้วเขาก็ตีรอบๆ ให้มันแน่นให้มันเป็นดินที่แน่นให้มันได้รูปได้ร่าง การตีหม้อนั้นไม่ใช่ตีให้แตกแต่ตีให้เป็นรูปเป็นร่างและตีให้เนื้อมันดี ท่านเป็นคนตีหม้อกันอย่างนี้และท่านต้องเป็นด้วย บิดามารดาต้องเป็นคนตีหม้อ คือตีลูกให้มันดีให้มันแน่นอยู่ในคุณแห่งความดี ถ้าไม่มีบุคคลประเภทนี้ในโลกนี้ก็จะไม่มีลูกที่ดี ระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนกับการตีหม้อทั้งนั้น ถ้าอย่างไรเด็กๆ ทั้งหลายมาเข้าโรงเรียนหรือเข้ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้ากันเสียบ้างจะดีไหม อย่างเธอมาบวชเณรหรือโตขึ้นบวชพระ นี่เรียกว่าเข้าโรงเรียนหรือเข้ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ที่นั่นมีการบังคับตัวเองให้อยู่แต่ในร่องในรอยอดกลั้นอดทน ขยันขันแข็งทำประโยชน์ผู้อื่น เป็นพระแล้วก็ช่วยล้างส้วมสาธารณะที่สกปรกให้สะอาดได้ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่มีการหลงใหลในความสุขทางเนื้อหนัง ไม่มีการบูชาความสุขทางเนื้อหนังคือความเอร็ดอร่อยที่คนสมัยนี้เขาบูชากันนักในทางวัตถุในทางเนื้อหนัง ดูต่อไปอีกหน่อยก็จะพบว่าเด็กๆ ทั้งหลายรู้จักตัวเองน้อยเกินไปจนถึงกับกล้าพูดว่า บุตรมีบุญคุณแก่บิดามารดา ไม่ใช่บิดามารดามีบุญคุณแก่บุตร เธอกำลังเข้าใจผิดว่าบุตรมีบุญคุณแก่บิดามารดาเหมือนเด็กบางคน ฉันจะเล่าเรื่องจริงให้ฟังสักเรื่องหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ประดิษฐ์ขึ้นมา เป็นเรื่องจริงที่ในกรุงเทพฯ ผู้หญิงคนหนึ่งเขาไปเรียนเมืองนอกสำเร็จมีปริญญามา เขาก็ใช้แม่ของเขาอย่างกับว่าคนใช้ วันหนึ่งแม่ของเขาเหนื่อยเหลือทนแล้วก็พูดออกมาว่า ลูกไม่รู้จักบุญคุณของฉันเสียเลย ลูกช่างไม่รู้จักบุญคุณของฉันเสียเลย ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ตวาดกับแม่ว่า ฉันต่างหากเล่าที่มีบุญคุณแก่แม่ ฉันทำให้แม่ได้มีชื่อ มีเสียง ฉันมีเงินให้แม่ใช้ ฉันเป็นผู้มีบุญคุณแก่แม่ เธอทั้งหลายลองฟังดูว่า ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาได้ความรู้อย่างนี้ จึงรู้จักตัวเองน้อยเกินไป แม้แต่บุญคุณของพ่อแม่ก็ไม่รู้จัก แล้วจะรู้จักตัวเองได้อย่างไรว่าเราจะเป็นคนสร้างโลกให้น่าดูให้งดงาม เธอสังเกตดูก็จะเห็นในที่ทั่วๆ ไปว่าบุตรอันจองหองเหล่านี้ไม่เท่าไหร่ก็ยังต้องขอเงินแม่ขอเงินพ่อเพื่อสร้างบ้าน เพื่อแต่งงานอยู่นั่นเอง เขาใช้หยาดเหงื่อของแม่ของพ่อไปตั้งแต่ต้น จนกระทั่งแต่งงานมีลูกมีหลานก็ยังอาศัยหยาดเหงื่อของพ่อแม่ เขาขูดรีดบิดามารดานานาแบบด้วยกลโกงต่างๆ ก็มี อ้อนวอนขอซึ่งหน้าก็มี แล้วเขายังหวังรับมรดกจากพ่อแม่ บางคนอยากให้พ่อแม่ตายเร็วๆ เพื่อจะได้รับมรดกอย่างนี้ก็ยังมี เธอคิดดูเอาเองเถิดว่าใครมีบุญคุณแก่ใครกันแน่ เอาละเรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญนัก มามองกันในเรื่องที่สำคัญที่สุดน่าชื่นใจที่สุดเป็นเรื่องจริงที่สุดคือข้อที่ว่าเด็กๆ ทั้งหลายเป็นผู้สร้างโลกในอนาคตโดยแท้จริง ทบทวนกันอีกทีคอยฟังให้ดีนะ โลกนี้ทั้งหมดย่อมประกอบอยู่ด้วยมนุษย์ทั้งหมด มนุษย์ทั้งหมดเป็นอย่างไรโลกนี้ก็เป็นอย่างนั้น เด็กทุกคนจะเป็นมนุษย์ทุกคนในอนาคตในโลก โลกจึงเป็นอย่างที่พวกเธอทุกคนเป็นในขณะนั้นหรือจะทำให้มันเป็นในขณะนั้น เธอจึงเตรียมตัวเป็นคนดีเพื่อโลกมันจะเป็นโลกที่ดีมีค่า และสวยสดงดงาม ไม่มีอะไรน่าขยะแขยง แล้วจะเป็นโลกที่มีสันติสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน ไม่มีวิกฤตการณ์อันเลวร้ายอันโสมมเหมือนที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้ในเวลานี้ นี่เห็นไหมเธอทั้งหลายสามารถสร้างโลกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นมาได้ ในเมื่อเธอทั้งหลายเป็นคนดีมีศีลธรรมที่เธอควรจะตั้งต้นกันเสียแต่บัดนี้ ฟังดูให้ดีนะ ศีลธรรมคืออะไร ศีลธรรมนั้นเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนาในโลกที่เหมาะสมแก่พวกเธอในการที่จะร่วมกันสร้างโลก ศีลธรรมนั้นสรุปเป็นหัวข้อเพียง ๓ ข้อก็พอ พอจริงๆ คอยฟังให้ดีๆ นะ ฟังแล้วเอาไปคิดไม่ต้องเชื่อทันที การฟังแล้วเชื่อทันทีนั้นผิดหลักของพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะนำไม่ให้ทำเช่นนั้น เอาไปคิดให้เห็นว่า ถ้ามันแสดงว่าทำตามแล้วเป็นผลดีแก่ทุกคนแล้วก็ทำ ที่ว่ามีอยู่ ๓ ข้อนั้น ข้อที่ ๑ คือ รักผู้อื่น ผู้อื่นทั้งหลายถ้าเธอมองดูสักนิดจะเห็นว่ามันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันกับเรา มันมีใครเล่าที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันก็เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน ทนทุกขเวทนาอย่างเดียวกัน เราจึงถือว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ครั้นรักผู้อื่นแล้วก็จะหมดความเห็นแก่ตัวอันเป็นสิ่งเลวร้ายทำลายโลก เธอจะเห็นได้ไม่ยากเลยว่าโลกกำลังเลวร้ายเพราะมีแต่ความเห็นแก่ตัวของแต่ละคน ถ้ารักผู้อื่นแล้วสมมุติว่าเธอรักผู้อื่นแล้วเธอก็ไม่อาจจะฆ่าใคร ไม่อาจจะทำอันตรายใคร เธอรักผู้อื่นแล้วเธอก็ไม่อาจลักขโมยคดโกงใคร เธอรักผู้อื่นแล้วไม่อาจจะล่วงละเมิดของรักของใคร่ของใครในทุกระดับ ตั้งแต่ของรักอย่างธรรมดาจนของรักสูงสุดในเรื่องบุตรภรรยาเป็นต้น เธอรักผู้อื่นแล้วไม่อาจจะโกหกพูดเท็จหลอกล่วงใครเพื่อเอาประโยชน์ของเขามา เธอรักผู้อื่นแล้วไม่อาจจะเสพของมึนเมาให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ให้รำคาญแก่ผู้อื่นให้รำคาญแก่บิดามารดา ดังที่รำคาญกันอยู่ในเมื่อบุตรหลานเป็นผู้ติดยาเสพติด เมื่อรักผู้อื่นแล้วโลกนี้ก็จะมีแต่ความเมตตา กรุณา ช่วยเหลือกันฉันท์มิตรทุกทั่วหน้า เป็นโลกที่มีแต่มิตรไม่มีศัตรู แม้นอนก็ไม่ต้องปิดประตู เหลียวไปทางไหนมีแต่มิตร มีแต่มิตรที่พร้อมจะช่วยเหลือไม่ใช่มิตรเฉยๆ ไม่ใช่เป็นเพื่อนกินคอยหลอกลวงมิตรเพื่อจะกิน โดยเฉพาะมิตรที่ติดยาเสพติดนั้นเขาจะคอยหลอกลวงลึกซึ้งเหลือประมาณเพื่อจะได้เงินได้ความช่วยเหลือของเธอไปใช้ในการเสพยาเสพติด เรามีแต่มิตรที่แท้จริงที่หวังดีมีแววตาแห่งความหวังดี ค่อยช่วยเหลือทุกเมื่อเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ นี่คือโลกพระศรีอารย์ เรียกเต็มๆ ว่า พระศรีอาริยเมตไตรย คนเป็นอันมากเขาเอาไปล้อว่า ศรีอารย์ คือแย่ที่สุด อานไปเลยนี่ เธออย่าไปเข้าใจผิดเช่นนั้นอย่าฟังคำนั้นแล้วเข้าใจอย่างนั้น มันย่อมาจากคำว่า พระศรีอาริยเมตไตรย เมตไตรย แปลว่า ความเป็นมิตรหรือเกื้อกูลแก่ความเป็นมิตร เป็นปัจจัยแห่งความเป็นมิตร ศรีอาริยะนั้นหมายความว่า ประเสริฐที่สุด มีสง่าราศีที่สุด ศรีอาริยเมตไตรยถือกันว่าเป็นชื่อของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่จะทำโลกนี้ให้เต็มไปด้วยมิตรภาพ นี่เรียกว่าศีลธรรมข้อที่ ๑ สรุปความว่า รักผู้อื่น ศีลธรรมข้อที่ ๒ คือ การบังคับจิตของตนของตน ทุกคนบังคับจิตของตน จิตนี้ต้องบังคับ บังคับจิตก็คือบังคับความรู้สึกควบคุมความรู้สึกเรียกกันทั่วไปแต่ก่อนว่าบังคับตนเอง เป็นที่นิยมนับถือกันทั่วโลก บังคับจิตของตนไม่ให้ผลุนผลันบันดาลโลภะ บันดาลโทสะ บันดาลโมหะ บันดาลโลภะก็คดโกงทันทีขโมยทันที บันดาลราคะก็ข่มขืนแล้วฆ่าเหมือนที่มีอยู่ทั่วไป บันดาลโทสะก็คือโกรธไว โกรธร้ายแรงเป็นดินระเบิดนี่เรียกว่าบันดาลโทสะซึ่งมีเห็นอยู่ทั่วๆไป เธอก็เคยบันดาลโทสะ ถ้าพูดกันจริงๆ แล้วผู้หลักผู้ใหญ่เกือบจะทุกคนก็เคยบันดาลโทสะ เธอมองให้ดีว่ามันเสียหายเท่าไหร่ถ้าบันดาลโทสะ บันดาลโมหะก็เหมือนกับโง่เร็วเกินไป คือสะเพร่าเร็วเกินไปนี่เรียกว่าบันดาลโมหะ เสียหายเท่าไหร่เธอก็ลองคิดดู ไม่ควรทำมันก็ทำอย่างผลุนผลัน ไม่ควรพูดมันก็พูดอย่างผลุนผลัน นี่เรียกว่ามันบันดาลกิเลส บันดาลความรู้สึกที่เป็นกิเลส บันดาลความโลภ บันดาลความโกรธ บันดาลความหลงอย่างผลุนผลัน ถ้าเราบังคับจิตหรือบังคับตัวเองมันไม่บันดาลสิ่งเลวร้ายเช่นนั้น มันจะมีสติสมบูรณ์ ไม่เผลอเรอเลินเล่อ ไม่มีทางที่จะตัดสินใจอะไรผิดๆ ไม่คิดผิด ไม่พูดผิด ไม่ทำผิด จะทำอะไรก็ตั้งนะโมก่อนเสมอ ฉันกำลังพูดกับพวกเธอว่าทำอะไรตั้งนะโมก่อนเสมอ เด็กบางคนจะนึกหัวเราะเยาะอยู่ในใจว่าตั้งนะโม เด็กสมัยนี้ไม่รู้อะไร นอกจากไม่รู้จักตัวเองแล้วยังไม่รู้จักว่าตั้งนะโมกันทำไม จะทำอะไรให้ตั้งนะโมก่อนเสมอนี่คือ จะทำอะไรให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเสมอไป ก่อนแต่จะทำอะไรลงไปให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ เขาวางไว้ให้เป็นรูปสำเร็จว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ เด็กๆ บางคนว่านะโมก็ไม่ถูก ว่า สัมพุทตัสสะอย่างนี้เสียก็มี มันเป็นเด็กที่ไม่ฉลาดในการที่จะสังเกตหรือฟังให้ดี ฉันหวังว่าเด็กๆ ทุกคนเหล่านี้จะไม่ตั้งนะโมผิดๆ ว่า สัมมาสัมพุทตัสสะอีกต่อไป ตั้งนะโมนั้นให้สำรวมจิตใจระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เขาจึงสอนกันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีว่าจะลงมือทำอะไรก็ตั้งนะโมก่อน ดูบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย เขาจะทำอะไรเขาตั้งนะโมก่อนเสมอ เด็กๆเกิดมาไม่เท่าไหร่พอพูดได้เขาก็สอนให้พูดว่านะโมก่อนสิ่งอื่น เพื่อให้รู้จักว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร เราจะต้องระลึกนึกถึงอยู่เสมอจะทำอะไรสำรวมจิตใจตั้งนะโมเสียก่อน ก็จะมีเวลาพอที่จะคิดนึกสังเกตศึกษาว่า ควรทำไหมหรือควรทำอย่างไร ควรทำเท่าไหร่ ควรทำที่ไหน นี่เรียกว่ามันไม่มีทางจะผิดพลาดถ้าทำอะไรนี่ตั้งนะโมเสียก่อน ถ้าหากว่าบางคนถือศาสนาอื่นไม่ใช่พุทธศาสนา จะยืมเอานะโมไปใช้ก็ได้เหมือนกัน ได้หมายถึงพระเป็นเจ้า คำสอนของพระเป็นเจ้าแห่งศาสนานั้นๆ แล้วแต่ว่าตนจะถือศาสนาอะไร เอาแต่ใจความก็คือว่าสำรวมสติสัมปชัญญะให้ดีที่สุด ให้มากที่สุด ให้ครบถ้วนที่สุดเสียก่อนแล้วจึงทำ เพื่อเป็นการบังคับตัว ควบคุมตัว ปกครองตัว ตัวคือกิเลสตามธรรมชาติตามธรรมดาของคนทุกคนต้องบังคับไว้ ต้องควบคุมไว้ ต้องปกครองไว้ อย่าให้กิเลสมันไปกระทบกระทั่งผู้อื่นโดยทางกายหรือโดยทางสิทธิอันชอบธรรม ซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจแล้วออกมาทางร่างกาย เดี๋ยวนี้คนละเมิดสิทธิของผู้อื่นจนเกิดเรื่องเกิดราวอยู่ทั่วไปทั้งโลก องค์การโลกก็มีการละเมิดสิทธิกันบ่อยๆ เหมือนกัน คุมพวกเป็นพวกๆ แล้วก็ออกเสียงเพื่อได้เปรียบทางตน จนกระทั่งว่ามันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เธออย่าเอาอย่างเธอโตขึ้นแล้วจะเป็นผู้สร้างโลก เธอจงสร้างโลกให้ไม่มีการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ทุกหนทุกแห่งให้มีแต่ความถูกต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยช่วยจำให้ดี ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เรามีแต่ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย มีความสกปรกรกรุงรังน่าขยะแขยงอย่างนั้นก็มี ไม่ราบรื่นในความมีระเบียบมันจึงไม่น่าดู ถ้ามันมีแต่ความงดงาม ความถูกต้อง ความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วนั่นแหละเป็นลักษณะแห่งโลกของพระศรีอาริยเมตไตรย ศีลธรรมข้อที่ ๒ บังคับจิตของตนให้ทำสิ่งต่างๆ ถูกต้องทั้งภายในและภายนอก ตนเองก็ถูกต้อง ทั้งโลกก็ถูกต้อง ที่นี้ก็มาถึงศีลธรรมข้อที่ ๓ คือถือหลักว่า การทำการงานนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม เด็กบางคนไม่ชอบการปฏิบัติธรรมก็ไม่อยากฟัง ไม่อยากฟังก็ไม่ได้ทำการงานที่เป็นการปฏิบัติธรรม เขาก็ทำงานด้วยกิเลส ทำงานด้วยกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เขาก็เท่ากับทำลายตัวเอง เชือดคอตัวเองลงไปทีละน้อยๆ แล้วก็จะวิวาท วินาศลงไปในที่สุด การทำงานคือการปฏิบัติธรรมสิ่งที่เรียกว่า ธรรมนั้นแปลว่าหน้าที่ของมนุษย์ คำว่า ธรรม แปลว่าหน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์มีหน้าที่ เด็กๆ ต้องฟังข้อนี้ให้ดีๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจเขาไม่รู้จักตัวเองเพียงพอ หน้าที่นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ มีหน้าที่รักษาตัวเองให้รอด แล้วก็มีหน้าที่ทำตัวเองให้เจริญสูงยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดที่มนุษย์ควรจะทำได้ ฉะนั้นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำให้ถูกต้องนี่เขาเรียกว่า ธรรม เรียกว่าพระธรรม เมื่อเราทำหน้าที่ก็คือการปฏิบัติธรรม มีธรรมะในตัวแล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ อยากจะทราบว่าพวกเธอทั้งหลายเหล่านี้ใครเคยยกมือไหว้ตัวเองบ้าง หรือถ้าว่าใคร ถ้าว่าใครเห็น เห็นใครยกมือไหว้ตัวเองแล้วจะไม่หัวเราะเยาะ มันไหว้ตัวเองไม่เป็นแล้วมันก็คิดว่าไหว้ตัวเองไม่ลงเพราะมีแต่สิ่งที่ผิดพลาดถึงกับน่าขยะแขยงก็มี ไม่เคยคิดจะไหว้ตัวเองกันทั้งนั้นเพราะไม่รู้ว่าตัวเองนี้มีไว้ทำอะไร นี่ถ้ามองเห็นว่าตัวเองมีไว้สำหรับทำหน้าที่ของมนุษย์ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรม มีธรรมะแล้วก็ไหว้ตัวเอง ครั้นไหว้ตัวเองแล้วก็พอใจตัวเอง พอใจตัวเองก็มีความสุข เราจึงมีความสุขได้ในการงานที่ทำ ในที่ที่ทำงาน ในเวลาที่เราทำงานเรามีความสุข เราไม่ต้องไปอาบอบนวดเหมือนเขาอื่น ไม่ต้องหาความสุขจากอบายมุขคือดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ซึ่งเป็นปากทางแห่งอบายเป็นประตูแห่งอบายคือ ความพินาศ ความฉิบหายทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ ยกมือไหว้ตัวเองแล้วก็จะเกลียดชังยาเสพติดเห็นเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง จะเกลียดชังอบายมุขทุกชนิด เป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไร เขามีความรักการงานเป็นสุขอยู่ในการงาน มีการงานเป็นที่เคารพ ระวัง ทำให้ดีที่สุด ถ้าทุกคนทำอย่างนี้แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร โลกนี้จะไม่มีคนจนแม้แต่คนเดียว ไม่มีคนยากจนแม้แต่คนเดียว มีใครเจ็บไข้ลงสักคนมีคนมาช่วยเหลืออาสาเยียวยารักษาตั้งร้อยคนนะคิดดูเถอะว่า ถ้าว่ามันมีการงานเป็นพระธรรม ก็ไม่มีใครเป็นคนยากจนมีแต่คนร่ำรวย รวยด้วยเงินรวยด้วยน้ำใจนี่ล่ะลักษณะของโลกของพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งเธอทั้งหลายสามารถจะสร้างมันขึ้นมาได้ในอนาคต เมื่อมีการศึกษาดี ถูกต้อง เพียงพอแล้ว รู้สึกว่าคน เด็กๆ นี่เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้านั้นน่ะก็เพื่อจะสร้างโลกให้ถูกต้อง ให้สมบูรณ์ ให้งดงามจนเรียกว่าโลกพระศรีอาริยเมตไตรย สรุปความว่าสร้างโลกพระศรีอริยเมตไตรยได้ด้วยการกระทำเพียง ๓ อย่างเท่านั้น ไม่ใช่มากมายเป็นภูเขาเลากาท่วมหูท่วมหัว มันเพียง ๓ อย่างเท่านั้นลองคิดดูใหม่ ๑.ทุกคนรักผู้อื่น ๒.ทุกคนบังคับกิเลสของตนเอง ๓.ทุกคนรักและบูชาการงาน เห็นหน้าที่ของมนุษย์เป็นสิ่งสูงสุด มีความสุขจากการทำงานได้ความสุขชนิดที่ไม่ต้องจ่ายเงิน มันเป็นความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงินอย่างที่เธอไปขโมยของพ่อแม่มาซื้อหาความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ความสุขหลอกลวง ความสุขโง่เขลา ความสุขที่ต้มให้สุก เผาให้สุก กี่ให้สุก เราจะต้องมีความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วกลับได้เงินมามีเงินเหลือเฟือมากขึ้นทุกที นี่คือความสุขที่ได้มาจากการไหว้ตัวเอง เคารพตัวเองเมื่อทำการงาน มีความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วกลับมีเงินเหลือเฟือมากขึ้นทุกที ไม่มีใครขาดแคลนอะไรตนเองก็เป็นสุขแล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นสุข ข้อนี้ระวังไว้ดีๆ ว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ เราต้องมีเพื่อนร่วมโลก เราจะเป็นผู้มีความสุขคนเดียวไม่ได้เมื่อคนอื่นทุกคนไม่มีความสุข จึงต้องทำพร้อมๆ กันไป ตัวเองก็เป็นสุขผู้อื่นก็เป็นสุขจึงจะเป็นโลกที่มีแต่สันติสุขเรียกว่าโลกของพระศรีอริยเมตไตรย ถ้าเธอจะเห็นว่ามันเป็นชื่อที่ยืดยาวโก้หรูเกินไปจะไม่เรียกอย่างนั้นก็ได้แต่เรียกว่าโลกที่เธอต้องช่วยกันสร้างมันขึ้นมา เพราะว่าเด็กๆ คือผู้สร้างโลกดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มันเป็นโลกที่พวกเธอต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา ในที่สุดนี้ฉันจะขอให้เด็กๆ ทุกคนรู้จักตนเองให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงว่า เด็กๆ คือผู้สร้างโลก มีหน้าที่สร้างโลกในอนาคตโดยเฉพาะอย่างถูกต้อง เธอทั้งหลายเตรียมตัวเสียแต่วันนี้เพื่อทำหน้าที่อันแท้จริงของตน วันนี้เป็นวันเด็กเป็นวันที่มีเกียรติที่สุดสำหรับเด็ก แต่มันก็แล้วแต่ว่าเด็กๆ เขารู้หรือไม่รู้ รู้จักหรือไม่รู้จักว่าวันเด็กนี้เป็นวันสำหรับทำอะไร เธอทั้งหลายงดความเป็นลิงทะโมนในวันนี้ อย่าตกเป็นทาสของบทเพลง ภาพยนตร์ ดนตรี ที่ทำให้เธอเป็นลิงทะโมน สิ่งเหล่านั้นเขาสร้างขึ้นมาเพื่อความร่ำรวยของเขา เพื่อประโยชน์แห่งความร่ำรวยของเขาไม่ใช่เกื้อกูลเรา เราไปโง่ไปหลงในบทเพลง ภาพยนตร์ ดนตรีเหล่านั้น ซึ่งมันทำลายสภาพแห่งจิตใจของเธอ ทำลายสภาพแห่งจิตใจของเธอวอดวายหมดแล้ว ตั้งแต่สักว่าเห็นภาพโฆษณา ฉันว่าเพียงแต่เห็นภาพโฆษณาของสิ่งเหล่านี้จิตใจของเธอก็วอดวายหมดแล้ว ถ้าเธอไปดื่ม ไปกิน ไปใช้ ไปเล่น ไปหัวเป็นลิงทะโมนในสิ่งเหล่านั้นแล้วก็จะมีความวินาศฉิบหายหมดไม่มีอะไรเหลือ ขอย้ำอีกทีว่า สักแต่ว่าได้เห็นภาพโฆษณาของสิ่งเหล่านี้จิตใจของเธอก็วินาศหมดแล้ว มันเป็นสิ่งหลอกลวงอันใหญ่หลวง ขอให้เธอรู้จักมันไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่ทำลาย ในที่สุดนี้ฉันก็ขออวยพรด้วยความรักด้วยความปา-รถนาดีแก่เธอทุกๆ คน ขอให้เด็กๆ ทุกคนมีจิตใจเข้มแข็งบังคับตัวเองให้ได้ กล้าหาญในการที่จะทำความดีอย่ามัวละอายกันอยู่ในเรื่องที่จะต้องทำความดีหรือแสดงตัวออกมาว่าตัวเป็นผู้ทำความดี เธอทั้งหลายจงเห็นว่าการงานในหน้าที่นั้นเป็นการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม หน้าที่ต่ำ หน้าที่สูง หน้าที่อะไรก็เหมือนกันหมดเป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น ถ้าเราไม่สามารถจะทำงานอะไรมากไปกว่ากวาดถนน ล้างท่อถนน แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ เราก็ทำไปเถอะ มันเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อมนุษย์เพื่อโลกนี้มันสะดวกสบายและงดงามเรียกว่าประพฤติธรรมะเสมอกัน ได้ประพฤติแล้วก็มีความสุข ขออวยพรให้เธอมีพรอันเกิดมาจากการประพฤติที่ดีงาม การประพฤติที่ดีงามนั้นเป็นพร พรแปล่าว่าดี ดีแปลว่าพร ทำดีก็คือมีพร มีพรก็คือทำดี มีความดี ขอให้เธอมีปัญญาความรู้ที่ถูกต้อง รู้จักผิดชอบชั่วดีโดยถูกต้อง บาปมี บุญมี บาปคือทำผิดเดือดร้อน บุญคือทำถูกมีความสงบสุข ขอให้เธอมีศรัทธามีความเชื่อแน่ในตัวเอง อันเกิดมาจากปัญญาแน่ใจในการกระทำของตนว่าเราทำถูกต้องและปลอดภัย มีศรัทธาในความปลอดภัยของตนตั้งแต่ต้นจนตลอดชีวิต จิตใจก็จะมีความสุขและเป็นความสุขที่ไม่หลอกลวง มีความสุขนั้นมันสนุกสนานในการสร้างโลก