แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นนักเรียน นักศึกษา ครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายมาที่นี่ด้วยความมุ่งหมายจะศึกษาธรรมะ ข้อนี้ขอแสดงความยินดีด้วยและขออนุโมทนาเพราะว่ามนุษย์โลกเรากำลังจะวินาศ เพราะขาดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ขอให้สังเกตดูจากเรื่องเลวร้ายตามท้องถนนหรือที่ไหนก็ตามทั่วๆ ไปในบ้านในเมืองเราหรือในโลก เกิดขึ้นเพราะอะไร โดยที่แท้จริงนั้นมันเกิดเพราะขาดธรรมะ คือ คนที่ทำให้ไม่มีเรื่องมีราวขึ้นมานั้น เป็นคนขาดธรรมะทั้งนั้น ถ้าไม่ขาดธรรมะก็ไม่ทำให้มีเรื่อง เพราะธรรมะโดยในหลักพระพุทธศาสนานั้นถือว่า เรายอมได้แม้เราจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่เขาจะให้ผิด มันก็ยังยอมได้ ถ้าว่ามันไม่เกิดเรื่อง ยอมเพื่อไม่ให้มันเกิดเรื่อง ฉะนั้นเราจะเสียประโยชน์ เสียอะไรไปบ้าง เราก็ยอมได้ เพื่อไม่ให้มันเกิดเรื่อง ทีนี้พวกอันธพาลตามท้องถนน เขายอมไม่ได้ แม้แต่มองตาเขา เขาก็ไม่ยอม เขาอาจจะฆ่า แม้แต่ด้วยเหตุว่าไปมองตาเขา นี่คือมันไม่ถือหลักธรรมะ คือ เห็นแก่ ความสงบสุขของส่วนรวม ตัวเองก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครจะถือหลักอย่างนี้ มันมีชกต่อยกัน แม้ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย มีความเลวทราม การปฏิบัติที่เลวร้ายในรั้วมหาวิทยาลัย ในวิทยาลัย ในโรงเรียน ในโรงเรียนเด็กเล็กเสียอีกไม่ค่อยมีเหตุการณ์เลวร้ายอย่างนี้ ในโรงเรียนอนุบาลเด็กเล็กไม่ค่อยมีเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนที่ในโรงเรียนประถม มัธยม หรือวิทยาลัยที่มันสูงๆ ขึ้นไป วิทยาลัยวิชาชีพกำลังได้รับการประณามมากที่สุด เท่าที่อาตมาได้ยินได้ฟังอยู่ที่นี่ ความเป็นอันธพาลเลวร้ายอยู่ในนักเรียน นักศึกษา วิทยาลัยวิชาชีพ วิชาชีพมันก็บอกอยู่แล้วว่าทำเพื่อตัวกู มันอบรมแต่เพื่อตัวกู มันก็ไม่ค่อยจะนึกว่าเพื่อธรรมะหรือเพื่อความถูกต้องหรือเพื่อสันติภาพ ขอให้เรามาพิจารณาดูกันในข้อนี้ก่อนว่า มนุษย์กำลังขาดธรรมะแล้วก็จะวินาศเพราะขาดธรรมะนั่นเอง ขาดธรรมะแล้วก็เบียดเบียนกันไป เบียดเบียนกันมา เลือดเข้าตามันก็ไม่คิดนึกอะไร เห็นผู้อื่นเป็นเหมือนกับยุง เหมือนกับเนื้อสัตว์ เนื้อทราย เนื้อไร้สมรรถภาพบ้าง มันก็ฆ่ากัน อย่างที่เขาเรียกว่า มิคสัญญี เห็นเรื่องฆ่าผู้อื่นเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วมันก็ฆ่ากันอย่างยิ่ง นี่เขาเรียกว่า มิคสัญญี มีความสำคัญเหมือนกับสัตว์เล็ก สัตว์น้อย สัตว์เดรัจฉาน ก็ฆ่ากันเหมือนกับฆ่าสัตว์ที่มันไม่มีอำนาจหรือกำลังจะต่อสู้ อาการอย่างนี้เขาเรียกว่า มิคสัญญี เป็นลักษณะของความวินาศของมนุษย์ ทั้งโดยร่างกายและโดยจิตใจ โดยวัตถุ โดยร่างกายทรัพย์สมบัตินี่ก็วินาศหมด โดยจิตใจก็เลวทรามเลวร้ายไม่มีมนุษยธรรมเหลืออยู่เลย นี่คือ ความวินาศของมนุษย์ เพราะว่าไม่มีธรรมะ ถ้าธรรมะกลับมา มันจะมีทางรอดไปได้
สมัยก่อนเขาบูชาธรรมะยิ่งกว่าสิ่งใด สมัยนี้บูชาเงิน เพื่อจะเอาไปซื้อหาความเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางเนื้อทางหนัง ดังนั้นพูดให้ตรงว่า คนสมัยนี้มันบูชากิเลส บูชาความเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางเนื้อทางหนัง ในเมื่อคนสมัยก่อนเขาบูชาธรรมะ ถูกแล้ว ว่าเขาก็มีบ้านมีเรือน มีทรัพย์สมบัติ มีบุตร ภรรยา สามี มีอะไรด้วยกันทั้งนั้น ทุกสมัย แต่ที่บูชาธรรมะอยู่ได้เพราะเขาเห็นแก่ธรรมะยิ่งกว่าสิ่งใด โดยเฉพาะยิ่งกว่ากิเลส เดี๋ยวนี้มันบูชากิเลส ดังนั้นสิ่งเลวร้ายมันก็มีขึ้นในหมู่มนุษย์ ไม่มีศีลธรรม แม้ในนักศึกษาทั้งหญิงทั้งชายนี้ คุณอาจจะเห็นว่า นี่มันเป็นธรรมดา ก็เพราะว่าสมัยนี้มันมีมากอย่างนี้ แต่ถ้าสมัยก่อนไม่ค่อยมีอย่างนี้ แม้เขาไม่เห็นเป็นคนธรรมดา ไม่เห็นเป็นเรื่องธรรมดา การมีธรรมะอยู่กันอย่างสงบปลอดภัยนี้ เขาเรียกว่าเป็นธรรมดา เป็นของธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่ให้เบียดเบียนกัน ฆ่าฟันกัน อาฆาตมาดร้ายกัน ไม่ยอมกัน นี่เป็นเรื่องผิดธรรมดาของมนุษย์ ดังนั้นเราจึงเกิดความรู้สึกขึ้นด้วยกันพร้อมๆ กันว่า ธรรมะจะต้องกลับมาช่วยมนุษย์ในโลกนี้ให้ทันแก่เวลา ก่อนแต่ที่มันจะวินาศไปเสียก่อน เขาเห็นว่า ถึงแม้เราจะมีวิชาความรู้ มีวิชาชีพ มีเงินมีทอง มีสมบัติพัสถานอำนาจวาสนา แต่ถ้ามันไม่มีความสงบสุขแล้วจะมีไปทำไม เมื่อมัวแต่คอยทำลายล้างซึ่งกันและกัน เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แย่งชิงซึ่งกันและกัน แข่งขันซึ่งกันและกัน มันก็หาความสงบสุขไม่ได้
ฉะนั้นจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมถ้ามันเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้ายชนิดนี้ เขาต้องการจะให้ไม่มีสิ่งเลวร้ายชนิดนี้ จึงได้พร่ำหาธรรมะ รูปภาพเขียนในตึกโรงหนังนั้น ก็มีคนร้องห่ม ร้องไห้กันเป็นการใหญ่ ภาพโลกนี้มันเต็มไปด้วยการรับผลของบาป ของกรรม ของกิเลส ร้องไห้กันใหญ่ และนึกหาสิ่งที่จะช่วยคุ้มครองป้องกัน จึงได้นึกถึงธรรมะ นึกหาธรรมะ จนเกิดการสอนธรรมะชนิดที่ให้ทำลายความเห็นแก่ตัว อาวุธ คือ หนวดเต่า เขากระต่าย นอกบ นั่นมันเรื่องไม่มีตัว คือ ไม่เห็นแก่ตัว เอาอาวุธนั้นมาทำลายกิเลส คนก็ไม่เห็นแก่ตัว ก็อยู่กันอย่างมีธรรมะ
การที่ท่านทั้งหลายมาเพื่อจะแสวงหาความรู้ทางธรรมะนี้นับว่า มีเหตุผล ถูกต้องกับกาละเวลาที่สุด เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดสำหรับการกระทำในยุคนี้ ในสมัยนี้จึงพูดว่า ขออนุโมทนาด้วย ขอแสดงความยินดีด้วย ในการที่ปลีกเวลาหรือเจียดเวลาออกมาหาธรรมะ แล้วก็มาถึงสวนโมกข์ แล้วก็ทำอะไรๆ ตามที่ได้ทำ ซึ่งเมื่อทำแล้วก็จะเป็นเรื่องรู้ธรรมะเป็นอย่างน้อย ปฏิบัติธรรมะ และได้ผลของธรรมะเป็นอย่างสูง
เดี๋ยวนี้เรานั่งกันอยู่กลางดิน นี้ก็เป็นการเรียนธรรมะที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญญาอยู่บ้าง ใช้คำว่า อยู่บ้าง ไม่ต้องมากนัก ถ้ามีปัญญาอยู่บ้างก็จะนึกว่า นี่เรากำลังนั่งอยู่กลางดินแล้วก็เป็นการเรียนธรรมะ เพื่อให้เรารู้ว่า พระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางดิน แล้วก็ตรัสรู้ก็นั่งกลางดิน สอนสาวกตลอดเวลาก็กลางดิน เรียกว่ากลางดินตั้ง ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ในที่สุดท่านนิพพาน คือ ตาย ก็ตายกลางดิน นี้คำว่ากลางดินมีความหมายสำหรับพุทธบริษัทอย่างนี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน ถ้าเรารู้สึกอย่างนี้ก็เรียกว่า รู้ธรรมะ อย่างน้อยก็รู้เงื่อนงำของธรรมะว่า ธรรมะนั้นไม่ต้องเล่าเรียนบนตึกราคาล้าน จัดเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ เสียมากกว่า อย่างที่ว่าเราจะสร้างตึกราคาเป็นล้านๆ เครื่องใช้ไม้สอยราคารวมกันเป็นล้านๆ แล้วนักเรียนออกมาเป็นอันธพาลทั้งนั้น มีแต่ความเห็นแก่ตัว มีความรู้แล้วก็มีวิชาชีพถึงที่สุดแต่ไม่มีธรรมะ ไม่รู้แม้แต่ว่าเกิดมาทำไมกัน ไม่รู้ว่าแม่คืออะไร พ่อคืออะไร ครูบาอาจารย์คืออะไร หน้าที่ของคนเราคืออะไรก็ยังไม่รู้ นี่เรียกว่า ตึกราคาล้าน ตึกเรียนราคาล้านมันช่วยอะไรไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วก็สอนกลางดินไม่ได้เสียซักสตางค์หนึ่งเรื่องการสร้างสถานที่สำหรับศึกษา ท่านก็สอนเรื่องให้คนบรรลุมรรค ผล นิพพาน อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง แล้วก็จะท้าทายเดี๋ยวนี้เลยว่า พวกท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็บอกว่ามาหาธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าซึ่งมันเกิดขึ้นกลางดินเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน ธรรมะที่เรามาหากันนั้นนี่ เป็นธรรมะที่เกิดขึ้นกลางดิน จงให้ความสำคัญแก่คำว่า กลางดิน ซึ่งมันมีความหมายในทางภาษาชั้นลึก คือ ภาษาธรรม ว่า มันไม่ต้องมีอะไรมากเกินธรรมชาติ นั่งอยู่กลางดินก็เห็นได้ รู้ได้ ดับทุกข์ได้ แล้วทำไมต้องไปเสียเวลาให้ เสียเงิน เสียอะไรให้มันมากมาย แล้วก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้น จงมีชีวิตอยู่แบบกลางดินตามความหมายคำว่า กลางดิน คือ มันใกล้ธรรมชาติที่สุด ไม่ต้องลำบากมาก ไม่ต้องใช้เงินมาก แล้วก็รู้เรื่องของธรรมชาติได้โดยง่าย ยิ่งอยู่พ้นดินไปเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไกลธรรมชาติมากเท่านั้น อยู่ใกล้ชิดกับแผ่นดินเช่นเดี๋ยวนี้นั่งอยู่กลางดินยิ่งใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ เมื่อเรานั่งอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ มันก็รู้ธรรมะได้ง่าย
ฉะนั้นขอให้เราพอใจที่จะนั่งกลางดินซึ่งเป็นที่นั่ง ที่นอน ที่ประทับของพระพุทธเจ้าแล้วให้มันสอนเราเหมือนกับที่มันสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านนั่งในเสนาสนะอันสงัด ธรรมชาติแวดล้อมช่วยให้จิตใจของท่านเป็นสมาธิ มีปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดซึ่งธรรมชาติ คือ ตรัสรู้ธรรมะนั่นเอง เพื่อจะช่วยความจำโดยสะดวก ก็ขอให้จำไว้สัก ๔-๕ คำว่า คำว่า ธรรมะ โดยตัวหนังสือนี่มันแปลว่า ธรรมชาติก็ได้ แปลว่า กฎของธรรมชาติก็ได้ แปลว่า หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ได้ แปลว่า ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น ก็ได้ เป็น ๔ ความหมายด้วยกัน เนื้อหนัง ร่างกาย ชีวิต จิตใจของเรานี้มันเป็นตัวธรรมชาติ ทุกคนๆ แต่ละคน ๆ นี้เป็นตัวธรรมชาติ มีดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ รวมกันอยู่เป็นลักษณะของร่างกาย จิตใจ นี่เรียกว่าตัวธรรมชาติ เป็นธรรมะในความหมายที่หนึ่ง
ในตัวของธรรมชาตินี้มีกฎของธรรมชาติ เราจะเห็นได้ว่า ร่างกายของเราทุกอณู ทุกปรมาณู มันเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ มันจึงรู้จักเกิด รู้จักหนุ่ม รู้จักแก่ รู้จักตาย ด้วยอำนาจของกฎธรรมชาติที่มันสิงอยู่ในตัวธรรมชาตินี้ ดังนั้นร่างกายของเราทุกๆ อณู ทุกเซลล์ ทุกอณูที่ประกอบเป็นเซลล์ หรือทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันเป็นอณู มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติสิงสถิตอยู่บังคับให้เป็นไป มันมีกฎมากมายเหลือที่กล่าวได้ มันทำให้เติบโตได้ มันทำให้คิดนึกได้ ถ้ามันเป็นไปอย่างถูกต้องมันก็เป็นผลดี ถ้าเป็นไปอย่างผิด มันเป็นกฎฝ่ายผิด ฝ่ายให้เกิดทุกข์ มันก็เป็นทุกข์ นี่กฎของธรรมชาติ มีอำนาจเหนือสิ่งใด มีอำนาจเหมือนกับพระเป็นเจ้า สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ทำลายล้างสิ่งทั้งปวง มีอยู่ในที่ทุกแห่ง เป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือสิ่งใด ไม่มีอะไรมาต้านทานอำนาจของสิ่งนี้ได้ นี่เราเรียกว่า กฎของธรรมชาติ แต่เราเรียกสั้นๆ ว่าธรรม ธรรมะ ด้วยเหมือนกัน
อย่างที่สาม หน้าที่ บรรดาสิ่งมีชีวิตแล้วมันมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติที่เป็นไปเพื่อความอยู่รอดและเป็นสุข กฎของธรรมชาติประเภทหนึ่งมันทำให้อยู่รอดไม่ตายแล้วก็อยู่เป็นสุข กฎธรรมชาติอีกฝ่ายหนึ่ง ตรงข้ามทำให้อยู่ไม่ได้และต้องตายหรือทนทุกข์ เราก็รู้หน้าที่ฝ่ายที่จะต้องทำให้รอดอยู่ได้และเป็นสุข นี่ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน
ข้อสุดท้ายผลที่จะเกิดมาจากหน้าที่ ก็คือ ความสุขหรือความทุกข์นั่นแหละ มันก็เรียกว่า ธรรมะ ด้วยเหมือนกัน ธรรม ๔ ความหมาย ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผลจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีถึง ๔ อย่างแต่ที่เราเอามาใช้กันเป็นเครื่องยึดถือ ศึกษา เล่าเรียนคืออย่างที่ ๓ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เช่น ท่านทั้งหลายมาที่นี่ก็เพื่อศึกษาให้รู้ว่าเราจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ นั่นคือหน้าที่ หน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องและไม่เป็นทุกข์ มาศึกษา เล่าเรียนมาไต่ถามอะไรในธรรมะ ที่เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นี่มันมีความจริงอยู่อย่างนี้ ก็ไปลองสังเกตศึกษาดู ถ้าคว้าเอามาถูกต้อง มันก็เป็นผลดี ถ้าคว้าเอามาผิด หลงผิด ด้วยความโง่ ความหลง อวิชชา มันไปคว้าเอาหน้าที่ฝ่ายความทุกข์หรือหน้าที่ซึ่งมิใช่หน้าที่มา เราก็ได้รับความทุกข์ ก็มีความล้มเหลวหมด การเล่าเรียนก็ล้มเหลว แล้วออกไปมันก็ต้องล้มเหลว หน้าที่การงานก็ล้มเหลว ตลอดชีวิตมันก็ล้มเหลว ถ้ามันไปคว้าเอามาผิด ผิดหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติ ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
เรื่องนี้มีมาก กฎของธรรมชาติ ทำอย่างไรเราจึงจะเรียนสำเร็จ ก็ต้องทำตามกฎนั้น ทำอย่างไรเราจึงจะประกอบการงานสำเร็จ ทำอย่างไรเราจะมีเงินมีชื่อเสียงมีอำนาจวาสนา กระทั่งว่าทำอย่างไรเราจะมีจิตใจที่เป็นสุข อย่าอวดดีว่า ถ้าเรามีเงินซะอย่างแล้ว มันก็จะหมดปัญหา ไม่มีทุกข์มีแต่สุข มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ มันมีเงินอย่างไม่ถูกต้องหรือมีเงินโดยที่มีจิตใจที่ไม่ถูกต้อง มันก็ต้องเป็นทุกข์เพราะมีเงินมากนั่นเอง ฉะนั้นอย่าไปหวังพึ่งพระเจ้าเงินเลย มันช่วยให้มีความสุขไม่ได้ ต้องพึ่งธรรมะ ไปควบคุมเงิน ไปควบคุมทรัพย์สมบัติ ควบคุมร่างกาย จิตใจ ให้ทุกๆ อย่างมันเป็นไปอย่างถูกต้อง นี่เรียกว่าเรามาศึกษาหน้าที่สำหรับมนุษย์จะต้องรู้ ถ้าทำได้อย่างนี้จริง มันก็ไม่เสียเวลา ไม่เสียเวลาเปล่าที่ท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ ซึ่งมันมีค่าใช้จ่าย มีความหมดเปลือง มีความเหน็ดเหนื่อย ถ้ามันได้ผลไม่คุ้มค่ากัน มันก็คือคนโง่ เห่อ ๆ มาที่วัดนี้มีพวกคนโง่ เห่อๆ มาที่วัดนี้จำนวนมาก ดูได้จากรูปภาพที่หัวตึกด้านทิศใต้ คน ๒-๓ คนยอมรับลูกตา นอกนั้นวิ่งกลับไปเป็นฝูงๆ เลย หัวขาดไม่มีลูกตาติดไป นี่คือคนโง่ๆ ที่มันเห่อมาเที่ยววัดนี้ ตามๆ กันมาอย่างทัศนาจร แล้วมันก็ไม่ได้รับลูกตา เชื่อว่า ในหมู่เหล่านี้ต้องมีอยู่เหมือนกัน ในหมู่พวกคุณที่นั่งอยู่นี่ต้องมี คนที่กลับไปหัวขาดไม่มีลูกตา จะต้องมี จะมีกี่คนก็ไม่ก็ไม่ทราบที่จะได้ลูกตาติดไป อย่างที่เรียกว่า ประสบความสำเร็จ เรายอมรับว่า บริการของเราที่นี่ยังไม่ได้รับผลตามที่มุ่งหมาย โดยรูปภาพนั่นแหละไปเปรียบเทียบดูเถอะ คนที่รับเอาลูกตาไปไม่กี่คน นอกนั้นวิ่งกลับไปโดยไม่มีลูกตาติดไป เรียกว่า ไม่คุ้มค่ามา ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ไม่คุ้มค่าเวลา ไม่คุ้มค่าความยากลำบากที่มาจนถึงที่นี่
ฉะนั้นขอร้องด้วยความหวังดีว่า ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน จงได้รับอะไรไปคุ้มค่าของการมาที่นี่ ไม่ต้องหัวขาดกลับไป ไม่อย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า น่าสงสาร มาหลอกตัวเองให้เสียเวลาเปล่าๆ ไม่มีผลอะไรคุ้มค่ากัน ทีนี้จะทำอะไรให้คุ้มค่ากัน ก็ขอให้ใช้ความคิดนึก ถ้าว่าเกิดความรู้สึกโดยแท้จริงว่า เรานั่งกลางดินนี่ มานั่งที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า สิ่งทั้งหลายตั้งต้นไปจากแผ่นดิน หรือว่าตั้งต้นด้วยการไม่ต้องใช้เงินมาก ไม่ต้องลำบากมาก เป็นอยู่อย่างต่ำๆ เหมือนกับเป็นอยู่กับแผ่นดิน อย่างนี้แล้วมันก็จะเข้าใจถูกต่อธรรมะ อย่าคิดว่าธรรมะต้องเปลืองมาก ต้องลำบากมาก ยุ่งยากอะไรมากมายนัก ขอให้มันเป็นอย่างธรรมชาติ ซึ่งมันเกือบไม่ต้องใช้เงิน ให้ศึกษาธรรมะจากธรรมชาติ ซึ่งไม่ต้องใช้เงิน การอบรมสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเราต้องถือว่า เป็นระดับมหาวิทยาลัยหรือระดับบรมมหาวิทยาลัยเลยไปโน้น เพราะท่านสอนคนให้บรรลุมรรค ผล นิพพาน แต่พอเราไปดูมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้ากลับเห็นว่า ไม่มีตึกสักหลังหนึ่ง ไม่มีห้องนั่น ห้องนี่ ไม่มีอะไรอย่างที่มหาวิทยาลัยเขามี กลับมีแต่ดิน กับต้นไม้ กับหินอย่างที่เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ รูปแบบมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมีตึก นี่เรามีตึกอย่างที่เขียนรูปภาพให้เข้าไปดู มันออกจะเกิน เกินไปซะแล้วเหมือนกัน แต่มันเห็นว่า มันมีประโยชน์ มันพิสูจน์ความมีประโยชน์อยู่ เราจึงทำเพื่อช่วยประหยัดเวลาของท่านทั้งหลาย ให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้คิด ได้นึก ได้รู้สึกเร็วๆ ไม่ต้องเสียเวลามาก แล้วมันก็ชวนด้วย แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ขอให้ได้เข้านั่งในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าโดยแท้จริงอย่างที่กำลังนั่งอยู่กลางดินที่นี่เถอะ นี่เรียกว่า เรียนจากธรรมชาติ เรียนจากธรรมชาตินั้น มันถ้าเป็นเรื่องข้างนอกนะ ที่เขารู้จักกันโดยมาก ก็เรียนจากก้อนหิน ก้อนดิน ต้นไม้ กรวดทราย น้ำท่า อะไรต่างๆ เรียนจากธรรมชาติ นี้ก็ได้เหมือนกัน ก็เรียกว่า เรียนจากธรรมชาติ แต่ที่ดีกว่านั้น ที่ลึกกว่านั้น ก็คือ เรียนจากความรู้สึกที่ธรรมชาติมันปรุงให้ ช่วยฟังดีๆ หน่อย จากความรู้สึกในใจของเราที่ธรรมชาติมันปรุงให้ เช่น มานั่งกลางดินอย่างนี้ นี่ธรรมชาติ มันทำให้เราเกิดความคิดนึกอย่างไร แล้วเราเรียนจากสิ่งนั้น จากจิตใจของเรา เรียนจากความรู้สึกในจิตใจของเรา เรียนจากจิตใจของเราตามที่ธรรมชาติมันแวดล้อมให้เกิดขึ้นมา เช่น เรามานั่งอยู่ที่นี่ ที่นี่ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นตัวกู ไม่มีอะไรเป็นของกู จิตใจมันก็หยุด เย็นสบาย รู้สึกสบาย รู้สึกเย็นสบาย เพราะไม่มีอะไรรบกวนใจ นี้ก็เรียนจากจิตใจว่า ทำไมจิตใจมันจึงเย็นสบาย หยุด เป็นสุข ดูๆๆ จนพบว่า มันก็อ้าว, มันไม่มีอะไรที่กำลังทำให้ยึดถือ ให้สำคัญมั่นหมายเป็นเรื่องตัวกู ของกู มันชวนกันหยุด ตัวกู ของกู หมด จิตมันเลยสบาย เยือกเย็นในความหมายของนิพพาน แล้วก็ได้ความรู้สูงสุดที่เป็นแก่นของธรรมะว่า เราจะมีความสุขได้ต่อเมื่อจิตใจของเราไม่เดือนพล่าน อยู่ด้วยความยึดมั่นด้วยตัวกู ของกู ถ้ามันเดือดพล่านอยู่ด้วยความยึดมั่นตัวกู ของกู มันไม่มีความสุขหรอก แม้ว่าเราจะต้องทำมาหากิน จะต้องเล่าเรียน ก็อย่าให้เดือดพล่านอยู่ด้วยหมายมั่นความรู้สึกเป็นตัวกู ของกู เรียนด้วยจิตใจที่ปกติ ทำงานด้วยจิตใจที่ปกติ จะได้ผลดีกว่า จะเรียนได้ดีกว่า จะมีผลงานดีกว่า มันก็เลยมีความสุข เมื่อทำงานก็ยังมีความสุข เมื่อเล่าเรียนก็ยังมีความสุข ถ้ามันอัดอยู่ด้วยตัวกู ของกูมันแล้วมันเป็นความทุกข์ไปทั้งนั้น มันไม่ได้อย่างใจกูซักที แม้เรียนอยู่มันก็อึดอัด เร่าร้อนอยู่ด้วย ไม่ได้อย่างใจกู แม้สอบไล่ได้มันก็ไม่ได้หยุดความเร่าร้อนอันนี้ แม้ไปประกอบอาชีพมันก็ยังเร่าร้อน แม้ได้เงินมาจะเข้าปาก จะกินจะใช้อยู่แล้ว มันก็ยังเร่าร้อน แม้กลืนเข้าไปแล้วมันก็ยังเร่าร้อน เพราะมันเป็นเรื่องตัวกู ของกูไปเสียหมด กูหา กูกิน กูได้ อะไรมันเป็นเรื่องตัวกูอย่างเหนียวแน่น อย่างนี้แล้วต้องเป็นทุกข์ จะได้อะไรอยู่ จะกินอะไรอยู่ แม้แต่จะอร่อยอะไรอยู่ มันก็ยังเป็นทุกข์ ช่วยจำไว้ด้วย ต่อเมื่อไม่มีความหมายมั่นตัวกู ของกูนี้ มันจะสงบ เงียบ เย็น ไม่มีความทุกข์ แม้จะทำงานหนักอยู่ก็ไม่มีความทุกข์ แม้จะไม่ต้องทำงานก็ไม่มีความทุกข์ จะพักผ่อนก็ไม่ต้องมีความทุกข์ จะกิน จะใช้ จะเป็นอยู่ในรูปแบบไหนมันก็ไม่มีความทุกข์ นี่เรามุ่งหมายกันอย่างนี้ หลักธรรมะในพระศาสนา ทุกศาสนาต้องการสภาพหรือภาวะที่ไม่มีความทุกข์ เรื่องอริยสัจ ๔ เป็นหัวใจของศาสนาก็คือ เรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดความทุกข์ เรื่องความดับแห่งความทุกข์ และเรื่องทางให้ถึงความดับแห่งความทุกข์ เดี๋ยวนี้เรานั่งอยู่กลางดิน เรามาเรียนรู้ความดับทุกข์ก่อน ที่นี่ไม่มีอะไรเป็นของกู จิตหยุด ว่าง เย็น เป็นความไม่มีทุกข์ มันก็เลยรู้ว่า อ้าว, ถ้าเป็นความทุกข์ มันก็เกิดมาจากความหมายมั่นเป็นตัวกู ของกู ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทุกข์ สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ คือ กิเลสที่เรียกว่า ตัณหาบ้าง อุปาทานบ้าง เรารู้โดยเปรียบเทียบว่า เดี๋ยวนี้เราว่างจากตัณหา อุปาทานอยู่ช่วงขณะ เราไม่มีความทุกข์ เราอยากจะมีจิตใจอย่างนี้ เย็นอย่างนี้เรื่อยไป กลับไปที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ไหน ที่พัก ที่อยู่ กลับไปก็ขอให้มันเย็นอย่างนี้ เมื่อเรียนหนังสือ ขอให้มันเย็นอย่างนี้ เมื่อสอบไล่ ขอให้มันเย็นอย่างนี้ ทำการทำงานอะไรต่อไปก็ขอให้มันเย็นอย่างนี้ ไม่ใช่หยุดเสีย ไม่ใช่ขี้เกียจเสีย แต่กลับทำด้วยความสนุกสนาน เบิกบาน ร่าเริง พอใจในการงานที่ทำ ขอให้ความสุขมันเกิดขึ้นในการงาน หรือในการเรียน ทีนี้คนที่มันขี้เกียจ มันเหลวไหลมันก็มีความทุกข์ในการเรียน มันคอยแต่จะโกง จะลอกของผู้อื่น หรือจะสอบไล่กันอย่างโกงๆ มีความทุกข์ตลอดเวลา ไม่รู้สึกสนุกได้ ไม่พอใจในการเรียนได้ ถ้าเราเป็นคนที่มีธรรมะ มีใจคอสงบ เรียนจริง มันก็ค่อยรู้ตามลำดับ มันก็มีความสนุกมากขึ้นในการเรียน ยิ่งเรียนยิ่งสนุก ยิ่งสนุกยิ่งเรียนได้ดี ยิ่งเรียนได้ดีมันก็ยิ่งสนุก นี่เขาเรียกว่า มีความสุขอยู่ในการเรียน คนทำนาเหงื่อไหลไคลย้อยก็เหมือนกันแหละ ถ้าเขาพอใจสนุกในการทำ มันก็มีความสุขเมื่อทำนานั่นเอง ไม่ต้องรอเมื่อมีข้าวออกรวง เอาข้าวขายเอาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อยา ซื้อเครื่องบำรุงบำเรอมากินจึงจะมีความสุข นั่นก็เป็นความสุขบ้าๆ บอๆ เป็นความสุขร้อน ไม่ใช่ความสุขเย็น ถ้าเราพอใจในการงาน การเรียน หรือหน้าที่ที่ต้องทำแล้วมีความสุข นี่เป็นความสุขเย็น คนละอย่างกับสุขกามารมณ์หรือสุขที่ต้องใช้เงิน ไปซื้อหาอะไรมาสุมจิตสุมใจให้มันร้อน นั่นมันสุขร้อน คือ บูชาสุขร้อน ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเป็นบ้า ไม่เท่าไหร่ก็จะต้องตาย
ดังนั้นอย่าไปหลงกับเรื่องสุขร้อนอย่างนั้น แม้จะเกี่ยวข้องก็ต้องรู้ว่ามันเป็นสุขร้อน ไม่ให้มันเผาเรา แล้วหาสุขเย็น ทำหน้าที่ให้ดีจนพอใจในการทำหน้าที่โดยเฉพาะการเรียน แล้วก็เป็นสุขอยู่ในการเรียน อย่างนี้ไม่เป็นอันตราย กลับมีประโยชน์ ทำให้มีความก้าวหน้า ตามวิถีทางของมนุษย์ที่จะก้าวหน้าไปให้สูงสุดได้อย่างไร นี่คือตัวธรรมะ ธรรมะในฐานะเป็นหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติ มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ฝ่ายที่จะดับทุกข์มันก็ไม่มีทุกข์ ถ้าทำไปอย่างโง่เขลา มันก็ไปเข้าถูกต้องในหน้าที่ที่จะทำให้เกิดทุกข์ มันก็ต้องได้รับทุกข์ อย่างที่อันธพาลทั้งหลายเขาได้รับอยู่ อันธพาลทั้งหลายส่วนมากในท้องถนนในกรุงเทพก็เคยเป็นนักเรียน เป็นนักเรียนม. นักเรียนม.ศ. มาทั้งนั้น แล้วมันก็เป็นอันธพาลอย่างเลวร้ายอยู่ตามท้องถนน เพราะมันขาดอะไร คิดดู มันขาดธรรมะที่จะดำรงตนให้ถูกต้อง มันขาดแม้แต่ความรู้อาชีพ เพราะเมื่อเรียนมันเรียนอย่างเหลวไหล มันก็เพียงแต่รู้หนังสือบ้าง รู้อะไรครึ่งๆ กลางๆ รู้อาชีพนิดๆ หน่อยๆ ไม่พอกิน มันก็ต้องเป็นอันธพาล รวยลัด ด้วยการทำอาชญากรรม มันก็หมด ก็จบกันแค่นั้น เกิดมาเป็นอันธพาลจนกว่าจะตาย นี่เป็นเรื่องเสียหายเลวร้ายเท่าไร ขอให้คิดดู เราไม่ต้องลอง ไม่ต้องไปลองอย่างนั้น ไม่ต้องว่าเรียนจบแล้วเป็นอันธพาลลองดู ไปทำอาชญากรรมเลวร้าย ไปติดยาเสพติดหรือเตรียมพร้อมที่จะทำคอร์รัปชั่นโดยทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมากินมาใช้ อย่างนี้ไม่ต้องลอง ป่วยการ มันก็เสียเวลา ถ้าทำไปตลอดชีวิต มันก็เรียกว่า เสียชาติเกิด แล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาหาธรรมะ หรือมาแสวงหาธรรมะจนถึงที่นี่ ถ้าเห็นว่า เป็นความจำเป็นที่มาแสวงหาธรรมะจนถึงที่นี่ ก็ขอให้ถือเอาให้ถูกทาง ถือเอาหลักเกณฑ์ให้ถูกทาง คือ ให้ได้ความรู้สำหรับจะบังคับตัวเอง ไม่พลัดตกลงไปใต้อำนาจของกิเลส ซึ่งทำอะไรทำไปตามอำนาจของกิเลส ไม่ถือธรรมะ ไปถือความรู้สึกที่เป็นกิเลส คือ ความรู้สึกฝ่ายต่ำ ยกความรู้สึกฝ่ายต่ำมาเป็นสรณะ ความรู้สึกฝ่ายสูงมันก็เลยหนีหายไปหมด คนๆ นั้นมันก็เลยไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรที่เป็นฝ่ายสูง หนักเข้าๆ มันก็ติดเป็นยาเสพติดเหมือนกัน บาปกรรม ความชั่วติดได้เป็นยาเสพติด มันก็ทำไปจนตลอดชีวิต นี่ก็เรียกว่า เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา
อาตมาเข้าใจว่า ท่านทั้งหลายคงไม่อยากเกิดมาอย่างชนิดที่เสียที ถ้าไม่กลัว ก็ไม่ต้องมาที่นี่ เพื่อมาศึกษาธรรมะ เดี๋ยวนี้ก็เห็นอยู่มาด้วยความลำบาก เพื่อจะศึกษาธรรมะ นั่นท่านทั้งหลายคงจะกลัวอาการที่เรียกว่า เสียทีที่เกิดมามนุษย์และพบพระพุทธศาสนา พบพระพุทธศาสนาแต่ผิวเผิน ไม่เข้าถึงเนื้อถึงตัวของพุทธศาสนาก็ไม่รู้จริง ก็ปฏิบัติจริงไม่ได้ ก็ไม่ได้รับผลของธรรมะหรือศาสนา ฉะนั้นขอให้มามีความรู้ถึงตัวจริง ตัวแท้ของพุทธศาสนา ว่าความทุกข์นี้มันเกิดมาจากกิเลสตัณหา คือ ความอยาก ความยึดมั่นในความอยาก เป็นตัวกู ของกู ผู้อยาก อยากจะได้มาเป็นของกูนี้ ความรู้สึกธรรมดาอย่างนี้ คนโง่เท่าไหร่มันก็มี ยิ่งมียิ่งโง่ ยิ่งมียิ่งโง่ มันต้องรู้ว่า ธรรมชาติเป็นของธรรมชาติ เราจะยืมใช้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ผู้ที่รู้ธรรมะ เขาจะมองไปในทางว่า แม้ร่างกายนี้ก็เป็นของธรรมชาติ ร่างกายของเราแท้ๆ เขายังถือว่าเป็นของธรรมชาติ เรายืมมาใช้ให้ถูกต้อง เพื่อสร้างความรู้สึกที่เป็นสุขให้แก่เรา คือ จิตใจ แม้แต่จิตใจก็เป็นธรรมชาติ ยืมธรรมชาติมา อบรมให้มันเป็นจิตใจที่ถูกต้อง แล้วก็คลายออกมาแต่ความสุข ก็เลยเป็นคนที่มีความสุข อย่างนี้เขาเรียกว่า ไม่ยึดถือเป็นตัวเรา เป็นของเรา คงไว้เป็นของธรรมชาติ แต่มีความเฉลียวฉลาด เอามาใช้ให้มีความสุขถึงที่สุด จะเปรียบเหมือนอย่างว่า เรายืมรถยืมเรือของผู้อื่นมาใช้ ไม่ใช่ของเรา เราก็อาจใช้มีความสุขได้ แล้วก็เอาไปคืนเจ้าของอย่างเรียบร้อย ก็ไม่มีความทุกข์เลย ชีวิตนี้ก็เหมือนกัน คล้ายกับยืมมาจากธรรมชาติ เอามาอบรมบ่มให้มันดี ให้มันถึงที่สุด ให้มันมีความสุขแล้วในที่สุด ก็ต้องคืนให้แก่ธรรมชาติไป ซึ่งเราเรียกกันว่า ความตาย เหมือนกับคืนให้กับธรรมชาติไป แต่ในระหว่างที่ยืมมาใช้อยู่นี้ ใช้ดีที่สุด ให้เป็นร่างกายจิตใจที่มีความสงบสุขที่สุด นี่เป็นวิธีที่เรียกว่า เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความเฉลียวฉลาดในพระพุทธศาสนาด้วยอาศัยธรรมะ ระหว่างนี้เราจึงศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ให้ได้รับผลดีที่สุดแก่ชีวิตของเรา จนกว่ามันจะต้องส่งคืน คือ ต้องแตกทำลายด้วยความตาย ไม่มีความทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตายก็นับว่าดีที่สุดเท่านั้นเอง
ดังนั้นจึงหวังว่า ทุกคนจะรู้จักทำจิตใจของตน อย่าให้มีความทุกข์ อย่าต้องนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า อย่าให้ต้องเป็นโรคประสาท เรียนหนังสือไม่ได้ อย่าให้ต้องเป็นบ้าในที่สุด นี่ขอให้ทุกคนเป็นได้อย่างนี้ ได้รับประโยชน์อันสูงสุดในพระธรรม ในพระพุทธศาสนา ธรรมชาติให้พร พระพุทธเจ้าให้พร ธรรมะให้พร ให้ท่านทั้งหลายประสพแต่สิ่งที่ควรจะได้ ไม่ใช่ความสุขอย่างเดียว พูดอย่างอุปมาก็ว่า อย่าได้กลับไปหัวขาด อย่าได้หัวขาดกลับไป มันคงจะจำง่ายดี ไปดูรูปภาพนั้นอีกที อย่าได้กลับไปหัวขาด หรือหัวขาดกลับไป ขอให้เอาความรู้ ความเข้าใจ ไปเต็มหัว ว่าความทุกข์คืออะไร เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร ความดับทุกข์คืออะไร ทางให้ถึงความดับทุกข์คืออะไร ก็ขออนุโมทนาด้วย เมื่อสักครู่นี้ก็บอกว่า ขอแสดงความยินดีที่ท่านมา ขอแสดงความยินดีที่ท่านมาเพื่อต้องการธรรมะ แล้วก็สนองความประสงค์โดยว่าธรรมะเป็นอย่างนั้นๆ รู้จักบังคับตัวเองเป็นข้อสำคัญ คำว่า บังคับตัวเอง นี่สำคัญมากนะ ที่นั่งโงกอยู่ ฟังไม่รู้เรื่องนี่เพราะไม่บังคับตัวเอง มันขาดบังคับตัวเองแล้วนะ ถ้าบังคับตัวเองได้ มันไม่โงก ไม่ง่วง จงเอาการบังคับตัวเองติดกลับไปทุกคนๆ ทีนี่ก่อนแต่จะบังคับตัวเองนี้ มันมีอยู่อีก สองสามอย่าง ฉะนั้นช่วยจำไปด้วยว่า
