แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2524 อบนักเรียนวัดธารน้ำไหล เวลา 10.00 น. วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษที่จะได้แสดงความรู้สึกหรือการกระทำ ที่ควรกระทำ สำหรับคนที่มีการเกี่ยวข้องกัน หนึ่งคือนักเรียนที่เรียนจบโรงเรียน ม.6 จะต้องจากไป แล้วก็มาบอกกล่าวแสดงความเคารพหรืออำลาวัดธารน้ำไหล วัดซึ่งเป็นผู้อุปการะโรงเรียน นับว่าเป็นการกระทำที่ดี ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของพุทธบริษัท เพราะฉะนั้นจึงขอแสดงความยินดีและอำนวยพรแก่พวกเธอ ผู้ประพฤติตน อนุวัฒน์ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
เรามีวัดมีโรงเรียน มีการศึกษา ไม่ใช่ให้มันยุ่งเปล่าๆ ไม่ใช่ให้มันเหนื่อยเปล่าๆ แต่เพื่อให้เกิดผลดีแก่มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเด็กๆ ยุวชนทั้งหลาย ถ้าว่าคนมันไม่โง่เง่าเกินไปมันคงจะมองเห็นว่าเด็กๆนั่นแหละคือผู้สร้างโลกในอนาคต โลกในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร มันก็แล้วแต่คนในโลกเวลานั้น แล้วคนในโลกเวลานั้นก็คือเด็กๆเดี๋ยวนี้ นั้นถ้าเด็กๆเดี๋ยวนี้เลวโลกอนาคตต้องเลว ถ้าเด็กๆเดี๋ยวนี้ดีโลกอนาคตต้องดี นั้นเด็กๆเดี๋ยวนี้ก็คือผู้รับผิดชอบในการที่จะมีโลกในอนาคตจะดีหรือเลว ถ้าเรานึกกันได้อย่างนี้ ก็คงจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดตามที่จะเรียนได้ เด็กที่จบประถมก็จะไปเรียนมัธยมต่อไป ถ้าไม่สามารถ ก็ทำการทำงานให้ดีที่สุด หรือจะไปสมัครบวชเณรฤดูร้อนตามที่เขาจัดขึ้นนี่ก็เป็นการเรียนเหมือนกัน ที่วัดพระธาตุ(นาที่ที่ 3:48)เขาจัดบวชเณรฤดูร้อน เดี๋ยวนี้ก็กำลังรับสมัครอยู่ ถ้าว่าเธอสนใจก็ไปสมัครเข้าบวชเณร ก็เป็นการเรียนต่อชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ในโรงเรียนไม่ได้เรียนเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนา มันยังขาดอยู่ เราตะโกนทั่วเมืองไทยว่านี่เป็นการศึกษาหมาหางด้วนโว้ย กระทรวงศึกษาธิการเขาได้ยิน เขาก็เอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ว่าการศึกษานี้หมาหางด้วน คือเรียนแต่หนังสือ เรียนแต่วิชาชีพ ในธรรมะที่ได้รู้ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไรนั้นไม่ได้เรียน นั้นเด็กพวกนี้จะเป็นอันธพาล แม้เรียนจบประถม จบมัธยม จบอาชีวะ อะไรก็ตาม มันไปเป็นอันธพาลได้ นั้นต้องเรียนธรรมะให้รู้ไว้ด้วย แล้วก็จะไม่ต้องเป็นอันธพาล เป็นมนุษย์ที่ดีในโลก เป็นพลเมืองที่ดีในประเทศ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน นี่ต้องการ นั้นถ้าใครอยากจะบวชเณร ผู้ชายนะ จบประถมแล้วก็ไปสมัครได้ที่วัดพระธาตุ ไปถามเขาดู ที่ไปเรียนต่อก็ไปเรียนต่อ ที่ไม่ไปเรียนต่อก็น่าจะไปเรียนอย่างบวชเณร
ที่เป็นผู้หญิง เค้าไม่มีบวชก็ทำการทำงาน ศึกษาอะไรไปตามที่จะทำได้ ที่บ้านก็ได้เหมือนกัน แต่เมื่อยังอยู่ในวัยเรียนก็ขอให้เรียน อย่างเพิ่งริอ่านอะไรให้มันเกินฐานะ ที่เค้าเรียกว่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าทำตนเป็นอะไรๆที่มันไม่ถูกกับฐานะของเราที่ยังเป็นนักเรียน นั้นจึงเรียนไปเถอะ ไม่ว่าจะเรียนทำอาหาร เรียนทำงาน เรียนอะไรเท่าที่จะเรียนได้ตามที่เราจะมี บางทีเราก็จน ไม่อาจจะไปเรียนวิทยาลัย ไม่อาจจะเรียนอะไรที่มันต้องเสียเงินมากๆ เราก็เรียนไปตามที่เราจะเรียนได้ หนังสือหนังหาก็มี ทดลองศึกษาเอาเองก็ยังได้ ญาติพี่น้องข้างเคียงเขาก็มีความรู้ เขาอาจจะสอนอะไรให้ได้ เราอย่าเกียจคร้าน แม้แต่จะสอนให้ทำอาหาร ให้ทำของหวาน ให้ทำอะไรอย่างนี้ก็หัดทำให้เป็นก็จะดี เป็นวิชาความรู้ทั้งนั้น แล้วก็ขยันเรียน เรื่องไหว้พระสวดมนต์มันเป็นเรื่องทำจิดใจให้ดี ทำจิตใจให้ดีนั่นแหละจะมีประโยชน์ เป็นการเรียนอยู่ตลอดเวลา ว่าจะพ้นวัยเรียนจึงค่อยเป็นธรรมะอย่างอื่นต่อไป
