แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้มีหน้าที่นำ อาตมาได้รับขอร้องให้บรรยายธรรมะที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้นำ ในฐานะที่เป็นประธาน ของสภาของกลุ่มหัวหน้าชั้น ก็สุดแท้แต่ว่าอยู่ในสถานะอย่างไร หากแต่ว่ามีหน้าที่เป็นผู้นำ เพื่อทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จประโยชน์ ทีนี้คำว่าผู้นำนั้นนะ มันก็กว้าง จนไม่แน่ว่าจะเอาอย่างไรกัน ดังนั้นก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ ก็อยากจะขอถามซักคำหนึ่ง บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นผู้มีหน้าที่นำ ในระดับใดระดับหนึ่งอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่เป็นนักเรียน ว่าท่านรู้สึกว่าใครเป็นผู้นำที่ดีที่สุดในโลก เป็นคำถามที่ขอให้ตอบ งั้นขอให้ใครที่มีความรู้สึกอย่างไรตอบข้อนี้กันก่อน เอาใครตอบได้ก็ยกมือ ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นการง่ายเข้า ในการที่จะพูดกันถึงเรื่องผู้นำ เพราะว่าเราจะได้พูดตามแนวของพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงเป็นอันว่าเราไม่ต้องพูดให้เตลิดเปิดเปิงไปถึงผู้นำชนิดอื่น เมื่อพูดถึงพระพุทธเจ้ามันก็หมายถึงผู้นำโลก เพราะบทประกอบในพระคุณของพระพุทธเจ้านั้นก็มีอยู่ชัดๆว่า โลกนายโก เป็นนายกแห่งโลก นายกแปลว่าผู้นำ เป็นผู้นำโลก ทีนี้การที่ท่านเป็นผู้นำโลก ก็หมายความว่าท่านต้องประกอบไปด้วยธรรมะแห่งผู้นำ นั่นแหละคือความ ใจความสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องนึกถึง ธรรมะของความเป็นผู้นำ ธรรมะเพื่อความเป็นผู้นำ ธรรมะแห่งความเป็นผู้นำ ก็แล้วแต่จะใช้คำไหน แต่มันต้องเป็นธรรมะอันหนึ่ง แล้วซึ่งมีสำหรับความเป็นผู้นำ แล้วก็จะดูกันก่อนว่าพระพุทธเจ้าท่านมีธรรมะอะไร แล้วก็จะได้พูดกันถึงธรรมะข้อนั้นหรือชนิดนั้น เพราะคำว่านำเฉยๆนี่มันเป็นกลางเกินไป นำไปทางชั่วก็ได้ นำไปทางดีก็ได้ นำสำเร็จประโยชน์ก็มี นำไม่สำเร็จประโยชน์ก็มี นั้นนำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็มี นำด้วยความคดโกงก็มี นำเพื่อประโยชน์ของผู้นำก็มี นำเพื่อประโยชน์ของผู้ที่ตามก็มี คิดดูให้ดีๆว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ ถ้าสำหรับพระพุทธเจ้านั้น จะมีบทอื่นกำกับอยู่เหมือนกันว่า ท่านผู้มีมหากรุณา เพราะฉะนั้นการนำของพระพุทธเจ้า จึงเป็นการนำเพื่อประโยชน์ของผู้ตามนั่นเอง ไม่ได้เพื่อประโยชน์อะไรของผู้นำ แต่เดี๋ยวนี้คำว่าผู้นำ ผู้นำนั้นนะ มันจะคดโกงหรือขบถ ต่ออุดมคติอันนี้ก็ได้ คือเขานำเพื่อประโยชน์ของเขา อย่างน้อยก็เพื่อความเด่น ความมีเกียรติ์อะไรของเขา นี้เป็นข้อแรกที่จะต้องสนใจว่า นำเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกนำ ถ้านำเพื่อความเด่นของผู้นำ เป็นการยกหูชูหางของผู้นำแล้วก็ เป็นอันว่าไม่มี ไม่มีคุณธรรมแห่งความเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นผู้นำคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ให้สำเร็จประโยชน์แก่ผู้ตาม จึงจะเรียกว่าเป็นผู้นำที่แท้จริง
ทีนี้มาพูดถึงคุณสมบัติของผู้นำโดยเฉพาะคือพระพุทธเจ้า แล้วก็ ท่านก็มีหลักอยู่มาก แต่หลักอันแรกที่สำคัญที่สุด ก็คือว่าตัวผู้นั้น จะต้องนำตัวเองได้ก่อน หรือชนะตัวเองได้ก่อน แล้วจึงจะ ควรพาผู้อื่นไปให้ชนะปัญหาต่างๆได้ ชนะตัวเองเสียก่อน คือนำตัวเองเสียก่อนนั่นเอง ถ้าตัวเองยังไม่ชนะ ก็นำตัวเองไปก็ไม่ได้ ตัวเองยังมีกิเลสลากคอตัวเองไปหาความต่ำทรามอะไรต่างๆอยู่ ผู้นำก็ต้องชนะตัวเองคือชนะกิเลสของตัวเอง แล้วเป็นผู้อิสระ ที่จะนำตัวเองไปในทางที่ถูก แล้วก็นำผู้อื่นไปในทางที่ถูกได้ด้วย เมื่อพูดถึงชนะตัวเอง ก็หมายถึงชนะกิเลส นี่เข้าใจว่าคงได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว และเข้าใจดีแล้ว ว่าชนะตัวเองคือชนะกิเลส ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็เข้าใจเดี๋ยวนี้ จำซะเดี๋ยวนี้ ตัวเองนะมันคือเป็นความรู้สึกเท่านั้นนะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น มันรู้สึกว่าอะไรเป็นตน อะไรเป็นตัวตนของตน มันก็มีเท่านั้นแหละ ในกรณีธรรมดาสามัญก็มักจะเป็นความไม่รู้ ความหลงความอะไรของคนธรรมดา เข้าไปรู้สึก ความหลงนั้นรู้สึกอยู่ในใจว่า อะไรเป็นอะไรตัวตนเป็นอะไร ถ้าความรู้สึกเหล่านั้นมันเป็นกิเลสไปแล้ว มันก็มีตัวตนของกิเลส นำอะไรไม่ได้ ทีนี้เป็นตัวตนที่หมดปัญหาของตนแล้ว มีแสงสว่างและชนะตนได้ คำว่ากิเลสนั้นก็รู้กันอยู่แล้วว่า ราคะ โทสะ โมหะ แต่อยากจะเอาโมหะขึ้นมาก่อน ถ้าชนะตนก็คือชนะกิเลส นั้นชนะตนข้อแรกก็คือชนะโมหะ โมหะก็คือชนะความโง่ ความหลงผิด ความสำคัญผิด ความเห็นผิด ทีนี้ถ้าเรามันเป็นคนโง่ หรือหลง หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นโมหะอยู่แล้ว แล้วจะนำอะไรได้ จะนำเพื่อนฝูงก็ไม่ได้ จะนำลูกน้องบริวารก็ไม่ได้ ดังนั้นข้อแรกคือต้องชนะโมหะ คือความโง่ ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด งั้นคนเชื่อง่าย เชื่อผิดๆ เชื่องมงาย เชื่อตื่นตูม นี้เรียกว่ามีโมหะ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้คือความ เรื่องความเชื่อ ก่อนแต่จะเชื่อ ก็ต้องไปศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับความเชื่อว่าจะสอนให้เชื่ออย่างไร โดยสรุปแล้วก็คือเชื่อให้มันมีเหตุผล ให้มันเป็นที่แน่นอนที่ว่าควรจะเชื่อ อย่าเชื่อแต่ว่าได้ยิน ได้ฟัง ได้เสียงเล่าลือ หรือแม้ที่สุดทำตามสืบๆกันมา มันก็ผิดได้ เชื่อด้วยการอ้างตำรา ประพฤติ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลมันก็ใช้ไม่ได้ แม้ที่สุด แต่สิ่งที่เค้าพูด หรือเค้าเล่าลือมานั้น มันตรงมีความคิดของตัว ตัวก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เค้าเรียกว่าเล่าลือมาชักชวนมา มันตรงกับความคิดของตัวนี้ ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ก็มีข้อห้ามไว้ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อเพราะมันตรงกับความคิดความเห็นของตน เพราะมันยังไม่ไว้ใจตนเองว่าจะมีความถูกต้องหรือไม่ แม้มันตรงกับความคิดของเรา ความต้องการของเราก็ต้องทดสอบอีกทีหนึ่ง นี้มันถูกต้องหรือไม่ มันมีเหตุผลหรือไม่ มันจริงหรือไม่ ก็อย่าเข้าข้างตัวอย่าเข้าข้างเค้า ผู้อื่น ผู้เล่าลือ แต่เข้าข้างธรรมะ คือความจริงหรือเหตุผลที่มันมีอยู่จริง ถูกต้องตามที่เป็นจริง ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่ถูกครอบงำด้วยโมหะ เรียกว่าชนะโมหะได้ ชนะความมืดได้ มีแสงสว่างอยู่ ถ้ามีแสงสว่างอยู่ก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ นี้ก็ต้องเป็นข้อแรกสำหรับผู้นำ คือเป็นธรรมะสำหรับผู้นำ
