แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(ถามผู้เข้าฟัง) ต้องการให้พูดเรื่องอะไร หัวหน้าทีม บอกเลยได้ไหม
ว่าจะให้พูดเรื่องอะไร
(ผู้เข้าฟังตอบ) .... (ถามผู้เข้าฟัง) มีปัญหาว่ายังไง
(ผู้เข้าฟังตอบ).... (ถามผู้เข้าฟัง) ก็เวลา คุณมี ๓๐ ๔๐ นาที
(ผู้เข้าฟังตอบ).... (ถามผู้เข้าฟัง) มีเวลาสัก ๔๐ นาที ๓๐ นาที จะเลยไปไหน ... ไป พิพิธภัณฑ์
(ผู้เข้าฟังตอบ).... (ถามผู้เข้าฟัง) ที่มานี่ส่วนใหญ่ตั้งใจจะมาทัศนศึกษารึ ที่ออกมานี่
ไปหลายๆจังหวัดนะ ไปทำ ไปดูอะไร ไปทำอะไร
(ผู้เข้าฟังตอบ).... (ถามผู้เข้าฟัง) ดูโบราณวัตถุ อ้อ นี่ส่วนมากเป็นนักศึกษาโบราณคดี
(ผู้เข้าฟังตอบ).... (ถามผู้เข้าฟัง) ประวัติศาสตร์
(ผู้เข้าฟังตอบ)..... (ถามผู้เข้าฟัง) มันเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้
(เริ่มบรรยาย)
นี่ก็อยากจะพูดแนะนำสวนโมกข์นี่สักหน่อย จัดขึ้นให้ความสะดวกแก่เพื่อนมนุษย์ที่จะมา แล้วสะดวกที่จะศึกษาธรรมะจากธรรมชาติ คือศึกษาจากจิตใจโดยตรง ศึกษาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจแล้วผ่านไปในจิตใจ ไม่ต้องใช้เหตุผลคิดนึก คาดคะเน คำนวณ พอมาถึงในป่าตามธรรมชาติ จิตมันก็เปลี่ยนไปตามความบีบคั้นของธรรมชาติ เราก็ศึกษาจากนั้น วุ่นวายมามันก็สงบ นี่เรียกว่าศึกษาธรรมะจากจิตใจ ไอ้สิ่งที่เราจะศึกษากันเพื่อประโยชน์เราหรือเพื่อประโยชน์คนทั้งโลกนั้น มันคือธรรมะ ถ้าจะศึกษาประวัติศาสตร์ ก็ขอให้มันจริง ให้มันตรงจริง กับเรื่องของประวัติศาสตร์ เรื่องของประวัติศาสตร์มันก็ควรจะเป็นเรื่องความเป็นมาในด้านจิตใจของมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้ไอ้ด้านจิตใจมันบันทึกไม่ค่อยได้หรือมันจะบันทึกไม่ได้ด้วยซ้ำไปในบางอย่าง มันจะบันทึกได้แต่เรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องของวัตถุ มีหลักฐานทางวัตถุ นั้นประวัติศาสตร์ก็มีลักษณะเป็นวัตถุนิยมเสียมากกว่าที่จะเป็นเรื่องทางจิตใจ เรื่องทางจิตใจมันไม่มีตัวตนให้บันทึก ถ้าอาศัยฝากไว้กับปรากฏการณ์ทางวัตถุมันก็เป็น
ส่วนน้อย นั้นประวัติศาสตร์นี้บันทึกเรื่องของวัตถุเป็นส่วนใหญ่ คือปรากฏการณ์ทางวัตถุที่เป็นมาอย่างไร
เรื่องเกี่ยวกับสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งคือธรรมะ บันทึกไม่ค่อยได้ เหมือนก็บันทึกคำสั่งสอนทางธรรม ทางศาสนา
นี่ได้อย่างมากเพียงเท่านี้ แต่จะบันทึกความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของมนุษย์รู้สึกไม่ค่อยจะมี ไม่เคยพบ พระไตรปิฎกก็บันทึกคำสอน แต่ก็มีอยู่มากนะในรูปของประวัติศาสตร์ พอจะค้นคว้าหาเรื่องทางประวัติศาสตร์ อยากจะแนะว่า ถ้ามีเวลาแล้วก็ นักศึกษาประวัติศาสตร์นี้ ควรจะได้ผ่านพระไตรปิฎก คืออ่านพระไตรปิฎกไปทั้งชุดให้จบ หรือถ้าเว้นก็เว้นภาคปลาย คือที่เรียกว่าอภิธรรมปิฎก เว้นเสียก็ได้ ไม่ค่อยมีเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเป็นเรื่องวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก สองภาคต้นแล้วลองไปอ่านดูเถอะ จะพบเรื่องในรูปแบบของประวัติศาสตร์ ของธรรมะ ของศาสนา แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องจิตใจโดยตรง ถ้าเราสามารถบันทึกเรื่องจิตใจของมนุษย์โดยตรงไว้มาถึงบัดนี้ก็จะมีประโยชน์มากทีเดียว
สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด คือถ้าจะเป็นทางประวัติศาสตร์ ทางโบราณคดี
มันไม่มีอะไร ไม่มีโบราณคดีไหนจะกล่าวเท่าเรื่องของธรรมะ มันเกิดขึ้นแล้ว มันได้ก่อรูปร่างขึ้นมาแล้วตั้งแต่
สมัยมนุษย์ แรกมีมนุษย์ มนุษย์เริ่มรู้จักดี ชั่ว มาตั้งแต่แรกๆ แม้จะค่อนข้างงมงาย มันก็เป็นเรื่องของความรู้
เรื่องความดี ความชั่ว ปฏิบัติแล้วมีความสงบสุข นี้มันต้องก่อนสมัยหิน มนุษย์สมัยหินนี่รู้ธรรมะพอสมควรเหมือนกันโดยธรรมชาติ โดยผู้มีปัญญาของสมัยนั้น เขามองเห็นและเขาแนะนำลูกน้อง บริวาร เรื่องตาบู คำสั่งสอนระบบที่เรียกกันว่าตาบูของมนุษย์สมัยโน้น ก็จะพบหลักของธรรมะ ที่มันน้อมไปในทางสูงคือดีขึ้น ดีขึ้น
