แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอแสดงความยินดีที่ได้มากันจนถึงที่นี่ ก็ขอให้พยายามเข้าใจเรื่องราว ความมุ่งหมาย และประโยชน์ของการที่มีสถานที่นี้ อย่าให้เป็นเพียงว่าทัศนาจรเฉยๆ ซึ่งอาจจะได้ผลไม่คุ้มค่ากันก็ได้ เรื่องที่จะพูดกันบ้าง ก็ไม่มีอะไรนัก และเนื่องจากว่าไม่สู้สบายด้วย แต่ก็ยังอยากจะพูดบ้าง ก็ขอให้ทุกคนสังเกตว่าที่นี่ต้องการอะไร จึงจัดกิจกรรมอย่างนี้ขึ้นมา ถ้าว่าโดยสรุปความก็หมายความว่า ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ กันนั่นเอง โดยมากก็ยังไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ก็เลยไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นอานิสงส์ที่แท้จริง รู้จักแต่คำว่า ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาธร อย่างนกแก้วนกขุนทองนี่ส่วนมาก แล้วก็จดไว้ในสมุดว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็ปิด นี่เป็นธรรมะอยู่ในสมุด เลยไม่มีประโยชน์ แล้วก็ไปโทษทีหลังว่าธรรมะไม่ช่วย ยังมีคนเป็นทุกข์ถึงกับร้องห่มร้องไห้ ถึงกับฆ่าตัวตายอย่างโง่เขลาที่สุด ทั้งชาวบ้านทั่วไป ทั้งครูบาอาจารย์ก็ยังมีเรื่องร้องห่มร้องไห้ ฆ่ากันตายอย่างไม่มีเหตุผล อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็บอกว่าธรรมะไม่ช่วย แน่นอน ธรรมะก็ไม่ช่วยคนที่ไม่มีธรรมะ ธรรมะจะช่วยได้ก็แต่คนที่มีธรรมะ
ที่คนมันมีธรรมะไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักว่าธรรมะนั้นคืออะไร เหมือนเรามีเงิน เรารู้ว่าเงินนั้นมันมีความหมายอย่างไร คืออะไร เราจึงพยายามหาเงินแก่กันอย่างตัวเป็นเกลียว แต่พอถึงทีธรรมะ ไม่รู้จักธรรมะ ก็เลยไม่ได้สนใจที่จะมีธรรมะ อย่างมีก็ขัด แต่มีอย่างขัดไม่ได้ มีตามธรรมเนียมอย่างที่ขัดไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยิ่งน้อยลงทุกที
ฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราจึงเห็นความทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อน ระส่ำระสายมากขึ้นทุกที นับตั้งแต่ความไม่ปลอดภัยของชีวิตร่างกาย ทรัพย์สมบัติในสังคมบ้านเรา ประเทศไทยนี่ มากขึ้นทุกที ไม่เหมือนแต่ก่อน ซึ่งก็ยังมีธรรมะอยู่ในสายโลหิต ในขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องรู้สึกตัว แต่มันมี เดี๋ยวนี้มันหายไปเสีย ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี ที่ทำให้มีธรรมะ มันหายไปเสีย มีแต่เรื่องวัตถุ ตรงกันข้าม ฉะนั้นคนเดี๋ยวนี้หัวเราะมากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะเด็กๆ ขออภัย จะพูดกับเด็กนักเรียนผู้หญิง ว่าเดี๋ยวนี้หัวเราะมากเกินไป ไม่เหมือนสมัยก่อน