แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาต้องขอโอกาสจากญาติโยมทั้งหลายให้พูดกับนักเรียนที่อยู่ข้างหลังโน้น เขาขอร้องให้พูดกับนักเรียนซึ่งเพิ่งมาถึงด้วย ก็คิดอยู่ว่าจะพูดเรื่องอะไรดี ในที่สุดมันก็เรื่องที่กำลังปรารภกันอยู่เมื่อตะกี้นี้ คือเรื่องแม่ เรื่องคุณของแม่ โดยถือเป็นหลักเกณฑ์ว่าคนที่ไม่รู้ว่าแม่คืออะไรนั้น มันก็ต้องไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อแม่ของมันมันยังไม่รักแล้วมันจะรักใครได้ ต้องลองคิดดูเพียงเท่านี้ ว่าคนที่เป็นแม่มันยังไม่รักแล้วมันจะรักใครได้ มันก็เลยไม่ต้องมีพื้นฐานทางศีลธรรม ไม่อาจจะรักผู้อื่น ไม่อาจจะรักประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะว่าแม่ของเขาเขายังไม่รัก เพราะเขาไม่รู้จักว่าแม่นั้นคืออะไร นักเรียนเมื่อถูกถามว่าแม่คืออะไรก็อึกอักตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้กี่คำ มันก็ไม่เป็นที่น่าพอใจคือมันตื้นเกินไป มักจะเห็นแต่เรื่องภายนอกเช่นว่า แม่เกิดมาแล้วก็แม่ให้สตางค์ใช้ไม่จำกัด ก็เห็นกันแต่เท่านี้ มันควรจะรู้ให้ลึกลงไปถึงเรื่องทางจิตใจว่าเราเป็นอะไรได้ก็เพราะแม่เขาใส่มาให้ จะมีนิสัยดีนิสัยเลวอย่างไรก็เพราะว่าแม่เขาใส่มาให้ หรือว่าจะเป็นคนมีมรรยาทดี มรรยาทเลวเดี๋ยวนี้ อย่างไรก็เพราะว่าแม่เขาอบรมมาให้ ถ้าว่ามันไม่ได้รับการอบรมที่เพียงพอมันก็เอาตัวไม่รอด ที่จะรอดหรือไม่รอดมันก็อยู่ที่แม่นั้นเอง เด็ก ๆ ควรจะรู้พระคุณของแม่ว่าแม่ไม่เพียงแต่ให้ร่างกายให้เงินใช้ให้ที่อยู่ที่กิน แต่ว่าแม่นั้นสร้างดวงจิตสร้างวิญญาณมาสำหรับจะดีหรือเลวอย่างไร นี่เราควรจะมองลึกกันถึงขนาดนี้ ในพุทธศาสนานี้มีคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า บิดามารดาเนี่ยเป็นพระพรหมของลูก ในบาลีเขาใช้คำว่ามารดาบิดา ภาษาไทยใช้คำว่าบิดามารดา กลับกันอยู่ มารดาบิดาเป็นเทวดาของลูก มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของลูก มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของลูก ถ้านักเรียนคนไหนอธิบายได้ท่านเจ้าคุณแก่ ๆ เหล่านี้จะยกมือไหว้จะให้รางวัลสักพันสักหมื่นหนึ่งก็ได้ ถ้าเด็กคนไหนอธิบายเห็นได้ว่ามารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของลูก ก็ดูจะรู้สึกแต่ว่าแม่ให้เงินใช้เท่านั้นเอง มันยังไม่ลึกถึงว่าเป็นพระอรหันต์ของลูก ก็ต้องมองกันให้ลึกถึงว่าไอ้ลูกเนี่ยมันจะลงนรกหรือมันจะขึ้นสวรรค์ ก็แล้วแต่การสร้างสรรค์ของมารดาบิดานั้นเอง มันมีการสนับสนุนมาถูกหรือผิดตั้งแต่อ้อนแต่ออก ถ้าสนับสนุนมาผิดมันก็เป็นเด็กที่ผิดที่ชั่วที่เลว ถ้าสนับสนุนเลี้ยงดูมาถูกมันก็เป็นเด็กที่ดีที่จะเอาตัวรอดได้ งั้นบิดามารดาเองก็ควรจะสำนึกถึงข้อนี้ ลูกก็ควรจะสำนึกถึงข้อนี้ให้มันครบกันเพื่อให้มันถูกฝาถูกตัวกัน แล้วมนุษย์เราก็จะมีแต่คนที่ดีคนที่พึงปราถนาเกิดขึ้นมาในโลก เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครมองในแง่ของจิตใจมองแต่ในแง่ทางวัตถุกันเสียหมด ถ้ารวยแล้วก็ว่าดี ถ้ารวยถ้าสวยแล้วก็ว่าดี ไม่มองกันถึงข้อที่ว่ามันดีในส่วนจิตใจหรือไม่ มันเป็นอันตรายหรือไม่ มันไว้ใจได้หรือไม่ มันปกครองบังคับบัญชาตัวเองได้หรือไม่ จะเป็นได้อย่างนั้นก็เพราะใคร ก็เพราะบิดามารดา กระทั่งถึงครูบาอาจารย์ที่ทำหน้าที่ทำนองเดียวกัน คือทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในความถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไป นี่เขาเรียกว่ามันสร้างจิตสร้างวิญญาณให้แก่มนุษย์เรา ถ้าดูให้ดีแล้วบิดามารดาสร้างมนุษย์ไม่ใช่เพียงแต่ด้วยการเกิดร่างกายออกมา แต่ว่าสร้างจิตใจมนุษย์ให้ดีหรือชั่ว ดีหรือเลว ถ้าสร้างจิตใจดีเด็กมันก็เต็มไปด้วยคนดี ในโลกนี้ก็เต็มไปด้วยคนดี โลกนี้ก็มีความสงบสุข ถ้ามารดาบิดาบกพร่องในหน้าที่นี้ ทำผิดก็กลายเป็นสร้างบุตรหลานที่เลวขึ้นมา ในโลกนี้ก็เต็มไปด้วยคนเลว มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกันถ้าสร้างเด็ก ๆ สำเร็จเป็นเด็กที่ดีเป็นคนที่ดีขึ้นมาก็เท่ากับว่าสร้างโลกนี้ให้ดี ถ้าครูบาอาจารย์บกพร่องเหลวไหลในหน้าที่ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างเด็กให้ดีมันก็เป็นเด็กที่ไม่ดี ในโลกนี้ก็เต็มไปด้วยคนไม่ดี เรามองเห็นกันถึงขนาดนี้ว่าครูบาอาจารย์นั้นเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก แต่ครูบาอาจารย์เขาไม่ยอมรับเป็นคนไม่เคารพตัวเองกลัวว่าหน้าที่นี้มันยากเกินไปทำไม่ได้ กลัวล้มละลายไม่กล้ารับ หรือว่ามันจะมองเห็นว่าไม่อาจจะสร้างให้เด็ก ๆ ดีหรือช่วยกันสร้างโลกให้ดี ครูบาอาจารย์ก็ทำหน้าที่ลูกจ้างสอนหนังสือไปวันหนึ่ง ๆ เลี้ยงชีวิต ไม่ได้หมายมั่นที่จะสร้างจิตสร้างวิญญาณของเด็ก ๆ ให้ดี บิดามารดาก็เหมือนกับผู้สร้างในตอนต้น ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนก็สร้างต่อในลักษณะเดียวกัน ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนก็เป็นบิดามารดาชนิดหนึ่งเหมือนกัน