แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาที่โรงเรียนประชาสัมพันธ์ทั้งหลาย อาตมายินดีในการมาของท่านทั้งหลาย และยินดีในการสนองความประสงค์ของท่านผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ว่าขอให้ ให้ความร่วมมือในการสะดวก และให้ความสะดวกในการที่จะทำงานหรือฝึกงาน และหาประสบการณ์เกี่ยวกับงานประชาสัมพันธ์ แล้วบรรยายสรุปเกี่ยวกับสวนโมกข์ตามแต่จะเห็นสมควร อาตมายินดีในการมาของท่านทั้งหลาย การบรรยายสรุปเกี่ยวกับสวนโมกข์นี้ มันก็เป็นเรื่องของวิธีการประชาสัมพันธ์อยู่แล้วในตัว
เมื่อพูดถึงประชาสัมพันธ์ มันก็ต้องมีผู้ได้รับประโยชน์ เช่น ทำการประชาสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ประเทศชาติก็ได้รับประโยชน์ ทำประชาสัมพันธ์ระหว่างพระธรรม พระศาสนากับประชาชน ประชาชนก็ได้รับประโยชน์ ดูแล้วมันไม่จะไม่มีอะไร ที่จะไม่เป็นเรื่องทำนองนี้ โดยเฉพาะสวนโมกข์นี้ ก็ทำการประชาสัมพันธ์ให้แก่พระธรรม คือตลอดเวลาได้ใช้ทุกอย่าง เรี่ยวแรง ความรู้ ความสามารถ ทำการประชาสัมพันธ์ให้แก่พระพุทธเจ้า เพื่อให้ประชาชน ได้รับประโยชน์คือมีธรรมะ และก็อยู่กันเป็นผาสุก นี่เรียกว่าเรารู้สึกตัว ว่าเราก็มีงานชนิดประชาสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่เป็นการยากลำบาก ที่อาตมาจะพูดจาอะไรแก่ท่านทั้งหลาย เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นการบรรยายสรุปก็ได้ เกี่ยวกับเรื่องของสวนโมกข์ ข้อแรกที่สุด ก็อยากจะให้ทราบว่า เรามีสิ่งหนึ่งซึ่งหนึ่งเรียกว่า มหรสพทางวิญญาณ นี่เป็นตัวกิจการสำหรับประชาสัมพันธ์ ประชาชนกับพระศาสนา มหรสพทางวิญญาณ คงจะเป็นคำใหม่สำหรับท่านทั้งหลาย อยากจะบอกกล่าวว่า การทำให้ได้รับความรู้ หรือแสงสว่างแก่จิตใจโดยวิธีที่สนุกสนานไม่น่าเบื่อ อย่างนี้เราเรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ ถือเป็นหลักได้เลยว่า มหรสพทางวิญญาณ คืองานหลักของสวนโมกข์ เพื่อทำประชาสัมพันธ์ให้แก่พระธรรม แก่พระศาสนา มหรสพทางวิญญาณ คือ ก็เรียกว่าคนละอย่างหรือตรงกันข้ามกับมหรสพทางวัตถุหรือทางเนื้อหนัง เรื่องสนุกสนาน เรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรต่างๆ นั้น มันก็เป็นมหรสพทางเนื้อหนัง ไอ้เรามีมโหรสพทางจิตใจ ทางนามธรรม ทางวิญญาณ มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ซึ่งมันต้องการสิ่งที่เรียกว่า มโหรสพ ทีนี้เราก็ไม่รู้จะเรียกกันว่าอะไรดี ยังเรียกกันอยู่ว่ามโหรสพ คือคำที่ใช้กันทั่วๆ ไปว่า Entertainment คือสิ่งประเล้าประโลมใจ Entertainment มนุษย์ต้องการสิ่งนี้เป็นปัจจัยที่ ๕ คือมีเพียงปัจจัย ๔ นั้นมันไม่พอ มันไม่หยุดความกระวนกระวายของมนุษย์ได้ ปัจจัย ๔ ก็เท่าที่รู้กันอยู่แล้วคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย และยาบำบัดโรค การบำบัดโรค ๔ อย่างนี้ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ แต่ว่าเพียง ๔ อย่างนั้นไม่หยุดความกระวนกระวายของมนุษย์ มนุษย์ก็ยังต้องการปัจจัยที่ ๕ คือ สิ่งประเล้าประโลมใจ มันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง ซึ่งมันต้องการการประเล้าประโลม นี่มนุษย์จึงแสวงหาไอ้สิ่งประเล้าประโลมใจ Entertainment ที่นี่เราเรียกกันว่า มโหรสพคือสิ่งประเล้าประโลมใจ เขาหาในทางฝ่ายเนื้อหนังจนกระทั่งมันให้โทษ เป็นอันตราย เป็นอบายมุข