ข้อนี้พวกเธอรู้ไม่ได้เพราะอายุไม่กี่ปี มันต้องมีอายุสัก ๕๐-๖๐ ปี ๗๐ ปี จึงสังเกตเห็นว่าเด็กนักเรียนหญิงเดี๋ยวนี้หัวเราะร่วนยิ่งกว่าเด็กนักเรียนหญิงเมื่อ ๕๐-๖๐ ปี เมื่อก่อนโน้น ซึ่งอาตมาทันเห็น เป็นผู้เห็น และเป็นผู้สังเกต อย่าเข้าใจว่าความไม่ค่อยหัวเราะกับความหัวเราะมากนี่ มันไม่ ไม่ต่างกัน ที่จริงมันต่างกันมาก เพราะมันแสดงถึงจิตใจ ฉะนั้นความกลัวบาปกลัวกรรมมันก็ลดลง ความเคารพครูบาอาจารย์มันก็ลดลง ความเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดามันก็ลดลง เพราะความที่มันมีธรรมะน้อยลงๆ
ที่พูดนี้ก็พูดด้วยความหวังดี เพื่อว่าเราในฐานะที่เป็นคนไทย เป็นพุทธบริษัท หรือว่าเป็นคนของโลกก็ตาม มันควรจะมีประโยชน์ มีอานิสงส์ในการที่เกิดมา ให้ได้ประโยชน์ ได้อานิสงส์ของการที่เกิดมานี่ให้ถูกต้อง แล้วก็ให้สมบูรณ์เต็มที่ด้วย ไม่ใช่เกิดมาว่าเพียงหัวเราะแล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้แล้วก็หัวเราะ เผลอนิดเดียวก็ฆ่ากันตายอย่างสมัยปัจจุบันนี้ คือความไม่มีธรรมะ ลองฟังดูบ้างสำหรับการพูดให้เห็นว่า ระหว่างปีนี้ ยุคนี้ กับเมื่อ ๕๐-๖๐ ปี มาแล้ว มันต่างกันอย่างไร นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ลืมได้ยากหรือเข้าใจได้ง่าย ว่าเดี๋ยวนี้มันหัวเราะกันมากเกินไป
ความหัวเราะนั้นเป็นลักษณะของความประมาท ความนิ่ง ความคิดนึก เป็นลักษณะของความไม่ประมาท แล้วมันรู้ได้ง่ายๆ ว่าไอ้คนที่หัวเราะมากเป็นคนประมาท และเป็นการใช้จ่ายกำลังจิตให้สูญเสียไปเปล่าๆ เขาอาจจะมีความสุข มีความสนุก หรือเป็นสุขภาพอะไรบางอย่างก็ได้ แต่อีกทางหนึ่ง มันเกินไปแล้วมันก็เป็นความประมาท และเป็นคนที่คิดน้อย พิจารณาตื้น มันต่างกันอย่างนี้ ฉะนั้นการหัวเราะมากนั้น แสดงว่ามีธรรมะน้อย การนิ่งมาก คิดมาก แสดงว่ามีธรรมะมาก ทีนี้ก็อยากจะบอกตามที่มีกล่าวอยู่และถือเป็นหลักอยู่ ซึ่งคนสมัยนี้อาจจะไม่เชื่อว่า พระอรหันต์ไม่มีการหัวเราะ อย่างมากก็เพียงแต่ยิ้ม แย้ม แสดงความรู้สึกนิดหน่อย แต่ที่จะหัวเราะร่วนเหมือนคนสมัยนี้นั้น ไม่มี และเป็นไปไม่ได้ ที่เด็กสมัยนี้ก็คงจะคิดว่าพระอรหันต์เป็นคนบ้าหรือหัวเราะไม่เป็น ไม่เหมือนเราซึ่งหัวเราะเก่ง ที่จริงเราน่ะเป็นคนบ้า อะไรๆ นิดหนึ่งก็หัวเราะ หัวเราะเหมือนกับคนบ้าจี้ ไอ้คนที่มีจิตใจเข้มแข็ง บึกบึน มันไม่มีอะไรมายั่วให้เขาหัวเราะได้ง่ายๆ นัก ฉะนั้นเขาก็เลยปกติ ปกติ ไม่หัวเราะและไม่ร้องไห้นั่นคือปกติ นี่เดี๋ยวๆ หัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ แล้วก็นิยมกันอย่างนั้น เห็นการร้องไห้เป็นของสนุกสนานไปก็มี ข้างหนึ่งก็ชอบหัวเราะ เพราะเกิดมาไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม การฆ่าตัวตายก็มีได้ง่าย มีได้มากขึ้น ปรากฏว่าเด็กนักเรียนบางโรงเรียน ขัดใจเพราะสอบไล่ไม่ได้หรืออะไรทำนองนั้น ไปกระโดดน้ำตายก็มี และยิ่งมีมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นคนที่เขามีธรรมะน่ะ เขาจะไม่ประหลาดอะไรนัก ตั้งอยู่ในเหตุผลพอ เมื่อมันยังเรียนไม่พอ มันก็สอบไม่ได้ เรียนพอ ก็สอบได้ ไม่จำเป็นจะต้องไปทำ ถึงกับฆ่าตัวตาย หรือว่าถ้าสอบไล่ได้แล้วก็ลิงโลดเหมือนกับลิง อย่างนี้ มันก็ไม่ถูกทั้งสองอย่าง ฉะนั้นสู้ความเป็นปกติไม่ได้
ฉะนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ ก็ต้องการแต่จะให้ศึกษาเรื่องความปกติของธรรมชาติ ตั้งแต่มานั่ง มาเดิน มาอยู่ในบริเวณนี้ ก็มีความรู้สึก รู้จักความปกติของธรรมชาติได้มาก ผิดจากระหว่างที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งกระตุ้น รบเร้า ให้ขึ้นบ้าง ให้ลงบ้าง คือให้เสียใจบ้าง ให้ดีใจบ้าง ให้หัวเราะบ้าง ให้ร้องไห้บ้าง จนเป็นนิสัย เราต้องการความปกติของธรรมชาติให้ช่วยสร้างนิสัยให้มันเข้มแข็งเหมือนกับธรรมชาติ เรียกว่าปกติ เรียกอย่างอื่นก็ไม่ถูกละ เรียกว่าปกติละก็ถูก ไม่ ไม่ขึ้นเกินไป ไม่ลงเกินไป ขอให้สังเกตดูเรื่องนี้ให้มาก ว่าธรรมชาติสอนกันอย่างนี้ แล้วคนก็มีความทุกข์น้อย เป็นคนที่มีจิตใจปกติเข้มแข็ง ในการที่จะปกติ ต่อไปภายหน้าก็จะเข้มแข็ง ก็จะหวั่นไหวยาก จะมีความทุกข์ยาก
คนเกิดมานี้ ในที่สุดก็ต้องทำหน้าที่การงานของมนุษย์เป็นระยะยาว หลังจากผ่านความเป็นหนุ่มเป็นสาวไปแล้ว มันก็มีหน้าที่การงานทั้งนั้น ความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อบ้านแม่เรือน ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง ไม่มั่นคง ไม่อดทนพอ มันจะมีความรู้สึกชนิดที่เป็นความทุกข์ ฉะนั้นก็เรียนธรรมะไว้เผื่อ เพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ อยู่ในโลกนี้มันไม่มีความ ไม่มีความได้อย่างใจไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่มีอะไรที่เป็นไปตามความประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราก็หลีกไม่ได้ เราก็ต้องทัน ต้องฝ่าฟันไป ถ้าจิตใจไม่ดีพอ มันก็พ่ายแพ้ ทีนี้ธรรมะช่วยให้มันสามารถที่จะต่อสู้ เหมือนอย่างว่าเรามีชีวิตอยู่ เราก็ต้องมีการงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ฉะนั้นมันต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น สิ่งอื่น แล้วมันก็ต้องเต็มไปด้วยอุปสรรค ทีนี้คนโง่มันก็ต่อสู้อุปสรรคไม่ได้ ฉะนั้นคนฉลาดเท่านั้นที่จะต่อสู้ชนะอุปสรรคได้ เรียบร้อยไปได้ ไม่ใช่จะต่อสู้กันอย่างหลอกลวง หรือชนะกันอย่างหลอกลวงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว มันต้องชนะได้จริง วัดได้ด้วยมีความเจริญก้าวหน้าในการงานนั้นจริง นี่ก็เรียกว่าปัญหา คืออุปสรรคที่มีอยู่ตามธรรมดาของบุคคลผู้ประกอบการงานในสังคม ต้องเป็นอย่างนี้แน่ ฉะนั้นลำพังความรู้มันช่วยให้ทำเป็นแต่อาชีพ ความรู้ในโรงเรียน รู้ทำอาชีพ แต่ไม่สามารถจะรู้ในการบังคับจิตให้ต่อสู้อุปสรรคหรือหัวเราะเยาะอุปสรรค
ทีนี้เรายังมีอุปสรรคอย่างอื่นอีก เช่น เราจะต้องมีความเจ็บไข้ มีความเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ จะต้องถูกภัยของธรรมชาติอะไรต่างๆ เหล่านี้ก็ยังมีอีกมาก ก็ต้องมีธรรมะ คือมีจิตใจที่จะเข้มแข็งพอจะต่อสู้กับความเจ็บไข้ เป็นต้น ยังจะต้องต่อสู้กับความเหน็ดเหนื่อย ซึ่งบางทีก็ต้องอดทนมาก คนเดี๋ยวนี้เขามีความคิดไปในทางว่า ไม่ต้องอดทน ไม่อยากจะอดทน ไม่อยากจะเหน็ดเหนื่อย แต่อยากจะเอาเงินให้มาก อย่างนี้เป็นต้น มันโง่ มันทำไปไม่ได้ มันจะทำให้ตลอดยืดยาวไปไม่ได้ แม้จะมีความรู้ ศึกษาเล่าเรียนมาอย่างไร ก็ยังต้องใช้ความอดทนอยู่ดีแหละ ไม่มีอะไรที่จะไม่ต้องใช้ความอดกลั้น อดทน ความเข้มแข็งของจิตใจ นี่ส่วนนี้เป็นส่วนของธรรมะที่จะช่วย
ไปเรียนวิชาความรู้มา พูดอย่างหยาบคาย ขออภัยไว้ มันมีปริญญาต่อท้ายยาวเป็นหาง มันก็รู้แต่ทำอาชีพ มาจากเมืองนอกกี่เมืองก็สุดแท้ มันก็มีความรู้แต่เรื่องอาชีพ ไม่มีความรู้ในทางจิตใจโดยเฉพาะที่จะต่อสู้อุปสรรคทางจิตใจ ทางจิตใจ โดยเฉพาะนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า กิเลส มันมีสิ่งมาทำให้เราโลภหรือรัก มันก็เป็นไฟวู่ขึ้นมา มันมีสิ่งมาทำให้เราโกรธ เกลียด มันก็เป็นไฟวู่ขึ้นมา มันมีสิ่งที่มายั่วยวนให้เราหลงใหลมัวเมา ก็เป็นไฟวู่ขึ้นมา ฉะนั้นปริญญาที่มียาวเป็นหางมาจากเมืองนอกนั้น มันช่วยแก้ไขให้ไม่ได้ จึงต้องศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องฝึกฝนกันแต่เดี๋ยวนี้ แต่เด็กๆ เล็กๆ นี่ให้มีจิตใจเข้มแข็ง ต่อสู้กับไฟ คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่จะแผดเผาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นหนักเข้าก็ร้องไห้ หัวเราะ บ้างฆ่าตัวตาย นี่มันไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานซึ่งมันไม่เคยฆ่าตัวตาย ยังมีความปกติ อดกลั้น อดทน ไม่เคยฆ่าตัวตาย มนุษย์ดีเกินไปจนโง่ จนมีการฆ่าตัวตายโดยไม่มีเหตุผลมากขึ้นๆ ดูที่หนังสือพิมพ์ ที่ไหนก็รู้ได้ว่า มนุษย์เดี๋ยวนี้ฆ่าตัวตายและฆ่าผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลมากขึ้น เพราะว่ามันไม่มีธรรมะ ฉะนั้นสนใจคำว่า ธรรมะ กันไว้บ้าง
เมื่อมีธรรมะ ก็คือมีจิตใจที่มันไม่มีความทุกข์ มันกำลังว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมีความปกติ มีความเยือกเย็น มันว่างจากความเห็นแก่ ตัวกูของกู ถ้ามาที่วัดนี้แล้วรู้สึกสบายใจ เยือกเย็น นั่นน่ะขอให้รู้เถิดว่า นั่นมันกำลังว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลงชั่วขณะ ว่างจากความเห็นแก่ตัวชั่วขณะ แล้วก็เลยสบาย สบายใจบอกไม่ถูก พอกลับไปสู่ที่ที่มันยั่วให้มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัว มันก็ร้อนไปตามเดิม
ดังนั้นเมื่อเราไปที่ไหน ไปเที่ยวก็ดี ไปอะไรก็ดี ถ้ารู้สึกว่าง สบายใจ เย็นใจ ก็ให้สังเกตกันสักหน่อยว่า มันกำลังว่างจากความเห็นแก่ตัว ว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่า อย่ามองข้ามจนถึงกับว่า ไม่รู้เรื่องที่ควรจะรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรจะรู้ คืออยู่ในวิสัยที่ควรจะรู้ ที่ยังไม่รู้นี่เพราะไม่สังเกต ถ้าสังเกตจะรู้ว่าเมื่อไรเรามันว่างจากความเห็นแก่ตัว เมื่อนั้นเราสบายใจที่สุด ถ้าเราเห็นแก่ตัวเมื่อไร เราจะมีความโลภบ้าง มีความโกรธบ้าง มีความหลงใหลมัวเมาบ้าง ฉะนั้นก็มีความร้อน แต่ความโง่มันทำให้ชอบแม้แต่ความร้อน คนเราจึงทำความทุกข์ให้แก่ตัวได้ ทั้งที่ไม่ควรจะชอบความทุกข์ ความโง่ทำให้ชอบโดยไม่รู้สึกตัว ชอบความชั่ว ชอบความทุกข์ ฉะนั้นในบ้านในเมืองมันจึงเต็มไปด้วยความชั่วหรือความทุกข์มากขึ้น เพราะว่าเขาไม่รู้จักตัวเองในเรื่องนี้
ฉะนั้นจึงขอให้ยุติกันเป็นที่แน่นอนว่า ความรู้ทางธรรมะนี้ต้องมีไว้อีกแผนกหนึ่ง เท่าๆ กันกับวิชาความรู้ทางอาชีพ ที่เราเรียนในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย ในอะไรก็ตามนั้นน่ะ สรุปแล้วเป็นความรู้ประเภทอาชีพทั้งนั้น เพื่ออาชีพทั้งนั้น ไม่มีใครสอนเรื่องให้กำจัดกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นความรู้ทางธรรมะ เพราะว่าเขาไม่ได้มีหลักการที่จะสอนธรรมะในโรงเรียน แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน เขาสอนกันอยู่ในบ้านในเรือน ในวัฒนธรรมของบ้านเรือน เดี๋ยวนี้มันหายไป คนสมัยนี้จึงมีจิตใจฉุนเฉียว มีจิตใจมุทะลุดุดัน อย่างที่เห็นว่าแม้กลางถนนในกรุงเทพฯ บนรถเมล์ ก็ไม่ปลอดภัยจากอันธพาล ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี
ยกตัวอย่างสักนิดหนึ่ง เมื่อประมาณสัก ๔๐-๕๐ ปีมาแล้ว เมื่ออาตมายังไม่บวชก็เคยไปที่กรุงเทพฯ ก็ประหลาดใจในความปลอดภัยของที่กรุงเทพฯ ก็รู้สึกว่าบ้านนอกนี่ไม่ปลอดภัย เช่นว่าต้องไปขึ้นรถไฟที่ธนบุรี บางกอกน้อย ก่อนนี้เขาไม่มีสะพานข้ามไปกรุงเทพฯ ก็ต้องไปตั้งแต่ค่อนข้างดึก คือราวตี ๔ ด้วยรถลาก เจ๊กลากคนเดียว กว่าจะไปข้ามท่าพระจันทร์ ไปขึ้นรถไฟได้ มันเต็มไปด้วยความปลอดภัยจนรู้สึกประหลาดใจ ทั้งที่เป็นคนคนเดียว มีข้าวมีของ มีเงินมีทองอะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้กลางวันแสกๆ บนรถเมล์แท้ๆ ก็ยังไม่ปลอดภัย ดูความแตกต่างของบ้านเมืองที่มันหนักแน่นอยู่ด้วยศีลธรรม หรือว่ามันไม่มีศีลธรรมเสียแล้ว นี่เพราะเราไม่สนใจ ไม่ให้ความยุติธรรมแก่ธรรม แก่พระธรรม พระธรรมก็ไม่ช่วย ทั้ง ทุกคนทั้งโลกมันจึงเดือดร้อน เรื่องนี้ขอยืนยันอย่างนี้ ใครจะไม่เชื่อก็ได้ ไม่ว่าอะไร แต่ขอร้องสักหน่อยให้สังเกตดูไปเรื่อยๆ โตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า จะมองเห็นข้อเท็จจริงอันนี้ ว่าธรรมะจำเป็นอย่างไร
สรุปแล้ว ธรรมะทำให้เข้มแข็ง ทำให้สู้กันได้กับอุปสรรคภายใน คือความโลภ โกรธ หลง กระทั่งว่าไอ้ความบีบคั้นของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย กระทั่งว่าไอ้ที่มันมาจากสังคมอันธพาล จะต้กต้องรู้ไว้ด้วยว่า เราต้องอยู่ร่วมโลกกับคนอันธพาลมากขึ้นทุกที พูดสั้นๆ อย่างนี้ก็ควรจะเข้าใจนะ ควรจะเข้าใจได้แล้ว ว่าเราจะต้องอยู่ร่วมโลกกับคนอันธพาลมากขึ้นทุกที ไม่เหมือนอย่างโบราณ แล้วเราจะทำอย่างไร เราจึงจะไม่เป็นทุกข์หรือเป็นทุกข์มากเกินไป ก็ต้องมีธรรมะอีกละ ถึงอย่างไรก็อย่าเป็นทุกข์ก็แล้วกัน รู้จักทำจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์ ก็เรียกว่ามีธรรมะ พอแล้ว ไอ้เรื่องที่จะให้โลกมันสงบเย็นนี้ เห็นจะหาได้ยากละต่อไป เพราะต่างคนต่างเห็นแก่ตัวกันทุกคน ทุกหมู่ ทุกคณะ ทุกประเทศเลย คอยแต่จะเอาเปรียบ เมื่อมันคอยเอาเปรียบกันเหล่านี้ มันก็เกิดการปั่นป่วนทางเศรษฐกิจบ้าง ทางการปกครองบ้าง มันก็เลยเกิดอาชญากรรม มีอันธพาล มีอะไรหนาแน่นขึ้นมา ฉะนั้นมีธรรมะไว้ต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้บ้าง ในทางภายนอก คือทางสังคมในโลกมันเลวลง ในทางจิตใจของเราก็เหมือนกัน ให้มันมีธรรมะสำหรับที่จะระงับไฟที่ร้อน คือไฟกิเลส เกิดขึ้นมาแล้วมันร้อน แล้วก็ไฟความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นบนความแก่ ความเจ็บ ความตายต่างๆ นี้ มันก็ร้อน ความรู้เหล่านี้ไม่ได้สอนในโรงเรียน จนนักเรียนอาจจะกำลังหลงไปว่า เท่าที่เรียนจากโรงเรียนมันพอแล้วสำหรับที่จะมีความสุขอยู่ในโลกนี้ แต่ที่แท้แล้วมัน มัน มัน มันไม่ได้ มันมีอยู่เป็น ๒ เรื่อง นั้นมันเป็นเพียงเรื่องเดียว มันยังขาดอยู่อีกเรื่องหนึ่ง เขาจึงเรียกคู่กันว่า โลก กับ ธรรม
ความรู้ความเจริญทางโลก คือให้เราเก่งในเรื่องอาชีพ เรื่องเป็นอยู่อย่างโลกๆ ความรู้ในทางธรรมคือให้เราเก่งในการที่จะมีจิตใจชนิดที่จะไม่เป็นทุกข์ จะไม่มีความทุกข์เพราะเหตุใด จะรู้สึกถูกต้องต่อทุกสิ่ง แล้วก็เฉยเสียได้ ใช้ประโยชน์ได้โดยไม่เกิดโทษในสิ่งทั้งปวง นี่ประโยชน์ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ มันมีอยู่อย่างนี้ แล้วมีความจำเป็นเท่ากันกับที่ว่าเราจะต้องมีความรู้ทางโลกๆ คืออาชีพ สรุปความว่าเราต้องมีความรู้ทางอาชีพ แต่เมื่อประกอบอาชีพแล้ว เราจะต้องประสบกับอุปสรรค แก่ศัตรูคู่แข่งขันทั้งภายในและภายนอก กระทั่งกิเลสของตัวเอง นี่ก็ต้องมีความรู้ทางธรรม แม้ในการประกอบอาชีพล้วนๆ อย่างเดียว ก็ต้องมีธรรมะช่วย ไม่เช่นนั้นเราจะปวดหัว จะเป็นโรคเส้นประสาท จะฆ่าตัวตาย เหมือนคนหลายๆ คนที่เขาทำกันอยู่ ทั้งที่มีความรู้ มีเงิน มีอะไร มันก็ยังฆ่าตัวตายก็มี เป็นโรคเส้นประสาท ไม่รู้จักหาย อย่างนี้ก็มี
ฉะนั้นถึงอย่างไรก็ได้มาที่นี่แล้ว ก็ให้จำไปสักคำหนึ่งคือคำว่า โมกข์ ที่เป็นชื่อของสวนโมกข์ คำว่า โมกข์ นั้น แปลว่า เกลี้ยง แต่ถ้าเป็นภาษาธรรมะก็หมายความว่า หมดจด เกลี้ยงเกลาจากกิเลส ภาษาชาวบ้านก็คือ ของเกลี้ยง ไม่มีสนิม ไม่มีสกปรกอะไร ก็เรียกว่าเกลี้ยง คือสะอาด ถ้าเป็นเรื่องทางจิตใจ ก็เกลี้ยงจากกิเลส เกลี้ยงจากความทุกข์ เมื่อใดเราไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ จิตใจมันก็เกลี้ยง ก็เรียกว่า โมกข์ คือรอดหรือหลุดพ้นไปได้ มาสวนโมกข์ทั้งที ให้ได้กำไรพิเศษยิ่งไปกว่าทัศนาจรตามธรรมดา คือรู้คำว่า โมกข์ ขอให้มีจิตใจชนิดที่เรียกว่า โมกข์ นี่ อยู่ให้ได้มากเท่าไรยิ่งดี กลับไปบ้านแล้ว ไปที่กรุงเทพฯ แล้ว หรือที่ไหนก็ตาม ให้มีจิตใจที่เรียกว่า โมกข์ นี่ยิ่งขึ้นทุกที คือมันเกลี้ยง มันไม่มีอะไรรบกวนให้เดือดร้อนเป็นทุกข์ นั่นน่ะเรียกว่ามาถึงสวนโมกข์ รู้จักสิ่งที่เรียกว่า โมกข์ แล้วก็พาไอ้สิ่งที่เรียกว่า โมกข์ กลับไปบ้านได้ด้วย ถ้าอย่างนี้แล้วก็จะไม่ต้องหัวเราะหรือไม่ต้องร้องไห้ แต่จะปกติ แม้จะชอบใจอะไรมากไปหน่อย ก็เพียงแต่ยิ้ม แย้ม ก็พอ ไม่ต้องหัวเราะร่วน หัวเราะร่า ให้เสียมรรยาทของสตรี
ขอให้ทุกคนได้รับประโยชน์ ได้รับอานิสงส์ของการมาที่นี่ และขอให้มองเห็นสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ให้ชัดแจ้ง จนถึงกับรู้สึกว่า จำเป็นที่จะต้องมี ให้รู้ ให้เกิดความรู้สึกพอใจ ความปรารถนาที่จะมีธรรมะนั้น จนกระทั่งสามารถปฏิบัติธรรมะนั้นๆ ได้ แล้วก็จะประสบความเจริญงอกงามทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม
ฉะนั้นขออำนวยพร ด้วยการอ้างคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสิ่งสูงสุดของพุทธบริษัททั้งหลาย จงเป็นเครื่องดลบันดาลให้ทุกคน มีความก้าวหน้า มีความเจริญในทางธรรมะ เพื่อคุ้มครองกิจกรรมทั้งหลายในทางฝ่ายโลก โลกนั้น ให้ปลอดภัยด้วย เป็นผู้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม จงทุกทิพาราตรีกาลเทอญ