แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
.วันที่ 21 ตุลาคม 2517 ต่อไปนี้เป็นโอวาทแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชุมนุมพุทธศิลป์ เดี๋ยวนี้ ก็จะกลับแล้ว ก็จะได้พูด กันนิดหน่อยสำหรับ เป็นที่ระลึกในการที่ได้มาที่นี่ นี่ก็จะถือว่าเป็นโอวาทบ้างก็ได้ สำหรับเกี่ยวกับ พุทธศาสนา มีเรื่องมาก แต่อาจจะสรุป เป็นใจความได้ สำหรับเป็นหลัก ของผู้ปฎิบัติ เมื่อถามว่าพุทธศาสนาทำไมกัน ก็มักจะตอบต่าง ๆกันโดยมากก็ต้องตอบว่า เพื่อดับทุกข์ อย่างนี้ ที่จริงมันก็ไม่พอ นะแต่ว่ามันเป็น ความมุ่งหมายใหญ่เท่านั้น เพราะมันมีลักษณะเป็นเหมือนกับ เนกาทีฟ (Negative) มากเกินไป ไม่มีอะไรที่น่าหวัง จึงใช้ไม่ได้สำหรับคนสมัยนี้ ซึ่งไม่รู้จักความทุกข์ เลยไม่รู้สึกว่ามีความทุกข์ เขาจึงไม่สนใจ เมื่อพูดว่าพุทธศาสนาสำหรับดับทุกข์ เขาจะเป็นทุกข์ อย่างไร เท่าไร เขาก็ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ ก็เลยไม่สนใจที่จะดับทุกข์ นี้เรามองดู อีกทางหนึ่งก็จะพบว่า เพื่อให้มัน เป็นสิงที่มีประโยชน์มากที่สุด ในชีวิตนี้มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด หรือว่าให้มนุษย์นั้นมันได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ พูดในลักษณะ โพซิทีฟ (Positive)อย่างนี้มันมีคนสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ พอว่าจะได้อะไรบ้างหรือได้อะไรมาก นี้ก็สนใจหูผึ่งขึ้นมา นี้เราจะต้องรู้กัน ในแง่นี้มากกว่าสำหรับเราเองก็ดี สำหรับผู้อื่นที่ เขาจะมาถามเราก็ดี กระทั่งจะไปพูดจากับ ชาวต่างประเทศ ที่กำลัง ไม่รู้อะไรเลย เข้ามาใหม่ ๆ พระพุทธศาสนานี้ เราเรียนหรือเราปฏิบัติ หรือเรามาเกี่ยวข้อง โดยวิธีใดก็ตาม เพื่อให้มันได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์มันควรจะได้ หมายความว่าถ้าไม่มีธรรมะในพุทธศาสนาเข้ามาช่วยด้วย มนุษย์นี้จะไม่ได้ ทั้งหมด เท่าที่ ควรจะได้ ตามที่ธรรมชาติกำหนดให้ ลองไปสังเกตดู คนที่ไม่เคยเรียนธรรมะ ปล่อยอะไรไปตามบุญตามกรรมนี้ มันก็ได้อะไรน้อย หรือว่ามันจะได้เงิน มาก ก็สุดแท้แต่มันก็ ยังได้มีความทุกข์มาก เพราะเงินนั้น มันเป็นอย่างนี้ แล้วเรานอกจากจะดับทุกข์แล้ว มันยังได้ต่อไป ถึงไอ้ที่ ดีที่สุด ที่ควรจะได้ ซึ่งตามธรรมดา เขาก็ต้องเรียกกันว่าความสุข แต่ถ้าพูดตามความจริงแล้วก็ ในทางพุทธศาสนามันไปไกลเกินกว่าที่จะเรียก ว่าเป็นความสุข กลายเป็นความพ้น ความหลุดพ้น นอก ออกไปจากความสุขเสียอีก ความทุกข์มันไม่ไหว ไอ้ความสุขนี้มันก็เหนื่อย การเสวยสุขนั้นไม่ใช่ของที่ไม่มีภาระ มันเป็นสิ่งที่มีภาระ ต้องทำ ต้องเก็บ ต้องรักษาอะไรต่าง ๆ หรือมันมาหนักอกหนักใจอยู่ เดี๋ยวก็จะไม่ได้ความสุข เดี๋ยวก็จะเอาความสุข เขาก็เลยต้องการที่มันพ้นไปกว่านั้นไม่มีอะไรรบกวน ก็รวมความว่ามันเป็นทุกข์ไม่ได้ แต่แล้วมันก็ไม่มาสุขชนิดที่ต้องมาแบกมาหาม มาประคับประคองบริหารอะไรอยู่ เป็นห่วงอยู่ วิตกกังวลอยู่ นั้นหมดกันเท่านี้แหละ ที่จะได้จากพุทธศาสนา ก็ได้ ถึงสภาพที่อยู่เหนือ ปัญหา ทุกอย่างทุกประการ ไอ้สิ่งที่เราไม่ชอบนั้น จะเรียก เรียกว่าปัญหาก็ได้ จะเรียกว่าภาระหนักก็ได้ ปัญหาคือมันยุ่งยาก มันรบกวน มันทรมานอย่างนี้ เขาเรียกว่าปัญหา ไอ้ภาระหนักนี้ เห็นยาก เราชอบของหนัก เสียอีกด้วยซ้ำไป มันซ่อนเร้นอยู่ ในรูปของไอ้สิ่งที่ เหมือนกับว่าไม่ใช่ภาระ คนเรามันมีภาระ อย่างเปิดเผย เช่นว่าต้องกิน ต้องถ่าย ต้องอาบ ต้อง บริหารร่างกายนี้เป็นภาระ แต่คนก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นภาระ ไอ้นี้มันก็ไม่เท่าไร นี้ภาระที่จะต้องทำอย่างไรจึงจะมีกินมีใช้มี นี้แหละเป็นภาระจัดขึ้นมา นี้ต้องเล่าเรียนต้องประกอบอาชีพ ก็ได้ทรัพย์สมบัติอะไรมา ก็เป็นภาระที่จะรักษา หรือภาระที่จะทำให้งอกงามออกไป นี้มันเป็นภาระอย่างนี้ แล้วภาระที่ซ่อนเร้นก็คือภาระที่ มันจะต้อง เสวยความสุข ความกระหายมันมี มีอยู่ภายใต้สำนึก มันจึงทนอยู่ไม่ได้ ต้องยอมลำบากในการเสวย ความสุข ซึ่งมีอยู่หลายชั้น อย่างที่ทั่วไปสำหรับสัตว์ทั้งปวงก็ภาระ เรื่องกามารมณ์ ระหว่างเพศ นี้มันเป็นความลับ หลายซับหลายซ้อน ว่าทำไมคน จึง เกิดความรู้สึก ต้องการความสุขระหว่างเพศ ก็เพราะว่า ไอ้สัตว์ทั้งหลายมันเป็นขี้ข้า เป็นทาส รับจ้างธรรมชาติที่มันใส่ความรู้สึกอันนั้นมาให้ ในต่อมเกรนต่าง ๆในร่างกายคนในร่างกายสัตว์ พอถึงขนาดมันก็ต้องการไอ้ความรู้สึกทางเพศ ต้องการกิจกรรมทางเพศ อดอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้มันร้องไห้ถึงกับฆ่าตัวตาย สำหรับคนนะ แต่สำหรับสัตว์มันไม่โง่มากถึงอย่างนั้น มันไปตามธรรมชาติ มันก็เลย คนมันต้องมีภาระ ที่จะได้ ได้ความสุข ที่แท้ก็คือภาระ ที่ธรรมชาติมันใส่มาในสิ่งที่มีชีวิตเพื่อมีการสืบพันธุ์ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ จะเรียกความ ลึกซึ้งของธรรมชาติก็ได้ ถ้าไม่ใส่อันนี้มาให้ สิ่งที่มีชีวิตมันไม่สืบพันธุ์ แม้แต่ต้นไม้ ต้นไร่มันไม่สืบพันธุ์และมันสูญหายไปแล้วมันไม่เหลืออยู่ได้ นี้โดยเพราะเหตุที่มันเหลืออยู่ได้ เพราะมันต้องมีสิ่งอันนี้ ซึ่งมันใส่ไว้ในธรรมชาติส่วนลึก ต้นไม้ก็สืบพันธุ์ สัตว์ก็สืบพันธุ์ คนก็สืบพันธ์ ในเรื่องสืบพันธุ์ไม่ใช่เรื่องสนุก มันเรื่องลำบาก มันเลยใส่ค่าจ้าง อย่างสูงสุดไว้ให้คือความรู้สึกทางเพศ มันก็เลยมีการสืบพันธ์กัน ทั้งต้นไม้ ทั้งสัตว์ ทั้งคน นี้ภาระที่ซ่อนเร้น เป็นของหนักยิ่งกว่าหนักที่ซ่อนเร้นอยู่โดยไม่รู้สึก นี้พระพุทธเจ้าท่านรู้ เรื่องนี้ และพระอริยะเจ้าทั้งหลายก็พลอยรู้ เรื่องนี้ นั้นจึงพยายามเอาชนะเรื่องนี้ เอาชนะความรู้สึกชนิดนี้ นี้ถ้า เอาชนะได้ หรือแม้แต่เริ่มรู้ เริ่มเอาชนะได้ เขาก็เรียกว่าพระอริยะเจ้าไปเลย เป็นพระโสดาบัน ปฎิคานามี อนาคามี อย่างพระอริยะเจ้าชั้นต้นเช่นพระโสดาบันมีการสืบพันธ์ตามธรรมชาติ ไม่ใช่บ้ากามารมณ์ แต่คนปุถุชนทั้งหลายมันบ้ากามารมณ์ ก็ต้องทำหน้าที่สืบพันธ์ด้วย มันต่างกันอย่างนี้ นั้นจึงมองให้เห็นว่า นี้คือความต่างกันของมนุษย์ที่มีธรรมะ หรือไม่มีธรรมะ คนที่มีธรรมะมันเปลื้องภาระได้ทั้งที่ เป็นภาระเห็นชัด เป็นภาระซ่อนเร้นอย่างลึกลับ นี้ก็ยังสงสัยอยู่ว่าการ แสดงอานิสงค์อย่างนี้ใครมันจะชอบใจสักกี่คนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนสมัยปัจจุบันนี้ ที่ว่ามีการศึกษาเจริญโดยเฉพาะพวกฝรั่งนั้น นี้แหละคือว่า คำตอบ ของปัญหาที่ถามว่า พุทธศาสนาทำไมกัน หนึ่งเพื่อดับทุกข์ ทุกชนิด ทุกข์อย่างซ่อนเร้น และเปิดเผย ก็เพื่อ ถึงภาวะที่ ไม่มีความทุกข์เลย แต่เป็นอิสระ อย่างดีที่สุด ถ้ารู้ ข้อเท็จจริงอันนี้ไว้ ก็จะป้องกันไอ้ความหลงได้ คือไม่หลงเป็นทาส ของสิ่งที่ เร้นลับนั้น หรือกิเลส หรือว่าทำอะไรก็ได้ ทำประโยชน์ผู้อื่นได้มากกว่า เสียอีก เพราะไม่เห็นแก่ตัว ถ้ายังเป็นทาสของกิเลสก็ต้องเห็นแก่ตัว ทำอะไรเพื่อตัว อย่างที่เดี๋ยวนี้กำลังบูชาเนื้อหนัง ความสุขส่วนตัว นี้ก็ทำประโยชน์ผู้อื่นได้น้อย ถึงทำก็ทำหลอกๆ ทำเพื่อให้เขาสรรเสริญเยินยอแล้วตัวก็มีโอกาสแสวงหาประโยชน์แก่ตัว นี้มันไม่ถูกไม่ตรงตามความมุ่งหมายของพุทธศาสนา คือไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ได้สิ่งหลอก ๆ เหมือนที่ได้กันอยู่โดยมาก ในทางวัตถุ แต่นี้ต้องความเจริญทางวัตถุมีมาก ไปโลกพระจันทร์ได้อย่างของเล่น ต่อไปมันก็อาจมีอะไรมากไปกว่านี้ แต่แล้วโลกนี้ก็ไม่มีสันติภาพ มีแต่ความ เบียดเบียนหรือเอาเปรียบกันยิ่งขึ้นไปอีก นี้ธรรมะจะมา จะมาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ อย่าให้คนมัน เห็นแก่ตัวเบียดเบียนกัน แต่ว่าใช้ไอ้สิ่งที่มันมีประโยชน์นั้นแหละ ให้เป็นประโยชน์อย่างถูกต้อง มิฉะนั้นก็ใช้ในทาง ผิด คือทำลายมนุษย์ อย่างเดียวนี้เราใช้ ไอ้ของ ที่เรียกได้ว่าของวิเศษ สำหรับสมัยปัจจุบันนี้ เพื่อทำลายมนุษย์ทั้งนั้น เรื่องอาวุธชั้นวิเศษ เรื่องเครื่องไม้เครื่องมืออันวิเศษ แม้กระทั่งว่า วิทยุ รถยนต์นี้ มันก็ใช้ เพื่อทำลายมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เป็นบ้ามากขึ้น เป็นเรื่องสนุกสนาน มากกว่า เรื่องที่ มากกว่าเรื่องที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ ก็ลองฟังวิทยุทั้งหลายดูมีแต่เรื่องยั่วยุให้คน เป็นทาสของกิเลส ไปเสียทั้งนั้น ที่จะมีจิตใจชนะกิเลสนั้นมันไม่มี ทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้เราก็ รู้กันอยู่แล้ว เปิดวิทยุฟังเมื่อไรก็ได้ ในโลกนี้ มีตลอด ตลอดวันตลอดคืน มันเป็นเรื่อง ยั่วยุ ให้เกลียดชัง คือเป็นเรื่องการเมืองทั้งหลาย มันเป็นเรื่องยั่วยุให้บ้าหลังในกามารมณ์ บทเพลง ดนตรีต่าง ๆทั้งหลาย เมื่อคนอย่างนี้มันบัญญัติ มันก็บัญญัติว่านี้เป็นของดี บทเพลงที่ยั่วยุได้มาก ก็ยิ่งว่าของดีมาก ทางธรรมะก็ว่ามันยิ่งเลวมาก เพราะมันทำให้คนหลงใหลมาก เราจึงอยู่ในฐานะที่ลำบาก ในการที่อยู่ในโลกสมัยปัจจุบัน ที่เขากำลังหมุนไปหาไอ้ความเป็นทาสของกิเลส