เดี๋ยวนี้เราจะไปเรียนต่อไป ก็เรียนที่ไม่มีโอกาสจะเข้าไปเรียนในโรงเรียนก็เรียนที่บ้าน เรียนเพื่อเป็นคนดีนี้เรียนที่บ้านก็ได้ เรียนเป็นคนดีก็คืออย่าไปทำไม่ดีเป็นอันขาด อะไรที่เรียกว่าทำไม่ดีแล้วก็ ว่าไม่ดีแล้วก็ มันก็ไม่ควรทำเป็นอันขาด อย่าไปริทำ ในเรื่องที่เขาเรียกว่าอบายมุข ทำแล้วเสียหายไม่มีประโยชน์อย่าไปทำเข้า อย่าไปริเสพย์ติดของเมา แม้แต่บุหรี่ก็ไม่ต้องสูบ ไม่ต้องพูดถึงเฮโรอีนหรือไอ้พวกเหล่านั้น แม้แต่บุหรี่ก็ไม่สูบ ไม่ต้องเที่ยวกลางคืน ไม่ต้องไปฟังเพลง ไม่ต้องไปดูหนังดูละคร เพราะว่ามันทำให้จิตใจของเราบ้า เป็นเหมือนกับบ้านั่นแหละ บ้าเพลงบ้าอะไรก็ตามเป็นเรื่องจิตใจฟุ้งซ่าน ไม่ถูกต้อง ยังเสียเงินเสียสตางค์ด้วย แล้วยังทำให้ร่างกายสุขภาพทรุดโทรมด้วย เด็กๆเหล่านี้ควรจะรู้ไว้ จะต้องไปเสียเงิน เสียเวลา เสียร่างกาย เสียจิตใจ ด้วยเรื่องอย่างนั้นถ้าเที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เป็นการพนันนั้นเป็นอันเลิกกันเลย ไม่มี ไม่มีพูดถึง ไม่มีทำ คบคนชั่วเป็นมิตรนี่ก็ต้องระวัง ที่เขาเป็นเพื่อนที่ชวนไปทำในสิ่งที่เป็นโทษนี้เราไม่ทำ ไม่เอาด้วย เราจะอยู่แต่ในฝ่ายที่มันเห็นได้ว่าดี คำว่าดี ว่าชั่วนี้จำไว้ด้วย ดีคือมีประโยชน์แก่ทุกคนรวมทั้งเราด้วย คำว่าชั่วคือเสียหายแก่ทุกคนรวมทั้งเราด้วย รู้จักดี รู้จักชั่วเสียให้ถูกต้อง
แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปถามใครหรือไม่ต้องสงสัยลังเลอะไร ถ้าดีแล้วมันมีประโยชน์ เป็นสุขแก่ทุกคนรวมทั้งเราด้วย ถ้าชั่วแล้วมันเป็นโทษ เสียหายเป็นทุกข์แก่ทุกคนรวมทั้งเราด้วย เรื่องชั่วนี้ก็ถูกประณาม ตำหนิติเตียนกันทั้งโลก ในเรื่องดีนั้นยกย่องสรรเสริญกันทั้งโลก ถ้าไม่รู้เรื่องดีเรื่องชั่วแล้วก็ จะเรียนอะไรให้พิเศษอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์หรอก สูญเปล่า เสียเปล่า ให้มันไปเรียนมหาวิทยาลัยเมืองนอก ถ้ามันไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ก็เสียหาย สูญเสียเวลาเปล่าๆ ไม่ทำประโยชน์อะไรซะ เด็กทุกคนจงกลัวในความชั่ว ทำไปแล้วมันเดือนร้อนเสียหายไม่มากก็น้อยแก่ทุกฝ่ายและทุกคน รู้จักทำดีให้มีประโยชน์แก่ทุกฝ่ายและทุกคน นี้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักเรียน โตขึ้นไม่มีเรื่องทำไม่ดี ทุกคนไม่ทำที่ไม่ดี ทำแต่ที่ดี บ้านเมืองนี้ก็มีความสุข ในโลกทั้งโลกก็มีความสุข ไอ้ที่มันลำบากเดือนร้อนยุ่งยากเสียหายก็เพราะว่าคนที่ทำไม่ดีมันยังมีอยู่ เราก็ตั้งจิตอธิษฐานแต่เดี๋ยวนี้ว่าเราจักไม่ทำอย่างนั้น แม้เราจะต้องอดตาย ไม่มีอะไรจะกิน เราก็ไม่ยอมทำไอ้ที่มันไม่ดี แล้วไม่ต้องกลัวหรอกที่จะอดตาย ไม่ต้องกลัว เรี่ยวแรงยังมีอยู่ ความคิด ความนึก ความรู้ยังมีอยู่ ไม่ต้องอดตายแน่ แต่เดี๋ยวที่พูดไว้ให้เต็มที่ว่า แม้ว่าจะต้องอดตาย ก็ไม่ยอมทำความชั่ว ไอ้คนกระทำความชั่วนั่นมันไม่อยากเหนื่อย มันไม่อยากลำบาก มันไม่ทำความดี มันเอาง่ายๆ จะขโมยหรืออะไรก็ตาม มันก็เรียกว่าเป็นความชั่ว ถึงเขาจะทำเพื่อเลี้ยงชีวิตของเขา ก็แปลว่าเขาไม่รู้จักความชั่ว กลัวจะไม่มีอะไรกินก็ไปขโมย ไอ้พวกที่รู้จักความดีความชั่ว กลัวจะไม่มีอะไรกินก็ขยันทำงาน แล้วทำงานให้สนุก นิสัยทำงานให้สนุกหรือชอบทำงานนั่นแหละรักษาเอาไว้ ถ้าเราเคยเห็น ทุกคนคงจะเคยเห็นไอ้เด็กๆน้องตัวเล็กๆ เห็นน้องตัวเล็กๆเพิ่งสอนเดิน มันก็อยากจะทำดีเหมือนกัน พอมีอะไรที่ว่าจะต้องทำ มันก็เข้ามาขอทำ หนุ่ยทำเองๆๆ คนอื่นไม่ต้องทำ นี้ก็หมายความว่าตัวเล็กๆหนะมันก็อยากจะทำดี แต่ต่อมาเมื่อได้รับการอบรมศึกษาให้มันเข้ารูปกัน มันก็ค่อยๆหมดไป จนกลายเป็นหนุ่ยไม่ทำ หนุ่ยขี้เกียจ นอนเสีย มันเปลี่ยนไปอย่างนี้ ฉะนั้นเราทุกคนต้องสนุกในการได้ทำงาน เพราะว่าการทำงานนั้นคือการทำความดี
ไอ้การงานที่แท้จริงนั้นเป็นความดี แม้จะเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อยก็เป็นความดี ไอ้เหงื่อหนะมันล้างความชั่ว ถ้าเราไม่ยอมออกเหงื่อเราก็ไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ขโมยเป็นต้น ถ้าเรายอมออกเหงื่อ เหงื่อมันก็ล้างความชั่ว ก็ไม่ต้องไปทำความชั่ว เรารู้จักดี รู้จักชั่วกันถึงขนาดนี้ ไอ้ที่จะไปเรียนต่อที่จังหวัดอื่น หรือไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ที่อะไรก็ตามหนะ ไปเสียหายเพราะเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะไม่รู้เรื่องดีเรื่องชั่ว ไปหลงใหลเรื่องสนุกสนาน เรื่องเอร็ดอร่อย ก็หลอกพ่อหลอกแม่ให้ส่งเงินไปให้ แล้วมันก็สนุกสนาน เอร็ดอร่อยจนหมด พ่อแม่ก็ยากจนมากขึ้น เดือนร้อนมากขึ้นเพราะลูกมันไม่ดี เราเคยพูดมาหลายหนแล้วว่า ลูกที่ไม่ดีนั้นหนะก็จะจับพ่อแม่ใส่นรก คือพ่อแม่ต้องเดือนร้อนใจ น้ำตาไหล โตแล้วมันก็ยังไปติดคุกติดตาราง ให้พ่อแม่มันร้อนอกร้อนใจเหมือนกับตกนรก มีลูกมันไม่ดีอย่างนี้ ไปตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะไม่ยอมทำอย่างนั้นเป็นอันขาด พ่อแม่เราต้องรัก ต้องนับถือ ต้องบูชา เป็นบุคคลสูงสุด อย่าทำให้พ่อแม่ร้อนใจ ถ้าเราเรียนดี พ่อแม่ก็ชื่นใจ เราได้ทำงานดี พ่อแม่ก็ชื่นใจ
เดี๋ยวนี้เราก็พยายามทำงานให้ดี เรียกว่าเรียนนี่ก็คือทำงาน ทำงานนี่ก็เรียกว่าเรียน พอเรียนเสร็จแล้วก็ทำงาน ก็คือทำงานก็ทำให้ดี อย่าให้ได้เสียทีที่ว่าเราได้เรียน ได้เป็นนักเรียน ได้เข้าโรงเรียน นี่เตรียมสำหรับจะเป็นมนุษย์ที่ดี เพื่อให้โลกนี้มันดี นึกถึงโรงเรียนที่เคยเรียนแล้วก็อย่าทำไม่ดี นึกถึงวัดที่เคยอยู่อาศัย เคยอุปถัมภ์โรงเรียน เคยร่วมมือกับโรงเรียน ก็อย่าทำที่ไม่ดี นึกถึงวัดก็ดี นึกถึงโรงเรียนก็ดี อุตส่าห์ทำแต่ที่ดี นี้เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอย่างยิ่ง ไม่ให้เราตกต่ำ ไม่ให้เราชั่วลงไป ผีสางเทวดาที่ไหนก็คุ้มครองไม่ได้ถ้าเราทำไม่ดี ถ้าเราทำดี ในความดีที่เราทำมันก็คุ้มครองเรา เราไม่ต้องตกต่ำ เราไม่ต้องเดือนร้อน เราไม่ต้องเป็นทุกข์เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น พ่อแม่ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น นี่เรานึกไว้อย่างนี้เสมอ