ทำลายศีลธรรมแทบจะไม่มีเหลือ เราก็ต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจทางจิต ทางวิญญาณหรือทางธรรมะ ให้รู้จักหาความเพลิดเพลินจากธรรมะ แทนที่จะไปหาความเพลิดเพลินจากวัตถุแห่งกามารมณ์ ส่วนนี้เราถือว่ามนุษย์มันขาดไม่ได้ เราก็ต้องให้ไอ้ชนิดที่ไม่เป็นภัย นั้นจึงเรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ เป็นหลักการของสวนโมกข์ เพื่อทำประชาสัมพันธ์ให้แก่พระธรรมหรือแก่พระศาสนา นี่ขอได้โปรดเข้าใจถึงใจความสำคัญของกิจกรรมในสวนโมกข์หรือเราเรียกเป็นเจตนารมณ์ของบริการอันนี้ ก็คือทำให้เกิดความเพลิดเพลินพอใจในทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับธรรมะ เราบอกเด็กๆ ว่าโรงหนัง ตึกหลังนั้นเด็กๆ จะเรียกว่าโรงหนัง แต่เราก็เติมท้ายว่าโรงหนังทางวิญญาณ ศึกษาธรรมะหาความเพลิดเพลินในทางธรรม ฝรั่งมาเราบอกเขาว่า Spiritual Theater คือโรงละครทางวิญญาณ กลับเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย นี่เรารู้ไว้แต่ว่าฝรั่งมีความรู้สึกคิดนึกที่ผ่านมาแล้วสูง พอที่จะเข้าใจคำว่าโรงละครทางวิญญาณ พออาตมาบอกเขาว่านี่ Spiritual Theater เขาเข้าใจทันที รู้ว่าให้แสวงหาความรู้ ความเพลิดเพลินใจในทาง Spiritual คือทางฝ่ายสติปัญญา ความคิดความเห็น เกี่ยวกับธรรมะ ไม่เกี่ยวกับวัตถุ นั้นเราจะเรียกตึกหลังนี้ว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ ตามทางการ ถ้าเป็นภาษาต่างประเทศ เราเรียกว่า Spiritual Theater ถ้าสำหรับเด็กๆ ทั่วไปเราก็เรียกว่าโรงหนัง เพื่อให้เขาชอบหรือสนใจขึ้นมาในทีแรก แล้วก็มาใช้ประโยชน์จากตึกหลังนี้ แต่อย่างไรก็ดีเรารู้สึกว่ายังไม่ได้ผลขนาดที่เป็นที่น่าพอใจ ยังได้ผลน้อยอยู่
คนมาเที่ยวอย่างเที่ยวทัศนาจรเสียเป็นส่วนใหญ่ มันมีมาตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการนี้มาตั้งแต่ราว๐๙ ๐๘ ๐๙ อาคารนี้เริ่มสร้างเมื่อ ๐๕ ๐๘ ๐๙ ก็เริ่มมีการแสดงจนมากระทั่งถึงวันนี้ คิดดูมันก็ ๑๐ กว่าปีแล้ว จะเข้า ๒๐ ปีแล้ว ยังได้รับผลน้อยอยู่ เราเคยจดไว้ระยะหลังๆ นี้ ปีหนึ่งมีคนมาที่นี่ ๔- ๕ หมื่นคน ใน๔-๕หมื่นคนนั้นเป็นนักศึกษาทางจิต ทางวิญญาณเป็นส่วนน้อย ส่วนมากก็นักทัศนาจรโดยทั่วๆ ไป จึงได้ทำภาพล้อเป็นการบันทึก บันทึกเหตุการณ์ของเราไว้ด้วยและเป็นภาพล้ออยู่ในตัวด้วย ที่หัวตึกทางฝ่ายนี้ที่เห็น มองจากนี้ก็เห็น ภาพอวโลติเกศวรแจกลูกตา ๒-๓ คนรับลูกตา นอกนั้นก็วิ่งหนีไปเป็นฝูงๆ โดยไม่เอาลูกตาไปด้วย นี่กิจกรรมของเรายังได้ผลน้อย ขอสารภาพว่าการทำประชาสัมพันธ์ให้แก่พระพุทธเจ้าเพื่อคนถึงธรรมะนี้ ยังได้ผลน้อยอย่างนี้
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงตัวการกระทำ เราใช้การแสดงรูปภาพ ใช้รูปภาพนี่เป็นสื่อสำหรับสัมพันธ์ แต่โดยแท้จริงนั้นเราคิดกันมากกว่านั้น กว้างกว่านั้นคือจะใช้ธรรมชาติ ตามธรรมชาตินี่เป็นสื่อสัมพันธ์หรือว่าเป็นมหรสพทางวิญญาณ ที่ให้คนเข้าถึงธรรมะ อันนี้ดีกว่า จริงกว่า ยิ่งกว่า สูงกว่า ในการที่ใช้ธรรมชาติอย่างที่ปรากฏอยู่นี่ เป็นตัวมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งก็พยายามอยู่อย่างยิ่ง แต่น้อยคนจะรับได้ยิ่งน้อยมากไปอีก เพราะเป็นของธรรมชาติล้วนเกินไป ทีนี้สิ่งที่ ๒ รองลงไปก็คือธรรมชาติที่ถูกดัดแปลง ถ้าท่านเดินไปตามที่บางแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงโน้นที่มีสระน้ำ มีต้นมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง กลางสระนั้น นั้นเรียกว่าสระนาฬิเกร์ นี่ก็เป็นธรรมชาติที่ถูกดัดแปลงมาครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ธรรมชาติล้วนๆ เมื่อเกิดเป็นภาพที่มีความหมายเป็นพระนิพพานในท่ามกลางวัฏฏสงสาร ต้นมะพร้าวนั้นเหมือนนิพพาน ไอ้น้ำนี่เรียกว่าวัฏฏสงสาร แต่เขามุ่งหมายจะแสดงความหมายของคำว่าทะเลขี้ผึ้ง โดยบทโดยเนื้อความในบทกล่อมลูกดึกดำบรรพ์นี่ว่า มะพร้าวนาฬิเกร์ต้นเดี่ยวโนเนกลางทะเลขี้ผึ้ง ทะเลขี้ผึ้งคือวัฏฏสงสาร ขี้ผึ้งนี้มันเป็นน้ำเหลว เมื่ออุณหภูมิมาก มันเป็นของแข็งเป็นก้อนหินก็ได้ เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าลบมากๆ ต่ำกว่าศูนย์ ลบศูนย์มากๆ ก็เรียกว่า เดี๋ยวเหลวเดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวเหลวเดี๋ยวแข็ง ตามลักษณะของวัฏฏสงสาร คือบุญบาป ดีชั่ว สุข ทุกข์ ขึ้นลง แพ้ชนะ ที่เป็นคู่ ๆ คู่ ๆ อย่างนี้เรียกว่าวัฏฏสงสาร นิพพานมันไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความเป็นคู่เหล่านั้น จึงอยู่โดดเดี่ยวแต่มันก็ไม่อยู่ที่อื่น อยู่ท่ามกลางวัฏฏสงสาร เป็นธรรมะที่ลึกมาก นั้นเป็นภาพที่มีความหมายลึกมากต้องไปนั่งทำจิตทำใจให้เข้าใจความหมายของคำๆ นี้ แล้วเป็นภาพที่สวยงามมาก แล้วไม่ต้องเขียนด้วยคือเอาต้นมะพร้าวกลางสระ แล้วก็สระทั้งหมดนี่เป็นภาพ นี้เราเรียกว่าธรรมชาติที่ถูกดัดแปลงเป็นมหรสพทางวิญญาณ นี่อย่างที่ ๓ ที่สร้างขึ้นมาล้วนๆ เช่นตึกหลังนี้มันไม่ใช่ธรรมชาติ เราสร้างมันขึ้นมาแล้วก็บรรจุอะไรต่างๆลงไปในตึกนั้น รูปภาพเขียนฝาผนังกับรูปสลักหินภายนอกนี้ มีอุปกรณ์อื่นๆ มีสไลด์ มีภาพยนตร์ มีอะไรอย่างที่มนุษย์ทำทั้งนั้นอยู่ในตึกหลังนั้น นั่นก็เป็นมหรสพทางวิญญาณ นั้นจึงขอให้ท่านเข้าใจได้ว่า เรามีมหรสพทางวิญญาณ ถึง ๓ เกรด คือที่มนุษย์ทำล้วน มนุษย์ทำขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์ล้วนอย่างตึกหลังนี้ แล้วครึ่งธรรมชาติ ครึ่งมนุษย์ทำ ก็เหมือนสระที่ว่าเป็นตัวอย่างนั้น แล้วก็ที่เป็นธรรมชาติล้วนเรียกว่ามนุษย์ไม่ได้ทำก็แล้วกัน คือธรรมชาติทั่วไป ที่เว้นไว้ตามธรรมชาติทั่วไปในสวนโมกข์ นี่ก็เรียกว่าเป็นมหรสพทางวิญญาณ จะเรียกว่าเป็นอุปกรณ์ก็สุดแท้ เป็นอุปกรณ์เพื่อเข้าถึงธรรมะ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมของมหรสพทางวิญญาณ นี้ก็พูดได้โดยภาษา แต่เราเรียกว่าเป็นตัวมหรสพทางวิญญาณ คือให้ความเพลิดเพลินในทางธรรมะ ในทางจิต ทางใจ แก่บุคคลที่สามารถรับเอาได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีจิตใจสูงพอจึงจะรับรส ธรรมะจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์นี้ได้ คนที่หลงใหลเรื่องกามารมณ์เรื่องอะไร มันก็รับเอาไม่ได้ มันต้องเฉพาะพวกที่มีจิตใจไม่เป็นทาสของวัตถุจนเกินไป จึงจะพอใจเรื่องพระธรรมหรือเรื่องพระศาสนา ดังนั้นมหรสพทางวิญญาณจึงเป็นที่พอใจเฉพาะคน บางพวก บางระดับ ที่อาตมากล่าวแล้วว่ามันน้อยเหลือเกิน มันจะไม่ถึง ๕% ก็ได้ ของทั้งหมดที่มา เราจึงทำภาพคนวิ่งไปเสียเป็นฝูงๆ สองสามคนรับลูกตาเพราะว่ามันเป็น ขออภัยที่จะพูดว่ามันดีเกินไป มันเหมือนกับอวดตัว มันดีเกินไปสำหรับคนทั่วไป มันจึงทำได้แต่บางคน หรือว่าเราจะแยกกันเหมือนอย่างว่า แมลงชนิดหนึ่งมันชอบแต่ของหอมชอบดอกไม้ ส่วนแมลงชนิดหนึ่งมันชอบของเน่าเหม็นสกปรก มันก็ไปยุ่งกันอยู่แต่ไอ้ของเน่าเหม็นสกปรก นี่มันแทนกันไม่ได้อย่างนี้ นี้คนที่มารับมหรสพทางวิญญาณนั้น มันจึงมีแต่คนประเภทที่เหมือนกับแมลงที่ชอบของหอม คนที่เหมือนกับแมลงชอบของเหม็นก็ไปหามหรสพทางเนื้อหนัง ทางกิเลส ทางส่งเสริมกิเลสซึ่งเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง จนเฟ้อ นี่คือมหรสพทางเนื้อหนัง ทำความเข้าใจว่าเรามีมหรสพแต่ทางวิญญาณ อย่างที่เราจัดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ล้วนก็มี อย่างไปเข้าหุ้นกับธรรมชาติดัดแปลงธรรมชาติก็มี นี้ก็ปล่อยไว้ตามธรรมชาติล้วนๆ ก็มี แล้วก็อยากจะบอกเดี๋ยวนี้ว่า ที่เป็นตามธรรมชาติล้วนๆ แหละดีกว่า ประเสริฐกว่า สูงกว่า เป็นของที่เนื่องกับธรรมะโดยตรง และเนื่องกับพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เพราะว่าธรรมะนั้นมันก็คือความจริงของธรรมชาติ เรื่องธรรมะนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความจริงของธรรมชาติ ตัวธรรมชาติก็เป็นธรรมะ ตัวกฏของธรรมชาตินั้นก็เป็นธรรมะ ตัวหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติก็เป็นธรรมะ ตัวการได้รับผลออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นธรรมะ นี่เป็นธรรมชาติล้วนๆ นั้นการรู้เรื่องธรรมชาติมีได้ง่ายเมื่อเรามาอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
พระศาสดาทุกๆ ศาสนา ท่านทำตนใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างยิ่ง นั้นจึงได้ตรัสรู้ธรรมะออกมาเป็นหลักพระศาสนานั้นๆ อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้ คำสอนทั้งหมดทั้งพระไตรปิฎกนั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฏของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ เรื่องผลจากหน้าที่ของธรรมชาติ แล้วมันก็จะเรียกว่าประหลาดอยู่ จะเป็นเรื่อง Constant หรือว่าจะเป็นอะไรก็สุดแท้ แต่ความจริงมันปรากฏอยู่ว่า พระพุทธเจ้านั้นประสูติท่ามกลางพื้นดิน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากลางพื้นดิน สอนสาวกทั่วไปกลางพื้นดิน ในที่สุดท่านก็ตายคือนิพพานกลางพื้นดิน ไปศึกษาดูเถอะ การประสูติของพระพุทธเจ้ามีที่ในป่าแห่งหนึ่งกลางพื้นดิน ไม่ใช่ว่าท่านเป็นเจ้า เป็นนาย เป็นกษัตริย์แล้วจะประสูติบนปราสาท เหมือนว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น มันกลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน เมื่อตรัสรู้ก็ตรัสรู้เมื่อนั่งกลางดิน โคนต้นไม้ที่ริมลำธารแห่งหนึ่ง ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง และสอนก็สอนเป็นธรรมดาทั่วไปกลางดิน หรือแม้เดินทางอยู่ก็สอน ในที่สุดท่านก็นิพพาน ตายที่โคนต้นไม้ในอุทยานแห่งหนึ่งกลางดิน ไปดูแล้วในอินเดียกุฏิของท่านพื้นดินทุกแห่ง จึงพูดเป็นภาษาธรรมดาสามัญได้เลยว่า ท่านเกิดกลางดินดินท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านสอนกลางดิน ท่านคือตายที่โคนต้นไม้ในอุทยานแห่งหนึ่งกลางดิน ไปดูแล้วในอินเดีย กุฏิของท่านพื้นดินทุกแห่ง จึงพูดเป็นภาษาธรรมดาสามัญได้เลยว่า ท่านเกิดกลางดิน ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านสอนกลางดิน ท่านตายกลางดิน นี่ถ้าไม่ใช้ราชาศัพท์มันก็พูดได้อย่างนี้ เราถือเอาหลักอันนี้ว่าการเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากๆเหมือนพระพุทธเจ้านั่นแหละ จะทำให้เกิดความง่ายดายในการที่จะรู้จักธรรมชาติอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านทราบคือพระธรรมทั้งหลายนั้น นั้นจึงมีความเหมาะสมถือเป็นความเหมาะสมที่จะมานั่งกันในสภาพอย่างนี้ อาตมาก็ถึงกับขอร้องว่าท่านทั้งหลายจะนั่งลงกลางดินเดี๋ยวนี้ ที่นี่ ทำในใจถึงพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน อยู่กลางดินตลอดเวลา นี่เป็นประชาสัมพันธ์อย่างยิ่ง
การมานั่งกลางดินตรงนี้ เป็นประชาสัมพันธ์อย่างยิ่งให้แก่พระพุทธเจ้า ให้แก่พระธรรม ระหว่างเรากับท่าน เมื่อท่านนั่งลงกลางดิน จิตใจย่อมเปลี่ยนไปจากที่จะนั่งบนตึกหรือบนที่ๆ ว่ามนุษย์ได้ปรับปรุงส่งเสริมขึ้นมา คือความคิดนึกจะเกิดขึ้นไม่เหมือนกัน ถ้าโรงเรียนประชาสัมพันธ์ของท่านเป็นตึกราคาเป็นล้านๆ แล้วเมื่อนั่งอยู่ในห้องเย็นนั้นมันเป็นอย่างไร แล้วเมื่อมานั่งอยู่กับดิน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้านี่ มันรู้สึกต่างกันอย่างไร เราถือว่านั่งกลางดินนี่คือนั่งในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า เป็นเกลอธรรมชาติ ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างยิ่ง แล้วจิตใจของเรารู้สึกอย่างไร อาตมาขอร้องให้สังเกตและจดจำความรู้สึกอันนี้ติดกลับไปกรุงเทพด้วย เมื่อมานั่งกลางดินบนที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้านี่ เรารู้สึกอย่างไร ความคิดนึกปรุงแต่งขึ้นมาในจิตใจอย่างไร กับเรานั่งในห้องเรียนอันหรูหราสวยงามนี้ มัน มันจะรู้สึกต่างกันอย่างไร คือความรู้สึกที่ปรุงขึ้นมาเองนั่น ในจิตใจมันจะต่างกันอย่างไร นี่ ถ้ามันต่างกันอย่างไรนั้นมันเป็นผลของธรรมชาติล้วนๆ มันปรุงจิตใจ มันครอบงำจิตใจ มันบำรุงจิต มันปรุงแต่งจิตใจของเราให้เป็นขึ้นอย่างนี้ แล้วมันเป็นไปในลักษณะเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านเป็น อาตมายังถือว่ามานั่งกลางดินกันอย่างนี้ เป็นการทำประชาสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระพุทธเจ้าหรือกับพระธรรมทีเดียว นี่คือใจความสำคัญหรือว่าบรรยายสรุปเกี่ยวกับกิจกรรม มหรสพทางวิญญาณในสวนโมกข์ ซึ่งเราถือว่าเป็นงานประชาสัมพันธ์ตลอดเวลา ระหว่างคนกับพระธรรม ระหว่างคนกับพระศาสนา หรือระหว่างมนุษย์กับพระพุทธเจ้า
ทีนี้ก็จะอธิบายถึงเรื่องตึกหลังนั้น ตึกที่เห็นอยู่หลังนั้น ที่ว่าทำขึ้นล้วนๆไม่เกี่ยวกับธรรมชาติ ในตึกนั้นเขียนรูปภาพที่เราได้สรรหา เฟ้นหาเป็นอย่างดีที่สุดคือสุดความสามารถว่ามันจะเป็นอุปกรณ์ในการทำให้มนุษย์เข้าใจธรรมะ คือถ้าเขารู้ความหมายของรูปภาพแล้วเขาจะรู้ความหมายของธรรมะ ซึ่งแสดงอยู่ด้วยรูปภาพนั้น นั้นจึงเป็นการสอนธรรมะด้วยรูปภาพ แสดงธรรมะ แสดงความหมายของธรรมะทางรูปภาพ เขาเรียกกันว่า Pictorial Interpretating of Dhamma Pictorial Interpretating of Dhamma คือการเฟ้นเอาความหมายของธรรมะทางรูปภาพนี่เขาได้ใช้เป็นเครื่องมือกันทั่วๆ ไปในหมู่พุทธบริษัทและก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็อย่างมหายาน เช่น จีน ญี่ปุ่น นั้นรูปภาพทำนองนี้ เราจึงหาได้มากจากรูปภาพของจีน ของญี่ปุ่น แสดงธรรมะเพื่อกำจัดกิเลส เขามีศิลปะตรงที่ว่าแสดงความรู้สึกของจิตใจ ที่เป็นไปในธรรมในทางทำลายกิเลส ส่วนรูปภาพศิลปะของฝรั่งหรือของตะวันตกนั้น หาไม่ได้หรือสุดความสามารถที่เราจะหาได้ เพราะว่าแต่ละภาพๆ มันมุ่งตรงกันข้ามคือมันส่งเสริมให้เกิดความหลงในความหมายของวัตถุ ของกามารมณ์ ของอะไรทำนองนั้นไปเสีย พูดง่ายๆ ว่าศิลปะตะวันตกส่งเสริมกามารมณ์ ในเมื่อศิลปะตะวันออกมุ่งหมายขจัดอิทธิพลของกามารมณ์ เราจึงได้แต่รูปภาพของชนชาติฝ่ายตะวันออก หารูปภาพของฝรั่งทางตะวันตกแทบจะไม่ได้ ขอให้ไปดูในตึกนั้น นอกจากนั้นก็ภาพจากสมุดข่อย ที่มีอยู่แต่โบราณ และก็มีภาพฝาผนังโบสถ์ยุคก่อนกรุงเทพ ผนังโบสถ์ยุคก่อนกรุงเทพเขียนภาพธรรมะ แต่ผนังโบสถ์ยุคกรุงเทพนี้เขียนภาพพุทธประวัติคือภาพชาดก ซึ่งไม่แสดงธรรมะ มันต่างกันอยู่ นั้นภาพในตึกนี้เป็นภาพแสดงธรรมะทั้งนั้น ก็จะเป็นรูปภาพผนังโบสถ์ก็ต้องเป็นผนังโบสถ์ก่อนยุคกรุงเทพอย่างนี้เป็นต้น นี่อยากจะขอให้สังเกตหรือเข้าใจได้ว่า บรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเราได้ใช้วิธีนี้มาแล้วและสำเร็จประโยชน์ เราต้องนึกเห็นอกเห็นใจปู่ย่าตายายของเรา ในการที่จะเผยแผ่ธรรมะให้คนถึงธรรมะนั้น มันยากกว่าสมัยนี้มาก สมัยปู่ย่าตายาย ประชาชนไม่รู้หนังสือ อย่างว่าแต่จะมีวิทยุ มีวิทยุโทรทัศน์เหมือนคณะประชาสัมพันธ์เดี๋ยวนี้เลย แม้แต่หนังสือมันก็ไม่มีจะใช้ ประชาชนไม่รู้หนังสือ หนังสือพิมพ์หรืออะไรมันไม่มีทั้งนั้นสมัยปู่ย่าตายาย ท่านก็ยังสามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงธรรมะได้ นั้นมันเก่งกว่าเรากี่เท่า เราเกิดในสมัยที่ประชาชนรู้หนังสือมีแล้วยังแถมยังมีเครื่องมือ เช่นวิทยุบ้าง โทรทัศน์บ้าง อื่นๆ อีกบ้าง สื่อมวลชน หลายตัวอย่าง หลายประการ เราก็ยังไม่ทำให้ประชาชนนี้ถึงธรรมะได้มากเหมือนสมัยปู่ย่าตายาย แล้วเรากลับโง่ทำผิดใช้สื่อมวลชนเหล่านี้ส่งเสริมกิเลส เราใช้สื่อมวลชนเหล่านี้ส่งเสริมกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกของธรรมะ นั้นดูให้ดีว่าได้ใช้หนังสือ ใช้วิทยุ ใช้โทรทัศน์ เพื่อการส่งเสริมกิเลสกี่มากน้อย นี้มันสัมพันธ์ ประชาสัมพันธ์อะไรกัน ประชาสัมพันธ์มนุษย์กับยมบาลมากกว่า ที่จะใช้เครื่องมือประชาสัมพันธ์หรือสื่อสารไปทำนองนี้ ปู่ย่าตายายเขาไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ มีปัญญาแต่เพียงเขียนรูปภาพตามผนังโบสถ์บ้าง ในสมุดข่อยบ้าง ทิ้งไว้กลางโบสถ์ คนมาวัดวันพระ ๘ค่ำ พลิกดูสมุดข่อยเหล่านั้น เข้าใจรูปภาพเหล่านั้นและเข้าใจธรรมะได้โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้หนังสือเลย นี่โปรดรับทราบไว้ด้วยว่าเครื่องมือประชาสัมพันธ์ ที่เคยทำความสำเร็จให้แก่การเผยแผ่ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นคือวิธีการใช้รูปภาพแก่ประชาชนที่ไม่รู้หนังสือ เรารับเอาวิธีการอันนี้มาเป็นมหรสพทางวิญญาณที่นี่ แล้วมีลักษณะประชาสัมพันธ์อย่างเดียวกันกับที่บรรพบุรุษ ปู่ย่าตายาย ได้เคยทำมาแล้ว ขอให้โยมรับรู้ข้อนี้ด้วย ว่าถ้าอย่างไรเราก็ควรจะปรับปรุงแก้ไขให้อุปกรณ์อันวิเศษของสมัยนี้ทางสื่อสารนั้นเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุดคือพระธรรมหรือพระเจ้าหรือพระศาสนา ที่สวนโมกข์นี้มีความมุ่งหมายอย่างนี้ จึงได้ทำอย่างนี้ นั้นขอให้ท่านเข้าใจเถิด กิจการและเจตนารมณ์ทางกิจการที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ นี่ก็คือสิ่งที่อาตมามีสำหรับจะบรรยายให้ทราบ ว่ามหรสพทางวิญญาณคืองานหลักของสวนโมกข์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้แก่พระธรรม ก่อนจะจบนี่ก็ขอร้องว่า ขอได้ช่วยกันพยายามให้มีการประชาสัมพันธ์ให้แก่พระธรรมด้วยเถิด ท่านทั้งหลายเป็นนักเรียนประชาสัมพันธ์ต่อไปข้างหน้าก็จะกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ก็จะขอร้องเดี๋ยวนี้ว่าจงช่วยทำประชาสัมพันธ์ให้แก่พระธรรมเถิด โลกกำลังจะวินาศและวินาศแน่นอนถ้าว่าศีลธรรมไม่กลับมาทันเวลาในโลกนี้ โลกนี้ต้องวินาศด้วยกิเลสตัณหาของมนุษย์แห่งวัตถุนิยม
การย้อนกลับไปหาธรรมะนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ คนโง่ คนบ้าเท่านั้น ที่หาว่าเป็นการถอยหลังเข้าคลอง น่ารังเกียจก็ถอยหลังเข้าคลอง ที่จริงมันมันเพื่อให้ละจากความผิดไปหาความถูก ให้ละจากอันตรายไปหาความปลอดภัย นั้นช่วยกันทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ไปในทำนองให้มนุษย์เข้าถึงธรรมะให้โลกนี้กลับมีธรรมะ กลับมีศีลธรรม เดี๋ยวนี้มันเกินไปแล้ว เป็นส่วนเกิน เรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ทางกิเลส เห็นแก่ตัว จนไม่มีทางเห็นแก่ผู้อื่น มันก็เลยเอาเปรียบกัน โกรธขึ้นมาก็ฆ่ากัน ฆ่ากันอย่างเลวร้ายที่ไม่เคยมีการมาแต่กาลก่อน นั้นขอให้ท่านลองคุยสนทนากับคนแก่อายุ ๖๐ ปี ๗๐ ปี ๘๐ ปี แล้วถามดูว่ากรุงเทพเมื่อ ๗๐-๘๐ปี มาแล้วนั้นมันเป็นอย่างไร มันมีอันธพาลมากเหมือนเดี๋ยวนี้ไหม มีอาชญากรรมทางเพศมากเหมือนเดี๋ยวนี้ไหม มีอะไรที่เลวร้ายเหมือนเดี๋ยวนี้ไหม มันก็จะพบว่าไม่มี เพราะมันมีธรรมะอยู่มาก เดี๋ยวนี้ไปตามก้นวัตถุนิยมตะวันตกเห็นแก่เนื้อหนังจนไม่มีธรรมะเหลือ มันก็เห็นแก่ตนจนทำอันตรายกันอย่างไม่มีขอบเขต ที่ใหญ่โตเพราะว่าทำความสงครามกันระหว่างประเทศ ทำความเดือดร้อนเต็มไปทั้งโลก นี่เพราะไม่มีธรรมะตรงที่ว่ามันเห็นแก่ตัว เพราะเราไปเป็นทาสของวัตถุ ที่ทำให้เกิดความเอร็ดอร่อยหลุ่มหลงจนเห็นแก่ตัว นี่เพราะว่าสิ่งประเล้าประโลมใจ หรือ Entertainment นั้นมันผิดแล้ว มันเป็นมหรสพที่ผิดแล้ว มันเป็นมหรสพที่ทำลายมนุษย์ เรากลับมาหามหรสพที่ส่งเสริมมนุษยธรรม ความมีศีลธรรมแห่งความเป็นมนุษย์
จึงขอแสดงความหวังว่าขอให้กิจกรรมประชาสัมพันธ์ของมนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษาในโลกนี้ จงได้ทำให้เกิดสื่อสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระธรรม กับพระเจ้า กับพระศาสนา ให้มนุษย์รู้จักหัวใจของพระศาสนา สรุปเป็นใจความสั้นๆ คำเดียวว่า “ รักผู้อื่น ” อาตมาขอร้อง ขอวิงวอนด้วยว่าช่วยกันทำประชาสัมพันธ์ให้คนทั้งหมดนี่รู้จักหัวใจของพระศาสนาด้วยคำสั้นๆ คำเดียวว่า “ รักผู้อื่น ” ทำอย่างไรก็สุดแท้ แต่ขอให้บังเกิดผลขึ้นมาในใจของคนทั้งหลายว่ารักผู้อื่น พอรักผู้อื่นแล้วมันก็หมดปัญหา ไม่ต้องทำประชาสัมพันธ์อะไรอีกก็ได้ ถ้าคนมันรักกัน เพราะว่าเมื่อรักกัน เมื่อคนมันรักผู้อื่นแล้วมันฆ่าผู้อื่นไม่ได้ คนมันรักผู้อื่นแล้วมันขโมยผู้อื่นก็ไม่ได้ เมื่อมันรักผู้อื่นแล้วจะประพฤติล่วงกาเมในของรักของผู้อื่นก็ไม่ได้ เพราะมันรักเขาเสียแล้ว รักผู้อื่นแล้วก็พูดเท็จพูดโกหกไม่ได้ รักผู้อื่นแล้วก็จะกระทำตนเป็นคนเมามายกระทบกระทั่งผู้อื่นเพราะความเมามายไม่ได้ มันก็ไม่มีปัญหา มันไม่มีความเลวร้าย มันมีแต่ความสงบสุข นี่รักผู้อื่นคำเดียว ขอให้ช่วยกันให้ถือเป็นกิจกรรมสำคัญของการประชาสัมพันธ์ที่ทำความสัมพันธ์ระหว่างหัวใจของพระศาสนา ทุกๆ ศาสนากับมนุษย์ทุกคนในโลก บางคนอาจจะฟังไม่เข้าใจ อาตมาพูดว่าทุกศาสนามีหัวใจอยู่ที่คำว่ารักผู้อื่น ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหณ์ ศาสนาอะไรก็ตาม หัวใจของความมุ่งหมายมันอยู่ที่การให้รักผู้อื่น เพราะปัญหามันเกิดขึ้นในโลกเพราะมันไม่มีใครรักใคร แล้วมันเบียดเบียนกัน ก็จึงเห็นว่าพอรักผู้อื่นเท่านั้นปัญหามันก็หมด นั้นเขาจึงวางระบบศีลธรรมหลักธรรมในขั้นสูงว่ารักผู้อื่น รักผู้อื่นแล้วมันก็เบียดเบียนใครไม่ได้ ศีล ๕ มันก็บริบูรณ์เอง มันไม่เอาส่วนเกิน มันทำลายความเห็นแก่ตัว กิเลสมันก็เบาบาง มันก็หมดกิเลสเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะความรักผู้อื่น นั้นขอให้ช่วยกันทำประชาสัมพันธ์ให้แก่พระธรรมคือ ทำให้เกิดความรักผู้อื่นขึ้นมาในหมู่มนุษย์นี้ ก็เป็นยอดสุดของวิชาประชาสัมพันธ์ แล้วเมื่อนั้นก็จะเกิดศาสนา พระศรีอารย์ พระศรีอริยเมตไตรย ทำประชาสัมพันธ์ให้แก่ความรักผู้อื่น นั่นแหละคือจะทำประชาสัมพันธ์ให้แก่ศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยเรียกกันสั้นๆ ว่าศาสนาพระศรีอารย์ ย่อมาจากคำว่าศรีอริยเมตไตรย แต่ความสำคัญอยู่ที่คำว่าเมตไตรย เมตไตรยแปลว่าอาศัยความเป็นมิตร ความเป็นมิตรคือความมีเมตตา เมตตาคือรักผู้อื่น ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยมีแต่ความรักผู้อื่น นั้นจึงไม่มีอย่างที่ว่า ไม่มีการฆ่า ไม่มีการขโมย ไม่มีประพฤติผิดกาเม ไม่โกหก ไม่กระทบกระทั่งใคร ดีไปหมดจนปลอดภัยในที่ทุกหนทุกแห่ง ส่วนที่มีคนบางพวกเอามาโฆษณาว่า เขาเอาศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยมาให้ โดยทำลายพวกนายทุนเสียให้หมด เอาทรัพย์สมบัติมาแบ่งเฉลี่ยเท่ากันทั่วกัน แล้วเป็นศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย นั้นมันอริยเมตไตรยอย่างของคนพูดนั้น ไม่ใช่อย่างของศาสนาโดยแท้จริง อริยเมตไตรยในศาสนาพุทธก็มีอย่างว่าคือรักผู้อื่น อริยเมตไตรยอย่างศาสนาคริสต์ก็รักผู้อื่น อริยเมตไตรยอย่างศาสนาพราหมณ์ก็ล้วนแต่รักผู้อื่น คือทำให้เกิดความสงบ การโฆษณาความรักผู้อื่นก็คือการทำประชาสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยนั่นเอง เราเล็งถึงประโยชน์อันนี้ เราจึงได้พยายามอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา ที่ประกอบกิจกรรมที่เรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ ถือเป็นงานหลักของสวนโมกข์ เพื่อทำประชาสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุดคือพระธรรมหรือพระเจ้า หรือพระศาสนา
นี่แหละคือคำบรรยายสรุปเท่าที่อาตมาได้สนองเจตนาของท่านผู้อำนวยการโรงเรียนที่ได้ขอร้องมาอย่างนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้กำหนดจดจำเอาไปใช้เป็นประโยชน์ ในวิชาและการปฏิบัติงานประชาสัมพันธ์ต่อไปในโอกาสข้างหน้า จนตลอดเวลาอันไม่มีขอบเขตจำกัด อาตมาขอฝากการประชาสัมพันธ์พระธรรมให้ศีลธรรมกลับมา ให้มนุษย์ก้าวหน้าไปตามทางของศาสนา ของพระศรีอริยเมตไตรยด้วย ในที่สุดนี้ขออวยพรให้ท่านนักศึกษาประชาสัมพันธ์แห่งกรมประชาสัมพันธ์ จงได้มีสติปัญญากำลังกาย กำลังใจอันเข้มแข็ง ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จประโยชน์ และก็มีความพอใจในการงาน มีความสุขอยู่เพราะความพอใจนั้นๆ ที่อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ...