แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายประจำวันเสาร์แห่งภาคอาสาฬหบูชาเป็นครั้งที่ ๙ ในวันนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปเป็นการบรรยายที่ไม่ติดต่อกับการบรรยายวันเสาร์ครั้งที่แล้วแล้วมา คือเรื่องธรรมชาติ เพราะเห็นว่าจะไม่สำเร็จประโยชน์แก่ผู้ฟังจำนวนมากในที่นี้ ซึ่งได้แก่ นักเรียน อาตมาจึงขอเปลี่ยนเป็นการบรรยายเรื่องที่เห็นว่า เหมาะกับนักเรียน แต่ว่า คนแก่จะสมทบฟังไปด้วยบ้าง ก็คงจะได้ประโยชน์สำหรับที่จะเอาไปอบรมลูกหลาน
บัดนี้ อาตมาจะพูดกับนักเรียนทั้งหลายผู้ตั้งใจมาจนถึงที่นี่เพื่อจะศึกษาสิ่งซึ่งสรุปรวมได้ว่า เป็นประโยชน์แก่นักเรียน เราเป็นมนุษย์เพื่ออะไร โดยแท้จริงหรือสูงสุด นักเรียนก็กำลังศึกษาและเล่าเรียนเพื่อความเป็นอย่างนั้นในอนาคต ดังนั้นเราควรจะพูดกันเป็นข้อแรกว่า มีอะไรเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของมนุษย์ แม้การกระทำทุกอย่างของนักเรียนทั้งหลายในปัจจุบันนี้ ก็มีความมุ่งหมายในที่สุดนั้นอย่างไร ในวงธรรมะเราถือกันว่า ตัวเองเป็นสุข และผู้อื่นก็พลอยเป็นสุข เท่านี้ก็พอแล้ว ขอให้พิจารณาดูให้ดีว่า เราก็มีชีวิตอยู่ด้วยความสงบสุข และเพื่อนมนุษย์ของเราที่อยู่แวดล้อมตัวเราก็พลอยได้รับความเป็นสุขเท่าที่จะรับได้ เท่านี้มันควรจะพอ ถ้ามากกว่านี้มันจะบ้าไปแล้วมั้ง มันคงจะเป็นส่วนเกิน คิดดูเถอะถ้ามากกว่านี้มันคงจะเป็นส่วนเกิน ซึ่งไม่ต้องทำก็ได้ ทำแล้วมันยุ่งเปล่าๆ เดี๋ยวนี้ขอให้ดูเถอะว่า ในโลกนี้ในพวกที่เขาอวดว่า เจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งนั้น เขาทำอะไรกันอยู่ เขาทำมากที่สุด ทำด้วยความพยายามที่สุด หมดเปลืองที่สุด แล้วโลกนี้ก็ยังไม่มีความสงบสุขอยู่นั่นเอง ไม่มีความสงบสุขยังไม่พอ กลับมีปัญหาหรือมีความทุกข์เพิ่มขึ้น เดี๋ยวนี้ก็พูดกันว่า อย่างที่กรุงเทพ อันธพาลชุมกว่ายุงเสียอีก หวังว่า ที่บ้านเราเมืองเราจังหวัดเรา ก็สังเกตดูให้ดี ว่าอันธพาลมันเพิ่มหรือเปล่า อาชญากรรมเลวร้ายทั้งหลายมันเพิ่มหรือเปล่า แล้วทำไมเราจึงคิดกันว่า มันเป็นความเจริญ นี่มันอยู่ตรงที่ว่า ไปทำส่วนที่มันเกิน ที่มันไม่จำเป็น ถ้าจะเปรียบเทียบกันดูสักอย่างหนึ่ง เช่นว่า ไปโลกพระจันทร์ ไปโลกอังคาร ไปโลกอะไรก็ตามเถอะ มันจำเป็นกว่า ที่จะทำโลกนี้ โลกที่อยู่เดี๋ยวนี้ให้มันมีความสงบสุขหรือไม่ หรือแม้จะมองกันว่า การไปโลกพระจันทร์นั้นมันเป็นปัจจัยให้โลกนี้มีความสงบสุขหรือไม่ ก็ลองคิดดู ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อความสงบสุขแล้ว ก็เรียกว่า การกระทำส่วนนี้มันเกิน เกินธรรมดาไม่เป็นไร ถ้าเกินมากไปมันก็คือบ้า
ที่นี้เราประหยัดเวลา พูดอะไรตรงๆ เพราะมันมีคำหยาบคายออกมาบ่อยๆ แต่ไม่เป็นไร เพื่อให้มันประหยัดเวลา แล้วก็ถ้ามันไม่น่าฟังก็ต้องขออภัยด้วย เพราะเรากำลังทำอะไรในส่วนที่ไม่ต้องทำกันอยู่มาก นั้นขอให้เปลี่ยนเอาที่มันไม่จำเป็นจะต้องทำนั้นมาใช้ให้มันถูก ให้มันตรงกับเรื่องที่จะต้องทำ ที่นี้เรื่องที่จะต้องทำก็พูดกันไปหยกๆ แล้วว่า ประสงค์จะให้เราเองเป็นสุข ให้เพื่อนมนุษย์ของเราพลอยเป็นสุข เราจะประสบผลที่ต้องการนี้ได้อย่างไร ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน มันก็ต้องว่า มันต้องทำถูกต้องต่อการที่จะมีความสงบสุข แม้ว่า เดี๋ยวนี้ยังเป็นนักเรียน มันก็ยังมีความมุ่งหมายอย่างเดียวกันนั่นแหละ มันมีหลักสูตรสำหรับความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเรียนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนกระทั่งตาย ว่ารู้จักทำตนให้เป็นสุข และให้ความสุขนั้นมันไหลไปถึงเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบๆ เราด้วย เราจะต้องเรียนเรื่องนี้ ทีนี้ที่นักเรียนเรียนอยู่ไม่พอ มันไม่สมบูรณ์สำหรับความเป็นมนุษย์โดยหลักเกณฑ์อันนี้ คือเราเรียนกันแต่หนังสือ ซึ่งทำให้เฉลียวฉลาด และเราก็เรียนกันแต่อาชีพเพื่อให้ทำมาหากินเลี้ยงตัวได้ มันสองอย่างเท่านั้น มันเลยขาดอย่างที่สำคัญที่สุดอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ได้เรียนว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ที่สมบูรณ์ ยกตัวอย่างที่ว่า ตัวเองก็สงบสุข เพื่อนมนุษย์รอบข้างก็พลอยสงบสุข ผู้ใดเป็นได้อย่างนี้เรียกว่า ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นี้เราเรียนแต่หนังสือ แล้วก็เรียนแต่อาชีพ มันไม่สมบูรณ์ บางทีมันทำให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่เห็นแก่ผู้อื่นซะเลย เหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ นี้เราเรียกว่า การศึกษาไม่สมบูรณ์ พูดอย่างหยาบคายที่สุด ก็ว่า การศึกษาระบบหมาหางด้วน หรือพระเจดีย์ยอดด้วน ใครจะรู้สึกอย่างไรก็ตามใจ เดี๋ยวนี้จะพูดอย่างนี้ว่าการศึกษาที่พวกเธอมีอยู่นั้น เป็นระบบหมาหางด้วน หรืออย่างดีก็พระเจดีย์ยอดด้วน เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ไม่ได้เรียนธรรมะที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร จึงจะเป็นมนุษย์ ฉะนั้นเราจึงได้พบการกระทำที่ไม่เป็นมนุษย์มากขึ้น ในหมู่นักศึกษานั่นเอง หรือผู้ที่จบการศึกษามาแล้ว แม้จะเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาก็ตาม ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ เห็นแก่ตัวพร้อมที่จะเอาเปรียบผู้อื่น และก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ด้วยที่เราเรียกว่า คอร์รัปชั่น ยิ่งเรียนรู้หนังสือมาก ฉลาดมาก มันก็ยิ่งทำคอร์รัปชั่นเก่ง
จะเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่เริ่มจัดการศึกษาแบบใหม่จากโรงเรียนวัด มาเป็นโรงเรียนอย่างปัจจุบัน ที่ว่าแบบใหม่ตามแบบฝรั่งนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ท่านขอร้อง กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้ช่วยจัด ให้การศึกษาของเด็กให้ทันสมัย ในจดหมายที่ท่านมีถึงกัน นี่ใช้คำธรรมดาๆ ว่า จดหมายนะไม่ได้เรียกว่า พระราชหัตถเลขา อะไรให้มันลำบาก ในจดหมายที่มีถึงกันนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ท่านเขียนถึงกรมพระยาฯ ว่า การศึกษาแบบใหม่นี้มันก็ดีอยู่ มันก็ฉลาดมากอยู่ แต่ต่อไปนี้มันคงจะโกงกันอย่างวิตถาร ตัวหนังสือนี้ยังติดตาอยู่ จำได้แม่นยำว่า โกงกันอย่างวิตถาร หมายความว่า เมื่อยังการศึกษาแบบเก่า คนไม่สู้ฉลาด การคดโกงกันนั้นไม่อย่างวิตถาร ต่อไปนี้ มันจะอย่างวิตถาร มันจะโกงกันเองก็ดี โกงรัฐบาลก็ดี ฉ้อราษฎร์บังหลวงอะไรก็ดี มันก็จะทำกันอย่างวิตถาร เพราะมันรู้หนังสือชนิดที่ทำให้ฉลาดมาก นี่คิดดูเถิดว่า ผู้ที่แก่เฒ่า ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เขาก็ยังมองเห็นข้อนี้ ตั้งแต่มันยังไม่เกิดขึ้น เพราะมันหลายสิบปีแล้ว หกสิบ หรือแปดสิบปีแล้ว ที่เริ่มจัดการศึกษาอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวนี้มัน ก็เป็นจริงอย่างนั้น คือมันฉลาดในการศึกษา ในการเล่าเรียน อย่างเฉลียวฉลาด แล้วมันก็โกงกันอย่างวิตถาร วิตถารอย่างยิ่ง วิตถารร้อยเท่า พันเท่าที่เราจะเคยนึกกัน
เพราะฉะนั้นขอให้ดูให้ดีกว่า การศึกษาระบบหมาหางด้วนนั้น มันคุ้มครองอะไรไม่ได้ เรียนหนังสือมันทำให้ฉลาดจริง ฉลาดมากที่สุด เรียนรู้อาชีพ มันก็สามารถจะประกอบอาชีพได้ดี คืออาชีพที่เบาสบาย เหมาะแล้วสำหรับคนขี้เกียจ อาชีพเบาสบาย มันก็ได้เงินมาก ไอ้ได้เงินมากนี่ มันเอามาสอนให้เห็นแก่ตัวมาก เพราะฉะนั้นคนยิ่งรวยก็ยิ่งน้อมไปในทางที่จะเห็นแก่ตัว คือน้อมไปในทางที่จะโกง แล้วมันก็ได้โกงจริง ๆ ด้วย นี่การศึกษาที่เพียงแต่รู้อาชีพนี้มันไม่พอ มันไม่มีอะไรมาหักห้าม มาควบคุมอย่าให้เกิดการโกงขึ้นในมันสมองของคนที่ฉลาด ทั้งในวิชาหนังสือและวิชาชีพ เดี๋ยวนี้เราจะเห็นว่า มันมีการใช้ความฉลาดปราดเปรื่องนั้นในการที่จะเอาเปรียบกัน เหมือนกับเป็นปัญหาของโลกไปแล้ว คือทั้งโลกมีสงครามอยู่อย่างติดต่อ ไม่ขาดสายนั้นมันเพื่อจะกอบโกยเอาประโยชน์ทั้งโลก เหมือนอย่างกับว่าเป็นเจ้าโลก นี่ความรู้ ความฉลาด ความสามารถนั้น ไม่ได้เอามาใช้ในทางที่จะช่วยเหลือกันให้เป็นสุข แต่เอามาใช้ในทางที่จะเอาเปรียบผู้อื่นให้มากที่สุด นี่เรียกว่า มันคดโกงใคร มันคดโกงความเป็นมนุษย์ของมันเอง มันมีจิตใจที่ประกอบไปด้วยกิเลส เหมือนภูต ผี ปิศาจ ซาตาน พญามาร อะไรก็แล้วแต่จะเรียก มนุษย์ที่มันเห็นแก่ตัว และใช้ความฉลาดเฉลียวนั้นเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น ไม่นับถือศาสนา ไม่นับถือธรรมะ ไม่นับถือพระเจ้า ก็พลอยเดือดร้อนกันไปทั้งหมด
เดี๋ยวนี้เข้าใจว่า ทุกคน ก็มองเห็นและยอมรับว่า การศึกษามันก้าวหน้า และก็พลอยนิยมความก้าวหน้าในการศึกษา โดยเฉพาะไปตามหลังเขา ประเทศไทยเรา นี่ไม่ต้องอวดดี ไอ้การศึกษามันก็เดินตามก้นพวกฝรั่ง ที่มันเก่งกว่าหลายเท่า ไปไกลกว่า แล้วเราก็ตามเขาไป แล้วมันจะได้อะไร คิดดูมันจะได้อะไร ได้อย่างฝรั่ง เอาหล่ะ ถ้าว่าได้อย่างฝรั่งก็ดีไป อย่าหวังว่า จะได้ดีกว่าฝรั่งเลย เพราะเราตามก้นเขา ถ้าได้อย่างฝรั่ง ก็ดูตามฝรั่งซิว่า มันมีความสงบสุขเมื่อไรเล่า ประเทศฝรั่งบางแห่งเขาก็ว่า อันธพาลชุมยิ่งกว่ายุงเหมือนกันแหละ แล้วก็เป็นผู้ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์เลวร้าย ระส่ำระสาย ไม่หยุด ไม่หย่อน เพราะแผนการที่จะเป็นเจ้าโลก แผนการที่จะกอบโกยประโยชน์เอามาไว้เป็นของตนให้ได้เปรียบมากที่สุด ทีนี้ความก้าวหน้าของคนเหล่านี้มันไม่ได้เป็นไปในทางควบคุมกิเลส แต่มันเป็นไปในทาง ส่งเสริมกิเลส อะไรที่จะทำให้เกิดความเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เขาก็ทำมันขึ้น ทำมันอย่างเป็นอุตสาหกรรม มีโรงงานใหญ่ๆ ผลิตของเหล่านี้ออกมา ขายดีเป็นเทน้ำ เทท่า และก็เพื่อส่งเสริมให้คนหลงใหล ได้รับประโยชน์ในการใช้สิ่งเหล่านี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง ซึ่งรวมความแล้วก็เรียกภาษาศาสนาว่า เป็นทาสของอายตนะ คำนี้สำคัญมาก ถ้าไม่เคยได้ยิน ก็ได้ยินเสีย ถ้าไม่เข้าใจ ก็เข้าใจเสียว่า เป็นทาส ทาส ขี้ข้าน่ะ ไม่ใช่ธา-ตุ เป็นทาส เป็นบ่าว เป็นขี้ข้า เป็นทาสของอายตนะ อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ประกอบไปด้วยระบบประสาทรู้สึกอะไรได้ของบุคคลที่ยังเป็น เป็น อยู่ ไม่ใช่คนตายแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของคนที่ยังเป็นๆ อยู่ เขาเรียกว่า อายตนะ ๖ เดี๋ยวนี้เราตกเป็นทาสของอายตนะ ๖ มากขึ้น ก็เลยมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
เทปบันทึกเสียงนี่ เอามาบันทึกคำบรรยายอย่างนี้กี่เครื่อง เอาไปบันทึกเพลย์สเตอริโอ กี่ร้อยกี่พันเครื่อง พอจะคำนวณได้ไหม ในโลกนี้ อย่างเราใช้เทปนี่บันทึกคำสอนธรรมะนี่กี่เครื่อง และที่เขาเอาไปบันทึกเทปเพลง มันกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน ล้านเครื่อง มันเป็นอุปกรณ์ให้เราฟังเพลงชนิดที่ไม่น่าฟังได้ตลอดเวลา บางคนเอามาไว้ข้างหมอนเลย จะฟังมันตลอดคืนเลย ไอ้เพลงที่มันไม่ควรจะฟัง ไอ้เครื่องเหล่านี้มันช่วยให้ฟังได้ ก่อนแต่มีเครื่องอย่างนี้ ก่อนนี้เราก็ต้องไปฟัง ไปหาฟัง ไปไกลมาก ลำบากมาก ก็ไม่ค่อยได้ฟัง พอมีอย่างนี้สะดวก ซื้อมาก็มาฟัง เมื่อไรก็ได้ เท่าไรก็ได้ นั้นอาการที่เรียกว่า ฟังเพลงกันเรื่อย ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอ ล่อกามา นี่มันก็ทำได้ตลอดเวลา ไม่เหมือนสมัยก่อน นี่ดูในข้อที่ว่า ไอ้สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาในโลก ด้วยสติปัญญา และถือว่าเฉลียวฉลาดนั้น เราเอามาใช้ในทางไหน ส่วนใหญ่ก็ใช้ในทางที่ส่งเสริมให้เกิดกิเลส ให้เกิดปัญหาแก่มนุษย์ ไม่ได้ใช้เพื่อให้มันข่มขี่กิเลส หรือลดปัญหาของมนุษย์ นั้นขอให้สนใจให้มากเป็นพิเศษ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้มันผลิตขึ้นมาก ให้ความสะดวกเหลือประมาณแหละ แต่แล้วมนุษย์เอาไปใช้กันในทางไหน เช่น รถยนต์อย่างนี้ ใช้ในทางไหน ใช้ในทางประโยชน์ที่จำเป็นมากหรือใช้ในทางที่ไม่ต้องใช้ก็ได้ แม้แต่เรือบินก็เหมือนกัน มันก็เลยมี เพิ่มปัญหาอย่างใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมา ปัญหาเก่าที่มีอยู่แล้วก็ไม่หายไป เดี๋ยวนี้เรามีวิทยุกระจายเสียงส่งกันทั่วโลก ไปฟังเสียงเหล่านั้นดูเถอะ มันมีอะไร ที่จะทำให้มนุษย์ดีขึ้น เสียงด่า ว่า โฆษณาชวนเชื่อให้เกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่งมากเหลือเกิน ในบรรดาวิทยุกระจายเสียงที่ส่งอยู่ทั่วโลกไปมาทั่วโลก นี่มันส่งเสริมจิตใจของมนุษย์ให้อาฆาตมาดร้าย ให้เป็นไปในทางกิเลส และมันก็แจ้งข่าวไปในทางที่ว่า ไม่จำเป็นจะต้องมีก็ได้ สร้างสรรค์สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีก็ได้ กระทั่งว่าเอามาใช้เพื่อความสนุก ไพเราะในเรื่องของเพลง ของการส่งเสริมกิเลส ตัณหา ไอ้มาก ที่มากที่สุดอีกอย่างหนึ่ง คือ โฆษณาสินค้า สินค้าเหล่านั้นไม่จำเป็น ทำคนใช้ให้โง่ ให้หลง ให้บ้า ให้มัวเมายิ่งขึ้นทุกที สินค้าเหล่านั้นที่โฆษณาอยู่ เว้นเสียแต่ได้ มนุษย์ก็จะดีขึ้นด้วยซ้ำไป นี่เราใช้เครื่องมืออย่างวิเศษ ไปในลักษณะที่ให้มนุษย์มันเลวลง
เพราะฉะนั้นขอร้องพวกเธอทั้งหลายทุกคนที่นี่ ว่า ระวังให้ดี อย่าให้ตกไปอยู่ในกลุ่มนั้น อย่าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มเหล่านั้น ซึ่งไอ้ความเจริญทางวัตถุแห่งโลกปัจจุบันนี่ มันทำให้เราเลวลง ให้มนุษย์เลวลง ให้มนุษย์หลงในเรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องเอร็ดอร่อย และให้มนุษย์ เห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น ก็คิดร้ายทำลายผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น เกิดความริษยามากขึ้น จนถึงขนาดที่ว่า ใครรวยกว่าเรา ใครสวยกว่าเรา เราอยากจะจ้างคนไปฆ่าให้ตายให้หมด ลองคิดดูเถอะมันอาจจะเกิดความรู้สึกถึงอย่างนี้ได้ คนไหนสวยกว่าเรา คนไหนเรียนเก่งกว่าเรา คนไหนโก้ดีกว่าเรา เราอยากจะทำลายเขาให้หายไปจากโลก นี่การศึกษา ที่ผิดๆ นี่มันเป็นอย่างนี้ เราเรียกว่า การศึกษาหมาหางด้วน หมาหางด้วนนี่มันไม่งาม นั้นอย่างหนึ่งแล้ว และอีกอย่างหนึ่ง คือมันเดินตรงไม่ได้ มันต้องเดินปัดๆ เป๋ๆ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สำเร็จประโยชน์ เหมือนกับว่าเรือ เมื่อมันไม่มีหางเสือ มันก็พายตรงทางไม่ได้ ตามที่เราต้องการ เอ้า,ทีนี้พูดถึงพระเจดีย์ยอดด้วนกันบ้าง ใครเคยเห็นพระเจดีย์ยอดด้วน มาเทียบดูกับพระเจดีย์ยอดยังไม่ด้วน มันต่างกันอย่างไร ที่มันยังสมบูรณ์อยู่ ถึงความเป็นมนุษย์ของเรานี่ก็เหมือนกันแหละ ถ้ามันยอดมันด้วน คือมันไม่มีดีในส่วนศีลธรรม มันรู้แต่อาชีพ แล้วมันก็จะต้อง ไม่มีความงดงาม ไม่สมประกอบ แล้วก็จะกลายเป็นพิษขึ้นมา เราจะต้องทำให้มันหายด้วน หมาหางด้วนจะต่อมันได้อย่างไร จะปลูกขึ้นมาใหม่ หรือว่าจะต่อกันอย่างไร ก็ควรจะรู้ ถ้าไปเอาหางลิงมาต่อเข้าก็จะยุ่งไปกว่าเดิม ควรจะระวัง มันต้องต่อให้ถูก นี่เราจะไปหาอะไรมาต่อส่วนที่มันยังขาดอยู่นี่ ต้องต่อให้ถูก ให้ถูกกับความเป็นมนุษย์ของเรา เดี๋ยวนี้อยากจะพูดว่า ที่มา มา มาศึกษามาหาความรู้ที่นี่ โดยเนื้อแท้แล้วมาหาอะไรต่อหางหมากันทั้งนั้นแหละ แต่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้สึก ไม่รู้สึก แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ถ้าที่โรงเรียนมันพอ ที่วิทยาลัยมันพอ มาทำไมให้มันเปลือง ให้มันเหนื่อยหล่ะ มาทำไมที่นี่ ให้มันเปลือง ให้มันเหนื่อยหล่ะ เพราะฉะนั้นโดยเนื้อแท้ มันมาหาอะไรที่มันยังขาดอยู่เพื่อที่จะต่อให้เต็ม เพราะฉะนั้นใช้คำพูดตรงๆ ว่า มาหาอะไรมาชดเชยความเป็นหมาหางด้วนที่มันยังขาดอยู่ มาชดเชยให้มันเต็ม ก็เห็นอยู่ชัดๆ มาหาความรู้ทางธรรมะทั้งนั้น หาความรู้ทางธรรมะมาชดเชยส่วนที่มันยังขาดอยู่ ยังขาดอยู่เป็นการศึกษาที่สาม เราต้องการเพียงสามก็พอ ข้อหนึ่งรู้หนังสือสำหรับฉลาด ข้อที่สอง รู้อาชีพสำหรับเป็นอยู่ ไม่ตาย หรือพอสะดวกสบาย ข้อที่สามธรรมะสำหรับเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ เมื่อในโรงเรียนเขาไม่สอน กระทรวงเขาไม่บังคับให้สอน ก็ยังขาดอยู่เป็นระบบหมาหางด้วนอยู่ นี่นักเรียนทั้งหลายนี้นับว่า มีบุญหรือว่ามีความรู้สึกที่เป็นบุญอยู่ ในการที่มาแสวงหาความรู้ทางเป็นธรรมะไปชดเชยการศึกษาที่สามที่มันยังขาดอยู่ เราต้องมีการศึกษาครบสาม หนึ่งรู้หนังสือ สอง รู้อาชีพ สามรู้ธรรมะ สำหรับเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง
มนุษย์เริ่มขาดความรู้ทางธรรมะยิ่งขึ้นทุกที เชื่อว่า นักเรียนเหล่านี้เคยศึกษาประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคเริ่มมีโลกมาตามลำดับ แล้วไปทบทวนดูจากไอ้เนื้อเรื่องเหล่านั้น คนสมัยนั้นเขาไม่ได้เรียนหนังสือ ก่อนธรรมะ ไม่มีหนังสือใช้ แต่เขาเรียนธรรมะก่อนที่จะมีหนังสือใช้ นี่ไปเรียนประวัติศาสตร์ส่วนนี้ดูเถอะ มนุษย์รู้ธรรมะ รู้จริยธรรม ปฏิบัติสำหรับอยู่กันเป็นสุข นั้นนะก่อน ก่อนมีหนังสือใช้ ก่อนนี้เขามีปากพูด ก็จำไว้ด้วยใจ การศึกษาเล่าเรียนของเขาเป็นอย่างนั้น ไม่มีกระดาษใช้ ไม่มีดินสอใช้ อย่าว่าแต่มีเครื่องบันทึกเสียงอย่างนี้ กระดาษดินสอก็ไม่มี ไม่รู้จักใช้ ก็ไม่มีการเขียน นั้นจึงไม่มีการเรียนหนังสือ แต่คนเหล่านี้ได้รับการสั่งสอนทางศีลธรรมว่า อย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนั้น ทำแล้ววินาศหมด ยังไม่เป็นศาสนา เป็นรูปแบบชัดเจนอย่างนี้ แต่เป็นคำสอนที่เต็มไปหมดเหมือนกันสำหรับจะต้องประพฤติปฏิบัติกันมา ตั้งแต่แรกเกิดจนเป็นหนุ่มเป็นสาว จนเป็นคนแก่คนเฒ่าเข้าโลงไป เขามีระเบียบปฏิบัติ ที่คนแก่ๆ สอนลูกเด็กๆ ให้ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างปลอดภัย เขาเรียกชื่อคำสั่งสอนระบบนี้ในยุคกระโน้นแปลก ๆ มีคำว่า ตาบู (นาทีที่ 28.01) แปลว่า อะไรก็ไม่รู้ สังเกตดูใช้คำว่า เลว ชั่ว บาป ร้ายกาจ วินาศ ฉิบหายอะไรทำนองนั้น นั้นเด็กๆ จะต้องรู้สิ่งเหล่านี้ กินอย่างไร นอนอย่างไร ตั้งแต่ต้นไป จนกระทั่งว่า ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับทางเพศ ระหว่างเพศ ซึ่งเป็นของอันตรายที่สุด เขารู้แล้วเขาสั่งสอนกันมาตั้งแต่ก่อนเรียนหนังสือ ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่เรียนหนังสือ ก็บอกกันได้สอนกันได้ ท่องจำกันไว้ นั้นมันจึงไม่ขาดความรู้ในเรื่องนี้ แล้วเขาสนใจในเรื่องนี้กันมากขึ้นๆ จนเกิดระบบสมบูรณ์เป็นศาสนา อย่างในยุคที่มีศาสนา ศาสนาพุทธเรานี่แหละ ที่ว่า สักสองพันกว่าปีมาแล้วนี้ ก็ไม่ได้ใช้หนังสือ พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้หนังสือ ไม่ได้สอนด้วยหนังสือ ไม่มีการบันทึกด้วยหนังสือ ใช้ปากบอกแล้วก็จำไว้ ด้วยจิตใจ เพราะในการเรียนหนังสือ มันก็ไม่เฟ้อเหมือนเดี๋ยวนี้ มันไม่ฉลาดเหมือนเดี๋ยวนี้ พูดกันง่ายๆ แต่เขาก็มีธรรมะ แล้วธรรมะนั้นคุ้มครองให้อยู่กันเป็นสุข และความรู้ทางธรรมะนั้นก้าวหน้าๆ เรื่อยขึ้นไปจนเรื่องละเอียดลึกซึ้งทางจิตใจ จนมนุษย์ได้รับประโยชน์สูงสุดที่เรียกว่า พระนิพพาน
พระนิพพานนี่ยังเอามาสอนกันไม่สมบูรณ์และไม่ตรงจุดด้วย คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น เป็นภาษาชาวบ้านพูดกันอยู่ก่อนแล้วแหละว่า เย็น เย็น เย็น ถ้าพูดเป็นภาษาไทย ถ้าพูดเป็นภาษาบาลีหรือสันสกฤตครั้งกระโน้น คือคำว่า นิพพานนั่นเอง นิพพานนั้นแปลว่า เย็น นิพพุตา เป็นคนที่เย็น ปรินิพพุตา ก็มันเย็นสนิท แล้วคนก็ชอบซิ เพราะไม่มีใครชอบร้อน ชอบเย็น เหมือนกันที่คนเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ก็ชอบเย็น ที่พูดว่า เย็นอกเย็นใจ ใครไม่ชอบบ้าง เมื่อพูดว่า เย็นอกเย็นใจ ก็แสวงหาอยู่เลย ให้มันเย็นอกเย็นใจ ไม่ให้มันร้อน แต่เดี๋ยวนี้มันมีแต่กิเลสทำให้ร้อน มันก็ร้อนกันไปจนชิน จนไม่กลัวร้อน จนไม่รู้จักปรารถนาความเย็น พ่อแม่ยังไม่ได้รับความเย็นอกเย็นใจจากลูก นี่ลูกยังทำความร้อนอกร้อนใจให้พ่อแม่อยู่เสมอ พ่อแม่นั้นก็ไม่ได้นิพพาน ไม่เป็นนิพพุตา คือ คนเย็น เพราะฉะนั้นทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ไอ้ลูกๆ ทั้งหลาย พ่อแม่นี่ ไประวังตัวให้ดี ไปคิดเสียใหม่ ถ้าทำพ่อแม่ให้ร้อนใจ ไม่เย็น ก็เรียกว่า ผิดแล้ว มันเป็นการผิดอย่างยิ่งแล้ว ขอให้สมาทานอย่างเคร่งครัดว่า จะต้องไม่ทำให้พ่อแม่ต้องร้อนอกร้อนใจ ให้พ่อแม่ได้รับความเย็นอกเย็นใจเพราะมีเราเป็นลูก อยู่เสมอ อย่างนี้เขาใช้คำว่า นิพพุตา คือพ่อแม่นั้นมันเย็น นิพพุตาก็เป็นนิพพาน เพียงแต่ว่ามันยังไม่เป็นนิพพานจริง สมบูรณ์ เด็ดขาด มันเป็นนิพพานในระดับหนึ่ง ชั่วเวลาหนึ่ง ชั่วกรณีหนึ่ง แต่ถ้ามันเป็นเรื่อยไปไม่ขาดตอน มันก็ได้ผลเท่ากันแหละ ขอให้มีแต่ความเย็นอกเย็นใจในทุกกรณีเรื่อยไปไม่ขาดตอนมันก็ ก็พอแล้ว นิพพานแปลว่า เย็น ดับเย็นแห่งความร้อนนะ เราต้องเอาความเย็นในภาษาไทยกันนะ ภาษาฝรั่ง หรือภาษาอื่น ๆ อย่าเอามาปนกันมันยุ่งนะ ถ้าคำว่าเย็นในภาษาไทยล่ะก็ใช้ได้ คือไม่ร้อนก็แล้วกัน อย่างภาษาฝรั่ง ถ้าบอกว่า cool mind คือใจจืดใจดำ ไม่เห็นแก่ผู้อื่นเลย ใจเย็น cool mind กลายเป็น ใจจืดใจดำ ไม่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์เลย มันใช้ไม่ได้ อย่าเอามาใช้กัน มันยุ่งหมด เอาในภาษาบาลี ในภาษาไทยว่า มันเย็น มันเย็น ไม่มีร้อนก็แล้วกัน เราเย็นที่สุด เมื่อกิเลสไม่เกิดขึ้น ถ้ากิเลสไม่เกิดขึ้นใจจะไม่ร้อน นั้นเวลาที่กิเลสไม่เกิดขึ้นเวลานั้น เราอยู่กับนิพพานชนิดหนึ่ง หรือระดับหนึ่งได้แม้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ดูให้ดีเถอะ เย็นเมื่อไม่มีกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เป็นนิพพานได้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่ว่า ไม่ใช่นิพพานสมบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์ เราเคยร้อนใจ จนนั่งก้นไม่ติดพื้น ร้อนใจจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ร้อนใจจนไปโดดน้ำตาย กินยาตาย ฆ่าตัวตาย ก็มีอยู่บ่อยๆ นั่นแหละ ความร้อนมันเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีเหตุอย่างนั้นมันก็เย็น เราก็อยู่สบาย เรียนหนังสือก็สนุก เรียนดี จำดี คิดดี เพราะว่าใจมันเย็น เมื่อใจมันเย็น เป็นนิพพานนั่นแหละ เป็นเวลาที่สงบสุข และต้องมีพอสมควรกันด้วย ต้องมีพอสมควรกันด้วย ความที่เรามีใจเย็นเป็นนิพพาน น้อยๆ นี่ต้องมีอยู่บ่อยๆ อยู่ประจำชีวิตเลย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว มันจะเป็นบ้า มันจะเป็นโรคประสาท มันจะเรียนหนังสือก็ไม่ได้ ถ้าจิตใจมันไม่รู้จักสงบเย็น เป็นรูปนิพพานนี้เสียเลย นั้นดูให้ดีเถิดว่า คำว่า นิพพานนั้นมันไม่ได้ไกลไปจากตัวเรา ไม่เหมือนกับคนบางพวกเขาสอนว่า เราต้องรออีกกี่หมื่นชาติ กี่แสนชาติ จึงจะนิพพาน นั่นมันความหมายของคนพวกนั้น ที่เขาสอนกันอย่างนั้น ก็นิพพานอย่างไหนก็ไม่รู้ ที่เราก็ได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาว่า เมื่อใดกิเลสไม่เกิดขึ้นในจิต จิตนั้นก็เย็นเป็นนิพพาน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ตามสมควรแก่เหตุปัจจัยของมัน เราจึงมีเวลาที่กิเลสไม่รบกวน ใครมีกิเลสรบกวนอยู่ตลอดเวลา ที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครมันมีกิเลสรบกวนอยู่ตลอดเวลา แม้ใครจะยกมือเราก็ไม่เชื่อ เพราะว่า ถ้ามันมีกิเลสรบกวนอยู่ตลอดเวลามันเป็นบ้าตายแล้ว มันไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่หรอก ถ้ากิเลสมันรบกวนอยู่ทั้ง ๒๔ ชั่วโมง ทั้ง ๒๔ ชั่วโมง มันไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ มันเป็นโรคประสาท โรคจิต เป็นบ้า และตายแล้ว นั้นเวลาที่กิเลสไม่รบกวนมันมีอยู่มาก เป็นนิพพานน้อย ๆ ชั่วคราว เช่นเวลาหลับ กิเลสก็ไม่รบกวน เราก็พักผ่อน รุ่งขึ้น เราก็สบายขึ้น นี่เป็นๆ อยู่ ตื่นๆ อยู่นี่แหละ มันก็ยังมีเวลาที่กิเลสไม่รบกวนมากกว่าที่กิเลสรบกวน เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นปกติอยู่ได้ ถ้ากิเลสรบกวนอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เราก็เป็นบ้าแล้ว ไม่ได้มานั่งกันที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ นั้นเราควรจะมองให้เห็นและขอบคุณพระนิพพานที่คุ้มครองเราไม่ให้ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องวุ่นวาย ทนทรมานอย่างไม่มีความสุขเลย เรายังนอนหลับเพราะคุณของพระนิพพานในลักษณะนี้ เรายังมีความพักผ่อน ให้รู้สึก เป็นสุขเพราะคุณของพระนิพพานในระดับนี้ เมื่อเรากลุ้มไปด้วยความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว เรากินข้าวก็จะไม่ลง คงจะเคยพบกันมาแล้วทุกคนกระมัง อยากจะพูดว่า นักเรียนทุกคนนี่เคยพบกับอารมณ์ที่ทำให้กินข้าวก็จะไม่ลง มาบ้างกันแล้วทั้งนั้น นั่นแหละเมื่อกิเลสรบกวนถึงที่สุด อาการที่มันไม่รบกวนมันพอจะมีอยู่ สำหรับให้เรากินข้าวลงเป็นปกติ ทำอะไรได้ การพักผ่อนก็เป็นการพักผ่อน ถ้ากิเลสครอบงำอยู่ตลอดเวลาแล้ว จะไม่มีการพักผ่อน เราตั้งใจจะพักผ่อน มันก็ไม่พักผ่อน เพราะกิเลสมันไม่ยอมให้พักผ่อน นั้นเมื่อทำการงานก็ทำไม่ได้ มันกลุ้มไปด้วยกิเลส เมื่อเรียนหนังสือ มันก็เรียนไม่รู้เรื่องเพราะกลุ้มไปด้วยกิเลส จะฝืนบังคับก็ได้เป็นส่วนน้อย หรือเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องส่วนใหญ่มันทำไม่ได้ นั้นเราต้องมีเวลาที่จิตมันเกลี้ยงไปจากกิเลส และเราก็จะเรียนหนังสือได้ดี ทำการงานได้ดี ลองเทียบดูเถอะถ้าว่า ทำการบ้านไปพลางแล้วเปิดเพลง บันทึกเสียงฟังไปพลาง ทำได้ดีไหม บางคนก็ยังชอบทำอยู่ เปิดเทปเพลงฟังไปพลาง แล้วทำการบ้านไปพลาง มันทำได้ดีไหม กับถ้าปิดเสีย ตั้งอกตั้งใจทำอย่างดีทั้งหมด อันไหนมันจะได้ดี เพราะว่า ถ้าเรายังมามัวฟังไพเราะ ของไพเราะกระตุ้นเตือนจิตอยู่เป็นทาสอายตนะอยู่ จิตใจมันก็เร่าร้อน มันก็ฟุ้งซ่าน มันก็ทำไม่ได้ดี นั้นขอให้พยายามมีเวลาปรับปรุงจิตใจให้ดี ให้ปกติ คือให้เย็น ให้เป็นปรกติ ให้เป็นอิสระจากการรบกวนของกิเลส ไม่เร่าร้อน แล้วก็เป็นจิตที่เย็น เราก็เรียนได้ดี จะทำงานก็ทำสนุก แม้จะพักผ่อนนอนเล่น ก็พักผ่อนได้ดี ถ้าจิตมันเย็น ถ้าจิตมันหยุด ถ้าจิตมันเกลี้ยง ถ้าจิตมันอิสระ ถ้าจิตมันถูกกิเลสลากคอ ไสหัวไปแล้ว มันไม่มีอะไรที่จะทำให้เยือกเย็นเป็นสุข หรือปกติได้ เรียนหนังสือก็ไม่เป็นสุข ทำงานก็ไม่เป็นสุข กินอาหารก็ไม่อร่อย ถ้าใครเคยกินอาหารแล้วไม่รู้สึกอร่อย ก็ไปศึกษาดูใหม่ว่าเพราะอะไร เพราะจิตมันกำลังเป็นบ้า มันเดือดพล่านไปด้วยการรบกวนของกิเลสซึ่งเป็นของร้อน นี่นิพพานคือความเย็น ภาวะที่เย็น ถ้ามีแก่จิตใจแล้ว จิตใจมันก็เย็น เป็นความสุขที่แท้จริง ไม่เหมือนความสุขทางกามารมณ์ ความสุขที่เป็นทาสของอายตนะ อร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตนั้น ในโลกนี้เขาก็เรียกว่า ความสุข แต่มันก็เป็นความสุขร้อนทำให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา อาจจะไหม้เกรียมไปก็ได้ โดยทางจิตใจ คือเป็นคนบ้าคนบอไปก็ได้ แต่ว่าถ้ามันเป็นเรื่องความสุขแท้ของความที่กิเลสไม่รบกวนแล้ว ไม่มีอันตราย มันจะอยู่สบายจะอายุยืน จะเป็นคนมีประโยชน์ เรียนหนังสือก็ได้ดี ทำงานก็ได้ดี พักผ่อนก็พักผ่อนได้ดี ช่วยเหลือผู้อื่นก็ช่วยเหลือได้ดี นี้ขอให้สนใจว่า นี่คือธรรมะ สำหรับความเป็นมนุษย์ที่เรายังไม่เคยได้เรียน เราก็ยังไม่รู้จักทำให้ชีวิตนี้ให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ถึงที่สุด คือทำให้มันเย็นไม่ได้ มันก็ไม่เป็นประโยชน์ถึงที่สุด เราก็เลยไม่เป็นมนุษย์ ถ้าว่าที่จริง เป็นได้แต่เพียงคน ยังไม่เป็นมนุษย์ ใครๆ ก็เกิดมาเป็นคน นี่เป็นได้แน่ แต่ถ้าเป็นมนุษย์มันต้องมีจิตใจดีกว่านั้น จิตใจสูงกว่านั้น คือมีจิตใจที่มีความทุกข์ไม่เป็น เพราะว่า คำว่า มนุษย์ แปลว่า จิตใจมันสูง มันสูงกว่า อยู่เหนือความทุกข์ มันทุกข์ไม่ได้ มันเป็นจิตใจที่ไม่มีความทุกข์จึงเรียกว่า มนุษย์ มันมีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ สว่าง แจ่มแจ้ง แลสงบเย็น เราใช้คำจำง่ายๆ ว่า สาม ส. ส. สะอาด ส.สว่าง ส.สงบ จิตใจชนิดนี้สูงพอที่จะเรียกว่า มนุษย์ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็สกปรก มืด และร้อน มันก็เป็นธรรมดาเป็นได้แต่เพียงคน
เพราะฉะนั้นขอให้สนใจที่จะเป็นมนุษย์กันให้ได้มันก็พอแล้ว มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าเป็นมนุษย์ได้มันก็มีความสุข และก็เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ที่อยู่ข้างเคียง เรียกว่า เราเองก็เป็นสุข เพื่อนมนุษย์ก็เป็นสุข เดี๋ยวนี้เรายังเป็นไม่ได้ เพราะเรายังร้อนอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา เรายังไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าเรายังต้องกินยาปวดหัวอยู่บ่อยๆ ใครไม่ต้องกินยาปวดหัวบ้าง ไม่ต้องยกมือ ไม่เชื่อ ใครไม่เคยกินยาปวดหัว แล้วก็ใครไม่ต้องกินยานอนหลับบ้าง ทายเอาก็ถูกว่า หลาย ๆ คนที่นี่ต้องกินยานอนหลับอยู่บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นมันนอนไม่หลับ นี่ใครเคยเห็นแมวมันปวดหัว ต้องกินยาปวดหัวบ้าง ใครเคยเห็นแมวมันนอนไม่หลับต้องกินยานอนหลับบ้าง มันไม่มี แมว หมา กา ไก่ สุนัข วัว ควาย อะไร มันไม่ต้องกินยาปวดหัว ไม่ต้องกินยานอนหลับ ก็ไปเทียบกันดูซิว่า ใครมันจะน่าหัวเราะกว่าใคร เป็นมนุษย์ทั้งที นอนไม่หลับต้องกินยาช่วยนอนหลับ ปวดหัวบ่อย ๆ อะไรหน่อยก็ปวดหัว เกรี้ยวกราด มันต้องกินยาแก้ปวดหัว เราจะประมาณดูว่า ทั้งโลก ทั้งโลกนี้มันคงกินยาปวดหัววันหนึ่งเป็นตัน ตัน ทีเดียว ทั้งโลก แล้วมันกินยานอนหลับวันหนึ่งกันเป็นตัน ตัน ทั้งโลก หมายถึงทั้งโลก ไอ้สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องกินสักเม็ดหนึ่ง เพราะมันไม่มีจะกิน เพราะมันไม่ต้องกิน เพราะมันไม่ปวดหัว เพราะมันไม่มีเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ เมื่อเราพูดไปอย่างนี้ ก็มีคนเขาคัดค้านว่า พูดเอาเอง แมวปวดหัว ใครจะไปรู้มัน หมาปวดหัวใครจะไปรู้มัน แมวนอนไม่หลับใครจะไปรู้มัน ไอ้คนธรรมดานี่มันรู้เพราะมันเห็นอยู่ว่า มันไม่มีเหตุที่ต้องให้ปวดหัว ไอ้เหตุที่ให้ปวดหัวเราเห็นอยู่ว่า เหตุที่ให้แมวหมาปวดหัวมันไม่มี นี่คือความคิดที่มันฟุ้งซ่าน มันวิตก มันกังวล มันอาลัยอาวรณ์ มันทะเยอทะยาน มากเกินไปกว่าที่จะมีอะไรมาสนองความต้องการได้ พอมันติดต่อกันนานเข้ามันก็ปวดหัวมันก็นอนไม่หลับ สิ่งเหล่านี้สัตว์มันไม่มี แต่คนมันมีมาก เพราะฉะนั้นเราละอายสัตว์กันเสียบ้าง สัตว์มันดีกว่าเราที่มันไม่ต้องกินยาปวดหัว ไม่ต้องกินยานอนหลับ
จะเห็นได้ง่ายๆ ก็ตรงว่า ไอ้สัตว์เหล่านั้น มันไม่มีพรุ่งนี้ ไม่มีวานนี้ สัตว์ไม่ได้คิดว่า พรุ่งนี้จะกินอะไร สัตว์ไม่ได้คิดว่า พรุ่งนี้ไอ้ลูกจะกินอะไร พรุ่งนี้ลูกจะมีสตางค์ไปโรงเรียนไหมนี่ สัตว์มันไม่ต้องคิด สัตว์มันไม่มีพรุ่งนี้ ไอ้ที่แล้วมาวานนี้มันก็แล้วไป มันก็ไม่ต้องคิด ไอ้เรามันคิดกันยุ่ง เพราะนั้นสัตว์มันถือคำสั่งสอนหรือมันมี การถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่ากังวลถึงอดีตที่ล่วงมาแล้ว อย่ากังวลถึงอนาคตที่ยังไม่มา จงจัดการแต่กับสิ่งที่มีอยู่เฉพาะหน้าที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทำให้ดีที่สุด แล้วสัตว์มันก็ทำอย่างนั้นจริงๆ แต่คนนี่มันไม่อย่างนั้น มันจะไม่สนใจเรื่องที่อยู่เฉพาะหน้า ไปเอาเรื่องอดีตหนหลังมาอาลัยอาวรณ์ได้หลายวัน หลายเดือน หลายปีย้อนหลังโน่น แล้วมันหวังในอนาคตแล้วมันก็สร้างวิมานในอากาศมันก็เป็นอนาคตที่มากเกินไป จนปัจจุบันนี้ ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง นั้นโดยธรรมชาติ โดยอัตโนมัติ สัตว์เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้ามากกว่าคน น่าละอายไหม คิดดูเถอะ เพราะว่าสัตว์ไม่ถูกผูกพันด้วยอดีต และอนาคตเหมือนคน เพราะฉะนั้นสัตว์จึงไม่ปวดหัว จึงไม่นอนไม่หลับ นี่ไม่ได้บอกให้ไปเป็นสัตว์ แต่บอกให้รู้สึกละอายแก่สัตว์บ้าง เพราะเรา ยังไง ยังไงก็อย่าให้ละอายแก่สัตว์เลย รู้จักดำรงจิตใจไว้ในลักษณะที่ไม่ต้องปวดหัวเถิด ดำรงจิตใจไว้ในลักษณะที่ไม่ต้องนอนไม่หลับเถิด นั่นแหละจะเป็นสาวกลูกศิษย์พุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า นี่คือการศึกษาธรรมะ เพื่อประโยชน์อย่างนี้ เพื่อเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง อยู่เหนือความทุกข์ เดี๋ยวนี้มันไม่อย่างนั้น มันตรงกันข้าม ในความทุกข์ที่มันไม่เคยมี มันทำให้มีขึ้นมา ทำให้มีขึ้นมา เมื่อก่อนมนุษย์นี่มันก็เหมือนสัตว์ ไม่คิดมาก ไม่หวังมาก ไม่อะไรมาก มันก็เป็นสัตว์ เกือบจะระดับสัตว์ ที่เราเรียกว่า ครึ่งคนครึ่งสัตว์ มันก็ยังไม่ค่อยปวดหัว แม้คนป่านี่ก็ไม่มีปัญหา เพราะมันไม่สร้างปัญหาขึ้นมา เพราะมันไม่มุ่งหมายอะไรเกิน เดี๋ยวนี้เราทำให้มันเกิน เรื่องมันก็มาก เมื่อทำไม่ทัน มันก็ปวดหัว เพราะเราควรจะลดไอ้สิ่งที่มันเกินๆ ออกไปเสีย ให้ปัญหามันน้อยลง เรื่องกินเกิน เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเกิน เรื่องที่อยู่อาศัยใช้สอยเกิน แม้แต่เรื่องบำบัดไข้โรคภัยไข้เจ็บก็อย่าให้มันเกิน อย่างนี้เขาเรียกว่า มันจะไม่เกิดปัญหาชนิดที่มันไม่เกิดแก่สัตว์ นี่เราสูงขึ้นมากว่าสัตว์ ทุกคนจะพูดอย่างนั้นว่า มนุษย์สูงขึ้นมากว่าสัตว์ โดยเฉพาะมันสมอง และจิตใจ แล้วนี่สูงขึ้นมาทำไม สูงขึ้นมาในลักษณะไหนหล่ะ จึงมาปรากฏอยู่เป็นพวกที่นอนไม่หลับ ปวดหัวอยู่เสมอ มีความทุกข์ทรมานอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ อย่างนี้มันก็ไม่สูงมันก็น่าละอายสัตว์อยู่ร่ำไป นั้นช่วยกันเร็วๆ ศึกษาธรรมะที่ประพฤติปฏิบัติแล้วทำให้ไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องนอนไม่หลับ ไม่ต้องทุกข์ทนหม่นหมอง ไม่ต้องเลยไปจนถึงเบียดเบียนผู้อื่น สัตว์นั้นไม่เบียดเบียนกัน นอกจากที่มันกินเป็นอาหารเท่านั้น นั่นไม่เรียกว่าเบียดเบียน ที่จะยกกองทัพมาฆ่ากันเหมือนมนุษย์ นี่ทำไม่เป็น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำ เราจะเห็นแต่ว่า สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กเป็นอาหาร ปลาใหญ่กินปลาเล็กเป็นอาหาร นั้นมันไม่ใช่ลักษณะแห่งสงครามหรือการเบียดเบียน มันมีลักษณะเหมือนที่ว่า แมวมันก็ต้องกินหนู เพราะมันมีธรรมชาติอย่างนั้น มันสร้างกันมาอย่างนั้น แต่คนเราไม่อย่างนั้น เอาเปรียบผู้อื่น รุกล้ำผู้อื่น ใช้เครื่องมืออันวิเศษ อันลึกล้ำ จนเรียกว่า ทำสงคราม ทำมหาสงคราม นี่มันก็น่าละอายสัตว์ ที่ว่าสัตว์มันเบียดเบียนกันอย่างนั้นไม่ได้ มันเพิ่งมีในเมื่อมนุษย์มันมีมันสมอง มันเจริญ แล้วในที่สุดก็ได้มีปัญหาสำหรับมนุษย์ แม้ที่สุดแต่ว่านอนไม่หลับ หรือปวดหัวนี่ สมน้ำหน้ามัน อย่างนั้นใครจะอยู่กลุ่มนี้ก็รีบถอนตัวออกไปเสียเถอะ ก็อย่าไปอยู่ในกลุ่มที่น่าละอายแก่สัตว์ ดำรงตนให้ถูกต้อง ไม่ต้องมีเรื่องปวดหัว ไม่ต้องมีเรื่องนอนไม่หลับ ต้องไม่มีเรื่องกระสับกระส่าย โศกเศร้า เกลียดกลัว อะไรมากมายเหมือนที่สัตว์มันไม่มี คนแปลว่า เกิดมา ไอ้มนุษย์ แปลว่า ใจมันสูง อย่าเอาไปปนกันเสีย มันจะทำให้เข้าใจผิด เราพยายามแยกคนออกมาจากมนุษย์ พวกลัทธิซ้ายเขาว่านี่ ไม่ได้แล้วมันเป็นการแบ่งชั้นวรรณะ แบ่งชนชาติ แบ่งชนชั้นแล้ว ชนชั้นมนุษย์ ชนชั้นคน แบ่งแยกกันไม่ได้ เราว่า เราแบ่งแยก เราต้องแบ่งแยกคนออกจากมนุษย์ ให้มันอยู่กันคนละชั้น มนุษย์ มันต้องดีกว่าคน เพราะว่า คนนี่พอเกิดมามันก็เป็นคน แต่มนุษย์นี่มันต้องดีกว่านั้น มันต้องมี ธรรมะสำหรับมนุษย์ นี้คนโบราณเขาถือเป็นหลัก และสอนสืบๆ กันมาว่า ธรรมะทำให้คนต่างจากสัตว์ คือมาเป็นมนุษย์ การกินอาหาร การนอนหลับ การขี้ขลาด หนีอันตราย การสืบพันธุ์ เหล่านี้ เหมือนกันทั้งมนุษย์ และสัตว์ ไม่มีความผิดแปลกแตกต่างกัน ไอ้ส่วนนั้นมันเสมอกัน แล้วส่วนที่แปลกกันคือ มีธรรมะ ธรรมะที่เรามาแสวงหาเป็นการศึกษาที่สาม ต้องเอามาใส่ให้เต็ม แล้วเราก็จะผิดแปลกแตกต่างจากสัตว์ เดี๋ยวนี้การศึกษาของเราเป็นระบบหมาหางด้วน มันขาดส่วนที่สาม เรียกว่า การศึกษาไม่สมบูรณ์ ไม่ทำให้คนผิดแปลกแตกต่างจากสัตว์ ถ้าเรามีแต่การศึกษาเพียงเท่านี้มันก็มีแต่คนเห็นแก่ตัว เป็นอันธพาล เต็มบ้านเต็มเมือง อันธพาล ชุมยิ่งกว่ายุง ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก คอยดูเถอะ อันธพาลจะชุมยิ่งกว่ายุง มากขึ้นไปอีก เพราะมันไม่มีธรรมะ ที่จะควบคุมคนไว้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องไม่เป็นอันธพาล
นี่อาตมาก็แสดงความยินดี ขอแสดงความยินดีหน่อยว่า ที่เธอทุกคนมาที่นี่ ให้เข้าใจว่า เพื่อมาหาการชดเชย ถ้าไม่จริงเราก็โง่ไปคนเดียว เพราะว่าเธอไม่ได้มาหาการชดเชย ส่วนที่มันขาด แต่หวังเหลือเกินว่า ทุกคนมาที่นี่จะมาหาธรรมะชดเชยการศึกษาที่สามซึ่งมันยังขาดอยู่ ถ้าทำได้มันก็คุ้มค่ามา ค่าเหนื่อย ค่าเสียเวลา ค่ารถ ค่าอะไรต่างๆ เอาหล่ะ เป็นอันว่า ถือว่ามาที่นี่มาหาการศึกษาที่สาม หรือว่าชดเชยให้กับการศึกษาที่สามที่มันมีอยู่บ้างแล้ว ก็ขออนุโมทนา เพราะมันเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา แต่ถ้าว่ามาเพื่ออย่างอื่น แล้วก็ไม่ ไม่มีอะไรจะพูด
เป็นอันว่าเราจะต้องศึกษา หาการศึกษาที่สามมาชดเชย คือมีธรรมะ มีศาสนา มีธรรมะ ก็ควรจะพูดกันถึงคำว่า มีธรรมะกันอย่างไร มาศึกษาธรรมะเพื่อไปเป็นผู้มีธรรมะ หลักธรรมะนั้นเป็นอย่างไร เมื่อกล่าวโดยผล คือ มีความสุข ทั้งตนเองและผู้อื่น นี่มันเป็นเรื่องผล ทำอย่างไรมันจะได้มา มันต้องกล่าวโดยเหตุ มันต้องพูดถึงเหตุว่า ทำอย่างไรมันถึงจะได้ผล คือความเป็นสุขส่วนตนและทั้งผู้อื่น เราก็ต้องปฏิบัติธรรมะ เราต้องเรียนธรรมะ ให้รู้พอสำหรับปฏิบัติ นี่เรื่องธรรมะนี่มันมาก ถ้าแจกเป็นรายข้อ แล้วมากจนจำไม่ไหว นั้นจึงต้องสรุปเป็นหมวด ๆ นั้นจึงอยากจะเอาอย่างที่สรุปมาแล้ว ที่เห็นว่าดีที่สุดแล้วมาบอกแก่พวกเธอว่าถ้าจะปฏิบัติธรรมะแล้ว ก็ขอให้ปฏิบัติไปในรูปแบบ สามหมวด คือ หนึ่ง มันรักผู้อื่น สอง มันบังคับตัว สาม มันเป็นสุขในการงาน ถ้าไม่จดก็ช่วยจำไปให้ได้นะ ไม่งั้นเสียค่ารถเปล่ามาที่นี่ หนึ่ง ต้องรักผู้อื่น สองมันต้องบังคับตัว สามมันต้องเป็นสุขในการงาน
รักผู้อื่นนั่น เป็นหลักของทุกศาสนาเลย ไม่ว่าศาสนาไหนในโลกนี้ เป็นศาสนาคริสตังแล้วก็ยิ่งเน้นมาก พระเยซูเน้นมากเรื่องรักผู้อื่น เรื่องไม่โกรธผู้อื่น เรื่องให้อภัยแก่ผู้อื่น เรื่องอะไรนี้เน้นกันทุกศาสนา ศาสนาพุทธก็เหมือนกัน โลกนี้ไม่มีความสงบสุขเมื่อไม่มีการรักผู้อื่น ดังนั้นเราจึงให้ทุกคนถือหลักว่า สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าเอาแต่คนเลย เอาลงไปถึงสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไอ้คนก็เป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย สัตว์เดรัจฉาน ทุกชนิดมันก็เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่ เจ็บ ตาย เพราะมันมีความรู้สึกเหมือนกัน ทีนี้ต้นไม้ต้นไร่มันก็มีชีวิต มันมีความรู้สึก เดี๋ยวนี้ไม่มีปัญหาแล้ว ทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้าจนพบว่า ไอ้ต้นไม้มันก็มีความรู้สึกไม่อยากตาย อยากได้การประเล้าประโลมอะไรเหมือนกัน มันก็เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วย นั้นเราอย่าเบียดเบียนสัตว์เดรัจฉาน อย่าเบียดเบียนต้นไม้ มันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บตาย ถ้าเราวางหลักถึงขนาดนี้แล้ว ก็เบียดเบียนใครไม่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่นได้โดยไม่ยากลำบาก นี่จึงยกไอ้เรื่องรักผู้อื่นขึ้นมาเป็นข้อแรกสำหรับศีลธรรมในโลก เดี๋ยวนี้ในโรงเรียนมันก็ยังตีกัน มันยังตีกันระหว่างโรงเรียน มันก็ยังตีกันระหว่างวิทยาลัย อย่างที่หนังสือพิมพ์เขาลงบ่อย ๆ มีการยกพวกตีกัน ระหว่างวิทยาลัยบ่อย ๆ นี่ ระบบการศึกษาหมาหางด้วนมันเป็นอย่างนี้แหละ มันยังต้องตีกัน ต่อไปอีกแหละ เพราะมันไม่รู้จักรักผู้อื่น เพราะฉะนั้นเราจึงจงฝึกฝนการรักผู้อื่นเท่าที่เราจะทำได้ เราจะนึกถึงจิตใจของผู้อื่น ถ้าเราสามารถจะช่วยเหลือผู้อื่น แล้วก็ฝึก ไว้ให้เป็นนิสัยเถอะ ไม่ต้องช่วยเหลืออะไรมากมาย เพราะว่าเราก็ไม่ค่อยมีเงินมีอะไร แต่ถ้าว่า มันจะช่วยเหลือกันได้หล่ะก็ ทำดีกว่า ระเบียบโบรงโบราณ พวกเราอาจจะเห็นว่า ครึ คระ เขาก็ยังมีโดยถือเป็นหลักว่า ถ้ายังไม่ได้ให้ผู้อื่นกิน แล้วตัวเองจะยังไม่กิน เดี๋ยวนี้ใครทำอย่างนี้ บ้าง ตั้งหลายร้อยคนที่นั่งอยู่ที่นี้ เดี๋ยวนี้ใครทำอย่างนี้บ้าง ถ้ายังไม่ได้ให้ผู้อื่นกิน ตัวเองจะยังไม่กิน นี่เขาถือกันอย่างนี้ ถ้าไม่มีคนมาให้สุนัขกินก็ได้ แมวกินก็ได้ ให้แมวให้สุนัขให้ไก่กินก่อนก็ได้ แล้วเราจึงจะกิน ถ้าไม่มีอะไรจริง ๆ ไอ้มดตัวเล็ก ๆ ที่เดินไปเดินมาอยู่นั่น ให้มันกินก่อนเถอะ แล้วเราจึงค่อยกิน นี่คนโบราณเขาถือกันอย่างนี้ เพราะย้อมนิสัยให้ลึกลงไปถึงกับว่า รักผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น จนมีหลักขึ้นมาว่า ถ้ายังไม่ได้ให้ใครกินก่อนแล้ว ก็ยัง ตัวเองยังไม่กิน ที่ยังเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ง่ายๆ มากๆ ก็เช่นว่ายังไม่ได้ใส่บาตร ก็ยังไม่กินนี่ก็ยังมีอยู่มาก แต่ที่ถึงกับว่า พอจะเปิปข้าวเข้าปากนี่ ต้องแบ่งออกไปวางไว้ให้มด ให้แมลง ให้นก ให้สัตว์อะไรกินก่อนนี่ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว แต่ก็ยังเห็นอยู่ อาตมาก็ยังเห็นอยู่ แต่อย่าระบุเลยว่า ที่ไหน เดี๋ยวมันจะกระทบกระเทือน แต่ก็ยังมีคนปฏิบัติอยู่ มันเพาะนิสัย จิตใจ ชนิดที่ว่า ไม่ดูดาย ไม่ cool mind เหมือนที่ว่าเมื่อตะกี้ ไอ้ใจจืดใจชืดอย่างนั้นมันก็ไม่มี มันก็เกิดความรักความเมตตาขึ้นมาในโลกนี้ นี่แหละข้อที่หนึ่งหลักธรรมะ คือการรักผู้อื่น แล้วมันก็ทำลายความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวน้อยลง น้อยลง ถ้าหมด มันก็บรรลุมรรคผล นิพพาน ที่จะพูด พูดกับคนที่เห็นแก่ตัว ถ้าใครเห็นแก่ตัวเราก็จะพูดว่า ไอ้ช่วยผู้อื่นนั่นแหละมันย้อนกลับมาช่วยตัว นี่เราจะช่วยผู้อื่นทั้งบ้านทั้งเมือง ช่วยไปเถอะ แล้วผลนั้นมันจะกลับย้อน มาเป็นประโยชน์แก่ตัว เพราะนั้นดูซะใหม่ว่า ช่วยผู้อื่นนั้นมันก็คือช่วยตัว ช่วยตัวเอง จริง ไม่จริง ก็ไปดูเอาเองเถอะ ขอให้ช่วยผู้อื่นไว้ให้รอบด้านเถอะ แล้วการช่วยผู้อื่นนั้นมันจะย้อนกลับมาช่วยตัวผู้นั้น มันจะเต็มไปด้วยผู้หวังดี กรุณาเมตตา เอ็นดู เป็นเพื่อนคอยคุ้มครอง มันก็เลยกลายเป็นมาช่วยตัว เพราะฉะนั้นอย่าเห็นว่า ช่วยผู้อื่นนั้นเสียเปล่า สูญเปล่า นั้นมันเป็นเรื่องของคนตาสั้น มันไม่เห็นอะไร ถ้าตามันปกติ มันจะมองเห็นตลอดไปถึงว่า ช่วยผู้อื่นแล้วมันก็คือ ช่วยตัว นี่ข้อที่หนึ่งคือ รักผู้อื่น
ข้อที่สอง บังคับตัว บังคับตัว ความหมายมันไปถึงว่า บังคับจิตโน่น บังคับจิต นี่มันไปถึงบังคับกิเลสโน่น บังคับกิเลส บังคับจิตนั่นคือบังคับตัว เดี๋ยวนี้เราไม่บังคับตัว และการศึกษาสมัยใหม่นี้ไม่สอนให้บังคับตัว การศึกษาสมัยใหม่ที่ว่าหมาหางด้วนอย่างยิ่ง หรือเป็นช้างหางด้วน ด้วยซ้ำไป ของประเทศใหญ่ ๆ มันสอนไม่บังคับตัว ไม่บังคับความรู้สึก ไปสอนกันแต่ว่า บังคับความรู้สึกนี่มันกดดัน มันเสียอิสรภาพ มันไม่เป็นสุข ก็เลยไม่สอนให้บังคับตัว เด็กนักเรียนไม่ได้รับการสั่งสอนให้บังคับตัว ถ้าไปเคารพครูบาอาจารย์มันเป็นการสูญเสียอิสรภาพ มันก็เลยไม่ต้องเคารพครูบาอาจารย์ ถึงกับยอมให้ว่า ถ้าว่าไอ้เด็กนักเรียนคนหนึ่งมันจะจุดประทัดโยนใส่ครู เมื่อเข้ามาในห้องเรียนก็ให้ถือว่า เป็นเรื่องประชาธิปไตย ดีแล้ว เป็นกันเองแล้ว เป็นความสุขด้วยกันแล้ว คือไม่ต้องบังคับตัว นี่มันก็สูญหมด ไอ้การบังคับตัวให้อยู่ในระเบียบมันก็สูญหายหมด เพราะฉะนั้นเราจึงมีปัญหามากขึ้น เนื่องจากการไม่บังคับตัว นับตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ก็ไม่บังคับตัว มันก็ดื้อดึง มันก็สร้างปัญหา มันก็ไม่ทำตามระเบียบแบบแผนข้อบังคับของโรงเรียน ของศาสนา ของอะไรต่าง ๆ ที่นี้ กิเลสก็ไสหัวมัน ไสหัวผู้ไม่บังคับตัว คือ ไม่บังคับจิต ไม่บังคับกิเลส แล้วกิเลสมันก็ไสหัวเขาไปประพฤติเลว ประพฤติชั่ว เป็นอันธพาล ไปดูเถอะอันธพาลคนไหนในโลกนี้ มันก็คือ คนไม่บังคับตัว นั้นมันก็ขโมยบ้าง ปล้นจี้บ้าง ข่มขืนบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง ทุกอย่างมันเป็นกิเลสที่ไม่บังคับตัว การไม่บังคับตัวมันให้ผลอย่างนี้ ก็ลงไปนอนในอบาย ในนรก แล้วเพื่อนมนุษย์ทุกคนก็พลอยเดือดร้อน เพราะ ผู้ที่ไม่บังคับตัว เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนเริ่มต้นบังคับตัว ตามระเบียบแบบแผนของโรงเรียน อย่าดื้อดึง ให้บังคับตัว จากกฎเกณฑ์ภายนอก ก็ให้ทำตาม และที่เป็นภายในก็ต้องบังคับ อยากจะโกรธ ก็อย่าโกรธเลย อยากจะหลงรัก ก็อย่าไปบ้าเลย อยากจะประมาทอวดดีสับเพร่า อะไรก็อย่าไปทำเลย บังคับไว้ให้ได้ นี่เรียกว่า ผู้บังคับตัว และก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น คือจะปลอดภัยจากความทุกข์ทั้งภายนอก และภายใน จะไม่ถูกอันตรายจากอันธพาลภายนอก ภายในก็ไม่ถูกไฟกิเลสเผารนให้เร่าร้อน และที่ดีก็ว่าจะไม่ต้องละอายแมว คือจะไม่ปวดหัว คนที่บังคับตัว บังคับให้มีระเบียบร่องรอยอยู่ในนี้ มันจะไม่ต้องปวดหัว จะไม่ต้องนอนไม่หลับ จะไม่ต้องชนิดที่ว่า ขาดธรรมะนั่น มันก็มีความสุขส่วนตน ผู้อื่นที่อยู่ข้างเคียงก็พลอยได้รับความสุข นั้นขอให้บูชาการเคารพ เอ้ยการบังคับตัว ซึ่งเป็นหลักของทุกศาสนาด้วยเหมือนกัน เมื่อตะกี้ว่า การเห็นแก่ผู้อื่น รักผู้อื่นนั้นเป็นหลักศาสนาทุกศาสนา แต่การบังคับตัวนี่ก็เป็นหลักในศาสนาทุกศาสนา เราควรจะบังคับตัว โดยเฉพาะคือบังคับกิเลส ถ้าจะโกรธก็อย่าเพิ่งโกรธ ละอายเมื่อโกรธ มีหิริโอตัปปะก็จะบังคับได้ เครื่องช่วยให้บังคับได้นั่น คือ หิริ และโอตัปปะ ถ้าเราไม่ละอาย เราเป็นคนดื้อด้าน เราก็ไม่บังคับตัว ถ้าเราเป็นคนบ้าระห่ำ ไม่รู้จักกลัวชั่ว กลัวบาป เป็นคนบ้าบิ่น บ้าระห่ำ มันก็ไม่บังคับตัว เพราะมันไม่มีหิริ ไม่มีโอตัปปะ เพราะมันละอาย มันกลัวต่อความชั่ว มันก็บังคับตัวได้ หรือจะสรุปว่า มันไม่รู้จักเข็ดหลาบ ถ้ามันรู้จักเข็ดหลาบในการพลั้งพลาดในการเสียหาย แล้วมันก็บังคับตัวได้ นั่นเราพยายามที่จะมีหิริ และโอตัปปะ อย่าเป็นคนกระด้าง อย่าเป็นคนด้าน อย่าเป็นคนบ้าบิ่น อย่าเป็นคนไม่รู้จักหลาบ ไม่รู้จักจำ ดังนี้แล้วเราก็จะบังคับตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ บังคับกิเลสซึ่งมันยากแสนยาก ถ้าบังคับได้จริง หมดไปแล้ว มันก็บรรลุ มรรคผลนิพพาน เดี๋ยวนี้เอาแต่ว่า อยู่ในโลกนี้ในบ้านในเมืองนี้ก็บังคับตัวให้เต็มที่ ที่จะไม่สร้างปัญหาขึ้นมา นี่หลักธรรมะข้อที่สองว่า บังคับตัว พวกฝรั่งสมัยโบราณที่เขาเข้ามาในเมืองไทย เขาอวดคุณธรรมข้อนี้กันนัก ระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยของเขานิยมความเป็นสุภาพบุรุษกันสูงสุด นี่คือการบังคับตัว เพราะความเป็นสุภาพบุรุษนั่นเอง หรือความเป็นสุภาพบุรุษ ก็คือผู้ที่บังคับตัวได้นั่นเอง เดี๋ยวนี้ฝรั่งเขาก็ตัดออกไปแล้วเหมือนกันไอ้การศึกษาส่วนที่สามนี่ เขาเป็นผู้นำในระบบการศึกษาหมาหางด้วน เราไปตามก้นเขา ไปตัดหางตามเขา เราก็เป็นหมาหางด้วนตามเขา เรื่องในนิทานอิสป หรือหนังสือเล่มสอนอ่านตอนสมัยแรกๆ โน่นก็มีอยู่อย่างนี้ เรื่องหมาหางด้วน มันติดกับหางด้วน แล้วมันก็หลอก เที่ยวหลอกหมาทั้งหลายว่า หางด้วนดีกว่า สบายกว่า อะไรดีกว่า ไอ้หมาโง่ๆ มันก็พลอยตัดหางตาม ไอ้หมาแก่ฉลาดตัวหนึ่งบอกว่า กูไม่เอา เรื่องนี้โกหก ไม่จริง หลอกลวง เขาไม่ยอมตัดหาง ประเทศไทยเราพุทธบริษัทควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะไม่ยอมตัดหาง ควรจะมีการศึกษาที่สมบูรณ์ต่อไปตามเดิม
ที่นี้ข้อที่สาม หลักข้อที่สาม ว่ามีความสุขในการทำงาน นี้เพื่อจะแก้นิสัยสันดาน ของคนทุกคน คือถ้าพูดตรงๆ ว่าทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครอยากทำงานหรอก ที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนใครมันอยากทำงานบ้าง ถ้าไม่ต้องทำดีกว่าใช่ไหม ที่ทำนั่นเพราะจำเป็นใช่ไหม ที่ต้องเรียนหนังสือนี่เพราะมันจำเป็นใช่ไหม ดูที่ต้องทำงานอะไรก็ตามเพราะมันจำเป็น โดยเนื้อแท้แล้วมันอยากนอน เหมือนสุนัขกับแมว พอว่างเข้าก็นอน ไม่จำเป็นก็ไม่ไปหากิน มันจึงไม่ค่อยมีเรื่องปวดหัว เดี๋ยวนี้ เรามันต้องเครียด มันจำเป็นต้องทำงาน ต้องเรียน ต้องต่อสู้อะไรต่าง ๆ มันก็มีเรื่องปวดหัวเป็นธรรมดา เอาเป็นว่าถ้าเราสมัครเสียเลย เราสมัครเสียเลย ไม่ต้องขัดแย้งกัน ไม่ต้องมีการขัดแย้งกันระหว่างนิสัยสันดานกับการเป็นอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ก็ผสมโรงไป สนุกในการทำงาน คืออยากจะให้ระลึกนึกถึงความจริงอันลึกซึ้งของธรรมชาติว่า ธรรมชาตินี้มันสร้างหน้าที่มาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องทำหน้าที่ ถ้าทำหน้าที่ของตนนั่น คือถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แต่มนุษย์ไม่ชอบ มนุษย์ไม่ชอบ ก็อยากจะไม่ทำ ถ้ามนุษย์ทำ ก็เป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ถูกต้อง ถ้าเรามีหลักในข้อนี้ว่า ไอ้ธรรมชาตินี่เป็นธรรมะข้อแรก แล้วกฎของธรรมชาติเป็นธรรมะข้อที่สอง บังคับให้ธรรมชาติให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ นั้นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติสำหรับสิ่งที่มีชีวิตนี่เป็นธรรมะข้อที่สาม หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วผลที่ได้รับตามหน้าที่นั้น เป็นธรรมะข้อที่สี่ข้อสุดท้าย ไอ้ธรรมะข้อที่สามว่าให้ทำหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาตินั่นนะ แล้วจะได้รับผลตอบแทนคือ ความปกติ ความเป็นสุข ความไม่มีปัญหา นั้นสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายต้องทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ที่แรกก็คือ พยายามให้รอดชีวิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องหากิน ต้องกิน ต้องอาบ ต้องถ่าย ต้องบริหารกาย ต้องทำทุกอย่างเพื่อรอดชีวิตอยู่ได้โดยปัจจัยทั้งสี่ นี่หน้าที่ที่แรก ถ้าไม่ทำมันก็เกิดปัญหา หรือว่าถึงกับตายไปเลย อยู่ไม่ได้ แต่ว่าหน้าที่เพียงให้รอดชีวิตอยู่ได้นี้ไม่พอ ต้องให้ดียิ่งขึ้น ดียิ่งขึ้นๆ จนถึงจุดสูงสุดของความดีของมนุษย์ นี้เป็นหน้าที่ส่วนที่สอง หน้าที่ภาคแรก ให้รอดชีวิตอยู่ได้ หน้าที่ภาคสอง ให้ถึงที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะไปถึงได้ นั้นถ้าใครไม่ทำหน้าที่นี้ คนนั้นไม่ควรจะเป็นมนุษย์ เป็นแต่คนก็แล้วกัน เป็นแต่คนไปเถอะ อย่าเป็นมนุษย์เลย เป็นแต่คนในระดับที่คล้ายๆ สัตว์ นั้นเราต้องสนุกในการทำหน้าที่ นั้นจึงจะสมคล้อยกับธรรมชาติ ที่มันมีกฎของธรรมชาติระบุไว้ว่า สิ่งที่มีชีวิตต้องทำหน้าที่ นั้นเราอย่ามัวขี้เกียจอยู่เลย คนทุกคนในโลกไม่ได้รักทำงาน ขี้เกียจ ทำเท่าที่จำเป็นบังคับ แล้วก็อยากรวยลัด คือไม่ต้องทำหน้าที่เหน็ดเหนื่อยแล้วรวยมากๆ กระทั่งว่าไม่ได้อย่างใจก็ขโมย หรือเป็นอันธพาลนี่ เพราะเขาไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำหน้าที่ตามระเบียบตามกฎเกณฑ์ เขาจึงรวยลัด เรียนลัด ขโมยเป็นต้น เขาไม่อยากทำหน้าที่ นั้นผู้ที่ทำหน้าที่ เป็นผู้เป็นมนุษย์ ที่ควรเคารพนับถือว่า เขาเป็นมนุษย์ เขาจะแจวเรือจ้างอยู่ก็ดี เขาจะถีบสามล้ออยู่ก็ดี เขาจะล้างท่อถนนอันสกปรกก็ดี จะเป็นกวาดถนนก็ดี หรือทำงานต่ำๆ ง่ายๆ อะไรก็ดี ก็ควรจะถือว่า เขาทำหน้าที่ของมนุษย์เต็มตามกำลังสติปัญญาที่ธรรมชาติมอบให้แก่เขา ธรรมชาติมันมอบสติปัญญาให้แก่คนทั้งหลายนี่ไม่เท่ากัน คนหนึ่งควรที่จะไปเป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี อะไรก็ตามเป็นลำดับๆ กระทั่งคนหนึ่งมันเหมาะแต่สำหรับจะแจวเรือจ้าง นี่ครั้งหนึ่งไปกรุงเทพ เห็นคนแจวเรือจ้าง สมัยโน้นมีแต่แจวเรือจ้าง มันคมนาคมมันใช้เรือจ้างมากในแม่น้ำ มันแจวเรือจ้างไปพลาง ร้องเพลงไปพลาง เราจ้างเขาแจว ไกลตั้งสองชั่วโมง จากไอ้สถานีรถไฟแห่งหนึ่งกว่าจะไปถึงที่อยู่ ก็ต้องแจวเรือตั้งสองชั่วโมง เขาร้องเพลงไปพลาง แกว่งเท้าเฉิบ ๆ ไปพลาง ไอ้เท้าหนึ่งแกว่งไปพลาง เป็นสุขเมื่อแจวเรือจ้าง เออ,เราเห็นว่า นี่มันเก่งกว่าเราแล้ว มันบังคับความรู้สึกได้ มันสนุกในการทำงาน สมตามที่พระเจ้าเขาจัดมาให้ หรือธรรมชาติ หรือกฎของธรรมชาติมันจัดให้ เขาสนุก ในการทำงาน นั้นเขาไม่มีปัญหา เขาเป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา เป็นคนสุจริต ที่พูดนี้หมายความว่า ทุก ทุกชนิดของการงาน เราต้องถือว่าเป็นหน้าที่ เมื่อได้ทำหน้าที่แล้ว นั้นคือการประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม นั้นธรรมะแปลว่า หน้าที่ การทำหน้าที่คือ การปฏิบัติธรรมะ เป็นนักเรียน การเรียนเป็นหน้าที่ การทำหน้าที่เล่าเรียน คือการปฏิบัติธรรมะ ฉะนั้นมันจึงแล้วแต่ว่า เขาจะมีหน้าที่อะไร อย่างไร เหมาะสมกับสภาพแห่งตัวเขา คือร่างกายเขาก็ดี จิตใจเขาก็ดี สติปัญญาเขาก็ดี มีมาเหมาะสำหรับทำอะไร เขาก็ทำตามที่เหมาะสม เขาก็ ทำหน้าที่ ก็เรียกว่า เขาทำถึงที่สุดแล้ว เขาทำหน้าที่ของมนุษย์สำหรับตัวเขาถึงที่สุดแล้ว แม้จะแจวเรือจ้างอยู่ ก็ควรได้รับความเคารพนับถือ มากเท่าที่เขาจะไปเป็นประธานาธิบดี พวกเทวดาในสวรรค์ ขี้เกียจทำงาน เอาแต่เล่นนั้น อย่าไปนับถืออย่าไปบูชา พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้แนะนำอย่างนั้น ให้ทุกคนทำตนให้เป็นประโยชน์ ถ้าว่าเทวดาเอาแต่เล่นแต่หัว เอาแต่สนุกสนาน อย่าไปเอาอย่างเขาเลย มันจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ คือ ไม่ทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้ทุกคนมันต้องการแต่จะสนุกสนาน เป็นทาสอายตนะ เหมือนพวกเทวดา มันทำไม่ได้โดยสุจริต มันก็เป็นอันธพาล ข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่า หรือทำอะไรทุกอย่าง ที่มันจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย แต่ให้ได้ความเอร็ดอร่อย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนี้ มันถือหลักผิด มันไม่สนุกในการทำงาน นั้นขอให้ถือหลักธรรมะถูกต้อง ซึ่งตรงกันทุกศาสนาเหมือนกันว่า ต้องทำหน้าที่ พระเป็นเจ้ากำหนดมาให้สัตว์ทุกตัวทำหน้าที่ ธรรมชาติก็กำหนดมาให้สัตว์ทุกตัวทำหน้าที่ หรือโดยเหตุผลตามปกติมันก็แสดงไปอย่างนั้น ว่าทุกคน ต้องทำหน้าที่ ทำหน้าที่แล้ว ก็เรียกว่า ถูกต้องตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ตามหลักศาสนา ตามความประสงค์ของพระเป็นเจ้า ดังนั้นขอให้ทุกคนทำหน้าที่และสนุกในการทำหน้าที่ อย่างนักเรียน สนุกในการเรียน สนุกที่สุดจนไม่อยากจะวางมือไปจากการเรียน หรือการงานที่กำลังกระทำอยู่ ให้มีความสุขเมื่อกำลังทำงานอย่างนั้นอยู่ ยิ่งกว่าที่จะมาเจี้ยวจ้าว เล่นหัวเป็นทาสของอายตนะ กระทั่งไปทำความเสียหายอย่างอื่น เพราะเห็นแก่ความสุขทางเนื้อทางหนัง มันผิดหมด นั้นเราทำหน้าที่อยู่ แล้วสนุกอยู่ แล้วผลร้ายจะไม่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้วก็เหมือนกันแหละ ทำงานเป็นราชการที่ออฟฟิศก็ดี ทำงานกลางทุ่งนา เรือกสวน อะไรก็ดี การค้าการอะไรก็ดี เมื่อทำงานอยู่ขอให้รู้สึกพอใจว่า เรามีความเป็นมนุษย์กันที่นี่ เราได้ทำหน้าที่ ก็คือได้ประพฤติธรรมะ เราก็ควรจะเป็นสุขและพอใจ จะละทิ้งหน้าที่นี้ไป ไปกินไปเล่น ไปทำอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร แล้วเห็นว่า เป็นสุขนั้นมัน คือ คนโง่ คนฉิบหาย คนจมลงในอบาย ถ้าพูดว่า เป็นความสุข มันก็เป็นความสุขสำหรับอยู่ในนรกน่ะ เราควรจะสนใจว่าไอ้ความสุขนี่ถ้า ข. สะกด มันก็พอดูได้ แต่ถ้า ก. สะกด สุก ก.สะกดแล้วมันคือ ร้อนเป็นนรก เป็นอบาย แต่ปัญหาที่สุขแล้วมันก็มี แต่ถ้าว่าอยู่เหนือสุขเสียได้เป็นนิพพาน แล้วนั่นก็หมดปัญหา เดี๋ยวนี้เมื่อเรายังนิพพานไม่ได้ ก็มีความสุขให้ถูกต้องก็แล้วกัน คือสุขที่มันเป็นฝ่ายเย็น เป็นฝักฝ่ายแห่งนิพพาน หยุดความร้อนเสียได้ มันก็เย็น นั่นแหละเป็นความสุขที่แท้จริง ถ้าเอาเหยื่อมาป้อนกิเลส ตัณหา เอร็ดอร่อย สนุกสนาน มันก็ความสุขหลอก หรือเป็นมายา เราเรียกว่า เป็นความสุขร้อน รู้จักไว้ให้ดี ๆ
ที่นี้ก็อยากจะพูดว่า ไอ้ธรรมะนี้ เป็นของจริงต่อเมื่อสัมผัสด้วยตนเอง เคยสวดมนต์ กันแล้วนี่ เข้าใจว่า นักเรียนทั้งหลายนี้เคยสวดมนต์กันเป็นทุกคน เมื่อสวดบทพระธรรมว่า สวาขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันบุคคลพึงเห็นด้วยตนเอง อกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา นี่ กระทั่ง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คนมีสติปัญญาก็จะเห็นได้ด้วยตนเอง นี่ก็หมายความว่า ไอ้ธรรมะนี้ ต้องปฏิบัติลงไปด้วยความรู้สึกในจิตใจ เพียงแต่จำได้ หรือจดไว้นี้ ไม่พอ ไม่พอที่จะสำเร็จประโยชน์ ต้องเป็นสันทิฏฐิโก ถ้าพูดว่า กิเลส ก็ต้องไปรู้สึกเมื่อมันมีกิเลสจริง ๆ เมื่อโลภขึ้นมา เมื่อโกรธขึ้นมา เมื่อโง่ขึ้นมา เมื่อกำหนัดยินดีขึ้นมา เมื่อนั้นจะรู้จักกิเลส นั้นสัมผัสลงไปที่กิเลสแล้วก็รู้จักกิเลส นี้เรียกว่า สันทิฏฐิโก ต่อกิเลส ที่นี้เมื่อใดว่างจากกิเลส มันเป็นอย่างไร ก็สัมผัสมันที่นั่น จนรู้จักว่างจากกิเลส เย็นอย่างไร สะอาด สว่าง สงบอย่างไร นี่ความเป็นสันทิฏฐิโก ร้อนเป็นไฟก็คือ นรก นี่คือนรกที่สัมผัสได้ และถ้ามันมีถูกต้องไปหมด ยินดี พอใจ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ มีความพอใจถึงกับยกมือไหว้ตัวเองได้ นี้มันก็เป็นสวรรค์ ก็เป็น สันทิฏฐิโก นรกก็มีทางเป็นสันทิฏฐิโก แก่คนทำผิด ทำชั่ว ทำบาป สวรรค์ก็มีความเป็นสันทิฏฐิโก แก่คนทำดี ทำถูก ทำกุศล นั้นเราไปเรียนกันในส่วนนั้น ให้เป็นสันทิฏฐิโก เห็นได้ชัดว่า ไม่ ไม่เป็นฤดูกาล ไม่ประกอบด้วยเวลา ทำผิด ทำชั่ว ร้อนทันที ทำถูก หรือทำถูกอยู่ก็เย็นอยู่เป็นปกติ นั้นพระนิพพานเอามาเป็นสันทิฏฐิโกได้ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ตามสมควรแก่เหตุการณ์แก่เวลา แก่ปัจจัย เมื่อเราไม่มีกิเลสร้อนอยู่ในใจ เมื่อนั้นรีบ สัมผัสไอ้ความเย็น ที่ไม่มีกิเลสนี่ว่า เป็นนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เมื่อเรามีจิตร้อนอยู่ด้วยกิเลส เป็นทุกข์ร้อนอยู่ รู้เรามีนรกอยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ แม้แต่นอนไม่หลับ ปวดหัว มันก็เป็นนรกชนิดหนึ่ง เพราะกิเลส เพราะเป็นผลของกิเลส เราป้องกันแก้ไขที่ต้นเหตุ อย่าต้องนอนไม่หลับหรือปวดหัวเพราะกิเลสเหล่านั้น ไม่ต้องเชื่อใคร แต่เราเชื่อการสัมผัสของเราเอง นี่คือความที่ว่า พุทธศาสนาต้องศึกษากันอย่างที่เป็นวิทยาศาสตร์ อย่าให้เป็นเรื่องต้องคำนวณแบบปรัชญาเลย เดี๋ยวนี้เขาหลงคำว่า ปรัชญากันมาก ทั้งโลก ประเทศไทยเราก็ตามก้นเขาตามเคย ไอ้หลงเรื่องปรัชญา จนเฟ้อจนไม่รู้ว่าทิศทางไหน จนไม่สามารถจะเข้าถึงศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาซึ่งมันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เพราะมันเป็นสันทิฏฐิโก ต้องมีอะไรจริงอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ จะปรับปรุงแก้ไขก็ทำไป จะใช้เป็นประโยชน์ก็ใช้ไป ต้องเป็นเรื่องจริงเสมอ ไม่เกี่ยวกับการคำนวณ ปรัชญาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำนวณ เกี่ยวกับฝันในโครงการ ในหลักการ ในอุดมคติ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่สำเร็จประโยชน์ ยังไม่สำเร็จประโยชน์ จนกว่าไอ้ส่วนที่ถูกต้องของมัน ถูกนำมาประพฤติ ปฏิบัติ สำเร็จประโยชน์มันก็กลายเป็นวิทยาศาสตร์ นี่พุทธศาสนา ต้องอยู่ในรูปแบบของวิทยาศาสตร์เสมอ นั้นขอให้ศึกษาการศึกษาส่วนที่สามนี่ในลักษณะของวิทยาศาสตร์ อย่าเพ้อฝันไปในรูปแบบของปรัชญา มันจะไม่รู้ แล้วมันจะยังคงเป็นการศึกษาหมาหางด้วน ขาดส่วนที่สามอยู่นั่นเอง อย่าหลงละเมอศึกษาในรูปแบบปรัชญา มันปฏิบัติไม่ได้ มันยังไม่ปฏิบัติมากกว่า การศึกษาในระบบ ระแบบหรือวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือมีตัวจริง ของจริง มีปัญหาจริง มีวัตถุแห่งปัญหาจริงๆ เอามาวางลง สัมผัส ลูบคลำ แก้ไขไปจนสำเร็จ นั้นถ้าเรามีกิเลส