พวกที่เรียนจบ จะต้องจากไปก็จะต้องรู้จักรักใคร่อาลัยอาวรณ์พวกที่ยังอยู่ พวกที่ยังอยู่ ยังไม่ออกโรงเรียน ก็ต้องรู้จักรักใคร่อาลัยอาวรณ์พวกที่จะต้องออกโรงเรียนจากไป เพราะว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกันตลอดไปในอนาคต ไม่ใช่ว่าแยกออกจากโรงเรียนแล้วก็จะเลิกกัน เรายังจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกันตลอดไปในอนาคต เพราะเธอตั้งใจอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ เรายังจะต้องเรียนทางจิตทางใจอีกมาก แล้วเรายังจะต้องไปวัด จะต้องศึกษาอะไรจากวัด จากเรื่องของพระธรรม เรื่องของพระพุทธ เรื่องของพระธรรม เรื่องของพระสงฆ์ ต่อไปอีกมาก แม้แก่เฒ่าแล้วก็ยังต้องเรียนเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราดีต่อไป(นาที่ที่ 18:31-18:33)ในโลกหน้า ก็แปลว่ายังจะต้องระมัดระวัง และจะต้องเล่าเรียนในเรื่องที่มันดีๆยิ่งๆขึ้นไป มันสูงๆๆยิ่งขึ้นไป ในที่สุดเราก็ได้ดีที่สุดที่มนุษย์มันควรจะได้ เด็กๆอาจจะยังไม่รู้ว่า ไอ้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั้นมันคืออะไร แต่ขอให้หวังไว้เป็นหลักว่าเราต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วก็ค่อยศึกษาไปเรื่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆว่าไอ้ที่ดีที่สุดของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร เราจะต้องมีทรัพย์สมบัติพอตัว มีเกียรติยศชื่อเสียงพอตัว มีคนเคารพนับถือพอตัว นี่ด้านสังคม ส่วนด้านจิตใจเราจะมีจิตใจที่เป็นสุข จิตใจที่สะอาด จิตใจที่บริสุทธิ์ จิตใจที่สว่างไสวแจ่มแจ้ง รู้สิ่งต่างๆสำหรับจะไม่เป็นทุกข์ นี่ทางจิตใจเราจะไม่เป็นทุกข์ เราจะยากจนหรือเราจะต้องต่อสู้ ทำอะไรไปก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องเป็นทุกข์ แม้จะต้องทำนาก็ไม่ต้องบ่นเป็นทุกข์ ทำสวนก็ไม่ต้องบ่นเป็นทุกข์ จะทำอะไรๆที่มันเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลก็ไม่ต้องบ่นเป็นทุกข์ เราจะพอใจกระทำเพราะมันเป็นการทำหน้าที่ แล้วก็พอใจมันก็เป็นสุข ไม่ว่าทำอะไร ถ้าพอใจมันก็เป็นสุข จะล้างคอกหมู ถ้าพอใจมันก็เป็นสุข ถ้ามันพอใจมันก็รู้สึกสนุกและเป็นสุข ทั้งที่มันเหม็น ทั้งที่มันสกปรกหรืออะไรก็ตาม ถ้าเราเห็นว่านี่เป็นหน้าที่ เป็นการงานที่มนุษย์ทำแล้ว ก็เป็นการทำประโยชน์ เป็นการทำดี ก็มีความพอใจและเป็นสุข เราอย่าไปหวังทำงานเบาๆมีเงินเดือนมากๆอันนั้นคงไม่ได้ มันไม่มีให้ ให้ธรรมดาๆเป็นชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ทำอะไรไปตามที่ปู่ย่าตายายเคยทำ นี้มันทำได้แล้วมันจะมีให้ทำ แล้วเราควรจะพอใจ และควรจะมีความสุข
ให้เธอทั้งหลายรู้ไว้ล่วงหน้าว่าถ้าได้ทำงาน ทำหน้าที่ของมนุษย์แล้วควรจะพอใจและมีความสุข อย่างเราเดี๋ยวนี้เป็นเด็กๆเราก็ยังกวาดวัด กวาดโรงเรียน ล้างของสกปรกหรือทำอะไรที่ธรรมดาเขาไม่ค่อยชอบทำ เขาไม่รู้ว่าอันนั้นแหละคือทำดี หรือที่เรียกทำบุญ หรือทำให้ดี ให้บ้านเมืองมันสะอาด ถ้าไม่มีใครกวาด บ้านเมืองมันก็รกรุงรัง นั้นคนที่กวาดบ้านเมืองให้สะอาดก็เป็นคนทำดีและมีบุญ เรียกว่าทำบุญด้วยเหมือนกัน เรียกว่าทำหน้าที่ของมนุษย์ถูกต้องแล้วก็เป็นบุญทั้งนั้น อย่าไปรังเกียจการงาน เพราะว่าการงานคือการทำหน้าที่ คือการทำบุญ ที่เล่าเรียนนี่ก็เพื่อให้ได้ทำงานเบาๆ รู้สึกว่าเอาเปรียบหรือขี้เกียจอยู่มาก และงานเบามันไม่มีพอให้ทำกันทุกคน มันมีสำหรับไม่กี่คน เพราะว่างานธรรมดาหรือเรียกว่างานหนัก ..