โลกของพระศรีอาริยเมตไตรย เราช่วยกันสร้างเมื่อสร้างก็มีความสุข นี่เป็นของขวัญในวันนี้ เป็นของขวัญแก่เด็กทั้งหลายคือเด็กทุกคนมีปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เด็กทุกคนมีศรัทธาเพราะมีปัญญาจึงมีความแน่ใจว่าเราต้องทำอย่างไรและเราได้ทำอยู่แล้ว ให้เด็กๆ ทุกคนมีธรรมะคือการทำหน้าที่ด้วยความตั้งอกตั้งใจอย่างสุดชีวิตจิตใจ แล้วเด็กทั้งหลายก็มีพร พรคือความดีเป็นความสุขอยู่ในตัวมันเองไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อความสุข แต่กลับเป็นความสุขที่แท้จริงและทำให้มีเงินทองกลับมาอีกมากมาย นี่เรียกว่าความสุขอันเที่ยงแท้แน่นอน ขอให้เธอทั้งหลายได้รับของขวัญในวันนี้คือ มีปัญญา มีศรัทธา มีธรรมะและมีพรอันแน่นอนตลอดกาลนานเทอญ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่เด็กๆ ทุกคน ให้ล่วงพ้นจากการล่อลวงของมารตลอดกาลนานเทอญ สวัสดีแก่เด็กๆ ทั้งหลาย สวัสดี
เริ่มนาทีที่ 39.49 (แปลภาษาใต้เป็นภาษากลาง) นี่หมาที่โง่ๆ ทั้งหลายมาตัดหางตามที่หมาตัวนั้นบอก หมาหลายตัวตัดหางก็เลยมีหมาหางด้วนมากมาย ทีนี้หมาตัวหนึ่งเป็นหมาแก่อายุมากแล้วมันรู้ว่าไอ้นี่หลอกใครจะตัดก็ตัดเราไม่ตัด เท่านั้นแหละ มีใครตัดหางบ้าง ใครเป็นหมาหางด้วนบ้างยกมือสิ ใครเป็นหมาหางด้วน หมาหางด้วนก็คือหมาให้เพื่อนหลอกให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ เวลานี้มันมีหลอกกันมาก คนมันหลอกเด็กให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ ซึ่งเด็กๆ มันโง่แล้วมันก็เชื่อ มันหลอกไปเหลวไหลไปเที่ยวเหลวไหลให้สูบบุหรี่ ให้สูบเฮโรอีน มากขึ้นๆ นี่หมาหางด้วน เพื่อนหลอกให้ทำก็ไม่ควรจะทำแล้วก็ไปทำ เด็กๆ ทุกคนต้องระวังอย่าให้มีคนหลอกให้ไปทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ เมื่อเด็กคนหนึ่งมาหลอกเด็กหลายๆ คนว่าสูบบุหรี่นี่ดีเพราะมันติดแล้วไอ้เด็กคนนั้นมันติดบุหรี่แล้ว มันก็มาหลอกเด็กหลายๆ คนว่าสูบบุหรี่นี้ดี แล้วก็เอาเลยสูบบุหรี่จนติดแล้ว คนติดบุหรี่นะเป็นคนไม่ดีเหมือนหมาหางด้วน เด็กคนไหนอยากให้ครูสูบบุหรี่ยกมือ เด็กคนไหนไม่อยากให้ครูสูบบุหรี่ยกมือ เออ,พวกครูทั้งหลายช่วยจำไว้ด้วยว่าเด็กไม่ต้องการให้คุณครูสูบบุหรี่ แล้วคุณครูอย่าไปหลอกเด็กให้หมาหางด้วนให้เป็นหมาหางด้วนว่าสูบบุหรี่นั้นดีนะนี่เด็กๆ ทุกคนโตขึ้นสูบบุหรี่นะ ให้พระอินทร์เขียวๆ มาชวนอย่าเอานะ ให้พระอินทร์เขียวๆ มาจากบนฟ้ามาชวนให้สูบบุหรี่กันนะ กินเหล้ากันนะ ไม่เอา ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม เราจะไม่เป็นหมาหางด้วนไม่ให้ใครมาหลอกไปตัดหาง นี่เขาเรียกว่านิทานหมาหางด้วน ใครจำได้ หมาตัวหนึ่งไปติดกับดักหางขาดแล้วมาหลอกหมาทั้งหลายว่าหางขาดนี่สบายดีสวยดีตัดหางกันดีกว่า หมาโง่ๆ ตัดหางกันใหญ่ หมาแก่ตัวหนึ่งมันฉลาดมันไม่เอาด้วย กูไม่เอาด้วย มันไม่ตัด หางไม่ด้วน นี่นิทานนาทีเดียว นาทีเดียว เล่านิทานอีกเรื่องนะ คนอยู่กับลิงตัวหนึ่งเป็นเพื่อนตายกันมา วันหนึ่งคนนอนหลับนอนตะแคงหลับ แมลงวันมาตอม มาเกาะที่หู ที่ขมับของคนจะนอนหลับ ลิงมันโกรธแมลงวันว่ามารบกวนเพื่อนของมัน มันไปเอาท่อนไม้มา เงื้อขึ้นสองมือท่วมหัวแล้วฟาดลงไปบนแมลงวัน แมลงวันก็ไม่ตายมันบินไปเสียก่อน แล้วอะไรเกิดขึ้นเธอว่า เธอว่าอะไรเกิดขึ้น คนชัก ไม่ตายก็ชักไปพักใหญ่ เพราะไม้อันใหญ่เงื้อขึ้นสองมือฟาดลงไปบนหู นี่เขาเรียกว่าความรักของคนโง่ ความรักของความโง่เป็นอันตราย เราต้องฉลาดพอที่จะประพฤติประโยชน์ต่อผู้อื่นต้องฉลาดพอ ความหวังดีของคนโง่ถึงกับตายได้ นี่เขาเล่ากันมาแบบนี้ ใครจำได้นิทานนาทีเดียวครบถ้วนนะ เดี๋ยวจะลืมเดี๋ยวจะลืมกันไปว่าลิงกับคนเป็นเพื่อนรักอยู่ด้วยกัน คนนอนหลับแมลงวันมาเกาะข้างหู ขมับ ขมับ ไอ้ลิงมันโกรธแมลงวันมารบกวนเพื่อนมัน เอาไม้มาเงื้อสองมือฟาดลงไปบนแมลงวัน ไอ้ลิงมันทำไปด้วยความรักเพื่อนนะ หวังดีต่อเพื่อนนะ แต่แล้วเพื่อนชักตายเลย เธอก็ระวังนะบางทีความรักความหวังดีของเธอมันทำอันตรายผู้อื่นก็มี เราอย่าโง่เหมือนกับลิงถึงขนาดนั้น อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องความสะเพร่า ความสะเพร่ามันก็โง่เหมือนกัน แม่คนหนึ่งมีลูกเล็กๆ แล้วลูกเล็กๆ มันกลืนสตางค์เข้าไปติดอยู่กับคอเอาไม่ออก ทีนี้แม่มันก็ว่าเอาน้ำกรดเทลงไปละลายสตางค์ให้หมดแล้วมันจะได้หาย แม่มันก็เอาน้ำกรดเทลงไปในคอของลูกที่สตางค์ติดอยู่ เธอว่ามันจะเป็นอย่างไร จะได้ผลอย่างไร สตางค์ละลายหมดถึงหาย สตางค์ละลายพร้อมกับเด็กก็ตาย การทำอะไรสะเพร่ามันไม่ได้ ลวกๆสะเพร่าไม่ดี ทุกคนเด็กๆ ทุกคนอย่าทำอะไรหวัดๆ ลวกๆ สะเพร่า มันต้องคิดกันรอบคอบให้ดีว่าอะไรเป็นอะไร นี่ก็ว่าอย่าสะเพร่าเด็กๆ อย่าสะเพร่า ทำอะไรให้สำรวมสติสัมปชัญญะเสียก่อน ตั้งนะโนก่อนไม่ว่าทำอะไรให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ทำอะไรให้ตั้งนะโมเสียก่อน จะทำอะไรให้ตั้งนะโมเสียก่อน นี่ก็จะมีสติพอที่ทำอะไรไม่ให้ผิด จะสอบไล่หรือจะทำอะไรสำคัญๆ ให้ตั้งนะโมเสียก่อน ให้ไหว้พระพุทธเจ้าเสียก่อน สติก็จะมาดี เมื่อเราเด็กๆ นะเราเห็นเด็กๆ นะ เมื่อมันจะขึ้นต้นไม้ จะขึ้นต้นไม้ทีนี้มันมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ มันพนมมือว่างุบงิบ งุบงิบ งุบงิบ ไม่รู้มันว่าอะไรตอนนี้แล้วมันจึงขึ้นต้นไม้ เราเชื่อว่าเด็กคนนี้คงจะว่านะโมหรือว่าอะไรก่อนขึ้นต้นไม้ มันยืนพนมมือนิ่งชั่วอึดใจแล้วมันจึงขึ้นต้นไม้ คนแต่ก่อนเขาสอนให้สติสมบรูณ์ ให้เป็นประสาทสมบรูณ์ปกติดีแล้วขึ้นต้นไม้แล้วมันไม่ผลัดตก นี่เขาเรียกว่าฝึกให้เป็นคนมีสติสมบูรณ์ก่อนจะพูดออกมา ก่อนที่จะทำอะไรลงไปหรือก่อนที่จะนึกตัดสินใจอะไรให้ทำสติให้สมบูรณ์ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เด็กๆ ทะเลาะกันเอาศอกถองกันเหมือนในหนังนี่นะ ถ้าพระพุทธเจ้ามาเห็นจะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าจะว่าดีหรือไม่ดี เด็กๆ กำลังทะเลาะเอาศอกถองกันนี้ ถ้าพระพุทธเจ้ามาเห็นท่านจะว่าดีหรือไม่ดี อ้า, มันไม่ดี เธอก็นึกได้ พระพุทธเจ้ามาเห็นท่านก็ว่าไม่ดี ถ้าเรานึกให้ดีก่อนเราก็ไม่ทำ เราจะทำอะไรนะให้นึกเสียก่อนว่าถ้าพระพุทธเจ้ามาเห็นท่านจะว่าดีหรือไม่ดี พอจะรู้ได้ พอจะรู้ได้ว่าดี ไม่ดี จิตพระพุทธเจ้าว่าไม่ดีเราก็ไม่ทำ ทำทุกอย่างแหละถ้านึกแล้วพระพุทธเจ้ามาจะว่าอย่างไร ว่าดีหรือไม่ดี ถ้าว่าไม่ดีก็ไม่ทำ นี่คนเรามันนับถือพระพุทธเจ้าไม่จริงนี่ว่าแต่ปาก ไม่จริง ขี้คร้านทำการบ้าน เด็กขี้คร้านทำการบ้าน พระพุทธเจ้ามาเห็นจะว่าดีหรือไม่ดี ใครว่าดี พระพุทธเจ้า ใครว่าดี พระพุทธเจ้าว่าเธอทั้งหมดว่าไม่ดี เด็กขี้คร้านทำการบ้าน รุ่งขึ้นไม่มีการบ้านไปให้ครู ครูลงโทษมือขี้เกียจนักตีมันทีหลังจะได้ขยัน เวลาครูตีเด็กคนนั้นโกรธหรือไม่โกรธ โกรธหรือไม่โกรธ ไม่โกรธเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเธอจะโกรธหรือไม่โกรธถ้าครูตี ไม่โกรธ ไปฟ้องแม่ ไปฟ้องพ่อแม่ พ่อแม่ไปฟ้องนายอำเภอว่าครูตี ยุ่งกันใหญ่ เด็กคนนี้มันยังโง่บรมโง่มันไม่รู้ว่าครูเขาตีให้มันดี คนโบราญเขาถึงพูดว่าครูและพ่อแม่ด้วยเป็นช่างตีหม้อเป็นคนตีหม้อ นี่เธอไม่รู้ เธอฟังไม่ถูก จะเล่าให้ฟังเธอฟังให้ดีๆ นะ จะปั้นหม้อขึ้นมาหุงข้าวแต่ไหนแต่ไรหม้อปั้นนะต้องตี เอาดินเหนียวมาตีๆ ให้ดินเหนียวละเอียดดีแล้วเอาไปพอกให้เป็นรูแล้วก็ตีๆ ให้มันแน่นดี เขาจะตีให้เนื้อมันแน่นให้รูปมันสวยแล้วจึงคว้านควักออก เวลาหมุน เครื่องหมุนนะ ก็ต้องตี ถ้าไม่ตีมันไม่ดี ไอ้หม้อมันไม่ดีเป็นหม้อที่ไม่ดี ต้องตี จะตีหม้อต้องตีให้หม้อมันดี ให้หม้อมันแน่น ให้หม้อมันได้รูปสวย พ่อแม่ ครูอาจารย์ นี่ก็เป็นคนตีหม้อ หม้อคือเด็กๆ คือพวกเธอ คือตีให้มันดี ตีให้มันเรียบร้อย ตีให้มันถูกต้อง โทษว่าครูตี แม่ตี เธอต้องรู้ต้องนึกว่าเขาเกิดมาเพื่อสำหรับตีเหมือนกับช่างตีหม้อเกิดมาสำหรับตีหม้อ พ่อแม่ ครูอาจารย์เหมือนช่างตีหม้อเกิดมาทำให้ลูก ทำให้เด็กมันดี ก็ไม่โกรธก็ถูกแล้ว ครูตี แม่ตี ไม่โกรธ เขาทำเพื่อ ทำเพื่อเรา ทำอีก ทำอีกก็ตีอีก ไม่โกรธ ทำอีกให้ตีอีกเอาแบบนั้นเลย ถ้าพ่อตี แม่ตี ครูตีอีกจะทำอย่างไรต่อไปใครตอบได้ ทำอย่างไรต่อไป ทำอย่างไร ทำอย่าให้ถูกตีอีก ต้องทำระวังอย่าให้ถูกตีอีก ดีแล้ว ดีแล้วที่เราไม่ถูกตีอีก ถ้าถูกตีอีกถูกตีซ้ำหมายความว่ามันไม่ดีเลย อยากให้จำกันหมดทุกคน ถูกตีครั้งแรกจำไม่ให้ตีอีกต่อไป รู้ไหมๆ เราตีทีเดียวพอทีหลังไม่ต้องตีไม่ทำอย่างนั้นอีก รู้ไหมๆ ตีทีเดียวก็พอที่หลังไม่ทำอีก แม้นอนตรงนี้ตีทีเดียวก็ไม่นอนอีกแล้ว ฉะนั้นเธออย่าให้แพ้รู้ไหมตีทีเดียวพอ เรื่องนี้พ่อแม่ ครู ตีทีเดียวพอไม่ต้องตีอีก พ่อแม่ก็ต้องตี ครูอาจารย์ก็ต้องตีทำผิดก็ต้องตี เพราะตีถึงทำให้มันดี ให้มันหมดที่ไม่ดี จะได้ดีเหมือนตีหม้อคือตีให้ดี ตีให้สวย เราเมื่อทำผิดไปแล้วเพราะไม่รู้เมื่อเขาตีก็ไม่ต้องโกรธ แต่ว่าทีนี้ก็ไม่ให้ตีอีกจะทำจนไม่ให้ต้องตีอีก ก็ดีมากขึ้นโดยเร็ว ดีมากขึ้นโดยเร็ว ว่าอีกทีที่เราชอบฟังเด็กดีน่ะเด็กดีว่าใหม่ๆ ร้องเพลงนะว่าใหม่เด็กดีดังๆ เต็มเสียงให้คอขึ้นเอ็น เด็กดี
เด็กนักเรียน: เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ ๑๐ อย่าง ด้วยกัน
ท่านพุทธทาส: ไม่พอๆ ฟังอู้อี้ๆ ฟังไม่ถูก ว่าแรงกว่านั้นเต็มเสียงเลย
เด็กนักเรียน: เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ ๑๐ อย่างด้วยกัน ๑.นับถือศาสนา ๒.รักษาธรรมเนียมมั่น ๓.เชื่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ๔.วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน ๕.ยึดมั่นกตัญญู ๖.เป็นผู้รู้รักการงาน ๗.ต้องศึกษาให้เชียวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน
ท่านพุทธทาส: ฟังไม่ถูกแล้ว ฟังไม่ถูกแล้ว ว่าในคอ ฟังไม่ถูกแล้ว ว่าใหม่
เด็กนักเรียน: เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่ ๑๐ อย่างด้วยกัน ๑.นับถือศาสนา ๒.รักษาธรรมเนียมมั่น ๓.เชื่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ๔.วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน ๕.ยึดมั่นกตัญญู ๖.เป็นผู้รู้รักการงาน ๗.ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน ๘.รู้จักออมประหยัด ๙.ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาล สมัยชาติพัฒนา ๑๐.ทำตนให้เป็นประโยชน์ รู้จักบาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา เด็กสมัยชาติพัฒนา จะเป็นเด็กที่พาชาติไทย เจริญ
ท่านพุทธทาส: ไม่ถูก ไม่ถูก ฟังไม่ถูก ฟังไม่ถูก ฟังบางคำไม่ถูก ไม่รู้ว่าอะไร หนึ่งว่าอะไร หนึ่งว่าอะไร ว่าดังๆ หนึ่ง
เด็กนักเรียน: นับถือศาสนา
ท่านพุทธทาส: สอง
เด็กนักเรียน: รักษาธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: สาม
เด็กนักเรียน: เชื่อพ่อแม่ ครูอาจารย์
ท่านพุทธทาส: สี่
เด็กนักเรียน: วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ท่านพุทธทาส: ห้า
เด็กนักเรียน: ยึดมั่นกตัญญู
ท่านพุทธทาส: หก
เด็กนักเรียน: เป็นผู้รู้รักการงาน
ท่านพุทธทาส: รู้อะไร ฟังไม่ถูก เป็นผู้รู้อะไร
เด็กนักเรียน: รู้รักการงาน
ท่านพุทธทาส: เป็นผู้อะไร
เด็กนักเรียน: เป็นผู้รู้รักการงาน
ท่านพุทธทาส: เป็นผู้รู้รักการงาน เท่านี้ก็ว่าไม่ได้ ฟังไม่ถูก เจ็ด
เด็กนักเรียน: ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน
ท่านพุทธทาส: เจ็ด ฟังไม่ได้ยิน ไม่ถูก เจ็ด ว่าใหม่ เจ็ด
เด็กนักเรียน: ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ
ท่านพุทธทาส: ต้องอะไรนะ
เด็กนักเรียน: ต้องศึกษาให้เชียวชาญ
ท่านพุทธทาส: มันพูดไม่ชัดนี่ แปด
เด็กนักเรียน: รู้จักออมประหยัด
ท่านพุทธทาส: ฟังไม่ถูก
เด็กนักเรียน: รู้จักออมประหยัด
ท่านพุทธทาส: เออ นั้นละถึงจะพูดให้มันเป็นนักเรียน นี่มันพูดอู้อี้อยู่ในคอไม่เป็นนักเรียน เก้า
เด็กนักเรียน: ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล
ท่านพุทธทาส: สิบ
เด็กนักเรียน: ทำตนให้เป็นประโยชน์
ท่านพุทธทาส: อะไรนะ
เด็กนักเรียน: ทำตนให้เป็นประโยชน์ รู้จักบาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา
ท่านพุทธทาส: เอาแต่หัวข้อ ๑๐ ว่าไป
เด็กนักเรียน: ทำตนให้เป็นประโยชน์
ท่านพุทธทาส: ไม่ได้ ฟังไม่ถูก
เด็กนักเรียน: ทำตนให้เป็นประโยชน์
ท่านพุทธทาส: เออ, นั่นแหละถึงฟังถูก พูดอู้อี้อยู่ในคอมันเคยนิสัยเสียแล้วพูดอู้อี้ในคอ ทำตน ให้เป็นประโยชน์ ใครคนเดียวจำได้ทั้งสิบข้อ ยกมือ ใครคนเดียวว่าได้ทั้งสิบข้อ ไหนใครคนเดียวว่าได้ทั้งสิบข้อยืนขึ้นสิ นี่ตอนท่องก็เหมือนท่องสูตรคูณ อ้าว,ใครว่าได้ คนเดียวว่าได้ทั้งสิบข้อหนึ่ง สอง สาม สี่เลย ใครว่าได้ เออ มันขี้ขลาดหรือว่ามันไม่แน่ใจ มันไม่มี แค่เธอว่ามันเธอบอกท่อง มีสติสัมปชัญญะ มีอะไร เธอมันไม่มีเธอก็เลยจำไม่ได้สิบข้อ หนึ่ง ข้อหนึ่ง