เรารู้จักกิเลสจริง เรารู้จักเหตุแห่งกิเลส แล้วก็จัดการกับมันเสีย แล้วกิเลสมันก็ไม่มี เราก็รู้ รู้สึกอยู่แก่ใจจริงๆ อย่างนี้ก็เรียกว่า สันทิฏฐิโก นั้นอย่าตะโกน สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก ให้หนวกหูเปล่า ๆ ทุกคราว ที่มันสวดมนต์ มันเพียงแต่ตะโกนเท่านั้น มันไม่พอ มันต้องรู้ ว่ามันคืออะไร มันเป็นสันทิฏฐิโก อย่างไร แล้วเรื่องผิด ก็สันทิฏฐิโก เรื่องถูกก็สันทิฏฐิโก เรื่องสูงสุดเหนือผิดเหนือถูกก็สันทิฏฐิโก ไปหมด นี่เรามีจิตใจสัมผัสกับของจริงตามธรรมชาติเหล่านั้น จนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร และรู้ว่า ทำที่นี่ได้ผลทันที จิตที่คิดจะทำนั้นมันเป็นกรรม ขณะจิตถัดมาเป็นผลกรรม ไม่ต้องรอว่า ทำบาปที่นี่ แล้วก็ไปได้ผลต่อตายแล้ว ทำบุญที่นี่แล้วไปได้ผลต่อตายแล้วน่ะ มันนานเกินไป คนพวกนั้น เขาก็พูดอย่างนั้นหล่ะ เราอย่าไปทะเลาะกับเขาเลย ขอร้องเด็ก ๆ นักเรียนทั้งหลายว่าอย่าไปทะเลาะกับคนแก่ ที่คนแก่เขาจะเอาผลชาติหน้า จะตกนรกชาติหน้า จะขึ้นสวรรค์ชาติหน้า หรือนิพพานอีกร้อยชาติ แสนชาติโน้น ก็ตามใจแก เราจะไม่ไปทะเลาะกับแก แต่เราจะถือหลักที่ว่า สันทิฏฐิโก ทำผิดที่นี่ เดี๋ยวนี้ ร้อนทันที เอ่อทำถูกที่นี่ เดี๋ยวนี้ เย็นทันที พอไม่มีกิเลส ที่ไหน เมื่อไร เป็นนิพพานทันที พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น อย่าไปโง่ ไปหลงใหลติดพันในรูปที่น่ารัก ในเสียงที่ไพเราะ ในสิ่งที่หอมหวน ในรสที่อร่อย ในสัมผัสที่นิ่มนวล อะไรก็ตาม อย่าให้จิตมันตกไปเป็นทาสของน้ำหนัก หรือความหมายหรือคุณค่าแห่งอารมณ์เหล่านั้น แล้วขณะนั้น วิญญาณจะเป็นอิสระจากกิเลส วิญญาณขณะนั้นจะเป็นอิสระจากกิเลส คือไม่มีความหลงรัก จิตใจในสิ่งเหล่านั้น นั้นเป็นการอิสระ ไม่ยึดมั่น ถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ปรินิพพาน ท่านใช้คำว่า ก็ปรินิพพาน ฐิเถวะ ธัมเม (นาทีที่ 1.31.13) ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็มีนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้แก่คนหลายคน หลายคน แล้วคนเหล่านั้นก็บังเอิญว่า เป็นฆราวาสทั้งนั้น ไม่เคยมีภิกษุเลย นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ตรัสแก่ฆราวาสทั้งนั้น นั้นขอให้ระวังอย่าไปเป็นทาสของอายตนะ เมื่อตะกี้บอกให้จดแล้วนะ คำที่สำคัญที่สุด เป็นทาสของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะมันมาจับเอาเราเป็นทาส เรารู้ทัน เราไม่เป็นทาส จิตนี้มันก็จะเป็นอิสระ ไม่ถูกกิเลส จับตัวไป นั้นคือไม่มีอุปาทาน ไม่มีอุปาทาน ก็ดับเย็นสนิท ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราอยู่ในโลกของจิตประภัสสร จำให้คำดีไหม แต่มันจะแปลกสักหน่อย เราจะอยู่ในโลกของจิตประภัสสร ไอ้โลกที่จิต บ้า คลุ้มคลั่ง ขึ้นควัน กลางวันเป็นไฟ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ นี่มันโลกบ้า อย่าไปอยู่กับมันเลย คือมันเต็มไปด้วยกิเลส ไปอยู่ในโลกอีกโลก คือ จิตประภัสสร จิตว่างจากกิเลส จิตบริสุทธิ์ สะอาด รุ่งเรืองอยู่ในตัวมันเอง เมื่อจิตเป็นอย่างนี้ เรียกว่า จิตมันอยู่ในโลกประภัสสร พวกเราทุกคนนี่ชวนกันทำจิตให้เป็นอย่างนี้ แล้วก็อยู่ในโลกประภัสสรกันอีกโลกหนึ่งดีกว่า อย่าไปอยู่ในโลกสกปรก มืดมัว เร่าร้อนเลย ลอง ๆ จำไว้ เผื่อมันจะดึงไปได้ ว่า เราจะอยู่ในโลกแห่งจิตประภัสสร ประภัสสรนี่ก็แปลว่า ซ่านรัศมี เหมือนกับว่า เพชรน่ะ จะมีน้ำเพชรซ่านสุกใส สวยงามอยู่เสมอ อาการอย่างนั้นเขาเรียกว่า ประภัสสร แปลว่า ซ่านออกแห่งรัศมี ที่นี้ถ้าว่า เอาโคลนมาปะ เอาอะไรมาปะ ไอ้เพชรเม็ดนั้นแหละมันก็หมดความเป็นประภัสสรจนกว่าจะได้ล้างออก เช็ดออกอะไร ให้มีความเป็นประภัสสรอีก นี่คือคำว่า ประภัสสร ที่นี้จิตมันประภัสสรเมื่อไม่มีกิเลสเข้ามา ก็เป็นจิตประภัสสร ไม่มีกิเลส มันก็ไม่ร้อน มันก็เป็นอิสระ เย็นสบาย จิตในเวลานั้นเป็นประภัสสร เราอยู่ในโลกแห่งจิตประภัสสร กันดีกว่า ที่จะมาอยู่ในโลกของกิเลส มืดมัว เร่าร้อน กลัดกลุ้ม เป็นควันอยู่ตลอดเวลา นั้นใครอยากรู้จักโลกประภัสสร ก็ไปสำรวมให้ดี ๆ ระวังจิตใจให้ดี ๆ ถ้าปฏิบัติสมาธิภาวนา ได้บ้าง ก็ยิ่งง่ายขึ้น ไปศึกษาให้รู้จัก จิตประภัสสร คือว่างจากกิเลส แล้วเวลานั้นเป็นสุขสบายอย่างไร แล้วพอใจที่จะอยู่ด้วยจิตใจชนิดนั้น เรียกว่า เราอยู่ในโลกแห่งจิตประภัสสร อยู่ด้วยกันมาก ๆ อย่างนี้ก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ที่เรือน อยู่ที่ตามเดิม แต่ว่า จิตมันเป็นประภัสสร เพราะเราจัดให้มันเป็นประภัสสร โลกนี้ก็กลายเป็นโลกอื่น โลกอื่น ไปจากโลกที่เราเคยอยู่แต่ก่อน คือโลกแห่งกิเลส นี้มาสร้างโลก แห่งจิตประภัสสรอยู่กันดีกว่า เราก็จะได้รับผลเต็มที่ของพระพุทธศาสนา มีธรรมะถึงที่สุด เราเองก็เป็นสุขด้วย ทุกคนที่อยู่ข้าง ๆ เราก็พลอยเป็นสุขด้วย เรื่องมันก็จะจบ ถ้าทุกคน ถ้าเราก็เป็นสุข ทุกคนก็เป็นสุข เรื่องมันก็ควรจะจบนะ เอาเกินนี้ไปมันจะบ้านะ มันบ้าอย่างที่เขาบ้า บ้ากัน ไม่รู้จะบ้าไปไหน มันควรจะยุติลงว่า เราก็เป็นสุข เพื่อนของเราทุกคนที่อยู่แวดล้อมเราก็เป็นสุข มันก็ควรจะจบกัน นี่เรามาชวนกันอยู่ในโลกแห่งจิตประภัสสร มีจิตที่ว่างจากกิเลสอยู่ รุ่งเรืองสุกใสอยู่ เหมือนกับเพชรน้ำเอก ที่ไม่มีอะไรมาแปดเปื้อน มันจึงต้องศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ในลักษณะที่ว่า อย่าไปปล่อยตามกิเลส ให้รู้จักรักผู้อื่น ให้บังคับตัว ให้สนุกในการงาน อย่าให้โอกาสแก่กิเลสครอบงำจิต แล้วจิตก็เป็นจิตประภัสสร เราก็อยู่กันสบายได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือได้อยู่กันในโลกแห่งจิตประภัสสร ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ไอ้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับมันมีเท่านี้ ก็จำไว้เป็นหลักใหญ่ ไอ้รายละเอียดมันมาก มันจะพูดคราวเดียวกันจบคงจะไม่ไหว แต่ว่า เพียงเท่านี้มันก็เป็นเค้าเงื่อน พอที่จะเอาไปคิด ไปนึก ไปศึกษา ดำเนินได้ด้วยตัวเองแล้ว
จึงหวังว่า คงจะไม่เสียทีที่มาที่นี่ เหนื่อยบ้าง เปลืองบ้าง เสียเวลาบ้าง ขอให้รู้เรื่องว่า จะเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง เป็นอย่างไร จะเรียกว่า มาชดเชยการศึกษาที่ขาดอยู่ให้มันเต็ม ให้มีการเรียนหนังสือที่ทำให้ฉลาด ให้มีการเรียนอาชีพ ที่ออกไปแล้วนี้จะประกอบอาชีพสะดวกสบายได้แน่ แต่เมื่อรอดชีวิตอยู่แล้ว ควรจะได้สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ เราจึงมีการศึกษาที่สาม คือ ธรรมะ ให้มีจิตอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ ด้วยประการทั้งปวง ทุกศาสนา ก็มีหลักอย่างเดียวๆ กันทั้งนั้น ชำระจิตให้บริสุทธิ์ สะอาด ก็อยู่กับนิพพาน หรืออยู่กับพระเจ้า อยู่ในโลกของพระเจ้า แล้วแต่จะเรียก ไอ้ถ้อยคำนี้มันไม่สำคัญ ขอแต่ว่า ให้มันไม่มีความทุกข์ นั้นเราก็หมดทุกข์ เพื่อนมนุษย์ของเราไม่มีทุกข์ ก็ควรจะพอใจ และมองเห็นว่า เป็นสิ่งที่ควรสละอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ ไม่มีอะไรที่ควรจะลงทุนให้มากเท่าเรื่องนี้ นั้นลงทุนหมดกันเลย ที่จะให้เรามีความสงบสุข และเพื่อนมนุษย์ของเราก็มีความสงบสุข อย่าประมาทในเรื่องนี้ ก็เอาตัวรอดได้ เคยพูดว่า เด็กๆ นี่ไม่ดื้ออย่างเดียวแล้วพอ เด็กๆ ถือศีลไม่ดื้ออย่างเดียวก็พอ ทุกอย่างจะเป็นไปในทางถูกต้องหมด ไอ้คำว่า ดื้อนี้คือ โง่ นี่คือ อวดดี รวมแล้วก็เรียกว่า ประมาท เขาเรียกภาษาธรรมะ เขาเรียกว่า ประมาท คำว่า ประมาท คำนี้มีความหมายมาก ไม่ใช่เพียงแต่อวดดีนะ มันทั้งดื้อ ทั้งโง่ ทั้งขี้เกียจ ทั้งอะไรหมดทุกอย่างที่จะเป็นความวินาศนั่น เขาเรียกว่า ประมาท เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานอยู่หยกๆ เดี๋ยวนี้แล้ว ท่านก็ยังตรัส เป็นคำสุดท้ายว่า ท่านทั้งหลายจงเต็มไปด้วยความไม่ประมาทเถิด แล้วท่านก็เงียบ นิพพานไป พินัยกรรมคำสุดท้ายของพระพุทธเจ้า เรื่องนี้ เราควรจะได้รับเป็นทายาทด้วยกันทุกคน คือ ความไม่ประมาท นั้นจึงหวังว่า นักเรียนทั้งหลายคงจะมีความไม่ประมาท แล้วก็ได้รับผลของการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วได้รับผลตรง โดยสมควรแก่การปฏิบัตินั้น
ขอให้พรสักนิดหนึ่งนะ ไม่ต้องให้พรมากว่า ขอให้พรว่า ให้ทุกคนมีความเชื่อ มีความกล้าหาญ ในการที่จะปฏิบัติพระธรรม คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา เห็นว่าไม่มีอะไรอื่นใด จะดีไปกว่านี้ และขอให้พรว่า อย่าไปเป็นทาสของอายตนะ นะ
ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้