นั้นคือเป็นบิดามารดาทางวิญญาณมากขึ้นทุกที ถ้าว่าทำถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้โรงเรียนเขาไม่ได้ให้สอนเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ สอนแต่หนังสือสอนแต่อาชีพ สอนแต่หนังสือสอนแต่อาชีพ ไม่รับรองเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ เด็ก ๆ ของเราก็รู้แต่หนังสือรู้แต่อาชีพ ไม่รู้ว่าแม่นี้คืออะไร เรียนจบประถมแล้วก็ไม่รู้ว่าแม่คืออะไร เรียนจบมัธยมแล้วก็ไม่รู้ว่าแม่นี้คืออะไร เรียนจบมหาวิทยาลัยปริญญายาวเป็นหางแล้วมันก็ยังไม่รู้ว่าแม่นั้นคืออะไร เราไปถามผู้ที่จบมหาวิทยาลัยมาแล้วว่าแม่คืออะไร มันก็อึกอัก ๆ เหมือนกัน ตอบได้ไม่กี่คำ ตอบได้ไม่น่าฟัง เพราะฉะนั้นมันเป็นการมองข้ามมากเกินไปที่ไม่รู้ว่าแม่คืออะไรโดยถูกต้องและโดยครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะว่าการศึกษามันเหมือนกับหมาหางด้วน พูดหยาบคายไปหน่อยต้องขออภัยด้วยมันพูดหยาบคายไปหน่อย ว่าการศึกษามันไม่สมบูรณ์เหมือนกับหมาหางด้วน เด็กเรียนมาแล้วจบการศึกษาแล้วไม่รู้ว่าแม่นี้คืออะไร ไม่รู้ว่าพ่อนี้คืออะไร มันก็ไม่มีความรักพ่อแม่ มันก็เลยทำให้พ่อแม่น้ำตาตกบ่อย ๆ ลูกที่ทำให้พ่อแม่น้ำตกคิดดูเถอะว่ามันกี่มากน้อย นักเรียนทั้งหลายเหล่านี้ใครเคยทำให้พ่อแม่น้ำตกตกบ้างรีบสำนึกเสียเดี๋ยวนี้ว่าเรามันไม่ไหวแล้ว เรามันรับการศึกษาหมาหางด้วนมา ไม่เป็นคนที่สมบูรณ์ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นลูกมนุษย์ต้องอย่าทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตก เพราะเรารู้ว่าพ่อแม่คืออะไร เรายังจะต้องรู้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศีลธรรมให้มากจนถึงกับทำให้พ่อแม่สบายใจ ยินดีเหมือนกับว่าได้ขึ้นสวรรค์ในการที่มีเราเป็นลูก มันมีคำกล่าวมาแต่โบราณในสมัยพุทธกาลเมื่อพระสิทธัตถะยังไม่ได้ออกบวชเป็นพระะพุทธเจ้า มีคนเขาชมพระสิทธัตถะเมื่อเดินผ่านไป คนนั้นเขาชมว่าคนนี้เป็นลูกของใครแม่ของเขาก็นิพพาน คนนี้เป็นลูกของใครพ่อของเขาก็นิพพาน คนนี้เป็นสามีของใครภรรยาของเขาก็นิพพาน ใช้คำว่านิพพานเพราะคำว่านิพพานในภาษาชาวบ้านมันแปลว่าเย็น เย็นอกเย็นใจเหลือประมาณเขาเรียกคำว่านิพพาน ดับเย็น ถ้าคนนี้เด็กคนนี้เป็นลูกของใครพ่อแม่ของเขาก็ดับเย็นคือเป็นนิพพาน เย็นอกเย็นใจเหลือประมาณไม่มีความทุกข์ร้อน เขามีคำพูดอย่างนี้เขามีคำชมเชยกันอย่างนี้ นิพ (บาลี นาที 14:48) คือเย็นอย่างนิพพาน เดี๋ยวนี้เรามีลูกชนิดนี้กันบ้างหรือเปล่า คนแก่ ๆ ก็นั่งอยู่ที่นี่หลายคน ใครมีลูกมีหลานแล้วก็ทำให้เกิดความเย็นเหมือนกับนิพพาน เย็นอกเย็นใจเพราะมีลูกมีหลานคนนี้ นี่ถ้ามันมีไม่ได้ก็เพราะว่าการศึกษาอบรมมันไม่สมบูรณ์ เราไม่ได้อบรมเด็ก ๆให้ประกอบไปด้วยศีลธรรม ให้รักบิดามารดา ซื่อตรงต่อบิดามารดา เคารพบิดามารดา เกรงกลัวบิดามารดา กตัญญูต่อบิดามารดา เรียกว่าเป็นบุตรที่ดีไม่เคยทำอะไรให้เกิดความยุ่งยากลำบากใจแก่บิดามารดา ไม่ต้องถึงกับว่าน้ำตาตกเพียงแต่อึดอัดขัดใจก็ไม่มี ผู้ใดเป็นอย่างนี้เป็นลูกของใครแม่ของเขาก็นิพพาน พ่อของเขาก็นิพพาน ภรรยาของเขาก็นิพพานอย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้อยากจะพูดกับเด็ก ๆ นักเรียนต่อไปอีกสักข้อหนึ่งว่า ถ้าเธอจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องแล้วก็ต้องสนใจสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ บางทีเราก็เรียกว่าศีลธรรม ถ้าเรียกกันให้ตรงตามภาษาก็เรียกว่าธรรมะ คือมีธรรมะ เราจะต้องมีธรรมะถ้าเราไม่มีธรรมะเราเป็นมนุษย์ไม่ได้ เราดูที่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันไม่ต้องมีธรรมะ ส่วนเรานี่ทำไมจะต้องมีธรรมะให้ลำบาก เพราะว่าเรามันดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเรามีหน้าที่ที่จะดับความทุกข์ของเราที่ใหญ่หลวงลึกซึ้งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เข้าใจหรือไม่เข้าใจช่วยฟังให้ดี ๆ ว่าสัตว์เดรัจฉานเขาไม่มีความทุกข์มากเหมือนมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานนี้มันไม่มีความทุกข์มากเหมือนมนุษย์ ไม่มีความทุกข์เหมือนมนุษย์ ใครเห็นไก่ปวดหัวบ้าง ใครเคยเห็นหมาปวดหัวบ้าง ใครเห็นแมวเป็นโรคประสาทบ้างเหมือนที่คนเป็น ๆ กันนั้น มันไม่มีเพราะว่าสัตว์เดรัจฉานเขาไม่มีเรื่องจะต้องมีความทุกข์มากเหมือนอย่างคน เพราะฉะนั้นคนก็จะต้องมีวิชาความรู้สำหรับดับทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ทำไมเป็นอย่างนี้ก็ไอ้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชีววิทยาเป็นต้นที่เธอเรียนมาแล้ว เธอก็รู้ว่าวิวัฒนาการของสัตว์มันยังอยู่ต่ำมาก ไม่สูงขึ้นมาถึงมนุษย์ มันสมองของมันยังต่ำมากไม่สูงขึ้นมาอย่างมนุษย์ งั้นสัตว์จึงไม่มีสติปัญญาอย่างมนุษย์ รู้อย่างสัญชาตญาณไม่ใช่ปัญญา งั้นมันก็ทำอะไรให้เป็นปัญหามากไม่ได้ มันทำได้ตามเท่าที่ธรรมชาติให้มา งั้นเรื่องของมันจึงน้อย ความทุกข์ของมันจึงน้อย หน้าที่ของมันจึงน้อย ส่วนมนุษย์เราเนี่ยวิวัฒนาการมันสูงมากคือมันมีมันสมองที่สูงมาก มันรู้จักคิดมาก มันจึงทำอะไรได้ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่พร้อมกันนั้นมันก็รู้จักคิดให้เป็นทุกข์ได้มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เนี่ยดูให้ดี มนุษย์มีมันสมองมีสติปัญญาสูงมากก็จริงแต่ก็รู้จักคิดจักนึกให้มันมีความทุกข์มาก ฉะนั้นสัตว์มันจึงไม่มีปัญหาเหมือนมนุษย์ มนุษย์เราก็มีความทุกข์มากจนเต็มไปด้วยโรคประสาทโรคจิต เต็มไปด้วยคนอันธพาลมีปัญหาหลายอย่างเต็มไปทั้งโลกเดี๋ยวเนี่ย ปัญหาทางเศรษฐกิจก็ดี ปัญหาอะไรก็ดี ล้วนแต่มาจากความคิดที่มันก้าวหน้าสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งนั้น สัตว์เดรัจฉานจึงไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจทางการเมืองทางสงครามอะไรมันก็ไม่มีเพราะสัตว์เดรัจฉานมันคิดไม่เป็น มันมีมันสมองที่อยู่ในระดับต่ำมันคิดไม่เป็น มันจะคิดว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไรอย่างนี้ สัตว์เดรัจฉานมันคิดไม่เป็น ลองสังเกตดูทุกตัว สัตว์เดรัจฉานจะคิดว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรมันคิดไม่เป็น มันก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องพรุ่งนี้เรื่องมะรืนนี้เรื่องเดือนหน้าปีหน้า ส่วนเรามันคิดเป็นเราก็มีปัญหาเรื่องว่าพรุ่งนี้จะกินอะไรลูกจะกินอะไรหลานจะกินอะไร ที่เรามีความคิดเป็นมากมายหลาย ๆ ร้อยเท่าหลายพันเท่า เราจึงมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน นี้ถ้าเราแก้ปัญหาอันนี้ไม่ได้เราแก้ความทุกข์ที่เกิดมาจากการที่เราเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ เราก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราจึงต้องศึกษาธรรมะต้องศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรมะไว้ให้พอ สำหรับจะแก้ปัญหาของมนุษย์ที่มันมีความฉลาดยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ความฉลาดมากทำให้มีความทุกข์มาก
ตอนนี้ก็อยากจะพูดมาถึงผู้ใหญ่ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเด็ก ๆ ว่า ผู้ใหญ่ก็ควรจะสังวรด้วยเหมือนกันว่าเราจำเป็นอย่างยิ่งที่สุดเลย ยิ่งกว่าจำเป็นที่จะต้องมีธรรมะ เห็นเป็นของเล็กน้อยไม่ค่อยสนใจที่จะต้องมีธรรมะ ธรรมะชนิดไหน ธรรมะชนิดที่มันเป็นมนุษย์ที่ฉลาดกว่าสัตว์เดรัจฉานแล้วก็สร้างปัญหาสำหรับมนุษย์ขึ้นมา คือปัญหาที่ทำให้มนุษย์มันมีปมด้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์มีปมด้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน ในปัจจุบันนี้ก็เห็นอยู่ว่าในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอันธพาลมากเหมือนในหมู่มนุษย์ ต่อให้ที่กรุงเทพ เต็มไปด้วยอันธพาลในกรุงเทพ แต่ในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอันธพาล คุณช่วยคิดดูเถอะนี่ไม่ใช่ปมด้อยของมนุษย์เหรอ มนุษย์มีปัญหาทางเกิน แต่งตัวเกิน กินเกิน อะไรเกิน บ้านเรือนเกิน เครื่องใช้ไม้สอยเกิน ก็เป็นปัญหาที่ปวดหัวที่สัตว์เดรัจฉานไม่มี สัตว์เดรัจฉานไม่มีปัญหาเรื่องเสื้อผ้าเกิน เรื่องอาหารการกินเกิน แพงจนเงินเดือนไม่พอใช้ สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องปวดหัวเพราะเงินเดือนไม่พอใช้ ไปคำนวณดูว่ามนุษย์เนี่ยต้องกินยาแก้ปวดหัว กินยาระงับประสาท กินยานอนหลับกันเท่าไร สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องกิน เนี่ยคือปมด้อยของมนุษย์ที่มันมีต่อสัตว์เดรัจฉานที่สัตว์เดรัจฉานมันเหนือกว่า นี่เราจะทำยังไงที่จะแก้ปมด้อยอันนี้ได้ ไม่มีทางอื่นนอกจากมีธรรมะ พอมีธรรมะแล้วอันธพาลมันก็ไม่มี แล้วก็ไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉาน มีธรรมะแล้วไม่ต้องปวดหัว ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต แล้วก็ไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันไม่มี สัตว์เดรัจฉานไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางการเมือง ปัญหาทางรบราฆ่าฟันนี่มันไม่มี ข้อนี้อาตมาอยากจะขอร้องให้ดูให้ดีน่ะว่าสัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้ทารุณโหดร้ายเหมือนมนุษย์ แม้ว่าจะมีสัตว์เดรัจฉานบางชนิดกัดกินสัตว์เดรัจฉานด้วยกันเป็นอาหาร มันก็ไม่ได้มีความทารุณโหดร้ายเหมือนมนุษย์ที่ฆ่าฟันกันเพราะความเป็นอันธพาลโหดร้ายที่สุด สัตว์เดรัจฉานกินอาหารเช่นแมวจับหนูกิน มันไม่ได้ทำด้วยความคิดที่โหดร้ายเหมือนมนุษย์ที่ฆ่าผู้อื่น มันรู้สึกเพียงอาหารแล้วมันก็กิน มันจับหนูกิน มันไม่มีเจตนาฆ่า มันมีแต่เจตนากินอาหาร งั้นความโหดร้ายทารุณของมันน้อยกว่ามนุษย์นัก มนุษย์มีเจตนาฆ่าแล้วก็ฆ่ากันมาก ๆ ฆ่ากันเป็นสงครามเป็นมหาสงคราม เนี่ยความป่าเถื่อนโหดร้ายของมนุษย์มันมีมากถึงขนาดนี้ สัตว์เดรัจฉานมันไม่มี นี่เรียกว่าปมด้อยของมนุษย์ที่มีต่อสัตว์เดรัจฉาน เราจะแก้ปมด้อยอันนี้อย่างไร ก็มีธรรมะเสียก็แล้วกัน แล้วก็อย่าได้ทารุณโหดร้ายเบียดเบียนกันเอาเปรียบกันเป็นสงครามเป็นมหาสงคราม มนุษย์มีปัญหาที่จะแก้หน้าตัวเองอย่าให้ละอายต่อสัตว์เดรัจฉานมากถึงอย่างนี้ ทางอื่นไม่มีนอกจากมีธรรมะ พอมีธรรมะแล้วก็จะไม่มีอะไรเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ขืนไม่มีธรรมะเนี่ยจะต้องปวดหัว ต้องกินยาปวดหัวซึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องกิน ต้องกินยานอนหลับซึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องกิน อย่าหาว่าอาตมาแกล้งประชดให้คนที่ต้องกินยานอนหลับ พูดไปตามตรง ๆ ว่าสัตว์เดรัจฉานมันไม่ต้องกินยานอนหลับ แต่มนุษย์หลายคนต้องกินยานอนหลับ กินเข้าไปแล้วก็ยังไม่หลับ เพราะจิตใจมันวิตกกังวลมันมีกิเลสประเภทวิตกกังวลจนชินเป็นนิสัย อย่างนี้ล่ะสัตว์เดรัจฉานหัวเราะตายเลย มันไม่ต้องกินยานอนหลับแล้วมันก็ไม่ต้องเป็นโรคประสาท นี่เรียกว่าส่วนปัญหาที่ร่างกายมนุษย์ก็มีมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เรื่องกินเรื่องอยู่เรื่องข้าวปลาอาหารอะไรมันก็มีปัญหามาก จนที่ร้องด่าตะโกนกันไปตะโกนกันมาระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ประชาชนกับรัฐบาลเป็นกันทั้งโลก อะไรไม่น่าเศร้าเท่ากับว่ามันมีอันธพาลมากขึ้นในบ้านในเมืองจนรุกรานไปถึงบ้านเรือนที่อยู่อาศัย อันธพาลรุกรานเข้าไปถึงห้องนอนแล้ว ต่อไปนี้จะอยู่กันอย่างไร เพราะเข้าไปในห้องนอนแล้วยังไม่พ้นภัยจากอันธพาล อย่างนี้สัตว์เดรัจฉานมันไม่มี การที่จะทำอันตรายแก่กันอย่างแบบอันธพาลมันไม่มี อย่างมากที่สุดที่จะมีก็คือว่าเมื่อมันกินสัตว์อื่นเป็นอาหารมันก็จับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร มันมีเท่านั้นแหละ ที่มันจะคิดสร้างกองทัพไล่ฆ่ากันนี่มันไม่มี สัตว์เดรัจฉานมันทำไม่เป็น เพราะมันสมองมันต่ำกว่านั้นมันทำไม่เป็น แต่มนุษย์ทำเป็น ฝึกทหารฝึกอาวุธสะสมอาวุธไว้จะฆ่ากันให้วินาศไปตั้งครึ่งโลก มนุษย์ทำเป็นสัตว์เดรัจฉานทำไม่เป็น ไปคิดเอาเองเถอะว่าใครมันดีกว่าใคร ใครมันน่าละอายกว่าใคร แต่ที่อาตมาว่าน่าละอายที่สุดก็คือสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องกินยานอนหลับ แต่คนยังต้องกินยานอนหลับ มีธรรมะให้พอแล้วก็นอนหลับได้โดยไม่ต้องกินยานอนหลับ มันก็เรียกว่าแก้ปมด้อยของมนุษย์ได้ ฉะนั้นของให้ศึกษาธรรมะกันทุกคนชนิดที่นอนหลับโดยไม่ต้องกินยานอนหลับ
แล้วทีนี้ก็ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไป อย่าทำอะไรให้เพื่อนต้องเดือดร้อน ในหมู่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่มี ไม่มีลูกหมาลูกแมวตัวไหนที่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก แต่ลูกคนทำไมมันมีมากนักเล่า ขอพูดตรง ๆ อย่างนี้ แล้วลูกเด็ก ๆ ลูกหมาลูกแมวไม่มีตัวไหนทำให้แม่น้ำตาตก แต่ลูกคนทั้งหญิงทั้งชายทำให้แม่น้ำตาตกมากเกินไป จะเอาอะไรมาแก้ปมด้อยอันนี้อย่าให้มันละอายสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีอะไรนอกจากธรรมะอย่างเดียว ธรรมะอย่างเดียว ธรรมะของลูก ธรรมะสำหรับผู้ที่เป็นลูก มีแล้วก็จะไม่ทำให้บิดามารดาต้องน้ำตาตก แล้วบิดามารดาก็เหมือนกันเมื่อมีธรรมะพอก็ร่วมมือกับลูกก็ทำให้เป็นผาสุกกันทั้งแม่ทั้งลูก ก็ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน เมื่อมนุษย์มีธรรมะแก้ปัญหาเหล่านี้หมดแล้วมนุษย์จะประเสริฐสูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉานเหลือประมาณ ช่วยฟังดูเถิดว่าถ้ามนุษย์มีธรรมะของมนุษย์แล้วจะประเสริฐสูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉานมากมาย เมื่อธรรมะไม่มี ธรรมะของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีธรรมะของมนุษย์ มนุษย์ก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเหลือประมาณ น่าเกลียดน่าชังน่าเศร้า ก็อย่างที่ว่ามาแล้วนี่จะทำกันยังไงดี มนุษย์จะแก้ปมด้อยของมนุษย์อย่าให้น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉานนั้นจะทำอย่างไรดี อาตมากล้าท้าว่าไม่มีทางอื่นนอกจากธรรมะอย่างเดียว มีธรรมะของมนุษย์เสียเพียงพอแล้วมนุษย์ก็จะไม่มีปมด้อยชนิดที่ให้สัตว์เดรัจฉานหัวเราะเยาะได้อีกต่อไป พูดเท่านี้ก็จะพอแล้วมั้ง พอที่จะให้สนใจในธรรมะ สนใจที่จะเรียนรู้และจะปฏิบัติธรรมะ ขจัดปมด้อยของมนุษย์ทั้งหมดให้หมดไปอย่าให้เหลือไว้ สำหรับให้สัตว์เดรัจฉานมันดูหมิ่นดูถูก พูดกันตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาไหม พูดกับเด็ก ๆ สัตว์เดรัจฉานตัวไหนกลัวกิ้งกือ กลัวตุ๊กแก กลัวจิ้งจกบ้าง ไม่มีเลย แต่เราเห็นเด็กหลายคนกลัวกิ้งกือ กลัวจิ้งจก กลัวตุ๊กแก มันยังไงกัน ใครมันมีจิตใจสูงต่ำกว่ากันยังไง เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แท้ ๆ นี่แหละคืออานิสงค์ของธรรมะที่จะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ แล้วก็สูงสุดหรือดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน พอปราศจากธรรมะแล้ว อาตมาคิดว่าจะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน แม้จะมีบาลีพูดว่าถ้าปราศจากธรรมะแล้วคนก็จะเสมอกับสัตว์เดรัจฉาน นี้อยากจะค้านไม่เห็นด้วย (บาลี นาทีที่ 32.39) เมื่อปราศจากธรรมะแล้วคนก็จะเสมอกับสัตว์เดรัจฉาน นี่เขาพูดไว้ตั้งแต่โบราณก่อนพุทธกาลเสียอีก ในพุทธศาสนาก็พูด (บาลี นาทีที่32.55) ธรรมะเท่านั้นที่ทำความผิดแผกแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับเดรัจฉาน (บาลี นาทีที่ 33.05) เอาธรรมะออกไปแล้วมนุษย์กับเดรัจฉานก็เท่ากัน อันนี้ไม่เห็นด้วย ขอค้าน ว่าเอาธรรมะออกไปแล้วมนุษย์จะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เท่าที่เป็นอยู่ขอให้นึกดูเถอะว่ามนุษย์ไม่มีธรรมะแล้ว อันธพาลเต็มบ้านเต็มเมืองไม่มีความผาสุกเลย ในโลกสัตว์เดรัจฉานไม่มีอันธพาลอย่างนี้ ไม่มีอันธพาลขนาดที่ว่าเอาก้อนหินมาดักรถยนต์ให้สะดุดแล้วล้มคว่ำแล้วก็มาปล้นเอาของในรถยนต์ ถอดเอาเสื้อผ้าของคนในรถเหลือแต่กางเกงใน นี่สัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้ ถ้ามันไม่มีธรรมะแล้วมนุษย์จะไม่มีมนุษย์ จะไม่เป็นมนุษย์ จะเป็นคนที่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ขอค้านคำบาลีสุภาษิตนั่นสักหน่อย เขาพูดไว้ดีเพราะมีธรรมะมันจึงสูงกว่าหรือดีกว่าหรือแปลกกว่าสัตว์เดรัจฉาน พอไม่มีธรรมะแล้วเสมอกับสัตว์เดรัจฉานนี่ไม่จริง คุณไปคิดดูก็เห็นได้ว่ามนุษย์ที่ไม่มีธรรมะนี่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานมากเหลือที่จะประมาณได้ แล้วพวกเราลูกเด็ก ๆนี่ รู้ไว้ทีเถิดว่าธรรมะนี้จะกู้หน้ามนุษย์ไม่ให้เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ให้ได้ชื่อว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ยมีบุญ เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นั้นมันหมายถึงเมื่อเป็นมนุษย์จริง ๆ มันถึงจะโชคดี ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ไม่มีธรรมะแล้วจะโชคร้ายหรือเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เช่นว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ปวดหัวเราปวดหัว สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก เป็นลูกคนนี่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก หรือว่านอนไม่หลับเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตกันเต็มบ้านเต็มเมือง อันธพาลเต็มบ้านเต็มเมืองพร้อมที่จะคิดฆ่าฟันกันอยู่ไม่หยุดไม่หย่อนเนี่ย ความที่คนมันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันจะพอแล้วมั้งที่พูดว่าธรรมะนี้จำเป็น ธรรมะนี้จำเป็น ทุกคนสนใจธรรมะให้มากกว่าที่แล้วมา รู้สึกว่าที่แล้ว ๆ มานี่พวกเราสนใจธรรมะกันน้อยไป ไม่รู้ว่าอันนั้นแหละมันจะทำให้เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน นี้ไม่ใช่ว่ามันเลวเฉย ๆ นะ มันเป็นทุกข์เหลือประมาณ ที่เราเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเราจะต้องมีความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง เช่นในบ้านเมืองเราเต็มไปด้วยอันธพาลเนี่ยมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เราพูดกันไม่รู้เรื่องในบ้านในเรือนลูกเด็ก ๆ ไม่เคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์เนี่ยมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง นี่เรียกว่าบาปมันลงโทษ การเป็นมนุษย์ชนิดนี้ไม่ใช่บุญไม่ใช่กุศล การได้เกิดเป็นมนุษย์ชนิดที่ไม่มีธรรมะนี่ไม่ใช่บุญไม่ใช่กุศลเลย นี่เขาพูดว่าการเป็นมนุษย์เป็นได้ยาก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นกุศลอันใหญ่หลวง นั่นก็หมายถึงมนุษย์ที่มีธรรมะของมนุษย์ ไม่สร้างอันธพาลให้เดือดร้อนแก่กันและกัน แล้วก็ไม่ทำตัวเองให้เดือดร้อน ไม่มีกิเลสโลภะโทสะโมหะเผารนให้เดือดร้อน รายละเอียดยังมีอีกมากถ้าพูดแล้วก็จะรำคาญไปดูเองบ้าง เดือดร้อนเรื่องกินเรื่องอยู่ เรื่องนุ่งเรื่องห่ม เรื่องบ้านเรื่องเรือน เรื่องอะไรต่าง ๆ นี้ก็เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็มีมากกว่าสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้ว แล้วยังไปสร้างปัญหาทางศีลธรรม ทางสังคม ทางอะไรเข้าอีก แล้วมนุษย์มันดีที่ตรงไหน ก็เป็นเรื่องทนทุกข์ทรมานทั้งนั้น อะไรจะช่วยแก้ความทุกข์ทรมานได้มีแต่ธรรมะอย่างเดียว งั้นเราจงมีความหมายมั่นที่จะมีธรรมะ รากฐานของธรรมะเบื้องต้น ไอ้ ก ข ของธรรมะ ก ข กอ กา ของธรรมะนี้ก็คือว่าแม่คืออะไร คนที่พูดเมื่อตะกี้ขอให้พวกเธอนักเรียนทั้งหลายลงมือเรียนธรรมะ ตัว ก ตัว ข ว่าแม่คืออะไร พ่อคืออะไร เรื่อยขึ้นไปจนบิดามารดาครูบาอาจารย์ขึ้นไปโดยลำดับว่าคืออะไร แล้วก็ประพฤติปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้ถูกต้อง รู้จักรักผู้อื่นซึ่งเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แล้วก็รู้จักบังคับความรู้สึก เมื่อก่อนนี่เขาถือกันว่าบังคับความรู้สึกเนี่ยสำคัญมาก เป็นธรรมะชั้นสูง มาเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเสียแล้วว่าไม่ต้องบังคับความรู้สึกปล่อยตามสบาย ต้องขอนินทาพวกฝรั่งสักหน่อย ว่าพวกฝรั่งอุตริมีความคิดเห็นอย่างนี้ขึ้นมาว่าปล่อยตามสบายดีกว่าบังคับความรู้สึก ก็เลยปล่อยตามสบาย มันก็ไม่ต้องเคารพบิดามารดาครูบาอาจารย์กัน มันก็เลยมีผลร้ายเกิดขึ้นเพราะไม่บังคับความรู้สึก อยากจะรักก็รัก อยากจะโกรธก็โกรธ อยากจะเกลียดก็เกลียด อยากจะกลัวก็กลัว อยากจะอิจฉาริษยาก็อิจฉาริษยา อยากฆ่าใครก็ฆ่าเลย จนเดี๋ยวนี้มองตากันก็ไม่ได้จะฆ่าจะฟันกันเสียแล้ว ไม่ใช่ว่าไปทำอะไรกันมากมายไปมองตาเขาเท่านั้นเขาก็จะฆ่าเสียแล้ว ความที่ไม่บังคับความรู้สึก งั้นขอให้นักเรียนทั้งหลายถือศีลสูงสุดสักข้อหนึ่งเถอะคือ บังคับความรู้สึก เมื่อได้เห็นได้ยินได้ฟัง ได้ดมได้ลิ้มได้สัมผัสแล้วมันจะทำให้เกิดอารมณ์แรง ในทางความรักก็ดีก็บังคับไว้ ในทางความเกลียดก็ดีก็บังคับไว้ ในทางความโกรธก็ดีก็บังคับไว้ คือทุก ๆ ทางอย่าให้อารมณ์มันแรง เพราะพออารมณ์มันแรงแล้วจิตมันผิดปรกติ จิตมันผิดปรกติก็คือคนบ้านั้นเอง การทำอะไรไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ปรกติ ด้วยอารมณ์ร้าย มันเป็นคนบ้า มีแต่จะทำผิดทั้งนั้น เป็นเรื่องรักก็รักผิด เรื่องโกรธก็โกรธผิด เรื่องเกลียดก็เกลียดผิด เรื่องกลัวก็กลัวผิด เรื่องกล้าก็กล้าผิด กล้าอย่างบ้าบิ่น กล้าอย่างคนบ้า เพราะเขาไม่บังคับความรู้สึก ในทางธรรมะนี่เขาย้ำในการบังคับความรู้สึกไว้มาก เรียกว่า ทมะ แปลว่าบังคับตัว บังคับตัวเอง ควบคุมตัวเองนี่ก็สอนมากเรียกว่า ทมะ แล้วก็อดกลั้นอดทนเรียกว่า ขันติ อันนี้ก็สอนมาก ยึดถือกันเป็นหลักใหญ่ว่าถ้าปราศขันติแล้วมันก็ล้มละลาย ถ้าปราศจากขันติก็ทำผิดวันยังค่ำ แล้วก็ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อนเพราะไม่มีความอดทน เราฝึกกันเสียแต่เดี๋ยวนี้บิดามารดาก็ช่วยอุตส่าห์ฝึกฝนให้ลูกเล็ก ๆ ให้รู้จักการบังคับความรู้สึก ครูบาอาจารย์ก็สอน เด็ก ๆ ให้รู้จักบังคับความรู้สึก ต่อไปเขาก็จะดำรงตนอยู่ในความถูกต้องหรือความพอดีได้ ปัญหาก็จะไม่มี เมื่อไม่บังคับความรู้สึกแล้วแม้แต่เรียนหนังสือก็ไม่สำเร็จ มันเหลวไหลเมื่อเล่าเรียน มันเหลวไหลมากขึ้นไปอีกที่จะหนีโรงเรียนที่จะไปทำไม่ดีอะไรต่าง ๆ ไม่บังคับความรู้สึก เรียนหนังสือก็ไม่สำเร็จ อย่าว่าแต่จะทำอะไรให้มากไปกว่านั้น งั้นขอให้บูชาการบังคับความรู้สึกเป็นศีลข้อแรกของเราเยาวชน ถ้าเราไม่บังคับความรู้สึกแล้วก็ดื้อ บิดามารดาจะต้องทรยศหักหลังแม้แต่บิดามารดา จะทำบิดามารดาให้น้ำตก เราก็ไม่เคารพครูบาอาจาย์มันก็มีเรื่องเสียหายมากมาย เอาล่ะเป็นอันว่าคนยุวชนลูกเด็ก ๆ นี้ก็ต้องมีธรรมะให้พอ แล้วก็จะไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันไม่ทำอะไรผิด ๆ เหมือนเราที่ไม่มีศีลธรรม ผู้ใหญ่คุณพ่อคุณแม่คุณตาคุณยายทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีธรรมะแล้วก็จะต้องละอายสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีธรรมะมากจนวิตกกังวลนอนไม่หลับ แล้วก็ละอายสัตว์เดรัจฉานแหละ เพราะสัตว์เดรัจฉานมันยังนอนหลับไม่ปวดหัวไม่เป็นโรคประสาท งั้นจงอุตส่าห์สลัดสละไอ้ความยึดมั่นถือมั่นที่มันเกินออกไปเสีย ให้เหลืออยู่แต่พอดี ๆ มีความถูกต้องที่เรียกว่า มัชฌิมปฏิปทา อันเป็นธรรมะสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนในวันเช่นวันนี้ เมื่อตอนกลางวันก็พูดกันแล้วว่าวันอาสาฬหบูชาเป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศธรรมที่ได้ตรัสรู้ เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปฐมเทศนา ในพระสูตรนี้พูดถึงมัชฌิมาปฏิปทา คือความถูกต้องแปดประการ นี้เรียกว่าธรรมในที่นี้ได้ เมื่อมีธรรมหรือความถูกต้องแปดประการนี้แล้วจะไม่มีอะไรที่จะทำให้เราต้องละอายสัตว์เดรัจฉาน เราจะไม่ทำความทุกข์ให้แก่ตัวเอง จะไม่ทำความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ทำความทุกข์ให้แก่ตัวเอง ก็คือไม่มีความโลภความโกรธความหลง ความอะไรที่มาเผาตัวเองให้เร่าร้อน ไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้กังวลจนนอนไม่หลับ เป็นต้นอย่างที่ว่ามาแล้ว เพราะอำนาจของการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องพอดีที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ลูกเด็ก ๆ ก็ช่วยจำไว้ด้วยไม่ใช่ว่าเฉพาะคนแก่ มัชฌิมาปฏิปทา พึงรู้จักใช้ตั้งแต่แรกคลอดออกมาเลย ซึ่งบิดามารดาจะต้องช่วยดูแลให้มันมัชฌิมาปฏิปทา มาตั้งแต่แรกคลอด โตขึ้นมาก็รู้มากขึ้นทีหลังก็ดูแลตัวเองว่าเราจะอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา คือความถูกต้องทั้งแปดประการนั้น เนี่ยไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉานอีกต่อไป ไม่มีอะไรจะผิดพลาดชนิดที่ทำให้มนุษย์ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉานอีกต่อไป
