แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ท่านทั้งหลายต้องการให้อาตมาบรรยายธรรมะโดยหัวข้อว่า ธรรมะกับการแก้ปัญหาชีวิต นี้เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณากันดูเสียก่อนว่ารู้จักว่าชีวิตมีปัญหาหรือเปล่า หรือว่าชีวิตนั้นมันมีปัญหาอย่างไร ถ้าพูดถึงชีวิตตามธรรมชาติ มันก็ไม่มีปัญหา ต่อเมื่อคนเข้าไปเกี่ยวข้องทำผิดกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ปัญหามันจึงได้เกิดขึ้น มนุษย์เป็นคนทำให้เกิดปัญหา มันก็จะต้องจัดการกับมนุษย์นั้นเอง ร่างกายเป็นเหมือนกับสำนักงานของจิต คือจิตมันต้องทำงานที่สำนักงาน อาศัยสำนักงานคือร่างกาย ท่านต้องมองเห็นความจริงข้อนี้ก่อน ทั้งกายและทั้งจิตรวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน มันก็กลายเป็นสำนักงานของธรรมะ ถ้าทำผิดในเรื่องกายก็เป็นปัญหาหนึ่ง ทำผิดในเรื่องจิตก็เป็นปัญหาหนึ่ง ทำผิดทั้งกายและทั้งจิตมันก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เราควรจะดู อย่าให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในส่วนกาย หรือในส่วนจิต หรือเมื่อทั้ง ๒ อย่างนี้รวมกัน กายกับจิตเป็นสำนักงานสำหรับตั้งอาศัยของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะผิดก็มี ธรรมะถูกก็มี เพราะว่าเราเรียกกันว่าธรรมะไปเสียทุกอย่าง ธรรมที่เป็นกุศลก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมที่เป็นอกุศลก็เรียกว่าธรรมะ คือทั้งผิดทั้งถูกก็เรียกว่าธรรมะ ความคิดผิดความคิดถูกก็เรียกว่าธรรมะเสมอกัน ตัวธรรมะนั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติ คือตัวธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ตัวกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่เราจะต้องทำให้ถูกต้องก็เรียกว่าธรรมะ แล้วผลที่เกิดขึ้นมาจากการทำหน้าที่นี้ก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะที่เป็นตัวปัญหาก็มี ธรรมะที่จะเป็นตัวแก้ปัญหาก็มี ธรรมชาติพูดผิด คิดผิด ทำผิด นี้ก็เป็นธรรมะที่เป็นตัวปัญหา ธรรมชาติให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎของธรรมชาติเรื่องนี้และทำหน้าที่ให้ถูกต้องนี้ก็เรียกว่าธรรมะที่จะเป็นฝ่ายแก้ปัญหา เดี๋ยวนี้เรา คน ทำผิดจนเกิดปัญหา ปัญหามากสำหรับคน จนน่าละอายแมว คนมีปัญหาจนน่าละอายแมว นี่อยากจะให้รู้กันเสียก่อนว่าเรามีปัญหาจริงหรือไม่และมีปัญหาอย่างไร มีปัญหาจริงจนน่าละอายแมว ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมดนี่เชื่อว่าเคยปวดหัวบ้าง เคยนอนไม่หลับบ้าง ต้องกินยาแก้ปวดหัว กินยานอนหลับ แต่แมวไม่เคยกินแล้วมันก็น่าละอายแมว แมวไม่เป็นโรคประสาทเหมือนที่คนเป็นกันโดยมาก ต้องไปโรงพยาบาลประสาท แต่แมวไม่เป็นโรคประสาท คนเป็นโรคประสาท ตามสถิติที่ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าในประเทศไทยเรามีคนไข้โรคประสาทจำนวนแสน ๆ หลายแสน และเป็นคนไข้โรคจิตจำนวนหมื่น ๆ แมวสักตัวหนึ่งก็ไม่เป็นโรคประสาทและไม่เป็นโรคจิตอย่างที่คนเป็น มันน่าละอายแมวถึงขนาดนั้น นี่มนุษย์มีปัญหามากและถึงขนาดที่น่าละอายแมว พูดให้ต่ำไปกว่านั้นก็ได้ ลูกไก่มันก็ไม่เป็นปัญหาอย่างนี้ ที่นี่เราก็เลี้ยงไก่เราก็ดูอยู่ทุกวัน มนุษย์ทั้งโลกกินยาแก้นอนไม่หลับ ยาแก้ปวดหัว ยากล่อมประสาท ปีหนึ่งคงเป็นตัน ๆ หลายสิบตันหลายร้อยตันก็ได้ นี่ดูความวิเศษของมนุษย์ เขามีปัญหาจนน่าละอายแมว ถ้าไม่มองเห็นข้อเท็จจริงอย่างนี้กันบ้างก็ป่วยการที่จะพูดถึงธรรมะที่จะแก้ปัญหา ท่านทั้ง หลายมีปัญหาอะไรที่ทำให้นอนไม่หลับหรือปวดศีรษะจะต้องกินยาระงับ แมวมันไม่มี ถ้าว่าจับข้อเท็จจริงอันนี้ได้ก็จะสะดวกในการที่จะศึกษาธรรมะสำหรับแก้ปัญหาชีวิต ปัญหาสำหรับมนุษย์มากมายนี้ มันเกิดมาจากวิวัฒนาการส่วนเกิน สัตว์เช่น แมว เป็นต้น ไม่มีวัฒนาการส่วนเกิน เรื่องวิวัฒนาการนี้เข้าใจว่านักศึกษาทั้งหลายเข้าใจกันได้อยู่แล้วเพราะเคยเรียนเรื่องชีววิทยา เป็นมนุษย์ เป็นวิวัฒนาการยอดสุด แล้ววิวัฒนาการจนเกิน จนได้ปวดหัว จนได้นอนไม่หลับ น่าละอายแมว แมวมันไม่มีวิวัฒนาการส่วนเกินนี่ มันก็ไม่ต้องเป็นปวดหัวหรือนอนไม่หลับเหมือนกับคน คนก็มีความคิดมากเพราะวิวัฒนาการมันมากจนเกิน คนคิดเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะวิวัฒนาการมันเกิน วิวัฒนาการส่วนสมองโดยเฉพาะมันเกิน นี่ก็คิดได้มากมายอย่างที่สัตว์ไม่อาจจะคิดได้ ความเจริญในส่วนสมองของมนุษย์เจริญเหมือนกับวิ่ง ส่วนของสัตว์นั้นมันหยุดแล้วหรือมันเหมือนกับหยุดแล้ว สัตว์จึงคิดอะไรอีกไม่ได้แต่มนุษย์ยังคิดได้อีกมาก เดี๋ยวนี้การไปในอวกาศไปโลกพระจันทร์ ไปอะไรอย่างนี้มันเป็นเรื่องเด็กเล่น เป็นเรื่องของเด็กเล่นไปแล้ว เพราะว่ามนุษย์มันยังจะคิดไปได้ไกลกว่านั้นอีกมาก นี่เราดูวิวัฒนาการส่วนเกินของมนุษย์ที่คิดเก่ง แล้วมันก็ต้องคิดเก่งไปหมด แม้เรื่องส่วนตัวบุคคลในบ้านในเรือนนี่ มันก็คิดเก่งไปหมด ต้องทำอย่างนั้น ต้องมีอย่างนี้ เหมือนอย่างที่เขามี ๆ กันนั่นแหละ แล้วก็คิดตัวเองไม่พอ คิดส่วนตัวเองไม่พอ ต้องคิดส่วนผู้อื่นด้วยส่วนครอบครัวด้วย ต้องคิดได้ไกลเพื่ออนาคตก็ได้ด้วย นี่ดูว่าวิวัฒนาการของมนุษย์มันเกินอย่างไร แมวไม่ได้คิดหรือคิดไม่ได้ว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรหรือจะไปเที่ยวที่ไหน แต่มนุษย์มันคิดได้ว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรและจะไปเที่ยวที่ไหน ถ้ามีปัญหาที่ไม่มีอะไรจะกิน มันก็เป็นทุกข์มาก ฉะนั้นเราดูให้ดี ๆ ว่าวิวัฒนาการที่มันก้าวหน้าจนเกินนี้ มันเป็นของดีหรือของเลว เป็นบุญหรือเป็นบาป คนโบราณเขาจะถือเป็นหลักว่าถ้ามันทำให้ยุ่งยากมาก ลำบากมีความทุกข์มาก มันก็เป็นบาปแต่คนเดี๋ยวนี้อาจจะเห็นว่าดีว่าเป็นของวิเศษ แล้วก็เลยอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นมาก ๆ ขึ้นไป นี่วิวัฒนาการส่วนเกิน มันทำให้โง่หรือมันทำให้ฉลาดขอให้ลองคิดดู เดี๋ยวนี้มนุษย์เรียนกันจนไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรแล้ว แล้วโลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพ พวกที่เรียนจบมหาวิทยาลัยเหล่านี้ก็เตะฝุ่นไม่เป็น มันเรียนมหาวิทยาลัยในวิชาความรู้ส่วนเกิน เตะฝุ่นก็ยังไม่เป็น อย่าว่าแต่จะออกไปทำนาหรือทำสวนครัว นี่ไอ้ความเกินเพราะมันไม่รู้ว่าจะควรทำอย่างไรเท่าไรนี่มันเกิดขึ้นมา ขอให้ดูชั้นพื้นฐานอย่างนี้กันก่อน ทีนี้ก็ดูที่มันเป็นตัวปัญหาจริง ๆ คือในด้านจิตใจ จิตของมนุษย์ก้าวหน้ามากเพราะสามารถถ่ายทอดวิชาความรู้ ช่วยดูให้เห็น ช่วยมองให้เห็นเป็นเรื่องจริงกันเสียก่อน สัตว์เดรัจฉานก้าวหน้าไม่ได้เพราะไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ สัตว์เดรัจฉานพูดไม่ได้ พูดกันไม่ได้ ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ มันจึงรู้อยู่เพียงเท่านั้น ส่วนคนเรานี่มันพูดกันได้ มันพูดกันรู้เรื่อง มันก็ถ่ายทอดความรู้ให้แก่กันและกันได้ สิ่งอะไรที่คนแต่ก่อนรู้ก็ถ่ายทอดให้คนเดี๋ยวนี้รู้หมด คนเดี๋ยวนี้ก็รู้เพิ่มเติมลงไปอีกมาก และถ่ายทอดคนต่อไปอีกเพราะว่าเรามันพูดกันได้ นี่เราจึงทิ้งสัตว์เดรัจฉานไกลลิบ ไกลมากอย่างที่ยากที่จะพูดว่าไกลสักเท่าไร ดูเอาเองก็แล้วกันว่าจิตมนุษย์มันไปถึงไหน มันคิดเก่งอย่างไร จิตของสัตว์มันหยุดตายด้านอยู่อย่างไร ดังนั้นปัญหามันก็ไม่เหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานไม่สร้างปัญหา ไม่มีปัญหา มันจึงหยุดอยู่ในสภาพที่ปกติตามธรรมชาติ ส่วนคนมันก็มีปัญญามาก มันก็คิดมาก มันสร้างปัญหามาก ส่วนจิตใจโดยเฉพาะนั้นเรียกว่ามันเกิดกิเลสมาก สัตว์เดรัจฉานเกือบจะไม่รู้จักกิเลส มันไม่ มันคิดไม่เป็น มันปรุงแต่งความคิดไม่เป็น ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องตามธรรมชาติ เช่น สัตว์มันหิวก็หิวตามธรรมชาติแล้วก็หากินตามธรรมชาติ กินแล้วก็นอน ไม่ต้องการปรุงอาหารวิเศษวิโสอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนกับคน คนนี่ต้องการจะกินให้อร่อยก็เลยคิดมากจนเกิดเรื่องที่ทำให้อร่อย แล้วเขาก็กลับเห็นเป็นวัฒนธรรมเป็นศิลปะ ยกย่องสรรเสริญกันในการที่จะทำให้มันยุ่งมาก ๆ ให้มันอร่อยมาก ๆ ให้มันสวยงามมาก ๆ ส่วนสัตว์เดรัจฉานไม่มีศิลปะแห่งการอร่อย ไม่เชื่อ ถ้าไม่ ถ้ายังไม่เชื่อขอให้ไปทดลองดูเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงไก่ อะไรก็ได้ ไม่มีความหมายของคำว่าอร่อย มีแต่กินได้ก็แล้วกัน บางทีที่เราว่าอร่อยนี่หมาไม่กินก็มี ขนมเค้กสีดำ ๆ มีกลิ่นเหล้านั้น หมาไม่กินหรอกแล้วก็แพงมาก แล้วคนก็ชอบซื้อมากินทั้งแพง ๆ ความหมายคำว่าอร่อยนั้นไม่มีแก่สัตว์แต่มันมีแก่คน เรื่องสวยเรื่องงามเรื่องอะไรต่าง ๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องอาหาร เรื่องนุ่งห่มก็เหมือนกัน ต้องการสวยงาม ผ้าธรรมดาไม่ชอบต้องทำให้มีลวดลาย ต้องตัด ต้องปัก ต้องอะไรให้มันเสียเงินมากออกไป นี่เรียกว่าความคิดของมนุษย์ที่มันก้าวหน้า บ้านเรือนก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ก็อยู่บ้านเรือนราคาหมื่นหนึ่งไม่ได้กันแล้ว ต้องอยู่บ้านเรือนราคาแสน แล้วก็มีคนอีกพวกหนึ่งอยู่บ้านราคาแสนไม่ได้ ต้องอยู่บ้านราคาเป็นล้าน ๆ รถยนต์ของเขาก็ต้องมีราคาเป็นล้าน ๆ นี่เขาก็จะต้องมีบ้านเรือนและรถยนต์ราคาสิบ ๆ ล้านต่อไปข้างหน้า ไม่มีเหลือเจียดมาช่วยคนยากจน นี่สติปัญญาของมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ ยิ่งรวยมากมันก็ไม่ ยิ่งไม่เห็นแก่ผู้อื่น ยิ่งรวยมากยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งอร่อยมากยิ่งเห็นแก่ตัว ฉะนั้นการที่คน คนเราชอบกินอาหารอร่อย แต่งตัวสวย ๆ นั้นมัน มันยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น สมัยไอ้คนที่ยังไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่รู้จักกินอร่อยนี่ เขายังเห็นแก่ผู้อื่นมาก ฉะนั้นคนป่าคนดงสมัยที่เกือบจะไม่นุ่งผ้านั้น มันเกือบจะไม่รู้จักเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ใส่เสื้อสวย ๆ กินอาหารอร่อย ๆ อะไร ๆ ก็แพงไปหมด มันก็นึกถึงแต่ตัวเพราะเงินมันไม่พอใช้ นี่คือปัญหาของมนุษย์ที่ทรมานจิตใจจนมีโรคจิต มีโรคประสาทน่าละอายแมว นอนหลับยาก ฉะนั้นคืนไหนนอนไม่หลับก็นึกถึงข้อนี้ด้วย วันไหนปวดหัวก็นึกถึงข้อนี้ด้วย คือวิวัฒนาการส่วน เกินของมนุษย์ในทางสติปัญญาแล้วก็ทำอันตรายมนุษย์นั้นเอง สติปัญญาชนิดนี้มันทำลายเจ้าของ คำว่าปัญญา นี่ระวังให้ดี ปัญญาอย่างโง่ก็มี เขาเรียกว่าเฉโก ถ้ายังไม่ทราบก็ทราบเสียเดี๋ยวนี้ว่าเฉโกนั้นเป็นภาษาบาลีนะ ไม่ใช่ภาษาเด็กกลางถนน คำว่าเฉโกนี่มีในพระบาลี มีในคัมภีร์พระบาลี เขาแปลว่าฉลาด เป็นปัญญาเหมือนกันแต่มันฉลาดอย่างโง่ มันฉลาดอย่าง cunning หมาขี้ขโมย คนอันธพาลนี่มันก็ฉลาด ฉลาดอย่างนี้มันเพิ่มปัญหาให้แก่มนุษย์ ทีนี้มนุษย์ก็ตั้งต้นเพิ่มปัญหาด้วยกิเลสใหม่สำหรับมนุษย์ กิเลสนี่ตั้งต้นเมื่ออร่อย ถือตามหลักพระบาลี คนไม่ได้มีกิเลสติดมาแต่ในท้องแต่ว่าพอเด็กทารกคลอดออกมา เขาก็เริ่มกินอาหารหรือว่าเริ่มรับสัมผัสทางปาก ทางหู ทางจมูก ทางผิวหนังก็ตาม พอได้รับความเอร็ดอร่อยนิ่มนวลชวนสบายอย่างนี้ เขาก็รู้สึกในเวทนานั้น เวทนานั้นทำให้เขาเกิดความคิดอยากจะได้อย่างนั้น นี่ก็เรียกว่าเขารู้จักอยาก มีตัณหาด้วยความโง่ที่ไม่รู้ว่านี่คืออันตราย เราก็อยาก มีตัณหา มีความอยาก เมื่อทารกนั้นคง คงจะต้องขนาดวิ่งได้ อะไรได้อย่างนี้จึงจะรู้จักอยากอย่างมีกิเลส จนกว่าจะเป็นวัยรุ่นก็มีมากขึ้นทุกที มันไม่มีความรู้ว่าไม่ต้องอยาก มีพระบาลีกล่าวว่าทารกนี้เขาไม่รู้เรื่องเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ คือไม่รู้เรื่องอย่างที่พระอริยเจ้าเขารู้ว่าไอ้อยากนี่มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้ากำจัดเสียได้ก็จะไม่มีทุกข์ เด็ก ๆ ก็ไม่รู้แล้วก็อยากเรื่อยมา ๆ จนเป็นความอยากสมบูรณ์ เขาอยากในสิ่งใด เขาก็เกิดความรู้สึกต่อจากความอยากนั้นแหละว่า กูอยาก นี่จะรู้เรื่องหัวใจพุทธศาสนากันที่ตรงนี้เองว่าไอ้กูหรือเรานะ มันเพิ่งเกิดไม่ใช่มีมาแต่เดิมไม่ใช่ติดมาแต่เดิม ต่อเมื่อความอยากมันเกิดขึ้นในใจเป็นไปเต็มที่ ความอยากชนิดนี้จะปรุงความอยากอันดับที่ ๒ คือผู้อยาก เกิดตัวกูผู้อยาก ตัวเราผู้อยาก ทุกคราวที่มีความอยาก ฉะนั้นเราจึงมีความอยากที่เรียกว่าเป็นกิเลสเกิดขึ้น ประเภทโลภะอยากได้ ประเภทราคะกำหนัดพอใจรักใคร่นี่บ่อย เพราะเด็ก ๆ เขารู้จักรักใคร่พอใจในสิ่งที่เอร็ดอร่อยสวย งามนิ่มนวล และกิเลสประเภทโลภะราคะมันก็เกิดขึ้นมาก่อน รู้จักเกิดขึ้นมาก่อนแล้วขั้นต่อมา มันไม่ได้ตาม ที่มันอยากจะได้ มันก็เกิดกิเลสประเภทที่สองคือโล คือโทสะหรือโกธะ ความโกรธหรือความคิดประทุษร้าย เมื่อมันไม่ได้ตามที่มันอยาก นี่กิเลสมันเกิดตามหลังขึ้นมาอย่างนี้ แล้วมันก็เกิดความคิดว่าตัวกูผู้อยาก ตัวกูผู้ไม่ได้อย่างที่อยาก ตัวกูผู้เสียหายผู้โกรธซึ่งมันไม่ใช่ตัวจริง มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นการปรุงแต่งแห่งความคิดที่โง่เขลาไปตามธรรมชาติที่โง่เขลา ฝ่ายโง่เขลามันอยากจะเป็นกิเลสประเภทโลภ มันโกรธ มันไม่ ได้ตามที่อยากมันก็โกรธ มันก็มีกิเลสประเภทโกรธ เมื่อหลายอย่างมันไม่รู้ มันสงสัย มันข้องใจ มันก็มีกิเลสประเภทหลงใหล ประเภทสงสัย ประเภทข้องใจคือประเภทโมหะ ฉะนั้นขอทุกคนรู้จักสิ่งเหล่านี้ก่อน จึงจะมาพูดกันเรื่องว่าธรรมะนั้นจะแก้ปัญหาของชีวิตอย่างไร คนทุกคนโตขึ้นมาจากทารกรู้จักอยากของที่ชอบเพราะมันไปเสพดื่มกินของที่ชอบเข้าไปแล้ว แล้วก็พอใจ เมื่อพอใจแล้วก็อยาก เกิดตัวกูผู้อยาก นี่ตอนหนึ่ง ทีนี้เมื่อบางกรณีมันไม่ได้ตามที่เขาอยาก เขาก็โกรธ เกิดตัวกูผู้โกรธ ทีนี้เมื่อเขาไม่รู้ เขาสงสัย เขาลังเล เขาวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร นี่ก็มีกิเลสประเภทความหลง ทุกคนต้องรู้จักตัวเองในลักษณะอย่างนี้ก่อน รู้จักกิเลสของตัวเองในลักษณะอย่างนี้ก่อนจึงจะรู้จักตัวปัญหาว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อโลภมันก็ร้อนไปตามแบบความโลภ เมื่อโกรธมันก็ร้อนไปตามแบบของความโกรธ เมื่อหลงมันก็ร้อนไปตามแบบของความหลง ทางธรรมะเรียกว่าไฟทั้งนั้นคือร้อน ร้อนด้วยความโลภ ร้อนด้วยความโกรธ ร้อนด้วยความหลง ร้อนด้วยราคะ ร้อนด้วยโทสะ ร้อนด้วยโมหะ นี่ชีวิตที่มีอวิชชา วิวัฒนาการเป็นส่วนเกิน มันควบคุมไว้ไม่ได้ มันไม่มีใครจะควบคุม มันปล่อยมาตามธรรมชาติ ฉะนั้นเราทุกคนก็มีกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ทีนี้มันยังมีความลับของธรรมชาติว่าถ้าไปโลภเข้าทีหนึ่ง มันก็สร้างนิสัยสันดานความเคยชินที่จะโลภขึ้นหน่วยหนึ่ง จนว่าเมื่อเราไปอยากอะไรเข้าด้วยความโง่นั้น แล้วมันจะอยากอย่างนั้นแหละเก่งขึ้นไปอีก เป็นความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น เรื่องความรัก เมื่อไปรักเข้าทีหนึ่ง มันจะสร้างความเคยชินที่จะรักใส่ไว้ในสันดาน ส่วนที่เป็นความเคยชินนี้ เราเรียกว่าอนุสัย เมื่อเราไปรักเข้าอย่างโง่ ๆ รักของที่รักอย่างโง่ ๆ นี้ก็เรียกว่ากิเลส เมื่อไปรักอย่างโง่ ๆ เข้าแล้วมันก็จะสร้างความเคยชินที่จะรัก อันนี้เรียกว่าอนุสัย ทุกคราวที่เราไปรัก มันจะสร้างความเคยชินที่จะรัก ทุกคราวที่เราโกรธ มันจะสร้างความเคยชินที่จะโกรธ ทุกคราวที่เราโง่ เช่น สะเพร่าอย่างนี้ แล้วเราก็เคยชินที่จะโง่และจะสะเพร่า เพราะเรามี มีทุนสำรองเพิ่มอยู่ทุกทีคือความเคยชินที่จะโลภ จะโกรธ จะหลง ฉะนั้นคนเราจึงโลภได้ไวยิ่งกว่า ยิ่งกว่าไฟฟ้า ยิ่งกว่าสายฟ้า เราก็จะโกรธได้ไว เร็วยิ่งกว่าสายฟ้า หรือเราจะโง่ได้เร็วไวยิ่งกว่าสายฟ้า เพราะเราได้สะสมความเคยชินที่จะโลภ จะโกรธ จะหลงไว้ในสันดาน