แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลายทั้งที่เป็นครูบาอาจารย์และนักเรียน ท่านทั้งหลายมาประชุมกันที่นี่ ก็หวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟังสิ่งที่ควรจะได้ฟังและจำเป็นสำหรับมนุษย์เรา ที่นี่เราเรียนจากธรรมชาติ แล้วก็เรียนจากภายใน ท่านทั้งหลายก็เคยเรียนจากหนังสือหรือจากภายนอก ฟังดูให้ดี ที่นี่เราเรียนจากธรรมชาติ ไม่ใช่จากหนังสือ แล้วก็เรียนจากภายในข้างในตัวคน แต่ก็เรียกว่าเรียนธรรมะด้วยกันทั้งนั้น ขอให้รู้ธรรมะก็ใช้ได้ นับตั้งแต่ชั้นหยาบๆ เบื้องต้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นกลางหรือชั้นละเอียดชั้นลึกซึ้ง ธรรมะนั้นคือหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ เธออาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาแต่ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่ได้บอกด้วยซ้ำไปว่าสอนว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้ฉันบอกว่าธรรมะคือหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำ มิฉะนั้นเขาก็จะต้องตาย แม้ไม่ตายก็หาความสงบสุขไม่ได้หาความเจริญไม่ได้ จะพูดสำหรับนักเรียนก่อน แล้วค่อยพูดสำหรับครูทีหลัง มันเป็นการยากที่จะพูดรวมกันภายในคราวเดียวกันเพราะมันคนละระดับ ที่ว่าเรียนจากธรรมชาตินี่เหมือนกับที่เรากำลังนั่งอยู่กับธรรมชาติในสภาพอย่างนี้ ซึ่งเชื่อว่าคงจะไม่มีบ่อยนัก เพราะเขานั่งกันบนตึกเรียน ราคาแสน ราคาล้าน เดี๋ยวนี้เรามานั่งกลางดิน ราคาเท่าไหร่ไม่อยากจะบอกรู้เอาเองก็ได้ แต่อยากจะบอกว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางดินทั้งที่เป็นกษัตริย์เป็นลูกกษัตริย์ท่านก็ไม่ได้ประสูติบนปราสาท พระพุทธเจ้ามาประสูติกลางดิน แล้วท่านก็ออกบวชแล้วก็ตรัสรู้แล้วก็ตรัสรู้กลางดิน ไม่ได้ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย มีปริญญายาวเป็นหาง ท่านตรัสรู้มานั่งกลางดินริมตลิ่ง ใต้โคนต้นไม้แห่งหนึ่งแต่มันก็เป็นการนั่งกลางดินนั่นแหละ ช่วยสังเกตุหน่อย แล้วต่อมาท่านก็สอนสาวกตลอดเวลาที่ท่านจะมีชีวิตอยู่ท่านก็สอนกลางดิน มันเป็นชีวิตกลางดินซะเรื่อยไป กุฏิพื้นดิน โรงฉันพื้นดิน อะไรก็พื้นดิน นั่งทำสมาธิก็ยังพื้นดิน ทำปาฏิโมกข์สังฆกรรมกับภิกษุทั้งหลายก็พื้นดิน แล้วในที่สุดท่านก็นิพพาน ที่เรียกว่าดับสังขารดับขันธ์น่ะ ชาวบ้านเรียกว่าตายก็กลางดิน นี่เธอลองตีราคาสิว่าพื้นดินที่เรานั่งนี่มันมีราคาสักเท่าไหร่ เมื่อตึกเรียนของเรามีราคาแสนบ้าง ล้านบ้าง ทีนี้ขอให้สนใจกำหนดความรู้สึกที่เรารู้สึกขึ้นมาเมื่อนั่งอยู่กลางดิน อันเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอนและนิพพานของพระพุทธเจ้า ถ้าว่าธรรมชาติไม่ช่วยให้ตรัสรู้ได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องไปศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย ในสถานการศึกษาเป็นต้น ทีนี้เรื่องของธรรมะนั้นมันเรียนจากธรรมชาติแล้วก็เรียนจากข้างใน อย่างเดี๋ยวนี้ถ้าจะเรียนกันบ้าง ก็ดูเถอะว่าเมื่อมานั่งตรงนี้กับธรรมชาติอย่างนี้จิตใจของเราเป็นอย่างไร เมื่อเราไปนั่งในโรงหนัง โรงละครที่ตลาดหรือแม้แต่ในห้องเรียน ในโรงเรียนในวิทยาลัยของเธอนั้นมันมีจิตใจอย่างไร ข้อนี้มันอยู่ที่ว่าไอ้ธรรมชาตินี่มันช่วยปรุงแต่งจิตใจของเราอย่างหนึ่ง ไอ้ที่ไม่ใช่ธรรมชาติที่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นนั่นน่ะมันก็ปรุงแต่งจิตใจของเราอย่างหนึ่ง เราไปนั่งในโรงหนังโรงละครสำหรับปรุงแต่งจิตใจของเราให้บ้าไปชนิดหนึ่งพักหนึ่ง เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง จะมานั่งที่นี่ธรรมชาติมันไม่ทำอย่างนั้น มันปรุงจิตใจของเราไปในทางให้หยุด ให้เย็น ให้สงบ ให้ไม่มีความทุกข์ ตรงนี้อยากจะขอแถมหรือแทรกนิดหน่อยว่า คำว่านิพพานน่ะ แปลว่า เย็น เธอเคยเรียนกันมาอย่างผิดๆ เพราะครูของเธอสอนมาอย่างผิดๆ หลับตาสอน ว่านิพพานแปลว่าตายของพระพุทธเจ้า นิพพานแปลว่าตาย ใช้แทนความตายของพระพุทธเจ้า นี่เป็นความผิด ผิดความจริง นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย อีกอย่างหนึ่งพระพุทธเจ้านั้นตายไม่ได้ ใครว่าพระพุทธเจ้าตายคนนั้นมันบ้า อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟังกับมัน พระพุทธเจ้าท่านตายไม่ได้ ท่านว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมะคือฉัน ธรรมะตายไม่ได้ ร่างกายของท่านอาจจะตายได้ตามธรรมดา แต่ความเป็นพระพุทธเจ้าหรือความเป็นพระอรหันต์นี้ตายไม่ได้ อย่าไปจัดให้พระพุทธเจ้าตายหรือพระอรหันต์ตายมันไม่รู้เรื่องอะไร ทีนี้คำว่านิพพาน นิพพานนี้เขาแปลว่าเย็น เย็นน่ะคือความร้อนมันลดลงไป ลดลงไปจนไม่มีเหลือ เมื่อความร้อนมันลดลงไม่มีเหลือก็เรียกว่าเย็น อาการอย่างนี้เขาเรียกว่านิพพาน แม้ที่ไฟธรรมดาๆ ดับลงไปนี่ก็เรียกว่านิพพาน ใช้คำๆ เดียวกัน ปัชโช ปัตเสวะ นิพพานัง (นาทีที่: 10:12) เหมือนกับนิพพานแห่งปัชโชตะ ปัชโชตะนั่นแปลว่า ไฟ ไฟธรรมดา นิพพานนั้นคือดับลงไป คำว่านิพพานคือของร้อนๆ ลดลง ดับลง เย็นลง ในที่สุดก็เย็น คำว่านิพพาน แปลว่า เย็น เย็นอกเย็นใจ ถ้าเธอมาที่นี่ นั่งอยู่ตรงนี้ได้รับความเย็นอกเย็นใจบ้าง นั่นน่ะคือนิพพานตัวอย่าง สินค้าตัวอย่าง คือเย็นอกเย็นใจเพราะว่าไอ้ธรรมชาติที่เรานั่งกันอยู่ตรงนี้มันไม่ปรุงแต่งกิเลส มันคอยกดไว้ ข่มไว้ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น กิเลสนั้นเป็นไฟเมื่อไม่เกิดขึ้นมันก็ไม่ร้อน พอเรามานั่งตรงนี้จิตมันก็เย็น เย็นอกเย็นใจไม่ต้องร้อนด้วยอำนาจกิเลส เห็นไหมไม่ต้องลงทุนอะไรก็ได้ชิมรสของพระนิพพาน เธอไปซื้อน้ำแข็งถุงหนึ่งบางทีต้องเสียตั้ง ๕๐ สตางค์ นั่นมันต้องซื้อ เย็นอย่างนั้นมันต้องซื้อ แล้วมันก็ไม่เย็นจริงมันเย็นหลอก หลอกประสาท ทีนี้มานั่งในที่ที่ธรรมชาติไม่ปรุงให้เกิดไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มันก็เย็น มันก็เย็นลึก เย็นอก เย็นใจ เย็นใน ภายใน เรียกว่าเย็นอย่างนี้ให้เปล่าๆ ไม่ต้องเสียสตางค์ เป็นหลักทั่วไปในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ว่านิพพานนี้ให้เปล่าไม่ต้องเอาสตางค์ คือทำให้ร้อนๆ มันเย็นลงก็แล้วกัน เราโลภเราต้องการด้วยความโง่มันก็ร้อน เราโกรธเราขัดใจด้วยความโง่เราก็ร้อน เราหลงด้วยความโง่เราก็ร้อนไปตามแบบของความหลง คือว่าจิตมันหยุดไม่ได้เย็นไม่ได้ ขอให้เรียนบทนี้ก่อน นิพพาน แปลว่า เย็น ไม่ใช่ตาย นิพพานถึงได้โดยไม่ต้องตาย ก่อนจะตายก็ถึงนิพพานได้ คนที่นิพพานแล้วอย่างนี้แม้ร่างกายจะแตกดับอีกทีหนึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ไอ้ส่วนจิตนั้นมันเย็นแล้วมันถึงนิพพานแล้ว เมื่อหมดกิเลสนั่นแหละคือถึงนิพพาน เมื่อไหร่หมดกิเลสเมื่อนั้นเป็นนิพพาน ทีนี้เรายังเป็นอย่างนั้นไม่ได้เราก็ชิมลองดูก่อนได้ มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปรุงให้เกิดกิเลส มานั่งอย่างนี้แล้วมันก็หยุดคิดเรื่องกิเลส หยุดคิดประเภทตัวกูของกู ซึ่งปั่นป่วนเร่าร้อนอยู่ในใจ เราจึงเย็นขึ้นมาโดยไม่ต้องลงทุนด้วยอะไร ไม่ต้องทำอะไร แต่ว่าธรรมชาติมันช่วยทำให้ ต้นไม้ แผ่นดินอะไรต่างๆ ที่เป็นธรรมชาตินี่มันแวดล้อม ตา หู จมูก ลิ้น กายของเราแล้วก็ทำให้เกิดกิเลสไม่ได้ตอนนี้ มันก็เย็น มานั่งอย่างนี้แล้วยังไม่เย็นคนนั้นต้องรีบไปหาหมอ อย่างน้อยต้องไปซื้อยาประสาทกินแล้วล่ะ มานั่งอยู่อย่างนี้แล้วมันยังระงับไม่ได้ ยังเย็นอกเย็นใจไม่ได้ ธรรมชาติช่วยถึงขนาดนี้ นี่เรียกว่ามาที่นี่แล้วก็เรียนจากธรรมชาติ แต่ต้องเรียนจากภายใน ธรรมชาติข้างนอกปรุงแต่งเข้าไปถึงภายใน แล้วภายในมันก็สงบลงระงับแล้วก็เย็น ฉะนั้นเธอก็ศึกษา ศึกษาจากภายในว่าเดี๋ยวนี้จิตเป็นอย่างไร กลับไปบ้าน ไปโรงเรียน ไปทำการทำงาน จิตเป็นอย่างไร เพื่อจะเปรียบเทียบกันให้ได้ต้องกำหนดจดจำจิตหรือสภาวะของจิตที่นี่เดี๋ยวนี้ไว้ให้แม่นยำ แล้วก็กำหนดไป ความรู้นี้เอาไปเปรียบเทียบเมื่อไปถึงที่อื่น ซึ่งสิ่งอันไม่ใช่ธรรมชาติมาปรุงแต่ง เกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลงอะไรขึ้นมาบ้าง แม้นิดๆ หน่อยๆ มันก็ร้อนธรรมะคือหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำเพื่อดับความทุกข์ ถ้าถามว่าทำทำไมดับความทุกข์ ทำอย่างไร ทำให้มันถูกกฎของธรรมชาติที่ว่า ถ้าอย่างนี้มันต้องร้อน ถ้าอย่างนี้มันต้องเย็น ถ้าจิตมันปรุงเป็นเรื่องกิเลส เป็นตัวกูของกู มันก็ร้อน ถ้าจิตมันว่าง เงียบ เย็น หยุด อิสระ ไม่ปรุงเป็นตัวกูของกูมันก็เย็น นี่เรียกว่ากฎของธรรมชาติ ถ้ามีกิเลสเป็นไฟมันก็ร้อน ไม่มีกิเลสมันก็ไม่มีไฟมันก็เย็น กฎเกณฑ์มันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าชอบร้อนก็ไปเล่นกับกิเลสก็ได้ของร้อนมาแล้วต้องซื้อหาด้วย ไอ้ความร้อนของกิเลสนั่นน่ะต้องซื้อหาด้วยสตางค์ด้วย ต้องไปซื้อเหยื่อของกิเลสมาให้กิเลสมันกิน แล้วเราก็ได้สนุกสนานอะไรต่ออะไรทางเนื้อทางหนังก็ต้องเสียสตางค์ไป ได้ความร้อนมาถ้าจะเรียกความสุก ก็ กอ สะกด สุก กอ สะกด น่ะมันร้อน สุข ขอ สะกด มันจึงจะเย็น เราไปซื้อเหยื่อของกิเลสมากิน มาใช้ มาปรุงก็ได้ร้อนมา นี่ความสุกร้อนต้องซื้อด้วยสตางค์ ทีนี้ความสุขเย็นรับรองไม่มีกิเลสเกิดขึ้นไม่ต้องเสียสตางค์แล้วก็ได้สุขเย็น ขอ สะกด สุขจริง สุขแท้ นี่ปฏิบัติธรรมะถูกต้องแล้วมันก็มีการดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุขอย่างนี้ เธอจำไว้ให้ง่ายว่าถ้าต้องลงทุนสตางค์แล้วมันเป็นสุขหลอก ถ้าไม่ต้องลงทุนด้วยสตางค์แล้วเป็นสุขแท้ สุขจริง สุขเย็น ทุกคนใช้เงินไปรบกวนพ่อแม่มาไม่หยุดไม่หย่อน เอามาซื้อเหยื่อของกิเลสเพื่อความสุกร้อนกันทั้งนั้น ไม่เป็นอันเรียนหนังสือหนังหา เพราะว่าไปมัวแสวงหาความสุขชนิดนั้น ก็เลยไม่ใคร่จะสำเร็จประโยชน์ในการศึกษาเล่าเรียน แม้จะสอบไม่ตก มันก็ได้ไม่ดี ที่เราว่าไม่ตกแต่มันได้ไม่ดีไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา ธรรมะคือหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตต้องประพฤติกระทำเพื่อดับทุกข์ นี่คือธรรมะจริง ไอ้ธรรมะจดๆ จำๆ ท่องๆ แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรอย่างที่จดนี่เก็บไว้ในสมุดมันก็เป็นธรรมะไม่ได้ ธรรมะจด ธรรมะเล่าเรียน ธรรมะท่องนี่มันอีกอย่างหนึ่ง ธรรมะจริงคือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต้องกระทำแล้วมันก็มีผลจริงๆ ฉะนั้นถ้าได้ยินได้ฟังว่าอย่างไรแล้ว ใคร่ครวญดูตามที่เขาบอกนั้นเห็นพอจะเห็นได้ว่าทำกันแล้วมันจะเย็นก็รีบทำเถอะ ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามธรรมะนั้นๆ ขอให้จำไว้เป็นพิเศษหรือครั้งแรกก็ได้ ที่พูดว่าครั้งแรกนั่นน่ะ ก็โดยถือว่าท่านทั้งหลายยังไม่เคยได้ฟัง ว่าคำว่าธรรม หรือธรรมะก็ได้ ธรรมก็ได้คำเดียวกันแหละ นี่มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร เคยได้ยินอย่างนี้ไหมว่าธรรมะนี่คำๆ นี้ความหมายของมันเล็งถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร แต่ถ้าพูดกันให้เข้าใจก็พอจะแยกได้ว่าเป็น ๔ ประเภท ๔ ส่วน ๔ ฝ่าย ตัวธรรมชาติทั้งหลายนี่ ธรรมชาติทั้งหลายนี่ก็เรียกว่าธรรม คือธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม ทำหน้าที่แล้วผลอะไรเกิดขึ้นมานั้นก็เรียกว่าธรรม มันก็เลยไม่ ไม่ ไม่เหลืออะไรไว้ที่จะไม่เรียกว่าธรรม ธรรมชาติทั้งหลายที่มนุษย์จะรู้จักตลอดสากลจักรวาลทั้งนอกคนและในคนนี่ก็เรียกว่าธรรมชาติก็คือธรรม ธรรมคือธรรมชาติ ทีนี้ในธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงนี้มีกฎของธรรมชาติสิงอยู่ในนั้น คือกฎของธรรมชาติ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เพราะว่ากฎของธรรมชาติมันสิงมันบังคับอยู่ในนั้น กฎของธรรมชาตินี้ก็เรียกว่าธรรม สัจธรรม ทีนี้มันก็เกิดหน้าที่ที่ต้องทำตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่นี้ก็เรียกว่าธรรม ซึ่งสิ่งที่มีชีวิตมันกระทำอยู่ไม่เช่นนั้นมันต้องตาย เป็นผลเกิดขึ้นมาเป็นสุขก็มีเป็นทุกข์ก็มี หรือกระทั่งทำให้รอดตายอยู่ได้นี่ก็เป็นผลของการทำหน้าที่ ก็เรียกว่าธรรม ในตัวเราคนหนึ่งๆ ก็มีเนื้อหนัง ร่างกาย เอ็น กระดูก เลือด หนอง อะไรก็ตามเถอะ ทุกส่วนที่มันประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายรวมทั้งจิตใจด้วยก็เรียกว่าตัวธรรมชาติ เมื่อตัวของเธอทั้งหลายเป็นธรรมชาติ และในธรรมชาตินั้นมีกฎของธรรมชาติ ดังนั้นเนื้อตัวของเราจึงเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ เช่น คลอดมาจากท้องแม่ เติบโตขึ้นมา เป็นไปถึงความแก่ชราและความตาย นี่มันมีกฎของธรรมชาติสิงสถิตย์อยู่ในเนื้อตัวของเรา ก็ต้องเป็นไปตามกฎนั้น ทีนี้เกิดหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ก็คือว่าเราต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ เช่น เราต้องกินอาหาร เราต้องอาบน้ำ เราต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ต้องทำทุกอย่างตามกฎของธรรมชาติเพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ นี่คือหน้าที่ ที่จะต้องมีอาหารกิน ต้องมีเสื้อผ้าใช้ ต้องมีที่อยู่ที่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย มีหยูกยาบำบัดโรคนี่ทำหน้าที่ เพื่อมันอยู่ได้ ไอ้หน้าที่นี้ก็เรียกว่าธรรม ครั้นเราทำหน้าที่แล้วเราก็ได้รับผล หน้าที่ยังไม่ได้หยุดอยู่เพียงว่าทำเพื่ออย่าให้ตาย แต่มันมีหน้าที่ที่ต้องทำให้ได้เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะเป็นได้ ถ้าหน้าที่เพียงแต่ไม่ให้ตายนี่มัน มันยังต่ำเกินไป สุนัขและแมวมันก็ทำได้ นี่เราเพียงว่าไม่ตายนี่ไม่พอ เราต้องดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะเป็นไปได้ เราจึงต้องศึกษาเล่าเรียน ต้องพัฒนากายพัฒนาจิต พัฒนาทุกอย่างให้มันได้ถึงจุดที่ว่าสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้เราจึงมีหน้าที่ เช่นว่า เรียน เล่าเรียนนี่ก็เพื่อให้รู้ว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องเรียน เรียนแล้วก็รู้ รู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ ต้องให้ได้รับความอยู่เป็นผาสุก หรือว่าให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์จะอยู่ได้ จะทำได้ จะเป็นได้ เห็นไหมว่าไอ้คำว่าธรรมน่ะมันกว้าง หมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร ในสากลจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายทุกสิ่ง ทุกๆ ปรมาณูในสากลจักรวาลมันก็คือธรรมชาติ ในธรรมชาติเหล่านั้นมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ มันจึงเป็นไปตามกฎ ดวงดาวทั้งหลายก็หมุนไปตามจักรราศีของมัน ปรมาณู อณูในส่วนนั้นๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปตามกฎของมัน เรียกว่าตามกฎของธรรมชาติ แต่ที่มาเป็นสิ่งที่มีชีวิตน่ะ เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นคนนี้มันก็มีกฎของมันที่จะต้องเป็นอย่างนั้น มันจึงมาเป็นคนเป็นอะไรได้ ฉะนั้นเราหลีกไม่พ้นหรอก จากอำนาจของกฎธรรมชาติ เราหลีกไม่พ้น เราสู้ไม่ไหว เราต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ เพื่อเราจะได้มีชีวิตอยู่ได้แล้วก็เจริญต่อไป ขอให้มองไปยังสิ่งนี้คือกฎของธรรมชาติว่าเป็นสิ่งสูงสุด มีอำนาจเหนือสิ่งใด ในศาสนาอื่นเขามีพระเจ้าอย่างที่เราก็เคยได้ยินว่าเขาเล่าเรื่องพระเจ้าของเขาอย่างไรก็ตามใจเขา แต่ว่าเราก็มีพระเจ้าคือมีกฎของธรรมชาตินั่นเอง สร้างโลกขึ้นมา ควบคุมโลกไว้ ยุบโลก ยุบเลิกโลกเป็นคราวๆ สร้างโลกใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้โดยกฎของธรรมชาติ ถ้าเป็นพุทธบริษัทก็ถือว่ามีกฎของธรรมชาตินี้เป็นพระเจ้า ถ้าเป็นคริสเตียนเป็นอิสลามก็มีพระเจ้าตามความหมายนั้นน่ะ ในศาสนาคริสเตียนอิสลามเป็นพระเจ้า จะเรียกชื่อนั้นไม่เป็นไรต่างกันก็ได้ แต่หน้าที่มันเหมือนกันหมดนะ พระเจ้าอย่างนั้นกับพระเจ้ากฎของธรรมชาตินี้ก็ทำหน้าที่เหมือนกัน คือควบคุมสิ่งทั้งปวงให้เป็นไปตามกฎ สร้างโลกขึ้นมา ควบคุมโลกไว้ ยุบโลกเสียเป็นคราวๆ สร้างโลกขึ้นมา ควบคุมโลกไว้ ยุบโลกเสียเป็นคราวๆ นั่นหน้าที่ของกฎของธรรมชาติ ที่พวกอื่นเขาเรียกว่าพระเจ้า ฉะนั้นเราไม่มีทางจะดื้อดึง จะฝืนกฎหรือฝืนคำสั่งของพระเจ้า เราทำให้ถูกตามกฎเสียดีกว่า เราทำอย่างนั้นแล้วมันไม่เกิดความทุกข์ เช่น มีกฎมาบังคับกิเลสได้ไม่ให้เกิดความทุกข์ เราก็บังคับกิเลสได้ก็ไม่เกิดความทุกข์ ถ้าอ้อนวอนพระเจ้าไม่เกิดความทุกข์ อ้อนวอนพระเจ้าแล้วต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า มันก็มากำจัดกิเลสอีกเหมือนกัน พระเจ้าล้วนแต่ต้องการให้คนทำถูกต้องหรือทำดีตามหลักของธรรมะทั้งนั้น ฉะนั้นถ้ามาที่นี่เพื่อจะศึกษาธรรมะก็ขอให้เข้าใจคำว่าธรรมะในลักษณะเช่นนี้จึงจะสำเร็จประโยชน์ ไม่เช่นนั้นก็มาป่วยการเสีย เสียค่ารถเปล่า เสียเวลาเปล่า มาศึกษาธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งสิ่งที่มีชีวิตมันจะต้องทำ ต้นไม้นี่ก็ต้องทำอะไรให้มันถูกตามกฎของธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นต้นไม้นี่ก็ตายหมด ต้องการแสงแดด ต้องการอาหาร ต้องการน้ำ ต้องการอะไรต่างๆ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันต้องทำตามกฎของธรรมชาติจึงรอดชีวิตอยู่ได้ มนุษย์ก็เหมือนกัน ทำถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ รอดชีวิตอยู่ได้และเจริญถึงที่สุด ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ประเทศอินเดียเป็นเจ้าของภาษาบาลีมาแต่โบรงโบราณ ธรรมะก็แปลว่าหน้าที่ ประเทศไทยเรารับช่วงมา มาสอนธรรมะ ธรรมะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันแคบไปหรือมันยังไม่ชัดเจน ควรจะรู้ว่าท่านสอนอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทำหน้าที่ ปฏิบัติธรรมะทุกอย่างคือทำหน้าที่ ท่านว่าปฏิบัติเพื่อไปนิพพานก็เป็นหน้าที่ เพราะมนุษย์เกิดมาต้องไปถึงที่สุดน่ะคือนิพพาน เดี๋ยวนี้มีหน้าที่หาอาหาร หาเครื่องนุ่งห่ม หาที่อยู่อาศัย หาหยูกยาแก้ไข้ ก็ทำหน้าที่นี้ไป อยากจะทำหน้าที่อะไรแปลกไปมันก็ได้แต่มันไม่พ้นไปจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ฉะนั้นขอให้เรารู้จักว่าเราไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงพระเจ้า หลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราสมัครใจที่จะทำให้ถูกต้องเสียดีกว่า เราอยากจะได้อะไรโดยถูกต้อง โดยบริสุทธิ์มีผลดี เราก็ทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของมัน เช่น เราจะถือว่าเราจะขโมย เราจะปล้นจี้ แล้วเราก็จะอยู่เป็นสุขไหม มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ถูกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราจะขี้เกียจเรียน เราจะไปเที่ยวเสีย เราจะสอบไล่ได้ที่หนึ่งมันเป็นไปได้ที่ไหนกัน ฉะนั้นเราจึงทำให้มันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นั่นน่ะหน้าที่ นั่นแหละคือหน้าที่ นั่นแหละคือธรรมะ ถ้าได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ก็เรียกว่ามีธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถีบสามล้ออยู่ก็ได้ ทำหน้าที่ในโลกนี้อย่างมนุษย์ที่มันมีความสามารถเพียงเท่านี้ ถีบสามล้ออยู่ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ แจวเรือจ้างอยู่ ล้างท่อถนนอยู่ กวาดถนนอยู่ ล้างส้วมอยู่ เป็นภารโรงล้างส้วมอยู่ มันก็คือธรรมะ คือทำหน้าที่ มีประโยชน์แก่มนุษย์ตรงตามหน้าที่ที่มนุษย์จะพึงกระทำต่อกันและกัน เมื่อเราไม่สามารถทำหน้าที่ที่ง่ายกว่านี้เบากว่านี้ เราก็ทำหน้าที่ตามที่เราจะทำได้ เดี๋ยวนี้คนไม่อยากทำหน้าที่ ไม่อยากทำงานแต่อยากมีเงินไปซื้อหาปัจจัยหรือกามารมณ์ ไม่อยากทำงานแต่อยากมีเงินไปซื้อหาปัจจัยของกามารมณ์ นี่มันเรื่องของเรานะ เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามไปเสีย ที่เรียนหนังสือนี่ก็เรียนเพื่อให้ได้เงินง่ายๆ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย บางทีก็ไม่ทำงานเลย คดโกงเพื่อให้ได้ประโยชน์ได้เงินมา บางทีเรียนชนิดคดโกงเลย ขโมย จี้ ปล้นอะไรเพื่อให้ได้เงินมา นี่ก็เพราะว่าล้วนแต่ไม่อยากทำหน้าที่ เขาไม่รู้ว่าไอ้ทำหน้าที่นี้คือการปฏิบัติธรรมมันได้บุญอยู่ที่นั่น แม้นักเรียนเรียนหนังสือก็กำลังทำหน้าที่ ประพฤติธรรมอยู่ที่การเรียนหนังสือ ก็ประพฤติธรรมะอยู่ที่การเรียนหนังสือ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักเรียน ฉะนั้นการเรียนหนังสือเป็นการประพฤติธรรมะ เป็นการได้บุญสำหรับคนๆ นั้น สำหรับนักเรียนคนนั้น เป็นครูก็เหมือนกันแหละ เมื่อทำหน้าที่ของครูก็คือปฏิบัติธรรมะแล้วก็ได้บุญ ควรจะพอใจ ควรจะยินดี และสนุกสนานในการทำ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ ไม่ ไม่เป็นอย่างนั้น มันเล่นตลกกับตัวเอง อยากสอบไล่ได้แต่ขี้เกียจเรียนหนังสือ นักเรียนทุกคนอยากจะไปเล่นมากกว่าอยากจะเรียนหนังสือ นี่มันทนเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน คอยแต่ว่าเมื่อไหร่นาฬิกาจะถึงเวลาปิดเรียน มันไม่ได้อยากเรียนด้วยจิตใจทั้งหมด มันเล่นตลกตัวเอง ขอให้คิดเสียใหม่ ดูเสียใหม่ให้เห็นว่าไอ้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมะ เป็นดี เป็นพร เป็นอะไรอยู่ที่นั่น ประเสริฐวิเศษอยู่ที่นั่น แล้วก็พอใจเป็นสุขในการทำหน้าที่ จะเป็นการเรียนก็เป็นทำหน้าที่ จะเป็นทำงานก็ทำหน้าที่ ทำอย่างใด อย่างใด ที่มันเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ก็เรียกว่าทำหน้าที่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นขอให้สนุกในการทำหน้าที่ ช่วยภารโรงกวาดโรงเรียน ไม่มีใครชอบใช่ไหม ไปช่วยภารโรงกวาดโรงเรียน ไม่มีนักเรียนคนไหนชอบ อาจจะมีก็พิเศษเต็มทีแล้ว คือคนที่มันรู้จักหน้าที่รู้จักธรรมะ ถ้าภารโรงเขาเกิดขี้เกียจขึ้นมาบ้างมันก็รกกันหมด ส้วมก็เลอะเทอะหมด เพราะไม่มีนักเรียนคนไหนช่วยภารโรง ภารโรงล้างส้วม เพราะไม่เห็นว่าเป็นของดีของที่ควรทำเป็นบุญเป็นกุศลอยู่ที่นั่น ถ้าถือหลักกันอย่างนี้ไม่มีวันที่จะมีธรรมะหรือเข้าถึงธรรมะ เปลี่ยนหลักการกันเสียใหม่ว่าทำหน้าที่ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ มีประโยชน์แก่มนุษย์แล้วก็ได้บุญอยู่ที่นั่น นี่เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ไม่ใช่คอยแต่จะหาเวลาไปกินไปเล่นไปสนุกสนานไปแสวงหาปัจจัยทางกามารมณ์ ซึ่งทำลายหมดทุกอย่าง ทำลายการเรียน ทำลายการงาน ทำลายอะไรต่างๆ หมด เพราะฉะนั้นธรรมะมันอยู่ที่ตรงนี้ มันอยู่ใกล้ๆ ที่ตรงนี้ เรียกว่าอยู่ที่ปลายจมูกนี่เอง คือทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง เป็นเด็กทำอย่างเด็ก เป็นผู้ใหญ่ทำอย่างผู้ใหญ่ เป็นนักเรียนทำอย่างนักเรียน เป็นครูทำอย่างครู นั่นแหละคือธรรมะอยู่ที่นั่น เมื่อทำแล้วควรจะนับถือตัวเอง ว่ามันมีอะไรดีอยู่ในตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ การยกมือไหว้ตัวเองนี้คงจะไม่เคยได้ยินก็ได้ แล้วเขาพอเขาบอกยกมือไหว้ตัวเอง อาจจะโห่กันก็ได้ นี่ยังอดกลั้นไว้ ยกมือไหว้ตัวเองมันหมายความว่ามันเห็นในตัวเองมีการกระทำความดี ทนอยู่ไม่ได้ต้องยกมือไหว้ตัวเอง ทีนี้พอมองเข้าไปในตัวเองเห็นแต่สิ่งที่ตลบตะแลง หลอกลวง ปิดบัง ขยะแขยง เลยยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ จึงพูดได้เลยว่าคนไหนยกมือไหว้ตัวเองได้คนนั้นมีธรรมะและธรรมะระดับสูงด้วย ฉะนั้นไปจัดการเอาเองเถอะ ทำอย่างไรให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นน่ะมันมีธรรมะระดับสูง ถ้ายังต้องปกปิดซ่อนเร้นยังมีความลับ ยังมีอะไรที่ต้องปกปิดอยู่ มันไหว้ตัวเองไม่ลงหรอก มันมีธรรมะไปไม่ได้ จะจดใส่สมุดไว้ เต็มห้องมันก็ไม่มีธรรมะได้ เพราะธรรมะแท้มันอยู่ที่การทำหน้าที่ เป็นนักเรียนจะมีความสุขที่สุดพอใจที่สุด เคารพตัวเองที่สุด เมื่อกำลังเรียน เมื่ออยู่กับโต๊ะเรียนทำให้ดีที่สุด เป็นครูก็เมื่อถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำหรือตรงนั้นแหละ เป็นที่ที่เป็นสุขที่สุด พอใจที่สุด ไม่ใช่ว่าเอ้า,ถึงเวลาปิดโรงเรียนไปสถานที่อาบอบนวด ไปอะไรต่างๆนั่น ไปมีความสุขที่นั่น มันก็ไม่มีทางที่จะพูดได้ว่ามีธรรมะ เพราะว่าเป็นทาสของกิเลสเสียแล้ว กิเลสมันคร่าไปหาเหยื่อของกิเลส ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ด้วยกิเลสคืออบายมุข เข้าใจว่านักเรียนทั้งหลายนี่ไม่เคยบวชเณร บวชพระ ก็เลยไม่รู้ว่าอบายมุขคืออะไร เป็นหลักที่เขาสอนเขายืนยัน พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงกำชับกำชาว่า อย่าไปทำสิ่งที่เป็นอบายมุข เพราะปากช่องแห่งอบาย ความวินาศฉิบหายด้วยอบายมุข มีอยู่ ๖ อย่างที่ระบุไว้ คือ ดื่มของเมา เสพของเมา ของเมาอะไรก็ได้ทุกชนิด เที่ยวกลางคืนที่ชอบกันนักเที่ยวกลางคืน แล้วก็ดูการละเล่นที่ทำให้จิตทรามลง ทรามลง หนังละคร หลายๆ อย่าง อะไรที่ไปดูแล้วทำให้จิตทรามลง ขอให้ช่วยสังเกตนะ เมื่อนักเรียนไปดูไอ้การละเล่น การแสดง ที่เสียสตางค์ค่าผ่านประตูนี่ จิตมันทรามลงหรือเปล่า ว่าที่จริงแล้วจิตมันทรามแล้วตั้งแต่เมื่อเห็นโปสเตอร์โฆษณานั่น จิตมันทรามมากแล้วเมื่อเห็นโปสเตอร์โฆษณา จะต้องเอาสตางค์ไปซื้อตั๋วดูให้ได้ ไม่มีก็ต้องขโมยของแม่ ขโมยของเพื่อน นี่จิตมันทรามแล้วตั้งแต่เห็นโปสเตอร์โฆษณา นี่เขาจะมีอะไรกันบ้าง นี่ดูการละเล่นเป็นอบายมุข เล่นการพนัน ทำตนให้มีผีสิง สิงจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เนื่องด้วยการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร มีเพื่อนชั่วดึงกันไปแต่ในทางชั่ว ชอบอ้างว่าถ้าเราไม่สูบบุหรี่เพื่อนไม่คบนี่คำพูดที่โง่เขลาที่สุด ถ้าเราไม่สูบบุหรี่เพื่อนก็ไม่คบด้วย ก็เลยได้ชั่วกันทั้งโขยง ต้องสูบบุหรี่กันทั้งโขยงใช่ไหม มันหยาบคายไหมพูดอย่างนี้ ก็คือว่าเราอยากจะให้เพื่อนชอบนี่ แล้วก็ไม่ดูว่าเพื่อนชั่วหรือเพื่อนดี ไม่สูบบุหรี่เพื่อนเขาไม่คบเราก็ต้องสูบบุหรี่ นี่เรียกว่าคบเพื่อนชั่วคบคนชั่วเป็นมิตรและเกียจคร้านทำการงาน ก็เหมือนอย่างที่ว่ามาเมื่อกี้นี้ ไม่มีใครชอบทำงานในโลกนี้ไม่มีใครชอบทำงาน ทุกคนทำงานด้วยความจำเป็นบังคับเนื้อแท้มันไม่ชอบ ที่เป็นเศรษฐีร่ำรวยก็ไม่ใช่มันชอบทำงาน แต่ความจำเป็นมันบังคับให้ต้องทำต้องบริหารไป ทีนี้คนจนก็เหมือนกันแหละไม่ได้ชอบทำงาน แต่ความจำเป็นมันบังคับให้ต้องทำงาน คนทุกคนไม่อยากทำงานแต่ความจำเป็นบังคับให้ต้องทำ มันจึงมีความทุกข์เพราะมันฝืนความรู้สึก เหมือนเราสมัครทำงานเสียดีกว่า เพราะเมื่อทำงานนั่นน่ะคือประพฤติธรรมะ มีบุญ มีกุศล ก็เลยสนุกในการทำงาน ไม่ต้องหวังผลการงานอะไรนัก ขอให้ได้ทำงานแล้วก็พอใจว่าได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งที่ดีที่ทำยากของมนุษย์ ช่วยจดจำไปด้วยถ้ายังไม่เคยทราบว่าดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ถ้าทราบอยู่แล้วก็ขอให้ช่วยปฏิบัติเถอะ ปิด ปิดประตูอบาย ปิดช่องสำหรับที่จะไปลงอบาย นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรมะขั้นพื้นฐาน แรกๆ ที่จะต้องตระเตรียมในขั้นแรกคือปิดชั่ว เป็นหน้าที่ที่จะต้องปิดปากทางแห่งความชั่ว และเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำให้ดี เดินไปตามทางแห่งความดี คือปฏิบัติธรรมะ ควรจะมองให้เห็นว่าไอ้สิ่งที่ชั่วนั่นน่ะจะต้องมีเสน่ห์ฉาบไว้ข้างหน้าเสมอ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่มีใครทำชั่ว ไปคิดดูสักนิดเถิด ถ้ามันไม่มีเสน่ห์อันยั่วยวนฉาบหน้าไว้ของความชั่วแล้วไม่มีใครทำความชั่ว ทีนี้มันมีเสน่ห์ล่อ ฉาบไว้เหมือนกับน้ำตาลเคลือบยาพิษ เราก็เลยพลัดตกลงไปในเสน่ห์ของความชั่ว แล้วก็ทำความชั่วด้วยความสมัครใจ ไม่รู้สึกตัว ไม่เดือดร้อน ไปตายเอาดาบหน้า คนชั่วเขาจะคิดอย่างนั้น ไปตายเอาดาบหน้า เดี๋ยวนี้เอาแต่สนุกสนานเอร็ดอร่อยเอาไว้ก่อน อย่างนี้มันผิดหลักธรรมะ มนุษย์ไม่ใช่มีสำหรับอย่างนั้น ไม่ใช่มีมาสำหรับอย่างนั้น ฉะนั้นธรรมะคือหน้าที่ ทำแล้วมีความเจริญงอกงามไปตามทางของหนทางที่มันควรจะเป็น เป็นคนยังไม่พอต้องเป็นมนุษย์ แต่บางทีเราใช้คำคำเดียวกัน อย่างเราร้องเพลงกราวกีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ถ้ามองดูว่าทำคนให้เป็นคนมันก็อยู่แค่นั้นเองจะดีอย่างไร ก็ทำคนเป็นคน ทำคนเป็นคน ย่ำเท้าอยู่นั่นแหละมันจะดีอย่างไร มันก็บ้า แต่ว่าเขาไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ ทำคนอย่างนี้เป็นคนอีกอย่างหนึ่งนะ ทำคนอย่างที่เกิดมาอย่างนี้ให้เป็นคนอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นมนุษย์นั่นแหละ ฉะนั้นต้องเป็นมนุษย์จึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์ เราอ่านพบเรื่องนักปราชญ์คริสต์ สมัย ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ในประเทศคริสต์ โสเครติสน่ะ ซึ่งเขาก็รู้จักกันทั้งโลก โสเครติสเขาจุดคบเพลิงเที่ยวส่องกลางถนนในกรุงเอเธน ประชาชนถามว่าอาจารย์ส่องไฟหาอะไร โสเครติสก็บอกว่าส่องไฟหาคนโว้ย ส่องไฟหาคน ทีนี้ประชาชนถามว่า แล้วฉันล่ะไม่ใช่คนเหรอ ไม่ ไม่ ท่านทั้งหลายยังไม่ใช่คนที่ฉันต้องการ นี่เขาจุดคบไฟส่องหาคน เมื่อไหร่โสเครติสมาส่องไฟที่เมืองตรัง แล้วจะพบกับคนสักกี่คนตามที่เขาต้องการ ต่อให้ไปส่องที่กรุงเทพฯ กลางเมืองหลวงเขาจะพบคนสักกี่คนชนิดที่เขาต้องการ แล้วเราก็เล่นกีฬากันมามากแล้ว เป็นคนกันกี่คนแล้ว ทดสอบดูบ้าง เราก็เล่นกีฬากันมานักหนาแล้ว เดี๋ยวนี้มันก็เป็นคนมาสักกี่คนแล้ว กีฬาแก้กิเลสทำคนให้เป็นคนน่ะ เราเป็นคนกันกี่คนแล้ว ถ้ายังเป็นนักกีฬาที่พร้อมที่จะคดโกง เอาชนะอย่างโกงๆ ดุร้ายในสนามกีฬาอย่างนี้ไม่เป็นคนได้ กีฬาไม่ได้ช่วยทำคนนี้ให้เป็นคน ก็ต้องเป็นคนมีธรรมะ ฉะนั้นธรรมะก็คือสิ่งที่จะทำคนให้เป็นคน คือเป็นมนุษย์ มนุษย์แปลว่าใจสูง คนแปลว่าเกิดมา เพราะฉะนั้นมันจึงง่ายนิดเดียว พอเกิดมามันก็เป็นคนแต่ใจยังไม่สูง เพราะฉะนั้นเด็กๆ ต้องได้รับการศึกษา อบรมเรื่อยๆ ที่เรียกว่าการศึกษาเพื่อให้ใจมันสูง แล้วมันก็จะได้เป็นคน มันเกิดใหม่เป็นคน คำว่าการศึกษานี่คือสิ่งที่ทำให้คนเกิดใหม่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายยึดถืออุดมคติอย่างไร คงจะไม่ใช่อย่างที่ว่า การศึกษาเพื่ออย่างนั้น เพื่ออย่างนี้ เพื่ออย่างโน้นมากมายหลายอย่างในปรัชญาของการศึกษา แต่เราเป็นพุทธบริษัท เราพูดว่าการศึกษาคือสิ่งที่ทำให้คนเกิดใหม่ทีหนึ่งเป็นมนุษย์ ทีแรกเกิดมาเป็นคน มีการศึกษาแล้วเกิดใหม่ทางจิตทางวิญญาณอีกทีหนึ่งแล้วก็เป็นมนุษย์ ไอ้คนที่ว่าธรรมดานั้นตายไปแล้ว แล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นคนที่สมบูรณ์ มันเกิดใหม่ได้ด้วยธรรมะที่สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป เกิดเป็นพระอริยเจ้า เกิดเป็นพระอรหันต์ เกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะธรรมะทั้งนั้นแหละ ขอให้ประพฤติธรรมะคือทำหน้าที่ให้สูงขึ้นไป เราก็จะเกิดใหม่ เลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อย ถ้าเราไม่เกิดใหม่เราก็เป็นคนเท่าเดิม มันก็มีแต่กิเลสที่เห็นแก่ตัว มันก็ชวนกันใช้กิเลสทำโลกนี้ให้เดือดร้อนเป็นไฟไม่มีทางสงบสุข ไม่มีสันติภาพ ช่วยกันดูตัวเองว่าเป็นมนุษย์แล้วหรือยัง ถ้าสมมติว่ามีโสเครติสเข้ามาส่องไฟหาคนตามอุดมคติของเขา เราก็จะได้อยู่ในจำพวกนั้น คือเป็นมนุษย์ มีความสมบูรณ์แห่งความเป็นคน นี่ข้อแรกนี่ขอให้เอาอย่างนี้ไว้ก่อนเถอะ นักเรียนนักศึกษาทั้งหลายนี่ขอให้ถือหลักอย่างนี้ไว้ก่อน ว่าไอ้ที่ศึกษานี่เพื่อที่จะเกิดใหม่กันเสียทีให้เป็นมนุษย์แล้วปัญหาจะหมด ถ้ายังเป็นคนอยู่ปัญหาไม่หมด เพราะมันเป็นที่ ที่ตั้งที่อาศัยของกิเลสจิตมันต่ำ ก็เป็นที่ตั้งของกิเลส มันก็มีกิเลสมันก็เป็นแต่คนที่ต่ำและที่มีความทุกข์ ทีนี้การศึกษาทำให้คนเกิดใหม่เป็นมนุษย์ จิตใจสูง กิเลสตั้งไม่ได้มันก็ไม่มีกิเลส มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องความทุกข์ มันไม่มีความทุกข์ ถ้าไม่สนใจเรื่องนี้มันก็ไม่มีอะไรที่จะดีขึ้นไม่มีอะไรที่จะพัฒนา แม้ทางกายก็ไม่พัฒนาอย่าว่าถึงทางจิตเลย มันต้องพัฒนาขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป มีจิตใจสูง คือไม่มีปัญหาอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง การศึกษาเพื่อทำให้คนเป็นมนุษย์ ชอบหรือไม่ชอบนี่สุดแท้ ที่เขาไปเรียนเมืองนอกเมืองนาเมื่อสมัยห้าสิบหกสิบปีมาแล้ว ไปเรียนเคมบริดจ์ ออกฟอร์ดมานี่ เขาไปพบว่าอุดมคติของมหาวิทยาลัยเหล่านั้นคือความเป็นสุภาพบุรุษ เรียนจบมหาวิทยาลัยแขนงไหนวิชาไหนก็ตาม ในที่สุดเพื่อไปเป็นสุภาพบุรุษ นี่เขาวางไว้ถูกแล้วเพราะว่าเป็นสุภาพบุรุษแล้วมันหมดปัญหา ตัวเองก็หมดปัญหาไม่ต้องเป็นทุกข์ สังคมก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ก็หมดปัญหา มันจึงถืออุดมคติว่า อุดมคติสูงสุดของการศึกษาคือความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนหมดแล้ว ที่นั่นก็เปลี่ยนหมดแล้ว มาอยู่เรื่องวิชาชีพ มีอำนาจ มีกำลังทางเศรษฐกิจ การเมืองเป็นเรื่องอย่างนั้นไป คำว่าสุภาพบุรุษก็หายไป ทีนี้พวกเราที่ตามหลังมานี่ยังไม่เคยมีหลักที่ว่าการศึกษาเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ แล้วก็ไม่เคยพบที่ไหนว่าในประเทศไทยนี่จัดการศึกษาเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ ทราบอยู่แห่งเดียวนะที่วชิราวุธวิทยาลัย ของรัชกาลที่ ๖ มหาวชิราวุธวิทยาลัยหรือที่อย่างนี้ที่กรุงเทพฯ ในตราสารบันทึกการก่อตั้งโรงเรียนนี้เพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ และจะเป็นได้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ โรงเรียนมหาวชิราวุธผลิตสุภาพบุรุษออกมากี่คนหรือไม่ก็ยังไม่รู้แต่ว่าวางหลักถูกต้องที่สุด ไม่ใช่ศึกษาเพื่อสวย เพื่อรวย เพื่อเงินมาก เพื่ออาชีพ เพื่อให้มันเกิดสุภาพบุรุษก็แล้วกัน แล้วมันก็หมดปัญหาของมนุษย์ ตัวผู้นั้นก็หมดปัญหา สังคมก็หมดปัญหา ถ้าเราเป็นสุภาพบุรุษ ทำชั่วไม่ได้ ทำเลวไม่ได้ เห็นแก่ตัวไม่ได้ ทีนี้เขาจะเอากันหรือไม่ก็ตามใจ อุดมคตินี้มันถูกต้อง อาตมาขอร้องว่าช่วยเอาไปคิดไปนึก ถ้าเป็นสุภาพบุรุษก็คือเป็นพุทธบริษัทที่ดีนั่นเอง ในวงศาสนาเราเรียกว่าเป็นสัปปุรุษบ้าง เป็นสัตบุรุษบ้าง เมื่อเขาเรียกว่าสุภาพบุรุษ เราเรียกสัตบุรุษหรือสัปปุรุษ ความหมายก็อันเดียวกันแหละ สุแปลว่าดี ว่างาม ว่าถูก เป็นสุภาพบุรุษ หรือเป็นสัตบุรุษหรือเป็นสัปปุรุษความหมายเดียวกัน มันดี ถูก และมันก็ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ เพราะฉะนั้นขอให้ได้จัดให้การศึกษาของเรานี่ทำให้เราเป็นมนุษย์ จิตใจสูงเป็นสัตบุรุษ เป็นสัปปุรุษในพระพุทธศาสนา แล้วก็เป็นสุภาพบุรุษในความหมายที่เขายกย่องพูดกันอยู่ทั่วโลกในสมัยหนึ่ง ซึ่งสมัยนี้ก็ยังใช้ได้ แต่ที่มันไม่มีก็เพราะว่าคนมันไม่ชอบ คนมันชอบตามใจกิเลสแทนที่จะเป็นสุภาพบุรุษ มันไปเป็นโรคบุรุษเสียมากกว่า มันก็ควรจะนึกกันเสียใหม่เรื่องนี้ ธรรมะจะช่วยได้ สำหรับให้มนุษย์สูงขึ้นมา สูงขึ้นมากระทั่งเป็นสัตบุรุษ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ คำคำนี้ในสมัยพุทธกาล ปลายๆ พุทธกาล คำนี้หมายถึงพระอรหันต์ แต่เดี๋ยวนี้ลดลงมามากเป็นเพียงคนดีๆ ธรรมดา ไอ้จารึกสองพันกว่าปีที่เขาขุดพบที่เขาเขียนว่าสัปปุริสะ สาริปุตัสสะน่ะ พระสารีบุตรผู้เป็นสัตบุรุษ นั่นคือเป็นพระอรหันต์ นี่คือธรรมะ หน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา โดยหัวข้อแล้วมันอยากจะพูดเพียง ๓ หัวข้อ ว่าเราไม่เห็นแก่ตัว รักผู้อื่น เพียงข้อเดียวนี่หมดปัญหาไปตั้งครึ่งโลก ถ้าเราเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวและรักผู้อื่น ในโลกนี้จะไม่มีการฆ่า ไม่มีการลักขโมย ไม่มีการประพฤติผิดในกาม ไม่มีโกหกหลอกลวง ไม่มีการเสพสิ่งของเมาให้เดือดร้อนรำคาญ เพียงแต่เรารักผู้อื่นคำเดียว ปัญหาหมดไปตั้งครึ่งโลก รักผู้อื่นคำเดียว ไอ้ศีล ๕ ศีล ๘ นี่มันมาเองครบหมด ไม่ต้องไปท่องศีล ๕ อยู่ ถือศีลตัวเดียวว่ารักผู้อื่นศีลทั้งหลายมาหมด รักผู้อื่นแล้วไม่ฆ่า ไม่ขโมย ไม่ล่วงละเมิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มนำเมา มันมาเอง ฉะนั้นถือศีลรักผู้อื่นเป็นข้อที่ ๑ แล้วถือศีลข้อที่ ๒ ว่าบังคับตัว บังคับความรู้สึก บังคับจิต บังคับกิเลส ขอใช้คำว่าบังคับตัว ซึ่งหมายถึงบังคับจิต บังคับกิเลส บังคับความรู้สึกเลวๆ ชั่วๆ ก็ทำผิดไม่ได้ ไม่มีอะไรจะทำผิดได้อีกต่อไป แล้วก็ไม่มีใครเดือดร้อนหรอก มันทุกคนบังคับตัวไม่กระทบกระทั่งกันไม่ละเมิดล่วงเกินกัน และข้อที่ ๓ นี่ว่าธรรมะคือหน้าที่ พูดมาตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่าธรรมะคือหน้าที่ ไม่ต้องมาวัดก็ได้ เวลาพูดอย่างนี้มีคนไม่ชอบหลายคน บอกไม่ต้องมาวัดก็ได้ แต่ธรรมะอยู่ที่การงาน เมื่อไถนา กุมหางไถอยู่นั่นก็คือปฏิบัติธรรมะ ถ้าชาวนาคนนั้นมันทำไปด้วยความสำนึกในหน้าที่ หรือบางทีถีบสามล้ออยู่ด้วยความสำนึกในหน้าที่ มันก็มีธรรมะอยู่ที่ถีบ ที่การถีบสามล้อ จะแจวเรือจ้าง มันจะล้างท่อถนน มันทำอะไรอยู่มันมีธรรมะอยู่ที่นั่น มันคือหน้าที่ ไม่ต้องมาวัดก็ได้ เพื่อปฏิบัติธรรมะเพื่อเอาบุญ ไม่ต้องมาวัดก็ได้ ขอให้ทำหน้าที่ที่กำลังมีอยู่ที่ตรงไหนก็ตามใจ ทำหน้าที่นั้นให้สุดความสามารถเท่านั้นแหละนั่นคือการปฏิบัติธรรม ธรรมะแปลว่าหน้าที่ แล้วมันจะไม่ยากจน เมื่อทำหน้าที่แล้วมันจะไม่ยากจน ปัญหาเรื่องเงินไม่พอใช้มันไม่มี มันจะมีเงินเหลือใช้เสียอีก เมื่อมันบูชาการงาน บูชาหน้าที่ สนุกในการทำหน้าที่ การหาเงินมันก็เหลือใช้ และจิตใจมันสูง คนอย่างนี้น่ะจิตใจมันสูง มันเห็นชีวิตจริง เห็นความจริงของชีวิตว่าชีวิตเป็นอย่างไร เห็นความจริงว่าเหงื่อนี่มันล้างกิเลส ถ้าใครไม่เคยออกเหงื่อก็ไปทำให้มันออกเหงื่อเสียบ้าง ทำงาน ทำหน้าที่ แล้วเหงื่อนั้นมันจะล้างกิเลส ล้างความเห็นแก่ตัว ล้างความชั่ว อย่ารังเกียจเหงื่อ อย่าหลบหลีกว่าเราไม่ต้องออกเหงื่อ เราไม่อยากออกเหงื่อ เราบูชาการทำหน้าที่ในฐานะเป็นธรรมะ เราก็ชอบเหงื่อที่มันจะช่วยล้างกิเลสหรือล้างความเห็นแก่ตัว ช่วยอบรมนักเรียนให้เป็นอย่างนี้ไปตั้งแต่แรก พูดกับครูบาอาจารย์มาช่วยอบรมนักเรียนให้เป็นแบบนี้ไปตั้งแต่แรก และนักเรียนก็เหมือนกัน ก็ช่วยมองเห็นว่าไอ้เหงื่อนี่มันจะล้างสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้หลุดออกไป เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย มีบุญอยู่ที่การทำหน้าที่ ที่จริงอาจจะพูดอย่างอื่นอีกเท่าไหร่ก็ได้เป็น ๑๐ ข้อ ๒๐ ข้อ ๑๐๐ ข้อ ๑๐๐๐ ข้อ ก็ได้ แต่เมื่อใคร่ครวญทบทวนดูแล้ว หลายปีมาแล้ว พบว่าไอ้ ๓ คำนี้ก็พอแล้ว ๓ ข้อนี้พอแล้ว คือรักผู้อื่นคำหนึ่ง บังคับตนคำหนึ่ง ธรรมะคือหน้าที่คำหนึ่ง ถือเพียง ๓ คำเท่านี้ หมดเลยทั้งพระพุทธศาสนา จะไปบรรลุนิพพานได้ด้วยการถือหลักเพียงเท่านี้ บังคับกิเลส บังคับตน ไปนิพพานได้ ฉะนั้นทำหน้าที่คือการงาน การงานคือหน้าที่ มันก็เลื่อนขึ้นไปจนบรรลุมรรคผลนิพพานได้เหมือนกัน แต่ว่าเบื้องต้นพื้นฐานขอให้รักผู้อื่น บรรดาที่มีอยู่รอบตัวเรานี่ มันไม่มีผู้อื่น ที่จริงมันเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา จะไปเรียกผู้อื่นได้อย่างไร ทุกคนในโลกนี้เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา อย่าไปเห็นเป็นผู้อื่น ทีนี้เราเห็นเป็นผู้อื่นเราก็ไม่รักผู้อื่นเราก็ทำเพื่อเห็นแก่ตัว ฉะนั้นขอให้ขยายออกไปไม่มีใครที่ไม่ใช่เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา โดยธรรมชาติมันสร้างมาอย่างนั้น ถ้าถือศาสนาอื่นแล้วยังเป็นอย่างนั้น เพราะเขาถือว่าทุกคนพระเจ้าสร้างขึ้นมา ทุกคนเลยเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่พุทธศาสนาไม่ได้พูดถึงอย่างนั้น แต่พูดว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ให้ลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน วัว ควาย ช้าง ม้า อะไรก็ตาม สุนัขและแมวอะไรก็ตาม ให้มันอยู่ในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เราประพฤติต่อมันด้วยความเมตตาปราณี รักผู้อื่นมันพออย่างนี้ ไม่มีศัตรูในโลกนี้ มีแต่มิตร ก็อยู่กันสบาย เดี๋ยวนี้เรารู้สึกว่าผู้ที่เป็นศัตรูเป็นอันธพาลเป็นอันตรายต่อเรามันมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เพราะว่าไม่มีใครรักใคร เพราะว่าเขาไม่บังคับความรู้สึกของเขา ไม่บังคับความรู้สึกฝ่ายต่ำ ปล่อยให้ความรู้สึกฝ่ายต่ำหรือกิเลสครอบงำแล้วก็ทำไปตามกิเลส ก็รักแต่ตัวกูเห็นแก่ประโยชน์ของตัวกู แย่งชิงประโยชน์ของผู้อื่น ร้ายกาจทุกทีจนถึงกับฆ่าคนได้ง่ายๆ สิ่งที่เลวร้ายตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่ว่าข่มขืนแล้วฆ่านี่ มันไม่เคยมีในสมัยที่ศีลธรรมยังดีอยู่ เดี๋ยวนี้มันเลวลงไปถึงขนาดนี้ ก็ลองคิดดูเถิด เพราะว่ามันไม่มีธรรมะ มันไม่มีรักผู้อื่น มันไม่บังคับความรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำไม่ได้ สิ่งนี้ไม่ควรทำ แล้วมันก็คอยแต่จะแสวงหากามารมณ์ มันไม่ทำงาน มันก็ยากจน มันก็เลี้ยงชีวิตทางลัด จี้ ปล้น ขโมย ไปตามเรื่อง มัน มัน มันเลี้ยงชีวิตทางลัด รวยทางลัด ไม่ยอมทำงาน ที่มาถือศีลข้อใหม่ว่า ไอ้งานที่คือการปฏิบัติธรรม ทำงานได้บุญ ทำงานสนุก ทำจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ปัญหามันก็หมดไป ไม่ต้องยากจน อยากได้ปัจจัยทางความสุข สนุกสนานบ้างก็ซื้อหาได้ด้วยเงินที่มีอยู่เหลือเฟือ ไม่ต้องไปข่มขืนแล้วฆ่า อย่างที่เป็นสิ่งเลวร้ายอยู่ในบ้านเมือง ก็เป็นอันว่าอาตมาได้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ กับท่านทั้งหลายมาเป็นเวลา ๑ ชั่วโมงพอดีไม่ขาดสักนาที เพราะธรรมะนี่คือเรื่องของธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดมาจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ทีนี้เมื่อท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กับธรรมชาติ แล้วยังไม่รู้ธรรมะอีกแล้วจะไปโทษใครเล่า มานั่งอยู่กับธรรมชาติแล้วยังไม่รู้จักธรรมะอีกจะไปโทษใคร โทษผีสางเทวดาที่ไหนไม่ยุติธรรม ขอให้สนใจเสพคบธรรมชาติให้มาก อย่าไปบูชาไอ้สวยเกิน งามเกิน อร่อยเกิน ดีเกิน เพราะเกิน ซึ่งมันผิดธรรมชาติไกลออกไปทุกที ขอให้มันอยู่เพียงแค่ระดับธรรมชาติพอดี พอดี ก็จะมีความรู้ธรรมะ มีธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งนั้น จะบอกให้ทราบในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นนักศึกษา ว่าคำว่าธรรมะนี่เป็นคำประหลาด เป็นคำ เป็นคำมัน คำนามคำหนึ่ง ประหลาดที่สุดในโลกคือแปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ มันมีความหมายกว้างจนแปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ เป็นภาษาอังกฤษ เป็นภาษาเยอรมัน เป็นภาษา มันแปลไม่ได้ มันไม่ครบตามความหมายของคำๆนี้ เขาพยายามแปลแล้วแปลไม่ได้ เขาก็เลยใช้คำคำนี้ในภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาอะไรก็ตาม ไปดูดิกชันนารีภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมันจะพบคำว่าธรรมะ ซึ่งไม่ได้แปล แปลไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่แปลล่ะ เราเอาตัวมันมาเลย คือหน้าที่ ขอให้ทำหน้าที่ของมนุษย์ นั่นคือธรรมะ ไปสนใจกันถือเป็นพิเศษว่าเรากำลังมีหน้าที่อย่างไร เราเป็นเด็ก เราเป็นผู้ใหญ่ เราเป็นพ่อบ้านแม่เรือน เราเป็นคนแก่คนเฒ่า เราเป็นบรรพชิต เราเป็นฆราวาส เป็นอะไรก็ต้องให้รู้ในหน้าที่ ก็ทำ มีธรรมะ หน้าที่ตามหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่าเพื่อปัจจัยแห่งกามารมณ์ มันจะไปเป็นทาสของกามารมณ์ ธรรมะเพื่อหน้าที่ เพื่อเลื่อนชั้นตัวตามธรรมชาติ ไปตามลำดับของธรรมชาติ แล้วมนุษย์ก็จะถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ ว่าเกิดมาทำไม ควรจะได้อะไร มันก็จะต้องได้สิ่งนั้น ฉะนั้นช่วยจำคำว่าธรรมชาติ เอาไปไว้เป็นเกลอ พยายามเป็นเกลอธรรมชาติเรื่อยๆไป อย่าไปทิ้ง ละทิ้งมันเสีย ไปอยู่ที่ไหน เมืองไหน ที่ไหน ก็ขอให้มันรู้ธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติ สัมผัสธรรมชาติ แล้วก็รู้ความที่มันมีอิทธิพลกับจิตใจของเรา จิตใจของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จะได้ความรู้เพิ่มขึ้น ในการที่จะให้มันเดินไปถูกทาง เดินไปถูกทาง เดินไปถูกทาง ตามกฎของธรรมชาติ ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้สิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นี่ขออภัยที่อาตมาพูดอะไรแปลกไปบ้าง ก็เพราะว่ามันพูดอย่างอื่นไม่เป็น ก็พูดอย่างนี้ แล้วก็เลือกพูดที่เห็นว่าท่านทั้งหลายจะยังไม่เคยฟัง ยังไม่เคยฟัง ฉะนั้นหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดสิ่งที่เชื่อว่าท่านทั้งหลายเคยฟังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ตรงกับในหนังสือหนังหา ตำรับตำราอะไรนัก ก็มันพูดออกมาจากความรู้สึกที่ได้สังเกตได้ผ่านมา และรู้ว่าที่ไม่ค่อยจะมีใครสนใจ ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็ยังไม่ค่อยมีใครสนใจว่าธรรมะคือธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติคือสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นจงไปจัดให้มันถูกต้อง ในการกินอาหาร ในการพักผ่อน ในการบริหารร่างกาย ชีวิต สิ่งของ วัตถุปัจจัยให้มันถูกต้อง แล้วก็รอดชีวิตอยู่ได้ แล้วก็ให้ชีวิตนี่สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป โดยทางจิต ทางใจ เรื่องก็จบเท่านั้นแหละ ต่อไปนี้ก็ไม่มีความทุกข์ จบที่ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เมื่อไม่มีความทุกข์เลยก็เรียกว่านิพพานมันถาวร ถ้าว่างจากความทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราวก็เรียกว่านิพพานชั่วคราว สามายิกนิพพาน (นาทีที่: 1:06:18) แปลว่า นิพพานอันเป็นไปในสมัยหรือนิพพานชั่วคราว ถ้านิพพานโดยสมบูรณ์ เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน (นาทีที่: 1:06:30) สมบูรณ์ เพราะว่าทำจิตจนกิเลสเกิดไม่ได้ในจิตนั้นอีกต่อไป จิตนั้นก็มีการถึงนิพพานโดยสมบูรณ์ ไม่รู้จักกันกับความทุกข์อีกต่อไป เรื่องนี้ยืดยาวพูดไม่ไหวแล้วเวลามันสั้น แล้วก็บางคนก็กำลังร้อนเพราะแดดเผา เกิดโมโหแล้วก็ได้ อาตมาก็ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ว่า จงศึกษาธรรมะจากธรรมชาติและเป็นภายในอยู่ ก้าวหน้าในความรู้ การศึกษานี้อยู่ทุกวันทุกคืน ขอให้เป็นผู้มีความสุขเพิ่มขึ้น เจริญงอกงามตามทางของพระธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