ทีนี้ข้อที่สองก็ถอยมาอีกถึงโทสะ บันดาลโทสะ โทสะนี้บางทีก็เรียกว่าโกรธะ โกรธะคือโกรธ โทสะคือประทุษร้าย ก็เลยความไปถึง กินความเลยไปถึงพยาบาท อาฆาต จองเวร อะไรด้วย ถ้าในจิตมันมีความโกรธ หรือโทสะประทุษร้ายอยู่แล้ว คือก็ให้ถือเสียว่า ไอ้คนนั้นมันตกนรกอยู่เองแล้ว มันจะไปนำคนอื่นได้อย่างไร คนที่มีโทสะโกรธะกลุ้มอยู่ในใจร้อนเป็นไฟ หน้ามืดกันอยู่ก็ตาม คนนั้นมันตกนรกอยู่เองแล้ว จะไปนำใครได้ งั้นอย่าไปทำอะไรไปด้วยการบันดาลโทสะ หรือความโกรธอาฆาตจองเวร เหมือนที่เค้าทำกันอยู่มาก ใช้กิเลสคือความอาฆาตเป็นเครื่องกระตุ้น เครื่องจรรโลงใจ มันก็ทำได้อย่างบ้าบิ่น แล้วก็ทำได้อย่างที่ไม่ควรจะทำในที่สุด นี่ต้องชนะโทสะหรือโกรธะนี่เสียอีกอย่างหนึ่ง ความเป็นผู้นำก็จะปลอดภัยเข้ามา
ทีนี้ถอยมาอีกก็มาถึงราคะ ความกำหนัดหรือโลภะความโลภ ถ้ามันมีความรัก ความโลภ ความอะไร มีอยู่ในใจ คนนั้นก็เหมือนกับคนถูกมัด ถูกจำ ถูกจองจำอะไรอยู่ ถูกล่ามโซ่อยู่ ด้วยความรักด้วยความโลภ งั้นมันจะไปนำใครได้ เมื่อขามันติดตรวนอยู่ คนที่มีความรักสุมใจอยู่ เมื่อมีความโลภ คืออยากด้วยความโลภ สุมอยู่ในใจ นี้ก็ไม่มีจิตใจที่จะเป็นอิสระ ก็นำใครไม่ได้ นำตัวเองก็ไม่ได้ นี้ก็ขอให้ไปทดสอบดอย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างจริงใจว่าเราที่จะเป็นผู้นำเขา เป็นหัวหน้าชั้นนำชั้นก็ดี เป็นหัวหน้ากลุ่มนำกลุ่มก็ดี เป็นหัวหน้าสภานำหมู่ใหญ่ๆที่เขากำหนดให้ก็ดี ซึ่งต่อไปอาจจะเป็นผู้นำที่ยิ่งไปกว่านั้นก็ดี ซึ่งเรามันมีจิตใจเป็นอย่างไร เหมาะสมที่จะนำหรือไม่ ถ้ามันประกอบอยู่ด้วยกิเลสอย่างที่ว่าแล้ว มันก็คือคนบ้า นำเพื่อนไปให้เป็นคนบ้า ให้เป็นฝูงคนบ้า ด้วยโมหะ ด้วยโทสะ ด้วยโลภะ เป็นคนบ้าชนิดหนึ่ง ซึ่งอันตรายมาก นำฝูงไปให้เป็นคนบ้ากันทั้งหมด ก็จะไปทำอะไรชนิดที่วินาศไปหมดเลย วินาศทุกฝ่าย ไม่มีประโยชน์ ไร้ประโยชน์ แล้วก็มานั่งเสียใจทีหลัง ก็ได้บ้าบิ่นกันพักหนึ่ง อาจจะมีได้ถ้ามันฟลุ๊คเป็นประโยชน์อะไรบ้างก็นิดหน่อยหนึ่ง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมันเป็นไปไม่ได้ นี่ผู้นำจะต้องทำตัวให้มีแสงสว่าง ปราศจากการบีบคั้นของกิเลส เช่นราคะ โทสะ เป็นต้น
ฉะนั้นก่อนแต่จะเป็นผู้นำในกรณีเล็ก กรณีใหญ่อะไรก็ตาม หลับตายกมือไหว้พระพุทธเจ้า อธิษฐานจิตให้ดีเสียก่อนว่าเราจะนำเขาไปอย่างไร หรือว่าถ้าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ด้วย ท่านจะทรงแนะนำว่าอย่างไร ทบทวนอย่างนี้เสียก่อน ถ้ามีเวลามีโอกาสห้านาทีสิบนาที ครึ่งชั่วโมงก็ได้ ถ้าไม่มีเวลา ใคร่ครวญดูให้ดี เหมือนกับพระพุทธเจ้ามาแนะว่าต้องอย่างนี้อย่างนี้ นั่นแหละมันจึงจะเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ข้อนี้เรามีการสอนกันอยู่เป็นประจำ ผูกไว้เป็นประโยคสั้นๆว่า จะทำอะไรให้ถามพระพุทธเจ้าก่อน ใช้คำให้เหมาะสมก็ทูลถามพระพุทธเจ้าก่อน จะทำอะไรก็ทูลถามพระพุทธเจ้าก่อน มันเป็นประโยคที่มีความหมายมาก ถ้าคนนั้นมันไม่รู้จักพระพุทธเจ้า มันไม่มีธรรมะเสียเลยมันก็ไม่มีพระพุทธเจ้า มันก็ไม่รู้ว่าจะถามพระพุทธเจ้าที่ไหน ถ้าคนนั้นมันรู้จักพระพุทธเจ้าที่มีธรรมะ อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน นั้นก็มีพระพุทธเจ้าขึ้นมาทันทีสำหรับจะตอบคำถาม ที่ทำอย่างนี้ก็คือให้มันมีโอกาสทบทวน เพราะอย่างน้อยที่สุด สำหรับคนโง่ๆที่สุด เค้าก็ยังสอนให้มันนับสิบซะก่อนจึงค่อยพูดหรือค่อยทำอะไรออกไป คือมันยั้งคิดนับหนึ่งจนถึงสิบซะก่อน แล้วจึงค่อยสั่งอะไรออกไป ทำอะไรออกไป นั้นคือสติสัมปชัญญะที่มาทันเวลาทันท่วงที ทีนี้แทนที่จะพูดว่านับสิบซะก่อน เป็นลูกเด็กๆเราจะเขยิบขึ้นไปว่า ทูลถามพระพุทธเจ้าเสียก่อน พวกท่านทั้งหลายก็เป็นนักเรียนขึ้นมาถึงระดับที่เรียกว่ามัธยมปลายนี้ อย่างน้อยก็ต้องเคยเรียนเรื่องพุทธประวัติ พระพุทธศาสนามา พอที่จะรู้ว่าพระพุทธเจ้านั้นคือใครและเป็นอย่างไร ถ้าไม่รู้เสียเลยก็เป็นนักเรียนที่เลวที่สุด ที่เหลวไหลที่สุด ที่ใช้ไม่ได้ที่สุด ในลักษณะที่เรียนมาถึงมัธยมปลายแล้วยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร มีลักษณะอย่างไร มีคำสอนอย่างไร มีอะไรอย่างไร ถ้าเราได้เรียนมาตามหลักสูตรที่ควรจะเรียน หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา มันก็พอจะรู้ได้ว่าพระศาสดานั้นเป็นอย่างไร แม้จะถือศาสนาอื่นนอกเหนือพุทธศาสนาก็จะรู้ได้ว่าพระศาสดาแห่งศาสนานั้นท่านเป็นอย่างไร ท่านสอนอย่างไร ถ้าเราต้องการจะทำอะไร เราก็ทำเหมือนกับว่าทูลถามพระศาสดานั้นก่อน ว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร ข้าพระองค์จะทำอย่างนี้ๆๆ คิดตั้งแต่กลางคืนก็ได้ ถ้าว่าพรุ่งนี้จะทำ ทำพิธีนี้กันตั้งแต่กลางคืนก็ได้ ทูลถามพระศาสดาเสียก่อน งั้นจะมีคำตอบผุดออกมาเองอย่างประหลาด ขอให้ทำใจให้บริสุทธิ์ มีสมาธิตามสมควรระยะหนึ่ง แล้วตั้งคำถามนี้ขึ้น แล้วคำตอบจะมา บางทีจะมาทันที บางทีก็จะมาในเมื่อหลับอยู่ฝันก็ได้ หรือว่าจะออกมาเองเมื่อตื่นนอนขึ้นมาก็ได้ ขอให้ไปทดลองเถอะ เพราะเรื่องนี้มันเคยทำมาแล้ว เคยมีประโยชน์แล้ว จึงเอามาบอกมากล่าวกัน ว่าจะทำอะไรทูลถามพระพุทธเจ้าเสียก่อน
ทีนี้เรื่องที่จะเป็นผู้นำ ก็มีว่าเราจะทำอะไรกัน เราต้องการความสามัคคีกันนี้เพื่อจะทำอะไรกันมีเหตุผลอย่างไร เล่าให้พระพุทธเจ้าฟังเสียให้หมด เดี๋ยวก็จะมีคำตอบออกมาจากพระพุทธเจ้า ดังก้องอยู่ในสมองของบุคคลนั้นๆ ก็ไปใคร่ครวญดู มันจะมีเรื่องถูก ไม่มีผิด ถ้าว่าเราจะเรียกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราจะเรียกว่ามีสติสัมปชัญญะเพียงพอในการกระทำ ยับยั้งทบทวนคิดค้นมีสติสัมปชัญญะในการกระทำ แต่พูดอย่างนี้ไม่ศักสิทธิ์ ก็ให้ทำเหมือนอย่างเราไปทูลถามพระพุทธเจ้าซะก่อนจะดีกว่า จะเป็นสติสัมปชัญญะที่มากกว่าและสูงกว่า คำพูดนี้เป็นคำพูดที่กลางๆ พูดเป็นกลางๆออกไป ไม่ได้ระบุว่าเรื่องอะไร แต่เป็นกลายว่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องทำเป็นการใหญ่ เป็นฝูงเป็นหมู่เป็นพวกแล้วก็มีผู้นำ ซึ่งนั้นหมายถึงมีความรับผิดชอบมาก มีการได้เสียมาก ถ้าเสียก็เสียฉิบหายวินาศ ถ้าได้ก็ได้อย่างมีความเจริญ มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น นั้นจึงอย่าทำเล่นอย่าทำด้วยความประมาทเลย
ทีนี้จะดูถึงการกระทำของพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นผู้นำ ท่านจะนำไปในทางที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริง โดยบริสุทธิ์ ที่เรียกว่านำโลก นำไปไหนละ ก็นำให้ออกจากปัญหาหรือความทุกข์ทั้งปวง จะเรียกว่าปัญหาก็เหมาะ จะเรียกว่าความทุกข์ก็ได้ ถ้าเป็นปัญหาแล้วเป็นความทุกข์แน่นอน ถ้าเป็นความทุกข์ก็ต้องเป็นปัญหาแน่นอน แต่ก็ปัญหานี้มันกว้าง คือยังไม่ทันจะเป็นความทุกข์อะไรมากมายก็ได้ ก็เรียกว่าปัญหาแล้วนำไปสู่ความทุกข์ งั้นเรามีปัญหาอะไรขึ้นมา ในโรงเรียนก็ดี ในหมู่บ้านก็ดี ในบ้านเรือนของเราก็ดี ในวงแคบๆ ระหว่างเพื่อนกับเพื่อนก็ดี มันมีปัญหาอะไรกันมา จะต้องระวังให้ดี ให้มันถูกตัวปัญหา ให้รู้จักปัญหาที่แท้จริง จึงจะรู้จักการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง งั้นอย่าบันดาลโทสะ อย่าบันดาลราคะ หรือโลภะ อย่าลุอำนาจแก่ราคะ หรือโลภะ อย่าบันดาลโทสะ แล้วก็อย่าให้มีโมหะ คือความโง่ ความหลง เข้ามาเจือ นี่ปัญหานั้น ไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงที่ควรจะแก้ไขกันจริงๆ แล้วก็พบหนทางหรือวิธีที่จะแก้ไขกันจริงๆได้ นี่เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำจริง ทำอย่างรับผิดชอบจริง ทำอย่างในฐานะเป็นผู้นำที่บริสุทธิ์ ไม่มีโอกาสที่จะนำเพื่อความประมาท เพื่อความอวดดี อะไรของตน แล้วก็ไม่มีอะไรที่มาครอบงำ ให้ออกไปนอกลู่นอกทาง ผู้นำนั้นมันอาจจะมีอะไรมาจูงให้นำผิด มันก็ผิดกันได้ แต่สิ่งที่จะนำมาจูงให้นำไปผิดนั้นก็มีได้ทั้งสองอย่าง คือทั้งภายในและภายนอก ที่เป็นภายในคือความคิดของเราเองมันผิด ความรู้ของเรามันผิด ฐิติความคิดเห็นของเรามันผิด มันก็มานำเราไปในทางผิด นี่คือผู้จูงที่ผิด ก็จูงเราให้นำผู้อื่นผิด ทีนี้ผู้จูงที่เป็นภายนอก ก็คือบุคคลด้วยกัน พวกอื่นคณะอื่นเค้ามี ความต้องการอย่างอื่น เค้าก็ต้องการจะตบตาคน เพื่อจะให้คนทั้งหลายตกอยู่ภายในอำนาจของเขา ถ้าเราไปเชื่อเขาก็เรียกว่าเราก็ถูกจูงโดยผู้จูงภายนอกคือคนด้วยกัน แต่ถ้ากิเลสข้างในมันจูง ก็เรียกว่าผู้จูงนั้นเป็นภายใน ทีนี้มันอาจจะเป็นเนื่องกัน เช่นความโลภของเรา มันทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจของความโลภ แต่ว่าความโลภนั้น มันมาจากคนภายนอกสักคนหนึ่งที่เค้าจะให้สินจ้างรางวัลเรา มันก็เลยเนื่องกัน จากภายนอกถึงภายใน จากภายในออกไปถึงภายนอก ทีนี้สิ่งที่จะมาจูงให้ผิด ออกไปนอกลู่นอกทางมีได้ทั้งภายในและภายนอก และทั้งที่สัมพันธ์กันทั้งสองทาง คือทั้งภายในและภายนอกนั่นเอง ขออย่าได้ทำเล่น กับเรื่องนี้มันเป็นเรื่องบาป ขออย่าได้ทำเล่นกับเรื่องนี้ นี่เป็นหัวข้ออีกอัน อย่าได้ทำเล่นกับเรื่องนี้ แม้จะนำลูกเด็กๆตัวเล็กๆ ให้เค้าทำอะไรก็อย่าทำเล่นๆเลย ตอนรับผิดชอบไม่มีอะไรจะทำเล่นๆได้ จะนำเด็กเล็กๆสักสองสามคนให้ไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ขออย่าได้ทำเล่นๆ ถ้ามีการทำเล่นๆแล้วก็ไม่เป็นผู้นำที่ดี แล้วก็จะมีทางเสียหายเกิดขึ้น งั้นเราตัวเล็กๆก็นำเด็กเล็กๆ ตัวโตๆก็นำเด็กโตๆ ผู้ใหญ่ก็นำผู้ใหญ่ ก็วัดดูได้ด้วยผลที่เกิดขึ้น ว่ามันให้ผลเป็นอย่างไร ถ้าจะเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก มันก็ต้องมีว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข สงบ สันติสุข สันติภาพแก่ทุกฝ่าย คือหมายความว่า ได้รับประโยชน์แท้จริง ต้องได้รับประโยชน์ทุกฝ่าย และเป็นไปเพื่อสงบเย็น ไม่เดือดร้อน ไม่เร่าร้อนแก่กันทุกฝ่าย
นี่เป็นหลักกว้างๆคร่าวๆ ก็ตัดสินไว้ว่าการกระทำนั้นมันได้ผล ถ้ามันเป็นเรื่องที่เร่าร้อนระส่ำระสายเดือดร้อนไปหมด แม้ใครจะว่าดีก็อย่าไปเชื่อ ป่วยการ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมา หลายซับหลายซ้อน เป็นชั้นๆไปทีเดียว ถ้าไม่เป็นไปเพื่อความสงบสุข ก็ไม่ถูกเป็นแน่ๆ ไม่ว่าทำอะไร นี่เราจะต้องศึกษากันบ้างเรื่องความสงบสุขนั้น มันเป็นอย่างไร มันมีอยู่หลายชั้นและบางชั้นก็เข้าใจได้ยาก ความสงบสุขสูงสุดมันเป็นเรื่องของนิพพาน ยังไม่ได้ศึกษากันสักที เอาเรื่องความสงบสุขในขั้นต้นๆ จุดตั้งต้นนี่ ที่อยู่กันอย่างดีมีความผาสุข เป็นสุขในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในโรงเรียน ในวงขยายออกไป จนถึงทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งประเทศ ในชั้นพระพุทธเจ้าคือทั้งโลกมีความสงบสุข ถ้ามันเกิดความยุ่งยาก วุ่นวายระส่ำระสายขึ้นมาแล้วก็ให้พิจารณา ดูเถอะมันมีความไม่ถูกต้องอยู่เสมอไป แม้ว่าจะเป็นการปราบปรามอันตราย มันก็ยังต้องมีหนทางอยู่นั้นเอง ที่ทำไปอย่างราบรื่นเรียบร้อย เยือกเย็น ชนะกันด้วยความดี ไม่ใช่ชนะกันด้วยมีด ด้วยดาบ ด้วยปืน แต่ชนะกันด้วยความดี ชนะได้อย่างมาก อย่างยิ่ง อย่างสูงสุด แล้วก็ไม่มีใครเดือดร้อน ผู้ทำผิด ผู้เป็นพาลก็ปรับตัวได้ คือเราชนะเขาได้นั่นเอง แล้วเขาก็ไม่เดือดร้อน เราก็ไม่เดือดร้อนในที่สุด อย่างนี้จึงจะเรียกว่าชนะได้จริง คือชนะความทุกข์ ชนะความเดือดร้อนซึ่งจะเกิดขึ้นแก่ใครก็ตาม เราก็ต้องชนะให้ได้ นี่ผู้นำที่ดีต้องชนะความทุกข์ความเดือดร้อนได้ ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อน จะเกิดขึ้นแก่ทุกฝ่ายนั่นเอง
ที่พูดอย่างนี้บางคนอาจจะเห็นว่า มันไกลไปแล้ว มันเกินไปแล้ว มันเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าไปเสียแล้ว อย่าได้คิดอย่างนั้น เรื่องของพระพุทธเจ้าแม้จะเป็นเรื่องสูงสุดอย่างไร มันก็มีหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกับเรื่องธรรมดาสามัญของเราเหมือนกัน เราไม่ทำถึงระดับพระพุทธเจ้าหรอก แต่มันมีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันที่เราจะต้องทำอย่างนั้นๆ คือมีความถูกต้องอย่างเดียวกัน จึงจะสำเร็จประโยชน์ จึงต้องประกอบด้วยสติปัญญา เพื่อจะละโมหะความโง่ความเห็นผิดไปเสียได้ มันต้องประกอบไปด้วยการบังคับตัวเอง อย่าให้เกิดโทสะ โกรธะ อาฆาต จองเวร มันก็ต้องมีการชนะตัวเองอย่าไปตกอยู่ในอำนาจของความรักอันโง่เขลา ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ชนะข้างในอย่างนี้ได้แล้ว มันก็ชนะข้างนอกได้ ที่ชนะกิเลสหมดถึงบรรลุนิพพาน ก็ชนะสามอย่างนี้ แต่ถ้าเราจะชนะเรื่องเล็กๆน้อยๆในบ้านในเมือง ในขอบเขตที่เราจะต้องชนะ ก็ต้องใช้สามอย่างนี้ ถ้าไม่มีสติปัญญา ไม่บังคับตัวเองอย่างนี้หรอก แม้แต่จะชนะสุนัขและแมวตัวหนึ่งก็ไม่ได้ ขอให้ไปสังเกตุดู พิจารณาดู ที่เราจะฝึกหรือเราจะนำสุนัขหรือแมวสักตัวหนึ่ง มาตามอำนาจความต้องการของเรา เดี๋ยวมันก็ชนะไม่ได้ ถ้าคนนั้นมันโง่และมันขี้โกรธ หรือไม่ถ้ามันรักแมวเกินไป ก็ทำไม่ได้ มันจึงเป็นเรื่องที่จะต้องชนะตัวเอง ชนะกิเลสภายในตัวเองไปก่อน จึงจะนำไปได้ แม้แต่จะนำสุนัขและแมว ให้มาสู่ความต้องการของเรา ตามที่เราต้องการจะให้มันเป็นอย่างไร