ก็เรียกว่ากิเลสที่ดองสันดาน อนุสัย ความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น แต่แล้วมันก็มีกฎเกณฑ์ที่ตรงกันข้าม ในกรณีที่น่ารัก มาเพื่อจะให้รัก แล้วเราก็บังคับจิตได้ ไม่รัก อย่างนี้มันจะลดความเคยชินที่จะรักลงไปหน่วยหนึ่ง ถ้า ถ้านับเป็นคะแนนกัน นี้เมื่อเราทำได้อย่างนั้นบ่อย ๆ ไอ้ความเคยชินที่จะรัก จะโลภมันก็ลดลง แต่ถ้าเราปล่อยไปตามเรื่อง รักหรือโลภตามพอใจ ความเคยชินที่จะโลภหรือจะรักนี้ มันก็บวกเพิ่มขึ้นจนมาก จนเร็ว จนเราป้องกันไม่ได้นะ ขอให้คิดดูเถิด เมื่อเรื่องที่น่ารักมาก็รัก ไม่ทันรู้ตัว เรื่องที่น่าโกรธมามันก็โกรธไม่ทันรู้ตัว เรื่องที่ทำให้ผลุนผลันสะเพร่ามา มันก็โง่ผลุนผลันสะเพร่าโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นเรื่องที่ต้องขอร้องให้ท่านทั้งหลายรู้จักมันเสียก่อน รู้จักตัวมันให้ได้เสียก่อน จึงจะไปฟังธรรมะได้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นกลับไปนอนเสียดีกว่า ถ้าไม่รู้จักไอ้เรื่องที่มันเป็นตัวปัญหาอันแท้จริง ทบ ทบทวน สอบสวน ถอยหลังดูตัวเอง รู้จักรักเป็นครั้งแรกเมื่อไรแล้วก็รักอีกกี่ครั้ง ทุกครั้งเราเพิ่มความเคยชินที่จะรักเป็นอนุสัยนอนในสันดาน เราเคยโกรธเมื่อไรและโกรธมาเท่าไร มันก็เพิ่มอนุสัยความชินที่จะโกรธอยู่ในสันดาน เราโง่ เราหลง เราสะเพร่าเมื่อไร มากี่ครั้งแล้ว มันก็เพิ่ม นี่คือปัญหา สะสมความเคยชินที่จะเกิดกิเลสไว้ในสันดาน สะสมไว้มาก ๆ ๆ ๆ มันก็จะล้นออกมา เหมือนเราเอาน้ำใส่ตุ่มนี่ ถ้าใส่มากจนเต็มตุ่มไอ้ความดันที่จะรั่วออกมามันก็มีมาก มีรูสักนิดมันก็รั่วออกมา ออกมาได้ทันที ถ้าน้ำมันน้อยไอ้ความดันมันน้อย มันก็ไม่ค่อยจะรั่วออกมา เดี๋ยวนี้เราสะสมไอ้ความเคยชินแห่งกิเลสสำหรับจะรัก จะโกรธ จะหลงนี่มากมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นจึงเกิดกิเลสง่าย จะมีความโลภง่าย มีความรักง่าย มีความเกลียดง่าย มีความโกรธมักง่าย มีจิตคิดร้ายง่าย มีความหลงใหลง่าย เดี๋ยวนั้น เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า และอันนี้เป็นปัญหาของชีวิตหรือเปล่า ใครเป็นคนตั้งหัวข้อมาให้อาตมาพูดว่าธรรมะแก้ปัญหาของชีวิต แล้วคนนั้นหมายถึงสิ่งนี้หรือเปล่า ปัญหาของชีวิตนี่หมายถึงที่เรามันจะรักเร็ว จะโกรธเร็ว จะโง่เร็ว นี่คือปัญหาหรือเปล่า นี่มัน เมื่อมันเป็นไปไม่ได้อย่างใจ มันก็มีปัญหาต่อ ๆ ซับซ้อนกันไป จนกระทั่งเป็นความทุกข์ยืดเยื้อเรื้อรังฝังลงไปในสำนึกสันดานส่วนลึก มันก็เลยเป็นความทุกข์ใต้สำนึกก็ได้ เช่น ตื่นนอนขึ้นมามันก็ละเหี่ยละห้อยไม่มีความสุขเสียแล้ว ก็ยังไม่ได้ไปทำอะไรที่ไหน นั่นแหละเพราะว่าความเคยชินแห่งกิเลสที่สะสมไว้ในสันดานมันมากเกินไป ขอให้รู้จักตัวกิเลสคือโลภ โกรธ หลง ให้รู้จักอนุสัยความเคยชินแห่งกิเลสที่มันพร้อม มันไวที่จะโลภ จะโกรธ จะหลง แล้วมันก็จะออกมาเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงทันทีที่มันได้อารมณ์สำหรับไอ้ความรู้สึกอย่างนั้น นี่คือกิจประจำวัน ชีวิตประจำวันที่ต้องให้เรานอนอยู่ในกองไฟคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ถือว่าเป็นปัญหาแห่งชีวิตที่วิวัฒนาการเกินไปของมนุษย์จึงน่าละอายแมวซึ่งมันไม่วิวัฒนาการมากถึงอย่างนั้น มันก็ไม่มีปัญหาอย่างมนุษย์ อนุสัยแปลว่าความเคยชิน แล้วก็มานะแปลว่าความสำคัญมั่นหมาย อหังการะแปลว่าทำความรู้สึกว่าตัวกู มมังการะทำความรู้สึกว่าของกู ในพระบาลีเขาเรียกกันคำเดียวต่อกันยาวเฟื้อยว่า อหังการมมังการมานานุสัย นั่นคือตัวปัญหา อหังการมมังการมานานุสัย ไม่มีใครสนใจที่จะจำกันเลย ไอ้นี่แหละคือตัวร้ายที่สุดของมนุษย์เรา ความเคยชินที่จะสำคัญว่าตัวกู ว่าของกู ความที่จะเกิดรู้สึกมั่นหมายในตัวกูของกูจนเคยชินนี่เรียกว่าอหังการมมังการมานานุสัย มีทุกคนแล้วก็เต็มปรี่อยู่ทุกคน บางคนก็จะรุนแรงมากจนถึงออกมาง่าย ๆ จนออกมาในลักษณะที่ไม่ควรจะออก เขาเรียกว่ามันส่วนเกิน เช่น สมภารองค์หนึ่งจะคิดว่าวัดนี้กูสร้าง พวกแกมานี่ไม่รู้จักขอบใจเลย มันเป็นได้ถึงอย่างนี้ ผู้จัดการบริษัทคนหนึ่งว่า ไอ้บริษัทนี้กูก่อร่างสร้างตัวมา มึงมาเป็นลูกจ้าง มึงเป็นลูกน้อง ทำงานได้เงินกันเยอะแยะ มึงไม่คิดถึงบุญคุณของกูเลย มันจะออกมาถึงขนาดนั้น เรียกว่าอหังการมมังการมานานุสัย มีทุกคน คนโง่ก็ไม่รู้จักว่ามันมีอยู่ คนฉลาดได้ศึกษามาพอสมควรก็จะรู้จักว่าเรามีอยู่ ความพร้อมที่จะมีความยึดถือขึ้นมาว่าตัวกู ว่าของกู ถ้ายึดถือเป็นตัวกูก็ยอมใครไม่ได้ ถ้ายึดถือว่าของกูก็ให้ใครไม่ได้ เป็นคำพูดที่หยาบไปหน่อยแต่ตามพระบาลีมันก็เป็นอย่างนั้นนะ จะเรียกว่าตัวตนก็ได้ เรียกว่าของตนก็ได้ ไม่สู้หยาบแต่ใครมัน มัน มันมีความรู้สึกว่าตัวตนของตนนี้มันจะหายากเพราะเมื่อจิตมันเดือดขึ้นมาแล้ว มันเป็นตัวกูเป็นของกูทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึงใช้คำนี้ตามธรรมชาติแท้ เรียกว่าตัวกู เรียกว่าของกู แล้วก็ทำให้คนตกนรกทั้งเป็น เมื่อใครความ เมื่อใดไอ้ความหมายมั่นเป็นตัวกูของกูเกิด คนนั้นมันก็จะร้อน มันก็ตกนรกทั้งเป็น นี่ขอฝากไว้ให้เอาไปสังเกตด้วย หรือว่าดูเมื่อมันร้อน มันก็ไฟไหม้ แล้วก็ดูเถอะมันมีตัวกู ของกูเกิดอยู่แล้ว เกิดอยู่ในนั้นแล้ว มันเกิดเร็ว เร็วจนไม่ทันรู้ตัว เมื่อมันรักหรือมันโลภ มันก็เกิดตัวกูที่จะรัก หรือจะได้ หรือจะยึดครองเป็นของกู เมื่อมันไม่ได้มันก็โกรธว่ากูไม่ได้ มันก็เกิดตัวกูชนิดที่ดุร้าย ถ้ามันหลงใหล มัวเมา กังวลวิตกอยู่ ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์นั้นเป็นเรื่องของความรู้สึกว่าตัวกู อาลัยอาวรณ์นอนไม่หลับจนได้ละอายแมว ใครนอนไม่หลับขอให้รู้ไว้เถอะว่าไอ้ตัวกูของกูในส่วนลึก มันยังอาลัยอาวรณ์ ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ มันก็นอนไม่หลับ ความโลภก็เป็นตัวกูของกูไปตามแบบของความโลภ ความโกรธก็เป็นตัวกูของกูไปตามแบบของความโกรธ ความหลงก็เป็นตัวกูของกูไปตามแบบของความหลง สะสมไว้มากก็พร้อมที่จะรู้สึกอย่างนั้น นี่เขาเรียกว่า อหังการมมังการมานานุสัย ไอ้คำสำคัญ ๆ อย่างนี้ไม่เห็นใครจดใครจำเลย เป็นคำที่สำคัญที่สุดในฝ่ายอันตราย ฝ่ายกิเลสและฝ่ายความทุกข์ อหังการแปลว่าตัวกู มมังการแปลว่าของกู มานะแปลว่าความยึดมั่นถือมั่น อนุสัยแปลว่าความเคยชิน เรามีความเคยชินที่จะยึดถือขึ้นมาว่าตัวกูว่าของกู เพราะว่าอบรมกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ พอเด็กเขารู้ฟังรู้คิดอะไรบ้างก็จะได้รับการอบรมส่วนนี้เพราะว่าผู้ใหญ่นี่บิดามารดาพี่เลี้ยงอะไรก็ตาม จะสอนให้เด็กรู้ความหมายแห่งตัวตน นี่ของหนู นี่บ้านของหนู นี่เรือนของหนู นี่แม่ของหนู นี่พ่อของหนู นี่พี่ของหนู อะไร ๆ มันก็เป็นของหนู แล้วก็มีตัวหนูเป็นเจ้าของ นี่เราถูกสอนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกให้มีความรู้สึกเป็นตัวกูเป็นของกู แล้วไม่เคยถูกสอนให้ลดเลย ถ้าไปศึกษาดูไม่มีการสอนให้เด็ก ๆ เขาลดไอ้ความรู้สึกตัวกูของกู มีแต่เพิ่ม ๆ ๆ จนเด็กโตเป็นวัยรุ่นมันก็ยิ่งเพิ่มไอ้สิ่งที่เป็นตัวกูของกูมากเรื่องขึ้น แล้วก็หนาแน่นขึ้น จนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่เป็นอะไรขึ้นไปมันก็มีตัวกูของกูมากขึ้น ๆ ฉะนั้นอยากจะเรียกว่ามันเป็นตัวกูที่หนังเหนียวมากขึ้นทุกที ตัวกูของผู้ใหญ่คนแก่นั่นมันเป็นตัวกูที่หนังเหนียวไปตามแบบของคนแก่ คือมันละยากมากขึ้นทุกทีเพราะมันสะสมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก นี้เราเรียกว่าปัญหาของมนุษย์ ทำอย่างไรมันจะหมดไป ไอ้ความเคยชินยึดมั่นเป็นตัวกูของกูประจำอยู่ในใจเป็นเหตุให้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เรียกว่าเห็นแก่ตัวกูแล้วมันก็ไม่เห็นแก่ความดี ความชั่ว ความผิด ความถูกเพราะมันเห็นแต่แก่ตัวกู ตัวกูได้ก็แล้วกัน ฉะนั้นคนชนิดนี้เขาไม่ถือเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องได้ เรื่องสุข เรื่องทุกข์ คืออันธพาลทั้งหลาย อันธพาลทั้งหลายในโลกเขาไม่มีการถือเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เขาถือแต่ตัวกู เขาถือลัทธิกูได้นั่นแหละคือถูกหรือดีเพราะฉะนั้นเขาจึงทำอะไรไปตามแบบของตัวกู เมื่อสองสามวันนี้ ...