แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักเรียนและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย สู่สถานที่นี้ ด้วยหวังว่าจะศึกษาเรื่องอันเกี่ยวกับพระธรรม เราเรียกรวมทั่วๆไปว่าพระธรรม เท่าที่จะเกี่ยวข้องกับองค์การศึกษาในระดับนักเรียนหรือทั่วๆ ไปนี้ เราก็มักจะเรียกว่าศีลธรรมหรือจริยธรรม
สิ่งที่เรียกว่า ธรรม ธรรมะ ศีลธรรม จริยธรรมนี้ ยังมีคนมองข้ามหรือรู้จักน้อยเกินไป โลกกำลังจะวินาศเพราะไร้ศีลธรรมยิ่งขึ้นทุกที ในการที่สนใจศีลธรรม ให้ศีลธรรมกลับมา มีมาสำหรับช่วยมนุษย์เรานี้เป็นความคิดที่ถูกต้อง ในข้อที่ว่าศีลธรรมหายไป ไม่ค่อยมีอยู่ในโลกก็เพราะว่าคนไม่ประพฤติศีลธรรม ไปประพฤติสิ่งที่เป็นเรื่องของกิเลส ซึ่งเป็นความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยเป็นที่พอใจเขา นี่เป็นพื้นฐานทั่วไปคนโดยมากก็เป็นอย่างนี้ คือพอใจในเรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง ซึ่งเขาเรียกกันสั้นๆ ในทางภาษาศาสนาว่า เรื่องเนื้อหนัง คนสนใจเรื่องเนื้อหนังกันมากขึ้นแล้วก็ละเลยเรื่องทางจิต ทางวิญญาณกันมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมเสื่อมไป ความสนใจแต่เรื่องเนื้อหนังความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังนั้น มันเพิ่มความเห็นแก่ตัวอย่างรวดเร็ว ไอ้เรื่องทางจิตทางวิญญาณนั้นมันทำลายความเห็นแก่ตัว มันช่วยไปในทางให้เห็นแก่ผู้อื่น มันเดินกันคนละทางอย่างนี้ เดี๋ยวนี้คนมันเดินไปทางเรื่องเห็นแก่ตัวหรือเรื่องของเนื้อหนัง มันก็หนาไปด้วยกิเลส นั้นความคิดมันจึงเป็นไปทางทำให้เกิดปัญหาเกิดความยุ่งยาก ลำบากเดือดร้อน ขอให้ดูเอาเอง สังเกตดูเอาเอง อ่านเอาเองจากหนังสือข่าวหนังสืออะไรก็ตาม ว่าเดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยความเป็นอันธพาล เดือดร้อนระส่ำระสายกันสักเท่าไร ถ้าไปเปรียบเทียบกันสักเมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว แล้วมันก็เรียกว่าต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว นี่นักเรียนเหล่านี้อายุไม่ถึง ๕๐ ปี ก็ไม่รู้ได้ ก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบ แม้แต่จะเปรียบเทียบในระยะสั้นๆ สัก ๑๐ ปีมานี้ก็เห็นได้ว่ามันเปลี่ยนไปมาก อาชญากรรมบนท้องถนนหลวง แม้แต่ว่าบนรถเมล์ นี่มันก็เพิ่มมากขึ้น ก่อนนี้ที่กรุงเทพยังปลอดภัยดึกดื่นค่ำคืนไปไหนมาไหนคนเดียวได้ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ มันยิ่งกว่าไม่ได้ ชั่วเวลาสี่ห้าสิบปีนี้ เพราะว่าศีลธรรมมันเสื่อม ก็เหมือนๆ กันไปหมดทั้งโลก เพราะมันเอาอย่างกัน ความเสื่อมทางศีลธรรมมันมีตัวอย่างมาจากนอกประเทศคือที่อื่นก็เป็นกันก่อน ไอ้ประเทศที่มันสนใจทางวัตถุก้าวหน้านั้นมันนำก่อน ก็ก้าวหน้า ก็ก้าวหน้ามันสนุกสนานเอร็ดอร่อยดี ไอ้คนโง่ๆ มันก็ตาม ที่นี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงขึ้นในหมู่คน มุ่งแต่จะเจริญทางวัตถุ อะไรๆ ก็เศรษฐกิจ เรื่องศีลธรรมนั้นไม่มี คนก็เห็นแก่ตัวมากขึ้น นี้ในการศึกษาก็เลยพลอยเปลี่ยนแปลงไปตาม เมื่อก่อนนี้การศึกษามีเรื่องธรรมะมากอยู่ในแบบเรียน แม้แต่ในหนังสือแบบเรียนสอนอ่าน ที่หนังสือสอนอ่าน สอนให้รู้หนังสือนั่นมันก็มีเรื่องของธรรมะ เดี๋ยวนี้มันไม่มี ในหนังสือแบบเรียนชนิดสอนอ่านหรือ reader มันไม่มี นี้หนังสือเฉพาะวิชา เฉพาะเรื่องศีลธรรมอะไรก่อนนี้เขาก็มี เช่น ธรรมจริยา เป็นต้น เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มี ก็แปลว่าไอ้เรื่องทางศีลธรรมมันขาดไป เราได้เรียนกันแต่เพียง ๒ เรื่อง ใน โรงเรียนตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัยเราเรียนกันแต่เพียง ๒ เรื่อง คือเรียนหนังสือกับเรียนอาชีพ ส่วนเรื่องที่ ๓ ไม่ได้เรียน เรื่องที่๓ คือเรื่องที่ว่า เราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ถูกต้อง ให้มีสันติสุข สันติภาพ เราไม่ได้เรียน เราเรียนหนังสือเราก็เก่งทางหนังสือ เราเรียนอาชีพเราก็เก่งทางอาชีพ ส่วนวิชาที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร โลกนี้จะมีสันติสุขสันติภาพ ไม่ได้เรียน นี่เรียกว่าการศึกษาชนิดหมาหางด้วน พูดให้มันจำง่ายกันลืม ลืมยาก พวกเรามีกันแต่การศึกษาระบบหมาหางด้วน เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ธรรมะไม่ได้เรียน เราจึงไม่รู้ว่าจะเป็นคนกันอย่างไรยิ่งขึ้นทุกที สมัยก่อนเรียนธรรมะโดยไม่รู้สึกตัว ในบ้านในเรือน มันมีระเบียบมีวัฒนธรรม มีอันที่เป็นธรรมะอยู่ในระเบียบ นั้นเด็กๆ รู้ธรรมะรู้จักอ่อนน้อม รู้จักบังคับกิเลส รู้จักรักบุญกลัวบาปมาแต่เล็กๆ กิริยามารยาทของเขาก็ควบคุมกันมาแต่เล็กๆ จะหยาบ จะกระด้าง จะอันธพาลนี่ไม่ได้ พ่อแม่เขาควบคุม เดี๋ยวนี้มันไม่มี พอมาถึงโรงเรียนมันก็ไม่ได้สอน ไม่ได้ควบคุม มันก็ว่าง เกิดช่องว่าง ที่การศึกษาระบบที่ ๓ คือ ธรรมะหรือศีลธรรม คนจึงรู้แต่หนังสือกับอาชีพ แล้วก็มีเอ่อ..