ซึ่งเมื่อมันเป็นเข้าแล้วมันก็เป็นความความทุกข์ หรือมันมีภาระ หนัก ชนิดที่ไม่รู้ ไม่รู้จัก ไม่มองเป็นตัว การที่มาเรียนธรรมะเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ บางคนเขาก็หาว่าบ้า ไอ้พวกคนบ้านี้ ที่ไปศึกษาพุทธศาสนา จะบ้าหรือไม่บ้าก็ คิดดูเอง เราต้องการจะมีความเป็นอิสระ จากสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจะมี มากยิ่งขึ้น ทุกวัน ๆในโลกนี้ เพราะคนทั้งโลกมันกำลังเห่อไปทางนี้ มันต้องโง่ มากกว่านี้อีกหลายเท่า หลงมากกว่านี้อีกหลายเท่า และก็ฆ่ากันวินาศทั้งค่อนโลกเสียก่อน มันจึงจะนึกได้ ว่าที่ถูกนั้นควรจะ ถือหลัก ธรรมะ ถือหลักของพระศาสนาที่อย่าให้ไปเป็นทาสของกิเลส เป็นอยู่ในจิตใจบริสุทธิ์ สะอาดมีเมตตากรุณา ตามแบบของศาสนาที่เห็น ๆกันอยู่ที่สอน ๆไว้ นี้เราไปทำอะไรเขาไม่ได้ คนทั้งโลกมัน ส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนั้น เราจึง ปลีกตัวออกมา ศึกษาธรรมะ ศึกษาศาสนาเพื่อปฏิบัติ ส่วนตัวเรา ซึ่งเทียบกันแล้วก็มีจำนวนน้อยมาก แต่ว่าไม่ใช่ไม่มี ไอ้น้อยมากนี้คง หลายหมื่นหลายแสน ตั้งล้านเหมือนกัน สุดท้ายที่สังเกตดูไอ้พวกที่มันมาที่นี่ ไปมาอยู่เสมอนี้ พวกฝรั่งนี้ก็มีมาก แต่เมื่อเทียบกับทั้งหมดแล้วมัน มันน่าใจหาย ถ้าคนทั้งโลกมันเป็นพันล้าน สนใจอย่างนี้สักล้านเดียวนี้มันไม่ถึง ไม่ถึง ฉะนั้นเราก็ ต้องเรียกว่า อยู่ในฐานะที่ต้องเรียกว่ามันปลงตก จึงเลือกเอาข้างฝ่ายที่จะไม่เป็นทุกข์ แม้ว่าคนทั้งโลกเขาไม่รู้ เขาหลับหูหลับตา เพื่อจะไปหาความทุกข์ ไอ้เราก็ไม่เอา เราก็มีเพื่อนเหมือนกันไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อน แต่มันไม่มาก หนึ่งล้านคนต่อหนึ่งคน หรือว่าหนึ่งแสนคนต่อหนึ่งคน ถึงครั้งพระพุทธกาลก็เหมือนกัน ไม่ค่อยมาก อย่า อย่าเข้าใจผิดแต่มัน คงจะมากกว่าเดี๋ยวนี้แหละ เพราะครั้งกระโน้นยังไม่มีส่วนยั่วยวนมาก เหมือนเดี๋ยวนี้ ครั้งกระโน้นเป็นยุคที่เขา บูชา ความรู้ หรือภูมิธรรมในทางจิต ทางวิญญาณกันอยู่เป็นพื้นฐาน ฉะนั้นคนจึงรู้ธรรมะมากโดยเทียบส่วนแล้ว มันก็มาก มากกว่าเวลานี้มาก นี้คุณ ทุกคน จะ ศึกษาพุทธศาสนาไปทำไม นี้ก็ คิดดู ถ้า ถ้า ถ้าขอร้องให้บอก ก็ต้องบอกอย่างนี้ มันไม่มีเรื่องอย่างอื่นที่จะบอก คือว่า ให้มี ความ สงบเย็น ตั้งแต่ขั้นเล็ก ๆน้อย ๆขึ้นไป ใน ในประจำวันนั่น นี่ มีความสงบเย็น ในจิตใจ แล้วก็มากสูงขึ้นไปถึงว่ามันหมดกิเลสไปเลยอย่างนี้ นี้เราเรียกว่าไม่ใช่เพื่อดับทุกข์ เพราะว่าบางทีเรา ก็ไม่มีความทุกข์เหมือนกันไอ้เราก็เองนี้ แต่ว่าในระหว่างนั้นเราจะทำอะไรก็ต้องให้มันได้ไอ้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ จะเรียกว่าความสุขก็ได้ ถ้าพูดเป็นภาษาสมัยใหม่สักหน่อย ก็จะพูดว่า เพื่อ ชีวิตที่ดีกว่า ภาษานักประพันธ์หรือภาษาสมัยใหม่ก็ตาม ที่จะก็พูดกันแกมเล่นแกมจริงกับพวกฝรั่งนี้เราพูดอย่างนี้ ก็เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ถ้าเราไม่ศึกษาพุทธศาสนา ไม่ปฏิบัติพุทธศาสนาเราจะได้ชีวิตที่เลวกว่านี้ ถ้าเรารู้เราปฏิบัติเราจะได้ชีวิต ที่ดีกว่า ในระดับนั้น เดอะเบทเตอร์ไลฟ์ ภาษาธรรมดาเด็ก ๆอย่างนี้ ถูกที่สุด ตรงที่สุด จะได้ชีวิตที่ดีกว่าธรรมดาที่ควรจะได้ ขอให้ทุกคนที่อุตส่าห์มาที่นี่ ศึกษาพุทธศาสนาให้มันได้ สิ่งนี้ ในฐานะเป็นวัตถุประสงค์ ถ้าไม่ศึกษาพุทธศาสนา จะไม่ได้ถึงระดับนี้ จะได้อย่างธรรมดาสามัญ หรือว่ามิฉะนั้นก็จะได้อย่างเลว อย่างที่เราต้องร้องไห้ต้องฆ่าตัวตายไปในที่สุด เหมือนกับเพื่อนของเราวิ่งไป กระโดดน้ำตายที่สะพานพุทธ มันก็ได้อย่างนั้น ซึ่งก็มีอยู่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ไม่มี และก็มีอยู่เสมอ ทีนี้ก็ลองคิดดูแหละว่ามันเนื่องกันอยู่กับสติปัญญา ไม่น้อย ต้องการสติปัญญาที่ไม่น้อย ที่จะรู้ ข้อนี้ได้ แต่เราก็ไม่มีสติปัญญา ในข้อนี้เรามักจะมีสติปัญญาเหลือเฟือ หรือเฟ้อไปในทางอื่น ไม่เคยคิดว่าเราจะได้ชีวิตที่ดีกว่าหรือจะระงับดับ ปัญหา ไอ้ภาระทั้งหลาย แม้แต่ ว่า เกิดมาทำไม เราก็ไม่รู้ ถ้าถามว่าเกิดมาทำไมทุกคนจะยกมือ แล้วตอบได้กันทุกคนว่า แต่ก็ตอบตามความรู้สึกของเขา นั้นมันผิด ก็มี ถูกน้อยเกินไปก็มี เพราะยังเต็มไปด้วยความสงสัย คือมันไม่รู้จริง ๆนะว่าเกิดมาทำไม เพราะฉะนั้นจะตัดบทเสียเลยว่า ไอ้เกิดมาทำไม เกิดมาจากไหน มันไม่ต้องรู้ก็ได้ ไม่จำเป็นหลอก ขอให้รู้ แต่ในข้อที่ว่า เมื่อเกิดมาแล้วนี้จะต้องทำอย่างไรนี้ นี้มันจะได้แคบเข้ามา