(นาทีที่ 39:36) ก็ยังถูกยิงคิดดูเถิด หนังสือพิมพ์ยังลงข่าวเลย เพราะคนที่มันเห็นแก่ตัวกู มันไม่ต้องรู้ว่าดีชั่วผิดถูกอย่างไร ไม่มีใครเข้าใจได้ว่า ...(นาทีที่ 39:48) นี่มีอะไรเลวจนต้องควรจะถูกยิง แต่มันเป็นความเห็นแก่ตัวกูของผู้ยิง เมื่อประธานาธิบดีรีแกนถูกยิงนั้น เขาสอบสวนได้ความว่าเขา ผู้ยิงนั้นเขายิงอวดคู่รักของเขา เขายิงอวดผู้หญิงซึ่งเป็นคู่รักของเขา เขาจึงยิงประธานาธิบดีรีแกน นี่รายงานที่เขาลงประกาศออกมา เมื่อเขายิงมหาตมะคานธีก็เหมือนกันแหละ มันเป็นเรื่องคนที่บ้าตัวกู เป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ บ้าตัวกูก็ยิงคนอย่างมหาตมะคานธีเสีย คุณก็ลอง ลองคำนวณดูเถิด อำนาจฤทธิ์เดชของตัวกูนี้มันเป็นอย่างไร มันทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเลย ส่วนไอ้เล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง เมื่อมันทำอย่างยิ่งอย่างมากได้ มันก็ต้องทำได้หมดละ แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ปอดมันอยู่ดี ๆ มันก็เอาควันไฟไปรุมปอด ไอ้พวกสูบบุหรี่ ปอดมันอยู่ดี ๆ เอาควันไฟไปรม รมปอดเสีย ไอ้ตัวกูมันโง่ขึ้นมา มันเดือดจัดขึ้นมา หรือว่าตับมันอยู่ดี ๆ มันก็เอาเหล้ากรอกเข้าไปเผาตับ ให้ตับมันเป็นโรคตับเสียอย่างนั้นแหละ นี่ไอ้ตัวกูของกู มันยิ่งกว่าผีนะ ผีมันยังไม่หลอกถึงขนาดนี้นะ ไอ้ตัวกู ของกูนี่มันถึงขนาดนี้ ฉะนั้นขอให้ระวังให้ดี ยกตัวอย่างตั้งต้นแต่ว่าเอาควันไฟไปรมปอดด้วยการสูบบุหรี่ เอาเหล้าไปเผาตับเพราะกินเหล้า อื่น ๆ อีกมากมาย เรียกว่าไอ้ปัญญาเฉโก อวิชชา โง่มันชักจูงไปให้ทำอย่างนี้ แล้วเป็นเรื่องส่วนเกิน สูบบุหรี่นี่ไม่สูบก็ไม่ตายใช่ไหม ใครไม่สูบบุหรี่แล้วตายบ้าง มันก็เป็นเรื่องส่วนเกิน ยังทำได้ ไม่กินเหล้ามันก็ไม่ตายแล้วทำไมจะต้องกิน มันก็เป็นเรื่องทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ฉะนั้นเราจะต้องรู้เรื่องธรรมชาติของอวิชชาซึ่งเป็นต้นเหตุของกิเลส อวิชชาเป็นความโง่ เป็นความไม่รู้ มันก็ไปอยากได้ด้วยความโง่ก็เป็นความโลภขึ้นมา มันก็ไปโกรธด้วยความโง่ เมื่อมันไม่ได้มันก็เป็นความโกรธขึ้นมา แล้วมันก็ยังคงโง่อยู่นั่นแหละก็คือความหลงขึ้นมา ทีนี้ก็ไม่ใช่คนเดียวนี่ เรามีเพื่อน ๆ มากก็ชวนกันส่งเสริมซึ่งกันและกันให้หล่อเลี้ยงกิเลส ให้หล่อเลี้ยงกิเลสของเราและหล่อเลี้ยงกิเลสของเพื่อน เราไปคุยกับพ่อค้าก็อยากจะมีอายุยืนหมื่นปี ไปคุยกับหลวงชีอยากจะตายวันละร้อยครั้งพันครั้ง ถ้าเราไปคุยกับพ่อค้าเราก็ได้คุยเรื่องได้กำไร ๆ มากมาย อยากจะได้กำไรมากมาย อยากมีอายุยืนหมื่นปีก็จะรวยกันใหญ่ ถ้าไปคุยกับหลวงชีเขาก็พูดแต่เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่น่ารัก ไม่น่ายึดถือ ไม่น่าหลงใหล ดับเสียดีกว่า นั้นก็อยากตายวันละร้อยครั้ง ก็ไปคุยกับหลวงชีมันกลายเป็นอยากตายวันละร้อยครั้ง นี่เพราะกิเลสนำไปหรือว่าเพราะวิชชาปัญญามันนำไป ผลมันก็เกิดขึ้นต่างกัน ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักผลเกิดจากการคบหาสมาคม ถ้าเราชวนกันโง่มันก็โง่ใหญ่แหละ ถ้าเราชวนกันฉลาดแล้วมันก็ฉลาดมากเหมือนกัน ถ้าเราเป็นพุทธบริษัท เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราสมาคมคบหากันแต่พุทธบริษัทชักชวนกันให้รู้ มันก็จะต้องเป็นไปในทางรู้ แล้วก็เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน ทำลายกิเลสได้ ทำลายความทุกข์ได้ ถ้าเราไปสังคมกันแต่คนพาล มันก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ฉะนั้นขอให้ถือว่าไอ้มิตรสหายนี่ก็สำคัญมาก ให้คบหาสมาคมกันแต่มิตรสหายของธรรมะจะค่อย ๆ รู้เรื่องของธรรมะ รู้เรื่องของธรรมะ รายละเอียดมันมากแต่ถ้าเอากันแต่ใจความแล้วก็คือจะไม่ ไม่มี ไม่มีการปล่อยให้มันเกิดกิเลสประเภทตัวกูของกู แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาด้วยเหตุที่รู้ไม่ทันป้องกันไม่ได้ มันก็จะต้องรู้จักสลัดออกไป อย่ามาทนทุกข์อยู่ ถ้ารู้ธรรมะจะถือธรรมะเป็นหลัก แล้วก็ขอให้ทุกคนถือว่ากูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ ถ้าใครถือหลักอย่างนี้ คนนั้นจะไม่นั่งร้องไห้อยู่ หรือจะไม่ไปโดดน้ำตาย ฆ่าตัวตาย เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ เราต้องเกิดมาเพื่อเอาชนะความทุกข์ มันคงจะมีปัญหามาก มีความทุกข์มาก ถึงได้วิ่งไปวิ่งมาสวนโมกข์กันอย่างนี้ คงจะเพราะเหตุที่มีความทุกข์มากหรืออย่างไร ถ้าไม่มีความทุกข์ มามันก็เรื่องน่าหัว เสียสตางค์เปล่า เสียเวลาเปล่า ไม่ได้อะไร ถ้าว่ามีความทุกข์มาก็คงจะได้ประโยชน์บ้าง พอคุ้มค่ารถไฟหรือเวลาที่เสียไป จะมาเรียนเรื่องความดับทุกข์ ก็บอกอย่างที่ว่านี่ รู้เสียให้ดีว่าเราพอกพูนกิเลสอยู่ทุกวัน ๆ วันละ หลาย ๆ ครั้ง ถ้าเรื่องที่น่ารัก น่าได้ อยากได้มา เราก็รัก เราก็เกิดกิเลส แล้วเราก็เพิ่มกิเลสที่จะรักอย่างนั้นให้มันแน่นหนาขึ้น นี้ถ้าว่าเราไม่รัก ไม่โลภ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ไปหลงมันที่มันมาให้ ให้รักนี่ แล้วก็ลดกิเลสลงไปตัวหนึ่ง แล้วก็ลดความเคยชินที่จะเกิดกิเลสอย่างนั้นอีกลงไปหน่วยหนึ่ง ไอ้การสะสมกิเลสของเรามันกลายเป็นลด ๆ ๆ ๆ ลงไปทีละหน่วย ๆ แต่ถ้าเราไม่มีสติ เราโลภหรือเรารักมันทุกคราวที่มันมาให้โลภ เราก็เพิ่ม เพิ่มกิเลส เพิ่มความเคยชินที่จะมีกิเลสหรือการสะสมกิเลสมันก็กลายเป็นบวก ๆ ๆ ๆ กิเลสมันก็หนาแน่น นี่เป็นเรื่องโลภ ฉะนั้นจงไปหัดมีสติ อะไรมาให้รักอย่าเพิ่งรัก อะไรมาให้โลภอย่าเพิ่งโลภ มีสติแล้วก็จะเห็นว่า อ้อ, ไอ้นี่นะมันมาหลอกทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องไปรัก ไม่ต้องไปโลภให้มันเหนื่อย ไปคิดดูเถอะมัน มันเหนื่อยหรือเปล่า ไอ้ความรักหรือความโลภนะ มันเหนื่อย มันทรมาน เรารู้จักแล้วเราก็เกลียด เราก็กลัว เมื่อเกลียดเมื่อกลัวแล้วสติมันก็จะมีมากขึ้นและเร็วขึ้น เดี๋ยวนี้ไม่มีสติที่จะป้องกันความรักหรือความโลภเพราะเราไม่กลัว เพราะว่าไม่รู้จักกลัวแล้วก็ไม่รู้ว่ามันมีด้วย เราก็เลยยิ่งไม่กลัว ฉะนั้นขอให้มีความละอาย เมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจ ใครรู้หรือไม่รู้ตามใจแต่เราละอาย ละอายแก่ตัวเรา ละอายอย่างยิ่งเมื่อได้ปล่อยให้กิเลสเกิดขึ้น และเราก็กลัวด้วยว่านี่มันเป็นอันตราย เลวร้าย สิ่งเลวร้าย แล้วเราก็กลัว เราก็จะเกลียดมัน เกลียดกิเลส แล้วการเกิดของกิเลสมันก็จะซาลง มันจะลดลง ทุกคราวที่เกิดกิเลสขอให้ละอายอยู่ในใจ แล้วขอให้กลัวมันอย่างยิ่ง จนกระทั่งเกลียดมันอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ คำว่ากิเลส ๆ นี้ที่เป็นภาษาบาลีนั้น คำ ๆ นี้แปลว่าของสกปรก ไอ้ของสกปรกทั้งหลายที่มนุษย์มีกันอยู่นั่นละ ถ้าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่ากิเลส เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องทางจิตใจสกปรกในใจก็ควรจะเกลียด นี่เมื่อกิเลสเกิดขึ้นในเรื่องของความโลภหรือความรักคือราคะ เรามีสติพอที่จะยับยั้งว่า นี่อันตรายแล้วก็ป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสชนิดนั้น ในปัจจุบันนี้ก็รอดตัวไปไม่ต้องเป็นทุกข์และในอนาคตก็คือว่ามันจะโลภยากหรือรักยากยิ่งขึ้นหรือช้าลง มันจะมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้ามันปล่อยไปในทางตรงกันข้าม มันจะไว ไวยิ่งกว่าฟ้าแลบที่มันจะโกรธหรือว่าจะโลภหรือว่าจะโกรธหรือว่าจะหลง มันก็จะไวมากขึ้น แต่ถ้าเรารู้จักต่อสู้ป้องกัน มันก็จะค่อย ๆ ช้าลง ๆ เรียกว่ามันอ่อนกำลังลง นี่ถ้าจะต้องการแก้ปัญหาใน ในส่วนลึก ส่วนต้นเหตุต้นตอที่อยู่ในส่วนลึกของจิตต้องทำอย่างนี้ ต้องฝึกสติให้มีสติ วิธีทำสติทำสมาธินั่นแหละไปฝึกกันให้ ให้เพียงพอ ให้มีสติเร็ว แล้วก็จะสกัดกั้นไอ้การเกิดแห่งกิเลสได้ สติเร็วคือรู้สึกตัวเร็ว ระลึกถึงไอ้ความถูกต้อง ผิดถูกชั่วดี เอามาได้เร็ว ไอ้ปัญญาเราจะต้องศึกษา ตามธรรมดาศึกษาอยู่เรื่อยไปความรู้ว่าอย่างนี้ดี อย่างนี้ชั่ว อย่างนี้เลว อย่างนี้บุญ อย่างนี้บาป อย่างนี้เป็นทางแห่งความทุกข์ อย่างนี้เป็นทางแห่งความสุข ศึกษาไว้เป็นปัญญา ทีนี้พอมันเกิดเรื่องขึ้นมาสตินะมันเอาปัญญามาทัน เพื่อจะห้ามเสียอย่าไปรัก อย่าไปโลภ อย่าไปโกรธ อย่าไปประทุษร้าย อย่าไปโง่ไปหลงกับมัน ถ้าเราไม่มีสติที่ฝึกไว้ดี สติก็มาไม่ทันกับการเกิดของกิเลสเพราะกิเลสเกิดเป็นสายฟ้าแลบ เร็วเหมือนกับสายฟ้าแลบ เพราะเราสะสมไว้มาก สะสมความเคยชินกันไว้มาก สติต้องเร็วทันกัน มันจึงจะหยุดสกัดกระแสแห่งกิเลสได้ ฉะนั้นขอร้องให้ทุกคนพยายาม ฝึกฝนกิเลส เอ้ย, ฝึกฝนสติเพื่อจะสกัดกั้นกิเลส วิธีง่าย ๆ วิธีง่าย ๆ เด็ก ๆ ก็ควรจะทำได้ก็คือว่าอย่าทำอะไร อย่าคิดอะไร อย่าปล่อยจิตใจไปในทันที รอไว้ก่อน ถ้าเรื่องนี้ มันมากระทบตา กระทบหู กระทบจมูก กระทบลิ้น กระทบผิวหนังอะไรก็ตาม มันมากระทบกันแล้ว รอไว้ก่อน จะยังไม่รับเอาหรือจะยังไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามนั้น มีนิทานสอนเด็กเรื่องนับสิบก่อน สมัยอาตมาเป็นเด็ก ๆ เรียนหนังสือเล่มนี้ ในหนังสือแบบสอนอ่านเล่มนั้นมีนิทานเรื่องนับสิบก่อน ไอ้คน เด็กคนหนึ่งเขาได้รับการสั่งสอนอบรมจากพ่อแม่ว่า ถ้าว่ายังไม่ได้นับ ๑ ถึง ๑๐ แล้วอย่าเพิ่งพูดออกไปนะ มันก็ประพฤติตาม วันหนึ่งก็ไปปลูกผักกับน้องชาย น้องชายเขาทำหก ไอ้พี่สาวนี่ก็นับ ๑ ถึง ๑๐ อยู่ในใจยังไม่พูด พอนับ ๑ ถึง ๑๐ แล้วก็หมด หมดความโกรธกันแล้วที่จะโกรธไอ้น้องชายทำกระป๋องหก น้องชายก็ว่าเมื่อตะกี้ทำอะไรนิ่งเงียบ เขาก็ว่านับ ๑ ถึง ๑๐ ไอ้นิทานศีลธรรมอย่างนี้เดี๋ยวนี้ยังมีสอนอยู่ในโรงเรียนหรือไม่ อาตมาไม่ทราบ แต่สมัยอาตมาเป็นเด็กมันมีอย่างนี้ แบบสอนอ่านในโรงเรียนนะเป็นเรื่องศีลธรรมไปหมด นี่คือตัวอย่างที่ว่าเราจะรับอารมณ์อะไร ขอให้หยุดนับสิบก่อน จึงจะปล่อยให้เกิดความรู้สึกว่ารักหรือไม่รัก เกลียดหรือไม่เกลียด โกรธหรือไม่โกรธ แม้แต่ที่มันดี น่า น่าเอา น่าได้ น่ารัก ก็จะไม่เอาทันที จะรอ ตั้งสติสัมปชัญญะให้เพียงพอเหมือนกับว่านับ ๑ ถึง ๑๐ เสียก่อน นี่เขาเรียกว่าสติ เมื่อเราเป็นคนเกลียดกิเลส ละอายเมื่อเกิดกิเลสแล้วกลัวพิษร้ายของกิเลส แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัตินับ ๑ ถึง ๑๐ ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป นี่มันก็ป้องกันได้ ป้องกันไม่ให้กิเลสทำอันตรายเราได้ นี้เป็นหลักใหญ่ที่ต้องถือเป็นประจำ เป็นหลักพื้นฐาน เป็นหลักใหญ่ ทีนี้มันก็ยังมีเรื่องเบ็ดเตล็ดที่บางทีมันก็ทำไม่ทัน มันก็เกิดเสียแล้ว มันก็เกิดกิเลสไปแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ไม่ถึงกับเป็นตาย ก็แก้ไขกันไป ถ้ามันเป็นถึงวินาศฉิบหาย มันก็วินาศฉิบหายไปแหละ ถ้าทำไม่ทันกับกิเลส แต่ถ้าเรามีลักษณะนับสิบก่อน แล้วมันก็มีโอกาสที่จะป้องกันและแก้ไข คำว่าแก้ไขนี่มันทีหลังเมื่อมันเกิดแล้ว ก็ต่อสู้ ก็แก้ไข ขอให้นึกถึงเรื่องละอายแมวกันอีกทีหนึ่ง ที่เราทำผิดเกิดกิเลส เกิดนี้อย่างนี้จนละอายแมวจนนอนไม่หลับบ้าง ปวดหัวบ้าง เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง ก็เพราะว่าเรามันชอบรับเอาไว้ ไอ้กิเลสหรือเรื่องของกิเลสที่มันได้เกิดขึ้นแล้ว เรากลับ ไปรัก กลับไปชอบมัน บางทีคล้าย ๆ กับมันสนุกดี มันก็มาทรมานใจอยู่เรื่อย มันก็ควรจะปัดทิ้งออกไป อย่าไปจู๋จี๋สูสีกับไอ้เรื่องของกิเลส ฉะนั้นบางคราวเราจะต้องใช้คาถาว่าไม่รู้ไม่ชี้ มันหยาบคาบสักหน่อย อย่าเอามารู้มาชี้ให้ทรมานจิตใจ คนโง่จะเอาเรื่องที่ไม่ควรเอา เอามาทรมานจิตใจอยู่เรื่อย สลัดไม่ลง แต่คนฉลาดเขาอาจจะตะเพิดออกไปแล้ว ไม่รู้ไม่ชี้ ฉะนั้นขอให้ใช้คำว่าไม่รู้ไม่ชี้นี้ให้ถูกกาลเทศะ ให้ถูกวิธี ให้ถูกเรื่อง ให้ถูกเวลาด้วย ไม่รู้ไม่ชี้นี้ใช้ให้เป็นจะมีประโยชน์ จะเป็นยาแก้กิเลส คือธรรมะสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นจน จนตัดออกไม่ ไม่ได้ ความรัก ความอาลัยความอาวรณ์ ความที่ตกลงกันไม่ได้อะไรก็ตาม นั้นนะจะต้องรู้จักตัดออกไปโดยไม่รู้ไม่ชี้เสียบ้าง แล้วก็ถ้ามันขนาดร้ายกาจก็ต้องถือคาถาว่าช่างหัวมัน รู้จักใช้ช่างหัวมันให้ถูกเวลา คุณจะมีความทุกข์น้อยลง เดี๋ยวนี้ช่างหัวมันไม่เป็น ยอมแพ้หรือมีความอาลัยอาวรณ์เหนียวแน่นจน จนนอนไม่หลับ จนได้ละอายแมวแหละ บางทีเราจะต้องใช้ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา นี้คงนึกไม่ออก ทั้งหมดนี้คงนึกไม่ออกว่าอาตมาจะพูดว่าอะไร ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนา ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาหมายความว่าคำสั่งสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าเอามารวมกันให้เหลือนิดเดียว เป็นจุดเดียว มันมีเป็นคำพูดว่าอย่างนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองโว้ย, ถ้ามันมีอารมณ์มากก็มันจะ เช่นนั้นเองโว้ย, ที่บอกว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจังคือมันเป็นเช่นนั้นเอง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์เป็นเช่นนั้นเอง ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตาคือเช่นนั้นเอง อริยสัจ ๔ ความทุกข์เป็นเช่นนี้ ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เหตุให้เกิดทุกข์คือตัณหานั่นแหละ เหตุให้เกิดทุกข์ต้องเป็นเช่นนี้ ๆ ดับทุกข์ไม่มีเหลือก็คือเช่นนี้ ๆ ทางดับทุกข์ไม่มีเหลือก็เช่นนี้ ๆ แล้วได้ยินแต่คำว่าอริยสัจ ๔ ความจริง ความจริงก็คือเช่นนั้นเอง แต่บางทีพระพุทธเจ้าท่านไปเรียกว่าไอ้ ๔ ข้อนี้ว่าเช่นนั้นเอง เช่นนี้ละ ตถา ตถา ตถา แปลว่าเช่นนั้นเอง ตถามีอยู่ ๔ อย่างคือความทุกข์ ตถาคือเหตุให้เกิดทุกข์ ตถาคือความดับแห่งทุกข์ ตถาคือทางแห่งความดับแห่งทุกข์ นี้เชื่อว่าโดยมากนี้ไม่เคยได้ยินเพราะมัน มันเก็บเงียบอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ค่อยมีใครเอามาพูด จะบอกให้รู้ว่าคำนี้มันมี เรียกอริยสัจทั้ง ๔ ว่า ตถา ตถาแปลว่าเช่นนั้นเอง ที่ว่าเช่นนั้นเองอย่างละเอียดที่สุดก็คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่มันยืดยาว อวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป นามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ เพราะมีชาติจึงมีชรา มรณะ โสกะ เทวะ ทุกขะ ความทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นอย่างนี้ สูตรนี้ทั้งหมดพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าตถา หรือ ตถตา แปลว่ามันเป็นเช่นนั้น มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นเช่นนั้น ที่มันต้องเป็นอย่างนี้นะมันเป็นเช่นนั้นโดยธรรมชาติ เราก็ไม่เคยได้ฟัง แล้วเราก็ไม่เคยได้ฟังว่ามันเช่นนั้นเอง เรื่องทุกเรื่องก็คือพระพุทธเจ้าท่านชี้ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้น ๆ ๆ ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น ๆ คือรู้เช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง ทีนี้คนมันไม่เห็นเช่นนั้นเอง มันไม่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเอง มาให้รักมันก็รัก มาให้โกรธมันก็โกรธ มาให้เกลียดมันก็เกลียด มาให้กลัวมันก็ มันก็กลัว คือมันโง่ มันไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง ถ้าเห็นไอ้เช่นนั้นเอง เราจะไม่มีรัก ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด ไม่มีกลัว ไม่มีอะไรอย่างที่เขามี ๆ กัน เพราะเห็นเช่นนั้นเอง