ทีนี้มันมีเรื่องที่สูงกว่านั้นขึ้นมาตามลำดับ จะชนะเด็กๆขึ้นมา ถ้าชนะเพื่อนระดับเดียวขึ้นมา ชนะผู้ใหญ่ในทางที่ควรจะชนะ หรือว่าจะชนะทั้งบ้านทั้งเมือง ชนะทั้งโลกก็ได้ คนที่เค้าเก่งจริง เค้าจะชนะทั้งโลกได้ อย่างที่เรายกตัวอย่างพระพุทธเจ้าว่าเป็นจอมแห่งบุคคลผู้ชนะและผู้นำ ดังนั้นชนะและนำนี้มันก็ไปด้วยกัน ถ้าไม่ชนะแล้วจะนำเค้าได้อย่างไร นั้นต้องมีชนะแล้วก็นำไป นำโลกไปสู่ความถูกต้อง ความปลอดภัย ก็เป็นการได้ที่ดี เกิดมาทั้งทีได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราทำผิด แม้ในทางเป็นผู้นำมันนำผิด มันนำเขาไปเข้าที่ยุ่งยาก ลำบาก เสียหาย เดือดร้อน จนมีความทุกข์ ก็ต้องเรียกว่าคนนั้นมันทำบาปไม่ใช่ทำบุญ มันเป็นการกระทำที่ต้องมีความรับผิดชอบมาก มีความระมัดระวังมาก ไม่ใช่เป็นเรื่องสนุกสนาน เฮโลสาระพา คำว่าเฮโลสาระพานี้ก็มีความหมาย ในทางที่ดีได้เหมือนกัน ถ้ามันได้ตั้งใจถูกตั้งแผนการถูก อะไรถูก แล้วก็เฮโลสาระพา ก็สามัคคีกันมากๆ พร้อมๆกันมันก็ใช้ได้ แต่โดยมากเฮโลสาระพานี้ มันเป็นเรื่องของคนไม่คิด ไม่ใคร่ครวญ ไม่สังเกตุ ไม่พิจารณา หลับตาเฮโลสาระพา มันจึงเป็นเรื่องล้มเหลวส่วนมาก มันจึงใช้ได้กับเรื่องง่ายๆ เช่นจะลากไม้ซุง จะเข็นเรือ ใช้ได้เพราะเรื่องมันง่ายเกินไป มันก็เฮโลสาระพาได้ แต่การจะนำมนุษย์ไปในทางที่ถูกต้อง เป็นเรื่องเฮโลสาระพาไม่ได้ ไม่มีทาง ก็ต้องทำอย่างสุขุมที่สุด รอบคอบที่สุด แล้วก็จะนิ่งเงียบ ไม่พูด สังเกตุ ระมัดระวังท่าเดียว ให้มันมีความถูกต้องสมบูรณ์ขึ้นมา เราจึงสามารถนำไปได้ แล้วแต่ว่าจะนำอะไร จะสามารถนำสุนัขกับแมวก็ได้ นำวัวสักฝูงหนึ่งก็ได้ นำควายสักฝูงหนึ่งก็ได้ กระทั่งนำคนหลายๆคนไปตามจุดประสงค์ วัตถุประสงค์ จุดหมายอย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้ เพื่อพัฒนาโรงเรียนของเรา เพื่อพัฒนาหมู่บ้านของเรา พัฒนาจังหวัดของเรา มันก็ดี ที่จะนำในทางพัฒนา ก็ต้องการความรอบคอบมากเหมือนกัน
ส่วนการที่จะเป็นผู้นำในการต่อสู้ทำลายกัน ยิ่งจะต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก ในการพัฒนายังง่าย มันยังปลอดภัยอยู่มาก แต่ก็ต้องระมัดระวังมาก แต่ถ้านำในการต่อสู้ทำลายกัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ยิ่งต้องระมัดระวังมาก เพราะมันยากขึ้นไปกว่านั้น มันจะเป็นเรื่องทำด้วยกิเลส ไม่ควรจะไปต่อสู้ก็ไปต่อสู้เข้า ไม่ควรจะไปทำลายก็ไปทำลายเข้า และถ้าต้องใช้การทำลายเป็นเครื่องนำแล้ว มันก็ควรจะถือว่ามันผิดหลักของพระพุทธเจ้าแล้ว งั้นเราต่อสู้โดยไม่ต้องฆ่าฟันกันก็ได้ ขอให้เข้าใจไว้ให้ดี เพราะคำว่าต่อสู้ หรือไฟท์ นี้ไม่จำเป็นจะต้องฆ่ากันเลยก็ได้ มันทำได้ด้วยวิธีที่สงบ เรียบร้อย ชนะดีกว่า ชนะมากกว่าที่จะเอาอาวุธศาสตรา ไปทำลายกันจนเลือดนองไปหมด นี้เขาเรียกว่าต่อสู้ด้วยธรรมะ หรือความเป็นผู้นำเป็นธรรมะ และต่อสู้ได้ดี แล้วก็ชนะโดยที่ไม่ต้องมีอะไรเดือดร้อนหรือเสียหาย ผู้ชนะก็ไม่หลั่งเลือด ผู้แพ้ก็ไม่หลั่งเลือด ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างถูกต้อง ได้รับประโยชน์เต็มตามที่ต้องการ นี่ที่เป็นอย่างนี้กเพราะอาศัยความเป็นผู้นำ
ในเมื่อเราถือตามหลักของพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้นำ นำสัตว์ นำโลก ตั้งต้นด้วยการนำคณะสงฆ์ นำคณะสงฆ์หมู่นี้ ให้เป็นฝ่ายดีมากขึ้นๆ แล้วก็นำประชาชน นำโลกในที่สุด ทั้งเทวดาและมนุษย์ ตรงนี้อยากจะบอกให้เข้าใจเป็นส่วนปลีกย่อยสักหน่อยว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้นำทั้งเทวดาและมนุษย์ ใครจะถือว่านำเทวดาบนสวรรค์อย่างที่พูดกันนั้นก็ได้ และมนุษย์ก็อยู่ที่นี่ แต่ตามความจริงนั้นมันมีใจความกว้างกว่านั้น ขยายความไปในทางที่จะเป็นประโยชน์หรือเป็นทางปฏิบัติได้มากกว่านั้น คือเทวดาคือคนสบายแล้ว มนุษย์คือคนยังลำบากอยู่ ถ้าเทียบกันอย่างสมัยนี้ ก็เทียบได้ง่ายๆเลยว่า เทวดาพวกคนรวย มนุษย์คือพวกคนธรรมดา คือไม่รวย หรือจะถึงกรรมกรก็ได้ ปัญหานายทุน ปัญหากรรมกร กำลังมีอยู่ในโลกเวลานี้ และอาจจะพูดได้เลยว่าเป็นปัญหาระหว่างเทวดากับมนุษย์ ถ้าว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวกนี้ได้รับการนำที่ดี ตามแบบของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเลิกเป็นศัตรูต่อกัน ไอ้นายทุนมันกลายเป็นคนใจบุญมันก็หมดความเป็นนายทุน มันกลายเป็นเศรษฐีใจบุญไป ไอ้กรรมกรก็หมด ก็มีธรรมะแล้ว มันก็หมดความเป็นผู้อาฆาตมาดร้าย กลายเป็นผู้ร่วมมือที่ดีไป ก็เลยกลมเกลียวกันไปได้ แก้ไขปัญหาของส่วนรวมได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าแก้ไขปัญหาอย่างนี้ได้ นั้นจึงได้กล่าวว่าพระธรรมนี้เป็นประโยชน์สุขทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ คือทั้งแก่คนรวยและคนจน
สำหรับคำว่าคนรวยคือคนมีเงินมาก อย่าไปคิดว่ามันเลวเสมอไป มันต้องดูตรงที่ว่าเค้ามีศีลธรรมหรือไม่ ถ้าคนรวยมีเงินมากไม่มีศีลธรรม เราก็ชอบเรียกคำว่านายทุน แต่ถ้าคนรวยนั้นมันมีศีลธรรม ทำตามศีลธรรม คนรวยนั้นไม่ใช่นายทุน เราควรจะเรียกเค้าว่าเศรษฐีใจบุญ มีแต่โรงทาน ไม่มีอาวุธอะไรอื่น มีแต่โรงทานสำหรับให้ทานคนยากจน ขัดสน งั้นอย่าเขลาไป ถือเสียว่าคนรวยใช้ไม่ได้ มันจะมีความโง่ชนิดที่ไม่รู้สึกตัว ก็ถูกยุให้เกลียดชัง ให้ต่อต้านกันอย่างไม่มีประโยชน์อะไร ถึงแม้เค้าเป็นคนรวยที่ไม่มีศีลธรรม ไม่มีเมตตากรุณา ก็มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงเขา โดยวิธีอื่น ซึ่งไม่ต้องนองเลือด ซึ่งไม่ต้องกระทำชนิดที่เป็นทุกข์และเดือดร้อนเป็นตายกันทั้งสองฝ่าย ก็ให้ใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือ ทีนี้คนจนก็เหมือนกันมีเงินน้อย มีทรัพย์สมบัติน้อย ก็ไม่ใช่ว่าจะดีหรือจะเลวเพราะเหตุนั้น มันจะดีหรือจะเลวก็เพราะว่าเขามีธรรมะหรือไม่ และถ้ามีธรรมะ ไม่เท่าไหร่เขาก็พ้นจากความเป็นคนจน คือปฏิบัติดีไม่มีผิด ถ้าว่าเป็นคนจนด้วยเหตุอุบัติเหตุหรือว่าด้วยสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษก็ควรจะสงสารกัน ถ้าถือเอาธรรมะเป็นหลักแล้วมันก็เป็นเพื่อนกันได้ ทั้งคนมั่งมีและคนยากจน โดยมีธรรมะเป็นสื่อกลาง นี่ทั้งหมดเป็นไปด้วยสันติอย่างนี้ ไม่มีต้องเสียเลือดเสียเนื้อต้องอะไรกัน