มันก็ขาดความรู้ธรรมะ นี่มันเห็นแก่ตัว มันทำอะไรตามอำนาจของกิเลส มันก็เลยเกิดการกระทำที่เรียกว่าอันธพาล พวกอันธพาลเขาไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะเอาแต่ให้ได้ นั้นเขาก็ใช้ความเป็นอันธพาลน่ะ จะเอาให้ได้ เอาเงินเอาของ แม้กระทั่งข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่าอะไรนี่ มันเป็นเรื่องของผู้ที่เห็นแก่ตัว และจะเอาแต่ได้โดยไม่คิดว่ามันผิดหรือถูกอย่างไร นั้นถ้าเรื่องอย่างนี้มันมากขึ้นแล้วมันจะเป็นอย่างไร โลกเรานี้จะเป็นอย่างไรถ้ามันมีแต่คนชนิดนี้ คาดคะเน โดยคาดคะเนนะว่า จบ มศ.๕ กันปีละสองแสนคนเศษ ไอ้เศษของสองแสนนั้นน่ะ ที่มีโอกาสไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยอะไร ผ่านไป อีกสองแสนนี้เหลืออยู่เรียนไม่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ก็ต้องออกไปประกอบอาชีพ ไม่ได้อย่างใจก็เป็นอันธพาล ปีละสักสองแสนคนอย่างนี้ คิดดูเถอะว่ามันจะอย่างไร จะอยู่กันตรงไหน จะอยู่กันอย่างไร อันธพาลก็คือยึดถือว่าได้แล้วก็เป็นดี ได้เงินได้ของได้อะไรก็ตามเถอะ ก็รวมๆ แล้วเรียกว่าได้สิ่งที่กิเลสของเขาต้องการ ได้รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ที่เขาต้องการ ได้แล้วเป็นดีใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง นี่เขาจึงทำการทารุณโหดร้าย ทำอันตรายแม้แต่ญาติพี่น้อง ทำอันตรายแม้แก่บิดามารดาของตัวเอง เขาประทุษร้ายผู้หญิงโดยไม่มอง ไม่มองสักนิดหนึ่งว่า นี้ถ้าว่ามันเป็นน้องสาวของเรา พี่สาวของเรา มารดาของเราแล้วจะทำอย่างไร นี่มันก็ไม่คิดเลย มันก็ทำตามที่กิเลสของมันต้องการ นี่คือผลของการที่ว่าธรรมะมันหมดไป ศีลธรรมมันหมดไป ไอ้มนุษย์ก็หมดความเป็นมนุษย์ ก็เลวร้ายกว่าสัตว์เพราะสัตว์มันโง่ มันจะทำอะไรให้เก่งกล้าสามารถไปไม่ได้ นั้นความเป็นอันธพาลของสัตว์จึงมีน้อยกว่าความเป็นอันธพาลของมนุษย์ที่เรียบจบ มศ. ๕ มาแล้ว คิดดูให้ดี เราจึงมีปัญหายุ่งยากมากขึ้นทุกที เรียนหนังสือจบแล้วยังเป็นอันธพาลได้ อันธพาลที่เขาจับ ตำรวจจับมาได้ลองไปถามดู เป็นอันธพาลยาเสพติดเป็นนักเรียนมาแล้วทั้งนั้น เป็นอันธพาลยาเสพติด อันธพาลฉกชิงวิ่งราว อันธพาลฆ่า ข่มขืนแล้วฆ่า อะไรต่างๆ จับมาดูเถอะ มันเป็นผู้ที่เล่าเรียนมาแล้ว แต่เล่าเรียนมาอย่างศึกษาหมาหางด้วนทั้งนั้น มันรู้แต่หนังสือกับรู้แต่อาชีพ มันไม่รู้จะเป็นมนุษย์กันอย่างไร
การที่เธอทั้งหลายมาที่นี่ประสงค์จะศึกษาธรรมะนี้ ก็ย่อมเป็นการดี ขออนุโมทนาด้วย เพื่อว่าจะเอาไปต่อหางหมา ถ้าการศึกษายังเป็นหมาหางด้วน มันขาดอยู่ที่โรงเรียนไม่มีให้ เธอมาขนไปจากที่นี่ เอาไปต่อให้มันสมบูรณ์ เคยพูดว่าระวัง ต่อก็ต้องต่อให้ถูก ให้เอาส่วนที่ยังขาดอยู่จริงๆ ไปต่อ ถ้าเอาของผิดๆ มาต่อมันก็ไปกันใหญ่ หางหมาขาดเอาหางลิงมาต่อ คิดดูเถอะจะไปกันรูปไหน มันคงร้ายกว่าเก่า ถ้าหางหมามันขาดก็ต้องเอาหางหมาที่ถูกต้องมาต่อให้มันเป็นสมบูรณ์ตามเดิม เดี๋ยวนี้ธรรมะมันขาด เราก็เอาธรรมะมาต่อมันก็เลยสมบูรณ์ ถ้าพูดว่าหมาหางด้วน มันเหยียดหยามเจ็บช้ำนัก ก็ขอเปลี่ยนสักหน่อยก็ได้ว่าเป็นเหมือนกับว่าเจดีย์ยอดด้วน ค่อยยังชั่วหน่อยใช่ไหม มันก็ดีกว่าหมาหางด้วน นั้นเธอเรียนแต่หนังสือกับอาชีพมันยิ่งเหมือนกับเจดีย์ที่ยอดมันด้วน ไปที่เมืองเก่าๆ อยุธยา สุโขทัย เหลือบไปทางไหนก็จะเห็นแต่เจดีย์ยอดด้วน มันไม่น่าดูก็ใส่ให้เต็ม ให้เป็นเจดีย์ที่สมบูรณ์ นี่เป็นการดีมากที่มาศึกษาธรรมะ เอาไปชดเชยไอ้ส่วนที่มันขาดออกไปจากหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศไทยเราเป็นประเทศเล็กๆ ไปตามประเทศใหญ่ ประเทศใหญ่หางมันด้วนก่อน เราก็สมัครตัดหางตาม ประเทศใหญ่ๆ เขาไปนิยมไอ้วัตถุนิยมไอ้ผลิตทางวัตถุ ส่งเสริมทางวัตถุเป็นเครื่องมือของเศรษฐกิจและการเมือง ก็เห็นอย่างนั้น ก็อย่าเอาเวลามาส่งเสริมเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ไอ้เรื่องธรรมะเรื่องศาสนามันไม่ส่งเสริมเพราะคัดออกคัดออก นี่ประเทศใหญ่ๆ ที่มีอำนาจเขารีบเร่งกันอย่างนั้น เพื่อให้เศรษฐกิจการเมืองมันล้ำหน้าผู้อื่น นี้ประเทศอื่นมันก็กลัว กลัวมันก็ชวนกันทำอย่างนั้นบ้าง นี้ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยนี้ก็เอาอย่าง เรื่องหมาหางด้วนในหนังสือนิทานอีสป หมาตัวแรกติดกับหางด้วน ก็ไปหลอกหมาทั้งหลายว่าหางด้วนดีกว่า ไอ้หมาทั้งหลายที่มันเชื่อ มันโง่ มันก็พากันตัดหาง อย่างเดี๋ยวนี้จะบอกว่า ถ้ามามัวสนใจเรื่องธรรมะ เรื่องจริยธรรมอยู่ เราจะล้าหลังทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง เป็นต้น เอ้า, เราตัดการศึกษากับธรรมะออกไป มาเร่งในเรื่องเศรษฐกิจเรื่องการเมือง เรื่องทหารอะไรก็ตาม ก็มีคนเห็นด้วย ก็มีคนตัดหางตาม มีประเทศที่เขาตัดหางตาม นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดระบบการศึกษาชนิดที่เรียกว่า ระบบหมาหางด้วนขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ คงไม่เกิน ๓๐ ปีมานี้ เมื่อ ๓๐ ปีก่อนโน้น หรือสัก ๕๐ ปีแน่นอนกว่า การศึกษามีธรรมะ มีจริยธรรม มีศาสนาอัดอยู่เต็มไปทุกๆ แขนงวิชา แม้เมืองฝรั่งก็เหมือนกัน เพราะว่าก่อนนี้พระในศาสนาเขาจัดการศึกษา รู้กันเสียบ้างว่าไอ้มหาวิทยาลัยอันสูงสุด เอกอุตของโลก เช่น อ๊อกซ์ฟอร์ด อ เคมบริดจ์ นี่เป็นโรงเรียนราษฎร์ของพระมาก่อน ขอให้รู้ เป็นโรงเรียนราษฎร์ที่พระจัดมาก่อน แล้วก็ค่อยหลุดมือจากพระมาเป็นตัวเองเป็นนิติบุคคล แล้วก็จัดไปตามคณะกรรมการที่มิใช่พระ มันก็ตัดออกหมด ก่อนเป็นโรงเรียนราษฎร์ของพระ ก็เต็มไปด้วยเรื่องทางศาสนา และพิธีทางศาสนา เรียนแล้วเอาเป็นเพียงสุภาพบุรุษ เรียนจบแล้วเอาเป็นเพียงสุภาพบุรุษ ไม่นิยมปริญญานั่นปริญญานี่ให้มันมากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ ถึงแม้มีปริญญาอะไรมากมาย เขาก็เพ่งเล็งว่ามันเป็นสุภาพบุรุษหรือไม่ ถ้าเป็นสุภาพบุรุษแล้วก็จะเรียกว่าใช้ได้ ได้รับผลการเรียน เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น คำว่าสุภาพบุรุษไม่มีเหลือ คนมันก็เปลี่ยน มันก็มีผู้มีความรู้ซึ่งมิใช่สุภาพบุรุษ นี้อันตรายมาก เพราะมันรู้มากมันฉลาดเฉลียวมาก มันจึงโกงเก่ง ทำคอรัปชั่นชนิดที่ใครๆ จับเขาได้ยาก เพราะว่าเขาเก่ง มันเป็นซะอย่างนี้ นี่เขาเรียนกันมากปริญญาหลายๆ อย่างยาวเฟื้อย แต่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเพราะไม่มีธรรมะ ในความมีธรรมะนั่นแหละคือความเป็นสุภาพบุรุษ นั้นประเทศไทยเราใช้คำว่า สัตตบุรุษกันมาคู่กันกับ สุภาพบุรุษ ความหมายมันอย่างเดียวกัน นั้นเราควรจะนึกถึงความเป็นสุภาพบุรุษ คือรู้หนังสือด้วย รู้วิชาชีพด้วย มีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องด้วย นี่คือสุภาพบุรุษหรือสัตตบุรุษ ขอให้เธอสนใจความเป็นสุภาพบุรุษหรือสัตตบุรุษ แม้เขาจะเรียกกันแต่ว่า บุรุษ บุรุษ ก็รวมถึงสตรีด้วย เพราะว่าบุรุษ คำว่า บุรุษในกรณีอย่างนี้หมายถึงมนุษย์ทั้งนั้น ไม่ใช่หมายเฉพาะผู้ชาย ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มีความถูกต้องแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วก็เรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าเป็นสุภาพบุรุษก็หมายความว่าเขามีความถูกต้อง ไม่มีผิดพลาดในส่วนตัวเขา ตัวเขาก็ไม่มีความทุกข์ แล้วเขาไม่มีความผิดพลาดที่เกี่ยวกับผู้อื่นหรือสังคม นั้นเขาก็ไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน มันเป็นอย่างนี้ นี่คือความเป็นสุภาพบุรุษหรือสัตตบุรุษในพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้เราไม่ได้รับคำสั่งสอนในทำนองนี้ เราก็ไม่สนใจ เราก็ไม่...ไม่เห็นว่ามันสำคัญอะไร คือถือลัทธิใหม่ ถือศาสนาใหม่กันเสียหมด ว่าถ้าได้แล้วก็เป็นดี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ต้องการ เอาแต่ว่าได้แล้วก็เป็นดี ที่มันได้ของกิเลสนะ ของความเห็นผิดมิจฉาทิฐิของกิเลส ของความโลภ ของความโกรธของความหลงได้มาทำไม ได้มาฆ่าคนนั้นนั่นแหละ มาฆ่าเจ้าของ ได้มาโดยสิ่งนี้ก็เพื่อมาฆ่าเจ้าของ มีความโลภก็ฆ่าคนโลภ มีความโกรธก็ฆ่าคนโกรธ มีความหลงก็ฆ่าคนหลง ทั้งหมดนี้เรียกว่ามิจฉาทิฐิ ไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะอยู่ในฝ่ายสัมมาทิฐิ มีความรู้ถูกต้องว่าจะต้องทำอย่างไร นั้นขอเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เรามาที่นี่ ก็มาเพื่อศึกษาหาสัมมาทิฐิในนามของธรรมะ เอาไปเป็นการศึกษาส่วนที่ ๓ ให้การศึกษานั้นสมบูรณ์ ไอ้เรื่องที่เล็กๆ ที่เห็นว่าไม่สำคัญนั่นน่ะ มันสำคัญ อย่าไปเห็นเป็นไม่สำคัญ แม้แต่ว่าไม่มีความรู้ทาง มารยาท เป็นคนกระด้างโดยมารยาท ถึงแม้มันจะเรียนจบ จบมัธยม จบเทคนิค แต่มันเป็นคนกระด้างโดยมารยาท คอยดูเถอะหมาย หมายตากันไว้เถอะ ใครบ้าง มันจะเจริญไปได้อย่างไร คอยๆ ดู ไอ้ความกระด้างนั่นแหละมันจะออกมาเป็นศัตรูตัวมันเอง ตัวเจ้าของเอง ทำลายโอกาส ทำลายไอ้การที่จะได้ ทำลายความดี ความงามอะไรเสียหมด อย่างที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนเหอะเอา สมมติว่าเรียนจบแล้วเต็มไปด้วยมารยาทอันกระด้าง ขอท้าทายไว้ด้วย มันจะวินาศ มันจะเหมือนกับเอาหัวไปชนภูเขาแหละ ทั้งหญิงทั้งชายที่นั่งอยู่นี่ ลองทำเล่นกับความกระด้างโดยมารยาทดูบ้างนะ ให้เรียนจบแล้วก็มีความกระด้าง ออกไปหางานทำ มันก็คงจะหายากแหละ คนสมัยนี้มันถือเสรีภาพ ถือประชาธิปไตย ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัว เหมือนกับคนที่ถือธรรมะในพระพุทธศาสนา มันก็หางานยาก ได้งานแล้วหัวมันสูง มันโงขึ้น มันก้มไม่ลง มันก็ทำกันไม่ได้กับผู้บังคับบัญชา มันต้องไล่ออก หรือมันต้องทะเลาะกัน หรือมันต้องฆ่ากันตายระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเหมือนอย่างที่มีข่าวกันบ่อยๆ ในที่สุดมันก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ นี่ธรรมะเพียงข้อเดียว ว่าสุภาพอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตนมันก็ยังสำคัญมากถึงเท่านี้ แล้วธรรมะมันมีมากกว่านั้นมาก ถ้าจะเรียงเป็นข้อๆ มันก็หลาย ๑๐ ข้อหรือถึงกับหลาย ๑๐๐ ข้อ ยกมาพูดให้ฟังเพียงข้อเดียวว่าความกระด้างด้วยมารยาทนี่ มันก็ไม่มีใครยินดีที่จะคบหาสมาคม ถ้ามันกระด้างด้วยทิฐิ ความคิดความเห็นที่มันกระด้างมันผิดๆ มันเป็น มิจฉาทิฐิ มันก็ทำลายตัวเอง ให้ดึงตัวเองไปทำในทางที่ไม่ควรจะทำ มันก็ขัดแย้งกับผู้อื่นจนทำอะไรกับใครไม่ได้ มันก็วินาศอีกเหมือนกัน นั่นมันเป็นคนกระด้างไม่บังคับตัวเอง ไม่บังคับความรู้สึก มันก็ทำแต่ความผิดพลาดชนิดที่ทำลายตัวเอง กิเลสประเภทโลภะหรือราคะของเขาก็ทำลายเขาเอง เขากระด้างด้วยกิเลส เขากระด้างด้วยโทสะก็เผาตัวเองก่อน แล้วจึงออกไปไหม้คนอื่นให้เดือดร้อน รำคาญไปด้วยบ้าง แต่ทีแรกมันจะเผาคนนั้นก่อนให้ร้อนเป็นไฟ ที่มิจฉาทิฐิ ความโง่ ความหลง บุญบาปไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี บิดามารดาไม่มี ครูบาอาจารย์ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี นี่ก็เรียกว่า ความโง่ ความหลง นี่มันจะทำอะไรบ้างก็ขอให้ไปคิดดู ถ้าคิดไม่ออกก็ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อน คือคนๆ หนึ่งเขาถือว่าบุญบาปไม่มีได้ก็แล้วกัน มันก็ถืออย่างนี้ ไอ้เรื่องบุญเรื่องบาปไม่ต้องนึกถึง ก็ถือว่าบิดามารดาไม่มี ไม่มีบุคคลที่เราจะต้องเคารพบูชาอย่างบิดามารดา มีแต่คนที่คลอดลูกออกมา คลอดลูกออกมาตามธรรมชาติ ไม่ใช่บิดามารดา นี่มันถืออย่างนี้ คนอย่างนี้ ก็ลองดูให้มันถืออย่างนี้ไปดู นรกสวรรค์ไม่มี เราอยากทำอะไรเราทำตามพอใจ ก็ลองดู กระทั่งว่าโลกอื่นผิดไปจากโลกนี้ก็ไม่มี นั้นเราก็ดีกันแต่เพียงในโลกนี้ รวยกันแต่เพียงในโลกนี้ เอร็ดอร่อยกันแต่เพียงในโลกนี้ก็พอ อย่างนี้ก็เอา ก็ลองดู มันจะเป็นอย่างไร มันจะต่างกันสักเท่าไร กับคนอีกคนหนึ่งซึ่งมันถืออย่างตรงกันข้าม มันถือว่าบุญมีบาปมี พ่อแม่มีพระคุณมี เป็นผู้พระคุณมีอย่างยิ่ง บิดามารดานี่มี อะไรๆ ก็ขอให้สำเร็จอยู่ที่บิดามารดาเถิด นี่เราเกิดมาจากบิดามารดา ชีวิตของเราก็มอบให้บิดามารดาได้ อย่างนี้ นรกสวรรค์นะมี มีได้หลายๆ แบบ แต่ว่ามันมีนะ ไอ้ที่มันจะเป็นความเลวร้ายเหมือนกับนรกก็มี ที่ดีสบายเหมือนกับสวรรค์นั้นก็ต้องมี แล้วก็ถือว่ามี ปฏิบัติได้ด้วยไม่ใช่มีเฉยๆ แล้วหลีกจากนรก ปฏิบัติเพื่อสวรรค์นี่เราก็ทำได้ และก็มีคนที่ทำได้มาตามลำดับ คนอย่างนี้เขาเรียกว่ามีสัมมาทิฐิ ไม่มีโมหะ ไม่โง่ ไม่หลง มันก็ต่างจากคนที่มันตรงกันข้าม ขอให้จำไว้ดีๆ ว่าไอ้เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ นี่มันเป็นอย่างนี้ ถ้าใครมองเห็นแล้วกลัว เกลียด แล้วก็ใช้ได้ คนที่ไม่กลัวไม่เกลียดก็เพราะมันไม่รู้จักสิ่งที่น่าเกลียดและน่ากลัว ต้องจัดว่าเป็นหมาหางด้วนเหลือประมาณนะ ถ้านั่งอยู่ที่นี่บางคนไม่รู้จักเกลียด ไม่รู้จักกลัว โลภะ โทสะ โมหะ ก็ว่าการศึกษาของคนนั้นเป็นหมาหางด้วนเหลือประมาณ มีใครบ้างไหมที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ไม่เกลียดและไม่กลัวไอ้ โลภะ โทสะ โมหะ ถ้าใคร ใครไม่เกลียด ใครไม่รู้จักเกลียดไม่รู้จักกลัวกิเลส ที่เรียกว่า โลภะ โทสะ โมหะ มันจะมีก็แต่คนที่ไม่รู้จัก โลภะ โทสะ โมหะ ถ้ามันเกิดไปรู้จักเข้าแล้วมันจะทั้งเกลียดและทั้งกลัว เพราะมันทำอันตรายโดยส่วนเดียว นั่นขอให้ทุกคนรู้จักป้องกันตนเอง อย่าให้ถูกเผาผลาญโดย โลภะ โทสะ โมหะ เพราะว่ามันทำไปด้วยอวิชชา อยากได้ด้วยอำนาจของอวิชชา ทั่วๆ ไปเรียกว่า ความโลภ ถ้าเป็นเรื่องกามารมณ์เขาเรียกว่าราคะ อยากทั่วๆไปหรืออยากในวิถีทางของราคะด้วยความโง่ อวิชชานี้ก็เรียกว่า โลภะบ้าง ราคะบ้าง ไปสังเกตดูเถอะไม่ต้องลองก็ได้ หรือว่าถ้าเคยลองมาแล้วก็ยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้จักดี ไอ้โทสะนี่มันก็เป็นความโง่ที่ลุกเป็นไฟขึ้นมา มันปรารถนาอะไรแล้ว มันไม่ได้อย่างใจหรือมีคนมาขัดขวางมันก็โกรธ นี่มันเป็นไฟลุกขึ้นมา เพราะเขาอยากได้อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ แล้วมีอะไรมาทำให้ไม่ได้ หรือได้แล้วมาชิงเอาไป นี่มันก็โกรธ มันก็ร้อนเป็นไฟ เดี๋ยวนี้โง่มากถึงขนาดว่า เรื่องนิดหนึ่งก็ฆ่ากันตาย หนังสือพิมพ์ยุคนี้อ่านดูเถอะ ฆ่ากันตายด้วยเรื่องนิดเดียว จะเป็นเรื่องผู้หญิงผู้ชายอะไรก็ตาม แต่ว่าเรื่องมันนิดเดียวไม่ควรจะฆ่ากันเลย มันก็มีฆ่ากันง่ายๆ บางทีก็เป็นความโง่ของฝ่ายหญิง บางทีก็เป็นความโง่ของฝ่ายชาย แล้วก็ฆ่ากันง่ายๆไม่มีความหมายอะไร นี่ความเป็นอันธพาลมันเข้มข้นมากซะอย่างนี้ ซึ่งไม่เคยมีในครั้งก่อน ครั้งก่อนเขาไม่ต้องถึงกับฆ่ากันตาย เราพูดจากันรู้เรื่อง เขาพูดทำความเข้าใจกันได้ หรือเขาให้อภัยกันได้ สมัยนี้ไม่มีคำว่าให้อภัย เพียงแต่มันไปมองตาเขาเท่านั้นไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก เขาอาจจะยิงตายก็ได้ นี่แล้วคนชนิดนี้มันจะให้อภัยใครได้ เพราะมันไม่มีธรรมะเสียเลย ขอให้มีทั้งสิ่งที่ตรงกันข้าม ตรงกันข้ามจาก โลภะ โทสะ โมหะ นี่เรียกว่ามีธรรมะ มีระบบปฏิบัติอยู่อย่างสมบูรณ์ อย่างที่พระศาสดาทั้งหลายได้ตรัสไว้ เรารับเอามาศึกษาในฐานะเป็นศีลธรรม เป็นธรรมะ ถ้าเราศึกษาว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร อย่างนี้ เราก็เรียกว่าศึกษาศีลธรรม
ถ้าเราศึกษาว่าทำไม เราจึงจะต้องปฏิบัติอย่างนั้น นี่เขาก็เรียกว่าศึกษาปรัชญาของศีลธรรม บางทียักไปเรียกว่าจริยธรรม ไอ้จริยธรรมที่เรียนๆ กันนั้นมันเป็นปรัชญาของศีลธรรม ถ้าตัวศีลธรรมโดยตรงก็เรียกว่าศีลธรรมดีกว่า ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ต้องปฏิบัติอย่างนี้ แต่ถ้ามัวไปศึกษาเซ้าซี้ ว่าทำไมต้องปฏิบัติอย่างนั้น อะไรบ้าง อะไรบ้าง อะไรบ้าง เป็นชั้นๆ ไปแล้วก็มันเป็นเรื่องปรัชญา บางทีก็เหลวไม่ได้ปฏิบัติก็มี ไม่ต้องรีรอ เมื่อมองเห็นว่าปฏิบัติอย่างนี้มันได้ผลจริงอย่างนี้แล้วก็ลงมือปฏิบัติ เราก็จะมีศีลธรรม ไม่ใช่มีแต่ความรู้เรื่องศีลธรรม คนมีความรู้เรื่องศีลธรรมกันไม่น้อยเหมือนกันแหละ แต่ว่าไม่มีศีลธรรมเลย เขามีแต่ความรู้เรื่องศีลธรรม แต่เขาไม่มีศีลธรรมเลย เดี๋ยวนี้มีอยู่มาก เพราะได้ยิน ได้ฟัง ได้จด ได้จำอะไรกันไว้มาก แต่ไม่ได้ประพฤติ นี่เรียกว่ามีแต่ความรู้เรื่องศีลธรรม และก็ไม่มีตัวศีลธรรม นี่เวลาที่เหลือนี้เราพูดกันเรื่องตัวศีลธรรมกันดีกว่า ถ้าพูดเป็นรูปปรัชญามันเสียเวลามากที่ต้องคอยถามและตอบเพราะเหตุใด ทำไม เพราะเหตุใดทำไม อยู่เรื่อยไป เพื่อรวบรัดเรื่องและประหยัดเวลา จะขอหยิบเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนามากล่าวในชื่อของจริยธรรมสากล ที่เขาเรียกโดยศีลธรรมสากลสัก ๕ ข้อ ขอให้นักเรียนทุกคนจำคำสัก ๕ คำ แล้วปฏิบัติให้ได้ ก็จะแก้ปัญหาได้หมด คือจะมีธรรมะ มีศีลธรรมขึ้นมาทีเดียว
ข้อแรก ข้อที่ ๑ นั้น จะต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเอง เราเอามาจากคำว่า ญาณ ว่าปัญญา ว่าสัมมาทิฐิ รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ เดี๋ยวนี้ตัวเองนะคือสิ่งที่ควรรู้ยิ่งกว่าสิ่งใดหมด ไปคิดดู ไม่มีสิ่งไหนที่น่าจะรู้เท่ากับตัวเราเอง เรารู้จักตัวเราเอง ความรู้ที่ดีที่สุด ที่ถูกต้องที่สุด ที่จำเป็นที่สุด รู้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิด้วย นี่เราต้องรู้จักตัวเอง ว่าอย่างน้อยเราเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ให้มันถูกต้อง เป็นบุตรของพ่อแม่ ก็เป็นบุตรของพ่อแม่ให้ถูกต้อง อย่าจับพ่อแม่ใส่นรกเหมือนกับคนบางคน นักเรียนบางคนน่ะจับพ่อแม่ใส่นรก โดยอาการใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล นั่นก็คือจับพ่อแม่ใส่นรก วิธีมีหลายอย่างที่เราอย่าเป็นคนไม่มีพ่อแม่ ไม่รู้จักพ่อแม่ ไม่รู้จักความเป็นบุตร เราเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เราเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ หรือเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า นี่รู้จักตัวเองถึงที่สุด จะมีอย่างอื่นอีกก็ได้ แต่เพียงเท่านี้ก็ดูจะพอหรือเกินพอเสียแล้ว เรารู้จักเราเป็นมนุษย์ อย่าเป็นมนุษย์ให้ผิดพลาด เป็นบุตรก็เป็นบุตรที่ถูกต้อง เป็นศิษย์ก็เป็นศิษย์ที่ถูกต้อง เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่ถูกต้อง เป็นพลเมืองของประเทศชาติ หรือว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็เป็นให้ถูกต้อง นี้มันมาจากคำว่ารู้จักตัวเอง ในกรณีใดเราจะเป็นอะไร ในกรณีอื่นเราเป็นอะไร เรารู้อย่างถูกต้องทุกๆ กรณีว่าเราเป็นอะไร อย่างเข้ามาในวัดจะต้องทำอย่างไร อยู่ที่บ้านทำอย่างไร นี่ก็เรียกว่ามันรู้จักตนเองเหมือนกัน นั้นมันก็เป็นเหตุให้รู้จักผู้อื่นด้วยได้โดยถูกต้องด้วย ถ้าตัวเองไม่รู้ว่าเป็นอะไรซะแล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะรู้จักผู้อื่นว่าเป็นอย่างไร ที่จะทำให้มันถูกต้องต่อกันและกัน สรุปความแล้วมันรู้จักความเป็นมนุษย์ ว่าเราเป็นมนุษย์ต้องเป็นอย่างมนุษย์ ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่เรียกว่ามันรู้จักตนเอง
แล้วข้อที่ ๒ มันต้องมีความเชื่อตัวเอง โดยหลักธรรมะที่เรียกว่าศรัทธาแปลว่า ความเชื่อ เป็นความเชื่อที่เกิดมาจากความรู้ที่ถูกต้อง เรารู้ รู้จักตัวเองถูกต้อง แล้วเราก็มีศรัทธาในตัวเราเอง มีความเชื่อที่ถูกต้องขึ้นมาในตัวเราเองว่าเราเป็นมนุษย์แน่ เพราะว่าเราสามารถ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เราเชื่อว่าเราต้องสามารถอย่างมนุษย์ ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเขามีศีลธรรม มีความสงบสุขได้ แล้วเรามีไม่ได้ เราก็ไม่ใช่มนุษย์ขอให้คิดอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราเชื่อว่าเราก็เป็นมนุษย์ แล้วเราต้องเป็นให้ได้ เหมือนกับว่าเขาก็คนเราก็คน เราเชื่อว่าเราก็ต้องทำได้เหมือนคน เราต้องมีความเชื่อตัวเองอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันโลเล มันอ่อนแอ มันไม่มีความมั่นคงแห่งความเชื่อ หรือความเอาจริง
ข้อที่ ๓ ก็ว่า บังคับตัวเองให้ได้ เมื่อเรารู้จักตัวเอง เชื่อตัวเองว่าต้องเป็นมนุษย์ได้ เราก็ต้องบังคับ อันนี้จะสำคัญมากอยู่ตรงกลางเหมือนกับหัวใจ ความล้มเหลวของทุกคนมันอยู่ที่ไม่บังคับตัวเอง การเรียนเหลวไหลสอบได้ไม่ได้ มันคือคนไม่บังคับตัวเอง การงานอื่นๆ ก็เหมือนกัน รักษาความดีความงามไว้ไม่ได้ เพราะมันไม่บังคับตัวเอง มันไม่ ไม่ควบคุมตัวเองไว้ได้ มันพลัดตกลงไปในอบาย ความเสื่อมที่เรียกว่าอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่เรียกอบายมุข มันบังคับตนเองไว้ไม่ได้ มันหล่นลงไปในอบายมุข มันก็วินาศ นี่เรียกว่าการตั้งเนื้อตั้งตัวมันทำไม่ได้ ตั้งเนื้อตั้งตัวในการเรียนก็ดี ในการงานก็ดี หรือในการทำที่มันยิ่งไปกว่านั้น คือเป็นผู้นำหมู่ นำฝูง เป็นหัวหน้า เป็นอะไรก็ดี มันเหลวหมด เพราะมันบังคับตนเองไว้ไม่ได้ นี่คนที่เล่าเรียนไม่สำเร็จ ปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่บังคับตนเองไม่ได้ ไม่ให้เรียนจริง ไม่ให้เว้นจากความเหลวไหลจริง แล้วยังไม่ ไม่จริงอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่บังคับไม่ได้ ขอให้บูชาการบังคับตัวเอง ซึ่งธรรมะในพุทธศาสนาก็เรียกว่า ธรรมะ หรือ ทะโม ท ทหาร ม.ม้า ๒ ตัว อ่านว่า ทะ-มะ นี้แปลว่าบังคับ คือบังคับจิต บังคับกิเลส บังคับตัวเอง อย่าให้มันมีสิ่งผิดพลาดแม้แต่น้อย
นี่ข้อถัดไปเป็นข้อที่ ๔ คือพอใจตัวเอง อิ่มใจตัวเอง พอใจตัวเอง เพราะว่าบังคับตัวเองได้ ตั้งตนอยู่ในความดี แล้วมันก็พอใจตัวเอง นั่นแหละคือความสุข เมื่อไรเราบังคับตัวเองได้ มันก็มีผลดีเกิดขึ้น เราก็พอใจ มีความสุขอย่างยิ่ง ไม่ต้องไปอาบอบนวด ไม่ต้องไปสำมะเลเทเมา ไม่ต้องไปอะไรที่มัน ที่เขาเรียกกันว่าความสุข ซึ่งมันเป็นความสุขของคนโง่ ของความโง่ ความสุขของพระอริยเจ้าคือความพอใจตัวเองได้ ว่าตนได้ทำสิ่งที่ควรทำ อย่างชาวนาเขาขุดนาอยู่ในทุ่งนา ปลูก ปลูก ปลูกอยู่นี่ เขาก็พอใจในการที่ได้ทำหน้าที่ของตัว เขาก็มีความสุขอยู่กับจอบกับนากับโคลนนั่นแหละ นั้นเราไปดูเถอะ คนบางคนเขายิ้มกริ่มทำนาอยู่ อย่างที่พวกเธอเรียนจบแล้วไม่มีใครอยากไปทำนา ขืนให้ไปทำนาก็คล้ายๆ ว่าไปตกนรก นี่เราก็ไม่มีใครทำนามากขึ้น แต่อย่าลืมว่าไม่ว่างานอะไร ถ้าเราพอใจแล้วมันจะมีความสุขทั้งนั้น และที่รู้ว่า เรารู้ว่าเราได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้องของมนุษย์ เราก็ควรจะพอใจแล้วก็มีความสุข ถ้าเผอิญเราได้อาชีพกวาดถนน ล้างท่อโสโครก ก็นับว่าพอใจหน้าที่ที่ว่ามันเหมาะสำหรับเรา เราก็พอใจ ก็มีความสุข คนแจวเรือจ้างเขามีความสุข เขาร้องเพลงแจวเรือเฉิบๆ เพราะเขาพอใจ เขายอมรับสภาพที่กรรมมันจัดให้ว่าคนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ คนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ มันจะสูงต่ำกันอย่างไรก็ไม่เป็นไร ทุกคนมีหน้าที่ แต่เมื่อได้ทำหน้าที่ของตน ก็ควรจะพอใจ ให้สูงถึงมหาจักรพรรดิ มันก็ได้แต่ทำหน้าที่ ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ เป็นมหาราชา เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี เป็นอธิบดี เป็นผู้ว่าราชการ เป็นนายอำเภอ เป็นกำนัน เป็นผู้ใหญ่บ้าน กระทั่งเป็นราษฎร ล้วนแต่มีหน้าที่ ได้ทำหน้าที่แล้วก็พอใจ แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นการปฏิบัติธรรม มันได้บุญ เพราะได้ทำหน้าที่ คนเหล่านี้มีความสุขตามหน้าที่ และสุขจริงๆ ซะด้วย ไม่ต้องไปกินเหล้าเมายา ไม่ต้องไปทำอบายมุขที่ไหน มันก็มีความสุข นี่แต่โบราณนะ เขาหาความสุขกันแบบนี้ เพราะฉะนั้นอันธพาลจึงไม่มี เดี๋ยวนี้จะไปหาความสุขของกิเลสกันทั้งนั้น พอไม่ได้มันก็ยื้อแย่ง มันก็ฆ่าแกงกัน ฆ่าฟันกัน มันจึงทำอันตรายแม้แต่กับบิดามารดา ทำอันตรายคู่รัก ทำอันตรายไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะว่าจิตใจมันมุทะลุดุดันด้วยกิเลส ไม่แสวงหาความสุขในความพอใจในหน้าที่ของตน ไปหาความสุขจากการที่ให้อะไรๆ มาบำเรอตน มาบำเรอกิเลสของตน มันก็ไม่ได้ แล้วมันก็สร้างความเป็นอันธพาลขึ้นมา นั้นเรามาถือหลักความจริงของธรรมชาติกันซะดีกว่า มันแน่นอนว่า ต้องทำอะไรคือทำหน้าที่ ให้ตัวเองมันเองพอใจตัวเองได้ แล้วก็มีความชื่นใจ ก็เป็นสุข นี่เป็นข้อที่ ๔ ว่าพอใจตัวเอง
ข้อที่ ๕ ข้อสุดท้าย ก็เรียกว่านับถือตัวเอง พอใจตนเองนี่เขาเรียกว่าสันโดษ ไอ้นับถือตัวเองนี่ก็คือการบูชาธรรมะ พระธรรมที่มีอยู่ในตน คนนี้จะยกมือไหว้ตัวเองได้ ฟังดูแล้วมันคล้ายกับจะเป็นเรื่องพูดเล่นนะ ยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่อยากจะถามว่า ทั้งหมดทุกคนที่นั่งอยู่นี่ ใครยกมือไหว้ตัวเองได้บ้าง สอบสวน ใคร่ครวญตัวเองดูทุกกระเบียดนิ้ว แล้วไม่มีอะไรผิดพลาด น่าอิจหนาระอาใจ แล้วยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นคือคนที่มีธรรมะสูงสุด นั้นกลับไปบ้าน ไปโรงเรียนไปที่ไหนก่อนก็ได้ แล้วก็หาเวลาสอบสวนตัวเองดูว่ามันไม่มีอะไรที่ควรตำหนิ แล้วก็ยกมือไหว้ตนเองได้ อย่างนี้เทวดาทั้งหลายจะสรรเสริญ คือพวกที่มีหูทิพย์ ตาทิพย์ทั้งหลายเขาจะสรรเสริญ ขอให้เคารพตนเองจนกระทั่งยกมือไหว้ตนเองได้
เมื่อใครมีคุณธรรม ๕ ประการนี้แล้ว คนนั้นหมดปัญหา หมดปัญหา ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาหรือว่าศาสนาอะไรก็ตาม เขาได้ทำจนถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ นั้นมันเป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายว่าเขาทำหน้าที่ของเขาเสร็จแล้ว
ก็ทบทวนให้อีกทีสำหรับคนที่อยากรู้อยากเรียน คนที่ไม่สนใจก็ตามใจ ก็ไม่ต้องฟังก็ได้ แต่ถ้ามีใครสนใจก็อยากจะทบทวนอีกทีหนึ่งว่าข้อที่ ๑ เขาจะต้องมีความรู้จักตัวเอง รู้จักตัวเอง ข้อที่ ๒ เขาต้องเชื่อตัวเอง ว่าเขาต้องเป็นเช่นนั้นให้จนได้ ข้อที่ ๓ ก็บังคับตนเองให้เป็นอย่างนั้นให้จนได้ ข้อที่ ๔ ก็พอใจเมื่อตัวเป็นอย่างนั้นได้ ข้อที่ ๕ ก็ยกมือไหว้ตัวเอง ว่าเรื่องมันจบแล้ว นี่ ถ้าใครทำได้อย่างนี้ก็หมายความว่ามี ธรรมะตามหลักแห่งพระพุทธศาสนาด้วย ตามหลักแห่งศีลธรรมสากลด้วย เมื่อพวกฝรั่งเขาเอาจริงเอาจังกันกับเรื่องศีลธรรม เรื่องจริยธรรม เขาค้นพบหลักอย่างเดียวกันนี้ แล้วฝรั่งเสียอีกพูดมากกว่าเรา คำพูดว่ารู้จักตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง พอใจตัวเอง เคารพตัวเองนี้ นี้ฝรั่งพูดมากกว่าพวกเรา ทั้งที่ว่าไอ้หัวข้อเหล่านี้มันมีอยู่ในธรรมะของพระพุทธศาสนา นั้นเรียกว่าใช้รวมๆ กันทั้งโลกก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดว่าเป็นฝรั่งเป็นไทย ถ้าทำอย่างนี้ได้ ให้ทุกคนในโลกมันทำอย่างนี้ได้ แล้วก็จะน่าชื่นใจ ปัญหามันหมด ทุกคนในโลกรู้จักตัวเอง ก็ไม่มีทางที่จะทำผิด ทุกคนมันเชื่อตัวเอง มันก็ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่น ทำเอาเองได้ ทุกคนบังคับตัวเอง ก็ไม่มีการกระทบกระทั่งเบียดเบียนกัน เหมือนที่มันกระทบกระทั่งเบียดเบียนกันเดี๋ยวนี้ มันจะไม่มี แล้วมันพอใจตัวเอง มันอิ่มอกอิ่มใจอยู่ มันไม่ต้องใช้เงินใช้ทองไปซื้อหากามารมณ์ที่ไหน มันก็มีความสุขได้ แล้วมันก็เคารพตัวเอง มีตัวเองเป็นพระเจ้า มีตัวเองเป็นสูงสุดของความดีความงาม นี่มันเหมือนกับเป็นพระเจ้า ก็สบาย ก็หมดปัญหา เรื่องมันก็จบ จึงขอร้องให้ทุกคนที่สนใจ ที่ว่าจะมีธรรมะไปต่อหางหมาของตนให้มันสมบูรณ์ จงสนใจธรรมะ ๕ ประการนี้ เอาไปปฏิบัติเถอะ แม้ในโรงเรียนเขาจะไม่สอนอะไรเพิ่มอีก แต่เราก็ทำของเราได้ ช่วยทำให้การศึกษาในโลกนี้สมบูรณ์ ถ้าโรงเรียนเขามีหลักสูตรกวดขันในเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ยิ่งดี ก็ยิ่งง่าย แต่นี่สมมติว่า ถ้าเผื่อว่าไอ้ทางโรงเรียนเขายังไม่เอา เขายังไม่พร้อมเราเอาก่อนก็ได้ การประพฤติธรรมะ ๕ ข้อนี้ ให้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นจนถึงที่สุด ก็เชื่อว่าไม่มีอะไรเหลือสำหรับเป็นข้อบกพร่องสำหรับจะติเตียนว่ามันยังบกพร่อง มันเต็มเปี่ยม ก็ถ้าว่าได้เข้าใจเรื่องนี้ รับเอาไปปฏิบัติ ก็กล่าวได้ว่าในการมาของพวกท่านทั้งหลายที่นี่เป็นการได้ที่ดี ไม่ขาดทุน ได้ผลเกินคาด นี่อาตมานี้มันต้องมีค่าใช้จ่าย ต้องเหนื่อย ต้องเปลืองแรงเปลืองเวลา อะไรจะเป็นผลที่ได้แล้วมันคุ้มค่า ก็คือว่าความรู้นี้ ที่เอาไปปฏิบัติให้ได้ ๕ ประการนี้ จะทำให้มันมีผลคุ้มค่า และจะคุ้มค่าไปตลอดกาลนานเลย ไม่ใช่เฉพาะวัน เฉพาะครั้งเฉพาะคราว ตลอดชีวิตเลย ถือหลักทั้ง ๕ ประการนี้ได้จนตลอดชีวิต มาทำไอ้ สัญญาช่วยความจำกันสักหน่อย ว่าวันนี้เราได้พูดกันที่นี่และพูดอย่างนี้ เอาอะไรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เอาแผ่นดินนี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นพยานว่าเราได้นั่งกันที่นี่และพูดกันอย่างนี้ ใครคดโกง คนนั้นจะได้รับผลอย่าง ใครซื่อตรงคนนั้นจะได้รับผลตรงกันข้าม เพราะว่าแผ่นดินนี้มันศักดิ์สิทธิ์ ใครๆ นึกออกหรือยัง พอพูดอย่างนี้ใครนึกออกหรือยัง ถ้าเป็นนักเรียนจริง นักศึกษาจริงคงจะนึกออกว่าแผ่นดินนี้มันศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เพราะว่าเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นที่แสดงธรรมสั่งสอน เป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ไปอ่านเถอะพุทธประวัติเล่มไหนก็ตาม มันจะต้องมีบอกว่า พระพุทธเจ้าประสูติที่โคนต้นไม้ชื่อว่า ต้นสาละ ในสวนอุทยานแห่งหนึ่งเวลาเที่ยงวัน ต้นสาละนั้นเอามาปลูกให้ดูเป็นตัวอย่าง อยู่ที่ตรงนั้น ต้นนั้นที่เขียนป้ายที่ก้อนหินว่าต้นสาละนั่น พระพุทธเจ้าประสูติที่โคนต้นไม้ต้นนั้น แล้วก็นิพพานก็ที่โคนต้นไม้ต้นนั้น จะเป็นเรื่องกลางดิน พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน แทนที่จะประสูติในปราสาทราชวัง ท่านมาประสูติกลางดิน เมื่อตรัสรู้ก็นั่งกลางดิน ใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งริมแม่น้ำ ริมแม่น้ำ ริมน้ำที่ตลิ่งแห่งหนึ่ง ท่านนั่งกลางดินตรัสรู้ และเมื่อสอนตั้งแต่สอนปัญจวัคคีย์เป็นต้นไป จนตลอดชนมายุของท่าน ก็เป็นเรื่องกลางดินตั้ง ๙๙ % เพราะท่านอยู่กันอย่างนั้น เพราะว่าที่อยู่ของท่านก็พื้นดินทั้งนั้น แบบการเป็นอยู่แบบชาวอินเดีย สมัยพุทธกาลน่ะพื้นดินกันทั้งนั้น ในเมื่อนิพพานก็ประทับนิพพานกลางดินในอุทยานแห่งหนึ่ง นั้นก็ขอให้ช่วยจำไว้ว่า พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดินในที่สุด เราเดี๋ยวนี้นั่งกลางดินควรระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า จัดให้แผ่นดินเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหมือนกับเครื่องช่วยความจำ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ว่าเราพูดกันต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงเรื่องของพระธรรม เพราะว่าเรากำลังรู้สึกกลัวว่าไม่มีพระธรรม ขาดพระธรรมแล้วจะวินาศ เราก็มาช่วยกันศึกษาหาความรู้เรื่องพระธรรมเอาไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดผลดีที่สุด ที่มนุษย์เราควรจะได้ นั้นถ้าใครยังรู้จักตัวเองว่าเป็นมนุษย์ ก็ต้องสนใจเรื่องที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วมันก็ไม่มีอะไรนอกไปจากพระธรรม เอาพระธรรมไปทำให้ได้ผลถึงที่สุดตามที่มนุษย์ควรจะได้ มีความสุขถึงขนาดไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละคือผล ผลดีของพระธรรม เชื่อตัวเอง รู้จักตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง พอใจตัวเอง นับถือตัวเองได้ มันก็จบเรื่องของพระธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาหรืออะไรก็ตามจะมีรวมอยู่ในนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะมีรวมอยู่ในนั้น เมื่อเราพอใจตนเอง และไหว้ตนเองได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะมีรวมอยู่ในเรา เรื่องมันจบได้โดยไม่ยาก แต่มันต้องการ การกระทำจริง การกระทำที่เคร่งครัดจริงๆ อย่างแท้จริงมันก็จะได้ผลจริง นี่คือข้อที่อาตมาคิดว่าดีที่สุดที่จะนึกได้ ที่จะพูดกับท่านทั้งหลายที่เป็นนักเรียนบ้างครูบาอาจารย์บ้าง ขอให้เอาไปคิดดู ลองคิดดู เมื่อเห็นว่ามันจริง มันมีทางที่จริงก็ลองดู เมื่อเห็นว่ามันจริง ก็เลยเชื่อได้หมดเต็มที่ ในชั้นแรกนี้ไปพิจารณาดู ท้าทายให้พิจารณาดู ถ้าเป็นธรรมะจริงย่อมท้าทายต่อความพิสูจน์ นั้นนักเรียนอันธพาลคนไหนอยากจะพิสูจน์ อยากจะท้าทายก็เอาสิ ท้าทายพิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีความเป็นอันธพาลพอที่จะท้าทายก็เอา ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างไร ลองท้าทาย ลองพิสูจน์ไปในทางที่มันไม่จริง มันหลอกลวง หรือไม่มีประโยชน์ก็ได้ แต่ถ้าเห็นว่ามันจริง มันมีประโยชน์ ไม่มีทางจะคัดค้าน แล้วก็ขอให้ประพฤติปฏิบัติตาม แล้วก็จะได้ผลจริงที่นี้ ไม่มีปัญหาเหลืออยู่ ขอให้ทุกคนนี้เป็นอิสระแก่ตัว คิดนึกอย่างอิสระเห็นจริงอย่างไรแล้วก็ปฏิบัติตามนั้น และย่อมได้ผล ถ้าจะให้พรก็ไม่มีทางอื่นนอกจากให้พรว่า ขอให้มันจริง ในการจะกล้าท้าทายพิสูจน์ เมื่อเห็นจริงแล้วปฏิบัติตาม แล้วก็จะได้ความสุขความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าในการศึกษา การปฏิบัติ การประกอบอาชีพ ตั้งแต่ต้นจนปลายอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเถิด
เอาละขอจบไว้เพียงเท่านี้ ถ้ามีโปรแกรมอะไรกำหนดไว้ก็เชิญได้ เชิญทำตามไปตามกำหนด