เรื่องที่จะพูดมันมีเท่านี้คือว่า ธรรมะคำเดียวสำคัญอย่างยิ่งเราต้องมี มิฉะนั้นแล้วเราจะมีปมด้อยตกต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานให้สัตว์เดรัจฉานมันดูหมิ่นดูถูกได้ ดูจะพอแล้วมั้ง เหตุผลที่บอกว่าไอ้ธรรมะนี่สำคัญอย่างยิ่ง ธรรมะนี้จำเป็นอย่างยิ่ง มนุษย์ทุกคนจะเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะมีธรรมะ ให้พูดอีกก็จะพูดแต่อย่างนี้พูดอย่างอื่นไม่เป็นซะแล้ววันนี้ พูดแต่ว่าธรรมะนี่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ที่จะต้องมี ถ้าไม่มีแล้วก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ เป็นคนก็ยังไม่ได้ อย่าว่าจะเป็นมนุษย์แต่ถ้าไม่มีธรรมะแล้วก็ยังเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นคนได้ยังไง เมื่อคนนอนไม่หลับ สัตว์เดรัจฉานมันยังนอนหลับ คนมันก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะไม่มีธรรมะ สัตว์เดรัจฉานอยู่กันอย่างปรกติไม่คิดฆ่าฟันกันเหมือนมนุษย์ ไม่คิดลัก คิดขโมย คิดปล้น คิดยื้อแย่ง มีแผนการจะทำลายผู้อื่นเหมือนกันมนุษย์ ไม่เหมือนกับคน มนุษย์ไม่ทำแน่แต่คนนี่ยังทำอยู่ คนจะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีธรรมะก็ไม่เป็นมนุษย์เป็นแต่คนแล้วยังเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะพอแล้วมั้ง จะพูดถึงความจำเป็นของความที่เราต้องมีธรรมะ ถ้าไม่พอก็พูดอีกก็พูดอย่างนี้เรื่อยไป ว่ามันมีความจำเป็นที่เราจะต้องมีธรรมะสำหรับให้เราไม่ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน นี่เขาไปตามมาให้พูดกับนักเรียนลูกเด็ก ๆ เราเลยพูดอย่างนี้ พูดว่าลูกเด็ก ๆ นี่จะต้องรู้แต่บัดนี้ว่าธรรมะจำเป็น ต้องมีธรรมะสำหรับลูก รู้ว่าแม่คือใคร แล้วประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องต่อแม่ ต่อพ่อ ต่อญาติพี่น้องทั้งหลาย ต่อตา ต่อย่า ต่อยาย ต่อยายทวด ตาทวด ยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่เด็ก ๆ จะต้องมีธรรมะเบื้องต้นอย่างนี้ แล้วก็จะถูกต้องก็จะไม่เกิดปมด้อยที่สัตว์เดรัจฉานเขาก็จะหัวเราะเยาะเอา หวังว่าต่อไปนี้คงจะเอาไปคิดไปนึกไปศึกษาไปสังคายนาไปตรวจสอบทดสอบตัวเอง เพราะมันยังมีอะไรที่น่าละอายแก่ใจแม้แก่ตัวเอง แล้วก็รีบแก้ไขเสีย ขอให้ถือศีลคือบังคับตัวเองอย่าทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตก ผู้ที่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตกนั้นเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ทำให้พ่อแม่ของมันน้ำตาตก สติปัญญาของมนุษย์มันมีมากอย่างนี้แล้วเราไม่รู้จักควบคุม ไม่รู้จักใช้ถูกต้อง มันก็ใช้ไปในทางที่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก มนุษย์ฉลาดกว่าสัตว์ แต่มันใช้ความฉลาดไม่เป็นจนทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตกแล้วมันก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เครื่องมืออันนั้นมันก็ใช้มาเพื่อฆ่าตัวมันเอง เราจะต้องระวังความเป็นมนุษย์ของเราให้ดีให้มันถูกต้อง ขอฝากให้ลูกเด็ก ๆ ทุกคนสนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนี้ให้เป็นพิเศษ การศึกษาในโรงเรียนของพวกเธอนั้นเป็นหมาหางด้วน ไม่กลัวใครโกรธ ไม่กลัวเธอโกรธ ไม่กลัวครูโกรธ ไม่กลัวกระทรวงศึกษาธิการโกรธ ไม่กลัวรัฐบาลโกรธ ไม่กลัวใครโกรธว่าการศึกษาของเธอเป็นหมาหางด้วน เพราะเธอไม่รู้ว่าแม่นี้คืออะไร ไม่รู้ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร อย่าต้องให้ละอายสัตว์เดรัจฉาน พอเธอมีธรรมะแล้วก็เรียกได้ว่าการศึกษาไม่เป็นหมาหางด้วนแล้ว ที่มันหางด้วนมันจากโรงเรียนแล้วมาต่อกันที่วัดหรือที่ไหนก็ได้ที่ไหนศึกษาธรรมะได้ที่นั้นมันก็ต่อหางให้เต็มได้ อุตส่าห์ไปโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์บ้าง อุตส่าห์ไปวัดไปวาไปศึกษาส่วนที่เป็นธรรมะให้มันครบเข้ามา จะหายหางด้วน ถ้าเรียนแต่หนังสือเรียนแต่อาชีพมันยังขาดธรรมะไอ้นั่นคือหางมันด้วน เรียนธรรมะเสียเป็นเรื่องที่สามก็ครบก็บริบูรณ์ก็หางไม่ด้วน เหมือนหมาหางด้วน หรือเหมือนพระเจดีย์ยอดด้วน ต่อให้เป็นพระเจดีย์ยอดด้วนมันก็ไม่งามทั้งนั้น ให้เป็นพระเจดีย์ก็ตามถ้ายอดมันด้วนแล้วมันก็ไม่งามทั้งนั้น มันด้วนแล้วมันไม่งามทั้งนั้น ส่วนที่มันยังขาดอยู่รีบไปทำเสียให้เต็ม ไปศึกษาเพื่อให้รู้ว่าแม่คืออะไร เป็นคนคืออะไร เกิดมาทำไม จะต้องได้อะไร จะต้องตอบสนองพระคุณของบิดามารดาอย่างไร จะต้องช่วยเพื่อนมนุษย์กันอย่างไร ให้มีสัมมาทิฎฐิ ว่าเราเกิดมานี้จะต้องได้อะไร จะประกวดการบรรยายกันสักครั้งหนึ่งก็ได้ว่าเราเกิดมาควรจะได้อะไร ใครตอบดีช่วยกันให้รางวัล แต่อาตมาจะบอกเสียเลยว่าเราเกิดมานี่เพื่อไม่ต้องเป็นทุกข์แล้วก็มีประโยชน์แก่ผู้อื่นรอบด้าน