ข้อแรกจะรู้จักตัวเอง รู้จักตัวเอง ท่องไปเถิดว่า ๑) รู้จักตัวเอง ๒) มันเชื่อตัวเอง ๓) มันบังคับตัวเอง ๔) มันพอใจตัวเอง ๕)มันนับถือตัวเอง เชื่อตัวเองว่า เราก็เป็นคนนี่ เรารู้จักตัวเองว่า เราเป็นคน ต้องทำอะไรอย่างคน แล้วก็เชื่อว่าเราทำได้ แล้วก็ทำ คือ บังคับตัวเอง บังคับได้ บังคับกิเลสได้ บังคับความรู้สึกได้ บังคับกาย วาจา ใจ ไปในทางถูกต้องได้ มันก็มีผลพอใจตัวเอง ปิติตัวเอง ยินดีตัวเอง มีความสุขในตัวเอง ทีนี่ก็นับถือตัวเองเป็นเรื่องสุดท้าย ยกมือไหว้ตัวเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ขอให้กลับไปด้วยความรู้สึกว่า เราจะต้องทำ จนเราไหว้ตัวเองได้ ไปนั่งลงตรงที่สงบสงัด สักแห่ง แล้วใคร่ครวญดู เราไหว้ตัวเองได้ไหม เดี๋ยวนี้เรามีอะไรที่ทำให้เราไหว้ตัวเองได้ หรือมีแต่ความผิดพลาด น่าขยะแขยง ไหว้ตัวเองไม่ลง โดยมากจะเป็นซะอย่างนี้พบแต่ความผิดพลาดไหว้ตัวเองไม่ลง อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ขอให้ไปสะสางชนิดที่เรียกว่า สะสางทีเดียว ให้รู้จักตัวเองว่า เราเป็นอะไร เราเป็นมนุษย์ เราเป็นบุตร เราเป็นศิษย์ เราเป็นอะไรก็ต้องเป็นให้มันถูกต้อง แล้วเราก็เชื่อตัวเองว่า เราเป็นได้ เราบังคับตัวเองให้มันเป็นให้ได้ พอเป็นได้แล้วควรจะพอใจ ชอบใจ ชื่นใจตัวเอง มีปิติในตัวเอง ทีนี้จะยกมือไหว้ตัวเองได้ วันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด ไหว้ตัวเองทีหนึ่ง พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็เหมือนกัน พอตกเย็น ตกค่ำ จะนอนแล้วก็นึกดูว่า วันนี้ได้ทำถูกต้องหมด ควรจะไหว้ตัวเองได้ก็ไหว้ตัวเองเสียทีหนึ่ง ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปไม่เท่าไหร่ จะประเสริฐ ทั้งในทางโลก ทั้งในทางธรรม จิตใจจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยไม่ยาก เรียกว่า ค่ำลงนึกถึงไหว้ตัวเองไม่ลง วันนี้มันมีแต่เรื่องเลวร้าย อ้าว, พรุ่งนี้อีกไหว้ไม่ลง มะรืนนี้อีก ไหว้ไม่ลงตลอดเวลาอย่างนี้ มันก็จะจมลงในอบาย ชีวิตนั้นจะจมลงในอบาย มันก็จบกันแหละ ชีวิตนี้มันก็ล้มละลาย ที่เรียกว่า เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ด้วยมีธรรมะจริงๆ ขอให้ปฏิบัติตามหลักที่ว่านี้ ข้อหนึ่ง รู้จักตัวเองเป็นอย่างดี ข้อที่สอง เชื่อตัวเอง แน่นอน ข้อที่สาม บังคับตัวเองให้เป็นอย่างนั้นให้ได้ ข้อที่สี่ อิ่มใจเมื่อทำได้ ข้อที่ห้า ไหว้ตัวเองได้ว่ามันเต็มไปด้วยความดี นี่เป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เขาก็เอาไปใช้เป็นหลักจริยธรรมสากล ทั่วจักรวาลสากล เป็นศีลธรรมสากล ตรงกับหลักพระพุทธศาสนา เราจะชอบอย่างไหน ก็เรียกอย่างนั้นแล้วกัน ศีลธรรมสากล มันก็เป็นหลักธรรมะในพระพุทธศาสนา ท่านจงเอาธรรมะ ๕ ข้อนี่ ยังไงแหละ สวมหัวไป พูดหยาบคายไปแล้ว ธรรมะ ๕ ข้อนี้ทูลศีรษะไปเหมือนกับลูกตา อย่าให้หัวขาดกลับไป รู้จักตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง พอใจตัวเอง ไหว้ตัวเองได้ในที่สุด เอาแหละ พูดธรรมะสำหรับท่านที่อุตสาห์มาจนถึงที่นี่ หวังจะมีความรู้เรื่องธรรมะสำหรับไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาหรือศาสนาไหนก็ได้ทั้งนั้นเหมือนกันเลย จงได้ประสบความสำเร็จในความหวังอันนี้ ให้เล่าเรียนดี ให้ประกอบกิจกรรมที่ดี จงมีความเจริญในหน้าที่การงานของตนอยู่ เป็นสุขอยู่ พอใจในตัวเองอยู่ ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