ทีนี้เรื่องที่มันเล็กน้อยปลีกย่อยไปอีก คือความขัดแย้ง ถ้ามีขึ้นแล้วมันก็เป็นเรื่องวินาศ ความขัดแย้งถ้ามีขึ้นแล้วเป็นเรื่องวินาศ เสนียดจัญไรสูงสุดในโลกนั้นคือความขัดแย้ง สิ่งอุบาทจัญไรทั้งหลายในโลกนั้นคือความขัดแย้ง ถ้ามีความขัดแย้งที่ไหนก็มีการทำลายที่นั่น งั้นเราทำการแก้ไขสิ่งเป็นเสนียดนี้ให้มันเป็นไปในทางที่ดีเสีย ไม่จำเป็นจะต้องต่อสู้กันด้วยความขัดแย้ง ต่อสู้ด้วยการทำความเข้าใจกัน โดยไม่ต้องมีการขัดแย้งอีกต่อไป ทีนี้พอเกิดขัดแย้งกันนิดหน่อยแล้วก็โถมเข้าใส่กัน ไม่ต้องคิดอะไรแล้วจนเป็น กลายเป็นฝ่ายละมากๆนี้ ก็สมน้ำหน้า มันมีความโง่ทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ารู้ว่าไอ้ความขัดแย้งนี้คือเสนียดจัญไร ตัวอุบาทในโลก เราก็อย่าทำการขัดแย้ง พยายามแก้ไขการขัดแย้งให้มันเปลี่ยนรูปไปเสียเป็นการทำความเข้าใจกันได้ ก็ต้องนับว่าเก่งมากหรือมีเกียรติมาก คนที่มีความสามารถแก้ไขความขัดแย้งได้นั้นนะคือคนเก่ง คนมีเกียรติ คนดี คนน่านับถือ คนที่บุกเข้าทำลายกันเมื่อมีการขัดแย้งกัน คือคนโง่ คนเลว เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นภูตผีปีศาจ สมคำที่ว่าการขัดแย้งหรือข้อขัดแย้งนั้นคือเสนียดจัญไร หรือสิ่งอุบาทว์ในโลกนี้ สิ่งอุบาทว์ในโลกนี้คือการขัดแย้ง งั้นระวังอย่าเกิดการขัดแย้ง ถ้ามันมีการก่อหวอดขึ้นมาจะเป็นการขัดแย้ง ก็แก้ไขให้เป็นการกลมกลืนกันไปเสีย นี่คือผู้นำที่ดี ที่จะนำโลกไปสู่ความสงบ ตามวิธีของพระพุทธเจ้า หรือนำหมู่คณะน้อยๆที่อยู่กันในความรับผิดชอบของตนตามที่ว่า ตนจะมีหน้าที่อย่างไร นำชั้น นำชั้นเรียน ในชั้นนักเรียนสักชั้นหนึ่งก็มีผู้นำ ถ้าผู้นำดีก็ไม่มีการขัดแย้งกับใคร แม้แต่ผู้นำเองก็พาไปได้โดยความสงบเรียบร้อย แล้วไม่ขัดแย้งระหว่างชั้น ระหว่างหมู่ ระหว่างชาติ ระหว่างอะไรทั้งหมด นี้มันนำไปอย่างดีที่สุด เลาะเลี้ยวไปอย่างฉลาดเฉลียว พ้นความขัดแย้งพ้นอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง เพราะความสามารถในการเป็นผู้นำ มีธรรมะของความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงอย่างนี้ มีพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างได้ทำสำเร็จแล้ว ด้วยลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องพูดไปอย่างเพ้อฝันหรือว่าพูดเอาเองหรือว่าคาดคะเนเอา มันเป็นสิ่งที่มีปรากฎชัดอยู่แล้ว ตลอดเวลาที่เรายังเชื่อ ยังนับถือธรรมะ จะใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาแล้วก็ รับรองได้ว่าจะไม่มีสิ่งที่กระทบกระทั่งหรือว่านองเลือด ซึ่งเป็นวิธีการของภูตผีปีศาจมากกว่าของมนุษย์
เอาก็ดูกันให้มันชัดลงไปอีกว่านำนี้นำไปไหน ไอนำนี้นำไปไหน ที่ควรจะเรียกว่านำที่มีประโยชน์ ก็นำให้เลาะเลี้ยวไป โดยไม่กระทบกระทั่งกับอุปสรรคใดๆ ไม่กระทบกระทั่งกับอันตราย หรือความตาย เราจะเห็นได้ว่าในฝูงสัตว์เดรัจฉาน นี่ไม่ใช่เอาจะคนไปเปรียบกับสัตว์เดรัจฉานหรือจะยกเดรัจฉานมาทับถมคน แต่ต้องการจะสังเกตุธรรมชาติพื้นฐานเป็นหลักก่อน เราจะเห็นว่า เมื่อฝูงสัตว์มันเดินไป มันก็มีตัวนำฝูงตัวหนึ่ง เป็นฝูงแพะ ฝูงแกะ ฝูงวัว ฝูงควาย อะไรก็ตาม มันก็มีตัวนำฝูงตัวหนึ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันจะข้ามแม่น้ำ ข้ามคลอง ข้ามอะไร มันจะมีตัวนำฝูงตัวหนึ่ง แล้วดูให้ดี ตัวนำฝูงนั้นเป็นตัวอะไร ตัวชนิดไหน มันก็เป็นตัวที่แก่กว่าเขาแหละ เพราะว่าไอ้ตัวที่แก่กว่าเขามันรู้อะไรมาก มันเกิดมาก่อนมันเห็นอะไรมาก มันก็รู้อะไรมากกว่า งั้นจึงนำได้ดีกว่า อย่างมันจะข้ามคลองนี้ ไอ้ตัวที่แก่ มันจะรู้มันควรจะไปข้ามตรงไหน ข้ามในลักษณะอย่างไร เมื่อน้ำมันเชี่ยวแล้วจะต้องทำอย่างไร กระทั่งรู้ว่าจะต้องเอาตัวเล็กๆไว้ที่ตรงไหน มันจึงจะว่ายข้ามคลองที่น้ำเชี่ยวไปได้ ตัวแก่ๆมันรู้อย่างนั้น งั้นตัวแก่ๆมันจึงได้รับโอกาสที่จะได้เป็นผู้นำ ทั้งที่มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันพูดกันไม่ได้ ขอให้คิดดูซิ มันยังมีการนำกันได้เรียบร้อยถึงอย่างนี้
ทีนี้คนที่มันพูดกันได้ ทำไมมันจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง ทำไมมันจึงนำไม่สำเร็จ ทำไมมันจึงไม่ยอมให้คนที่เกิดก่อนมาเป็นผู้นำ มันจะดื้อดันทุรังไปทำไมกัน ไปหาความวินาศ งั้นความเชี่ยวชาญมันอยู่ที่เกิดก่อน เรียนมาก มีประสบการณ์มาก มีการผ่านหน้าที่การงานมามาก คำว่าแก่นี้แก่โดยวัยก็ได้ โดยอายุก็ได้ โดยคุณสมบัติหรือความสามารถความรู้อะไรก็ได้ แต่ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ธรรมชาติอย่างธรรมดาของสัตว์แล้ว ไอ้ตัวที่แก่กว่ารู้กว่าเพราะมันก็ไม่ได้เข้าโรงเรียนต่างๆกัน ทีนี้คนเราก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ ไอ้คนที่เกิดก่อนจะเห็นอะไรมากกว่า แล้วก็ฉลาดกว่า ถ้ามันเกิดมาเหมือนกัน คนที่เกิดก่อนมันต้องฉลาดกว่า งั้นจึงเคารพหัวหน้าที่ได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้นำ ซึ่งมีอะไรแก่กว่าอย่างน้อยก็โดยอายุเป็นต้น งั้นคนโบราณเขาจึงสอนว่า เคารพคนเฒ่าคนแก่ เคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์ นี้จะเห็นว่าเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพไปเสียอีก เพราะสมัยนี้มันเป็นโรคประชาธิปไตยขึ้นสมอง ลัทธิประชาธิปไตยขึ้นสมอง แล้วก็จะไม่ยอมว่าใครเป็นผู้ที่ควรฟัง มันจะฟังแต่ตัวมันเอง มันก็จึงมีอาการที่เรียกว่าไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่ เคารพพ่อแม่ เคารพครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ มีเรื่องให้เคารพคนเฒ่าคนแก่พระเจ้าพระสงฆ์นี้ ไม่ใช่มันเป็นเรื่องงมงาย คิดดูก็แล้วกันนะ พ่อแม่ของเราเกิดก่อนเรา คนแก่ก็เห็นโลกมากกว่าเรา พระเจ้าพระสงฆ์ที่แท้จริงก็หมายถึงคนที่เรียนมากสังเกตุมาก คิดนึกทางจิตทางใจมาก