ไอ้โบราณคดี ประวัติศาสตร์ สมัย ???? (นาที 7: 54) ทวารวดีนี่มันเหมือนกับเรื่องเมื่อวานนี้ ถ้าไปเทียบกับ
เรื่องธรรมะซึ่งไม่รู้กี่หมื่นปี ซึ่งมาพร้อมๆกันกับมนุษย์ นี่โบราณคดีที่แท้จริงต้องศึกษาเรื่องของธรรมะ
ที่มันมีมาพร้อมๆกันกับมนุษย์ ซึ่งเราเรียกว่าก่อนประวัติศาสตร์ หรือยิ่งกว่าก่อนประวัติศาสตร์ ไอ้ภาพเขียนที่ถ้ำที่พังงา เรียกกันว่าก่อนประวัติศาสตร์ มันก็เมื่อวานนี้แหละ ถ้าไปเทียบกับธรรมะที่มันก่อนประวัติศาสตร์จริงๆ มนุษย์เริ่มรู้จักปัญหาของมนุษย์ แล้วก็มีระบบศีลธรรมเกิดขึ้นในรูปแบบขลังศักดิ์สิทธิ์ก็มี ในรูปกฎหมายก็มี อะไรก็มี นั้นเรารวมเรียกกันว่าธรรมะทั้งหมด ขอให้สนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ คือโลกปัจจุบันมันเต็มไปด้วยความเลวร้ายนี่ก็มันขาดธรรมะ
สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา มีธรรมะอยู่ในวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเขาศึกษา
ธรรมะเป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่ค่อยเรียนหนังสือกัน หนังสือไม่ค่อยรู้หรอก นี่ตัวอย่างไอ้รูปภาพเหล่านี้ ตั้งต้นนั้นนี่มานี่ ???? (นาที 9: 25) ภาพเหมือนเขียนลายไทยนั่นน่ะ นี่ก็อปปี้มาจากสมุดข่อย หรือผนังโบสถ์ ต้องเป็นโบสถ์ที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา จึงจะนิยมเขียนภาพธรรมะอย่างนี้ โบสถ์รุ่นหลัง รุ่นกรุงรัตนโกสินทร์นี่ มันเปลี่ยนเป็นนิยมเขียนภาพชาดกบ้าง พุทธประวัติบ้าง ไม่สอนธรรมะเลย ภาพยุคโน้นไม่นิยมเขียนพุทธประวัติหรือเรื่องชาดกสิบชาติ มันเขียนภาพธรรมะอย่างนี้ แต่ก็เหลือน้อยเต็มที แม้ที่อยุธยาเองก็ลบเขียนใหม่ เรื่องพุทธประวัติชาดกอย่างปัจจุบัน อย่างในกรุงเทพฯนี่ยังหาดูไม่ได้ ต้องไปดูวัดที่มันตกค้างเหลืออยู่รางๆ อย่างวัดโพธิ์บางโอ วัดยุคเดียวกันในคลองบางหลวง จะพบภาพธรรมะอย่างนี้บ้าง อาตมาไปยังได้เห็นภาพ ช้างหนึ่งตัวกินน้ำสามสระ หรือภาพสมมุติของภยตูปัฏฐานญาณ คงจะยังไม่ ไม่ ไม่พังหรือไม่ลบ นี่บอกให้สังเกตว่า ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรารู้ธรรมะ โดยไม่ต้องรู้หนังสือ เพราะว่าเขาเรียนธรรมะจากภาพ รูปภาพเหล่านี้ เขาเขียนไว้ที่ผนังโบสถ์บ้าง ในสมุดข่อยบ้าง เพื่อประชาชนที่ไม่รู้หนังสือ ประชาชนอ่านหนังสือไม่ได้แต่ดูธรรมะออก เพราะว่ามันบอกกันได้ คนที่ดูออกทีแรกมันบอกแก่คนทีหลังได้โดยไม่ต้องรู้หนังสือว่านี่มันอะไร อะไร
นี่เรื่องที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา เขาเรียกเรื่องหนวดเต่า เขากระต่าย คือเรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตา เรื่องสูงสุดในพุทธศาสนา คือไม่มีตัวตน มีแต่เหตุปัจจัยตามธรรมชาติปรุงแต่ง เป็นคนคิดนึกได้ มีกิเลส มีทุกข์ มีอะไรได้ โดยที่แท้แล้วไม่ได้มีบุคคล ตัวตน มีแต่ธรรมชาติ ที่ปรุงเป็นร่างกาย จิตใจ คิดนึก รู้สึกได้ ก็หมุนไปตามสิ่งแวดล้อม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดความทุกข์ ต้องกลับไปรู้เรื่องสุญญตา หรือว่างจากตัวตน อนัตตา ไม่มีตัวตนกันเสียใหม่ก็ดับทุกข์ได้ ตรงนั้นเริ่มขึ้นที่รังใยแมงมุม มีนกแปดชนิดมาติดอยู่ คือว่าสัตว์แปดชนิดในโลก ล้วนแต่ติดอยู่ในใยแมงมุม ในข่ายแมงมุมคืออวิชชา ความไม่รู้ ติดอยู่ในข่ายของอวิชชาคือความไม่รู้ ๘ ชนิด สัตว์แปดชนิดก็นับพวกอบาย ที่เป็นทุกข์ ๔ พวก แล้วมนุษย์พวกหนึ่ง แล้วก็ เทวดาอีก ๓ พวก รวมเป็น ๘ จำพวก ตั้งแต่นรกก้นบึ้งจนถึงพรหมโลก ๘พวก ล้วนแต่ติดอยู่ในข่ายของความโง่คืออวิชชา ไม่รู้ว่าจะดับทุกข์กันอย่างไร นั้นจึงมีความทุกข์มาก
เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งมีอวิชชา ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ในทางที่จะดับทุกข์ ยิ่งฉลาดในทางที่จะสร้างความทุกข์
มันฉลาดในทางที่มันจะสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ อย่างเรื่องสกายแล็ปวันนี้ คือเรื่องของความโง่ มันเป็นผล
ของความโง่ ไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ทำไมไม่ทำสิ่งที่มันเกิดสันติภาพในโลกนี้ มันมีอีกเยอะแยะล่ะ ที่ว่าไอ้
การศึกษาทำไปในสิ่งที่ไม่ต้องทำ คือมันไม่ดับทุกข์ นี่มันติดอยู่ในข่ายอวิชชา แล้วมันก็มีเรื่องนั่นน่ะ มันก็อุปมา
ของความทุกข์นั่นล่ะ เรื่องฆ่า เรื่องแกง เรื่องนกอินทรี เรื่องอะไรต่างๆ กระทั่งเรื่องโง่ที่สุดนี่ ความรักของอวิชชา
ที่นอนเป็นนกไม่มีนมให้ลูกกิน ก็อุตส่าห์มาขโมยทารกของมนุษย์ไปเลี้ยงให้มันตาย นี่ความโง่อันสุดท้าย
นี้เป็นเรื่องความโง่มาจนถึงนี่ นี่ก็เริ่มเป็นทุกข์ ร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่ จึงมานึกถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ
หันมาหาธรรมะ ราชสีห์ คชสีห์อะไร มีมณฑปบนหลังน่ะธรรมะมา นี่หมายความว่ามันเริ่มนึกได้ถึงธรรมะ
และตรงนี้ก็ชุบโครงกระดูกขึ้นมาโครงหนึ่งให้เป็นพระกุมาร ที่จะเป็นตัวพระเอกในเรื่อง แล้วก็ชุบนางสามนาง
ไว้ เก็บไว้ในปราสาทแห่งหนึ่ง เตรียมไว้ นี่กุมารนี้ก็มาศึกษา ไปเอาไอ้เขากระต่าย ฤๅษีนั้นเลี้ยงกระต่ายมีเขา ก็ไปขอเขากระต่ายทำคันศร ไปหาฤๅษีอีกองค์หนึ่ง ขอหนวดเต่าทำคันศร ฤๅษีนี่ มีกระต่ายที่มีเขา มีเต่าที่มีหนวด
มีกบที่มีนอ คือไม่รู้เรื่อง ความรู้เรื่องสุญญตา หรืออนัตตานั้น แกก็ให้มา กุมารเหล่านี้ เอาเขากระต่ายมาทำคันศร เอาหนวดเต่ามาทำสายศร เอานอกบมาทำลูกศร แล้วฤๅษีก็สอนให้วิธียิง วิธีใช้อย่างคล่องแคล่ว ยิงจากข้างหน้า ถูกข้างหลัง ยิงจากข้างซ้ายถูกข้างขวา อะไรที่มันในลักษณะที่มันตรงกันข้าม เอาไปยิงยอดแก้วปราสาทเมืองยักษ์ ประตูเปิดเอง เข้าไปครองเมืองยักษ์ อภิเษกสมรสกับนางที่เขาเตรียมไว้ คือความรู้ที่สมบูรณ์ที่สุด เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็ยังมีนางคนใช้อีกคนหนึ่งด้วย ชื่ออะไรก็ลืมแล้ว ก็กินไข่เหี้ย ไข่ตะกวด ไข่นิ่ม มีฤทธิ์เดชสูงสุด ก็มันมีความรู้เรื่องธรรมะ ๓ อย่างนี้ถึงที่สุด แล้วก็ออกไล่ฆ่ายักษ์แถบนั้น ที่เป็นผู้หญิงฆ่ายักษ์ผู้หญิง ที่เป็นผู้ชายฆ่ายักษ์ผู้ชายตายหมด มาจบด้วยรูปภาพพระพุทธเจ้าแสดงธรรม นี่ภาพที่เขานิยมเขียนผนังโบสถ์ยุคโน้น เรียกว่าภาพธรรมะ ไม่ใช่ภาพพุทธประวัติ หรือชาดก
ไอ้ธรรมะนั้นมันสรุปยอดที่ อนัตตา สุญญตา ไม่มีตัวเรา มีแต่กระแสปรุงแต่งของธรรมชาติ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา สรุปรวมในคำว่า ตถาตา ว่าอย่างนั้นเอง อย่างนั้นเอง คืออย่างที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
อย่างนั้นเอง จะมาเรียกว่าฉัน ว่าของฉัน ว่าท่าน ว่าอะไรนี้ก็ไม่ได้ จะเรียกว่าอย่างนี้โดยส่วนเดียวก็ไม่ได้ จะ
เรียกว่าอย่างนั้นโดยส่วนเดียวก็ไม่ได้ มันแล้วแต่ความเป็นไปของกฎของธรรมชาติ เราเรียกว่าเรื่อง
ปฏิจจสมุปบาท หรือเรื่องสูงสุดในพุทธศาสนา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นน็น
เห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะ
ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า นั้นการเห็นพระพุทธเจ้าคือการเห็น เห็นอย่างแจ่มแจ้งในใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาท
ก็เลยไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่ยึดถือเป็นตัว เป็นตน ยึดถือเป็นเพียงธรรมชาติ ที่เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย มันเป็น
อย่างนั้นเอง มันจึงไม่มีความทุกข์ จะได้ก็ไม่ดีใจ จะเสียก็ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์ร้อน เพราะมันเป็นอย่างนั้นเอง
ตามกฎของธรรมชาติ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ยึดมั่น ถือมั่น แล้วก็ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นี่เป็นธรรมะ ที่