คำนี้ต้องขอร้องให้ช่วยจำไว้เพราะว่าเป็นพระพุทธภาษิต เป็นบาลีที่สำคัญที่สุดเรียกว่า ตถตา ก็ได้ ตถา ก็ได้ อวิตถา ก็ได้ อวิตถตา ก็ได้ คำเยอะแยะไปหมด แต่มันรวมใจความนิดเดียวว่าเช่นนั้นเอง อวิตถตา ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถตาไม่เป็นโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จะเกิดขึ้น มันก็เป็นเรื่องละเอียดมากออกไป เพราะมีสิ่งนี้เป็นต้นเหตุสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีสิ่งนี้เป็นต้นเหตุสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นอย่างนี้เรื่อยไป อย่างนี้เรียกว่าเช่นนั้นเอง ถ้าเขาเห็นว่าเป็นเพียงเช่นนั้นเอง ก็ไม่ไปหลงรัก หลงเกลียด หลงกลัว หลงอะไรต่าง ๆ ที่มันทำให้เกิดความทุกข์ ไอ้สิ่งที่เรารัก ถ้าเราไปดูให้ดีจะเห็นว่า อ้อ, มันเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่รู้ เราก็หลงรัก ไอ้สิ่งที่เราโกรธจนเราไม่มองเห็นว่ามันเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ถ้าละเอียดซอยลงไปอีกก็ว่าไอ้ที่ว่าหอมมันก็คือเช่นนั้นเอง ที่เหม็นก็คือเช่นนั้นเอง ที่อร่อยก็เช่นนั้นเอง ที่ไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง ถ้าเราเห็นเช่นนั้นเอง เราจะไม่ถูก ถูกเชิด ถูกเขย่าให้รักที ให้เกลียดที ให้พอใจที ให้ไม่พอใจที ให้หัวเราะที ให้ร้องไห้ที นี่เพราะไม่เห็นเช่นนั้นเอง ทีนี้ที่มันใหญ่โตมากก็คือว่าไอ้ความอยู่นี้ก็เช่นนั้นเอง ความตายก็เช่นนั้นเอง เขาก็เลยไม่ ไม่ได้รักความอยู่และไม่ได้เกลียดไม่ได้กลัวความตาย เขาหัวเราะเยาะความตายได้ ไอ้ความวิบัติพลัดพราก คู่รักเล่นไม่ซื่อนี้ เขาไม่ไปโกรธให้มันเสียเวลา มันเช่นนั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็ถ้าคู่รักเล่นไม่ซื่อ ต้องไปเอาปืนมา แล้วก็ยิงมันเสีย มันไม่มองเห็นเช่นนั้นเอง คนโบราณปู่ย่าตายายเขาถึงธรรมะข้อนี้กันมาก คนแก่ ๆ รุ่นโน้นนะเขารู้จัก อ้อ, มันเป็นเช่นนั้นเอง ฉะนั้นเขาจึงไม่เอาปืนมายิงใครเมื่อเล่นไม่ซื่ออย่างนี้ เขาให้อภัยได้เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เดี๋ยวนี้มันยิงกันฆ่ากันตายมากเพราะเหตุนิดเดียวเพียงว่าเขาไม่ซื่อตรงต่อความรักนี้เป็นต้น แต่ถ้าคนโบราณเขาเห็นมันเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อเกิดอย่างนี้เป็นอย่างนี้ก็ปล่อยมันไปเถอะ เรา เรา เราเลิกได้ ก็ทิ้งก็ได้ เราก็ทำอย่างอื่นดีกว่า ถ้าว่าไอ้ลูกเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ มันนั่งร้องไห้อยู่เพราะว่าของรักของมันตกแตก เช่น ตุ๊กตาตกแตก อะไรที่มันรักมากตกแตกนี่ คุณยายก็บอก โอ้, ลูกเอ๋ยมันเช่นนั้นเอง อย่าร้องเลย ป่วยการ มันเช่นนั้นเอง เด็กก็หยุดร้องไห้ได้ นี่ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาเอามาใช้ในเรื่องบ้านเรือนให้เด็กหยุดร้องไห้ได้ ไอ้แม่เดี๋ยวนี้หยิบหาไม้เรียวมากระมัง หยุดร้องไห้ด้วยไม้เรียวบ้างหรืออย่างอื่นบ้างหรือล่อลวงอย่างอื่นบ้าง ไม่เอาธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนามาบอกลูกเด็ก ๆ ว่ามันเช่นนั้นเองนะ ถ้าแกสอบไล่ตก แกก็อย่าไปร้องไห้ ที่มันเช่นนั้นเองเพราะแกเรียนไม่พอนี่ แกเรียนไม่พอ แกก็ต้องสอบไล่ตก มันเช่นนั้นเอง ต้องไปเรียนใหม่ให้พอสิ นี่ธรรมะนี้ถ้าว่าเห็นเช่นนั้นเองแล้วจะไม่ยึดถืออะไร จะบรรลุมรรคผลนิพพานก็จะไม่มาหลงรักหลงเกลียดอะไรอยู่ในโลกนี้ จิตใจจะหลุดพ้นไปนิพพาน เมื่อเห็นเช่นนั้นเอง เห็นเช่นนั้นเองเอามาใช้ในบ้านในเรือนอะไรก็ได้ ให้ลูกเด็ก ๆ เขารู้จักใช้ อย่าร้องไห้หรือว่าอย่าโกรธ เมื่อมัน มันเป็นอย่างนั้น มันต้องเป็นอย่างนั้นเอง แกอย่าโกรธหรือแกอย่าดีใจ กระทั่งว่าจะไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจอะไรมันจะเกิดขึ้น ถูกลอตเตอรี่มันก็เช่นนั้นเองเท่ากับไม่ถูกใช่ไหม เพราะฉะนั้นถูกลอตเตอรี่ก็ไม่ดีใจ ไม่ถูกก็ไม่เสียใจ เพราะเขาเห็นความเป็นเช่นนั้นเองลึกซึ้ง ก็ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว เมื่อไม่รู้จักเช่นนั้นเองมันจะทรมานจิตใจ ไม่เท่าไรก็ต้องได้เป็นโรคประสาทให้ละอายแมว บางทีเรายังใช้คาถาบทต่อไปว่า ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็นโว้ย, ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น เอานี้หมายถึงเอาด้วยความโง่ ได้เงินได้ของด้วยความโง่ เอาด้วยความโง่ เอาด้วยความหลงรัก นี่เขาเรียกว่าเอา ทีนี้เป็นก็เหมือนกันแหละ เป็นด้วยความโง่ยึดมั่นถือมั่น กูเป็นนั่น กูเป็นนี่ ด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้เรียกว่าเป็น ถ้าไปเอาไปเป็นเข้าอย่างนี้ละมันกัดเอาทั้งนั้นแหละ ไปเอาเงิน เงินก็กัด ไปเอาทอง ทองมันก็กัด ไปเอาเกียรติยศชื่อเสียงด้วยความโง่อย่างนี้ มันก็กัดนะ ความเป็นนั่นเป็นนี่มันก็กัด เป็นนายมันก็กัด เป็นบ่าวมันก็กัด เป็นสามีมันก็กัด เป็นภรรยามันก็กัด เพราะมันหมายมั่นด้วยความโง่ ก็เรียกว่าเอาหรือเป็น ทุกสิ่งไม่ควรหมายมั่นด้วยความโง่เพื่อจะเอาจะเป็น หรือทุกสิ่งไม่ควรจะเอาจะเป็นด้วยความหมายมั่นด้วยความโง่ ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นด้วยสติปัญญา ถ้าจะเป็นบิดามารดานี่ก็ต้องเป็นด้วยสติปัญญา อย่าเป็นด้วยความโง่ มันจะรักจนหลงไปหมด จนเด็ก ๆ เสียไปหมด เป็นสามีภรรยาก็เหมือนกันแหละ จงเป็นกันด้วยสติปัญญา อย่าเป็นด้วยความโง่ มันจะกัดเอา ก็พูดรวมทีเดียวหมดทั้งสากลจักรวาลว่าไม่มีอะไรที่น่าไปหลงเอาหรือไปหลงเป็นกับมัน ถ้าจะเกี่ยวข้องก็ไม่ต้องหลง เพราะว่าเราจะต้องกินข้าว จะต้องทำอะไรทุกอย่าง เราต้องมีข้าวกินแต่เราก็ต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความยึดมั่นถือมั่น จะมีครอบครัว มีบุตรภรรยาสามีก็ได้ แต่อย่าทำไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น มันจะกัดเอา บอกให้รู้ว่าไอ้สิ่งต่าง ๆ นี้มันไม่น่าเอาน่าเป็น เพราะว่าไปยึด ยึดมั่นมั่นหมายแล้วมันจะกัดเอา ต้องรู้จักเอา รู้จักเป็น เหมือนกับว่ามันเป็นของมีพิษร้าย แล้วมันก็จะไม่กัดเอา ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น การไม่เอาอะไรเลย มีจิตหลุดพ้นไปเสียจากสิ่งทั้งปวงนั่นแหละ มันเป็นนิพพาน บางทีก็มีคาถาว่าตายเสีย ก่อนตาย มันก็ยิ่งฟังไม่ถูก สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย คนไม่รู้อะไรเขาว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า แต่คนที่รู้จริงตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คนแก่ ๆ ของเราก็พูดว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ แล้วก็ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตอนตายแล้ว กิเลสที่มันกัดเอาร้อนเหมือนไฟเผานั้นคือนรก เมื่อทำถูกต้อง พอใจ สบายใจ มีปรีติปราโมทย์ ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละมันคือสวรรค์อยู่ในอกในใจที่นี่และเดี๋ยวนี้ นิพพานนั้นอยู่ที่อย่ามีตัวกูของกูที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็เป็นนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรออีกหมื่นชาติแสนชาติ จงทำอย่าให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกูที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่ก็เรียกว่าตัวกูนะมันตายก่อนแต่ร่างกายตาย ตายเสียก่อนตาย ให้กิเลสตัวกูของกูตายเสียก่อนแต่ร่างกายตาย เราก็จะมีนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ได้เสวยรสของนิพพานไม่เสียชาติเกิด คนที่ไม่ได้เสวยรสของนิพพานนั้น มันเป็นคนเสียชาติเกิด แล้วมันต้องรู้จักทำอย่าให้กิเลสเกิด เมื่อกิเลสไม่เกิดนั้นมันคือนิพพาน ระยะที่มันว่างจากกิเลส ไม่มีกิเลสนั้น จิตมันอยู่กับนิพพาน ควรจะได้ชิมรสอย่างนี้กันบ้าง เกิดมาทีหนึ่งอย่าให้เสียชาติเกิด ให้ได้สังเกต ให้ได้รู้รส ให้ได้ชิมรสในขณะที่จิตไม่มีกิเลส