ถ้าตั้งปัญหาไว้กว้างนักว่าเกิดมาทำไม ชาติก่อนเป็นอย่างไร เกิดมาจากไหน โดยอะไรนี้มัน ไม่จำเป็นหรอก มันป่วยการ แล้วมัน มันจะรู้ไม่ได้ด้วย หรือรู้ได้มันก็ไม่จริงด้วย แม้จริงมันก็ยังเกินความจำเป็นอีก ฉะนั้นเอาที่ว่าจำเป็นเดี๋ยวนี้ที่เราเกิดมาแล้วอายุเท่านี้แล้วจะต้องทำอะไร อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ กำลังศึกษาไอ้วิธีที่จะให้มันได้ชีวิตที่ดีกว่า มันถูกที่สุดแล้ว บางคนอาจจะ เถียงว่าไอ้ที่เรารู้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะต้องทำอะไร อย่างไรนี้ มันก็รวมอยู่ในปัญหาที่ว่าเราเกิดมาทำไม ใช่ไหม ก็บอกว่าจริง ถูกแล้วแหละ แต่เราแยก เอามานิดเดียว เราไม่เอาทั้งหมดหรอก ที่ว่าเกิด เกิดมาทำไมบางทีมันกว้างเกินไป เอาแต่ว่าเกิดมาแล้วเดี๋ยวนี้ จะต้องทำอะไร ทำเท่านั้นให้เสร็จเกิดมาเพื่อนั้นแหละ เพื่อ เท่านั้นแหละ มันก็มาเหลืออย่างที่ว่า ตะกี้นี้ว่า เดอะเบทเตอร์ไลฟ์ นั่นเอง แล้วก็ให้มันดีที่สุด มันก็จบเรื่องแหละ ถ้ามันดี ถึงที่สุดก็คือไม่มีปัญหาไม่มีเรื่องไม่มีความทุกข์ ที่พูดนี้มัน อาจจะ เกินไปก็ได้ ตามความรู้สึกของคนทั่วไป แต่ที่จริงมันไม่เกิน มันมีเท่านี้ มันมีใจความสำคัญเท่านี้ ถ้าอยากมาเรียนพุทธศาสนา เราก็ต้อง ให้มัน ตรง กับเรื่องพระพุทธศาสนา อย่างน้อยเอาไปใช้ปลดเปลื้องในสิ่ง รบกวน เป็นทุกข์ ของหนักอกหนักใจทั้งหลาย เมื่ออยู่ในระยะ ของการเล่าเรียน อย่าง ที่เป็นนักศึกษาอย่างนี้ มันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เพราะการศึกษาอีก ก็ต้องแก้ได้ ก็นี้เราเป็นคนธรรมดา เป็นเด็ก เป็นคน มีปัญหาจะต้องมีความทุกข์อย่างไรก็ต้องแก้ได้ พอโตขึ้นเป็นนักศึกษามีเรื่อง ที่ต้องเรียนมาก มีหน้าที่มากแต่ปัญหาก็ต้องเพิ่มขึ้น มันก็แก้ได้ แก้ได้ในจิตใจที่ อบรมไว้ดีแล้ว จิตใจที่เรา ให้การศึกษาให้การปฏิบัติมาดีแล้ว มันก็เป็นจิตใจที่แก้ปัญหาได้ ไม่มีความทุกข์ จะเรียนได้ดีด้วย ถ้าจิตมันเป็นสมาธินะ แม้สมาธิตามธรรมชาติมันก็จะพออยู่แล้ว ขอให้มันจริง ๆเถอะ อย่าเป็นเด็กเลว ก็มีสมาธิตามธรรมชาติ ในการเรียนก็เรียนสำเร็จได้มากเหมือนกัน ถ้าบังเอิญมาศึกษาสมาธิตามแบบพุทธศาสนาบ้าง มันก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก มันก็ มีประโยชน์มากขึ้นไปอีก แต่ต้องเป็นการศึกษาสมาธิ ที่มันถูกต้องมันวัดได้ด้วยการที่มีผลคือ มีจิตใจมั่นคง มีจิตใจบริสุทธิ์ มีจิตใจว่องไวในหน้าที่ ของจิตใจนั่นเอง นี้ตามหลักเดิมแต่โบราณที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ มีอย่างนี้ จิตที่บริสุทธิ์หมายความว่า ไม่ ไม่ ไม่กำลังไม่มีกิเลสเกิดขึ้นรบกวน กระทั่งมีความสุข มีความพอใจในตัวเอง นี้แปลว่ามีจิตที่มันบริสุทธิ์มันได้มาจากการอบรมเป็นพิเศษ แล้ว แล้วจิตตั้งมั่น จิตเข้มแข็ง มีกำลังใจเข้มแข็ง มารวมอยู่ที่ วัตถุประสงค์ที่เราจะทำ จิตตั้งมั่น ประเภทที่สาม จิตว่องไว ในหน้าที่ของจิตนั้น ด้วยความควรแก่การงานและควรแก่หน้าที่ สมาธิต้องเป็นอย่างนี้ นี้เราก็ มี กำลังของสมาธิเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตามธรรมชาติมันมีให้ เราจึงเรียนดี เรียนเก่ง เรียนอะไรได้ แก้ปัญหาเรื่องการเล่าเรียนได้ ก็เรียนดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเป็นความผิดหวัง ก็ยังมีทางที่แก้ปัญหา ลุล่วงไปได้อีก เพราะธรรมะสอนให้รู้จักว่าอะไรเป็นอย่างไร ต้อนรับความผิดหวัง ในลักษณะที่กลับเป็นประโยชน์ไอ้เด็กโง่ ๆพอผิดหวัง ก็กลัดกลุ้มจะเป็นบ้าจะเป็นโรคเส้นประสาท แล้วจะฆ่าตัวตายนี้ มันเป็นเด็กโง่ ถ้าเป็นเด็กที่มีธรรมะ มันก็รู้จัก ต้อนรับไอ้ความผิดหวัง ให้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ คนโบราณ ปู่ย่าตายายของเราเขาก็พูดกันมาแต่ ชั้นไหนก็ไม่ทราบ เขาว่าไอ้ความก็ผิดเป็นครู ความถูกก็เป็นครู เขาก็เป็นคนโชคดี ถ้าทำถูกได้ผลดี มันก็เป็นครูสอนให้ว่าทำอย่างนี้ และทำยิ่งขึ้นไป ถ้าผิดมันก็สอนให้อย่างนี้มันผิด เราก็หา ทางแก้ ก็เลยฉลาด มากขึ้นอีก ด้วยความผิด มันลงโทษให้เจ็บปวดไม่กล้าทำอีก มันก็มีแต่ถูก ฉะนั้นเขาจึงได้ประโยชน์จากทั้งสองฝ่าย คือจากทั้งฝ่ายการทำผิดและการทำถูก พอมาถึงสมัยปัจจุบันนี้ คนมันเลวลง เป็นลูกหลานที่เลวลง ทำอะไรไม่ได้ดีเหมือนปู่ย่าตายาย คือถ้าทำถูก มันเหลิงไปเลย ถ้าทำอะไรถูกได้รับรางวัลอะไร มันเหลิงไปเลยไม่ดูว่า อะไรเป็นอะไร ถ้าทำผิดมันมานั่งร้องไห้ มานั่งเสียใจอยู่จนกระทั่งไปฆ่าตัวตาย