ลูกเด็ก ๆ ช่วยจำกันไปทุกคนนะว่าฉันบอกว่าเราเกิดมาเพื่อจะไม่ต้องเป็นทุกข์ มีแต่ความสุข แล้วเรามีประโยชน์แก่คนทุกคนรอบด้าน อย่ามีความสุขแต่ตัวคนเดียวไม่ถูก ไม่ถูกแน่ไม่พอแน่ แล้วอยู่ในโลกคนเดียวก็ไม่ได้ด้วย เราเกิดมาสำหรับมีรู้สติปัญญาจิตใจไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องละอายสัตว์เดรัจฉาน เพราะสัตว์เดรัจฉานมันไม่เป็นทุกข์ เราต้องไม่ละอายสัตว์เดรัจฉาน เราเกิดมาสำหรับจะไม่เป็นทุกข์ มีจิตใจเย็นสงบเป็นนิพพานอยู่เสมอส่วนเรา แต่ละวันแต่ละคืนเรามีการกระทำที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย พอแล้ว เท่านี้พอแล้ว ไม่มีอะไรสูงสุดกว่านี้แล้ว พุทธศาสนาก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ เมื่ออยู่อย่างนี้กิเลสเกิดไม่ได้ กิเลสเกิดไม่ได้ไม่เท่าไหร่มันก็หมดเชื้อ หมดอำนาจที่จะเกิด มันก็หมดกิเลส มันก็เป็นนิพพานจริงไปเลย เดี๋ยวนี้อยู่กับนิพพานสมัครเล่นไปก่อน คือระมัดระวังอย่าให้เกิดความร้อนขึ้นมาในใจ เป็นนิพพานน้อย ๆ เป็นนิพพานชั่วครู่ เป็นนิพพานทันตาเห็น นี่ก็มีในพระบาลีเหมือนกัน เขาเรียกว่านิพพานชั่วครู่ ( บาลี นาทีที่ 52.40) เป็นนิพพานทันตาเห็นเรียกว่า (บาลี นาทีที่ 52.46) ก็พอแล้ว ให้มันเย็นอยู่ตลอดเวลา ถ้าร้อนก็ดับลงไปทันที ให้มันเย็นอยู่ตลอดเวลา เรามีความสุขสงบเย็นในใจอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่เสียเปล่าหรอกว่ามีความเคลื่อนไหวให้ผู้อื่นพลอยได้รับประโยชน์ด้วย ก็ต้องการเท่านี้ อยู่อย่างนี้ไปเถอะมันก็เป็นนิพพานน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ จนเป็นนิพพานสูงสุดเต็มขนาด เมื่อกิเลสและอาสวะอนุสัยมันหมดไป เพราะเราไม่ให้โอกาสแก่กิเลส ไม่ให้เหยื่อแก่กิเลส ไม่เติมเชื้อเติมน้ำมันให้แก่กิเลส มันก็ต้องเหือดแห้งไป นี่เราอยู่ชนิดที่กิเลสเกิดไม่ได้แล้วไม่ต้องกลัว อนุสัยของกิเลสจะค่อย ๆ หมดไป ถ้าเรามีกิเลสอยู่บ่อย ๆ มันก็เพิ่มเชื้อเพิ่มกำลังให้แก่กิเลสไม่รู้จักสิ้นสุด ไม่รู้จักสุด ไม่รู้จักสิ้น มีธรรมะป้องกันกิเลสไม่ให้เกิด มันควรจะเกิดทีหนึ่งไม่ให้มันเกิด มันควรจะโลภทีหนึ่งไม่ให้มันโลภ มันควรจะรักอย่างหลงใหลสักทีหนึ่งมันก็ไม่ให้รักไม่ให้หลงใหล มันจะโกรธสักทีหนึ่งก็ไม่ให้โกรธ มันจะเกลียดอิจฉาริษยาก็ไม่เกลียดไม่อิจฉาริษา มันไม่กลัวมันไม่เศร้า ระวังไว้อย่างนี้ มีธรรมะอย่างนี้ กิเลสจะไม่เกิดแล้วก็จะหมดเชื้อสำหรับจะเกิด เรื่องก็จบกัน มนุษย์เป็นมนุษย์ถึงที่สุดกันได้เพราะเหตุนี้ เด็ก ๆ ก็ทำได้ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ บอกอย่างนี้เลยว่าเด็ก ๆ ก็ทำได้ มีสติระวังจิตของตัวเองอย่าให้มันขาดธรรมะคือไปทำผิดทำเลวทำอะไรชนิดที่น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉาน จะพูดไว้เป็นเครื่องขู่ตัวเองก็ได้ว่าเราจะไม่ให้สัตว์เดรัจฉานหัวเราะเยาะเราได้ ถ้าใครถือหลักได้อย่างนี้คนนั้นจะรอดตัว เราจะไม่เปิดโอกาสให้สัตว์เดรัจฉานหัวเราะเยาะเราได้ ในบ้านเราก็มีแมว มีไก่ มีสุนัข มีอะไร มีสัตว์เดรัจฉานอยู่หลายตัว แล้วก็ไปดูมันพิจารณาดูมันดูจิตใจของมัน มันไม่เป็นทุกข์ เราเป็นทุกข์ เราก็ละอาย แต่เมื่อเรามาพิสูจน์ได้ว่าเราก็ไม่เป็นทุกข์ ก็พอ
เอาล่ะเป็นอันว่าขอให้เด็กนักเรียนทั้งหลายเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีธรรมะ ตั้งต้นมีธรรมะเป็นตัว ก ตัว ข ไปตั้งแต่รู้ว่าแม่คืออะไร ให้ถึงที่สุด แล้วพ่อคืออะไร แล้วอะไรคืออะไร ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งรู้ว่าเป็นคนคืออะไร เกิดมาทำไม เป็นมนุษย์สูงสุดได้ที่ตรงไหน เรื่องมันก็จะจบเอง ในที่สุดนี้ขออวยพรให้นักเรียนทั้งหลายทุกคนจงเป็นนักเรียนโดยถูกต้องสมแก่นามว่านักเรียนคือเรียนเพื่อรู้ รู้เพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อจะควบคุมกิเลสให้ได้อย่าให้มีปมด้อยจนละอายสัตว์เดรัจฉาน ให้นักเรียนทุกคนมีความก้าวหน้าในการงานคือการศึกษาเล่าเรียน แล้วประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน แล้วก็ประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีวิตรอด เมื่อมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็ขอให้มันรอดอยู่อย่างดี อย่าให้รอดอยู่เสมอสัตว์เดรัจฉาน ถึงไม่ต้องละอายแก่สัตว์เดรัจฉานมันก็ยังไม่พอเพราะมนุษย์ต้องดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเสมอ ต้องดีกว่าหลายเท่าหลายร้อยเท่าหลายสิบเท่า ขอให้อำนาจคุณของพระธรรมสูงสุด ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็เคารพพระธรรม ขอให้อำนาจของพระธรรมจงคุ้มครองพวกเธอทั้งหลายนักเรียนทุกคนให้เป็นนักเรียนที่แท้จริง เรียนสิ่งที่ควรเรียนไม่บกพร่อง คือเรียนธรรมะเป็นที่สุดแล้ว ได้รับความสงบสุขอยู่ทุกทิพาราตรีไม่มีการเสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา นี่พูดกับลูกเด็ก ๆ เท่านี้ เสร็จแล้วจะกลับก็ได้