แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ที่เป็นนักเรียนพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลทั้งหลาย การที่มาที่นี่ในวันนี้ ขอถือโอกาสเปิดแสดงความยินดี ให้พร และให้โอวาทตามธรรมเนียมด้วย ตามความรู้สึกในใจจริงด้วย ครั้งแรกนี้ก็ขออนุโมทนาในความคิดและความพยายามมาที่นี่ เพื่อเหตุหลายอย่าง แม้แต่เพื่อทัศนาจรก็ยังมีประโยชน์ มาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับทางศาสนาโดยเฉพาะ และยังมาทำบุญให้ทาน อย่างนี้ก็ขออนุโมทนา และสำหรับการกระทำที่ทำอยู่ คือการศึกษาเล่าเรียน การหาวิชาความรู้เพิ่มเติม ตลอดถึงสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในเมื่อเล่าเรียนเสร็จแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นการกระทำที่ควรอนุโมทนา ก็ขอให้พรว่าให้เป็นไปสำเร็จตามความปรารถนา ทั้งในขณะที่กำลังเรียนอยู่ และเรียนเสร็จแล้ว ออกไปทำหน้าที่ของตน สำหรับสิ่งที่เรียกว่าโอวาทนั้น อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องทำความรำคาญ หรือถึงกับว่าเป็นเรื่องอวดรู้ สอนผู้อื่น ขอให้ถือเถอะว่า ฟังคำพูดของคนที่เกิดมาก่อนนานมาก และคิดนึกอะไรมามาก และคงจะมีประโยชน์บ้างเป็นแน่ ก็ขอให้ฟังไว้ในส่วนนี้ หรือว่าถ้าพูดกันถึงทางศาสนา ทางธรรมะธัมโม ก็ได้เคยขวนขวายมามาก สังเกตศึกษามามาก มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์ได้ ก็จะพูดให้ฟัง อย่างนี้ก็เรียกว่าโอวาทได้เหมือนกัน คนแต่ก่อนก็มองเห็นประโยชน์อันนี้ จึงมีธรรมเนียมที่จะให้โอวาท ให้พร อนุโมทนา เป็นต้น เพราะว่ามันเป็นประโยชน์ได้จริงเหมือนกัน ถ้าผู้รับได้รับไปให้ดี ๆ เดี๋ยวนี้คนเขาไปนึกถึงเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องเล่นหัวสนุกสนาน ในเมื่ออิ่มเสร็จแล้วไปเล่นหัวสนุกสนาน อย่างนี้มันมากเกินไป ไม่ค่อยนึกถึงเรื่องศาสนา เรื่องธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจอย่างหนึ่ง ก็เลยไม่ค่อยจะรู้ธรรมะ เป็นผู้ที่บังคับตนไม่ได้ ปกครองใจของตัวเองไม่ได้ จึงมีความกระวนกระวาย แม้ว่าจะรู้จักทำมาหากิน หาเงินได้ แต่จิตใจมันไม่พอ มันยังต้องการความรู้บางอย่างที่ดีกว่านั้น ที่จะให้ใจคอสงบ ระงับได้ ไม่เป็นคนโง่ ในเรื่องของจิตใจ ขออภัยถ้าจะพูดถึงเรื่องความโง่ ก็ขอยกตัวอย่าง เหมือนอย่างกับว่า แมลงโง่ ๆ ยุง แมลงผีเสื้อ แมงเม่า อย่างนี้เป็นต้น ก็เห็นกันว่าเป็นแมลงโง่ อย่างยุงมันเห็นแต่จะกิน ไม่ค่อยจะดูอะไร มันก็ถูกฆ่าตาย ผีเสื้อก็รู้จักแต่จะบินสวยๆ ไม่เฉลียวฉลาด มันจึงตกเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นโดยมากที่สุด แมงเม่าก็โง่ไปอีกแบบหนึ่ง ไปหาที่ตาย หาแสงไฟอะไรต่างๆ นี่แสดงว่ามันมีอาหารกิน มันไม่มีปัญหาในเรื่องร่างกาย มีอาหารกิน แต่มันยังโง่ในการใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างลึกซึ้งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนกัน ถ้ายังโง่อยู่ ก็คิดแต่ว่าจะทำกินเท่านั้น แค่ทำกินเท่านั้นเอง กินอิ่มแล้ว หรือมีเงินแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปอีก มันก็เป็นคนโง่ ตกเป็นเหยื่อของกิเลสของพญามาร โดยเฉพาะก็คือความทุกข์ เพราะฉะนั้น คนที่มีเงิน มีเกียรติ แล้วยังมีความทุกข์ ไปดูให้ดี ๆ อย่าโง่เป็นยุง เป็นแมงเม่า เป็นแมลงผีเสื้อ มันโง่ มีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะเพื่ออะไร ที่เรามีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีอะไรด้วยซ้ำไป ก็อย่าให้มันเป็นหมัน ในการที่จะได้รับอะไร มีอะไร ให้ดีไปกว่านั้น
ที่นี้ก็มานึกดูว่าคนเรานี้จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์สูงไปขึ้นไปกว่าที่จะหากิน ใส่ปากใส่ท้อง มีกินมีใช้ มีเกียรติยศ มีอะไรแล้ว ก็จะทำอะไรกันต่อไป มันก็เหลือเรื่องเดียว คือเรื่องจิตใจที่มันสะอาด สว่าง สงบ ไม่มีความทุกข์ นี่ก็เรียกว่าธรรมะ มีธรรมะเพื่ออย่างนี้ และก็มีธรรมะตามลงมาถึงขนาดที่ว่า เมื่อเล่าเรียนอยู่นี้ก็อย่าได้เป็นทุกข์เลย อย่าได้ทำผิดเพราะเหตุการเล่าเรียนนั้นเลย หรือถ้าว่าดีไปกว่านั้นอีก เมื่อยังเป็นเด็ก ๆ อยู่นี่ เด็กเล็ก ๆ ก็ได้รับการอบรมที่ดี อย่าต้องเป็นทุกข์เลย เรียนหนังสือก็อย่าได้เป็นทุกข์เลย เรียนวิชาชีพก็อย่าได้เป็นทุกข์เลย สำเร็จวิชาชีพไปประกอบการงาน ตั้งตนเป็นอะไรต่อไป ก็อย่าได้มีความทุกข์เลย อย่าเข้าใจว่ามีเงิน มีอำนาจวาสนาแล้วมันจะไม่มีความทุกข์ ถ้ามันโง่แล้วมันจะยิ่งมีความทุกข์ ยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งมีความทุกข์ถ้ามันโง่ มีอำนาจวาสนามาก ถ้ามันโง่ มันก็จะฆ่าตัวมันเอง ด้วยอำนาจวาสนานั่นแหล่ะ เรื่องเงินเรื่องอำนาจวาสนานี้ต้องระวังให้ดี ถ้าใช้มันผิด ทำมันผิด คือไม่มีธรรมะแล้ว มันก็ทำความทุกข์ให้แก่บุคคลนั้น เดี๋ยวนี้เราทุกคนก็กำลังเป็นนักเรียน กำลังเรียนอยู่ ก็หวังว่าเมื่อเรียนแล้วก็จะประกอบอาชีพ ก็คงจะนึกอะไรกันไม่ได้มาก นอกไปจากว่ามีอาชีพแล้วก็มีเงินใช้ ค่อยหาเกียรติยศ ชื่อเสียงอะไรกันต่อไป คิดเท่านี้ยังไม่จบเรื่อง ต่อไปจากนั้นยังมีหน้าที่ มีปัญหาอีกว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะไม่ต้องเป็นทุกข์ในทางจิตใจ เหมือนที่เขากำลังเป็นทุกข์กันอยู่ หรือแม้แต่ว่าเรื่องเล่าเรียนนี้ก็เหมือนกัน ทำไมมันจึงไม่สำเร็จ เพราะมันทำผิดอะไรอยู่ หรือบางทีมันได้ผลน้อย มีความรู้น้อย มีความสามารถน้อยเกินไปแม้ว่าสอบไล่ได้ นี่ก็เพราะเหตุใด มันขาดอะไรอยู่ ถ้ารวมความแล้วมันก็คือขาดสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นแหล่ะ ถ้าโง่เกินไป มันก็ขาดธรรมะมากขึ้น ก็มันไม่รู้ ธรรมะนี้มันเป็นเรื่องของความรู้ มันต้องรู้ มันจึงจะมีธรรมะได้ ทีนี้มันไม่รู้ มันก็ขาดธรรมะ ยิ่งขาดธรรมะก็ยิ่งโง่ ยิ่งโง่ก็ยิ่งหัวเราะมาก ร้องไห้มาก คือคนยิ่งโง่เท่าไร ก็ยิ่งหัวเราะได้ง่ายเท่านั้น และยิ่งร้องไห้ได้มาก ได้ง่าย เท่ากับว่าหัวเราะง่ายเหมือนกัน ขอให้ระวังดี ๆ ยังมีอายุน้อย ยังเป็นเยาวชน หรือว่ายังเป็นคนหนุ่มสาวอย่างนี้ ยังรู้เรื่องโลกนี้น้อย มักจะมีความประมาท ประมาทก็คือโง่ ถ้าโง่ก็ชอบหัวเราะ ถ้าตรงกันข้ามก็ได้ร้องไห้ นั่งร้องไห้อยู่ เราเคยได้ยินได้เห็นเด็กบางคนร้องไห้เพราะสอบไล่ตก ทำไมสอบไล่ตก เพราะมันหัวเราะมากเกินไป มันเอาแต่เล่นหัว หลุกหลิกเรื่อยไป วันหนึ่งจะแสวงหาแต่ความสำราญด้วยการหัวเราะ ด้วยการเล่นหัว แล้วมันก็ต้องสอบไล่ตก มันก็ได้สิ่งที่คู่กัน คือการร้องไห้ ฉะนั้น คนโง่ก็มีแต่เรื่องหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง สลับกันไปอย่างนี้ ส่วนคนฉลาดนั้น เขาปกติ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า หัวเราะเป็นอาการของลูกเด็กอ่อนนอนเบาะ ไม่ใช่ของคนโต ๆ แล้ว ร้องไห้เป็นอาการที่ไม่น่าดู มันมีความทุกข์ ต้องปกติ คือมีสติปัญญา อย่างชอบใจนักก็เพียงแต่ยิ้มแย้มก็พอแล้ว ไม่ต้องหัวเราะร่วนร่าระรัวไปหมด เหมือนกับคนสมัยนี้ มันชอบหัวเราะ ชอบร้องเพลง ระวังให้ดีว่านี่มันเกินไปในทางฝ่ายหนึ่ง ที่ไม่มีธรรมะมันก็หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง ล้วนเกินทางโน้นที เกินทางนี้ที ไม่อยู่ตรงกลางได้เลย คือไม่อยู่ตรงที่ความสงบได้ และความโง่ชั้นที่สองก็คือ เข้าใจว่าหัวเราะนี่มันวิเศษ ได้กิน ได้เล่น ได้หัวเราะ สรวลเสเฮฮาแล้วมันวิเศษ ถูกแล้วมันวิเศษ แต่มันวิเศษของคนโง่ ไปคิดดูเองก็แล้วกัน ไม่ต้องอธิบายกันมากนัก คนที่มีอะไรมาทำให้หัวเราะง่ายเกินไปนั้นจะเป็นคนโง่ ไปจี้สีข้างหัวเราะนี่ก็คือคนบ้าจี้ เขาพูดยั่วให้หัวเราะได้ตามพอใจ นี้ก็คือคนโง่ คือเป็นบ้าจี้เหมือนกัน แต่อีกชนิดหนึ่ง ถ้าคนเรามีความปกติ มันหัวเราะยาก มันจะไปหัวเราะให้เหนื่อยทำไม ถ้าขบขันมากก็เพียงแต่ยิ้มๆ ก็พอแล้ว มันไม่เสียกำลังงานของร่างกายที่ไปหัวเราะให้เหนื่อย นี่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ระวังให้ดีๆ ความโง่ที่อยู่ใกล้ตัว หรือที่กำลังมีอยู่นั้นรีบละเสีย อย่าได้ประมาทเลย จะเป็นประโยชน์แก่การศึกษาเล่าเรียน แก่การปฏิบัติหน้าที่การงานต่อไปข้างหน้า คนที่หัวเราะง่ายก็หมายความว่าเป็นคนที่ไม่มีการบังคับตัวเอง ถ้ามีการบังคับตัวเอง มันหัวเราะยาก ทีนี้คนก็ชอบปล่อยไปตามอารมณ์ ไม่อยากจะบังคับตัวเอง ก็หัวเราะง่ายมากขึ้นทุกที คนสมัยนี้ก็โง่ บ้าขึ้นทุกที สมัยก่อน ถ้าหญิงสาวหัวเราะง่าย เขาว่ามันเป็นคนเลว ที่หัวเราะร่วนอยู่เสมอ แต่สมัยนี้ถ้าหญิงสาวจะหัวเราะ ดูจะเป็นของธรรมดาไปเสียแล้ว เพราะมันเหมือนๆ กันไปหมด มันดูหนัง ดูละคร ดูอะไรต่าง ๆ ก็ชวนแต่หัวเราะ ไปตามก้นฝรั่งที่มีศิลปะในการทำคนให้หัวเราะ เรื่องหนัง เรื่องละคร อะไรต่าง ๆ อย่างนี้ นี่มันน่าเสียดายที่ว่านักเรียนทั้งหลายอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี มันยังเห็นโลกน้อย ต้องมีอายุสัก ๕๐-๖๐ ปี จึงจะเห็นมากกว่านี้ แล้วมันมากกว่ากันมาก คือถ้าได้อยู่มาตั้ง ๖๐-๗๐ ปี จะเห็นวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ดีของบรรพบุรุษ ซึ่งมันทำให้หัวเราะยาก มันสงบเสงี่ยมเจียมตัว อย่างผู้หญิงวิ่งไม่ได้ ยกแข้งยกขาสูงๆ ไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันไปตามก้นพวกฝรั่ง มันก็เลยเปลี่ยนไปหมด ก็รู้แต่เรื่องที่ทำกันอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้เห็นในสิ่งที่เขาทำกันแต่สมัยโบราณ คอยค้นดูรูปภาพ ศึกษาประวัติศาสตร์ ค้นดูรูปภาพ พวกฝรั่งสมัยโบราณ ผู้หญิงนุ่งกระโปรงถึงตาตุ่ม สวมเสื้อยาวถึงข้อมือ มีหมวก มีอะไร ดูจะยังปรากฏอยู่ในรูปภาพ ตอนนั้นเขายังไม่เป็นบ้า ก็ยังนับถือศาสนา ยังนับถือพระเจ้า เคร่งครัด คนไทยเราก็เหมือนกัน ยังมีเครื่องแต่งตัวที่ปกปิดร่างกายทุกส่วนที่ควรปกปิด พวกฝรั่งก็นำก่อน เสื้อผ้าสั้นเข้า ธรรมเนียมประเพณีเปลี่ยนไป เพราะมันถูกหลอก ด้วยพญามาร พญามารนั้นคือกิเลส กิเลสนั้นโดยส่วนใหญ่คือความโง่ หันมาเป็นวัฒนธรรมที่ยั่วยวน ลามก อนาจาร เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งเขาจะนำแต่ในการที่ไม่ต้องนุ่งผ้า ขอให้คิดดูให้ดีว่าเราเกิดมาชั่วอายุไม่ถึง ๒๐ ปีนี้มันเห็นอะไรน้อย จึงไม่รู้จักเปรียบเทียบ คนที่นุ่งผ้าน้อยกับคนที่นุ่งผ้ามากสมัยก่อนนั้น ว่ามันต่างกันอย่างไร พอคิดจะเปรียบเทียบมันก็โง่เสียแล้ว โง่ไปเชื่อตามเขาว่า นุ่งผ้ายาวๆ นั่นมันไม่ทันสมัย เป็นคนครึคระ นุ่งผ้าสั้นๆ กลับเป็นคนทันสมัย ก็คือทันสมัยการถูกหลอก ให้กลายเป็นคนไม่ละอาย ใช้ความยั่วยวนเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ มันผิดหลักพระศาสนา มันต้องใช้ความดี เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ ไม่ใช้ความหลอกหลวง คือความยั่วยวนนี้แสวงหาประโยชน์ น่าสงสารลูกเด็กๆ ที่เกิดมาในสมัยนี้ ที่มีวัฒนธรรมเปลี่ยนก่อนหน้านี้ มานุ่งห่มน้อย ที่พวกฝรั่งเขาออกแบบให้ ก็โง่ตามเขามา มันก็เลยไม่ต้องรู้อะไร และไม่รู้ว่านี่คือบาปตลอดทุกลมหายใจเข้าออก ถ้ามีความคิดก็จะใช้สิ่งยั่วยวนเนื้อหนัง เป็นสิ่งยั่วยวนจึงได้แต่งเนื้อแต่งตัวกันอย่างนี้ นั่นคือบาปตลอดทุกลมหายใจเข้าออก เพราะมันหลอกลวง มันเจตนาจะหลอกลวงให้คนหลงในความสวยความงามของเรา มันหลอกลวง มันพูดเท็จอยู่ตลอดเวลา มันเป็นกิเลสที่จะยั่วยวนเราให้หลงอยู่ตลอดเวลา ทางศาสนาจึงถือว่าเป็นบาป โกหก หลอกลวง ยั่วยวน หากินด้วยการยั่วยวน ครูบาอาจารย์ก็ทำอย่างนั้นเสียแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่เจ้าหน้าที่การศึกษา เจ้ากระทรวง ก็สนับสนุนการนุ่งน้อยห่มน้อยตามพวกฝรั่ง นั่นคือความมีจิตทราม จิตเลวของคนเหล่านั้น ไม่รู้เท่าทันกิเลส ไปตามกันในเรื่องที่มันไม่มีประโยชน์และให้โทษ นี่เรียกว่าตามก้นฝรั่งในลักษณะที่มันเป็นโทษ เราดูฝรั่งเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง มันน่านับถือตรงไหน มันทำความสงบสุขให้แก่โลกได้อย่างไร มันเป็นนักแสวงประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่พูดว่าฝรั่งทุกคนจะเป็นอย่างนั้นไปหมด ที่ดีก็มี แต่พูดโดยส่วนใหญ่แล้ว เขาเป็นผู้นำในการที่จะยั่วยวน ในการที่หลอกลวง ในการที่จะหาประโยชน์ด้วยการหลอกลวง ไปศึกษาดูให้ดี ที่เรามีวัฒนธรรมนุ่งน้อยห่มน้อย ทุกสิ่งนี้มาทำทีหลังฝรั่ง ไปซื้อแบบแฟชั่นของฝรั่งมา ก็มีอย่างอื่นอีก ไม่ใช่แต่เพียงการแต่งตัว มันยังมีอีก กิริยาท่าทาง การเล่น การหัว อะไรต่างๆ อีก นี่ใครเป็นผู้ทำลายใคร เขาว่ากิเลสหรือมารร้ายมันทำลายคน เพราะว่าคนเผลอไป ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ มันโง่ลง โง่ลง ขอไปคิดกันเสียใหม่ ให้อิสระแก่ตัวเอง อย่าไปยึดถือนัก ในข้อที่ว่า เขาหาว่านี่มันครึ นี่มันโง่ นี่มันไม่ทันสมัย ถือเป็นหลักไว้ว่า ไม่เสียหาย ไม่มีจิตทราม มีสติปัญญา นั่นแหล่ะถูกต้องกว่าที่ว่าจะต้องไปทำตามเขา เขาทำกันอย่างไร แล้วเราไม่ทำ เราเป็นคนครึอย่างนี้ ให้มันว่าครึไป ไม่เห็นเสียหายอะไร แต่ทำให้ถูกให้ดีไว้เสมอ ถ้าทำผิดแปลกไปจากเขา แล้วเขาก็จะต้องว่าเราครึ หรือเราเป็นบ้าเสมอไป นี่มันช่วยไม่ได้ ยิ่งทำอะไรดีมาก ยิ่งถูกหาว่าเป็นบ้ามาก แม้จะทำดี ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีคนหาว่าเป็นบ้าอยู่ คือมันทำไม่เหมือนเขา นั่นไม่ควรจะถือเป็นประมาณในการที่คนเขาจะหาว่าเราเป็นคนครึ เป็นคนบ้า เขาจะดูแต่ว่ามันถูกหรือผิด มันมีประโยชน์โดยแท้จริง หรือมันเป็นเพียงเรื่องลมๆ แล้งๆ นี่เรียกว่า มีธรรมะ มีความรู้ในทางธรรมะที่จะตั้งตนอยู่ในทางธรรมะ และจะไม่ต้องหัวเราะบ่อยๆ ไม่ต้องร้องไห้บ่อยๆ เป็นคนปกติอยู่ได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีสติปัญญา ข้อนี้เห็นว่าเป็นโอวาทอันหนึ่งที่อยากจะให้ เพียงแต่ว่าตักเตือนให้ไปสังเกตดูเอง เท่านั้น เป็นแนะแนวให้เห็นว่าเราอย่าไปเป็นคนหลง จนถึงกับเป็นทาส เป็นบ่าว ของความหลอกลวง
แม้โลกนี้มันมีความหลอกลวงมากขึ้น เพราะมันแย่งกันหาประโยชน์ ประโยชน์มันไม่พอ มันต้องแข่งขันกัน แย่งกันหาประโยชน์ คนที่จะได้ประโยชน์มันใช้วิธีหลอกลวง จนไม่คิดว่าผิดถูก คนอื่นก็ไม่ยอม ก็เลยแข่งขันกันในการที่หลอกลวงหาประโยชน์ ทั้งโลกมันก็เกิดเป็นการแข่งขันกันหาประโยชน์ เกิดเป็นศัตรูกันยิ่งขึ้นทุกที ต้องรบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด ในโลกนี้เวลานี้ก็มีการรบกันอยู่เรื่อย ไม่ที่นั่น ก็ที่นี่ มีมูลแท้จริงมาจากการแข่งขันกันหาประโยชน์ เป็นชั้นๆ หลายๆ ชั้น ซับซ้อนเกี่ยวพันกันยุ่งไปหมด เป็นโลกที่ มีความระส่ำระสายเป็นทุกข์ ต้องรู้เรื่องโลกในลักษณะคร่าวๆ อย่างนี้ไปก่อน แล้วเราอย่าใช้อายุเพียง ๑๐ ปี ๒๐ ปี หรือ ๒๕ ปี ของเรานี้เป็นหลักสำหรับวัดอะไรนัก เพราะมันยังสั้นเกินไป ศึกษาให้รู้เรื่องราวของคนที่มีอายุ ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๑๐๐ปี หรือกระทั่งหลายร้อยปีได้ก็ยิ่งดี ว่ามันมีอยู่อย่างไร มันเปลี่ยนแปลงอย่างไร ให้เราได้อยู่ในลักษณะที่ไม่ถูกหลอก มีความสงบสุขก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นเราจะรู้นิดเดียว จะรู้เพียงว่าเหมือนกับยุง หรือผีเสื้อ หรือแมงเม่าเท่านั้น รู้จักแสวงหาให้มีชีวิตอยู่ได้ และตายเมื่อไรก็ไม่ทันรู้ เรามีเงินมีอะไรใช้ แต่แล้วเราก็อาจจะทำผิดเสียหายไร้สาระความเป็นมนุษย์เมื่อไรก็ไม่รู้ ขอให้ระวังให้ดีอย่างนี้ นี่เรียกว่าสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะมอง เพราะฉะนั้นขอโทษถ้ามันไม่น่าฟัง ก็มาพูดให้ฟัง เพื่อจะได้รู้จักมองให้กว้างไว้ก่อน แล้วก็เลือกเอาให้พอดี ว่าเราจะต้องอยู่กันอย่างไร มันต้องอยู่ในความมีศีล มีธรรม ไม่ใช่อยู่ด้วยมีเงินใช้และมีอำนาจวาสนา ถ้ามีเงินหรือมีอำนาจวาสนา แต่ปราศจากศีลธรรมแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร ก็มีแต่ว่าจะสรรเสริญเยินยอกันแต่ในพวกคนที่ไม่มีศีลธรรมด้วยกัน คนที่มีศีลธรรมเขาสั่นหัวทั้งนั้นแหล่ะ และมันก็พิสูจน์ตัวมันเองว่าคนเหล่านั้นจะอยู่อย่างเป็นทุกข์ ทรมาน มีกิเลสเผาลนอยู่ในจิตใจตลอดเวลา ทั้งที่มีเงินมาก มีอำนาจมาก อย่าไปหลง อย่าไปบูชาเงิน บูชาอำนาจ โดยส่วนเดียว ถ้ามันไม่มีธรรมะแล้ว เงินหรืออำนาจนั่นแหล่ะมันเป็นอันตรายที่สุด แล้วมันก็ฆ่าคนนั้นอยู่เรื่อยๆ ไป ก็อย่างในประวัติศาสตร์หลายพันปีมาแล้วมันก็แสดงอยู่ กระทั่งเดี๋ยวนี้วัน วานนี้มันก็แสดงอยู่อย่างนี้ เราจึงเป็นคนไม่หลง อยู่ด้วยธรรมะตลอดเวลาเสมอไป ก็เรียกว่ามีศีลธรรม ขอให้นักเรียนทั้งหลายมีศีลธรรมในการเรียน จะเรียนได้ดี เรียนได้สำเร็จและก็มีศีลธรรมในการประกอบการงาน ดำรงชีวิตต่อไปข้างหน้า จะได้มีธรรมะมากขึ้น มีความสงบสุขโดยแท้จริงในส่วนตัวมากขึ้นๆ ก็ให้สังคมมีความสงบสุขมากขึ้น เพราะสังคมมันต้องประกอบขึ้นมาด้วยบุคคลแต่ละคนๆ แต่ละคนมันดี สังคมมันก็ดี
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงเรื่องว่า การทำงานในโลกนี้มันเป็นอะไรหรือมันคืออะไร เรากำลังเรียนเป็นผู้ช่วยพยาบาล นี่ก็เรียกว่าการงานอย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีในโลกนี้ เพราะโลกนี้มันมีปัญหามาก มันก็ต้องแบ่งปัญหา แบ่งหน้าที่กันทำ นับตั้งแต่ว่าเป็นพระ เป็นครูบาอาจารย์ ผู้สั่งสอนก็มี เป็นชาวบ้าน เป็นประชาชนก็มี เป็นผู้ปกครอง เป็นเจ้าหน้าที่ เป็นอะไรต่าง ๆ ก็มี แม้แต่เป็นแพทย์ เป็นผู้ช่วยแพทย์ เป็นพยาบาล เป็นผู้ช่วยพยาบาล อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นผู้ที่ทำงานที่จำเป็นที่จะต้องมีอยู่ในโลกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีมันก็ลำบาก คือเป็นอันตราย ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นผู้มีหน้าที่การงานที่จำเป็นที่สำคัญอยู่ด้วยในโลกนี้ มองกันอย่างคร่าวๆ ก่อน ก็ต้องถือว่าเป็นผู้ที่มีประโยชน์ เป็นคนที่มีประโยชน์ในโลกนี้ เป็นผู้ทำสิ่งที่มันมีประโยชน์ให้แก่โลกนี้ ก็ต้องถือว่าได้บุญ อย่าไปคิดว่าทำก็ได้เงินเดือน มันจะเป็นเหมือนยุง เหมือนแมลงผีเสื้อ เหมือนแมงเม่า ต้องคิดว่าทำเพื่อมันดีกว่านั้น คือทำเพื่อหน้าที่ของมนุษย์ให้ได้ความดี ให้ได้บุญที่แท้จริง ไม่ใช่บุญหลอกๆ เหมือนที่คนเขาเข้าใจกันอยู่ บุญที่หลอกนั้นมันทำพิษ เกิดเป็นผลร้ายขึ้นมาได้ แต่บุญที่จริงแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น มันจะช่วยขจัดบาป ทำให้มีความสุข เราจะต้องถือหลักว่าการปฏิบัติงาน การทำงานนี้เป็นการปฏิบัติธรรม การทำงานนี้เป็นการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การหาเงิน ถ้าใครคิดว่าการปฏิบัติงาน ทำงานตามนี้เป็นการหาเงิน ก็จะเหมือนแมงเม่า เหมือนแมลงผีเสื้อ เหมือนยุง รู้จักแต่หากิน แล้วไม่รู้จักความตาย ถ้ารู้ว่าการทำงานในชีวิต ตลอดชีวิตนี้มันเป็นการทำบุญ นั่นแหล่ะถูกต้อง เงินทองของเล็กน้อย เมื่อทำดีทำถูกแล้วเงินมันก็จะได้ตามสมควรที่จะได้ แต่เราต้องการมากกว่านั้น เราต้องการความดี ต้องการบุญกุศล ต้องการความรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่างเราเรียนเราได้ความรู้ นี่ไม่ต้องบอก เพราะทุกคนกำลังเรียนรู้อยู่ และสอบไล่ได้ ก็เรียกว่าเรียนได้ความรู้ แต่นั่นยังน้อยไป ถูกน้อยไป ที่จริงนั้นเมื่อไปทำงานตามความรู้นั้นๆ จริงๆ จึงจะได้ความรู้จริง อย่างเป็นผู้ช่วยพยาบาล ตอนนี้ก็เรียนก็รู้ แต่ขอให้ไปทำงานนั้น จริงๆ จะได้ความรู้จริงกว่านี้ จะมากกว่านี้มาก ความรู้ไปอยู่ที่การทำงาน เป็นการรู้จริงและพร้อมกันนั้นยังได้ประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย เขาได้รับประโยชน์ โลกนี้ได้รับประโยชน์ เพื่อนมนุษย์ได้รับประโยชน์ ยังมีดีกว่านั้นอีก คือว่าเราผู้ทำงานอยู่อย่างนี้มีธรรมะด้วย ขอให้จำเป็นหลักไว้สั้นๆ ว่า ถ้าทำงานดีจริง ย่อมมีธรรมะอยู่ในตัวด้วย ไม่ใช่แกล้งว่า แกล้งหลอก สังเกตเองก็จะเห็นได้ ถ้าใครทำงานจริง ทำงานดีจริง ถูกต้อง เป็นงานเป็นการจริง จะมีธรรมะมากอยู่ในการงานนั้น เพราะคนที่ทำงานให้สำเร็จนั้นต้องมีความรู้ มีสติปัญญา นี่ก็ธรรมะแล้ว ต้องมีความเสียสละ เห็นแก่ผู้อื่น มันถึงจะทำได้ นี่ก็เป็นธรรมะอย่างสูงแล้ว ต้องมีความอดทน ขันติ เป็นต้น นี่ก็เป็นธรรมะแล้ว ต้องมีความสำรวมระวังในขณะที่ทำอยู่ตลอดเวลา เป็นสังวรก็เป็นธรรมะแล้ว และที่มันมีปลีกย่อยอีกมากจนนับไม่ไหว สรุปแล้ว ถ้าทำงานจริง ก็ทำงานเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว คนไม่ทำงานจริงมันเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวก็ทำผิด ทำบาป คือไม่เป็นธรรม ข้าราชการที่เห็นแก่ตัวมันก็ทำบาปทันที เป็นข้าราชการที่โกงเวลาราชการ นี่มันก็บาปพอที่จะตกนรกแล้ว ข้าราชการคอรัปชั่นก็ควรจะถูกลงโทษยิ่งกว่าตกนรกเสียอีก มันมีความคิดที่เลวทรามอย่างอื่นอีกมาก ความเห็นแก่ตัวมันนำไปสู่ความเป็นอย่างนี้ นี่ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่โกงเวลา มันไม่โกงใคร มันเห็นแก่ธรรมะ ทำหน้าที่บริสุทธิ์ ทำหน้าที่แล้วก็สบายใจว่าได้ทำสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล ยกมือไหว้ตัวเองได้ เวลานั้นสบายใจที่สุด เป็นสุขที่สุด เงินเดือนก็กลายเป็นของเล็กน้อย ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่เขาเสียสละให้เรา เพื่อเราจะได้มีชีวิตอยู่ สำหรับทำหน้าที่การงานนี้ให้ดีที่สุดแก่มนุษย์ก็แล้วกัน อย่าคิดว่าจะเป็นเศรษฐี จะร่ำรวยกันใหญ่ เพราะทำการงานแล้วได้เงินเดือนอย่างนี้ อย่างนั้นมันไม่เป็นบุญ เป็นกุศล แต่มันเป็นทาส เป็นขี้ข้าของเงิน มันบูชาเงิน มันหวังแต่เงิน มันหวังแต่สิ่งชนิดนั้น มันก็เลยกลายเป็นคนที่มีจิตต่ำ มีจิตทราม กระทั่งเผลอเข้าก็ทำบาป ยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ มันเกลียดชังตัวเอง กินแหนงตัวเอง นึกแล้วก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนดี มันเกลียดชังตัวเอง จนด้าน จนชิน ในการเกลียดชังตัวเอง ความไม่มีศีลธรรม ความเห็นแก่ตัวเอง ทำให้มนุษย์ในโลกเป็นอย่างนี้มากขึ้นๆ จึงขอร้องว่าพวกเราทุกคน นักเรียนทั้งหลาย ระวังให้ดี อย่าให้พลัดไปในฝ่ายนั้น ให้อยู่ในฝ่ายความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สงบ หรือว่า อยู่ในธรรม ในโอวาท ในขอบเขตของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่เสมอไป การเกิดมาทีหนึ่งก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดเป็นแน่นอน ไม่ใช่ว่าได้เงิน ได้เงินเดือนแล้วมันจะดีที่สุด ได้อำนาจวาสนาแล้วมันจะดีที่สุด มันมีสิ่งที่ดีกว่านั้นมาก แต่เมื่อมองไม่เห็น แล้วมันก็เห็นว่านั่นแหล่ะดีที่สุด ธรรมะเข้าใจยาก บุญกุศลเข้าใจยาก และบางทีมันก็ไม่ชวนให้สนใจด้วยซ้ำไป เพราะเรามันยังไม่ถึงขนาดที่จะเข้าใจได้ก็มี ยกตัวอย่าง เด็กๆ เกลียดแกงขี้เหล็ก น้อยเด็กที่กินแกงขี้เหล็กได้ เพราะมันขม รู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่จึงจะกินได้ หรือคนแก่ๆ จึงจะกินได้ นี่แสดงว่าบางสิ่งบางอย่างที่เรายังเข้าใจไม่ได้ หรือเราไม่ชอบนั้น ต้องพิจารณากันใหม่ว่ามันเป็นอย่างไร เราเห็นแต่สนุกสนาน สรวลเสเฮฮา ส่วนความสำรวมระวังสงบเสงี่ยมระเบียบเรียบร้อยนี่เราเห็นเป็นแกงขี้เหล็ก เราไม่อยากจะเป็นคนมีระเบียบเรียบร้อยอย่างนี้ ต่อเมื่อเรารู้จัก จริง ๆ จึงได้รู้ว่ามันก็เป็นประโยชน์ ตรงกันข้ามกับที่เราเคยรังเกียจ
เอาล่ะ เป็นอันว่า ขอให้ถือว่าการมีชีวิตอยู่นี่ เป็นโอกาสสำหรับสร้างสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะทำได้ เพราะฉะนั้นต้องถือว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์ หรือการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่มีค่าหรือมีประโยชน์ เป็นโชคดีที่จะได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ให้เห็นชัดในข้อนี้เสียก่อน ว่าการได้เกิดมาเป็นคนนี้มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าเกิดมาเป็นสัตว์มันก็ทำไม่ได้ เกิดมาเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ก็ยิ่งทำไม่ได้ เกิดมาเป็นคนนี่เป็นโอกาสที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุด แต่เราจะได้ทำ หรือจะไม่ได้ทำ นั่นมันอีกเรื่องต่างหาก มันอยู่ที่เราต่างหาก มันต้องโชคดีต่อไป มีการแนะนำที่ดี มีบิดามารดาที่ดี ครูบาอาจารย์ที่ดี ก็แนะนำไปเรื่อยจนได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ทำ ที่นี้ อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ก็ไม่เดือดร้อน ไม่เป็นทุกข์ ทั้งเขาและเรา ทั้งเราและผู้อื่น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์แก่กันและกันมากที่สุด คนก็ไปถือว่าประโยชน์ของเรามากเท่าไรนั้นดีที่สุด ประโยชน์ของผู้อื่นเอามาเป็นของเราก็แล้วกัน เขาจะถืออย่างนี้ นี่เป็นอันธพาล ถือว่าดีที่สุดคือไปกว้านเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของเราเสียให้หมด นี่ดีที่สุดของอันธพาล แต่จะดีที่สุดของสัตบุรุษ ของพระอริยเจ้า เขาไม่ได้ถือกันอย่างนั้น เป็นประโยชน์จริง แท้จริง เป็นสุขด้วยกันทั้งนั้นทุกคน ประโยชน์ของเราให้ผู้อื่นเสียได้ก็ยังเอา ถ้ามันจะเป็นประโยชน์แก่เขา ถ้าเราตายคนหนึ่งทำให้คนหลายร้อยหลายพันคนมีความสุขเราก็ยอม อย่างนี้ เห็นประโยชน์ที่แท้จริง เป็นสิ่งสำคัญและก็ไม่ใช่เพื่อตัวเราคนเดียว เพื่อมนุษย์ทั้งหมด ทีนี้ใครมันจะยอมบ้าง ถ้าเราตายไปคนหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายมีความสุขกันทั้งหมด ใครจะยอมบ้าง ที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ได้ยินได้ฟังมาก็มีแต่พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ที่ท่านจะยอมถึงขนาดนั้น ท่านก็ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ สละความสุขส่วนตัวหมดเลยเหมือนกับว่าตายแล้ว ประโยชน์สุขส่วนตัวหมดแล้วเหมือนคนตายแล้ว แล้วก็ไปทำประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งหมด ทั้งเทวดาแลมนุษย์ นี่เป็นผู้ที่มองเห็นสิ่งสูงสุดจริง พวกเราไม่ต้องถึงอย่างนั้น เอาแต่ว่าให้มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย และเราก็มีความสุขด้วย เราไม่เดือดร้อน ผู้อื่นไม่เดือดร้อน สิ่งทั้งหลายงอกงามไปในทางที่เป็นประโยชน์ด้วยกันและกัน ยิ่งขึ้นทุกที เรียกว่าบุญกุศลอยู่ที่ตรงนี้ บุญมันล้างบาป บาปคือความเห็นแก่ตัว และก็โลภบ้าง โกรธบ้าง หลงบ้าง คือต้องมีความไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่เกิดกิเลส คือมันล้างกิเลส มันก็ล้างบาป ทำบุญก็ล้างบาป การศึกษาเล่าเรียนของเราเวลานี้ล้างบาป ล้างความโง่ที่เราไม่เคยรู้ เราเรียนแล้วเรารู้ ก็ล้างความไม่รู้ได้ ทำให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ต่อไปข้างหน้า ล้างความเห็นแก่ตัวหรือป้องกันความเห็นแก่ตัว ไม่ให้มันเกิดขึ้นมา เราก็เป็นคนบริสุทธิ์อยู่ ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด มันก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่มนุษย์มากที่สุด เป็นคนดี เป็นคนมีบุญ มีชีวิตอยู่อย่างมีค่า มีความหมาย เป็นที่เคารพนับถือของผู้รู้ ให้มุ่งหมายอย่างนี้ในการมีชีวิตอยู่ ว่าได้เกิดมาทั้งที มีโอกาสทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ และโลกนี้ก็จะน่าดู เดี๋ยวนี้โลกยังไม่น่าดู เพราะเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว ไม่ว่าไปที่ไหนก็ระวังตัวยิ่งขึ้น ๆ จนไม่รู้จะระวังอย่างไรกันแล้ว เวลานี้ ในโลกนี้ ก็มีเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว อันตรายทั้งนั้น เพราะมันไม่มีธรรมะ เพราะมันไปเป็นทาสของกิเลส เห็นแก่ตัว หลงใหลในความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย วัฒนธรรมใหม่ของสมัยนี้ต้องหาเงินไว้มากๆ พอสิ้นเดือนก็ไปเมามายกันใหญ่ สิ้นปีก็ไปเมามายกันใหญ่ ไปรอบโลกก็เพื่อไปเมามาย อย่างนี้มันก็มีกิเลสมาก เห็นแก่ตัวมาก พร้อมที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ทำอันตรายผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น ลักล้วงประโยชน์ของผู้อื่น ไม่มีศีลธรรม เป็นโลกที่ไม่มีธรรมะ พูดเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เห็นได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เดี๋ยวนี้เราก็ยังสร้างความไม่เห็นแก่ตัว ถ้าทำบุญอย่างทำในวันนี้ ก็ขอให้ทำเพื่อล้างความเห็นแก่ตัว อย่าเพิ่มความเห็นแก่ตัว บุญต้องล้างกิเลส อย่าไปคิดว่าบุญจะมาช่วยให้สวย ให้รวย ให้งาม ให้หลอกคนอื่นได้มากขึ้น คิดอย่างนั้นมันไม่ถูก หรือมันถูกอย่างตามประสาคนโง่ คนพาล ที่ต้องหลอกให้ทำบุญ คนฉลาดไม่ต้องมีใครหลอก มันเห็นชัดว่าทำบุญนี้เป็นบุญ มันทำลายความเห็นแก่ตัว มันไม่เกิดกิเลสในอกในใจนี้ มันก็ไม่ร้อน และผู้อื่นก็ไม่เดือดร้อน อย่างนี้เป็นการทำบุญที่แท้จริง เราทำบุญให้ทานอะไรก็ตาม ให้มันทำลายความเห็นแก่ตัวออกไป พร้อมไว้เสมอ บางทีก็ทำด้วยสิ่งของ เช่น อยากถวายทานด้วยสิ่งของ บางทีก็ทำด้วยเรี่ยวแรง บางทีก็ด้วยเวลา บริจาค เรี่ยวแรง เวลา ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการช่วยผู้อื่น ถ้าเราเรียนจบไปเป็นผู้ช่วยพยาบาล เราไปคิดเสียใหม่ก็ได้ว่า เราทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น เงินเดือนนั้นทิ้งไว้ที่พื้น เหยียบไว้ใต้เท้า ใต้ฝ่าเท้า ต้องการใช้เมื่อไรจึงไปเอามาใช้ อย่าเอามาบูชา บูชาความดีความงามที่ได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่เพื่อนมนุษย์ แก่มนุษย์ทั้งโลก แก่โลกนี้ บูชาคุณของพระศาสนาที่สอนให้ทำประโยชน์ผู้อื่น อย่าให้เห็นแก่ตัว นี่เรียกว่าโอวาท จะน่าฟังหรือไม่น่าฟัง ก็สุดแท้ ก็แล้วแต่จะเอาไปคิดไปนึก แต่ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ มันก็ต้องพูดอย่างนี้ มันพูดอย่างอื่นไม่ได้ ถ้ามันไม่น่าฟังก็ต้องขออภัย แต่ก็ยังจะพูดอย่างนี้อยู่ตลอดไป ก็ต้องเกิดมาเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว และเป็นคนสะอาด เป็นคนสว่าง เป็นคนสงบ เป็นคนสูงสุด เป็นพระอริยเจ้าไปเลย ไม่กลับมาเป็นอันธพาลอีกต่อไปแล้ว
ขอให้การศึกษาจงสำเร็จด้วยการมีธรรมะ สำเร็จการศึกษาแล้ว ขอให้ได้รับโอกาสทำหน้าที่ ประพฤติ กระทำการงานที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ด้วยหวังว่าให้มันเป็นสุขกันไปทุกคน การที่เราจะทำได้ เป็นการร่วมมือกันทั้งโลก คนพวกหนึ่งทำหน้าที่อย่างหนึ่ง คนพวกหนึ่งทำหน้าที่อย่างหนึ่ง รวมกันแล้วก็เป็นโลกที่น่าดู เรียกว่าช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงาม ช่วยกันทำบุญกุศล ช่วยกันทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา แล้วแต่ว่าจะถือศาสนาไหน ก็สอนเหมือนกันหมด ขอให้ทุกคนเข้าใจแนวสังเขปในการเกิดมาเป็นมนุษย์ไว้ในลักษณะอย่างนี้ การที่ได้มาที่นี่ อย่างน้อยก็ควรจะได้ฟังอย่างนี้ และก็ได้เห็นอะไรต่างๆ ที่ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไปว่าเราจะต้อง มีจิตใจที่สะอาด สงบ เย็น เหมือนกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ที่สะอาด ที่สงบ ที่เยือกเย็น มานั่งอยู่ตรงนี้ทำไมมันจึงรู้สึกสบายใจ เพราะว่ามันลืมความเห็นแก่ตัว ลืมตัวกู ลืมของกู จิตมันก็เลยว่าง บริสุทธิ์ สะอาด เป็นธรรมะไปโดยไม่รู้สึกตัว เราจึงรู้สึกสบายใจ พอกลับไปแล้ว มีความเห็นแก่ตัวอะไรขึ้นมาอีก มันก็ร้อนอีก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ร้อน ระวังให้ดีๆ กลับไปก็ให้มีสติ สัมปชัญญะ อย่าให้สิ่งเหล่านั้นมันครอบงำจิตใจและต้องร้อนอีก ขอให้เย็นเหมือนกับนั่งอยู่ที่นี่อย่างนี้ตลอดไป จะทำงานอะไรก็ทำไป จะเรียนก็เรียนไป จะปฏิบัติหน้าที่อะไรก็ทำไป ขอให้มันเย็นอยู่ทุกๆ อิริยาบถ หรือทุกลมหายใจเข้าออกก็แล้วกัน แล้วก็ช่วยตักเตือนซึ่งกันและกัน คือเพื่อนฝูง ถ้าจะเผลอไปบ้างก็ช่วยตักเตือนว่าอย่าลืม สิ่งที่มันจะช่วยให้เราเป็นปกติอยู่ได้ ถ้าเพื่อนคนไหนที่หัวเราะมากเกินไป ก็ช่วยเตือนเขาบ้าง ว่ามันคงไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าเพื่อนคนไหนจะร้องไห้ก็ช่วยเตือนบ้าง ว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องทำ เพราะเราทำแต่ถูกไว้เสมอ ถ้าทำผิดแล้วก็สารภาพและกลับใจจะไม่ทำอีก จะเลิกร้างกันไป จะทำถูกต่อไป แล้วเราก็ไม่ต้องร้องไห้ ถ้าเราไปหัวเราะก็คือเราโง่ ต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่มันหลอกให้หัวเราะ ไม่มีอะไรที่จริงจังถึงขนาดที่ไปหลงกับมัน ถ้าหัวเราะก็ควรจะหัวเราะเยาะ คือหัวเราะด้วยความฉลาด อย่าหัวเราะด้วยความโง่ หัวเราะด้วยความรัก ด้วยความหลง อะไรต่างๆ ซึ่งกำลังเป็นมากขึ้นทุกที นี่ถ้าเรารักเพื่อนของเรา เราก็ช่วยเตือนกันอย่างนี้ ด้วยเหตุที่เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ เราก็ต้องมีเพื่อน มีเพื่อนให้เป็นประโยชน์แก่กันและกัน ก็ต้องช่วยกันและกัน อย่างน้อยที่สุดก็ในการตักเตือนกันและกัน ให้มีจิตใจเย็นเหมือนนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดไป ไปเรียน ไปทำงาน อะไรต่างๆ อย่าเผลอความคิดที่ร้อนมันจะเข้ามา ถ้ารู้เท่าทัน ป้องกันมันไว้ อย่าให้มันเกิดขึ้นมาได้ มันเกิดขึ้นมาแล้วให้รีบละเสียทันที นึกว่านี่มันบ้าแล้ว มันโง่แล้ว กลับมาใหม่ กลับมาที่ตรงนี้ใหม่ ที่มันว่าง ที่มันเย็น ที่มันสงบ แล้วตั้งต้นทำหน้าที่ของตัวต่อไปใหม่ นี่คือพรที่ประเสริฐ วิเศษที่สุด ไม่มีพรชนิดไหนจะยิ่งไปกว่านี้แล้ว ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องเป่ากระหม่อม ไม่ต้องทำอะไร แต่ว่าเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปใส่ไว้ในจิตใจ เพื่อเป็นพรที่สูงสุด ไม่ต้องหัวเราะให้โง่ ไม่ต้องร้องไห้ให้โง่ อยู่ตรงกลางที่พอดี ที่พอปกติ ประพฤติหน้าที่ไปจนกว่าร่างกายมันจะสิ้นสุด คือตายทางร่างกาย แต่จิตใจไม่ตาย ความดีไม่ตาย ยังเหลืออยู่เป็นของนิรันดร ตั้งใจไว้อย่างนี้ นี่เรียกว่าให้พรพร้อมกันไปในตัวกับสิ่งที่เรียกโอวาท คำสอน ตามที่ได้ศึกษามาจากพระพุทธโอวาท และที่ได้สังเกตดูด้วยตนเองเรื่อยๆ มา มันได้ความอย่างนี้ จึงเอามาพูดให้ฟัง ในฐานะที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ รักใครที่สุดก็อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่ดีที่สุดยิ่งไปกว่าสิ่งนี้ คือสิ่งที่ทำให้เดินถูกทาง ให้เป็นมนุษย์ที่แท้จริง และก็ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ ฉะนั้นจึงขอให้นักเรียนผู้ช่วยพยาบาลทั้งหลายได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้เพิ่มขึ้น แล้วปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นประจำวัน ให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานนั้น ๆ และยิ่งขึ้นไป ตลอดกาลนาน และก็เป็นผู้มีความเจริญงอกงาม ก้าวหน้า ในทางของพระศาสนา ของพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย สมตามความประสงค์จำนงหมายทุกทิพาราตรีกาลเทอญ