ก็เลยไม่เป็นประโยชน์ทั้งความถูกและทั้งความผิดไอ้เรื่องนี้พุทธศาสนา เกี่ยวข้องด้วยมากทีเดียวเขาสอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรต่าง ๆไว้ครบถ้วน ถ้ามันถูกมาก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่หลง ไม่ระเริง ไม่ลิงโลด ไม่บ้า ถ้ามันผิดลงไปก็ไม่ได้เสียใจ ดูไอ้ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของมัน แล้วแก้ไขเสียใหม่ให้มันถูก อย่างนี้มันฉลาด ๆ ๆจนจะ หมดกิเลส จะเป็นพระอริยะเจ้าไปเลย เป็นอย่างนั้น คิดดูให้ดี ว่าทำผิดก็เป็นครู ทำถูกก็เป็นครู จะไม่มีอะไรที่มัน เสียหลายหรือเสียเปล่า เรื่องนี้ก็เคยพูดมาก มาเรื่อย พูดเรื่อยไป โดยสรุปเป็นคำสั้น ๆไว้ว่า ให้ดูให้ดีจะมีแต่ได้ ไม่มีเสีย เป็นคำกลอนอยู่บ้าง ก็จำง่ายดี ว่าดูให้ดีมีแต่ได้ ไม่มีเสีย ไอ้เรื่องที่มันเกิดขึ้นแก่เราทุกวันจนตลอดชีวิตนั้นแหละ มันมีอยู่สองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมันทำให้ยินดี ฝ่ายหนึ่งมันทำให้ยินร้าย คือมันมีได้และมีเสีย ทีนี้เรามาเหนือเมฆ อย่างที่เรียกว่า จะมาอย่างไร เราจะมองไปเป็นได้ไปหมด ได้ความเจ็บพ่ายนี้มันก็ทำให้ ฉลาด แม้จะต้องตายมันก็ทำให้ มีความรู้ มีความฉลาด จะเสียเงินไปเสียอะไรไป โดยที่เราทำดีที่สุดแล้วมันยังรักษาไว้ไม่ได้นี้ได้ความฉลาด สอบไล่ตก ไม่ใช่เพราะความเหลวไหลของเรา แต่มันก็สอบไล่ตกเพราะเหตุใดก็ตามเราก็จะ ไม่ ไม่เป็นผู้เสีย เราจะเป็นผู้ได้ ก็ได้ความรู้ได้ความเข้าใจได้กำลังใจได้อะไรต่อไปใหม่ก็เลยกลายเป็นได้ ที่ดี ที่มีค่า หรือยิ่งไปกว่า ที่สอบไล่ได้เสียอีก สอบไล่ได้รุ่น ๆไปมันก็ไม่ฉลาดอะไรนัก ถ้าสอบตก แล้วก็ทำให้ดี ต้อนรับอันนี้ให้ดีมันก็จะได้ความสามารถ ความฉลาด มาก ๆไปอีก นี้เป็นตัวอย่าง ทุกเรื่องจะต้องเป็นอย่างนี้ รวมความว่าไม่มีอะไรที่เราจะต้องเสียใจ เราสามารถที่จะทำให้เป็น ประโยชน์ได้ทั้งนั้น แม้แต่ความผิดหวังก็ยังทำให้เรา ฉลาดขึ้น ไม่ใช่มานั่งร้องไห้อยู่ แล้วเราก็อย่าโง่ ไปหวังในสิ่งที่ไม่ควรจะหวัง เดี๋ยวนี้มันเลยไปแล้วไปหวังในสิ่งที่ไม่ควรจะหวัง มันเห่อ ๆตาม ๆกันไป พูดตาม ๆกันไป หวังตาม ๆกันไปเพราะคนบ้าในโลกนี้มันมากขึ้น สื่อมวลชนทั้งหลายก็สื่อไปในทางที่ให้คนมันหลง มากขึ้น เพราะฉะนั้นคนทั้งโลกมันจึงเกิดโรคพันธ์ใหม่ คือหวังในสิ่งที่ไม่ควรจะหวัง หรือแม้ในสิ่งที่ควรจะหวัง มันก็หวังเกินจำเป็น นั้นระวังไว้ให้ดี ที่เด็กโง่ ๆมันพูดกันอยู่เสมอ ว่าชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ประโยคนี้ถูกได้ ผิดก็ได้ คือประโยคนี้เป็นได้ทั้งผิดและทั้งถูก ถ้าหวังพอดี หวังถูกต้อง ก็มีสัมมาทิฐิมันก็ได้ ก็ ๆจะมีผลดี ถ้าหวังอย่างเด็กโง่ ๆนั้นดูมันผิดหวัง ต้องไปกินยาตายทุกรายเลย เพราะว่าเรื่องนิดหนึ่ง มันก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องไม่ควรหวังมันก็หวัง มันตัดสินชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ว่าหมดหวังก็กินยาตาย อย่างนี้ มันเป็นไอ้ สัตว์ที่โง่ยิ่งกว่าลูกหมาลูกแมวเสียอีก เพราะลูกหมาลูกแมวไม่เคยกินยาตายไม่มีสัตว์เดรัจฉานตัวไหน ที่ฆ่าตัวตาย ไม่มีเลย ทำไม่เป็น ไอ้คนนี้มันทำเป็นเพราะมันโง่ ความโง่ มันถูกสอนให้เป็นของฉลาดไปเสีย มันก็เดินเข้าไปในความหวังชนิดนี้ มันก็โง่หนักเข้าไป หนักเข้าไปจนกระทั่งว่าการฆ่าตัวตายนี้เป็นของที่ควรกระทำ คือคนไร้สติปัญญาไร้ทุกกอย่างไร้ความดี ไร้ความ สามารถทุกอย่าง อย่าไปหวัง ในสิ่งที่มันไม่ควรจะหวัง ว่าเป็นการหวังความโง่ ความหลง เดี๋ยวนี้มีสิ่งยั่วยวนทางกามารมณ์มาก แล้วคนก็โง่กันในทางนี้มาก แล้วคนก็ฆ่าตัวตายกันง่าย หรือทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ มากขึ้น เช่นฆ่าคู่รัก อย่างที่มีปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ อย่างที่ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ควรจะมี หรือมันไม่เคยมีเลย แต่เดี๋ยวนี้มันก็มีและมีมากขึ้น เพราะมันเข้าไปในเขตของไอ้ความโง่หรือของ อวิชชา มาก นั้นเอง ขอให้ ระวังให้ดี ถ้าจะถืออุดมคติชั่วชีวิตอยู่ด้วยความหวังละก็คำว่าไอ้ความหวัง นั้นต้องถูกต้อง แต่ความหวังผิดมันก็คือเป็นคนตายแล้ว ตายแล้วตั้งแต่เมื่อพูดว่าชีวิตอยู่ด้วยความหวังนั้นแหละ ธรรมะมันช่วยได้อย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิให้รู้ว่าออย่างไรอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั้นหมายความว่าอย่างไร มันก็ไม่ต้องหวังชนิดที่ มีอวิชชา หลงใหลไปในรสในอะไรของไอ้อารมณ์ทั้งหลาย การที่เราอยาก จะเรียนให้ดี ให้ได้ผลดี นี้ ก็เรียกว่าความหวัง ก็ได้ สำหรับภาษาไทยมันมีคำเดียวมันใช้คำว่าความหวัง แต่ถ้าภาษาบาลีเขามีคำใช้คนละคำ ไม่ใช่คำเดียวกัน ที่เรารู้ว่าอันนี้ดี และตั้งใจจะทำให้ดีด้วยความตั้งใจอย่างยิ่งนี้ ก็มีก็แนะให้ทำ จะเรียกว่าความหวังในภาษาไทยก็ได้ ภาษาบาลี มีหลักอยู่ว่าถ้าหวังด้วยความโง่ จึงจะเรียกว่าความหวังที่ ที่เป็นอันตราย แต่เขาเรียกว่าความหวัง แต่ถ้ามันมีความฉลาดหรือต้องการหรือมีความหวังนั้นแหละ แต่เขาไม่เรียกว่าเป็นความหวังชนิดนั้นหรอก เป็นความต้องการ ที่ทำให้ดีให้ถูก เมื่อมีประโยชน์โดยส่วนเดียวไม่ทรมานจิตใจ ความหวังที่มาจากอวิชชาจะเริ่มทรมานจิตใจคน ตั้งแต่แรก แรกจับ ความหวังนั้นมา ตั้งต้นความหวัง ถ้าหวังจะสอบไล่ได้หรือหวังจะอะไรต่าง ๆให้รู้จักหวังด้วยวิชชา ด้วยสติปัญญา หวังด้วยธรรมะ ที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยเฉพาะไอ้บทท่องทั้งหลายนั้นแหละ มันก็มีชัดอยู่แล้ว สอนเรื่องสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น หรือสิ่งทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจดีแล้วมันจะ หยุดความหวังด้วยความโง่ มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญากระทำไปอย่างถูกต้อง ก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่มี ปัญหาไม่มี ความทุกข์ ประสบแต่สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ หรือที่เรียกว่า เดอะเบทเตอร์ไลฟ์ เป็นแน่นอน นี้แหละเรื่องมันมีมาก แต่ถ้าสรุปเป็นใจความ มันมีเท่านี้ แล้วเราก็มีเวลาพูดกัน เพียงเท่านี้จึงได้พูดแต่ใจความ ให้สรุปความได้ว่า เกิดมาทำไม หรือตัดบทให้สั้นเข้าก็ว่า ที่เกิดมาแล้วนี้จะต้องทำอะไร ก็เพื่อให้มันเป็นได้ชีวิตที่ดีกว่า ธรรมดาสามัญโดยการศึกษา พระธรรม หรือศาสนา ศาสนาไหนก็เหมือนกันแหละ เพราะต้องการอย่างนี้ทั้งนั้น แต่วิธีที่ปฏิบัติมันต่างกัน สูงต่ำกว่ากันบ้าง แต่ด้วยความมุ่งหมายอย่างเดียวกันแท้ มีหลักการอย่างเดียวกันแท้ คือขจัดความเห็นแก่ตัว ขจัดกิเลสทั้งหลาย ก็เหลืออยู่แต่ความไม่ประมาท ฉะนั้นอย่าประมาท ก็อย่าอวดดี ให้นึกถึงพระพุทธภาษิตที่เราสวด กันอยู่เสมอ ความประมาทเป็นความตาย ความไม่ประมาทเป็นความอยู่รอด แล้วคนประมาทมันโง่มันก็ไม่รู้ ว่ามันประมาท เพราะฉะนั้นมันก็ต้องตาย อย่างแบบ ของความประมาท คือเขาว่า ตายทางวิญญาณไอ้เรื่องทั้งหมดแบ่งเป็นสามเรื่อง เรื่องร่างกายล้วน ๆนี้เรื่องหนึ่ง ไอ้เรื่องจิตโดยตรงนี้เรื่องหนึ่ง และเรื่องสติปัญญาที่เรียกว่าเรื่องทางวิญญาณนั้น อีกเรื่องหนึ่งไปหาอ่านดูในหนังสือเรื่องนี้ที่ว่าไอ้โรคทางกาย โรคทางจิต โรคทางวิญญาณ ซึ่งเรามีกันอยู่เป็นประจำ ทางกายนี้เจ็บไข้ทางกาย ไปหาหมอที่โรงพยาบาลได้ นี้โรคทางจิตนั้นคือจิตของเราไม่มีสมรรถภาพ เราต้องอบรมมัน เนื่องกันอยู่กับร่างกายด้วย จิตโดยเฉพาะด้วย เช่นหัดทำสมาธิอย่างนี้ ทำให้จิตมันมีสมรรถภาพไม่มีโรคทางจิต คือจิตแจ่มใสอยู่เรื่อย นี้โรคสุดท้ายโรคทางวิญญาณนั้นมันเกี่ยวกับสติปัญญา แม้ร่างกายสบายดีจิตก็ จิตก็ดี แต่ถ้ามันทำผิดคิดผิด สันนิษฐานผิด พูดผิด เห็นผิด นั้นเขาเรียกว่าโรคทางวิญญาณอันนี้ลำบาก เรา เราพยายามมากหน่อยให้มีความเข้าใจถูกต้องเรียกว่าสัมมาทิฐิ ถ้าไม่มี มันก็เป็นโรคทางวิญญาณเรียกว่ามิจฉาทิฐิ คำว่ามิจฉาทิฐิ คงจะเคยได้ยินกันอยู่แล้วให้รู้แต่ว่านั้นคือโรคทางวิญญาณ ถ้ามันเกิดโรคทางวิญญาณแล้วก็ มันจะทำให้เกิดโรคทางกายทางจิตมากขึ้น ถ้าทางวิญญาณไม่เป็นโรคแล้วไอ้ทางจิตทางกายก็จะเป็นโรคน้อยลง หรือไม่เป็นก็ได้ หรือเรียกว่าไม่เป็นเลยก็ได้ ถ้ามันหายโรคทางวิญญาณไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว มันก็เท่ากับว่าไม่มีโรคทางจิต ทางวิญญาณ คือมันมีความไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายก็ เท่านั้นหมดไปเลย นี้เรื่องทางศาสนานี้มันเป็นเรื่อง ทางวิญญาณไอ้เรื่องทางกายก็เป็นเรื่องของชาวบ้าน เรื่องหมอ เรื่องอะไรก็ได้ ไอ้เรื่องทางจิตทำจิตให้เป็นสมาธินี้ก็มีอยู่ก่อนพุทธกาล คือศาสนาอื่นมันก็มี นี้ก็เป็นเรื่องไม่ใช่หัวใจแท้ของพุทธศาสนา เพราะถ้าเรื่องโรคทางวิญญาณนี้ เป็นเรื่องหัวใจแท้ของพุทธศาสนา กำจัดกิเลสให้ได้ นี้ถ้าเราจะมา สวนโมกข์ ก็มา พยายาม หาโอกาสเข้าใจเรื่องโรคทางวิญญาณโรคมิจฉาทิฐิ โรคเข้าใจผิด โรคยึดมั่นถือมั่น