เด็กนักเรียน: นับถือศาสนา
ท่านพุทธทาส: ข้อสอง
เด็กนักเรียน: รักษาธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: เออ นี่ รักษาอะไรนะ
เด็กนักเรียน: รักษาธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: อะไรมั่น
เด็กนักเรียน: ธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: หือ
เด็กนักเรียน: ธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: รักษาอะไรมั่น
เด็กนักเรียน: ธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: เราไม่ได้ยินธรรมเนียมเลยที่แรก ได้ยินว่ารักษาสติมั่นไม่ได้ยินว่าธรรมเนียมเลย สอง
เด็กนักเรียน: รักษาธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: รักษาธรรมเนียมมั่น ธรรมเนียมบ้าก็มี ธรรมเนียมดีก็มี เอาแต่ธรรมเนียมที่ดีๆ สาม
เด็กนักเรียน: เชื่อพ่อแม่ ครูบาอาจารย์
ท่านพุทธทาส: สี่
เด็กนักเรียน: วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ท่านพุทธทาส: ว่าใหม่ สี่
เด็กนักเรียน: วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ท่านพุทธทาส: วาจาสุภาพอ่อนหวาน ห้า
เด็กนักเรียน: ยึดมั่นกตัญญู
ท่านพุทธทาส: หก
เด็กนักเรียน: เป็นผู้รู้รักการงาน
ท่านพุทธทาส: หก
เด็กนักเรียน: เป็นผู้รู้รักการงาน
ท่านพุทธทาส: เจ็ด
เด็กนักเรียน: ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ
ท่านพุทธทาส: เจ็ด
เด็กนักเรียน: ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ
ท่านพุทธทาส: เจ็ด
เด็กนักเรียน: ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ
ท่านพุทธทาส: สิบข้อเท่านั้นมันก็ว่าไม่ถูก สิบข้อก็ว่าไม่ถูก ศึกษาให้เชี่ยวชาญ ถ้าจะศึกษาให้เชี่ยวชาญก็ต้องว่าสิบข้อได้ เด็กคนเดียวต้องว่าสิบข้อได้ แปด
เด็กนักเรียน: รู้จักออมประหยัด
ท่านพุทธทาส: เก้า
เด็กนักเรียน: ซื่อสัตย์ตลอดกาล
ท่านพุทธทาส: สิบ
เด็กนักเรียน: ทำตนให้เป็นประโยชน์
ท่านพุทธทาส: ทำตนให้เป็นประโยชน์ ข้อเจ็ดว่าให้ศึกษาให้เชี่ยวชาญนะสิบข้อยังจำไม่ได้ ท่องอยู่แท้ๆ ว่าให้เชี่ยวชาญ จำไม่ได้ อ้าว, เด็กคนไหนคนเดียวว่าได้ทั้งสิบข้อ คนไหน ว่าไป หนึ่ง สอง สาม ถึงสิบข้อ คนไหนว่าได้ ว่าได้ อย่ามัวอายอย่ามัวกลัว คนไหนว่าได้ อ้าว,คนไหนว่าได้ยืนขึ้นเดี๋ยวเราถามเอง หนึ่ง สอง สาม คนไหนว่าได้ ( นาทีที่ 01.05.33-01.05.44 ไม่เข้าใจประโยคค่ะ) อ้าว, คนนี้ หนึ่ง หนึ่ง ไม่ได้ยิน สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า เก้ารู้จักไหม ซื่อสัตย์ตลอดกาล สิบ คนนี้คนเดียวกู้หน้าโรงเรียนทั้งโรงเรียนนี้ไว้ได้ นอกนั้นทำล้มเหลว ไม่เป็นนักเรียนที่ศึกษาให้เชี่ยวชาญ เป็นนักเรียนไม่ศึกษาจริงไม่ศึกษาให้เชี่ยวชาญ มีคนเดียวช่วยกู้หน้าโรงเรียนนี้ไว้ได้ทั้งโรงเรียน คราวนี้ใครว่าได้ ใคร ยืน มีคนเดียวหรือ หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ มันต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ว่าแต่ปากทั้งหมดน่ะว่าแต่ปาก มีอยู่คน สองคนเท่านั้นที่จำไว้ได้ทั้งสิบข้อ หนึ่ง ว่าพร้อมๆ กัน
เด็กนักเรียน: หนึ่งนับถือศาสนา
ท่านพุทธทาส: สอง
เด็กนักเรียน: รักษาธรรมเนียมมั่น
ท่านพุทธทาส: สาม
เด็กนักเรียน: เชื่อพ่อแม่ ครูอาจารย์
ท่านพุทธทาส: สี่
เด็กนักเรียน: วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ท่านพุทธทาส: ห้า
เด็กนักเรียน: ยึดมั่นกตัญญู
ท่านพุทธทาส: หก
เด็กนักเรียน: เป็นผู้รู้รักการงาน
ท่านพุทธทาส: เจ็ด
เด็กนักเรียน: ต้องศึกษาให้เชียวชาญ
ท่านพุทธทาส: แปด
เด็กนักเรียน: รู้จักออมประหยัด
ท่านพุทธทาส: เก้า
เด็กนักเรียน: ซื่อสัตย์ตลอดกาล
ท่านพุทธทาส: สิบ
เด็กนักเรียน: ทำตนให้เป็นประโยชน์
ท่านพุทธทาส: ใครชอบข้อไหนมากที่สุด สิบข้อน่ะใครชอบข้อไหนมากที่สุด เอ้า,ใครตอบได้ ใครชอบข้อไหนมากที่สุด ลุกๆ ลุกเลยชอบข้อไหน ข้อเก้าว่าอย่างไร ซื่อสัตย์ตลอดกาล ใคร ใครชอบข้อไหนที่สุด ข้อไหนสำคัญที่สุด ข้อไหนสำคัญที่สุด ใครว่าข้อไหนสำคัญที่สุด เอ้า,ใครตอบได้ อะไร ข้อสามว่าอะไร ไอ้นี่มันคงจะดื้อมาก ถ้าอยู่ทุกวันคงจะดื้อมาก อ้าว,ข้อไหน ข้อไหน ข้อไหน ข้อหนึ่งว่าอะไร อ้าว,เอ้า,ข้อนี่ละ ว่าอะไร คนนี้ อะไร อ้าว,คนนู้นอะไร คนนี้ สิบ นี่ข้อสิบมีสองคนแล้วนะจำไว้ได้ ๒ คะแนนแล้ว คนนี้ ว่าอะไร อ้าวๆ ไม่รู้ๆ ว่าไป ก็ต้องประหยัด ไอ้นี่มันคงจะใช้เงินเปลืองสุรุ่ยสุร่าย ต้องชอบประหยัด ใครชอบข้อหนึ่งยกมือ ใครชอบข้อสองยกมือ ใครชอบข้อสามยกมือ ใครชอบข้อสี่ยกมือ ใครชอบข้อห้า ข้อห้า อ้าว, ข้อหก ข้อหกไม่มีใครยกมือ ข้อหกว่าอะไร ฮะ หกว่าอะไร ว่าอะไร ไม่มีใครชอบ ข้อเจ็ดใครชอบข้อเจ็ด คนเดียวมีตรงนี้ข้อเจ็ด ศึกษาให้เชี่ยวชาญ ใครชอบข้อแปด ใครชอบข้อเก้า ใครชอบข้อสิบ ใครชอบข้อสิบ เราชอบข้อสิบ ใครชอบข้อสิบในที่นี้ มีสองสามคน เราชอบของสิบ บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ เราถือว่าทุกๆ ข้อและก็ตั้งต้นทุกๆ ข้อเพื่อจะทำให้เป็นคนมีประโยชน์ คือศาสนาหรือเล่าเรียน หรืออะไรก็ตามให้เป็นคนมีประโยชน์ในที่สุด ในที่สุดให้คนเป็นคนมีประโยชน์ ถ้าทุกคนในโลกเป็นคนมีประโยชน์ ฟังให้ดีนะ ถ้าทุกคนในโลกในโลกทั้งหมดทุกคนเป็นคนมีประโยชน์โลกจะเป็นอย่างไร โลกจะเป็นอย่างไร ใครตอบได้ อ้าว, ไม่มีใครตอบได้ ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกเป็นคนทำประโยชน์มีประโยชน์โลกจะเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร ไม่ได้ยิน อ้าว,โลกจะเป็นอย่างไร ใครตอบได้ เท่านี้ก็คิดไม่ออก ทุกคนเป็นคนมีประโยชน์ในโลกทำประโยชน์ทั้งโลก โลกจะมีลักษณะอย่างไร โลกจะเป็นอย่างไร เวลานี้มีคนที่ไม่ทำประโยชน์ คอยแต่จะลักขโมย จี้ ปล้น กันอยู่มาก ไม่ทำประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ช่วยเสีย แม้แต่บ้านของมันมันก็ไม่กวาดให้สะอาด ขอให้ศึกษาเล่าเรียน ให้ถือศาสนา ให้ปฏิบัติ ให้หาเงิน ให้ประหยัด ให้อะไรก็ตามก็เพื่อว่าให้คนมันมีเป็นประโยชน์ในที่สุด ถ้าทุกคนเป็นคนมีประโยชน์ ในโลกนี้ก็เต็มไปด้วยประโยชน์ จริงไม่จริงล่ะ ถ้าทุกคนทำประโยชน์ในโลกนี้ก็เต็มไปด้วยประโยชน์แล้วถึงโลกนี้จะเป็นอย่างไร ใครตอบได้ตรงนี้ จะเป็นอย่างไร เป็นนักเรียนตอบแค่นี้ก็ไม่ได้ ถ้าทุกคนในโลกมันเป็นประโยชน์ทำแต่ประโยชน์แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร ฮะ ไม่กล้าตอบ ทุกคนเป็นคนดีมีประโยชน์ทั้งโลก โลกนี้จะเป็นโลกอะไร เป็นโลกอย่างไร อ้า,เป็นโลกที่มีความสุข บางคนมันนึกได้แต่มันไม่ตอบ มันไม่กล้าตอบหรือไม่ตอบ ทั้งโลกนะเป็นคนมีประโยชน์ ไอ้โลกนี้ก็ดีมีประโยชน์ โลกมันประกอบขึ้นด้วยอะไร โลกนี้มันประกอบขึ้นด้วยอะไร มันประกอบอยู่ด้วยอะไร ประกอบอยู่ด้วยคนทุกคนในโลก ถูกไม่ถูก ถูกไม่ถูก โลกนี้มันประกอบไปด้วยคนทุกคนในโลก ถ้าว่าทุกคนในโลกเป็นคนดีมีประโยชน์แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดีมีความสุข มีบางคนมันไม่ทำประโยชน์โลกนี้มันเลยไม่ดีไม่มีประโยชน์ ว่าถ้าโรงเรียนนี้ โรงเรียนนี้เด็กดีทุกคนโรงเรียนนี้จะเป็นอย่างไร เป็นโรงเรียนอย่างไร เป็นโรงเรียนอย่างไร ถ้าเด็กมันดีทุกคนโรงเรียนนี้จะเป็นโรงเรียนอย่างไร ฮะ ไม่กล้าตอบ จะเป็นอย่างไรคนนี้ว่าจะเป็นอย่างไร ฮะ อ้าว, ดีตอบตรงๆว่าไม่ทราบเลย คนนี้เขาพูดซื่อสัตย์ไม่ทราบ คนนี้ ใครรู้บ้างว่าถ้าโรงเรียนนี้นะเป็นเด็กดีทุกคนโรงเรียนนี้จะเป็นอย่างไร โรงเรียนอย่างไร สอนกันมาแล้วขี้ขลาดไม่กล้าตอบ เด็ก โรงเรียนจะเป็นโรงเรียนอย่างไร เจริญขึ้น เจริญได้แล้ว มันดีหมดแล้วเจริญได้แล้ว เพราะเด็กมันดีทุกคน โรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนอย่างไร ใครตอบได้ ไม่ได้ยินเสียง อ้าวๆ,มันก็เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดเพราะเด็กทุกคนมันดี แล้วมันก็เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดเพราะมันดีทุกคน ถ้านักเรียนเลวทุกคนโรงเรียนนี้จะเป็นอย่างไรล่ะ เป็นโรงเรียนที่เลวที่สุด ใครอยากให้โรงเรียนของตัวเองเลว ใครอยากให้โรงเรียนของตัวเองเลวยกมือขึ้น ใครอยากให้โรงเรียนของตัวเองเลว ใครอยากให้โรงเรียนของตัวเองดี ถ้าอยากให้โรงเรียนของเราดีเราจะต้องทำอย่างไร อ้าว,ไม่ตอบล่ะ เราทำอย่างไร ฮะ เราอยากจะให้โรงเรียนของเราดีเราจะต้องทำอย่างไร ใครตอบได้ อ้าว, เธอ เธอนั่นแหละ อ้าว, ไม่ทราบแล้ว คนนู้น คนข้างหลัง มันก็พูดกันแล้วนี่ว่าถ้าเด็กทุกคนดีโรงเรียนมันดี ถ้าเราอยากให้โรงเรียนของเราดีเราก็เป็นนักเรียนที่ดี นักเรียนที่ดีเป็นเด็กที่ดี สิบข้อเกินพอแล้ว เอาแค่สิบข้อให้ได้ ถ้านักเรียนทุกคนดีโรงเรียนเป็นโรงเรียนดี ถ้าคนในโลกทุกคนดี ทุกคนในโลกดีจะเป็นโลกอะไร โลกนี้เป็นโลกอย่างไร ว่าไป คนที่ยกมือน่ะว่าไป เป็นโลกที่ดี ถ้าคนในโลกเลวทุกคนเป็นโลกอะไร ฮะ เป็นโลกอะไร เป็นโลกอะไร โลกที่เลวเขาเรียกว่าอะไร เป็นโลกที่เลวเขาเรียกว่าโลกอะไร เขาเรียกว่าเมืองนรกโว้ยเพราะมันเป็นโลกที่เลว มันเป็นเมืองนรกไม่มีความสุข เธอหวังจะให้โลกนี้เป็นโลกที่ดีหรือเป็นโลกที่เลว ใครอยากให้มันเป็นโลกที่ดี ที่นี้ทุกคนต้องเป็นคนดี ไม่ใช่แต่โลกมันจะดี โลกมันจะดีเพราะทุกคนเป็นคนดี เธอกำลังศึกษาเล่าเรียนนี่จะเป็นคนเลวหรือจะเป็นคนดี ใครอยากเป็นคนเลว เรียนให้เป็นคนเลว ใครจะเรียนให้เป็นคนดี เป็นคนดีเพื่อทำให้โลกมันดี ถ้าว่านักเรียนทุกคนในโลกเป็นนักเรียนที่ดี โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือผู้ใหญ่ที่เลว ฮะ เป็นนักเรียน นักเรียนที่ดีโตขึ้นจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือที่เลว ฮะ ผู้ใหญ่ที่ดีเพราะนักเรียนทุกคนเป็นนักเรียนดีโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีทั้งโลก โลกนี้ก็ดีมีสันติภาพมีความสุขดีทุกอย่าง เพราะฉะนั้นนักเรียนนะสร้างโลก นักเรียนทุกคนนี่จะสร้างโลกให้ดีก็ได้สร้างโลกให้เลวก็ได้ นักเรียนทุกคนในโลกนี้สร้างโลกให้ดีก็ได้สร้างโลกให้เลวก็ได้ นักเรียกทุกคนเป็นนักเรียนเลวโตขึ้นเป็นคนเลวเต็มไปทั้งโลก โลกนี้ก็เลวนี่นักเรียนสร้างโลกให้เลว ถ้านักเรียนเป็นคนดีโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เป็นคนก็ดี โลกนี้ก็เป็นคนดี นักเรียนมันจะสร้างโลก สร้างโลกเป็นอย่างไรก็ได้ เราว่าเด็กๆ คือผู้สร้างโลก เด็กเลวในโลกโลกก็เลว เด็กดีในโลกโลกก็ดี เด็กๆ เป็นผู้สร้างโลก ที่เธอได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่าใครสร้างโลก ใครสร้างโลก ใครรู้บ้างใครสร้างโลก พระพุทธเจ้า ใครสร้างโลก ใครสร้างโลก เราทุกคน เธอได้ยินมาจากไหนว่าเราทุกคนสร้างโลก เธอได้ยินมาจากไหน ที่เธอได้ยินมาแต่ก่อนๆน่ะใครสร้างโลก ไม่เคยได้ยินเลยเหรอ ใครสร้างโลก ใครสร้างโลก พระเจ้านะฟังให้ดีๆ นะ พระเจ้าอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ใครได้ยินมาแต่ก่อน ก่อนๆ น่ะใครสร้างโลก ทราบไหมใครสร้างโลก ใครสร้างโลก ใคร ฟังให้ดีๆ อย่าเอาไปปนกับพระพุทธเจ้า ที่เราได้ยินได้ฟังเขาเล่าเขาสอนเขาบอกมาแต่ไหนแต่ไรว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก คนที่สร้างโลกเรียกว่าพระเจ้า เราว่าเด็กๆ ทุกคนนี่ล่ะสร้างโลก ถ้าเด็กเลวโลกมันเลว ถ้าเด็กดีโลกมันดี เด็กๆ ทุกคนเป็นผู้สร้างโลกคือเป็นพระเจ้านั่นเอง ใครชอบไม่ชอบเป็นพระเจ้า ใครกลัวที่จะเป็นพระเจ้า ใครคิดว่ามันเกินไปละไม่เอาที่จะเป็นพระเจ้า ความจริงเด็กๆ ทุกคนในโลกเวลานี้จะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต เด็กๆ เป็นอะไรที่เธอได้ฟังเขาพูดมาแต่ก่อนเด็กๆ เป็นอะไร เด็กๆ คืออะไร เด็กๆ เป็นอะไรที่เขาพูดกันอยู่ คืออะไร ใครเคยได้ยินว่าอะไร เด็กๆคืออะไรเด็กๆเป็นอะไร เด็กวันนี้คืออะไร คืออะไร เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เราว่ามันบ้าไม่ต้องพูดเรื่องนี้ เด็กๆ คือผู้สร้างโลกในอนาคต แล้วแต่เธอจะดีหรือจะเลว เด็กๆ เป็นพระเจ้าสร้างโลก เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ไม่ต้องบอกหมาหรือแมวก็เป็นทั้งหมดละ เป็นผู้ใหญ่กันทั้งหมดไม่ต้องบอกหรอก เด็กวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าไม่ต้องบอกให้เสียเวลา เราว่าเด็กๆ เป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ในอนาคตโลกจะดีหรือจะเลวมันอยู่กับพวกเธอโตขึ้นจะดีหรือจะเลว ถ้าเด็กทั้งโลกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมันก็จะสร้างโลกที่ดีขึ้นมา ถ้าเด็กๆ ทั้งโลกมันเลวลงไปเป็นผู้ใหญ่ที่เลวลงมันก็เลวลงไป นี่คือเด็กๆ คือผู้สร้างโลกในอนาคต ที่ว่าเด็กเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้าน่ะไม่ต้องพูด มันเป็นเองเป็นแน่ๆ ไม่มีใครเท่าเดิมอยู่ได้ เราอยากจะให้เด็กๆ เป็นผู้สร้างโลกที่ดี เธอศึกษาเรียนให้ดีเป็นเด็กที่ดีเธอเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเรียกว่าเป็นบ้านเมืองที่ดีเป็นโลกที่ดี เด็กวันนี้เป็นผู้สร้างโลกในวันหน้า จะดีจะเลวอยู่กับเธอจะดีหรือเลวนั่นเอง ศึกษาให้ดีเล่าเรียนให้ดีปฏิบัติให้ดี จะได้เป็นผู้สร้างโลกให้ดี เด็กๆ เป็นผู้สร้างโลกในอนาคต วันนี้วันเด็กมาพูดกันเสียว่า มาปรับปรุงเด็กให้ดีสำหรับจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต วันนี้วันเด็กมาปรับปรุงเด็กๆ กันให้ดีจะได้สร้างโลกที่ดีในอนาคต พูดกันแล้วนะไม่มีใครต้องการเลวไม่มีใครอยากจะเลว ทุกคนต้องการให้โลกมันดี รักษาทำตัวให้มีประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นคนดีมีประโยชน์ในอนาคตโลกนี้จะเป็นโลกที่ดีและมีคนดีเต็มไปด้วยประโยชน์ เล่าเรียนเพื่อให้เป็นคนดีเป็นคนมีประโยชน์ ช่วยกันสร้างโลกที่ดีที่มีประโยชน์ โลกเวลานี้ดีแล้วหรือยัง ใครตอบได้ ในเวลานี้โลกมันดีแล้วหรือยัง หรือยังไม่ดี ใครตอบได้ นักการเมือง(นาทีที่ 1:27:59 ได้ยินไม่ชัด) ใครตอบได้ ที่นี้ไม่มีเลย ใครตอบได้ ที่นี้ขี้ขลาดไม่ค่อยพูดไม่ค่อยตอบ เวลานี้โลกดีหรือยังไม่ดี ใครว่าโลกนี้ยังไม่ดี ใครว่าโลกดีแล้ว ใครว่าโลกดีแล้ว รู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ดี รู้ได้อย่างไรว่าโลกเวลานี้มันยังไม่ดี รู้ได้อย่างไร อ้าว,ไหนว่ายังไม่ดีหรือตอบไม่ได้ว่ายังไม่ดีเพราะเหตุอะไร โลกยังไม่ดีเพราะเหตุอะไร ใครตอบได้ อ้าว,บอกเองว่ายังไม่ดี ถามว่ายังไม่ดีอย่างไรทำไมตอบไม่ได้ล่ะ เห็นง่ายๆ ข้อเดียวก็พอว่ามันยังรบราฆ่าฟันกันไม่มีความสุข ยังรบราฆ่าฟันกันไม่มีความสุข เท่านั้นก็พอแล้ว เป็นโลกที่ไม่ดี ยังเต็มไปด้วยความทะเลาะวิวาท ยังมีทะเลาะวิวาทยังไม่มีความสุข ถ้าโลกไม่ทะเลาะวิวาทอยู่กันเหมือนพี่เหมือนน้องจะดีมีความสุข ถ้าเราทำตนเป็นคนดีมีประโยชน์แล้วมันทะเลาะกันไม่ได้ ทะเลาะวิวาทกันไม่ได้ เอาละทำตนเป็นคนมีประโยชน์น่ะพอแล้ว เด็กเป็นคนมีประโยชน์ทุกคน บ้านเมืองเป็นบ้านเมืองมีประโยชน์มีความสุขทุกคน โลกมีประโยชน์อยู่ด้วยประโยชน์มีความสุขทุกคน ต้องทำประโยชน์ทั้งประโยชน์ของตนและประโยชน์ของคนอื่นผู้อื่นด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีอะไรพูดแล้ว พูดว่าให้เด็กทุกคนบำเพ็ญตนเป็นเด็กที่ดีเพื่อสร้างโลกที่ดีในอนาคต เป็นผู้สร้างโลก เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกด้วยทำตัวให้ดีทุกคนเท่านั้นแหละ ทุกคนทำตัวให้ดีก็สร้างโลกที่ดี ทุกคนเป็นผู้สร้างโลกที่ดี ทุกคนเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก ๑๐ ข้อนั้นพอ ๑๐ ข้อนั้นพอ สำหรับจะเป็นคนดีเป็นเด็กดีสร้างโลก ๑๐ ข้อนั้นน่ะปฏิบัติเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นพุทธมามะกะที่ดี ที่เราเคยพูดกันทุกปีๆ ว่าขอให้เด็กทุกคนเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า เอ้า,๑๐ ข้อว่ากันใหม่ เอา ๑๐ ข้อเป็นที่พึ่งเป็นหลัก ร้องเพลงดังๆ
เด็กนักเรียน : เด็กเอ๋ยเด็กดีต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน หนึ่งนับถือศาสนา สองรักษาธรรมเนียมมั่น สามเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ สี่วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน ห้ายึดมั่นกตัญญู หกเป็นผู้รู้รักการงาน เจ็ดต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญต้องมานะบากบั่นไม่เกียจไม่คร้าน แปดรู้จักออมประหยัด เก้าต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญจะเหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา สิบทำตนให้เป็นประโยชน์รู้บาปบุญคุณโทษสมบัติชาติต้องรักษาเด็กสมัยชาติพัฒนาจะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ
ท่านพุทธทาส : เวลาให้ร้องเพลงจำได้พอถามทีละคนทีละข้อจำไม่ได้ ไปศึกษาเสียใหม่ นี่แหละที่เขาเรียกว่าให้พรนั่นคือเขาว่าให้ดี ให้ดีนี้ต้องทำ พรแปลว่าดี ดีแปลว่าพร ถ้าเราทำดีมันก็เป็นพร เป็นพรเพราะทำดี สิ่งไหนให้ทำดีชี้แจงให้ทำดีบอกวิธีให้ทำดีแล้วก็เป็นพร พรถ้าให้แต่ปากมันก็ดีแต่ปาก ถ้าพรที่ทำจริงๆ ให้มันดีมันก็ดีจริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็ให้พรโดยให้เธอไปทำให้ดี อย่าพูดกันแต่ปาก ๑๐ ประการเท่านั้นนะทำให้มันดี ถ้าพบกันอีกคราวหน้าเราจะพูดถึง ๑๐ ประการนี้อีก ถ้าถามพวกเธอคงจะตอบได้ทุกคน ทุกคนตอบได้ ๑๐ ประการแต่ละคนทีละอย่างๆ นี่ก็จำอยู่ได้แล้วเหลือก็แต่ปฏิบัติให้ครบทั้ง ๑๐ อย่างเป็นพรกันทันที แล้วก็มีความสุขความเจริญ เอ้า,ว่าปฏิญาณกัน
ท่านพุทธทาส : หนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นบุตรที่ดีของบิดา มารดา
เด็กนักเรียน : หนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นบุตรที่ดีของบิดา มารดา
ท่านพุทธทาส : สอง ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์
เด็กนักเรียน : สอง ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์
ท่านพุทธทาส : สาม ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน
เด็กนักเรียน : สาม ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน
ท่านพุทธทาส : สี่ ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองดีของชาติ
เด็กนักเรียน : สี่ ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองดีของชาติ
ท่านพุทธทาส : ห้า ข้าพเจ้าเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า
เด็กนักเรียน : ห้า ข้าพเจ้าเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า
ท่านพุทธทาส : นี่ละเขาเรียกปฏิญาณ เอ้า,ว่าใหม่ หนึ่ง ว่าไปๆ หนึ่ง
เด็กนักเรียน : หนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา
ท่านพุทธทาส : หนึ่ง ว่าใหม่
เด็กนักเรียน : หนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา
ท่านพุทธทาส : ว่าไป
เด็กนักเรียน : สอง ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ สามข้าพเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน
สี่ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองดีของชาติ ห้าข้าพเจ้าเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า
ท่านพุทธทาส : เอ้า,ปิดประชุม ปิดประชุม