ไม่ถูก(นาที่ที่ 22:16-22:17) เรียกว่างานธรรมดาที่ทำได้ ถ้างานหนักก็ทำไม่ได้ เลือกงานที่พอทำได้ที่มีมากสำหรับทุกคน พอสำหรับทุกคน เป็นชาวนาชาวสวนก็ควรจะยินดี อย่ารังเกียจว่าเป็นงานต่ำ ไอ้งานต่ำมันคืองานชั่ว งานทุจริต งานคดโกง ถ้ามันไม่ชั่ว ไม่ทุจริต ไม่คดโกงมันก็เป็นงานดี ทำแล้วก็เรียกว่าได้ทำดี มีบุญอยู่ในตัวมันเอง นี่นักเรียน เรียนให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็เลือกเอาแต่ที่ฝ่ายดี คือมีความสุขทั้งฝ่ายตนเองและฝ่ายผู้อื่น ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียน คือรู้ รู้ก็คือรู้อย่างนี้ ไม่ใช่รู้อย่างอื่น แต่ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้ เรียนเสียเปล่ามันก็ไม่รู้ ถ้ารู้มันก็รู้อย่างนี้ ว่าเราเกิดมาต้องสนุกๆกับการทำดี จนตลอดชีวิตเลย เริ่มเรียนให้รู้ไว้ว่าอะไรดีไม่ดี แล้วก็ทำมันให้สนุกในการทำความดีจนตลอดชีวิต นี่เค้าเรียกว่ามนุษย์ที่มันสูงในทางจิตใจ คนนั้น สัตว์พอเกิดมาก็เป็นคน มนุษย์นั้นดีกว่าคน มนุษย์มีจิตใจสูง รู้อะไรดี ทำอะไรดี อยู่ในฐานะที่สูงนี่เรียกว่ามนุษย์ ถ้าเกิดมาตามธรรมชาติ ธรรมดาก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก รู้จักหากิน รู้จักอะไร แล้วก็เห็นแก่ตัวมาก มนุษย์กับคนนั้นไม่ใช่เหมือนกัน
เธออาจจะเรียนมาผิดๆว่ามนุษย์แปลว่าคน คนแปลว่ามนุษย์นี้ไม่ถูกหรอก คนนั้นแค่กำเนิดเกิดมา มนุษย์แปลว่าใจสูง ถ้าถามว่ามนุษย์คืออะไร เราตอบตามความรู้สึกของเราก็ได้ว่า มนุษย์คือคนชั้นดี คนคือคนชั้นธรรมดา นี่ถ้าว่าเกิดออกสอบไล่มาว่ามนุษย์คืออะไร คนคืออะไร แล้วก็ต้องตอบว่ามนุษย์คือคนชั้นดี ใจสูง คนก็คือคนธรรมดา ไปตามธรรมชาติ ไปตามธรรมดา อย่างนี้ถูก ถ้าตอบว่ามนุษย์คือคน คนคือมนุษย์ คนนั้นไม่รู้อะไร มันหลับตา มันไม่รู้อะไร
แล้วเป็นอันว่าเธอได้มาแสดงความเคารพ คือผู้ที่จะจากไป ที่เรียนจบจะจากไปได้มาทำความเคารพ ทำความเคารพวัดซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์โรงเรียนอยู่ ก็ดี อย่างนี้เรียกว่ารู้บุญคุณ แม้ที่เห็นยาก ก็ดีถ้ารู้บุญคุณที่เห็นยาก แล้วบุญคุณที่เห็นง่ายก็ต้องรู้แน่ นั้นเธอก็จะต้องรู้บุญคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เพื่อน มนุษย์ด้วยกันรู้บุญคุณของประเทศชาติ ถ้าจะสนองคุณชาติ แล้วก็รีบทำความดี ถ้าเราทำความดีประเทศชาติก็ดีก็เจริญ นี้เราสนองคุณชาติ อย่าร้องเพลงชาติเสียเปล่าๆ ร้องเพลงชาติตามที่จำได้นั้นมันยังไม่ได้สนองคุณชาติ แล้วมันไม่อาจจะรู้จักชาติก็ได้ เพราะมันได้แต่ร้องเพลง เราต้องมีประเทศชาติที่ดี มีความสงบสุขโดยทุกคนทำดี ถูกต้องตามที่จะให้ประเทศชาติ มีความสงบสุข นี่แหละเค้าเรียกว่าเป็นพลเมืองดี รู้จักชาติ รู้จักความจำเป็นที่เราจะต้องมีชาติ แล้วเราก็ทำชนิดที่ทำให้เรามีชาติอยู่ได้ เด็กนักเรียนร้องเพลงชาติ ควรรู้จักชาติ แล้วก็ควรทำอยู่ทุกวันๆชนิดที่ชาติตั้งอยู่ได้โดยจำเป็นที่ว่าเราจะต้องมีชาติ แล้วก็รู้เรื่องศาสนา รู้เรื่องศาสนาก็คือเรื่องธรรมะที่ต้องมีในหัวใจและต้องมีในชาติ ถ้าธรรมะมีอยู่ในหัวใจคนทุกคน ชาตินั้นก็มีธรรมะ ทั้งชาติก็มีธรรมะ ธรรมะคือหลักศาสนา ศาสนาคือหลักธรรมะ หลักธรรมะคือศาสนา ถ้าเรียนจนรู้ชัดว่าพระพุทธคืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร เดี๋ยวนี้ที่นั่งกันอยู่ทั้งหมดนี้ ใครร้องเพลงพระรัตนตรัยได้บาง ยกมือซิ ใครร้องเพลงพระรัตนตรัยได้บ้าง อิทธิกับงามตาร้องอยู่เสมอเหรอ(นาที่ที่ 27:53-22:55) เพลงพระรัตนตรัยไม่ได้เรียน ไม่ได้ร้อง? ดีนะ เพลงพระรัตนตรัย ร้องเพลงเรื่องกรรม ร้องเพลงเรื่องพระธรรมก็ดี ดีกว่าร้องเพลงบ้าๆบอๆที่เค้าชอบไปฟังกันนักแล้วเสียสตางค์ นั่งถ่างตาตากน้ำค้างจนสว่าง ทำจิตให้เลวทราม ทำจิตให้ตกต่ำ เรารู้จักร้องเพลงที่ทำให้จิตใจสูง ชวนกันร้องเพลงชนิดนั้น ที่อยู่โรงเรียนก็ร้องได้ ออกไปอยู่บ้านแล้วก็ยังชวนกันร้องได้ ร้องแต่เพลงที่ทำให้จิตใจสูง ที่แน่นอนที่สุดก็คือไหว้พระสวดมนต์ ถ้าร้องเพลงอย่างอื่นไม่ได้ เราให้ไหว้พระสวดมนต์ อย่างถ้าสวดมนต์แปลภาษาธรรมก็ได้ด้วย(นาที่ที่ 28:52-28:54)