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าองค์ไหน ก็ต้องตรัสรู้เรื่องนี้ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องสุญญตา
เรื่องไม่มีสัตว์ บุคคล เป็นเพียงตถาตาตามกฎของธรรมชาติ ใครเข้าถึงด้วยใจ เห็นแจ้งด้วยใจ เข้าถึงด้วยใจ
ก็เรียกว่า ตถาคต พระตถาคต ผู้ถึงซึ่งตถา หรือ ตถาตา เรียกว่าตถาคต ถึงความจริง แล้วก็ไม่ไปหลง ยินดียินร้าย
อยู่เหนือความสุข เหนือความทุกข์ ก็เรียกว่า อมฤตธรรม อมตธรรม สูงสุดที่นั่น ผลของมันก็คือนิพพาน
นี่เรียกว่าเรื่องของธรรมะเป็นอย่างนี้
ยังให้เข้าใจกันว่าเรื่องธรรมะนั้นเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เป็นแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แบบปรัชญา ได้เรียนพุทธศาสนาอย่างปรัชญา ก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากรู้ไปสอนเขาได้แล้วก็ดับทุกข์ไม่ได้ ก็ต้องเรียนกันแบบวิทยาศาสตร์ เห็นอยู่ว่าความทุกข์มันเกิดอย่างนี้ แล้วก็ทำลายต้นเหตุเสีย ไม่ต้องใช้สมมุติฐาน แล้วคำนวณเหตุผลแวดล้อม อย่างวิธีปรัชญา ฝรั่งไม่ค่อยรู้พุทธศาสนา เพราะว่าเขาเรียนกันอย่างปรัชญา หรือเอาไปทำให้เป็นปรัชญาเสียก่อน มันก็ไม่ดับทุกข์ วิทยาศาสตร์เข้าใจว่าคุณก็คงจะเข้าใจแล้วว่ามันเป็นอย่างไร มันต้องมีตัวจริง มีของจริง รู้สึกอยู่จริง เห็นอยู่จริง มันจึงมีคำว่า ดู และ เห็นเท่านั้นล่ะ ไม่มีคำว่าคำนวณ ในทางธรรมะในทางพุทธศาสนา อย่าไปใช้คำว่าคำนวณ reasoning อย่า อย่าไปมี ต้องดู และ เห็น ก็คือว่าไอ้ธรรมะ หรือสัจจะของ ธรรมะนี้มันตั้งอยู่บนความที่ได้ผ่านมาแล้ว รู้จักอยู่จริง ไม่ใช่ว่าไปสมมุติ เอาอะไรมาพูดกัน และเขาจะเรียกว่า dkpalism ???? (นาที 20: 37) คือเอามาจากสิ่งที่ได้ผ่านมาจริง ความชำนาญที่ได้ผ่านมาจริง เรื่องคำนวณด้วยเหตุผลนั้นไม่ ไม่ต้อง ไม่เอามา และมันเป็นเรื่องผ่านมาจริงในด้านจิต ด้านวิญญาณ เขาเรียกว่า specialistual experience experience นี่มีทางวัตถุก็ได้ แต่นี่หมายถึงทางจิต ทางวิญญาณ นี่เป็นตัววัตถุพื้นฐานของพระธรรม ของพระพุทธศาสนา นั่นก็เป็นแบบวิทยาศาสตร์ คือว่ามันต้องพิสูจน์และทดลองได้ ที่เรียกว่ามี experiment พิสูจน์ได้ ทดลองได้ ทดลองยังไงมันก็จริงอยู่อย่างนั้น ไอ้ลักษณะอย่างนี้ มันไม่มีในปรัชญา มันมีในฝ่ายวิทยาศาสตร์ เราต้องศึกษาพุทธศาสนากันโดยวิธีอย่างนี้ จึงว่าเป็นวิทยาศาสตร์ ไปตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ปรัชญาซึ่งมีสมมุติฐาน ใช้คำนวณด้วยเหตุผล ไม่มีการพิสูจน์และทดลอง ถือเป็นเรื่องปรัชญาไป ไปสรุปทฤษฎีเอาด้วยการคำนึง คำนวณ วิทยาศาสตร์ สรุปทฤษฎีหลังจากเหตุผลที่ชัดเจนแจ่มแจ้งจากการพิสูจน์และทดลอง มันจึงต่างกันลิบ ไปอ่านเรื่องกาลามสูตรดู เรื่องอะไรดู แม้แต่พระพุทธคุณนี้ดู จะพบว่าธรรมะ พุทธศาสนาต้องเป็นไปตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ แล้วความทุกข์ในตัวเราเป็นตัววัตถุสำหรับศึกษา พิสูจน์ ทดลองแล้วก็ดับได้
ถ้าจะเข้าใจไว้เป็นทุนสำหรับศึกษาให้ละเอียดกว้างขวาง ก็จำไว้สัก ๔ คำว่า ธรรมะคือตัว
ธรรมชาตินั่นเอง นี้อย่างหนึ่ง ธรรมะคือตัวกฎของธรรมชาตินั้น ธรรมะคือตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้น ธรรมะคือผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว หรือทำหน้าที่ไม่ถูกก็ได้ มันก็มีผลร้าย ถ้าทำถูกก็มีผลดี นั้นจึงว่าตัวธรรมชาติทั้งหลายข้างนอก ในตัวเรานี้ก็ได้ ตัวธรรมชาตินี้ก็เรียกว่าธรรมะ รูปธรรม นามธรรม สังขตธรรม อสังขตธรรม กุศล อกุศล ก็เรียกว่าธรรมะคือตัวธรรมชาติ นี้ธรรมะคือตัวกฎของธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้นเอง ธรรมชาติตั้งอยู่ได้หรือเปลี่ยนไปก็เพราะอำนาจกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวมัน ไอ้กฎนั้นก็เรียกว่าธรรม คำเดียวกัน นี้หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติตัวนี้ก็คือตัวธรรม นี่เป็นตัวธรรมที่สำคัญคือตัวหน้าที่ นี้คนไม่รู้จักหน้าที่ ไม่ประพฤติธรรมะ โลกนี้กำลังจะวินาศก็เพราะเหตุนี้ มันทำผิดกฎของธรรมชาติ มันจึงสร้างกิเลส สร้างการเบียดเบียน สร้างอะไรทุกอย่าง นี่เรียกว่ามันได้รับผลร้าย เพราะมันไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นั้นธรรมะคือตัวธรรมชาติ ธรรมะคือตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่ได้รับจากการทำหน้าที่ ถ้าคุณเข้าใจ ๔ คำนี้ คุณจะสะดวกมากที่จะศึกษาธรรมะที่ถูกต้องแท้จริงยิ่งๆ ขึ้นไปข้างหน้า พอเห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นธรรมะในความหมายไหน ธรรมะนี้มันแปลก มันเป็นคำที่ประหลาดที่เขาใช้กันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนานไกล จนแปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ ภาษาไทยเราก็ใช้คำว่าธรรมะไปตามเดิม ตามภาษาอินเดีย ฝรั่งมันอยากจะแปลคำว่าธรรมะออกไปเป็นภาษาฝรั่ง เช่นภาษาอังกฤษเป็นต้น มันทำไม่ได้ มันลองแปลดู นับได้ตั้ง ๓๒ คำเห็นจะได้ แล้วมันก็ไม่ครบความหมายคำว่าธรรมะ เว้นแต่เราจะมาบัญญัติความหมายของคำว่าธรรมะ คือ ตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ผลจากหน้าที่นี้ ใครตั้งคำอะไรขึ้นมาสักคำ ให้กินความหมาย ๔ ประเภทนี้มันไม่มี ต้องใช้คำว่าธรรมะไปตามเดิม เดี๋ยวนี้คำว่าธรรมะนี้เข้าไปอยู่ในดิคชันนารีภาษาอังกฤษที่ชั้นดี ตั้งแต่เป็นนักศึกษามีคำว่าธรรมะอยู่คำหนึ่ง ซึ่งคำนี้มันแปลไม่ได้ คำว่าธารามิก คือธรรมิกะ ธารามิก แปลว่าประกอบอยู่ด้วยธรรมะ อย่างน้อย ๒ คำนี้หนังสือดิคชันนารี หนังสือไซโคลพีเดีย ที่มันดีสุดมันจะมีคำเหล่านี้
นี่มนุษย์จะต้องรู้ธรรมะ ต้องปฏิบัติธรรมะ แล้วก็จะหมดปัญหาของความเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้กฎของธรรมชาติ ปฏิบัติผิดกฎของธรรมชาติ คือมันสวนทางกันเสีย มันจึงเกิดกิเลสในหมู่มนุษย์มากเกินไป เดี๋ยวนี้การศึกษาก็ไม่สอนธรรมะ การศึกษาสมัยโบราณสอนธรรมะยิ่งกว่าสอนวิชา ยกตัวอย่างแคมบริดจ์ หรืออ๊อกซฟอร์ด เมื่อแรกตั้ง มันเป็นโรงเรียนราษฎร์ ที่พระเขาตั้ง สอนเรื่องพระศาสนาทั้งนั้นล่ะ ทั้งอ๊อกซฟอร์ด แคมบริดจ์ แล้วต่อมามันจึงเป็นโรงเรียนที่เป็นตัวเอง เป็นจนกระทั่งมาคล้อยตามรัฐบาลมันก็เปลี่ยน ก่อนนี้มีเรื่องไหว้พระ สวดมนต์ เรื่องทางศาสนาเต็มอยู่ในการเป็นอยู่ของนักศึกษา แล้วเขาเรียนจบ แคมบริดจ์ อ๊อกซฟอร์ด เขานิยมความเป็นสุภาพบุรุษ เมื่ออาตมาแรกบวชตั้ง ๕๐ – ๖๐ ปี มาแล้ว ฟังปาฐกถาของ น.ม.ส. กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ แรกกลับมาจากแคมบริดจ์ใหม่ๆมาแสดงปาฐกถา ที่สามัคคยาจารย์ บริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบ เล่าถึงเรื่องว่าในแคมบริดจ์ มันทำอย่างไร จะกินข้าวก็ต้องสวดมนต์ภาษาละติน จะนอนก็ต้องสวดมนต์ภาษาลาติน มันยังมีเรื่องศาสนามาก เดี๋ยวนี้เขาคล้อยตามรัฐบาล คล้อยตามรัฐบาลก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจเรื่องการเมืองไป อันนี้ก็ยกเลิกไป เพราะเขาต้องการเพียงความเป็นสุภาพบุรุษ จบแคมบริดจ์ จบอ๊อกซฟอร์ดนั้น คือความเป็นสุภาพบุรุษ เรื่องปริญญานี้ไม่ค่อย ไม่ได้สนใจ เป็นเรื่องอาชีพเป็นแขนงๆ ไป แต่เขาต้องการรวมกันหมดคือความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นบุรุษที่ไม่มีอันตราย เป็นบุรุษที่ไว้ใจได้ เป็นบุรุษที่ดีที่สุดของมนุษย์ ของความเป็นมนุษย์ ฟังแล้วก็น่าหัว ใครๆก็นึกขันว่านี่มันไปเรียนทั้งทีเพื่อเป็น Gentleman กันทั้งนั้น จบเคมบริดจ์ อ๊อกซฟอร์ดนั้นคือเป็น gentleman นั่นประเทศอังกฤษมันเป็นตัวขึ้นมาอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว ไอ้ความรู้สึกความนิยมอย่างนี้ ก็เรียนเพื่อสนับสนุนการเมือง สนับสนุนการเศรษฐกิจ ได้เป็นทาสของประชาธิปไตย ไม่เป็นตัวเองได้อีกต่อไป ก็คือไม่มีศาสนาแค่นั้น นี่ฝรั่งเขาแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา แล้วก็แยกกัน
เด็ดขาดเลยว่ามันไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่มีประโยชน์กับเศรษฐกิจ นั้นเอาออกไป แล้วก็ปฏิบัติ สอนกันไม่ไหว เพราะว่าในประเทศหนึ่งมีคนถือศาสนาหลายศาสนานัก เพื่อความเป็นธรรมก็ตัดออกหมด ไม่มีศาสนา
แล้วธรรมะที่เป็นของกลาง ของธรรมชาติ ไม่ต้องเนื่องกับศาสนาก็พลอยถูกลากติดออกไปด้วย จึงไม่มีสอน
ธรรมะเลย คงให้เรียนกันแต่หนังสือ วิชาหนังสือเฉลียวฉลาด แล้วก็เรียนวิชาชีพแขนงใดแขนงหนึ่ง ถึงขนาด
เป็นเทคโนโลยีของวิชานั้นๆไปเลย ก็เลยให้เรียนแต่หนังสือกับอาชีพ ธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง
ไม่มีเรียน ไม่มีสอน นี่อาตมาเรียกว่าการศึกษาระบบหมาหางด้วน พูดทางวิทยุกระจายเสียงวันอาทิตย์ อาทิตย์ที่
๓ ไม่รู้ได้ยินมั่งรึเปล่า หนังสือพิมพ์บางฉบับเอาไปลง สยามรัฐ เดลิมิเรอร์ บ้านเมือง ว่าการศึกษาในโลก กำลัง
เป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน จะเรียนหนังสือกับเรียนวิชาชีพ แต่วิชาธรรมะให้เป็นมนุษย์กันอย่างไร ไม่เรียน ไม่สอน นักเรียนนักศึกษาจึงเตลิดเปิดเปิงออกไปจากความเป็นสุภาพบุรุษ หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่ได้ อย่างที่มันมีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่ให้คนหนึ่งพูดถึงเมื่อตะกี้ คุณไปเปิดดูหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเลย มันจะเห็นข่าว เห็นเรื่องราวของคนยุคนี้ที่ปราศจากธรรมะโดยสิ้นเชิง นักศึกษาหญิงชาย จูบกอดกันต่อหน้าพระภิกษุในรถไฟ เดี๋ยวนี้มีธรรมดาทั่วไป ต่อหน้าภิกษุในรถไฟ แล้วทำอะไร อะไร ที่มันมากไปกว่านั้น อย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าว เมื่อวานนี้ก็ว่าจับนักศึกษาหญิงชายไปกักไว้ที่ตำรวจ เพราะมันไปเล่นสกปรกกันในเรือท่องเที่ยว ในแม่น้ำ
นักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย ก่อนนี้มันมีไม่ได้หรอก ถ้ามาในวัดมาเดินประคองกันอยู่อย่างเดี๋ยวนี้ คนโบราณ
เขาแช่งให้มันฉิบหาย ไอ้ชาติฉิบหายจะมันมาประคองกันอยู่ในวัด หญิงชาย เดี๋ยวนี้มันมีเสียแล้ว เพราะการศึกษา
มันเป็นหมาหางด้วน
หนังสือพิมพ์สยามรัฐเขาเขียนว่า ผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์ ดร.ก่อ รัฐมนตรีศึกษา ว่าทำไม
นักศึกษาตีกัน นักศึกษาระดับอาชีวศึกษามันตีกัน มันเคยตีกันมาบ่อย รัฐมนตรีท่านก็ นี่ว่าตามตัวหนังสือใน
หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นนะ ท่านก็พูดตรงๆว่า เดี๋ยวนี้การศึกษามันเป็นระบบหมาหางด้วน ท่านว่าอย่างนั้น
ท่านคงจะได้เคยได้ยินหรือใครไปบอก ว่าเราเคยพูดทางวิทยุเดือนก่อนหน้านั้น ท่านยังยอมรับว่ามันเป็นความ
รับผิดชอบของผมเอง ท่านใช้คำว่าอย่างนั้น ที่การศึกษามันไม่พอ เด็กๆไม่มีค่านิยมที่ถูกต้อง เห็นว่าการตีกัน
เป็นของดี ขอฝากไว้กับท่านทั้งหลายที่เป็นครูบาอาจารย์ หรือจะเป็นบิดา มารดาอะไรว่าไป การศึกษาทั้งโลก
กำลังเป็นหมาหางด้วน คือไม่มีธรรมะสำหรับเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เรียนกันแต่หนังสือให้ฉลาด กับเรียนวิชาชีพ
ให้รวย ให้สวย ส่วนจะเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องไม่เรียน ส่วนนั้นส่วนสำคัญไม่เรียน เราจึงเรียกว่าการศึกษาระบบหมาหางด้วน บางทีขออภัยว่าระบบสุนัขหางขาด คำยังหยาบคายไปหน่อยว่าสุนัขหางหาย พูดให้สุภาพหน่อยสุนัขหางหาย ไม่พูดว่าหมาหางด้วน แต่ที่แท้ความหมายเดียวกัน ประเทศใหญ่ๆ มันถูกกับวัตถุนิยมงับหางขาดเป็นหมาหางด้วนก่อน แล้วก็ให้ประเทศเล็กๆเอาอย่าง เป็นนิทานสุภาษิตสอนธรรมะในหนังสืออีสป ถ้าเคย
อ่านอีสปจะพบเรื่องนี้ สุนัขตัวหนึ่งไปติดกับของชาวบ้านหางขาด แล้วมันก็มาหลอกสุนัขทั้งหลายว่าหางด้วน
ดีกว่า ไอ้หมาตัวที่เชื่อ มันก็ไปตัดหาง ไอ้หมาแก่ตัวหนึ่งบอกว่า ไอ้นี่โง่นี่หลอกกู กูไม่เอา ทีนี้ประเทศมหาอำนาจมันไปหางขาดติดกับของวัตถุนิยม เห็นแต่ประโยชน์ทางวัตถุ ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ไม่เอาศาสนากันแล้วโว้ย นี่เรียกว่ามันติดกับแล้วหางขาด แล้วประเทศทั้งหลายเล็กๆก็เดินตามอย่าง รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย ไปนิยมการศึกษาระบบหมาหางด้วน ที่เขาเรียกกันเพราะๆว่า Regularization กันธรรมะ กันศาสนาออกไปหมดจากการศึกษา ให้เป็นคนละเรื่อง ในโลกนี้มันจึงมีผลอย่างนี้ ไม่มีธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มันก็เห็นแก่ตัว มันก็มีโลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็ทำอะไรอย่าง ค่านิยมเลว ค่านิยมผิด ค่านิยมเห็นแก่กิเลส แก่กิเลสตัณหาของตัว ธรรมะกำลังหายไปจากโลก แล้วโลกนี้ก็จะวินาศในที่สุด ถ้ามันจะโชคดี ด้วยเหตุอะไรก็ตามให้ธรรมะกลับมานี้ มันก็จะช่วยโลกไว้ได้จากความวินาศ ไม่งั้นก็จะเห็นแก่ตัวแรงขึ้น แรงขึ้น จนวันหนึ่งถึงขีดสูงสุด มันหน้ามืด มันโทสะจัดอะไรขึ้นมา มันก็ทำสิ่งที่ทำลายโลก แต่เดี๋ยวนี้มันก็ได้ทำลายโลกในด้านจิตใจหมดไปแล้ว จิตใจของมนุษย์ที่มีคุณธรรมสูงมันหมดไปแล้ว เรียกว่ามนุษย์วินาศแล้ว ที่มนุษย์ชนิดนี้ มันจะทำลายกันทางกาย ทางภายนอก ด้วยลูกระเบิดหรืออะไรก็ตามแต่อีกทีหนึ่ง แล้วมนุษย์ก็วินาศทางร่างกายอีกครั้งหนึ่ง แล้วโลกจะเป็นอย่างไร ในพระคัมภีร์เขาเขียนไว้ว่า มนุษย์เดนตายไม่กี่คน จะมาสร้างสรรค์วัฒนธรรมกันใหม่ เป็นโลกใหม่ กว่าจะเจริญไปตามลำดับเป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตร เขาเขียนไว้อย่างนั้น มนุษย์นี้จะเลวร้ายด้วยกิเลส ตัณหา บาป ชั่วช้านี้ ฆ่ากันเหมือนกับฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ การทำอย่างนั้นเขาเรียกว่า มิคสัญญี ยุคมิคสัญญีมาถึงเข้าวันหนึ่ง แล้วมันก็ฆ่ากันอย่างฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ เหลืออยู่ไม่กี่คน ที่มันเผอิญมันรอดอยู่ได้เพราะมันไปอยู่ในป่าในเขาซ่อนเร้นอะไรอยู่ เขาฆ่ากันตั้ง ๙๙ %ไอ้เดนตาย ๑ % มันออกมาสังเวช ออกมาปรึกษากันใหม่ คิดตั้งต้นกันใหม่ มีธรรมะ ค่อยๆกลับมา มีหวังที่สูงสุดเป็นศาสนาพระศรีอาริยเมตไตร นี่มันเป็นการทำนายล่วงหน้าอนาคตของประวัติศาสตร์ธรรมะ ประวัติศาสตร์อดีตของธรรมะคือเป็นอย่างนี้ แรกมีขึ้นมาดีขึ้น ดีขึ้น มีพระพุทธเจ้าสูงสุด แล้วเกิดวัตถุนิยมขึ้นมาในโลก คนบูชาวัตถุนิยมแทนศาสนา ไปเป็นทาสของเนื้อหนัง แล้วก็ เห็นแก่กิเลส แล้วก็ฆ่ากัน อย่างมิคสัญญี จนกว่าจะ เหลือสัก ๑ % แล้วก็ตั้งต้นกันใหม่ นี่แค่อยากจะบอกว่า ถ้าเอาธรรมะเป็นหลักแล้วประวัติศาสตร์รวบยอดจะเป็นอย่างนี้ ขอไปคิดดูเถอะ ว่าเดี๋ยวนี้มันก็ใกล้ความวินาศเข้าไปทุกที ในจิตใจมันวินาศแล้ว เหลือแต่คนที่ไม่มีธรรมะ นี่มันจะฆ่ากันโดยทางวัตถุ ทางร่างกายครั้งหนึ่ง มันก็ไม่มีใครช่วยได้นอกจากธรรมะกลับมา งั้นขอฝากไว้ว่าช่วยกันทำทุกอย่างทุกประการให้ธรรมะกลับมา มนุษย์ก็จะค่อยๆมีความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ถ้าไม่ต้องถึงมิคสัญญีก็ดี แต่ถ้ามันช่วยไม่ได้ ถึงมิคสัญญี ก็ไปตามเรื่องของมัน ก็เป็นอันว่า ให้มันไปตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติ เนื้อหนังร่างกายของเรานี้เป็นตัวธรรมชาติ และกฎของธรรมชาติมันก็ครอบงำอยู่ว่า มันต้องปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้ ต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจจาระ ต้องอาบน้ำ มันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ นี่บังคับอยู่ว่าต้องคิดอย่างนั้น อย่างนี้ให้ถูกต้องด้วย นี่เราก็มีหน้าที่ ที่จะปฏิบัติถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางจิต ทางความคิดนึกถูกต้อง