แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พูดภาษาบ้านเราไม่เหนื่อย ไม่ค่อยสบาย พูดสำเนียงกรุงเทพฯ แล้วเหนื่อย ไปสังเกตดูนะ จะรู้สึกได้
เท่าที่นึกได้อยากจะพูดเรื่อง เหตุไรเราจึงต้องศึกษาธรรมะ
การศึกษาธรรมะนั้นมันเป็นศึกษาเรื่องทางจิตใจเป็นส่วนใหญ่ เกือบจะพูดได้ว่าเรื่องจิตใจล้วนแหละ ถ้าเป็นเรื่องธรรมะ ทีนี้การศึกษาอาชีพทั่วไปน่ะเป็นเรื่องทางร่างกาย เมื่อทำได้ดีก็หมดปัญหาในเรื่องการเป็นอยู่ทางร่างกาย ทางชีวิต แต่ไม่หมดปัญหาในทางจิตใจ พูดรวบรัดจะว่า แม้จะมีเงินมาก มีอำนาจมาก มีข้าวของมาก มันก็ไม่คุ้มได้ว่าจะไม่มีความทุกข์ทางจิตใจ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวกลัว เดี๋ยววิตกกังวล ในที่สุดมันก็มีโรคทางจิตใจ หรือโรคทางเส้นประสาท ยังมีความทนทุกข์อยู่ในบ้านเรือนในการงาน
แม้ว่าจะทำงานได้ดีประสบความสำเร็จในการงาน มันก็ยังมีความทุกข์ เพราะส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการงานมันยังมี เรื่องเจ็บเรื่องไข้เรื่องเป็นเรื่องตายเรื่องได้เรื่องเสียอะไรนี้มันมี ทำให้จิตใจหม่นหมอง จนกระทั่งเป็นโรคเส้นประสาทหรือโรคจิต เพราะฉะนั้นนะเขาจึงมีการศึกษาหรือการปฏิบัติก็ตามอีกระบบหนึ่ง คือเพื่อจิตใจ มีกันมาแล้วตั้ง คงไม่น้อยกว่าห้าพันปี แปดพันปีก็ได้ ไอ้เรื่องทางศาสนานี้จะพอจะยืนยันได้ว่า สักแปดพันปี มันมีเรื่องทางศาสนาขึ้นมาในโลกสำหรับมนุษย์ เป็นคู่กันกับเรื่องทำมาหากินนะ ฉะนั้นอย่าเข้าใจว่าเรามีปัญญาทำมาหากินแล้วมันจะหมดปัญหา มันยังมีเรื่องอีกส่วนหนึ่งคือเรื่องทางจิตใจก็จะต้องทำให้นั่งร้องไห้บ่อย ๆ หรือว่านอนไม่หลับบ่อย ๆ จนกระทั่งเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางจิตทางใจ
นี่เขาต้องมีศาสนา ต้องมีพระเจ้า สำหรับยึดถือว่าจะต้องปฏิบัติให้มันตรงตามความประสงค์ของพระเจ้า ในพุทธศาสนานี้ไม่มีพระเจ้าชนิดนั้น แต่มีพระเจ้าชนิดอื่น คือมีพระธรรม ไม่ต้องเป็นคน ไม่ต้องเป็นตัวตน เป็น เป็นคนที่รู้สึกคิดนึกได้ แต่ว่ากลายเป็นกฎ เขาเรียกว่ากฎ นั่นคือกฎของธรรมชาติ เฉียบขาดรุนแรงยิ่งกว่าพระเจ้าเสียอีก ถ้าสมมติว่าพระเจ้าเป็นบุคคลมีความรู้สึกคิดนึก ยังเผลอไปได้ ลืมไปได้ ลำเอียงบ้างก็ได้ แต่ถ้าพระเจ้าชนิดกฎธรรมชาตินี่ไม่มีเผลอ จากกฎไม่มีเผลอและไม่ลำเอียง มันก็แค่ไม่มีพระเจ้าอย่างคน ก็มีพระเจ้าอย่างธรรม อย่างพระธรรม
ที่จริงก็เรื่องเดียวกันแหละ เมื่อคนไม่อาจจะเข้าใจเรื่องพระธรรมได้ เขาก็ต้องพูดให้ง่ายเข้าไว้ เป็นพระเจ้าอย่างบุคคล เหมือนกับสอนกันในศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสเตียน อิสลาม นั่นก็สุดแท้ เขาว่าให้มีพระเจ้าอย่างคน ให้คนประพฤติตามเหมือนกับอ้อนวอนนั่นแหละ แล้วก็จะประทานความสุขความเจริญ แต่ในฝ่ายพุทธศาสนา และศาสนาอื่น ๆ อีกบางศาสนา ไม่มีพระเจ้าในความหมายชนิดนั้น แต่มีพระเจ้าอย่างกฎของธรรมชาติ ถ้าทำผิดกฎแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ หมายความว่าถ้าเราคิดนึกผิดทาง ผิดวิถีทางของไอ้สิ่งที่ควรจะคิดนึกแล้วจะต้องเป็นทุกข์ทันที
ฉะนั้นเราต้องคิดนึกในลักษณะที่ไม่เป็นทุกข์ คือไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่หมายมั่นเอาตามความต้องการของตัว มันต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาตินะ ไม่ใช่ว่าเราจะเอาตามความต้องการของเราแล้วมันจะได้ มันต้องทำสิ่งนั้นให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นั่นแหละเขาเรียกว่าตรงตามธรรม ตามพระธรรม แล้วก็จะได้สิ่งที่ต้องการ แล้วก็จะไม่มีความทุกข์ในทางจิตใจ
ถึงเรื่องทางโลก ๆ นี้ก็เหมือนกัน เรื่องทำมาหากินด้วยวัตถุสิ่งของนี่ ก็ต้องทำให้ถูกตามกฎเกณฑ์ของมัน ไอ้ที่เราเล่าเรียนวิชาชีพนั่นเพื่อจะรู้กฎเกณฑ์ของการทำเพื่อประกอบอาชีพนั่นแหละ แล้วก็ทำถูกต้องตามกฎตามเกณฑ์ ตามความเป็นจริงของของกฎธรรมชาตินี่ แล้วมันก็ได้ประสบความสำเร็จ แต่เรื่องทางจิตใจนั้นยังยากกว่านั้น ยังลึกกว่านั้น มีกฎธรรมชาติตื้นลึกมากกว่านั้น ยังต้องตรึกศึกษากันเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นพยายามที่จะศึกษาเรื่องของธรรมะหรือของศาสนานี่ คู่ คู่กันไปกับเรียนวิชาชีพ
ถ้ามีวิชาธรรมะด้วยจะราบรื่นกว่านี้ เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องยกพวกตีกัน เรื่องไอ้ยุ่งไม่เข้าเรื่องต่าง ๆ นี้มันจะไม่มี มันก็จะสะดวกสบายเรียบร้อยกว่านี้ ฉะนั้นถ้าไม่รู้จักเรื่องธรรมะเสียเลย มันก็เป็นคนมุทะลุดุดันต่อเพื่อนฝูง แล้วต่อตัวเองล้วน ๆ มันก็ทำไม่ถูก มันทำจิตให้สงบไม่ได้ มันวุ่นวายจนเป็นโรคเส้นประสาท หรือวุ่นวายจนเสียการเสียงาน การเล่าเรียนก็เสียไป การงานก็เสียไป เพราะตั้งจิตไว้ไม่ถูกต้อง ตามกฎแห่งธรรมชาติในฝ่ายจิตใจ หรือที่เรียกกันว่าพระธรรมนี่
อยากจะพูดว่า อย่า อย่าไปทดลองเลย อย่าไปทดลอง ดื้อกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับพระธรรมเลย มันเสียเวลาเปล่า ๆ รีบศึกษาให้รู้เสีย แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง แล้วปัญหาก็จะไม่มี ได้พูดแล้วว่าไอ้พระธรรมนี้มันเป็นกฎธรรมชาติ ศักดิ์สิทธิ์เฉียบขาด ยุติธรรมที่สุด ยิ่งกว่าพระเจ้าที่เป็นบุคคลที่อ้อนวอนกันได้ ผีสางเทวดาก็ติดสินบนก็ได้นะ ไอ้นั้นมันไม่จริงหรอก มันไม่เฉียบขาดเหมือนกับพระธรรม ฉะนั้นรีบรู้จักพระธรรมเสีย ว่าต้องทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องจิตใจนะ อย่าคิดผิด อย่าตั้งใจผิด เป็นหมายมั่น ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนจนกลุ้ม พอลงมือคิดในแบบนี้ก็กลุ้มทันทีแหละ ไม่ต้องทันจะทำแหละ พอไปทำก็ยิ่งกลุ้มใหญ่แหละ นั่นแหละเขาเรียกว่าอวิชชา กิเลสกัน ที่ทำให้คนวินาศมาแล้ว มากมายนับไม่ไหว
ฉะนั้นจึงขอฝากไว้ทุก ๆ คนแหละว่า ให้คอยตั้งข้อสังเกตดู ว่าถ้ามันมีเรื่องเสียหาย เรื่องเสียประโยชน์ เรื่องเสียหาย เรื่องเป็นทุกข์ ระส่ำระสายกันที่ไหนน่ะ ขอให้สังเกตเถอะว่ามันก็มี การทำผิดในทางความคิดความนึกเสมอแหละ มันไม่ได้มามาจากอื่น ยิงกันตาย ฆ่ากันตาย เป็นที่สุดนี้มันมาจากความคิดที่ผิดนะ นี่เราก็จำไว้เป็นครูเถอะ เราก็ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อย ให้มันรู้เรื่องที่ถูกต้องไปเรื่อยแหละ
สรุปแล้วเขาเรียกว่าทำด้วยจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วไม่เป็นทุกข์ ทำอะไรก็ทำเพื่อ เพื่อพระธรรมดีกว่า ทำดีนั่นแหละ แม้แต่หาเลี้ยงชีวิตทำการทำงานนี้แหละ ลองคิดไปในทางว่าเพื่อพระธรรมนะ อย่าเพื่อตัวกูของกู ก็จะถูกต้องและจะมีผลดี แล้วมันคงได้แก่ตัวกูแหละ ผู้ทำนั่นแหละไม่ไปไหนเสีย แต่ถ้าคิดว่าทำเพื่อตัวกู แบบนั้นกิเลสมันมาก เลวเกินไป มันร้อนเหมือนกับพิษ ไม่ทันจะทำก็ร้อน ทำอยู่ก็ร้อน มันเป็นทุกข์ ฉะนั้นทำอะไรก็ทำเพื่อพระธรรม ทำเพื่อธรรมนะ
สมัยใหม่นี้เขาพูดว่าทำเพื่องานหรือทำเพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่นะ นี่กฎจริยธรรมสากลนะเขียนไว้แบบนี้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เช่นเราเป็นนักเรียนมีหน้าที่เรียนก็เรียนเพื่อหน้าที่นั่นแหละ แล้วมันจะไม่ ไม่มากไม่น้อย ไม่ไม่ออกไปข้าง ๆ คู ๆ คือจิตใจมันสงบ แล้วมันพอใจตั้งแต่แรกทำ เพราะว่าทำถึงมันได้ ได้นิดมันก็พอใจ แต่ถ้าทำเพื่อเงิน มันร้อนทันที ทำเพื่อกามารมณ์มันยิ่งร้อนกว่านั้น เป็นบ้าง่ายเป็นบ้าเร็ว มันไม่มีทำเรื่องเพื่อกามารมณ์ ไม่มีทำเพื่อเงิน ไม่มีทำเพื่ออะไรทำนองนั้น มันทำเพื่อหน้าที่อันบริสุทธิ์
มนุษย์มันต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ แล้วมันก็จะหมดปัญหา ไอ้สัตว์มันก็ต้องทำหน้าที่ของสัตว์ ดูเถอะ สัตว์เดรัจฉานนั่นแหละ มันจะต้องทำหน้าที่เท่าที่สัตว์เดรัจฉานจะต้องทำ แล้วมันก็หมดปัญหา ว่าที่จริงมันก็ทำพอดี ไม่ไม่ขาดไม่เกินเหมือนมนุษย์ ฉะนั้นเรื่องของสัตว์เดรัจฉานจึงไม่ค่อยมีปัญหา นี่จะดูไปถึงเรื่องของต้นไม้ พฤกษาชาติทั้งหลาย คือต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันก็มีหน้าที่ แล้วมันก็ทำหน้าที่ของมัน และพอเหมาะพอดี ดูต้นไม้ทั้งหลายทุก ๆ ต้นที่ยืนอยู่สล้างนี่แหละ อยู่ในสภาพถูกต้องและพอดี ไม่มีความเดือดร้อนอะไร เพราะหน้าที่มันต่ำไปตามธรรมชาติ งอกงามเจริญตามธรรมชาติ แต่เราเอามาเป็นเหตุผลที่พิจารณาว่า ทำหน้าที่ตามหน้าที่แล้วก็หมดปัญหา ถ้าทำพอเหมาะพอดีที่ควรจะทำมันก็จะหมดปัญหา