โรคหวังอะไรอย่างไม่ควรจะหวังอะไรต่าง ๆ ทำไมจะต้องมาที่สวนโมกข์ นี้มันก็ ตอบได้ เพราะมันสะดวก หรือที่อื่น ที่มันเหมือนกับสวนโมกข์ มันก็สะดวกเหมือนกัน การศึกษาเรื่องโรคทางวิญญาณแก้ไขโรควิญญาณนั้น กระทำในสถานที่อย่างสวนโมกข์นี้มันสะดวกกว่า ขอให้รู้ไว้ หรืออ่านดูก็รู้ได้เองรู้ว่า พระศาสดาของทุกศาสนา ตรัสรู้ในป่า ไม่ว่าศาสนาไหน พระศาสดาตรัสรู้ในป่า เพราะป่ามันให้ความสะดวกในการที่จะรู้เรื่องทางวิญญาณ เพราะถ้ามัน ยังมี ศักดิ์สิทธิ์ พิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น อีกก็คือว่า ไอ้ป่านี้มันมีอิทธิพลครอบงำจิต ของคนที่เข้ามาในป่า ให้เป็นจิตที่มีความคิดไปในทางที่ จะหลุดพ้นจะสะอาด จะสว่าง จะสงบอย่างน้อยที่สุดก็ให้เยือกเย็น เป็นพื้นฐานก่อน เหมือนกับเราเข้ามาในวัดนี้แล้วนั่งลงตรงนี้ จิตมันจะเย็นและว่างไปเองโดยธรรมชาติ รู้สึกสบายจริง รู้หรือเปล่าว่ามันเป็น อิทธิพลของอะไร มันเป็นอิทธิพลของป่า คือธรรมชาติ คือความหมายของคำว่าป่า คือความเงียบ ความสงบ ความเย็นตามธรรมชาติ มันบีบบังคับจิตใจ ให้เป็นไปในลักษณะนี้ไอ้เรื่องข้างยุ่ง ๆไอ้ข้างบ้าน ข้างอะไรต่าง ๆมันไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้น หรือเอามารำลึกนึกถึง หรือมาปรากฏอยู่ในจิตใจ ป่ามันบังคับให้จิตเปลี่ยนไปสู่ความสงบ รู้สึกเยือกเย็น หยุด สบาย ซึ่งเราเรียกว่ามันว่างมาจากตัวกูของกู เพราะอำนาจการบีบของป่า จิตว่างจากตัวกูของกูพักหนึ่ง อย่างน้อย แล้วก็ฉวยโอกาสอันประเสริฐนี้ ศึกษา ให้รู้เสียเลยว่า อ้าว พอจิตว่างจากตัวกูของกูมัน ไม่มีความทุกข์นี่ ฉะนั้นก็ต่อไปนี้ก็ถือหลักเกณฑ์อันนี้ ทำจิตให้มันว่างจากตัวกูของกูอยู่เรื่อยไป ไม่มีความทุกข์ สบายดี เท่านี้มันก็เป็นประโยชน์สูงสุดแล้วได้ผลได้กำไรสูงสุดของการศึกษาทั้งหมดแล้ว เสียแต่ว่ามันยังเป็นระยะสั้นเกินไป พอเรากลับไปบ้านมันก็จะ ไม่ไม่เป็นอย่างนี้เสียอีก จึงต้องทำต่อไป เป็นระยะยาว ๆๆจนไม่กลับไปวุ่นอย่างเดิม เป็นพระอริยะเจ้าก็หมายความว่าแค่นั้น คือจิตของท่านว่างจากกิเลส สม่ำเสมอ ตลอดไป ส่วนจิตของปุถุชนเรานี้มันว่างบ้าง วุ่นบ้าง ๆสลับกันไป ไอ้ที่วุ่นนะมันมากกว่าที่ว่างนะ อย่างนี้มันแปลกไปแล้ว นี้ถ้าใครให้ว่างมันมากกว่าวุ่นคนนั้นก็จะใกล้พระอริยะเจ้า จนกระทั่งว่าจิตมันว่างตลอดกาลไม่มีวุ่น นี้ก็อยากจะพูดว่า อย่าลืม สภาพของธรรมชาติ ใกล้ชิดธรรมชาติเท่าไร ก็จะยิ่ง ง่ายในการที่จะรู้ธรรมะ ยิ่งไกลธรรมชาติก็ยิ่งยากที่จะรู้ธรรมะ เพราะว่าธรรมะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ ไปตามธรรมชาติ ฉะนั้นไม่ต้องที่สวนโมกข์แห่งเดียวหรอก ที่ไหนก็เหมือนกันถ้ามันมีในสภาพอย่างตามธรรมชาติแล้ว จะมีประโยชน์ ฉะนั้นอยู่ที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัยมันก็ต้องมีมุมสงบ บ้าง หรือถ้าหาหามุมสงบไม่ได้จริง ๆเราก็ ปิดหู ปิดตา ปิดปากเสีย ก็อย่าไปฟังอย่าไปดูอย่าไปยินอะไรให้มันจะ เกินกว่าที่จำเป็น มันก็จะ น้อมเข้าไปข้างใน เป็นความสงบสงัดได้ จนกระทั่งทำที่อยู่ของเรา ห้องอยู่ส่วนตัวนี้ก็ได้ ให้มันเหมือนกับป่าก็ได้ มันยากหน่อย แต่ว่ามันก็ยังทำได้อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ที่จะหัดเป็นคนที่ว่ามีตาก็เหมือนตาบอด มีหูก็เหมือนหูหนวก มีปากก็เหมือนกับใบ้ พูดไม่ได้อย่างนั้น มันจะ เหมือนกับว่าอยู่ในป่า ตลอดไป พูดอย่าง อุปมา ก็เหมือนว่าเอาสวนโมกข์นี้ติดไปด้วย กลับไปถึงที่อยู่ ที่นั่น ก็เอาสวนโมกข์ติดไปด้วยได้ คือถ้าเอาอารมณ์อย่างที่กำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ ติดไปด้วยได้ นั่นก็คือเอาสวนโมกข์ติดไปด้วยได้ แต่ว่าเราต้องยินดี พอใจในอารมณ์ชนิดนี้ ในความรู้สึกชนิดนี้ มันจึงจะอยู่กับเรา เหมือนกัน มันก็พลัดตกอยู่ที่นี่ เรี่ยราดอยู่ที่นี่ ไปไม่ถึงสถานีรถไฟด้วยซ้ำไป นี้ในการที่ไปเที่ยวเล่น เที่ยวอะไรที่ไหนก็ขอให้ มี สติสัมปชัญญะ อย่าประมาท อย่าลืมตัว สรวลเสเฮฮา เป็นช่อง ของกิเลส ไปศึกษาความสงบ จากทะเล จากภูเขา จากเกาะ จากแม่น้ำลำธาร จากทุกอย่างแหละ มันเห็นพร้อมกันทั้งสอง สองฝ่าย คือฝ่ายวุ่นกับฝ่ายไม่วุ่น ฝ่ายสงบ เราก็เลือกเอาแต่ฝ่ายสงบเรื่อยไป ส่วนว่าฝ่ายวุ่น รู้จักแล้วก็ทิ้งเสีย หรือหัวเราะเยาะ แล้วก็อย่ารังเกียจความ เป็นอยู่อย่างธรรมชาติ กินอยู่อย่างธรรมชาติ เหมือนกับที่นี่ให้กินข้าวจานแมว คือกินอย่าง เท่าที่จำเป็นที่ต้องกิน ไม่ต้องแพง ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเหมือนกับที่เขาจัดกันอย่างหรูหรา เป็นบ้า เป็นหลังเรื่องกิน เหมือนที่กรุงเทพฯโดยเฉพาะ เนี่ยกินข้าวจานแมว จำไว้นะ อาบน้ำในคูไม่ต้องมีห้องน้ำ ห้องอะไรที่มันหรูหรา เป็นอยู่อย่างทาส ที่นี่ก็อย่าปริปากอย่าเถียงอย่า หมายมาดความวาง คือปล่อยวาง ตั้งใจจะปล่อยวางจะไม่มีภาระหนัก อยู่อย่างตายแล้ว คือไม่มีความกลัว กุมแก้วในมือ คือดวงจิตว่าง จิตที่ว่างมีสงวนไว้เรื่อยไว้ภายใน นี้ก็เรื่องของเราก็จบ อยู่ด้วยความไม่มีทุกข์ เหลือจากนั้นก็นึกถึงผู้อื่นก็ช่วยเหลือผู้อื่น ตามที่จะช่วยได้ อันนี้ก็เป็นเรื่อง ที่ดี เพราะยิ่งช่วยเหลือผู้อื่นเท่าไรมันจะยิ่งสอนเรา เท่านั้นจะยิ่งให้เราสละความเห็นแก่ตัวมากขึ้น พูดถึงผลที่ได้รับ ก็ได้รับกันทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายเรา และฝ่ายผู้อื่น ก็ควรจะกระทำ นี้เวลาก็หมดแล้วสำหรับที่กำหนดไว้ นี่ก็พูดเป็นเพียง เป็นที่ระลึก หรือเป็นโอวาทเล็ก ๆน้อย ๆไปในตัว ที่ต้องไม่ลืมก็ คือธรรมชาติ จะเรียกง่าย ๆว่าในป่า พระศาสดาทุกศาสนาตรัสรู้ในป่า ทีนี้ก็มาถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ถ้ายังไม่ทราบ ฉะนั้นก็ทราบกันเสีย หรือที่ทราบอยู่บ้างแล้วอย่างสลัว ๆก็ทราบให้มันชัดเจนว่า ท่านประสูติกลางดิน ท่านตรัสรู้ก็กลางดิน ท่านนิพพานก็กลางดิน ท่านสอนภิกษุทั้งหลายเกือบหมดทั้งพระไตรปิฎกนั้น สอนกลางดิน ท่านก็อยู่กลางดินเพราะว่า กุฏิของท่านมันพื้นดิน ใครไม่เคยไปประเทศอินเดียก็ ก็บอกให้ทราบได้เลยว่าเคยไปดูมาแล้วทุกแห่ง กุฏิพระพุทธเจ้าพื้นดินทั้งนั้น เล็ก ๆแคบ ๆ ท่านประสูติกลางดิน ที่สวนลุมพินี ต้นสาละ มาปลูกไว้ที่ตรงนั้น ต้นหนึ่ง ถ่ายรูปไปเป็นที่ระลึกด้วยกัน มันเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ประสูติกลางดิน ที่โคนต้นไม้สาละ ตรัสรู้โคนต้นโพธิ์ เป็นไม้อัสสัตถะ เฉพาะอันพระพุทธเจ้าได้ไปตรัสรู้ที่โคนของมัน มันเปลี่ยนชื่อเป็นต้นโพธิ์ ก็กลางดินที่ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง นี้ท่านตรัสรู้กลางดินแล้ว ทีนี้ก็สอน โดยมากท่านสอนท่าน อยู่ตามธรรมชาติ พูดกันที่ไหนเมื่อไรตรงไหนก็ได้ เมื่อกุฏิมันพื้นดิน ก็สอนกลางดิน แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือสอนตามที่ต่าง ๆทีไปเที่ยวแม้แต่ที่กำลังเดินทางอยู่ก็สอน ถ้ามีอะไรที่จะน่าพูด น่าสอนท่านจะชวนหยุดนั่งลง แล้วก็สอน อย่างเรื่องว่าไปพบขอนไม้ ไฟลุกอยู่ที่ในป่าแห่งหนึ่งกำลังเดินทางไป ท่านก็หยุดสอนที่นี่ ขอนไม้ไฟลุกนี้เป็นเครื่องเปรียบสอนเรื่องนั้นไปเลย ท่านนิพพานที่ใต้ต้นสาละ ก็ที่อีกเมืองหนึ่ง กลางดินใต้ต้นสาละ นั้นขอให้ยินดีว่าเดี๋ยวนี้เราก็นั่งกลางดิน เหมือนกับนั่ง ที่ ของพระพุทธเจ้า ควรจะยินดีที่ว่าเราได้นั่งที่ดิน ซึ่งเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ของพระพุทธเจ้า ที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน สั่งสอนหรืออยู่ ท่านชอบป่าเป็นสรณะ เรียกว่าให้ความสะดวก สบาย ความไม่อึดอัด ท่านชอบป่า นี้คือเรื่องที่มันพอจะ ทำให้เกิดความรู้สึกได้ ในระหว่างที่พักอยู่สวนโมกข์ ก็ให้มันติดไปด้วย ว่าที่ได้นั่งที่กลางทรายตรงนี้คือได้นั่งที่ของพระพุทธเจ้า พอกลับไปถึงที่อยู่ แล้วมันจะทำให้ลืม จะไปอยู่บนตึก บนเตียง บนอะไร มันก็ลืมไอ้เรื่องที่ว่าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน มันก็เพ้อเจ้อไปตามแบบของมัน ก็ระวังไว้ อย่าให้ประมาท พอล้มตัวลงนอนบนเตียง ก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า ท่านประสูติกลางดิน ท่านนิพพานยังกลางดินเลย ไม่ได้ต้องการโรงพยาบาล จะเจ็บไข้ ตาย กลางดิน ไม่มีความทุกข์เลยตลอดชีวิต คำว่าโมกข์แปลว่าเกลี้ยง คำว่าเกลี้ยงคือว่าไม่มีอะไรแปดเปื้อน แต่จิตใจมันว่างจากตัวกูของกู เหมือนอย่างที่เรากำลังว่าง ในบางขณะนี้คือโมกข์ จิตใจชนิดนั้นควรจะมีบ่อย ๆ เหมือนกับมีสวนโมกข์ติดไปด้วย เป็นว่าเวลาหมดแล้ว ขอสรุปความว่า ให้รู้ว่าจะต้องทำให้ดีที่สุดให้สมตามที่ว่าเกิดมาแล้วนี้จะต้องทำอย่างไร ถ้าไม่มีปัญญาของตัวเอง ก็อาศัยหลักพระพุทธศาสนา อยากจะศึกษาหาเล่าเรียน ศึกษาปฏิบัติ แม้แต่ฝึกหัดเรื่องสวดมนต์นี้ก็พยายามจะมีประโยชน์ ยิ่งทำต่อไปจะมีประโยชน์ คือว่ากันลืมกัน ประมาท หลังจากนี้ขอให้พรขออวยพรให้ทุก ๆคนนี้เป็นผู้ทีที่มีสติ สัมปชัญญะ รู้สึก รู้จักคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแจ่มแจ้ง