นี่เรียกว่าทำหน้าที่ ธรรมะถูกต้องแล้วเราจะได้รับความเป็นสุข เป็นผาสุข คือผลจากหน้าที่ ที่เรียกว่ามนุษย์คนหนึ่งๆ ก็อยู่ในธรรมะ ๔ความหมายนี้ ทั้งโลกก็อยู่ในธรรมะ ๔ ความหมายนี้ ต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่เป็นไปเพื่อสันติ ถ้าผิดจากนั้นก็เป็นเพื่อวิกฤตการณ์ ก็เป็นทุกข์ ก็ทรมาน เลือดขึ้นหน้าไม่เห็นแก่ใครมันก็ฆ่ากันเป็นล้างโลกได้ นั้นถ้าจะทำบุญ ถ้าท่านทั้งหลายคิดจะทำบุญ ที่ว่าเป็นบุญแท้จริงสูงสุดแล้วคือการไปช่วยทำให้นิยมธรรมะกลับมา ให้คนนิยมธรรมะกลับมามีธรรมะในโลก แล้วคนก็จะรักกัน ตามความมุ่งหมายของศาสนา ของธรรมะ ทุกศาสนาสอนให้รักผู้อื่น ทำลายความเห็นแก่ตัว กิเลสเกิดไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันหาความรักผู้อื่นไม่ได้ในโลกนี้ รักผัว รักเมีย รักชู้ รักคู่รักนี้ ไม่ใช่รักผู้อื่น มันรักกิเลสของตัวคือรักตัวนั่นเอง ไอ้รักผู้อื่น ต้องรักผู้อื่นจริงๆ เดี๋ยวนี้หาทำยาหยอดตาก็จะไม่ได้ ความรักผู้อื่น มันมีแต่รักตัวกูและของกู นั้นถ้าความรักผู้อื่นกลับมา นั้นแหละคือธรรมะกลับมา ศาสนากลับมา พุทธศาสนาเคยถือหลักว่า ทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เห็นเพื่อนจมอยู่ในความทุกข์ ก็เสียสละเพื่อจะยกขึ้นมา พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ก็สละชีวิตเพื่อผู้อื่นรอด รักผู้อื่น
ศาสนาคริสเตียนก็สอนให้รักผู้อื่นตามความประสงค์ของพระเจ้า แม้ศาสนาอิสลาม ไปดูคัมภีร์ของเขา ก็มุ่งจะให้ช่วย รักซึ่งกันและกันมาก ถ้าเขาถือดาบมา ก็ถือดาบมาเพื่อให้คนมันรักกัน นี้พอรักกันแล้วมันก็หมด
ปัญหา มันฆ่าใครไม่ได้นี่ มันรักกันแล้วน่ะ เมื่อรักกันแล้ว ขโมยก็ไม่ได้ จะขโมยของใครได้ เพราะมันรักกัน
ประพฤติกาเมก็ไม่ได้เพราะมันรักกัน โกหกกันก็ไม่ได้เพราะมันรักกัน จะไปกินน้ำเมาให้เพื่อนรำคาญก็ไม่ได้
เพราะมันรักเพื่อน พอรักกันอย่างเดียว ศีลธรรมก็สมบูรณ์หมด ก็อยู่กันอย่างสงบสุข นั้นความรักผู้อื่น
เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา แม้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีที่งามก็ล้วนแต่สอนเรื่องรักผู้อื่น
ขอให้ช่วยกันไปพิจารณาดูและให้ช่วยให้ธรรมะกลับมา ให้การรักผู้อื่นกลับมาแล้วก็เป็นอันว่าหมดปัญหา
ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์เลวร้าย ระบาดยิ่งขึ้นทุกที
และเวลาที่กำหนดไว้ มันก็หมดแล้ว ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จในการไป
ในการศึกษา ทัศนศึกษา ให้ได้ความรู้ที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้รอดได้ด้วยกันทุกๆคน ถ้ามีเวลาก็ดูภาพเหล่านี้ได้
แต่เดี๋ยวนี้พระเขาไปฉันเพลที่กองเพล ไม่อาจจะมาช่วยอธิบายได้ แต่ว่าทุกภาพนี่สอนธรรมะ ถ้าดูออกถึงขนาด
ดูออกจะรู้สึกว่ามันด่าเรา ถ้าอย่างนั้นยังดูไม่ออก ถ้าคุณดูออกจนถึงว่าทุกภาพมันด่าว่า ด่าเรา ด่าผู้ดูไอ้ชาติโง่นี่ล่ะใช้ได้ คุณดู คุณดู ดูจนภาพมันด่าหาว่าไอ้ชาติโง่นี่ล่ะใช้ได้
(ผู้เข้าฟังพูด) ....
ตอบ ไปตลาดใช่ไหม ให้ไปรับประทาน
(ผู้เข้าฟังพูด) ....
ตอบ ไปพุมเรียง พุมเรียง ไปขอให้เขาพาแวะไปดูวัดสมุหนิมิตร วัดนั้นสมบูรณ์แบบเหมือนกับวัดกรุงเทพ
ที่ใหญ่โตทั้งหลาย ว่าเขาสร้างยังไง เขาสร้าง ๔ เดือนเสร็จ โดยสมุหนายกในต้นตระกูลบุนนาค รัชกาลที่ ๓
มาสร้างวัดนั้น ๔ เดือนเสร็จ ที่บอกให้ไปดู นี่ให้ไปดูว่า ไอ้ประชาธิปไตยงุ่มง่ามนี่ สร้างล้านปีก็ไม่เสร็จ
วัดนั้นมันสร้าง ๔ เดือนเสร็จ ด้วยวิธีก็ต้องเรียกว่าเผด็จการนั่นแหละ หรือจะเรียกว่าราชาธิปไตยอะไรก็ตาม
มันสร้างด้วยคนเป็นพัน เป็นหมื่น แล้วไม่มี ไม่ได้ฆ่าใคร ไม่ได้ฆ่าให้ใครตาย จะถูกเฆี่ยนหลังบ้างก็ไม่กี่คน
มันเหลวไหลจริงๆ นี่ผลดีของเผด็จการโดยธรรมะมันยังมีอยู่ นั้นอย่าไปหลงเกลียดเผด็จการอย่างหลับหูหลับตา ถ้ามันมีธรรมะ มันจะดีกว่าประชาธิปไตยมากมาย.