ทีนี้มนุษย์มันไม่ได้ทำเพื่อหน้าที่ มันทำเพื่อไอ้ความอยากเพื่อกิเลสตัณหา โดยเฉพาะสมัยนี้มันก็เพื่อกามารมณ์ เพราะคนในโลกนี้มันกำลังมีกามารมณ์ขึ้นสมอง คนที่อายุน้อย ๆ ไม่มากไม่อาจจะเทียบกันได้กับปู่ย่าตายายรุ่นก่อน ๆ เขาไม่ได้ทำอะไรด้วยความคิดประเภทกามารมณ์เหมือนกับคนสมัยนี้ เอาพวกฝรั่งนำหน้า คนไทยก็เดินตามก้น การกินการอยู่การนุ่งการห่มการอะไรทุกอย่างไปตามก้นฝรั่ง ซึ่งก้าวหน้าทางเนื้อหนังนั่นแหละ ทางความความสุขทางเนื้อทางหนัง คือรวมอยู่ในพวกกามารมณ์ทั้งหลายแหละ ศีลธรรมก็เสียไปหมด มีแต่ความคิดที่เห็นแก่ตัวจัด แล้วก็ได้ฆ่ากัน ได้เบียดเบียนกัน
ในส่วนนี้อย่าตามก้นฝรั่งเลย อย่าไปเอากับพวกฝรั่งเลย เอาส่วนวิชาความรู้ล้วน ๆ ที่เกี่ยวกับวิชาการ วิชาเทคนิค วิชาอะไรที่มันเก่งในเรื่องนั้น ๆ ได้ เลียนแบบได้ เอาได้เต็มที่ แต่เอาความคิดอิสระแบบไม่ไม่ไม่บังคับตัวเอง ไม่บังคับกิเลส อย่าไปเอาอย่างนะ ไอ้พวกพวกฝรั่งสอนไม่ให้บังคับตัว ไม่ให้บังคับความรู้สึก ไม่ให้มีความกดดันในจิตใจเสียเลยแบบนี้ นั่นมันโง่ ทำแบบนั้นมันให้ช่องทางแก่กิเลส พอกิเลสแล่นหนาแน่นเข้าแล้วคนก็จะเป็น คนที่ร้อนเหมือนกับไฟไหม้แหละ เหมือนกับไฟไหม้อยู่ในจิตใจ นี่ใครไม่ใครกลัว จะมีความร้อนเผาไหม้ในจิตใจ อย่าไปเดินแบบนั้น
ทำอะไรตามหน้าที่ ทำเพื่อหน้าที่ ทำพอเหมาะพอดี แล้วผลก็มันไม่ไปไหน มันยังคงได้แหละ ถ้าการมี ถ้าถ้า ถ้าเป็นนักเรียน เล่าเรียนมันก็คงได้ผลของการเรียน แต่มันไม่ทุกข์เลย ถ้ามันต้องการเงิน มันก็ได้คงได้เงินแหละ แต่มันเยือกเย็นตลอดเวลา ถ้าเราทำงานเพื่อเงินมันก็ร้อนตลอดเวลา แต่ถ้าเราทำงานเพื่องาน มันก็ไม่ร้อนตลอดเวลา แต่มันยังได้เงินด้วย
นี่เขาเรียกว่าเป็นส่วนของกิเลสตัณหา ของอวิชชา ของความโง่ มันหมายมั่นมากเกินไป มันก็ร้อน ร้อนเปล่า ๆ แหละ เหมือนกับเด็ก ๆ มันก็จะพูดว่ามันร้อนฟรี เป็นทุกข์ฟรี โดยไม่จำเป็น ไม่จำเป็นจะต้องมีความทุกข์ ไม่จำเป็นจะต้องมีความร้อน แล้วมันก็ไปร้อนไปเป็นทุกข์จนได้ แล้วก็ไม่ใช่ดีนะ การเรียนก็ทำไม่ได้ดี การงานก็ทำไม่ได้ดี แล้วร้อนตลอดเวลา ที่เขาพูดว่าทำงานเพื่องานกับทำงานเพื่อเงินนั้น มันต่างกันลิบอย่างนี้แหละ เอาไปคิดดู ยังไม่ต้องเชื่อในเวลานี้ก็ได้ แต่เอาไปคิดดูเถอะ
ลองลองตั้งใจเสียใหม่ ทำงานเพื่อธรรมะ ทำงานเพื่อหน้าที่ ทำงานเพื่อพระเจ้า หรือการเรียนก็เหมือนกันแหละ เรียนเพื่อหน้าที่ เรียนเพื่อธรรมะ เรียนเพื่อพระเจ้า จะเป็นคนที่ดีในโลก เท่านั้นแหละ ในเรื่องเงินเรื่องความสุขทางกิเลสตัณหาอะไร อย่าไปนึกถึงมัน ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปตามความเหมาะสม ถ้าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศเรื่องอะไรก็ ต้องด้วยความรู้สึกที่ไม่ลุ่มหลง คือไม่ร้อนนั่นเอง เขาเรียกว่าถูกต้องตามธรรมชาติ และถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ คนที่จะมีเหย้ามีเรือนมีครอบครัวอะไรก็เหมือนกัน แต่ถ้า ไปตามตามทางธรรม ถูกต้องตามทางธรรม จะไม่ร้อน ถ้าผิดจากทางธรรมแล้วจะร้อน ร้อนยังไม่ทันจะทำนะ แต่เพียงคิดมันก็ร้อนเสียแล้ว เพียงหมายมั่นมันก็ร้อนเสียแล้ว แล้วก็ยุ่งกันหมด ความคิดจะสับสน แล้วก็ไม่ได้ผลดี ไม่ได้ตามที่ควรจะได้