งั้นจึงมีอะไรที่จะแนะนำสั่งสอนมาก งั้นเราควรจะเชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ พระเจ้าพระสงฆ์ นี้เป็นหลัก เป็นเดิมพันไว้ก่อน เป็นพื้นฐานไว้ก่อน ขอให้นักเรียนทุกคนเชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ พระเจ้าพระสงฆ์เป็นพื้นฐานไว้ก่อน แล้วไม่เท่าไหร่เราเองก็จะโตขึ้นมา โตขึ้นมา ในที่สุดก็จะเป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ขึ้นมาเอง การที่คนแก่จะให้คำแนะนำ อะไรสักอย่างหนึ่งอย่าได้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ฟังเอาไปคิดไปพิจารณาให้ดีๆ มันไม่มีอะไรเล็กน้อย มันไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์ แต่มันอยู่ที่ว่าเรามันโง่เอง ก็จึงมองไม่เห็น ก็จึงถือเอาประโยชน์อันนั้นออกมาไม่ได้ ทั้งที่ในนั้นมันมีประโยชน์ นี้เขาเรียกว่าอย่าประมาทเลย พยายามที่จะฟังให้เข้าใจ แล้วล้วงไปถึงความหมายอันแท้จริง อันลึกซึ้งอยู่ในคำแนะนำสั่งสอนเหล่านั้น นั่นแหละคือสิ่งๆหนึ่งซึ่งมันนำหัวใจของเราถูกต้อง เรามีจิตใจถูกต้อง ดำรงตนถูกต้อง แล้วเราจึงจะสามารถนำคนอื่นต่อไปอีก หรือว่าเราเป็นเด็ก เราได้รับการนำจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ที่ดี แล้วต่อไปเราก็เป็นผู้นำแทนท่านเหล่านั้นอีก มีการนำที่ไม่ขาดสายอยู่ในโลกนี้ ก็เลยได้รับประโยชน์เต็มที่ ในการที่อยู่กันเป็นโลก รวมกันอยู่บนโลก นำจิตใจให้เดินถูกทางในภายในก่อน แล้วข้างนอกมันก็หมดปัญหาเอง โลกนี้ก็จะมีสันติสุขหรือสันติภาพ เพราะว่ามีธรรมะเป็นผู้นำ ก็เพื่อธรรมะเป็นผู้นำ เดี๋ยวก็จะแย้ง อ้าวไหนก็ช่วยกันซิ ว่าคนเป็นผู้นำหน่อย ข้อนี้อย่าเข้าใจผิด ที่ว่าธรรมะเป็นผู้นำ หมายถึงธรรมะที่มีในคนผู้นำแหละมันนำ อย่าให้กิเลสตัณหาบ้าๆบอๆ ของคนนั้นมันออกมาเป็นผู้นำ มันมุทะลุดุดันมันไม่รู้ประสีประสา ขนบธรรมเนียมประเพณีอะไร มาสาระพาเฮโลอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าคนมีธรรมะ ธรรมะมันจูงใจ เป็นผู้นำใจคนนั้น แล้วคนนั้นนำคนอื่นอย่างนี้ต้องเรียกว่าธรรมะในใจของคนนั้นมันเป็นผู้นำ ทีนี้โลกก็มีธรรมะเป็นผู้นำ มันก็เลยมีแต่สันติสุข ก็เคยเป็นกันมาอย่างนี้ ในยุคสมัยที่ถือธรรมะเป็นหลัก โลกจึงมีสันติสุข สันติภาพ
เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมาก ขอให้ช่วยกันระวังให้ดี คือเปลี่ยนแปลงไปในทางต่ำลง ไม่ใช่สูงขึ้น ต่ำไปในทางที่ไปหลงใหลไปในทางวัตถุ ซึ่งไม่ใช่ธรรมะ ไปหลงไหลในเรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อย่างที่เป็นของสมัยใหม่นั่นแหละ สมัยก่อนเค้าบูชาพระเจ้า บูชาพระธรรม บูชาศาสนา สมัยนี้เค้าบูชาเงิน เค้าบูชา ความสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ซึ่งไปรวมอยู่ที่เงิน ถ้ามีเงินแล้วก็ซื้อหาได้ งั้นคนสมัยนี้จึงบูชาเงินเป็นพระเจ้า อย่างกับคนสมัยก่อนเค้าบูชาธรรมะ ความดี ความจริง อะไรเป็นพระเจ้า เมื่อสมัยก่อนเค้าบูชาศีลธรรม แล้วศีลธรรมก็มีอยู่ในโลก โลกนี้ก็สงบ ที่นี้ก็บูชาเงิน ศีลธรรมก็หายไป หายไป เหลือแต่การเห็นแก่ตัว แข่งขัน แย่งชิงกัน เบียดเบียนกัน ทำอันตรายแก่กัน จนในบ้านในเมืองไม่มีความปลอดภัย อย่างในกรุงเทพฯไม่มีความปลอดภัยแก่ชีวิตร่างกายทรัพย์สมบัติ แม้กลางวันแสกๆ เพราะศีลธรรมมันหายไป มันมีแต่คนบูชาเนื้อหนัง เงิน สำเร็จประโยชน์แก่ชาวสุข สนุก ทางเนื้อทางหนัง มันตามก้นพวกฝรั่ง จนเค้านำหน้าไปก่อน เรื่องการบูชาเนื้อหนังนี่ ก็มีเทคโนโลยีที่จะผลิตไอ้เรื่องที่จะสร้างความสุข สนุกสนาน ทางเนื้อ ทางหนังก้าวหน้ามาก ศีลธรรมมันก็หายไป ความเป็นอย่างนี้เข้ามาแทน ก็บูชาสิ่งเหล่านี้แทนบูชาศีลธรรมหรือพระเจ้า อย่างนี้เรียกว่ากิเลสนำโลกแล้ว ไอ้วัตถุที่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส เป็นผู้นำจิตใจของคนเสียแล้ว คนก็เป็นธาตุคลานตามกิเลส เหล่านี้ แล้วก็มุดหัวกันลงไปในเหวในอบายในอเวจี แล้วก็ตกนรกหมกไหม้อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ นี่เป็นเมืองหลวง เป็นนคร เป็นมหานครอย่างยิ่งใหญ่ แล้วก็ยิ่งมีนรกอเวจีในนั้นมาก กลางถนนหนทาง กลางวันแสกๆ มันก็มีความไร้ศีลธรรม ก็มีการนำไปผิดโดยมนุษย์ที่มันเกิดโง่ขึ้นมา มีโมหะขึ้นมา แล้วก็มีความโลภ ความต้องการชนิดที่มีความโง่ไปตามความโง่นั้น แล้วบันดาลโทสะทำลายล้างกัน ฆ่าฟันกัน เหมือนของเล่นๆไปเลย มีอยู่ยุคหนึ่งซึ่งเค้าเขียนไว้ กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า คนมีกิเลสมาก ถึงขนาดที่ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ดูม้าดูเรืออะไรแล้ว เห็นแต่ประโยชน์ของตน เมื่อมีใครมาขัดขวางขัดคอก็ฆ่าฟัน ก็เกิดอาฆาตจองเวรหนักขึ้นๆ ต้องฆ่าฟันกันเหมือนกับว่า ฆ่าเนื้อ ฆ่าปลา หรือว่าตบยุง นั่นเค้าเรียกยุคมิคคสัญญี มิคคสัญญี สำคัญว่าเป็นเนื้อ เป็นปลา ไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน จะฆ่าฟันกันอย่างมีความหมายอะไร นี่ถ้าเรามีการนำไปผิด โลกก็จะเป็นอย่างนี้ ในเวลาใกล้ๆนี้เอง ถ้าขืนนำกันผิดอยู่อย่างนี้ โลกนี้ก็จะมาถึงจุดนี้ ถ้าเปลี่ยนมีการนำกันเสียถูกต้อง แล้วมันก็จะหลีกห่างจากจุดนี้ ย้อนกลับไปหาจุดของความสงบหรือสันติสุขสันติภาพ เป็นเผด็จศีลธรรมต่อไปตามเดิม