จิตเที่ยง จิตสงบ จิตเย็น เดี๋ยวนี้รู้กันหรือยัง ที่นั่งกันอยู่ทั้งหมดนี้ว่าคำว่านิพพานนั้นแปลว่าอะไร คำนี้แปลไม่ได้หรอกว่าที่จริง แต่ถ้าต้องบังคับให้แปลหรือเท่าที่เขาใช้ ๆ กันอยู่ในสมัยโบราณนั้นเขาแปลว่าเย็น เขาแปลว่าเย็น เดี๋ยวนี้เข้าใจผิดกันหมดแล้ว อาตมาเชื่อว่าเข้าใจผิดกันหมดแล้ว คงเข้าใจว่าเย็นคือคู่กันกับร้อนนะ อย่างนี้ไม่ถูก ไม่ใช่เย็นที่คู่ที่เป็นหนาวหรือคู่กันกับร้อนนะ ไม่ใช่ ไม่ใช่เย็นอย่างนั้น ไอ้เย็นที่คู่กันกับร้อนนะมันมีอยู่ ๒ อย่าง เอาทั้งเย็นและทั้งร้อนออกไปเสียให้หมดแล้วจึงจะมีเย็นอย่างนิพพาน ถ้าเย็นอย่างหนาวมันก็ ก็ลำบากจะตายไป ไอ้หนาวหรือเย็นนี่ และถ้าร้อนมันก็ลำบากจะตายไป ทีนี้เอาออกไปเสียทั้งเย็นและร้อน มันจึงจะมีเย็นอย่างนิพพานคือเย็นอย่างสงบเย็น คำเดิมมันแปลว่าเย็นที่คู่กันกับร้อนนั่นแหละแต่พอมาเป็นเรื่องของพระนิพพาน ในทางธรรมะคำว่านิพพานแปลว่าเย็น แต่เป็นเย็นชนิดที่ไม่ร้อนและไม่เย็น เมื่อหนาวนั้นมันก็เดือดร้อนมันจะตายอยู่เหมือนกันนะ มันหนาวหรือมันเย็นมาก เมื่อร้อนก็ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นออกไปเสียทั้งร้อนและทั้งเย็น เมื่อนั้นจะว่าง จะเป็นกลางและว่าง นี่คือเย็นอย่างนิพพาน ถ้าลดลงมาเขาก็หมายถึงเรื่องเย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องร้อนอกร้อนใจนั่นแหละคือนิพพาน เวลาที่เราไม่ร้อนอกร้อนใจอะไรเลยนั้นก็เป็นตัวอย่างของนิพพาน ขอให้สังเกตดูให้ดีเพราะว่ามันก็มีอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่สังเกตจึงดูเหมือนกับว่าไม่มี ที่จริงมันมีไอ้เวลาที่เราไม่ร้อนด้วยกิเลสมันมี นี้เราจึงไม่เป็นบ้า เราจึงไม่เป็นโรคประสาทให้ละอายแมวเพราะเวลาที่มันไม่ร้อนด้วยกิเลสนั้นพอจะมีอยู่บ้าง มันจึงนอนหลับบ้าง นี่พระนิพพานมาช่วยคุ้มครองให้เราไม่ต้องละอายแมว ถ้าไม่มีความเย็นตามแบบของพระนิพพานอย่างนี้เข้ามาแทรกแซงอยู่เป็นระยะแล้วคนเราก็ละอายแมว กระทั่งเป็นโรคประสาท กระทั่งเป็นบ้า ตายไปเลยไม่มีเหลือก็ได้ ฉะนั้นส่วนที่มันไม่ร้อนไม่มีกิเลสเกิดขึ้นรบกวนนั่นแหละสนใจกันให้มาก ถ้าเกิดขึ้นแล้วรักษาไว้ให้ได้ รักษาไว้ให้นานให้ยาวให้จิตมันว่างจากกิเลส เย็นเป็นนิพพานอยู่ เมื่อนั้นจะไม่มีความรู้สึกประเภทตัวกูของกู ไอ้ตัวกูของกูไม่เกิด ถ้าเราทำให้มัน ตัวกูของกูดับ ดับเลย ดับไม่มาอีกเสียก่อนแต่ร่างกายแตกตาย นี้คือบรรลุนิพพานจริงก่อนแต่ร่างกายตาย เราใช้คำว่าตายเสียก่อนตาย ฟังแล้วมันไม่น่าเชื่อ ตายเสียก่อนตายคือให้ตัวกูของกูที่เป็นกิเลสตายเสียก่อนแต่ร่างกายนี้มันตาย ก็คือทำรีบทำความเพียรให้หมดกิเลส ให้ตัวกูมันตาย ร่างกายตายทีหลัง ทีนี้ในระหว่างที่ร่างกายยังไม่ทันตาย จิตก็อยู่กับกิเลส เอ๊ย, อยู่กับนิพพาน เยือกเย็นเป็นนิพพาน ไปเสวยรสของพระนิพพาน นี้เรียกว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่เสียทีที่เกิดมา ข้อนี้เรียกว่าตายเสียก่อนตาย ทีนี้ก็พูดชนิดที่ว่าล่วงหน้าไว้มาก ๆ ดับไม่เหลือ เราใช้ดับไม่เหลือเป็นเครื่องช่วย ที่เรามองเห็นเช่นนั้นเอง เห็นเช่นนั้นเองว่าจะต้องเป็นไป ๆ ปรุงแต่งเรื่อย ปรุงแต่งเรื่อย ดับไม่ลง มันก็มีความทุกข์เรื่อย ปรุงแต่งเรื่องนั้นที ปรุงแต่งเรื่องนี้ที เป็นตัวกูอย่างนั้นที เป็นของกูอย่างนี้ที เรื่อยไปอย่างนี้คือตัวกูมันเกิดเรื่อย มันไม่ดับ ทีนี้เราก็เบื่อ เบื่อที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ สมัครที่จะดับไม่เหลือ พูดกันง่าย ๆ ว่าไม่อยากจะเกิดอีกนั่นแหละ อยากจะดับคราวนี้ ดับเป็นสุดท้าย ดับไม่มีเหลือ อย่าเกิดอีก ดับอย่ามีเชื้อเหลือสำหรับไปเกิดอีก เพราะเรามองเห็นอยู่ว่าเกิดอีกมันก็เป็นทุกข์อีก เกิดอีกก็เป็นทุกข์อีก ฉะนั้นว่าดับคราวนี้จะดับอย่างไม่มีเชื้อเหลือสำหรับจะเกิดอีก ไม่เหลือเชื้อไว้เกิดอีก พูดอย่างภาษาวัตถุก็ว่าตายเข้าโลงคราวนี้แล้วไม่อยากมาเกิดอีก ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมะอันลึกซึ้งก็ว่าไอ้ที่เกิดกิเลสคราวนี้แล้ว กูจะไม่ให้เกิดอีก ไอ้ตัวกูของกูนี้มันยุ่ง มันทรมาน มันเป็นทุกข์ มันร้อน ขอให้มัน ให้มันดับ อย่ามาเกิดกันอีกในจิตในใจของเรา อย่างนี้เรียกว่าดับไม่เหลือ นี่เป็นสิ่งสุดท้ายแล้วจะทำได้เมื่อจะตาย เจ็บไข้จะตายอยู่แล้วก็สมัครดับไม่เหลือ มันก็จะเป็นนิพพานได้ เมื่อดับ เมื่อตาย ถูกยิงมีความรู้สึกว่าถูกยิงตายแน่ แต่เราไม่เคยคิดถึงไอ้เรื่องตายแบบนั้น เราสมัครดับไม่เหลือ ถูกรถยนต์ทับตายแน่ อยู่ใต้ล้อรถยนต์ กูสมัครดับไม่เหลือ อย่างนี้จะเรียกว่าสมัครดับไม่เหลือแล้วก็ดับเพื่อไปฝ่ายพระนิพพาน ถ้ากูไม่ยอมตาย ดิ้นรน นี้มันก็ต้องตายแล้วมันก็ตายโหง มันเป็นตายโหงหมด ถูกยิงตาย รถทับตาย อะไรตาย เมื่อมันไม่ยอมสมัครดับไม่เหลือมันก็เป็นตายโหง คือความตายของผู้ที่ไม่ยอมตายเราเรียกว่าตายโหง เดี๋ยวนี้เราก็สมัครดับไม่เหลือเพราะขี้เกียจ ขี้เกียจเกิดไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเจ็บไข้ก็ดับไม่เหลือ ถ้าคนดับไม่เหลือ เมื่อจะตายก็สมัครดับไม่เหลือ ก็อย่าให้เกิดตัวกูของกู ทำอะไรไปด้วยสติปัญญาอย่าทำด้วยตัวกูของกู อย่าให้มันอยู่ด้วยความหวัง ถ้าอยู่ด้วยความหวังมันก็ตกนรกทั้งเป็น คำพูดนี้มันขัดกันกับที่เขาสอน ๆ กันอยู่ในโรงร่ำโรงเรียนโดยเฉพาะที่พวกฝรั่งมันสอน ฝรั่งเขาสอนให้อยู่ด้วยความหวัง เอามาช่วยชูใจเรื่อยๆ แต่หลักธรรมะในพุทธศาสนาไม่อยู่ด้วยความหวังและไม่ยอมให้เกิดความหวัง เพราะว่าความหวังนั้นมันทรมานจิตใจเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เราอยู่ด้วยสติปัญญา เราจะทำอะไรก็ทำไปด้วยสติปัญญารู้ว่ามันทำอย่างนั้นแล้วก็ได้ประโยชน์อย่างนั้นแล้วก็ทำไปแต่อย่าหวัง คนอื่นเขาทำด้วยกำลังแห่งความหวังก็ตกนรกทั้งเป็น เพราะพอหวังมันก็ไม่ได้อย่างหวังนี่มันก็เริ่มทรมานใจตั้งแต่เมื่อเริ่มหวัง หวัง หวังทันทีมันก็ผิดหวังทันทีเพราะว่าความหวังมันไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นมาได้ พอเราหวังมันก็ผิดหวังทันที แล้วก็ผิดหวังเรื่อยไป แล้วมันก็จะทรมานจิตใจ มันก็ตกนรก ก็ทำด้วยความหวังอย่างนี้มันทำด้วยกิเลสหรือด้วยความโง่ ถ้าได้มามันก็หลงรักตาย ก็หึงหวงตายเลย นี่มันทำด้วยความหวัง มันจะมีไอ้ความทุกข์ทรมาน เดี๋ยวนี้จะไม่ทำอะไรด้วยความหวัง ทำด้วยสติปัญญารู้อย่างแจ่มแจ้งว่านี่เป็นอย่างนี้ นี้ต้องทำ นี้ควรทำ นี้ควรทำอย่างไร แล้วก็ทำไป อย่าหวังให้มันกัดหัวใจ พระพุทธเจ้าประณามความหวังว่าเป็นกิเลสเลวร้าย เป็นเหตุให้ว่ายเวียนอยู่ในกองทุกข์ จงระงับความหวังเสีย ให้สติปัญญาอยู่แทน ถ้าพวกโน้นเขาทำด้วยอำนาจแห่งความหวัง เราทำด้วยอำนาจแห่งปัญญา เราไม่ยอมให้ความหวังมาเผาผลาญหัวใจของเรา นี้มันกัดหัวใจเพลี่ยงไปกี่รายกี่ร้อยรายแล้วที่ทำด้วยความหวัง หวังในความรัก หวังในความซื่อสัตย์ของคู่รัก นี่มัน มันเป็นอย่างไรบ้าง ฉะนั้นเลิกความหวังเสียดีกว่าแล้วก็ทำด้วยสติปัญญา มันก็ไม่มีอะไรกัดหัวใจ ความหวังเป็นกิเลสประเภทความโลภ ประเภทราคะ ประเภทโลภะ อย่าเอากับมัน มันก็มีตัวกูของกูเป็นเจ้าของความหวัง เป็นเจ้าของเรื่อง ตัวกูของกูนี่มันกัด ทรมานใจ นี่เรารู้ด้วยปัญญาว่า ไอ้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ไอ้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งมีสิ่งนี้จึงมี ที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ก็ทำให้ถูกเรื่อง แล้วสิ่งที่ควรจะได้จะมีมันก็เกิดขึ้นมาเอง มีข้าวกิน มีบ้านอยู่ มีทุกอย่างเหมือนที่เขามี ควรจะมีแต่ไม่ทรมานใจ ไม่กัดหัวใจเพราะเราไม่เป็นอยู่ด้วยความหวัง นี่ก็เลยไม่มีความทุกข์ ปัญหาของชีวิตมันก็ควรจะหมดไปเพราะไม่มีกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหวังซึ่งคนเขาชอบกันนักแล้วสอนให้หวัง สอนเด็ก ๆ ให้หวัง เด็กนี้จะเป็นโรคประสาทเร็วที่สุดถ้าเราไปสอนให้เขาหวังอย่างที่เรียกว่าหลับหูหลับตา สอนให้เขารู้ด้วยสติปัญญาและทำไปตามสบายโดยไม่ต้องหวังดีกว่า อาตมาไม่เชื่อคำสอนที่สอนให้อยู่ด้วยความหวังหรือที่พวกฝรั่งเขามาสอนคนไทยให้โง่ตามเขาว่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวังนี้อย่าเอาเลย ถ้าเป็นพุทธบริษัทนะอย่าอยู่ด้วยความหวัง อย่าทำอะไรด้วยความหวังแต่ว่าทำด้วยสติปัญญานี้เรียกว่าธรรมะจะช่วยแก้ปัญหาของชีวิต ทีนี้วิธีปฏิบัติง่าย ๆ เราจะฝึกฝนตนแก้กิเลส ทำลายกิเลส เป็นอยู่ด้วยความถูกต้อง พุทธศาสนาใช้คำว่าความถูกต้อง ถูกต้องในความคิดเห็น ถูกต้องในความต้องการ ถูกต้องในการพูดจา ถูกต้องในการทำการงาน ถูกต้องในการดำรงชีวิต ถูกต้องในการใช้ความเพียร ใช้สติ ใช้สมาธิ เอาแต่ว่าถูกต้องก็แล้วกัน ข้อปฏิบัติเพื่อถูกต้องง่าย ๆ จนสอนเด็กก็ได้นี่อยากจะแนะสัก ๓ หัวข้อ