นี่นี่นี่แหละคือประโยชน์ของธรรมะ ประโยชน์ของการศึกษาธรรมะ มีธรรมะ ขอให้ถือเป็นหลักได้เลยนะ ว่าเรามันมีทั้งร่างกาย เรามีทั้งจิตใจ ธรรมะเป็นเรื่องของจิตใจ วิชาชีพเป็นเรื่องของร่างกาย ให้มีความถูกต้องทั้งทางกายและทางใจ ไอ้เรื่องก็หมด ไม่มี ไม่มีปัญหา จะเป็นผู้ที่อยู่เหนือความทุกข์ จะมีความรู้สึกสูงขนาดไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา ความเจ็บความไข้ความเป็นความตายอะไร ไม่เป็นปัญหา ไม่ทำให้จิตใจเดือดร้อนได้ เจ็บไข้ก็รักษา ไม่หายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ตายก็ไม่กลัว แล้วก็ป้องกันแก้ไขก็ได้ด้วย เมื่อมันยังไม่ต้องตายก็ ก็ไม่ตายเท่านั้นแหละ แต่ถ้ามีอวิชชา มีความโง่แล้ว ไม่ทันเจ็บมันก็เป็นทุกข์ พอเจ็บแล้วมันยิ่งเป็นทุกข์ แล้วมักจะตายเอาเลย เพราะมันมีความทุกข์ เปล่า ๆ นั่นมันมากเกินไป
นี่เรื่องประโยชน์ของการศึกษาธรรมะ ซึ่งเมื่อก่อนเขาถือเป็นของสำคัญ ให้เรียนควบคู่กันไป หรือให้บวชให้เรียนน่ะ บวชพระบวชชีบวชอะไรก็สุดแท้ ให้มันมีการเรียนทางธรรมะควบคู่กันไป พอต่อมามันเปลี่ยนแปลง ไอ้เรื่องทางธรรมเรื่องทางศาสนาเอาออกหมด ให้เหลือแต่เรื่องวิชาชีพล้วน ๆ ในโรงเรียน เรียนหนังสือให้ฉลาดแล้วก็เรียนวิชาชีพให้มาก มันก็ได้ ถ้าสามารถในข้อนั้น แต่ไม่สามารถในการกระทำจิตใจให้สงบเย็นนี่ ไม่เป็นโรคเส้นประสาทน่ะ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย หรือไม่ต้องยิงฆ่ากันง่าย ๆ เหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งมีความโง่มาก มีกิเลสมาก อ่านหนังสือพิมพ์เอาเองก็รู้ว่าคนมันฆ่ากันง่าย ๆ อย่างไร ฆ่าเพื่อนก็ง่าย ฆ่าตัวเองก็ง่าย ยิงเมียตาย ยิงลูกตาย แล้วยิงตัวเองตาย มันยิ่งกว่าคนบ้า
คนโบราณเขาไม่ทำแบบนั้น ไอ้เรื่องที่คนสมัยนี้ต้องฆ่ากันนั้น คนโบราณมันหัวเราะเยาะได้ มันไม่เอามาเป็นเรื่องใหญ่โตจนต้องฆ่าลูก ฆ่าเมียแล้วฆ่าตัวเอง นี่คนสมัยนี้ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งเรียนยิ่งว่องไวในในในการคิดผิด ๆ ตัดสินใจผิด ๆ ทำผิด ๆ ไม่มีการบังคับตัวเอง ไม่มีความอดกลั้นอดทน ฉะนั้นเราอย่าเอากับเขาเลย คนอื่นจะเอาก็ช่างหัวมัน ให้มันเอาเถอะ ไอ้วิธีนี้เราไม่เอาก็แล้วกัน เราก็จะมีธรรมะพอแหละ ที่จะไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันในโรงเรียน นอกโรงเรียน ระหว่างโรงเรียน จึงมีแต่เรื่องยุ่งยากลำบากมากขึ้นทุกทีนี่ การเรียนนั้นมันไม่ทำความสงบสุขหรือสันติภาพเลย ต้องเอาธรรมะเข้าไปคู่กันด้วย แล้วก็ไปพร้อม ๆ กัน แล้วก็จะดี ดีไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตนี้มันก็จะดี คือมีความสุข มีความเยือกเย็น มีความสว่างไสวแจ่มแจ้ง ไม่มีปัญหานั่นเอง
เคยพูดอุปมาไว้ว่าเหมือนกับว่า มันเทียมรถ หรือ เกวียนอะไรก็ตามแหละ ด้วยวัวสองตัว หรือว่าไถนาก็ไถนาด้วยวัวสองตัว ตัวหนึ่งเป็นสติปัญญา ตัวหนึ่งเป็นกำลังที่เรี่ยวแรง แล้วก็ไปได้ดีแหละ คนเรานี้ก็เหมือนกันแหละมีสติปัญญาทางธรรม แล้วก็มีสติปัญญาทางโลก แล้วก็ไปด้วยกันได้ แล้วก็ดี เอาไปคิดดูเถอะ จะยังไม่เชื่อก็ได้ แต่กล้าท้าทายว่าต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่งั้นจะเดือดร้อนเหมือนกับไฟติดในอก ไม่มีใครแช่งหรอก มันจะร้อนเอง จะเป็นทุกข์เอง เพราะมันทำผิดเอง นี่เรื่องก็มีเท่านี้ ที่ว่าเราต้องศึกษาธรรมะก็เพราะเหตุนี้
ทีนี้จะพูดอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องสวนโมกข์นี้ เวลานี้กำลังนั่งอยู่ในสวนโมกข์ และการมาถึงสวนโมกข์นี้ขอให้ได้ดูได้เห็น การเป็นอยู่ชนิดที่ใกล้ธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เรายังรักษาหลักเกณฑ์อันนี้ว่าจะอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นประสูติกลางดินนะ ตรัสรู้ก็กลางดิน นิพพานก็กลางดิน สอนก็กลางดิน อยู่ก็กลางดิน เพราะกุฎิพื้นดิน
นี่พูดจนคนขี้เกียจฟังแล้วก็ได้ ว่าพระพุทธเจ้านี้เป็นเกลอกับธรรมชาติ ประสูติที่กลางดิน ที่สวนลุมพินี ที่เวลาที่ ผ่านไปทางนั้นนะ ไม่ได้ประสูติบนปราสาทราชวังกับเขา และที่เป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็กลางดิน ที่โคนต้นโพธิ์ที่ริมตลิ่งของแม่น้ำเนรัญชรานี่ แล้วสอนแสดงธรรมจักร สอนอะไรก็ตามเป็นเรื่องกลางดินทั้งนั้น เพราะนักบวชแทบทั้งหมดน่ะมันอยู่กลางดิน จนกระทั่งนิพพานก็กลางดิน ฉะนั้นพยายามชอบนั่งกลางดินกันบ้าง ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ง่าย ถ้าหากว่านับถือพุทธศาสนา
ทีนี้หากว่านับถือคริสเตียนหรืออิสลาม ก็เหมือนนี่ อย่างเดียวกันอีก พระมูฮัมหมัดก็ดี พระเยซูก็ดี อยู่แต่ตามกลางดิน ตรัสรู้กลางดินกันทั้งนั้นเลย อย่างดีก็ว่าในถ้ำ แต่มันกลางดินเหมือนกัน นี่พระศาสดาทุก ๆ ศาสนาเขาเป็นเกลอกับธรรมชาติ ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จึงมีจิตใจสงบเยือกเย็นเหมือนกับธรรมชาติ ทีนี้มันเข้าใจยาก ฉะนั้นมาสวนโมกข์ทีหนึ่งก็ให้ได้ประโยชน์ข้อนี้แหละ คือให้ได้รู้จักธรรมชาติ ได้นั่งกับธรรมชาติ กลางดินนะ เป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้าด้วยการเป็นอยู่กลางดิน เหมือนกับพระพุทธเจ้ากันเสียบ้าง แล้วมันก็จะมีความหมายของคำว่าโมกข์ขึ้นมาทันที
คำว่าโมกข์นี้มันแปลว่าเกลี้ยง แล้วหมายถึงใจเกลี้ยง ใจเกลี้ยงคือไม่เกิดราคะ ไม่เกิดโทสะ ไม่เกิดโมหะ ใจมันเกลี้ยง กลับไปสังเกตเอาเองว่าเวลาไหนเราใจเกลี้ยง ไม่มีราคะโทสะโมหะ กวนใจนะ มันสบายเยือกเย็นเท่าไหร่นั่นน่ะ ทั้งที่ว่ามันเกลี้ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ เกลี้ยงเฉพาะครั้งเฉพาะคราว นี้มันก็ยังสบายเหลือเกิน ถ้ามันเกลี้ยงถึงที่สุด เกลี้ยงเด็ดขาดตลอดกาลนี้มันก็สบายมากกว่านั้น คำนวณไม่ไหว
เมื่ออยากจะคำนวณเป็นตัวอย่างก็ลองนึกที่ว่าเมื่อ อยู่ที่บ้านที่โรงเรียนเต็มไปด้วยไอ้เรื่องรบกวนน่ะจิตใจมันเป็นอย่างไร แล้วทีนี้มานั่งอยู่ตรงนี้เวลานี้โดยเฉพาะนี่ จิตใจมันเกลี้ยงกว่า มันไม่ ไม่เกิดความรู้สึกที่ยุ่งเหยิง ผูกพัน หรือว่า ยึดมั่นถือมั่น มันลืมไปหมด ลืมไอ้สิ่งที่หลงไหลที่รักใคร่ที่หวงแหน ลืมกระทั่งชีวิตว่าเรามีชีวิตอยู่ จิตใจมันไม่รู้สึก มันไม่คิดนึกในทางเรื่องชีวิต แล้วมันเกลี้ยง ก็เลยสบาย สบายเพราะว่าตรงนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นของเรานะ ให้เข้าใจข้อนี้แหละ เรานั่งอยู่ตรงนี้เราไม่มีอะไรเป็นของเรานะ เป็นตัวเราก็ไม่ได้คิด เป็นของเราก็ไม่ได้คิด แล้วมันก็เกลี้ยง แล้วมันก็สบาย
นี่หัวใจของธรรมะอยู่ที่นี้ ถ้าเข้าใจข้อนี้ก็เข้าใจธรรมะ ถึงถึง ถึงหัวใจแหละ ถึงหัวใจของธรรมะเลย ช่วยรักษาจิตใจชนิดนี้แหละ กลับไปบ้านไปโรงเรียนไปไหนไปทำการทำงานด้วยจิตใจชนิดนี้ จะมีความสุขด้วย ทำการงานได้ดีด้วย แล้วสนุกด้วย ไม่มีเรื่องที่จะต้องร้อนอกร้อนใจ ระส่ำระส่ายกระวนกระวายหรือวิตกกังวล
นี่ความหมายของคำว่าโมกข์ แปลว่าเกลี้ยง และคำว่าโมกข์นี้เป็นจุดหมายปลายทางของทุกศาสนาแหละ ไม่ว่าศาสนาไหนแหละจะมีคำว่าไอ้โมกข์นี้แหละ คือเกลี้ยงออกไปได้ หลุดออกไปได้ พ้นออกไปได้ รอดออกไปได้ นี่คือคำว่าโมกข์ ศาสนาคริสเตียนก็มี อิสลามก็มี ศาสนาไหนก็มี เพราะว่ามันออกไปได้จากไฟนรก สิ่งที่ผูกพันอยู่นี่ รวมความแล้วก็เป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชาติไหนศาสนาไหน มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่หลุดออกไปได้โดยจิตใจ เพราะจิตใจมันเกลี้ยง
การที่มาถึง มาที่สวนโมกข์นี้มันคงจะได้รับความสะดวกบ้าง คือรับความง่ายแหละบ้างในการที่จะเข้าใจธรรมชาติ แล้วประพฤติให้ถูกต้องตามธรรมชาติแล้วจิตใจมันจะเกลี้ยง จำคำว่าโมกข์ไป แล้วก็ความหมายของมันว่าเกลี้ยง เราก็จะเป็นคนจิตใจที่เกลี้ยง ความทุกข์เกาะไม่ติด ความทุกข์เกาะไม่ได้นี่ นี่เป็นเครื่องรางสูงสุด มีพระธรรมเป็นเครื่องราง สำหรับคุ้มครองไม่ให้จิตใจเป็นทุกข์ ไม่ให้คิดผิด พูดผิด ทำผิด
นี่เรื่องที่สองคือสวนโมกข์ มันก็เป็นเรื่องพระธรรมนั้นเอง แต่เป็นเรื่องวิธีศึกษาพระธรรมทางลัดจากธรรมชาติโดยตรง ไม่ต้องเอาจากหนังสือเลย มาอยู่กับธรรมชาติ จิตใจเกลี้ยงว่าง แล้วศึกษาดูว่าเหตุใดจึงเกลี้ยงจึงว่าง เพราะมันมันไม่มีอะไรมาผูกพันให้ยึดมั่นถือมั่น เป็นเรื่องตัวเราของเราตัวกูของกู ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส แล้วก็เห็นได้ว่าเราก็ไม่ตายนะ เรายังมีความสุขยิ่งกว่าความสุขที่ได้มาจากกิเลส ความสุขทางกิเลสก็คือเรื่องกามารมณ์ พอถูกใจก็รัก พอไม่ถูกใจก็โกรธ มันก็รัก ๆ โกรธ ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกับคนบ้าอยู่ตลอดเวลานะ นั่นน่ะคือความสุขทางกามารมณ์
ทีนี้ความสุขทางธรรมมันก็ไม่เป็นแบบนั้นเลย ไม่มีทางจะเป็นแบบนั้น ไม่ไปเที่ยวรักอะไร ไม่ไปเที่ยวเกลียดอะไร ไม่ไปเที่ยวโกรธใครหรือรักใคร มีจิตใจเป็นอิสระ ทำงานก็ทำ ต้องมองเห็นได้ว่าเป็นประโยชน์อันแท้จริงนะ เป็นไปเพื่อความสงบเยือกเย็นนะ นี่ก็เรียกว่ารอด ความรอด ความหลุดออกไปได้ หรือความพ้น หรือโมกขะ โมกสะ แล้วแต่จะใช้คำไหน
เป็นอันว่าเราศึกษาพระธรรมในสวนโมกข์ เข้าใจคำว่าโมกข์ แล้วจะเข้าใจคำว่าธรรม ถ้าเข้าใจอันนี้ได้นะ ก็นับว่าได้ผลคุ้มค่า ที่เสียเงินเสียเวลาเสียอะไรมามานี่ จะได้ผลเกินค่า แล้วคุ้มคุ้มไปได้ตลอดชีวิตนะ ขอให้เข้าใจเพียงเท่านี้เพียงอย่างเดียวนี้ จะคุ้มครองไม่ให้เดือดร้อนหม่นหมองในทางจิตใจ จนตลอดชีวิตได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือทำไม่ได้ มันก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน
เอาเป็นว่าเรา รู้เรื่องของมนุษย์ที่ลึกซึ้งที่สุด ว่าทำอย่างไรความเป็นมนุษย์จึงจะมีค่า ถ้าทำผิดจากนี้แหละไอ้ความเป็นมนุษย์นั้น ก็จะกลายเป็นข้าศึกเป็นศัตรูเป็นยาพิษเป็นนรกขึ้นมาเลย ความเป็นมนุษย์มันจะกลายเป็นนรกอยู่ในจิตในใจเต็มไปด้วยไฟราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง แทบจะทั้งวันทั้งคืน ถ้าทำถูกตามตามตามพระธรรมตามกฎของพระธรรมนี่ มันเกิดไม่ได้ มันมีแต่ความสะอาดสว่างสงบอยู่เรื่อยไป เขาเรียกว่าเกิดมาทีหนึ่งก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว นี่เขาเรียกว่าเรื่องของพระธรรมมันเป็นอย่างนี้เอง
ฉะนั้นขอให้การเล่าเรียนของทุก ๆ คนนี้ทำให้เกิดความฉลาด ในทางทั้งสองทาง คือทางโลกด้วย ทางธรรมะด้วย เล่าเรียนหนังสือหรือเรียนวิชาอื่น ๆ ก็ทำให้ฉลาดนะ มันเป็นเหมือนกับเดิมพันทีแรก แล้วเราก็ใช้ความฉลาดในทางของทางโลกด้วย คืออาชีพนะ แล้วพาใช้ความฉลาดในทางของธรรมะเรื่องจิตใจด้วย ก็เลยได้ครบบริบูรณ์ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประโยชน์ทั้งฝ่ายโลก ประโยชน์ทั้งฝ่ายธรรม ต่อไปก็เป็นคนที่ไม่มีความทุกข์ นับตั้งแต่จะเริ่มมีความทุกข์น้อยลง น้อยลง น้อยลง จนไม่มีความทุกข์ แล้วทำประโยชน์ได้มากมาย เพราะจิตใจมัน มันปกติ มันฉลาดมันว่องไวนะ มันก็ทำงานได้มากได้ดี
เอาแหละรวมความก็ได้เท่านี้ ขอให้เอาไปคิดไปนึกให้มาก ให้คิดเห็นคุณค่าของธรรมะ ให้เห็นคุณค่าของศาสนา และขอให้พรให้ทุกคนมีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางของพระธรรม เป็นส่วน เป็นส่วนใหญ่ เป็นส่วนสำคัญ แล้วเรื่องทางโลก มันก็จะดีไปตามเองแหละ ด้วยเรื่องทางธรรมมันจะลากจะจูงไปเอง ฉะนั้นสนใจแต่เรื่องทางธรรม ก็ยังรับประกันได้ว่าปลอดภัย ไอ้เรื่องทางโลกมันจะเป็นไปถูกทางเอง เอาแหละขอให้มีความสุขความก้าวหน้า ในการงานการเรียนการทุกอย่างที่จะต้องทำเพื่อหน้าที่นี้ อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