นี่มนุษย์ จะเป็นมนุษย์กันอย่างไร เป็นไปถึงที่สุดที่ตรงไหน มนุษย์นี่บางคนก็ทราบแล้ว ว่าแปลว่าอะไร แต่ลูกเด็กๆ ครูสอนกันแต่เพียงว่า มนุษย์แปลว่าคน อันนี้มันน่าหัว มันเป็นชั้นการศึกษาอย่างเด็กอมมือ มนุษย์แปลว่าคน ถ้ามนุษย์ตามความหมายของตัวหนังสือ ก็แปลว่าใจสูง และอีกคำก็แปลว่าเหล่ากอ เชื้อสาย ของคนมีใจสูง นั่นนะคือมนุษย์ มีคำแปลอยู่สองชนิด มีใจสูงอย่างหนึ่ง เหล่ากอของคนมีใจสูงอย่างหนึ่ง มันก็เหมือนกันนะแหละ คือมันมีใจสูงก็แล้วกัน ถ้าสูงก็คือไม่โง่ แล้วก็ไม่ทำอะไรผิดๆ พิสูจน์โดยที่มีผลเป็นความสงบสุขอยู่ในหมู่มนุษย์นั่นเอง ถ้าในหมู่มนุษย์มีแต่ความเดือดร้อน ระส่ำระสายเบียดเบียนกันเห็นการนองเลือดเป็นของสนุก แล้วก็มันไม่มีความเป็นมนุษย์แล้ว เพราะใจมันต่ำแล้ว นี้เราก็ดูกันเอาเอง เดี๋ยวนี้เราเป็นมนุษย์กันกี่มากน้อย หรือในที่บางแห่งจะไม่มีความเป็นมนุษย์เลยก็ได้ นี่เพราะมันนำกันผิด นำตัวเองผิด นำผู้อื่นผิด เป็นเรื่องความไม่มีธรรมะในความเป็นผู้นำ ไม่มีวี่แววแห่งคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเหลืออยู่ในหมู่คนเหล่านั้นเลย พระพุทธเจ้าเป็นโลกนายโก เป็นผู้นำโลก ท่านนำโลกไปตามวิธีของท่าน ไปสู่สันติสุข ส่วนบุคคล ส่วนสังคม เรื่อยไปๆ จนสู่สันติสุขอย่างพระนิพพาน 57.3 ถ้าผิดแบบนี้ก็นำไปๆๆ ห่างไกลจากสันติสุข สันติภาพ ไปสู่ความร้อน ไปสู่ความพินาศ ไปสู่ความหมดสิ้นของความเป็นมนุษย์ นี่ผู้นำ นำทางไหนก็ได้ ถ้านำไปถูกทาง แล้วมันก็ไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง นั้นอย่าให้มันผิดทาง อย่าถือด้านได้ด้านเดียว อย่างนี้ อย่างอื่นไม่ได้ กูเท่านั้นถูก คนอื่นมันผิด แล้วมันก็ยกพวกเข้าห้ำหั่นกัน มันก็เลยโง่ทั้งสองฝ่าย ถ้าพิจารณาด้วยเหตุผลว่ามันเป็นอย่างไร เพื่ออะไร ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมมันต่ำลงไป มันเอาแต่ความรู้สึกชั่วขณะ ชั่วแล่น ไม่คิดนึกให้ลึกซึ้ง เอาความลึกซึ้งทางจิตใจ นั่นเป็นประมาณ มีเอาประโยชน์ผิวๆเผินๆเป็นประมาณ ถือศาสนาหนึ่ง ญี่ปุ่นคนหนึ่งเค้าทำงานอยู่บริษัทฮิตาชิ เค้ามาบอกเพื่อนคนจีนที่เป็นคนไทยว่าเค้าถือศาสนาฮิตาชิ เค้าพูดจริงที่สุดว่าถือศาสนาฮิตาชิ นี่เค้ายังเปลี่ยนกัน ศาสนาฮิตาชิ ทั้งที่บิดามารดาของเค้า ก็ถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งซึ่งไม่ใช่ฮิตาชิ นี่คนไทยเราก็เหมือนกัน ระวังให้ดี จะกลายเป็นผู้ถือศาสนาเงินไปเสียหมด นี่คือว่าจิตมันถูกนำไปผิดแล้ว กิเลสตัณหานำผิดแล้ว มันก็ไปผิดหมด คือยินดีที่จะฆ่าผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัว แล้วก็คิดจะเก่งคิดว่าสามารถ ที่จริงมันพ่ายแพ้ตลอดเวลา พ่ายแพ้แก่กิเลส แล้วก็พ่ายแพ้แก่ความชั่ว แล้วก็พ่ายแพ้แก่ความทุกข์ ทางกาย มันก็ตายเปล่า ไม่มีราคาอะไร นี่พูดถึงความเป็นผู้นำตามหลักของพระพุทธศาสนา ในฐานะที่อาตมาเป็นพุทธบริษัท พูดอย่างอื่นไม่เป็น งั้นมาขอให้พูดทีไรก็พูดได้แต่วิถีทางของพระพุทธเจ้า ใครจะเบื่อหน้าใครจะเกลียดก็พูดกันอยู่แต่อย่างนี้ ตามใจ พูดอย่างอื่นไม่เป็น เพราะฉะนั้นวันนี้ก็พูดอย่างนี้อีก พูดอย่างอื่นไม่เป็น แต่วันนี้ก็รู้สึกเบาใจอยู่มาก ที่พอเอ่ยขึ้นครั้งแรกก็ได้มี ผู้ยืนยันว่า ผู้นำที่ดีที่สุดของโลกคือพระพุทธเจ้า แม้ว่าใครอยากจะเป็นผู้นำที่ดีก็ควรจะตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าในการเป็นผู้นำ พระพุทธเจ้าท่านนำใครไปที่ไหน ก็จงตั้งใจที่จะนำพวกเราไปที่นั่นตามที่เราจะทำได้ สรุปความแล้วก็นำไปสู่สันติภาพ สันติสุขนั่นเอง งั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ที่นอกจากจะทำประโยชน์แก่ตนแล้วยังจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นในฐานะเป็นผู้นำ จงได้สังวรณ์ระวังให้มากในเรื่องนี้ แล้วก็ขออวยพรให้ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้มีความสำเร็จในการเป็นผู้นำ นำทุกอย่างไปในทางที่ถูกต้อง มีแต่ความเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางของความถูกต้อง สมบูรณ์ไปด้วยความสุข ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ความเข้าใจผิดของผู้นำ หรือกิเลสนั่นแหละเป็นอุปสรรค ขวางตา บังตา ผู้นำก็เลยไม่เห็นว่าลู่ทางอยู่ยังไง ก็นำไปผิดทาง ผิดลู่ผิดทาง นี่ละอุปสรรค หรือจะเรียกอย่างอื่นก็ได้
เดี๋ยวนี้ก็ได้ถามกันแล้วว่า มีความเห็นอย่างไร ใครเป็นผู้นำที่ดีที่สุดของโลก ก็มีคำตอบว่าพระพุทธเจ้า แต่เค้าลืม ใช้คำว่าคนหนึ่งไป คุณไม่ต้องเสียใจ เค้าเรียกว่าพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งคือผู้นำที่ดีที่สุดของโลก เพราะฉะนั้นถ้าใครนำโลกเหมือนพระพุทธเจ้า ก็เป็นผู้นำที่ดีคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไม่ควรจะมีปัญหาในข้อนี้ อ้าวมีอะไรอีก มีปัญหาอะไรอีก
นี่ปัญหานอกเรื่องอีกแล้ว พระพุทธรูปก็เป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธเจ้า สิ่งก่อสร้างนั้นมีอยู่ว่า ถ้าใช้เพื่อเป็นสถานที่ทำงาน เป็นออฟฟิชมันก็เป็นที่ทำงาน แต่บางอย่างเช่นพระเจดีย์เป็นต้น เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เค้าอุทิศ อุทิศพระพุทธเจ้าก็มี อุทิศพระธรรมก็มี แล้วแต่เค้าจะอุทิศอะไร เหมือนพวกเจดีย์ พวกอนุสาวรีย์ เหล่านี้ต้องถามเค้าดู เค้าอุทิศอะไร อย่างพระพุทธรูปก็อุทิศพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปนี้ก็เรียกว่าเจดีย์ อุทิศพระพุทธเจ้า เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ให้มันง่ายขึ้นแก่บุคคลผู้ที่แรกเข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนา พระองค์พระพุทธเจ้าจริงๆปรินิพพานแล้วสองพันกว่าปีในประเทศอินเดีย แต่อะไรเหลืออยู่ มีพระธรรมเหลืออยู่ พระธรรมนั้นเป็นนามธรรม มองไม่เห็น เห็นยาก จึงสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาแทน มันง่ายแก่เด็กๆ หรือว่าคนที่เริ่มต้นการศึกษา จะได้รู้ว่าอ้อมันมีพระพุทธเจ้า เราก็ศึกษาจนกว่าจะรู้จักพระพุทธเจ้า ชนิดที่ไม่รู้จักดับไม่รู้จักตาย คือพระธรรม พระธรรมที่ทำให้เกิดความเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา งั้นถ้าเรามีพระพุทธรูป ก็ให้เป็นเครื่องเตือนใจว่า เราจะรู้จักพระพุทธเจ้าจนได้ เราจะทำตามพระพุทธเจ้าจนได้ ให้ถือว่าพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะ ที่ทำความดับทุกข์ก็จะดี นี่อยากจะให้ เดี๋ยวจะดู