เด็กที่เรียนจบประถมออกไปอยู่บ้านแล้ว ก่อนนี้เค้าร้องกันได้ทั้งนั้นแหละ เราชักชวนให้ร้อง ร้องกันได้ เดี๋ยวนี้มันก็ลดลงไปเพราะไม่มีใครชักชวน เรื่องไหว้พระแปล สวดมนต์แปล สมัยหนึ่งว่ากันได้ทั่วไปหมด ตักข้าวหมู เลี้ยงหมูอยู่ที่คอกหมู มันก็ยังสวดมนต์แปล ท่องหนะเหมือนท่อง สวดมนต์แปล คนเหล่านั้นก็สวดได้ เดี๋ยวนี้ก็โต เป็นผู้ใหญ่ไปหมดแล้ว
นักเรียนก็คือเรียน เรียนแล้วก็รู้ รู้แล้วก็ต้องปฏิบัติให้ได้รับประโยชน์จากความรู้ อย่าลืมที่เคยพูดแล้วพูดอีก พูดแล้วพูดเล่า เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า อย่างน้อยก็ให้ได้ซักห้าดี ห้าดี เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี อย่างน้อยห้าดี ถ้าใครทำได้มากกว่านั้นละก็ ก็ดีมากไปกว่านั้นอีก ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยให้ได้ซักห้าดี ทำผิดไปแล้วต้องขอโทษ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เพื่อน ถ้าทำผิดล่วงเกินกันแล้วต้องขอโทษ อย่าละอายในการที่จะขอโทษ ถ้าไม่ขอโทษความผิดติดตัว เป็นความชั่วติดตัว ถ้าเปรียบ เปรียบเหมือนกับมีอุจจาระ ปัสสาวะเปื้อน พูดง่ายๆ พูดหยาบคายตรงๆว่าขี้ มันมีขี้เปื้อนอยู่ที่ตัว มันจะสนุกอะไร มันต้องล้างออก คนทำผิด ทำชั่วต่อเพื่อนแล้วไม่ล้างออกมันก็มีขี้ติดตัว เราก็ต้องรีบไปล้างออก คือขอโทษ ขอโทษมันจะได้เกลี้ยงไป เอาไว้มันก็เป็นบาป
นี่เราจะบอกว่าทุกคนหนะต้องเกลียดบาปนะ ไอ้บาปเช่นอย่างเนี้ย ที่ทำผิดแล้วมันก็บาป อะไรไม่ดีเค้าก็เรียกว่าบาป นอนสายก็บาปนะ ถ้ายังไม่รู้รู้เสียนะเดี๋ยวนี้นะ ขี้เกียจนอนสาย ไอ้นอนสายนั้นก็คือบาป บาปตัวเล็กๆ บาปที่ซ่อนเร้นอยู่ นอนสายก็บาป ขี้เกียจทำงานก็บาป พูดหยาบคายก็บาป ข้ามเท้าข้ามหลังผู้อื่น กิริยาหยาบนี้มันก็บาป สูบบุหรี่ก็บาป สูบกัญชาก็บาป กินเหล้าก็บาป ความคิดผิดๆชนิดไหนก็เรียกว่าบาป ถ้าเรากลัวบาป บาปก็ไม่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่กลัวบาปมันก็จะเกิดขึ้นจนบาปเต็มไปทั้งหมด เหมือนคนคนหนึ่งมีขี้ติดเต็มตัวเถอะ เธอจะว่ายังไง เธออยากเข้าใกล้มั้ย ไอ้คนคนหนึ่งถ้ามันมีขี้ติดอยู่เต็มตัว คือคนนั้นมันนอนสายมันก็บาป ขี้เกียจทำงานมันก็บาป พูดหยาบคายมันก็บาป พูดกับพ่อแม่ก็ยังพูดหยาบคาย ล่วงเกินพ่อแม่มันก็บาป ถ้ามันยิ่งไปลักไปขโมยไปอะไรก็ด้วยมันก็ยิ่งบาปหนาหนักมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นเธอรู้เถอะว่า ชนิดนั้นหนะมันบาปทั้งนั้น เถียงพ่อเถียงแม่นี่ก็บาป ไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ดื้อ มันก็บาป เด็กๆเนี่ยถ้ามีดื้อแล้วก็ ก็วินาศแหละ ไอ้เด็กคนไหนมันดื้อ มันไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์มันก็วินาศ เด็กคนนั้นจะต้องวินาศ อนาคตจะต้องไปอยู่ในคุกในตะราง หรือว่าอยู่ในสภาพที่ว่ามันเลวทรามที่สุด เพราะมันดื้อเมื่อเล็กๆ สอนให้ทำดีมันไม่เอา มันทำตามสำนึกของมัน กิเลสของมัน มันก็ทำแต่ชั่วทั้งนั้น สุดท้ายก็ได้ตกอบายทันตาเห็น อยู่ในคุกในตะรางหรือว่าในสภาพที่น่าทุเรศเวทนาที่สุด เพราะฉะนั้นกลัวบาปกันไว้ให้มากๆ แล้วก็ทำบุญ บุญตรงกันข้าม ไม่นอนสาย ขยันขันแข็ง ตื่นแต่ดึก ช่วยพ่อแม่ทำงาน ไม่เกียจคร้าน ไม่พูดคำหยาบ ไม่ล่วงเกินใคร ไม่ลักไม่ขโมย ไม่แม้แต่สูบบุหรี่ก็ไม่ นี่เรียกว่าทำบุญ ทำให้เรี่ยวแรงของเรามีประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่นเรียกว่าทำบุญ ทำให้เรี่ยวแรงเสียเปล่าหรือเป็นโทษแก่ตนเองและผู้อื่นนี้เรียกว่าทำบาป เด็กสมัยโบราณเค้ากลัวบาปยิ่งกว่ากลัวอะไรหมดแหละ กลัวบาปยิ่งกว่ากลัวผี กลัวเสือกลัวอะไรก็ตาม ไม่เท่ากลัวบาป เด็กสมัยนี้ดูจะไม่ได้รู้จักบาป เพราะไม่ได้สอนเรื่องบาป พอพูดว่าบาปเว้ย มันไม่รู้อะไร มันงงๆอยู่ หรือพอบอกว่าบาปเว้ย มันแลบลิ้นหลอก เพราะมันไม่กลัวหนิ มันไม่รู้ว่าบาปคืออะไร เดี๋ยวนี้เราต้องพูดตรงๆนะ ว่าไม่ใช่พูดติเตียนเธอ ดูถูกเธอว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรู้จักคำว่าบาปว่าบุญ
เด็กสมัยก่อนไม่ต้องไปดูไอ้อบายมุขหรอก ไปขนทรายเข้าวัดก็สนุกซะแล้ว เค้าก่อพระเจดีย์ทรายที่วัด ขนทรายเข้าวัด ทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองสวยงามขึ้นเค้าก็เป็นสุขเสียแล้ว นั่นแหละมันเป็นบุญ ไม่ต้องไปดูหนัง ไม่ต้องไปดูละครจนทำให้จิตใจทราม เราดูโฆษณาแล้ว หนังก็ดี อะไรก็ดีเดี๋ยวนี้ เป็นเรื่องทำให้จิตใจทราม ให้เด็กๆชิงสุกก่อนห่าม ไปบ้าเรื่องไอ้ชนิดนั้นตั้งแต่เด็กๆ สมัยก่อนมันมีไม่ได้ สมัยนี้มีได้มากและเต็มไปหมด ก็เอามาหาเงิน เค้าทำมาเพื่อหาเงิน เค้าก็ล่อหลอก ให้คนเข้าไปดู ก็ต้องล่อด้วยเรื่องชั่วเรื่องเลว คือเรี่องกิเลสทั้งนั้นละ กิเลสจึงจะพาคนไปดูและไปเสียสตางค์ให้ ระวังให้ดีนี้เค้าเรียกว่ามันบาป จำไว้สองคำ คำว่าบุญกับคำว่าบาปมันตรงกันข้าม หน้ามือเป็นหลังมือ บาปจะลากคอลงไปในนรก บุญจะจูงมือไปสู่สวรรค์ บุญขึ้นข้างบน ไอ้บาปหนะจะลงข้างล่าง ลงไปในนรก
ถ้าเขาถามว่าอะไรเป็นสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดในโลก เธอควรจะตอบให้ถูกนะว่าคือบาป สิ่งที่น่าเกลียด น่าชังที่สุดในโลกก็คือบาป ไปคิดดูจะเห็น ไม่มีอะไรน่าเกลียดยิ่งไปกว่าบาป ไอ้ของสกปรก อุจจาระ ปัสสาวะนี่ก็ยังไม่น่าเกลียดเท่าบาป เพราะว่าบาปมันเปื้อนที่หัวใจ อุจจาระมันจะเปื้อนได้ที่ผิวหนัง เอาน้ำสาดนิดเดียวมันก็หลุดไปได้ แต่บาปมันเปื้อนที่หัวใจ ไม่รู้จะเอาอะไรล้าง ล้างก็ไม่ออก เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่าเกลียด น่าขยะแขยง น่ารังเกียจ น่ากลัวที่สุดก็คือบาป คิดตรงกันข้ามอะไรที่น่ารัก น่าบูชา น่าพอใจที่สุดก็คือบุญ ถ้าใครรู้สึกอย่างนี้ได้คนนั้นดีที่สุด คนนั้นรอดตัว คนนั้นพระเจ้าให้พร คนนั้นพระเจ้าเตรียมต้อนรับไว้ว่าให้ไปสู่สวรรค์ พระเจ้าเตรียมต้อนรับคนชนิดนี้ไว้สำหรับไปสวรรค์ ส่วนคนที่ไม่รู้จักบาป จมอยู่ในบาป เค้าก็เตรียมนรกไว้ให้ พวกยมบาลก็เตรียมนรกไว้ให้สำหรับคนที่มันทำบาป เค้าเตรียมนรกไว้ให้ ส่วนคนที่ทำบุญเค้าก็เตรียมสวรรค์ไว้ให้ ถึงแม้ยังไม่ทันตายมันก็มีนรกที่นี่ มีสวรรค์ที่นี่ คนมีบาปจะตกนรกที่นี่เรื่อยๆไปก่อน คือทุกข์ยาก ลำบาก ถูกแช่ง ถูกด่า ทนทุกข์ทรมาน พอตายแล้วก็ไปนรกชนิดสมบูรณ์เลย คนทำบุญ ทำดีก็ได้พอใจยกมือไหว้ตัวเองที่นี่ เป็นสุขที่นี่ เป็นสวรรค์ที่นี่ พอตายแล้วก็ได้ไปสู่สวรรค์ที่สมบูรณ์เลย เพราะฉะนั้นเรารู้จักบาป รู้จักบุญเอาไว้ให้ดี รู้จักนรก รู้จักสวรรค์ซึ่งเป็นผลของบาป ของบุญไว้ให้ดีๆ นี่เธอเรียน เธอต้องเรียนมาถึงขนาดนี้ ถ้าเรียนไม่รู้ถึงขนาดนี้ เราเรียกว่าการศึกษาหมาหางด้วน เรียนท่อนเดียว เรียนครึ่งเดียว หางด้วนบ้าง ยอดด้วนบ้าง หัวด้วนบ้าง แล้วแต่จะเรียก การศึกษานั้นไม่สมบูรณ์