เมื่อปรับปรุงชีวิตของเราจนกระทั่งว่ามันรักผู้อื่น แล้วก็บังคับจิตของเราได้ แล้วก็เป็นสุขเมื่อทำการงาน ข้อแรกรักผู้อื่น การรักผู้อื่นนั้นมันตรงกันข้ามจากกิเลส กิเลสมันจะเห็นแก่ตัว ไอ้ที่ออกชื่อมายาว ๆ เมื่อตะกี้ว่า อหังการ มมังการ มานานุสัย ความเคยชินที่มั่นหมายว่าตัวกูว่าของกูนั้นมันเป็นกิเลส แล้วมันก็เห็นแต่ตัวกูและของกู มันไม่รักผู้อื่น ทีนี้เราปฏิบัติชนิดที่เรียกว่าทวนกระแส รักผู้อื่น เหมือนกับเอาน้ำร้อนใส่ลงไปในน้ำแข็ง ใช้ความรักผู้อื่นนี้มาทำลายไอ้ความเห็นแก่ตัวกูของกู ไอ้เรื่องนี้มันยากนะ ไอ้รักผู้อื่นนี้มันยาก เพราะว่าเรารักตัวเอง เห็นแก่ตัวเองมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่ให้รู้ไว้เถอะว่าไอ้รักตัวกูของกูมันเป็นกิเลส แล้วมันก็กัด กัด กัดเอาเจ้าของนั่นแหละ นี้แก้มันด้วยการรักผู้อื่น ตั้งแต่เห็นว่าเป็นเพื่อนกันในโลกนี้ เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่ต้นไม้ มันก็อยู่ต้นเดียวในโลกไม่ได้ มันก็ต้องอยู่อย่างที่มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ฉะนั้นเราก็ต้องรักผู้อื่น ไม่รักตัวข้างเดียว พอเรารักผู้อื่นในภายในมันก็จะปรับปรุงจิตใจว่าเราไม่มีศัตรู ไม่มีผู้เป็นศัตรู เราจะนอนหลับสนิท นับว่าเป็นถือศีลครอบจักรวาล ฟังถูกหรือไม่ถูก ไอ้ความรักผู้อื่นนั้นนะมันเป็นการถือศีลครอบ จักรวาลเพราะว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในสากลจักรวาลนี่มันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา เมื่อเรารักเขาก็เป็นการถือศีลครอบจักรวาล เรารักผู้อื่น เราจะฆ่าใครได้ เมื่อเรารักผู้อื่นแล้วเราจะฆ่าใครได้ มันก็ไม่มีการฆ่า ไม่มี ปาณาติบาต เมื่อเรารักผู้อื่นแล้วเราจะไปขโมยของของใครได้ ถ้าเรารักเขา เราก็ไม่ขาดศีลเรื่องอทินนาทาน เมื่อเรารักผู้อื่นแล้วจะไปล่วงละเมิดของรักของผู้อื่นไม่ได้ ก็ไม่ผิดศีล กาเม เพราะว่าเรารักผู้อื่น เมื่อเรารักผู้อื่นแล้วเราโกหกใครไม่ได้เพราะเรารักเขาก็ไม่ผิดศีล มุสา ถ้าเรารักผู้อื่นแล้วเราก็ไม่สูบบุหรี่ให้ผู้อื่นเขารำคาญ เราไม่กินเหล้าให้ผู้อื่นเขารำคาญเพราะเรารักผู้อื่น นี้ศีลห้ามันเต็มขึ้นมาทันทีถ้าเรารักผู้อื่น ศีลอื่น ๆ ที่ยังเหลือก็เต็มขึ้นมาทันที อาตมาจึงแนะว่าถือศีลข้อเดียวพอ ครอบจักรวาลเลยคือรักผู้อื่น รักผู้อื่นแล้วฆ่าไม่ได้ ขโมยไม่ได้ ละเมิดกาเมไม่ได้ โกหกไม่ได้ ดื่มของเมาก็ไม่ได้ ทุกอย่างเลย ฉะนั้นช่วยไปคิดดูให้ดี แก้ปัญหาด้วยการรักผู้อื่น ไม่มีการทำผิดคิดร้าย เมื่อรักผู้อื่นแล้วมันก็กำจัด อหังการ มมังการ มานานุสัย มันจะกำจัดความเห็นแก่ตัวกูของกู ขอให้รักผู้อื่น มันแก้กันอยู่ในตัวตามธรรมชาติ
ทีนี้ศีลข้อที่ ๒ ว่าบังคับจิต นี้มันพูดดึงนานแล้ว หมดเวลาที่คุณกำหนดให้แล้วนะนี่ ลืมไป พูดลืมไป ต่อไปนี้ ต่อไปนี้จะทำอะไรก็ไม่รู้ เอ้า, ทีนี้ข้อที่ ๒ ให้มันจบ ๆ ไปเสียทีว่าบังคับจิต เหมือนที่ว่าเมื่อตะกี้บังคับจิตแล้วมันก็ไม่เกิดกิเลสแก่จิต จิตก็จะไม่ไปในทางที่ให้กิเลส เมื่อตะกี้มีสติ นับ ๑ ถึง ๑๐ ก่อน บังคับจิตให้มันนับ ๑ ถึง ๑๐ ก่อน ก่อนที่จะพูด จะคิด จะตัดสินใจ จะอะไร มันไม่เกิดกิเลส เราทำผิดเพราะเราบังคับจิตไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราละอายแมวเพราะเราบังคับจิตไม่ได้ เราทำผิดจนน่าละอายแมวเพราะเราบังคับจิตไม่ได้ ฉะนั้นสนใจที่จะบังคับจิตให้มันอยู่ในร่องรอยของความถูกต้องจะไม่เกิดความทุกข์ ข้อนี้อย่าต้องอธิบายนักเลยเพราะว่าพอจะฟังถูก แล้วเวลามันก็ไม่ค่อยมีแล้ว
ทีนี้ข้อที่ ๓ ว่าให้เป็นสุขเมื่อทำการงานที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ ตอนแรกได้พูดแล้วว่าธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลเกิดจากหน้าที่ ไอ้ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินี่อาจจะต้องเอามาใช้ที่นี่ หน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาตินั้นเรียกว่าธรรมะ ถ้าเราทำหน้าที่ของเราตามกฎของธรรมชาติเรียกว่าเราปฏิบัติธรรมะ ถ้าเราพอใจและมีความสุขที่นั่น หน้าที่หากินก็ทำไปเถิดจะเป็นปฏิบัติธรรมะแต่อย่าทำให้ผิดหลักธรรมะ แม้แต่ว่าจะต้องอาบน้ำ จะต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ จะต้องบริหารกายอะไรก็ตาม นี้ก็เป็นธรรมะไปหมด ก็ทำหน้าที่เพื่อมนุษย์อยู่ได้ ก็ทำหน้าที่เพื่อดับทุกข์ ทำการงานที่ออฟฟิสนี้ ถ้าสมมุติว่าทำการงานที่ออฟฟิสอยู่ก็ มันก็คือหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำตามกฎของธรรมชาติเพื่อหาเลี้ยงชีวิต ก็ดีใจได้ทำหน้าที่คือธรรมะ ได้ปฏิบัติธรรมะมีปรีติปราโมทย์ในการปฏิบัติหน้าที่คือธรรมะ ก็เราสนุกอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไม่อยากจะถึงเวลาปิดงานเร็ว ๆ จะไปโรงอาบอบนวด ที่ทำหน้าที่อยู่ที่โต๊ะทำงานนั้นบริสุทธิ์เป็นการงานที่บริสุทธิ์ เป็นความสุขที่บริสุทธิ์ ออกไปหาสถานเริงรมย์กามารมณ์นั้นมันเป็นเรื่องหลอกลวง มันไม่ใช่ความสุขที่บริสุทธิ์ มันไม่ใช่ความสุขเสียเลย สถานเริงรมย์ทั้งหลายเป็นเรื่องหลอกลวงของความรู้สึก ของความเพลิดเพลิน มันก็เป็นเรื่องหลอกของกิเลส แต่ถ้าเรามีความสุขอยู่ที่โต๊ะทำงานนี้เป็นเรื่องจริงของธรรมชาติ คือหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นเมื่ออยู่ที่โต๊ะทำงานที่ออฟฟิสจงพยายามทำให้ดีจนพอใจจนยกมือไหว้ตัวเองว่าวันนี้เราทำได้ดีแล้วก็มีความสุข นี้เป็นความสุขที่แท้จริงไม่หลอกลวง จำไว้เป็นหลักว่าถ้าความสุขจริงไม่ต้องใช้สตางค์ ถ้าความสุขหลอกต้องใช้สตางค์มาก นี้มันคงจะเข้าใจได้ง่าย ๆ เห็นได้ง่าย ๆ พระนิพพานนั้นยิ่งให้เปล่าเลย พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนี้ ถ้าความสุขที่แท้จริงจะยิ่งไม่ต้องใช้เงิน ยิ่งใช้เงินเท่าไรยิ่งเป็นความสุขหลอกเท่านั้น จนเงินไม่พอใช้ จนเงินเดือนไม่พอใช้เพราะ เพราะไปหาความสุขที่สถานเริงรมย์ ใครกำลังเงินเดือนไม่พอใช้ช่วยพิจารณาข้อนี้ให้ดี ๆ เพราะถ้าความสุขจริงจะไม่ต้องใช้เงิน เงินจะเหลือ ถ้าความสุขหลอกเงินจะไม่พอใช้ ฉะนั้นเราไม่ต้องไปโทษใครถ้าเงินเดือนมันไม่พอใช้ เพราะว่าเราไปหลงในความสุขหลอก ๆ นี้ขอให้พอใจ สนุก เป็นสุขที่โต๊ะทำงาน นี่ข้อ ๓
ข้อ ๑ รักผู้อื่น ข้อ ๒ บังคับจิตใจ ข้อ ๓ เป็นสุขเมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ สุขแท้จริงเมื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ สุขปลอมสุขหลอกคือเมื่อเป็นทาสของกิเลส เมื่อไปเป็นทาสของกิเลสก็ไปหาความเพลิดเพลิน เข้าใจว่าเป็นความสุขจนเงินเดือนไม่พอใช้ จนต้องคอรัปชั่นหรือทำอะไรที่มันเลวร้ายต่อไปอีก เพราะไปหลงในความสุขหลอก ที่เขาสอนที่ว่าจะแก้ปัญหาชีวิตด้วยธรรมะคืออย่างนี้ รักผู้อื่นจะแก้ปัญหาได้ บังคับจิตให้ได้จะแก้ปัญหาได้ มีความสุขเมื่อทำหน้าที่ของมนุษย์ อย่าไปหลงสุขหลอก ๆ ก็จะแก้ปัญหาได้ นี้เป็นเรื่องภายนอกหยาบ ๆ ในชีวิตหยาบ ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง