แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นสุภาพบุรุษอย่างไร เป็นสุภาพสตรีอย่างไร อย่างสมัยนี้ เมื่อ ๖๐ ปีราวๆ ๖๐ ปีมาแล้วที่เขาไปเรียนกันที่ประเทศอังกฤษ อ๊อกซฟอร์ดก็ดี เคมบริดจ์ก็ดี เขากลับมาบอกว่า ที่นั่นน่ะเขาเรียนจบแล้วเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ เขาต้องการความเป็นสุภาพบุรุษน่ะเป็นจุดจบของการศึกษาในมหาวิทยาลัย เคมบริดจ์หรืออ๊อกซฟอร์ดก็ตาม เป็นสุภาพบุรุษแล้วหมดปัญหา คือเป็นคนดีคนจริงคนไว้ใจได้คนมีประโยชน์ นี่เขาเรียกว่าสุภาพบุรุษ ต้องอาศัยธรรมะในศาสนาเป็นอันมากโดยเฉพาะศาสนาคริสเตียนนั่นแหละ ช่วยในความเป็นสุภาพบุรุษ ตรงกับคำว่าสัตตบุรุษ ใน ในภาษาธรรมะของเราเรียกว่าเป็นสัตตบุรุษ นั่นน่ะคือตรงกับคำว่าสุภาพบุรุษน่ะ สัตตบุรุษแปลว่าผู้สงบก็ไม่มีกิเลสไม่มีฤทธิ์เดชไม่มีอะไรที่เป็นของร้าย เป็นสัตตบุรุษอ่านด้วยหนังสือหนังหาอะไรที่เป็นทางไอ้ภาษาธรรมะแล้วก็จะมีคำว่าสัตตบุรุษ เป็นสัตตบุรุษแล้วก็หมดปัญหา สัปปุริสะสูงสุดขึ้นไปถึงเป็นพระอรหันต์ ไอ้คำว่าสัปปุริสะนี่ใช้สูงสุดขึ้นไปถึงกับเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่สัปบุรุษนี่เป็นอุบาสกอุบาสิกาตามบ้านเรือนอย่างเดียว มันมีหลักฐานพยานปรากฏชัดในพระคัมภีร์เองก็มีในหลักฐานทางโบราณคดี เช่นไอ้จารึกหิน จารึกผอบก็มี เรียกพระอรหันต์ว่าสัตตบุรุษ สัปปุริสัสสะ สาริปุตตัสสะ อย่างนี้เป็นต้น แก่พระสารีบุตรผู้เป็นสัตตบุรุษ สัปบุรุษ ที่นี้เราเอาสัตตบุรุษนี่เป็นหลัก แล้วมาเอาสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี เป็นหลัก ในยุคที่มีการศึกษาสมบูรณ์ ถ้าเราให้เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ จะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะว่ายิ่งเรียนหนังสือเก่งมันก็ฉลาดแล้วไม่มีอะไรมาควบคุมความฉลาด มันก็ใช้ความฉลาดในทางที่เป็นอันตราย เมื่อในหลวงรัชการที่ ๕ ท่านจัดการศึกษาแผนใหม่ เปลี่ยนระบบการศึกษาของเด็กๆนี้อย่างหน้ามือ อย่างหน้ามือเป็น หลังมือเป็นหน้ามืออย่างนั้นแหละ ตัวเลือกการศึกษาระบบเก่า มูลบทบรรพกิจก็มาเรียนอย่างธรรมดา หลักสูตรใหม่นี่จัดกันใหม่ทั่วประเทศ ในสมัยรัชการที่ ๕ กรมพระยาดำรงเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการอย่างนี้ แล้วท่านขอร้องให้สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณเจ้าซึ่งเป็นน้องของท่านน่ะ ให้ช่วยจัดการศึกษาแบบใหม่นี้ทั่วประเทศ มันจึงทำได้เร็ว ด้วยอำนาจบารมีของสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส แม้แต่อยู่พุมเรียงนี้ก็มีร่วมกับเขาด้วยเหมือนกัน ทีนี้ในหนังสือที่ท่านมีถึงกัน มีอยู่ตอนหนึ่งที่ขอร้องอย่างยิ่งแล้ว ท่านแถมท้ายว่าต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร ที่จะเปลี่ยนมาเป็นเรียนหนังสือระบบใหม่ได้ ท่านกลับแสดงคาดผลล่วงหน้าว่าต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร เพราะมันเรียนหนังสือดี หนังสือเลว หนังสือฉลาดมากแล้วมันควบคุมไม่ได้ ต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร เมื่อเราเปลี่ยนจากระบบหนังสือเก่ามาเป็นระบบใหม่ นี่คิดดูสิ นี่มันแสดงแล้วว่าไอ้ความรู้หนังสือที่ควบคุมไม่ได้มันจะให้ฉลาดในการโกง แล้วก็โกงกันอย่างวิตถาร หมายความว่าก่อนนี้รู้หนังสือน้อยโกงไม่วิตถารไม่พิสดาร พอมารู้หนังสือแบบใหม่รู้มากฉลาดมาก ต่อไปนี้มันจะโกงกันอย่างวิตถาร นี่แสดงว่ารู้หนังสืออย่างเดียวมันไม่รับประกันอะไรได้ แล้วมันจะโกงกันอย่างวิตถารยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก เอ้า,ทีนี้มาเรียนแต่อาชีพก็เพื่อประโยชน์เป็นเงินเป็นทอง และไอ้เงินทองนี่ยิ่งทำให้คนหลง ทำให้คนเห็นแก่ตัว ฉะนั้นจะมีอาชีพมากมาก อาชีพดีมันไม่รับประกันได้ว่าคนนี้จะมีศีลธรรม แล้วผลของอาชีพเงินทองนี่มันจะยิ่งยั่วให้คนไม่มีศีลธรรม อยากจะกอบโกยมากขึ้นเพราะสามารถล่ะ เพราะฉะนั้นไอ้การมีอาชีพดีนั้นไม่เป็นเครื่องรับประกันว่าคนจะเป็นสุภาพบุรุษ มันก็ยังไม่ ไม่ ไม่ปลอดภัย มันต้องมีส่วนที่สามที่เรียนเพื่อเป็นสุภาพบุรุษ ก็คือเรียนธรรมะธรรมโมนั่นเอง ไอ้ก่อนนี้เด็กๆเรียนหนังสือแบบโบราณอยู่กับวัด เรียนกับกระดานกับดินสอดินนี้มันเรียนอย่างเด็กวัด นี่มันเรียนหนังสือไม่เท่าไรหรอก แต่มันถูกอบรมให้มีลักษณะนักกีฬา สุภาพบุรุษ เสียสละ เหน็ดเหนื่อย รับใช้ผู้อื่น รับใช้ศาสนาปฏิบัติพระแต่มันมาก ฉะนั้นเด็กวัดเหล่านี้ไม่เคยรู้หนังสือสักเท่าไหร่ แต่ได้รับเอาไอ้พื้นฐานทางศีลธรรมไปมาก ไอ้เด็กวัดรุ่นนั้นมันจึงไม่ ไม่โกงกันอย่างวิตถารน่ะ ถ้ามันรับเอาไอ้พื้นฐานทางศีลธรรมตลอดเวลาที่อยู่วัด อาตมายังจำได้ดีเมื่อเด็กๆ อยู่วัดต้องทำอะไรบ้างนี่ ทำทุกอย่างเลย รับใช้พระ รับใช้ เรียกว่ารับใช้ศาสนานั่นแหละ แล้วก็หัดให้อ่อนโยน หัดให้กลัวบาป ถ่ายทอดนิสัยกลัวบาป เพื่อนร้องว่าบาปแล้วก็สะดุ้งแล้วก็หยุดทันที ไม่เหมือนเด็กสมัยนี้เพื่อนทักว่าบาปมันก็แลบลิ้นหลอก เด็กสมัยโน้นพอบอกว่าบาปมันก็หยุดทันที มันสะดุ้ง มีคนสูบกัญชามาซุ่มอยู่ใต้ถุนกุฏิ ไอ้เด็กๆมันก็วิ่งมาดูทีหนึ่ง ถ่มน้ำลายแล้ววิ่งหนีมาดูถ่มน้ำลายแล้ววิ่งหนี ไม่มีเด็กคนไหนกล้าเข้าไปขอลองสูบกัญชา เพราะการศึกษามันยังไม่วิตถาร เดี๋ยวนี้การศึกษามันวิตถารแล้ว มันอยากจะลองสูบกัญชา ลองสูบเฮโรอีน ไอ้นักศึกษานักเรียนนี่ยังติดกัญชาติดเฮโรอีนกันเพราะการศึกษาที่มันสอนให้อยากลอง นี่โบราณมันมีสอนเรื่องกลัวบาป ยิ่งกว่ากลัวผี แล้วก็ไม่กล้าลองไม่อยากลอง แล้วก็สอนให้หัวอ่อน เชื่อฟัง ไม่ดื้อดึง เพราะเขากดเด็กๆไว้ด้วยการให้เคารพพระ เคารพเณร แล้วที่มันร้ายกาจมากก็คือให้เคารพคนเฒ่าคนแก่ โดยไม่มีข้อแม้ไม่มีข้อยกเว้น นี่มาเล่าเรื่องจริงของตัวเอง เราทำงานอยู่กลางวัด ขุดร่องจะปลูกมันหรืออะไรก็ตาม แล้วมีตาบ้าคนแก่เดินผ่านวัดเพื่อออกไปทางทุ่งนา เด็กๆทุกคนก็รู้ว่าไอ้คนนี้มันคนบ้านี่ คนแก่คนนี้คนบ้า ก็ต้องทิ้งจอบ วิ่งมา นั่งลง ยกมือไหว้ตาบ้านี้ทุกคนเลย เพราะว่าเค้าเป็นคนแก่ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นอาจารย์ก็เฆี่ยนน่ะ ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามไม่ต้องซักมีข้อคดีอะไร เพราะว่ามันไม่ไหว้คนแก่แล้วมันก็ต้องถูกเฆี่ยน เมื่อคนแก่แม้แต่คนบ้ามันก็ต้องไหว้ แล้วไอ้คนดีๆก็ไม่มีปัญหา ฉะนั้นเด็กจึงหัวอ่อน เคารพนบนอบ คนเฒ่า คนแก่ พระเจ้า พระสงฆ์ นี่มันมีการอบรมอย่างนี้โดยไม่รู้สึกตัวเป็นรากฐานของศีลธรรม เดี๋ยวนี้มันไม่มีที่จะเป็นอย่างนี้ เรียนแต่หนังสือ เรียนแต่อาชีพแล้วก็เผยอ หยิ่งที่สุดในวิชาความรู้ของตน มันก็ยิ่งขาดพื้นฐานทางศีลธรรม ไม่มีความเคารพผู้อื่น ไม่ให้อภัย ไม่เห็นแก่บาป คำว่าบาปไม่มีความหมายเดี๋ยวนี้ สมัยโน้นคำว่าบาปมีความหมาย เขาเรียกว่าเท่าหัวช้างหัวม้า ถ้าบาปนิดๆหน่อยๆ เขาเรียกบาปนี้เล็กนักไม่เท่าหัวช้างหัวม้า ไอ้บาปเต็มบริบูรณ์แล้วมันก็โตมากเท่าหัวช้างหัวม้าไม่มีใครกล้าที่จะทำบาป ความกลัวบาปมันจึงเป็นพื้นฐาน เมื่อถือกันว่าบาปแล้วก็ทำไม่ได้ ถือว่าบาปแล้วก็ทำกันไม่ได้ มากมายรายละเอียดมีมากมาย ที่เด็กๆนั้นจะมีนิสัยอ่อนโยน มีนิสัยกลัวบาป ทำของรกกลางทางเดินก็เรียกว่าบาปนะ เด็กทำอะไรรกตกอยู่เป็นอันตรายกลางถนนหนทางนี้ก็เรียกว่าบาป จะทิ้งเศษกระเบื้องเศษแก้วกลางถนนนี้เรียกว่าบาป มันไม่กล้าทิ้ง มันต้องเอาไปทำจนปลอดภัย นี่ความเห็นแก่ผู้อื่นมันก็มีมาก จึงเป็นอันว่ามันมีไอ้ความรู้ที่๓ ว่าคือศีลธรรม แน่นแฟ้นอยู่ในการศึกษาระบบนั้น เราถือว่าสมบูรณ์หางไม่ด้วน มาถึงสมัยนี้เรียนกันแต่หนังสือเรียนกันแต่อาชีพ ไม่เน้นเรื่องศีลธรรม มันก็เป็นการศึกษาหมาหางด้วน ก็เป็นอันว่าอุตส่าห์เรียนเพิ่มเติม จะอยู่โรงเรียนไหนก็ตาม ก็มาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เพิ่มเติม ชดเชยไอ้ส่วนที่มันยังขาดอยู่ ถ้าว่าจะเปรียบพระเจดีย์ ก็พระเจดีย์ยอดด้วนมันไม่งาม เราก็มาเรียน เรียน เรียนเสริมให้มันยอดมีเต็มบริบูรณ์ ที่พูดอย่างหยาบคายว่าหมาหางด้วนนั่นก็เพราะว่ามันอยากจะพูดให้มันแรง ให้มันลืมยากหรือให้มันเข้าใจง่าย นี่ก็ต้องมีต่อหางพอกหางต่อหางให้สมบูรณ์ เราจะมีการศึกษาครบทั้ง ๓ อย่าง คือหนังสือก็รู้ อาชีพก็รู้ ธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์กันอย่างไรเราก็รู้ เราก็เป็นคนที่ไม่มีปัญหา ส่วนตัวเราก็ไม่มีปัญหาที่จะไม่เป็นทุกข์ ส่วนสังคมก็จะไม่มีปัญหาไม่มีใครทำให้สังคมเป็นทุกข์ แต่เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกมันตัดศาสนาทิ้งไปเสีย เพราะว่ามาทำให้รุ่มร่าม ถ่วงความก้าวหน้าของการศึกษาที่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจ ที่เป็นประโยชน์แก่การเมืองการปกครองการทหารการผลิตการประดิษฐ์อะไรต่างๆ ตัดออกไป ไอ้การศึกษาธรรมะศาสนาตัดออกไป เอาเนื้อที่เอาเวลามาชดเชยให้การศึกษาที่ส่งเสริมเศรษฐกิจหรือการเมือง มันทำกันที่เมืองนอกเมืองฝรั่งมาก่อน แล้วเมืองไทยนี้เอาอย่าง เป็นหมาที่เอาอย่าง ไอ้หมาหางขาดตัวแรกนั้นคือพวกฝรั่ง แล้วมันก็หลอกชักชวนหมาทั้งหลายว่าหางด้วนดีกว่าที่จะเอา เอาศาสนามาใส่ในการศึกษามากีดขวางการศึกษาเพื่อการเมืองเพื่อเศรษฐกิจ นี่ก็ไปตามอย่างไปตัดหางตามอย่าง น่าสงสารประเทศเล็กๆอย่างประเทศไทยเราไปตามอย่าง กันการเรียนธรรมะเรียนศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา จนกระทั่งเปลี่ยนชื่อกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ เด็กบางคนยังไม่ทราบก็ได้ว่ากระทรวงศึกษาธิการของเรานี้ ก่อนนี้เขาเรียกว่ากระทรวงธรรมการ เอาเรื่องของธรรมะเป็นใหญ่เอาเรื่องเรียนหนังสือนี่เป็นรอง เดี๋ยวนี้เราเอาหนังสือมาเป็นใหญ่ เอาเรียนธรรมะเป็นรอง รองจนหมดหายเป็นหางด้วนไปเลยมันหายไปหมดนี่ ทำอย่างไรจะกลับมา ให้มนุษย์รู้จักรักใคร่กันไม่เห็นแก่ตัว เท่านี้เองยังทำไม่ได้ อย่างแม่ค้าวางหาบเกะกะฟุตปาธนั่นน่ะ ถ้าตามหลักเก่าสมัยโน้นน่ะ โอ้, บาปนะ แม่ค้านี้จะวางหาบเกะกะทางฟุตปาธให้กีดคนนี้ไม่ได้เป็นบาปนะ แม่ค้าสมัยนี้เค้าว่าไม่เป็นบาปนี่ ไปว่าเค้าเป็นบาปเขาก็ด่าให้ ทีนี้รัฐบาลก็ ก็เหลือดี ถือว่ามันเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาเศรษฐกิจบีบคั้นให้แม่ค้าวางหาบเกะกะฟุตปาธ ที่จริงมันเป็นปัญหาไร้ศีลธรรม ปัญหาศีลธรรมคือความไร้ศีลธรรม แต่รัฐบาลมองเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ก็เลยไม่ต้องแก้ไขไม่ต้องปรับปรุง ไอ้เรื่องศีลธรรมอย่างนี้ก็มีอีกมาก อีกมากทีเดียวที่ว่ามันเป็นปัญหาทางศีลธรรม ที่ไปฉุดฆ่าอนาจาร ข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่า นี่มันไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจมันเป็นเรื่องศีลธรรม แต่เขาไปมองมันเป็นปัญหาเศรษฐกิจไปเสียหมด ว่าไอ้อาชญากรรมทั้งหลายมีมูลมาจากเศรษฐกิจมันบีบคั้น เขาว่าอย่างนั้น อาตมาไม่เห็นด้วยแม้แต่ ๑ เปอร์เซ็นต์นะ ที่ว่าอย่างนั้นเป็นปัญหาเศรษฐกิจ อันนั้นเป็นปัญหาศีลธรรม มันขาดศีลธรรม มันไม่มีศีลธรรม ถ้ามันมีศีลธรรมมันก็ไม่ทำอย่างนั้นน่ะ มันไม่ต้องถึงกับฆ่าใคร ไม่ต้องถึงกับอาละวาดฆ่าตัวเองด้วยความบ้าบิ่นไม่มีศีลธรรม วันอาทิตย์พรุ่งนี้ปาฐกถาธรรมทางวิทยุของอาตมา ถ้าเขาส่ง ตามที่ส่งไปให้ตามเคยจะมีคำว่า พวกเราไม่มีธรรมะกันเสียเลย ถ้าพวกเรามีธรรมะกันบ้าง เราก็ไม่ต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ ถ้าเรามีธรรมะกันเสียบ้างคือว่าไม่ถือตัวตนมาก ไม่มีทิฏฐิมานะมาก มีขันติบ้าง มีสันโดษบ้าง มีธรรมะอย่างนี้แล้วเราก็ไม่ต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ ไอ้สั่งน้ำตาลสีแป้งมากินน่ะต้องใช้เงินชดเชยตั้ง ๑๐๐ ล้านโน่นมันจึงจะได้มา เอามาก็ยุ่งยากควบคุมกันอย่า อย่าให้มันมีรั่วไหล ควบคุมกันยากลำบากเหมือนกับจับปูใส่กระด้งคอยดู แล้วมันยังมีโทษร้ายที่ว่าจะต้องบีบราคาอ้อยในฤดูข้างหน้าให้ตกต่ำลงไปเพื่อชดเชยน้ำตาลสีรำ มันเดือดร้อนแสนสาหัสเพราะมันไม่มีธรรมะข้อเดียวเท่านั้นแหละ ถ้ามันมีธรรมะกันเสียบ้างในผู้กินก็ดี ผู้สั่งมาให้กินก็ดี มีธรรมะกันเสียบ้างแล้วก็ไม่ต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมาให้กินแทนน้ำตาลสีรำ ไม่รู้มันหลับหูหลับตากันอย่างไรที่มันต้องทำอย่างนี้ เห็นเป็นปัญหาเศรษฐกิจอะไรกันก็ไม่รู้ เมื่อสงครามอินโดจีนหรือนี่ไม่ไม่นานนักนี่ เขาร้านกาแฟทุกร้านแถวนี้มันต้องชงกาแฟด้วยน้ำตาลหม้อ ที่นี่มีแขกชาวต่างประเทศมาพัก ก็ต้องชงกาแฟด้วยน้ำตาลหม้อให้เขากินเหมือนกัน มันยังกินกันได้ อยู่กันได้จนรอดมา จนปัญหาหมดไป ไม่มีอะไรเอะอะโวยวาย ชงกาแฟด้วยน้ำตาลหม้อ เดี๋ยวนี้น้ำตาลสีรำก็กินไม่ได้ ต้องกินน้ำตาลสีแป้งเรื่อยไป นี่มันไม่มีธรรมะนี่ ถ้ามีธรรมะก็ไม่มีปัญหาเหล่านี้ ไม่ต้องเสียเงินมากไม่ต้องลำบากมาก ไม่ต้องบีบคั้นให้เดือดร้อนกันไปอีกมาก นี่คุณช่วยดูให้เห็นว่าธรรมะนี่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมามีในหมู่มนุษย์ ถ้าธรรมะไม่กลับมาโลกนี้จะวินาศ ถ้าธรรมะกลับมาโลกนี้ก็จะอยู่ได้เป็นสุขสบายต่อไป จะมีเหตุการณ์อื่นหรือไม่มีก็ตามแต่ว่า มนุษย์โดยธรรมชาตินี้ต้องมีธรรมะแหละ คุณอุตส่าห์สนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะธรรมะไว้เถิด มันเป็นกฎของธรรมชาติที่เฉียบขาดที่สุด ที่บังคับมนุษย์ต้องทำหน้าที่อันนี้ให้ถูกต้องไม่เช่นนั้นจะวินาศ นับตั้งแต่ว่าจะต้องตายหรือไม่เช่นนั้นจะทนทุกข์ทรมานทั้งตัวเองและสังคม สนใจธรรมะกันไว้ให้มากมาก ไม่มีธรรมะแล้วจะต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉานแหละ ได้ฟังกันสักหน่อยช่วยจำไว้ด้วย ถ้าไม่มีธรรมะแล้วจะมีอาการที่ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานไม่มีปัญหายุ่งยากลำบากเหมือนคนนะเดี๋ยวนี้ คนมีปัญหายุ่งยากลำบากเหลือเกิน นิดหนึ่งก็ฆ่ากันตาย ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันไม่ทำหรอก สัตว์เดรัจฉานไม่เนรคุณคนหรือว่าไม่ดุร้ายทารุณ มันก็เหมือนกับมนุษย์น่ะ เดี๋ยวนี้มันก็ยิงกันตายฆ่ากันตายด้วยเหตุผลที่ไม่มี ไม่มีความหมายไม่มีน้ำหนัก ซึ่งเป็นสมัยก่อนแล้วเขาหัวเราะเยาะ แล้วเลิกกันได้ให้อภัยกันได้ ผัวมีชู้เมียมีชู้นี่ไม่ต้องมีฆ่าใครตายหรอก ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ มันจะฆ่ากันล้างครอบครัวไปเลย ถึงว่าอย่าต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉานเลยมนุษย์นี้ ขอให้มีธรรมะเถิด ที่มันเล็กน้อยที่สุดแต่ก็น่าละอายที่สุด คือมนุษย์นี้ปวดหัวต้องกินยาแก้ปวดหัว แมวไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว มนุษย์นี้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายต้องไปซื้อยาให้นอนหลับมากิน ไอ้แมวนี่ไม่ต้องกิน ไม่ต้องกินยาแก้นอนไม่หลับ มนุษย์เป็นโรคประสาท ไม่มีแมวตัวไหนเป็นโรคประสาท เที่ยวไปค้นดูเถอะ มนุษย์ก็เป็นโรคจิต ก็ไม่มีแมวตัวไหนที่เป็นโรคจิต นี่เพราะมนุษย์ไม่มีธรรมะจึงต้องละอายแมว ฉะนั้นเรียนธรรมะนั้นอย่างน้อยที่สุดก็ขอให้มันป้องกันโรคปวดหัว ให้มันป้องกันโรคนอนไม่หลับ ป้องกันโรคประสาท ป้องกันโรคจิต นี่อย่างน้อยขอให้เป็นได้อย่างนี้ให้ได้รับอานิสงส์อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องละอายแมวหรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ซึ่งมันไม่ต้องกินยาปวดหัว ไม่ต้องกินยานอนให้หลับ ไม่ต้องกินยาโรคประสาท ไม่ต้องกินยาโรคจิต ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องเป็นโรคจิต ขอให้ถือเป็นบุญกุศลแล้วที่พวกเราได้เรียนธรรมะ แม้ขนาดโรงเรียนวันอาทิตย์เจ็ดวันเรียนครั้งหนึ่งก็เถอะ ถ้าเรียน เรียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ เรียนจริง สำเร็จประโยชน์จริงจะป้องกันปัญหานี้ได้แล้วเราก็ไม่ต้องละอายแมวอีกต่อไป หรือจะเปรียบเทียบกับคนป่า สมัยคนป่า สมัยดึกดำบรรพ์ แม้สมัยอายุหิน เขาก็มีความทุกข์น้อยกว่าคนสมัยนี้ นี่สมัยนี้มันยิ่ง ยิ่งเรียน ยิ่งมีความยุ่งยากลำบาก ยิ่งเจริญก้าวหน้ายิ่งเป็นทุกข์ยากลำบาก เพราะว่ามันเรียนผิด มันเรียนแบบสุนัขหางด้วน เอาธรรมะมาเสริมให้มาต่อให้ก็ไม่เป็นอย่างนั้น มนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ที่ไม่ต้องเป็นโรคที่ละอายแก่สัตว์ แล้วมนุษย์ก็ทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นได้มากมายมหาศาล มนุษย์ก็ประเสริฐกว่าสัตว์นั่น ถ้าเรายังยึดถือคำว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐที่สุดกว่าสัตว์ทั้งหลายก็ต้องหมายความว่ามันเป็นมนุษย์ คือมีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะก็เป็นแต่คนเล่นๆ ไปเท่านั้นเอง ก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานนัก ฉะนั้นคนนี่จะเป็นผู้ปวดหัว เป็นโรคประสาท เป็นอะไรกันตามแบบที่ว่าไม่มีธรรมะ ขอให้สนใจเรียนธรรมะเพิ่มเติมจากการศึกษาซึ่งมีอยู่เพียงสองชนิดคือ หนังสือกับอาชีพ แล้วก็เรียนเพิ่มเติมเรื่อยไปเรื่อยไปเรื่อยไปจนตลอดชีวิต ไม่ใช่จะเรียนเฉพาะเป็นเวลานี้ หรือประกอบการศึกษาที่โรงเรียน ถ้าคุณจะคิดว่ามาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เพื่อประกอบคะแนนในโรงเรียนสามัญนี้ผิดมาก ไปตีราคาธรรมะผิดมาก ต้องเรียนเพื่อว่าเราจะเป็นมนุษย์แท้จริงไม่ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน กระทั่งเราแก่เฒ่าชราไปในอายุ โดยอายุข้างหน้าเราก็จะมีความสุขอย่างมนุษย์ ถ้าไม่มีธรรมะไอ้ปัญหามันจะเพิ่มมากขึ้นเพราะว่ามีกิเลส ลึกลับ ซ่อนเร้นอะไรมากขึ้น มีความทุกข์มากขึ้น จนกระทั่งตายเข้าโลงไปด้วยความทุกข์ ถ้ามีธรรมะพอจะดับทุกข์ได้ก่อนตาย เรียกว่านิพพานนี่ต้องมีกันก่อนตาย ดับทุกข์หมดเรียกว่านิพพาน ไม่ต้องตาย ต้องทำให้ได้ก่อนตาย อย่าไปบอกกันว่านิพพานแปลว่าตายไม่มีในพระบาลี นิพพานแปลว่าดับเย็น อะไรเป็นของร้อน ดับสิ่งนั้นเสียแล้วก็เรียกว่านิพพาน อะไรที่ทำให้เราต้องนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าบ้าง โกรธคนนั้น โกรธคนนี้ ด่าคนโน้น ฆ่าคนนั้น ฆ่าใครนั้นน่ะมันร้อน คือ โลภะ โทสะ โมหะเป็นของร้อน ดับเสียให้มันเย็นนั่นเป็นนิพพาน กระทั่งว่าเมื่อใดจิตใจมันว่างจากไอ้ของร้อนเหล่านี้ เมื่อนั้นก็เป็นนิพพานธรรมชาติ นิพพานอัตโนมัติโดยธรรมชาติที่ทำให้เราสบายใจอยู่ว่างไม่เป็นบ้า ถ้ามันมีกิเลสรบกวนตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นบ้าตายหมดแล้วไม่เหลือสักคนเดียว ทีนี้เวลาที่มันเย็นหรือว่างกิเลส มันมีชดเชยพอสมควร ฉะนั้นเด็กๆจึงไม่เป็นบ้าและไม่ตายแล้วก็โตขึ้นมาโตขึ้นมา มีเวลาที่ว่างจากกิเลสหล่อเลี้ยงเอาไว้จนตลอดชีวิตไป แต่ว่าเย็นเท่านั้นมันเย็นระยะสั้น เย็นขนาดเล็ก เป็นนิพพานเล็กๆ เป็นนิพพพานสั้นๆ ไม่ยังไม่สำเร็จประโยชน์ เรามาศึกษาธรรมะขยายให้มันมากออกไปให้เป็นนิพพานสมบูรณ์ ความจริงถ้าโดยธรรมชาติตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ธรรมชาติแท้ๆมันเป็นนิพพานคือเย็น เรียกว่าจิตประภัสสรทุกคนมีจิตประภัสสรไม่มีกิเลส กิเลสมาเป็นคราวๆเหมือนแขกมาแล้วก็หายไป แขกมาแล้วก็หายไป นี่ตอนนี้ตอนที่เป็นกิเลสและเป็นทุกข์ พื้นฐานคือจิตประภัสสรนั้นว่างกิเลสแล้วก็เย็น นั่นน่ะมันรอดตัวอยู่ได้เพราะอันนั้น กิเลสมาเป็นคราวๆเดี๋ยวก็หายไปไม่อยู่ตลอด ไม่ใช่เจ้าของบ้าน ฉะนั้นเราจึงรอดชีวิตอยู่ได้ แล้วก็มามีมาใช้วิธีใหม่อย่าให้ไอ้อาคันตุกะกิเลสนั้นมันมาบ่อยนัก ให้มันมานานๆครั้งจนกระทั่งไม่มาเลย อบรมจิตเสียใหม่ไม่ยอมรับให้กิเลสเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นจิตที่ฝึกฝนดี ปฏิบัติดีตามหลักพุทธศาสนาแล้วมันเปลี่ยน คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอีกต่อไป เป็นพระอรหันต์กันอย่างนี้ จิตถูกอบรมจนว่าไม่อาจจะเกิดกิเลสได้อีกต่อไป เป็นประภัสสรถาวรตลอดกาลนั่นน่ะความหวังอยู่ที่นั่น ทำได้อย่างนั้นก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ โดยไม่ต้องตาย ไม่ทันตาย มันเป็นเรื่องของในชาตินี้ ที่นี่หรือเดี๋ยวนี้ นี่เรียนธรรมะให้มีพระนิพพาน ให้หล่อเลี้ยงจิตมากขึ้น มากขึ้น ยาวขึ้น ยาวขึ้น จนติดต่อกันไปไม่มีระยะให้เกิดไฟ คือ กิเลส จิตที่เย็นที่ว่างอย่างนี้ แม้ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังเป็นนักเรียนเป็นนักอะไรอยู่ก็ตาม มีประโยชน์มาก คือทำให้เรียนดี เรียนเก่ง จำเก่ง ด้วยความสุข เป็นสุขแม้ในการเรียนไปตั้งแต่เด็กๆ เด็กที่อยากจะให้การเรียนสำเร็จการเรียนดี อุตส่าห์อบรมจิตให้เป็นอย่างนี้ คือเป็นจิตที่เยือกเย็น เป็นสมาธิแล้วก็เข้มแข็ง แล้วก็ไว ไวต่อการคิด การนึก การตัดสิน การวินิจฉัย เขาเรียกว่าไวต่อการงานทางจิต ก็เรียนดี ก็เรียนดี จนได้คะแนนนำเพราะมันมันเป็นคนที่เรียนดี เพราะจิตใจเป็นอย่างนี้ นี่ธรรมะยังช่วยให้เรียนดี ครั้นถึงคราวประกอบอาชีพ ธรรมะก็ช่วยให้ประกอบอาชีพอย่างดี อย่างถูกต้อง อย่างสุจริต อย่างไม่ผิดพลาด ไม่ต้องกลายไปเป็นติดตารางเพราะการทำอาชีพทุจริต ทีนี้ต่อไปเป็นคนแก่คนเฒ่ามันก็ยิ่งมีจิตที่ดี มีความสงบสุขมากขึ้นมากขึ้น สมกับว่ามันได้ผ่านโลกมามากแล้ว เพราะฉะนั้นคนคนนั้นก็ได้รับประโยชน์จากการเกิดมาเป็นมนุษย์นี่มากเพียงพอทีเดียว เราเตรียมเพื่อเป็นคนอย่างนี้กันดีกว่า จะได้รับประโยชน์ได้รับกำไรได้รับอานิสงส์ ในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และแถมได้รับพระพุทธศาสนายิ่งขึ้นอีกส่วนหนึ่งนี่มันส่วนพิเศษ เป็นอันว่าขอให้ยินดีสนุกสนานในการศึกษาธรรมะเพิ่มเติม แม้ที่เรียกว่าเฉพาะวันอาทิตย์ โรงเรียนวันอาทิตย์ ก็เรียนให้ดี เรียนให้เต็มที่ เรียนอย่างยิ่ง เอาธรรมะไว้ให้ได้มากที่สุด มีธรรมะมากเท่าไหร่ยิ่ง ยิ่งมีแต่ดีโดยส่วนเดียวไม่มีทุกข์ ไม่มีทางที่จะให้โทษ มันไม่ต้องสันโดษในการเรียนธรรมะเรียนให้มากที่สุดเข้าไว้ เราจะได้รับประโยชน์ ในความเป็นมนุษย์ของเรา เพราะอาศัยธรรมะนั่นเอง จนไม่รู้จักกันกับความทุกข์น่ะ ธรรมะนี้เพื่อดับทุกข์ ธรรมะมีความทุกข์ไม่เกิด หรือเกิดแล้วก็หายไป เพราะว่าธรรมะนี่มัน มันเพื่อดับทุกข์ตรงกันข้ามกับความทุกข์ อย่าต้องร้องไห้ อย่าต้องอึดอัดใจ อย่าต้องบ้าหลังลิงโลดอะไรในเรื่องขึ้นๆลงๆของโลกเลย ปรกติ อิสระ มีจิตเป็นอิสระ ไม่เป็นทาสของอะไรในโลกนี้ นี่เขาเรียกว่าความหลุดพ้น จิตของเราไม่เป็นทาสของสิ่งใดในโลกนี้ ไม่มีอะไรผูกพันจิตให้ไปติดอยู่ที่นั่นแล้วก็เป็นทุกข์ นี่เรียกว่าความหลุดพ้น ต้องมีกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือเมื่อ เมื่อกำลังไม่หลุดพ้นนี้จะทำให้หลุดพ้นเสีย ไปหลุดพ้นตอนตายแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สันทิฏฐิโกคือไม่เห็นเอง ไม่เป็นอกาลิโก คือ ไม่ขึ้นกับเวลา ไม่เป็นเอหิปัสสิโกที่ว่าควรเรียกกันมาดู ควรเรียกกันมาดู เมื่อเราไม่มีอะไรให้ดู เที่ยวเรียกใครมาดูได้อย่างไร มันไม่มีอะไรดีสักนิดหนึ่งที่จะไปเรียกเพื่อนให้มาดู ถ้าเป็นธรรมะมันต้องมีอะไรดีพอที่จะเรียกให้มาดู ตามบทว่าเอหิปัสสิโก ท่านทั้งหลายจงมาดู ฉะนั้นต้องมีอะไรดีพอที่จะไปเรียกเพื่อนมาดู ฉันมีอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ เราต้องมีความเย็น ความดับทุกข์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ พอให้เพื่อนดูได้ พอจะเรียกเพื่อนมาดูได้ นั่นน่ะจึงจะเป็นพุทธบริษัทมีธรรมะจริง เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะกันน้อยไปที่แล้วมาจนละเลยธรรมะ การศึกษาเลยเปลี่ยนเป็นหมาหางด้วน เพราะเราไม่รู้จักธรรมะเพียงพอที่จะเอาธรรมะไว้ให้ได้ ก็ปล่อยไปตามอำนาจกิเลสเห็นแก่ตัว เห็นแก่ไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุ ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลือ นี่เรื่องที่เป็นใจความสำคัญๆของธรรมะ เพราะว่าธรรมะเป็นกฎธรรมชาติหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องทำให้ถูกต้องเสมอไป ทำแล้วจะดับทุกข์ได้ เรากลับเอาไปทิ้งเสีย เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่มีธรรมะ ฉะนั้นขอให้พอใจยินดีกันต่อไปในอนาคตเถอะว่าจะต้องมีธรรมะ มาประกอบกับความเป็นมนุษย์ของเรา ให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับในการเกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็มีเท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าไอ้ความดับทุกข์หรอก พุทธศาสนาไม่มีอะไรมากไปกว่าการดับทุกข์ ถ้าดับทุกข์เด็ดขาดได้จริงก็เรียกว่าพระอรหันต์ เรียกว่ามันเป็นชื่อ ไอ้ตัวจริงอยู่ที่ดับทุกข์ได้เด็ดขาด เราจงเรียนเรื่องนี้ เมื่อมีความทุกข์จงเรียนที่ความทุกข์ ไอ้ธรรมะมันเป็นเรื่องดับทุกข์ เพราะฉะนั้นต้องเรียนที่ตัวความทุกข์นั่นเอง ไม่ใช่เรียนที่พระไตรปิฎก เรียนธรรมะไม่ใช่เรียนที่พระไตรปิฎก ต้องเรียนที่ตัวความทุกข์ ที่เกิดอยู่โดยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิ่งเรียนพระไตรปิฎกจะไม่ยิ่ง ยิ่งไม่รู้ธรรมะก็ได้ มีบางคน บางคนเรียนจบพระไตรปิฎก แล้วก็ได้สมัญญาใหม่ว่าไอ้พวกกำมือเปล่า พวกคัมภีร์เปล่า มันเรียนจบพระไตรปิฎกแล้วมันปฏิบัติธรรมะอะไรไม่ได้เลย ทีนี้พวกที่ไม่ต้องเรียนพระไตรปิฎก ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก แต่ปฏิบัติดับทุกข์ได้นี้ ได้รับสมัญญาว่าผู้ทรงธรรมะ ไอ้พวกที่เรียนจบพระไตรปิฎกไม่ได้เกียรติว่าผู้ทรงธรรมะ กลับได้เกียรติว่าไอ้กำมือเปล่า ในกำมือของแกไม่มีอะไรเป็นกำมือเปล่าๆ เราเรียนที่ธรรมะที่ตัวธรรมะ คือตัวความดับทุกข์ เมื่อไหร่มีความทุกข์ก็เรียนตัวความทุกข์ ดูให้เห็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้วทำลายมันเสีย ถือว่าไอ้ความทุกข์นั่นน่ะคือผู้มาสอน จะเป็นเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเป็นเรื่องไม่ได้ตามที่ต้องการ อะไรก็ตาม อย่าไปร้องไห้ อย่าไปกินยาตาย บ้าเปล่าๆ เอาไอ้นั่นแหละเป็นบทเรียน อะไรที่ผิดหวังน่ะเอาเป็นบทเรียน ความทุกข์นั่นละเป็นบทเรียน เรียนให้รู้ เรียนจากสิ่งนั้นแล้วก็รู้ธรรมะ ก็มีเท่านั้นแหละ เรื่องมันก็มีเท่านั้น ความทุกข์รับเอามาเป็นบทเรียน สอนให้เราฉลาดขึ้น มันก็เป็นครูแหละ ความทุกข์นี่บีบคั้นมนุษย์จนต้องไปแสวงหาความรู้เพื่อดับทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ถูกบีบคั้นอย่างนี้ ความทุกข์มันบีบคั้นจึงออกไปแสวงหาจนพบไอ้ความดับทุกข์ เราก็มีความทุกข์เราก็นั่งร้องไห้อยู่ แล้วก็ท่านๆ นั่นมากนักก็ไปโดดน้ำตาย ไปกินยาตาย นี่มันไม่มีประโยชน์อะไร ฉะนั้นขอให้ต้อนรับความทุกข์ให้ดีๆ เอาเป็นการศึกษาเอามาเป็นครูให้ได้ อะไรเกิดขึ้นเป็นความทุกข์แม้แต่นิดหน่อยก็เอามาเป็นศึกษา ไอ้ตัวใหญ่ๆ เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นั่นน่ะยิ่งสอนได้มากยิ่งศึกษาได้มาก อย่าไปกลัวจนทำอะไรไม่ถูก อย่าไปร้องไห้เสียเวลา ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วก็จงศึกษาจนกระทั่งรู้ อ้อ,มันเช่นนี้เอง มันเท่านี้เอง มันแค่นี้เอง มันเช่นนี้เองแล้วมันก็ไม่ต้องกลัว ใจคอก็ปรกติ เยาะเย้ยความทุกข์ เยาะเย้ยความเจ็บปวด เยาะเย้ยทุกอย่าง ไอ้ความเจ็บปวดรู้สึกให้มีความเจ็บปวดนี่เราทำความรู้สึกให้ได้ โอ้,นี่มันแค่ความรู้สึกทางประสาทเท่านั้นเอง ตามธรรมชาติเท่านั้นเอง อย่ารับเอามาเป็นความทุกข์ของเราเลย ให้เป็นหน้าที่ตามธรรมชาติของระบบประสาทมันรู้สึกอย่างนั้น ถ้าเรียกว่าเจ็บ ก็ว่าเจ็บหนอ เจ็บหนอ เจ็บเท่านั้นเอง เจ็บเท่านั้นเอง เจ็บเท่านั้นเองหมายความว่าไม่ใช่ความทุกข์ของกู มันเจ็บตามธรรมชาติตามระบบประสาทเท่านั้นเอง นี่เรียกว่าเจ็บหนอ เจ็บเท่านั้นหนอ ไม่ใช่มีตัวกูเป็นผู้เจ็บแล้วจะตาย มันเป็นความเจ็บเท่านั้นหนอ ตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ ผู้ที่เห็นเช่นนั้นเองมันเป็นอย่างนี้ มันก็ไล่ความเจ็บไป ออกไป ออกไป ขอให้เอาไปใช้จำวิธีอย่างนี้ไปใช้ ว่ามันเท่านั้นเองมันเช่นนั้นเอง ตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง อย่ามีตัวกูเกิดขึ้นมารับเอาความเจ็บนี้มาเป็นของกู แล้วก็ทุกข์มีความทุกข์ใหญ่โตจนกระทั่งตายไป เพราะไม่ต้องตายล่ะ เพราะมันกลัวจนตาย คนโง่อะไรเจ็บสักนิดหนึ่งมันก็กลัว มันก็จะขาดใจตาย หรือว่าอะไรจะมา จะมา ยังไม่ทันมา แต่แสดงว่าจะมา ถูกมาครอบงำ มันก็กลัว กลัวจนนอนไม่หลับ ถ้ามีความทุกข์ให้มันมาให้มันมาให้มันมาให้มันมาบีบคั้นอย่างไร แล้วก็ไล่กลับออกไปด้วยมันเป็นเช่นนั้นเอง มันเท่านั้นหนอ มันก็เจ็บนิดเดียวแล้วไม่เท่าไหร่มันก็หาย อย่าเอามาเป็นตัวกูสำหรับเป็นความเจ็บของกูความตายของกู อะไรอะไรก็เป็นของกู มันจะมีความทุกข์มาก พูดอาจพูดนี้อาจจะมีคนไม่เชื่อ คือไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ หรือไม่เชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อขอฝากเอาไปด้วย เอาไปสังเกตดูว่ามันจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ความทุกข์มันทุกข์เพราะเราโง่ ไปให้ความหมายแก่มันมากขึ้น จนว่ามีตัวกูที่จะตาย จะเป็นแผลสักนิดมันก็มีตัวกูที่จะตาย มันก็เจ็บอย่างเต็มที่อย่างมหาศาล แต่ว่ามันโอ๊ย, มันเจ็บตามธรรมชาติ มันมีแผลตามธรรมชาติ มันรู้สึกตามธรรมชาติ ไม่มี ไม่มีความ ไม่มีความเจ็บของกู มีแต่ความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามธรรมชาติ มันก็ไม่เกิดกู กูเจ็บ ก็ไม่มีความทุกข์ ที่เป็นความทุกข์ตามความหมายอันนี้ ความทุกข์ในพุทธศาสนามีความหมายว่า ไอ้ความรู้สึกไม่สบายที่เราเอา รับเอามาเป็นของเราสำหรับจะให้เราตาย มันไปรวมยอดอยู่ที่ความตาย ถ้าเรารับเอามาเป็นความทุกข์สำหรับทำให้เราตาย ก็กลัวมาก ก็เจ็บมาก ก็ทุกข์มาก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ไอ้ทุกข์นี่มันเกิดมาจากอุปาทาน หรือไปยึดมั่นในสิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆท่านรวมเรียกว่าเบญจขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นน่ะเรียกว่าเบญจขันธ์ ไปยึดเอาส่วนใดส่วนหนึ่งมาเป็นตัวตน เมื่อนั้นจะมีทุกข์ เมื่อร่างกายกำลังทำงานเรียกว่าเรามีรูปขันธ์ เราคิดว่ากายนี่คือเราไปยึดนี่เป็นเรา ยึดรูปขันธ์นี่เป็นเราก็มีความทุกข์เพราะรูปขันธ์ ทีนี้ต่อมาขณะอื่นอีกมันเป็นเวทนา รู้สึกเป็นเวทนาอยู่เอร็ดอร่อยอยู่ เอาเวทนาเป็นตัวเรา เกิดเวทนาขันธ์ เอาเวทนาขันธ์เป็นตัวเราก็ยึดเวทนาขันธ์ว่าเป็นตน ก็เป็นทุกข์เพราะยึดเวทนาขันธ์ ต่อมาเอาสัญญาขันธ์ คือ ความสำคัญ มั่นหมาย จำได้อย่างนั้นอย่างนี้ เอาตัวสัญญานั่นน่ะว่าเป็นตัวตน ก็เป็นทุกข์เพราะสัญญาขันธ์ ทีนี้ในกรณีอื่นเอาสังขาร คือความคิด นึกคิดได้อย่างนั้น คิดได้อย่างนี้ตามไอ้แบบของความคิด เอาความคิดนั้นเป็นตัวตน เรียกว่าเอาสังขารขันธ์เป็นตัวตน ทีนี้ในกรณีโดยมากก็มักจะเอาวิญญาณเป็นตัวตน วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะว่ามันรู้สึกได้ว่ามันเป็นตัวตน จะเอาวิญญาณเป็นตัวตน มันผลัดกันทีละตนทีละขันธ์ จะทำพร้อมกันทั้ง ๕ ขันธ์ทีเดียวไม่ได้ อาจจะสอนกันมาผิดๆก็ได้ว่าเรามีขันธ์ทั้ง ๕ พร้อมกันทั้ง ๕ ขันธ์ในคราวเดียวกัน แม้แต่หลับอยู่ก็มีขันธ์ ๕ อย่างนี้มันก็ผิดกันใหญ่ ความจริงมันจะมีเฉพาะเมื่อรู้สึกตื่นๆอยู่ แล้วก็มีได้ทีละขันธ์ไม่อาจจะมีได้ทีเดียวครบทั้ง ๕ ขันธ์ เพราะฉะนั้นบางเวลาจึงเอารูปขันธ์เป็นตัวตน บางเวลาเอาเวทนาขันธ์เป็นตัวตน บางเวลาเอาสัญญาขันธ์เป็นตัวตน บางเวลาสังขารขันธ์เป็นตัวตน บางเวลาเอาวิญญาณขันธ์เป็นตัวตน แต่ว่าไม่ว่าจะเอาขันธ์ไหนเป็นตัวตน เป็นทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ทันที ทุกข์เสมอ เพราะมันไม่พอใจที่ว่าไอ้สิ่งนั้นมันจะหายไป เช่นว่าร่างกายนี้มันจะหายไป มันจะตายไป เราก็เป็นทุกข์ เวทนาที่อร่อยแก่ความรู้สึกมันจะหายไปเราก็เป็นทุกข์ สัญญามันจะเลอะเลือนไปไม่ได้ตามที่เราต้องการเปลี่ยนเป็นสัญญาอื่น เราก็เป็นทุกข์ ความคิดที่คิดว่ามันจะไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็เป็นทุกข์ ไอ้วิญญาณมันก็ไม่เที่ยง มันก็เปลี่ยนแปลง แล้วมันก็ไม่ไปตามที่คนต้องการ ไอ้วิญญาณนั้นน่ะมันก็ให้เกิดทุกข์ นี่ละเอียดมาก ไม่ไม่ต้องพูดก็ได้ แต่ถ้าว่าใครรู้แล้วก็จะเรียกว่ารู้พื้นฐานที่ดีที่สุด ที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เรื่องการยึดมั่นขันธ์ทั้ง ๕ แต่ละขันธ์เป็นตัวตนนี้ เป็นความรู้หลักฐานของพุทธศาสนา ต้องเรียนไปจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบกันเป็นผัสสะ เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ หาโอกาสเรียนกันข้างหน้าให้เข้าใจได้ก็ดี จะรู้ธรรมะลึกซึ้ง เดี๋ยวนี้เอาแต่เพียงว่าไม่เอาส่วนใดส่วนไหนเป็นตัวตน แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะว่าตัวตนนั้นมันจะต้องดับไป หายไป เปลี่ยนไป หรือว่าพอมีตัวตนแล้วมันก็ขึ้นมาหนักอยู่บนจิต บนใจ บนวิญญาณ เพราะมีตัวตนเป็นของหนัก รู้จักกระทำอย่าให้เกิดความคิดประเภทตัวตนก็จะสบาย ไม่มีทุกข์ ความรู้สึกว่าตัวตนมาเมื่อไหร่จะหนักแล้วจะเป็นทุกข์ทันที เราเรียนรู้เรื่องนี้ จิตใจของเราก็ไม่มีความหนัก มีความเบาสบาย เยือกเย็น เป็นอิสระ อยู่อย่างเย็นอกเย็นใจได้ อยู่อย่างเย็นอกเย็นใจได้นั้นเรียกว่านิพพาน เพราะนิพพานแปลว่าเย็น นิพพานน้อยๆ นิพพานสั้นๆ ก็ยังดีกว่าที่จะไม่มีเสียเลย ฉะนั้นขอร้องให้ท่านทั้งหลายเรียนรู้ แล้วสามารถทำตนให้มีความเย็นอกเย็นใจ ตามที่จะทำได้ ระยะสั้นยาวเท่าไหร่ ถี่ห่างเท่าไหร่ แล้วแต่จะทำได้ แต่ขอให้มีไว้เถอะยิ่งมากยิ่งดี ความเย็นอกเย็นใจเพราะกิเลสไม่รบกวนนั่นน่ะ มีได้เท่าไรยิ่งมากยิ่งดี เอาแล้วเป็นอันว่าอาตมาได้แสดงอานิสงส์ของธรรมะพอเป็นที่เข้าใจแล้ว คงจะช่วยให้ท่านทั้งหลายมีความกล้าหาญ มีความแน่ใจ มีความเชื่อในธรรมะ ในการศึกษาธรรมะด้วยความพอใจ ด้วยความศรัทธา และอำนาจของธรรมะนั้นก็จะช่วยคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีสภาพแห่งจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ อยู่ ก็เป็นสุข ขอให้เป็นได้อย่างนี้อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.
จะกลับกันเมื่อไหร่พรุ่งนี้ตอนไหน รถมารับหรือ จะไปรถ ๙โมงครึ่ง เอาละ, ถือโอกาสลาให้พรกันให้เสร็จพรุ่งนี้ไปแต่เช้าได้ ให้มีความสุขสวัสดี เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระพุทธศาสนา มีนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้แม้จะสั้นๆน้อยๆก็ยังดีกว่าไม่มีแล้วปลอดภัยทางจิตใจอยู่ทุกวันทุกคืนเทอญ