ถ้าเดี๋ยวนี้มันยังไม่สมบูรณ์เธอไปหาต่อจากหนังสือหนังหาตำรับตำรา เช่น ไปโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ หรือบวชเณรฤดูร้อนหรือซื้อหนังสือธรรมะไปอ่านที่บ้านที่เรือน ต่อการศึกษาของเราให้ ….(นาที่ที่ 39:21) ให้บริบูรณ์ ไม่ด้วน ถ้าใครอยากเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ พระก็จะสอนให้ ให้ได้เรียน ถ้าใครอยากจะบวชเณรฤดูร้อนเค้าก็จะให้บวชก็บวช แล้วหนังสือธรรมะหนะเค้าก็มีไว้มากอยู่แล้ว ใครอยากอ่านนั้นก็มาเสาะหา แม้ซื้อก็ไม่กี่สตางค์ แต่เค้าก็มีแจก พอที่จะแจกแก่คนที่สนใจ นั้นเรามีโอกาสเรียนต่อ ต่อหมาหางด้วนให้มันไม่ด้วน ต่อเจดีย์ยอดด้วนให้มันไม่ด้วน ต่อสัตว์หัวด้วนให้มันมี ไม่ด้วน เนี่ยเป็นการศึกษา เป็นการเรียนสำหรับจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในอนาคต ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่อย่างนี้ก็ว่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็จะเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานที่มันเกิดมาไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร มาเป็น เกิดมาเป็นสุนัข เมื่อเป็นสุนัขแล้วมันไม่ได้ทำอะไรที่ดีกว่านั้นได้ หรือเป็นสุนัขที่ดีก็ยังไม่ได้ นั้นเราก็เกิดมาเป็นคน เราก็ทำให้เป็นมนุษย์ คือคนชั้นดี ดีที่สุด เป็นพระอริยบุคคล สูงสุดอยู่ที่พระพุทธเจ้า รองลงมาคือพระอรหันต์ รองลงมาก็รองลงมากันอีกจนถึงว่ามันเป็นพระอริยบุคคล ชั้นต้นๆ ชั้นต่ำๆ จนมาเป็นมนุษย์ชั้นดี และให้เราหวังได้นะว่าเธอทุกคนแต่ละคนต้องได้เป็นมนุษย์ อย่าเป็นแต่คนเฉยๆ ได้เป็นมนุษย์สูงๆขึ้นมา แล้วถ้ามันสูงขึ้นไปอีกมันก็เป็นมนุษย์ชั้นดี มนุษย์ชั้นอริยบุคคล ชั้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นไปนู่น ทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ขาด ไม่แหว่ง ไม่บกพร่อง
เดี๋ยวนี้เธอยังเล็กอยู่ เธอก็สนใจให้สุดความสามารถของเราที่ยังเล็กอยู่ ยังเป็นยุวชนอยู่ อย่าประมาทเลย เมื่อตะกี้บอกว่าอย่าชิงสุกก่อนห่าม อะไรที่ยังไม่ใช่หน้าที่ ของผู้ใหญ่ คนหนุ่มคนสาวผู้ใหญ่ เราอย่าไปสนใจ อย่าไปเกี่ยวข้อง อย่าไปแตะต้อง เราทำชนิดที่ว่าเราเป็นยุวชน เป็นเด็กอุตส่าห์เรียนให้มันถึงจุดสูงสุดเสียก่อนจึงค่อยไปเป็นพ่อบ้านแม่เรือน นั่นเรื่องอีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ชั้นของเรา เดี๋ยวนี้เราจะต้องเป็นยุวชนที่ดีจนเต็มที่ เดี๋ยวนี้เค้าเรียนกันจนถึงอายุ 25 ปี ไม่สนใจเรื่องนอกรีตนอกรอย เรื่องชิงสุกก่อนห่าม เค้าจึงเรียนได้ดี เช่นเค้าให้บวชพระบวชเณรเสียอายุ20ปี อายุ 25ปีก็ยังเรียนอยู่เรื่อย บวชพระเรียนเรื่อยจนถึงกว่าจะสมควรจึงจะสึก เค้าจึงจะเปลี่ยน เปลี่ยนชีวิต เลื่อนชั้น เดี๋ยวนี้เรามันยังเล็กๆ ยังไม่ถึง20ปีซักที อย่าไปสนใจเรื่องอะไรทำนองนั้น ก้มหน้าก้มตาเรียนให้สนุก เมื่อเรียนแล้วก็สนุกพึงพอใจในการเรียนให้มันสนุก นี่เราพูดกะเธอนี่เหมือนกับเตือนอีกครั้งหนึ่ง ในเรื่องที่เคยพูดมาแล้วบ่อยๆ แต่นี่พูดเป็นกรณีพิเศษว่าเราจะมีพวกของเราจำนวนหนึ่งจะต้องออกจากโรงเรียนไป เรามีความรักมีความอาลัยอาวรณ์ซึ่งกันและกัน จึงมาที่นี่ในวันนี้เพื่อทำความรู้สึกแก่กันและกันได้อย่างนี้ คงจะเป็นผลดีเพื่อความสุขความเจริญของทุกๆคนตลอดไป ในเรื่องที่จะพูดมันก็มีอย่างนี้ นั้นที่จุดนี้ก็ขอให้พร ฟังให้ดีว่าเรากำลังให้พรว่าให้เธอมีความเชื่อที่ถูกต้อง ที่พูดมาแล้วเนี่ยให้มีความเชื่อที่ถูกต้อง มีความเชื่อที่เต็มที่ เชื่อคำพูดคำแนะนำสั่งสอนเต็มที่ แล้วให้เธอมีความกล้า