ธรรมะของผู้นำก็คือที่พูดมาทั้งหมดนี้ ธรรมะสำหรับความเป็นผู้นำ ถ้าธรรมะสำหรับความเป็นผู้นำ คือความเป็นผู้รู้จักตัวเอง รู้จักปัญหาของตัวเอง แก้ไขกิเลสของตนเอง แล้วก็สามารถแก้ไขปัญหาของผู้อื่น นี่ความเป็นผู้นำ นี่ดูสัญลักษณ์นี่หน่อย นั่นที่หัวพาน มีขีดสี่เหลี่ยมเขียว วงกลมขาว สามเหลี่ยมแดง เมื่อตะกี้พระช่วยอธิบายหรือเปล่าว่าอะไร เมื่อตะกี้พระที่เค้าอธิบายที่นี่ เค้าอธิบายให้ฟังแล้วหรือยังว่าอะไร นั่นนะดู เขียนง่ายนิดเดียว เขียวสี่เหลี่ยมคือพระสงฆ์ ขาววงกลมคือพระธรรม แดงสามเหลี่ยมคือพระพุทธเจ้า ทีนี้ไปตีความเอาเองว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ทำไมให้พระพุทธเจ้าเป็นสามเหลี่ยมแดง พระธรรมเป็นวงกลมขาว พระสงฆ์เป็นสี่เหลี่ยมเขียว นี่กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ศิลปินเอกของประเทศไทยที่เขียนภาพนี้ สัญลักษณ์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความหมายศึกษาง่ายยิ่งกว่าพระพุทธรูป แล้วเป็นทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในนั้น ถ้าว่าพระพุทธเจ้ามีพระคุณ ที่พิเศษอยู่สามประการ แล้วพระคุณนั้นคืออะไร ใครตอบได้พระคุณนั้นคืออะไรสามประการ เอ๊ะเมื่อตะกี้เราบูชารัตนตรัย สวดกันนิดหนึ่ง มีออกชื่ออย่างนี้ใช่มั๊ย นี่ไม่สังเกตุหรืออย่างไร เมื่อตะกี้เราพูดถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระกรุณาคุณ ของพระพุทธเจ้าแล้วว่าอะระหัง สัมมา สัมพุทโธ มีพูดอยู่สามคุณ นี่ท่านเขียนสาม สามเหลี่ยม แล้วพระธรรมนั่นนะวงกลมขาวนั่นมัน สรุปอย่างไรไม่รู้จักจบจักสิ้น ความไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วก็ว่างด้วย คือว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ทีนี้พระสงฆ์ เขียวเหมือนกับเนื้อนา เนื้อนาให้เกิดบุญ นาสำหรับปลูกหว่านบุญ ก็เลยเรียกสัญลักษณ์พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วที่ทราบมา เขียนโดยศิลปินเอกของประเทศไทย คือสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ อ้าวมีปัญหาอะไรอีก
อาจจะไปเขียนให้มีลวดลายสวยงามกว่านี้ก็ได้ แต่อย่าทิ้งหลักนี้ เขียวสี่เหลี่ยม ขาววงกลม แดงสามเหลี่ยม รูปภาพเหล่านี้มีความหมาย ที่มีประโยชน์ที่สุด เราไม่มีเวลาจะศึกษา หรือจะฟังกัน กินเวลามาก แม้แต่ภาพเดียวก็อธิบายได้เป็นชั้นๆๆๆ สามชั้นอย่างน้อย ความหมายที่ลึก ที่ลึก ที่ธรรมดา ในภาพเดียว ยังต้องอธิบายกันถึงสามชั้น ทุกภาพมีความหมาย เพื่อความสงบสุขของมนุษย์ นี่เป็นฝีมือ ฝีไม้ลายมือของบรรพบุรุษเรา คือของคนไทยเรา ก็เข้าใจว่าทางภาคใต้นี้เหมือนกัน ภาพเขียนรอบนี้ทั้งหมดนี่ เค้าเรียกว่าเรื่องบรมจักร พระยาบรมจักร ฆ่ามารทำลายมารอะไรด้วยอาวุธ คือหนวดเต่า เถากระต่าย นอกบ ด้วยเรื่องสุญญตา ด้วยเรื่องอนัตตา ที่เรียกว่า หนวดเต่า เถากระต่าย นอกบ คือ ว่างจากตัวตน เมื่อเป็นเรื่องเป็นราวที่ไพเราะสนุกสนาน คุณไม่มีเวลาที่จะศึกษา โดยไม่รู้จักของดีของบรรพบุรุษ นี้ไม่ไช่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ถ่ายทอดมาจากสมุดข่อยของบรรพบุรุษ แสดงธรรมะอย่างสนุกสนาน มีประโยชน์ที่สุด แต่ต้องกินเวลามาก ทำให้เหมือนกับนิยายเรื่องจักรๆวงศ์ๆ มีพระเอก มีนางเอก มีอะไรต่างๆ ถ้าว่ามนุษย์ในโลกเค้าสนใจเรื่องอย่างนี้กันแล้ว โลกก็ไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็น
นั่นนะ หนวดเต่า เถากระต่าย นอกบ คือว่าอนัตตา ไม่ได้มีตัวตน มีแต่ชื่อ ตัวตนจริงมิได้มี คำที่ว่าตัวกูของกู ตัวกูของกู นี้มันมีแต่ชื่อ ตัวจริงมิได้มี งั้นถ้าเรารู้ความจริงข้อนี้ เหมือนกับว่าเราพบ หาพบหนวดเต่า เถากระต่าย นอกบ เค้าแยกออกเป็นสามส่วนเพราะว่า ไอ้เถากระต่ายนั้นนะมันเป็นคันศร เอามาทำคันศร หนวดเต่าเอามาทำเป็นสายศร นอกบเอามาทำเป็นลูกศร แล้วก็ยิงไปที่เมืองของพญามาร คืออนัตตา สุญญตา ไม่ได้มีตัวตนจริง มีแต่สักว่าชื่อ ไว้สำหรับหลอกคนว่าตัวกู ว่าของกู ว่าเงินของกู ว่าทองของกู ก็ไปดูเรื่องลิงล้างหูที่ตรงนี้ มันพูดว่าเงินของกู ทองของกู มากเกินไป แล้วลิงก็วิ่งไปล้างหู อ้าวมีปัญหาอะไรอีก เวลามีน้อย ถ้างั้นก็จะได้ปิดประชุม ปิดประชุม
จะดี จะถามดี หรือว่ามีเหตุผลที่ควรจะถาม แต่ว่ามันไขว้กันอยู่ ที่ว่าไขว้กันอยู่นะ คือคนหนึ่งอยากจะพูดว่า เดี๋ยวนี้ไปงมงายในเรื่องประชาธิปไตย สงวนสิทธิเสรีภาพมากเกินไป จนไม่ฟังคำของคนอื่น จนไม่เคารพ ไอสิ่งที่เค้าเคยเคารพ โดยถือว่าการไปเคารพใครอะไรเท่านั้น มันเสียสิทธิ เสียเสรีภาพ คิดว่าเค้าเป็นนักประชาธิปไตยที่ดี ที่มีธรรมะ ไม่ได้หลงในประชาธิปไตยก็ถูกแล้ว เค้าก็ยังเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไอ้ที่แท้จริงนี่ ที่ไม่แท้จริง เค้าก็ไม่เคารพ อย่างที่คุณก็พูดอยู่แล้ว แล้วจะเอาอะไรกันอีก ก็ยืนยันว่าเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง ถ้าไม่แท้จริงก็ไม่ต้องเคารพ ก็มันมีชัดอยู่แล้วอย่างนั้น งั้นประชาธิปไตยนี้ มันมี กำลังมีปัญหา คือว่าอย่างที่งมงายก็มี อย่างไม่งมงายก็มี เดี๋ยวนี้ทวงกันแต่สิทธิเสรีภาพ จนไม่รู้ว่าจะเสรีภาพกันอย่างไร มันก็เลยเตลิดเปิดเปิงเป็นxxxx 1.16.53 คือประชาธิปไตยที่แท้จริงมันก็มีธรรมะเป็นหัวใจ ถ้าประชาธิปไตยไม่ประกอบไปด้วยธรรมะแล้ว ก็จะเลี้ยวไปหาความผิดพลาด งมงายแล้วแต่ จะทำลายโลก ประชาธิปไตยงมงาย จะทำลายโลก ประชาธิปไตยที่แท้จริงก็จะช่วยโลกให้เรียบร้อยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ ซึ่งไม่มีลัทธิอื่นจะดีกว่า แต่ตอนนั้นก็ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีศีลธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วใช้ไม่ได้ ประชาธิปไตยไหนก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้ามีศีลธรรมแล้ว เผด็จการก็ยิ่งดีนะ หากเค้ามีศีลธรรมแล้ว เผด็จการก็ยิ่งดี มันเร็วดีกว่า แล้วเค้าก็ไม่พาไปในทางที่ผิด เค้าเป็นผู้เผด็จการที่มีธรรมนำไปแต่ในทางที่ถูก มันเร็วกว่าประชาธิปไตยงุ่มง่าม คลานงุ่มง่ามในการเหนี่ยวแข้ว เหนี่ยวขากันไว้ ไม่มีที่สิ้นสุด มีอะไรอีก
ไม่ใช่โหร ทำนายไม่ได้ ไม่ใช่โหร ทำนายไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำนายไม่เป็น อย่างมากก็สันนิษฐานจากการสังเกตุ แล้วก็ไม่มีทางผิด ถ้ายังละเลิก ละเลยศีลธรรมกันอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ พินาศแน่ ประเทศไทยประเทศไหนก็ตาม ถ้ายังละเลยศีลธรรมอยู่อย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้ วินาศแน่ ถ้าเลี้ยวกลับไปหาศีลธรรม ยึดมั่นในศีลธรรมแล้วจะรอดแน่ โลก ประเทศไหนก็ตาม
เป็นคำที่แปลกออกไป ศาสนาไม่ได้อยู่ที่อิฐที่ปูน แต่อยู่ที่หลักการ หลักการนั้นคืออะไร หลักการนั้นคืออะไร คือว่าหลักคำสอนที่ถูกต้อง หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง จนได้รับผลอันแท้จริง นี้เรียกว่าหลักการถูกแล้ว พระธรรม พระศาสนา อยู่ที่ความถูกต้อง หลักการของปฏิบัติอะไรต่างๆ มิได้อยู่ที่อิฐปูนก็ถูกแล้ว อิฐปูนเป็นสัญลักษณ์ทั้งนั้น ตัวจริงมันอยู่ในใจของคน จนมีความถูกต้องอยู่ในใจของคน โดยการปฏิบัตนั้นๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ปิดประชุม ประธานปิดประชุม