แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมารู้สึกยินดีที่มากันจนถึงที่นี่ และก็เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาด้วย ฉะนั้นขอให้ความเป็นนักศึกษานั้นได้ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ในเรื่องที่เราต้องการกันสำหรับมนุษย์
การศึกษานี้มีได้หลายชั้น ที่ถือเป็นหลักกันอยู่ก็คือว่า ศึกษาจากตำรับตำรานี่อย่างหนึ่ง และศึกษาจากธรรมชาติโดยตรงนี่อย่างหนึ่ง รวมทั้งสิ่งของต่างๆ ด้วย และก็ศึกษาจากจิตใจ จากภายในจิตใจโดยตรงนี่อีกอย่างหนึ่ง ในพุทธศาสนานี้ นิยมหรือถือเป็นหลักในการที่จะศึกษาจากจิตใจโดยตรง ศึกษาจากตำรานั้นแทบจะไม่จัดว่าเป็นการศึกษา เพราะคำว่า ศึกษา ในพระศาสนานี้มันมีความหมายแปลกออกไป การศึกษาจากของหรือจากธรรมชาตินั้น ก็ยังพอจะนับว่าเป็นสักครึ่งการศึกษา และถ้าเป็นการศึกษาจากความรู้สึกในจิตใจโดยตรงนี่ก็เรียกว่าการศึกษาเต็มที่
คำว่า สิกฺขา ในภาษาบาลี และคำว่า ศิกฺษา ในสันสกฤต แล้วมาเป็น ศึกษา ในภาษาไทยนี่ก็คำเดียวกัน แต่ความหมายมันไม่เหมือนกัน ถ้าเป็น สิกฺขา ในภาษาบาลี ก็หมายถึงการฝึกฝนโดยตรง ทำลงไปจริงๆ ที่กาย วาจา ใจ นี่เรียกว่า ศีล จัดการกับจิตโดยตรงเรียกว่า สมาธิ จัดการกับสติปัญญา ความคิดความเห็นของจิตนั้นอีกทีหนึ่ง ก็เรียกว่า ปัญญา ไม่เกี่ยวกับตำรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้เราก็มีทั้งทางตำรา ทั้งทางจากธรรมชาติ และจากจิตใจโดยตรงก็แล้วกัน ยกตัวอย่างเหมือนว่า เราจะศึกษาพระพุทธประวัติ เราศึกษาจากหนังสือหนังหาตำรับตำรา มันก็ได้ไปอย่างหนึ่ง ความรู้ตามตัวหนังสือไปอีกแบบหนึ่ง อีกทางหนึ่งถ้าว่าศึกษาจากธรรมชาติหรือจากการเป็นอยู่ให้เหมือนกับพระพุทธเจ้าเสียเลย เราก็ได้ความรู้อีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนกันกับที่ได้จากตำรับตำรา ทีนี้ถ้าว่าเราศึกษาจากจิตใจโดยตรง โดยการพยายามทำจิตของเราให้เหมือนกับจิตของพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น เราได้ความรู้อีกแบบหนึ่ง
ยกตัวอย่าง เหมือนว่าเดี๋ยวนี้พวกเรานั่งอยู่กลางดิน บางคนก็ไม่เห็นว่าเป็นการศึกษา บางคนจะไม่ชอบด้วยซ้ำไปที่ต้องนั่งกลางดินอย่างนี้ เพราะอึดอัด ก็เลยยิ่งไม่เป็นการศึกษาใหญ่ แต่ถ้าเราได้ทราบเรื่องจากหนังสือตำรามาแล้วว่า พระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางดิน และอยู่มาจนถึงตรัสรู้ ก็ตรัสรู้กลางดิน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง และสอนภิกษุทั่วๆ ไป จนจะกล่าวได้ว่าทุกสูตร ตั้ง ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ในพระไตรปิฎกทั้งหมดนั้น ก็ตรัสสอนกันกลางดิน บางทีเดินทางอยู่ก็มี แล้วกุฏิของท่าน พื้นดิน ไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย ซากกุฏิยังอยู่ เป็นกุฏิพื้นดิน ท่านก็อยู่กลางดิน ในที่สุดท่านปรินิพพานก็กลางดิน ขอให้นึกถึงข้อนี้ก่อน จะรู้จักพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นไปกว่าที่เรารู้กันแล้วว่า การที่ท่านอยู่กับดินนั่นน่ะมันเป็นธรรมชาติ มันอยู่กับธรรมชาติ มันเป็นเกลอกับธรรมชาติ ประสูติใต้ต้นสาละ นิพพานก็ใต้ต้นสาละ ท่านเกี่ยวข้องกับต้นสาละมากที่สุด เรามีมาปลูกไว้ที่ตรงมุมตึกนั้นต้นหนึ่ง ก็ขึ้นงามดีอยู่ ฉะนั้นก็ไปถ่ายรูปกับต้นสาละ เอาไปดูเป็นที่ระลึกบ้างก็คงจะมีประโยชน์ อย่างน้อยคงจะเตือนอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าท่านเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน ตายกลางดิน อยู่กลางดินตลอดชีวิต ไปไหนก็ไม่ได้มีรถยนต์ มีรถอะไร ไม่มีรองเท้า ไม่มีร่ม สรุปความแล้วท่านเป็นเกลอกับธรรมชาติมากที่สุด นี่พวกเรามันอยากอยู่บนตึก บนวิมาน เรียนบนตึกมหาวิทยาลัย เทียบกันดูกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอนสาวกกลางดิน พอจะกล่าวได้ว่าเหมือนกับที่เรากำลังนั่งกันอยู่ที่นี่ อย่างนี้เรียกว่ามันเรียนจากธรรมชาติโดยตรง เมื่อนั่งลงกลางดินแล้วจิตใจเป็นอย่างไร เมื่อเข้าถึงความหมายของการเป็นเกลอกับธรรมชาติแล้ว จิตใจเปลี่ยนไปอย่างไร พระศาสดาทุกองค์ตรัสรู้กลางดิน ในศาสนาอื่นก็เหมือนกัน กล่าวได้อย่างนั้น เป็นพระศาสดากลางดิน แม้จะอยู่บนยอดภูเขา ก็กลางดินอยู่นั่นแหละ พระเยซูประสูติกลางดิน ยิ่งไปกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก อย่ามองข้ามในข้อนี้ ข้อที่ท่านอยู่กับธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ ขอให้จำไว้สักคำหนึ่งว่า เป็นเกลอกับธรรมชาติ ก็จะได้อะไร
การมาที่สวนโมกข์นี้ ถ้าไม่มาใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไม่เข้าใจธรรมชาติ ไม่เป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากขึ้นแล้ว ก็เหมือนจะป่วยการ มาเสียเวลาเปล่า เสียค่าใช้จ่าย เพราะที่นี่เราจัดทุกอย่างตามความมุ่งหมายให้คนได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ได้เป็นเกลอกับธรรมชาติ เพราะจะรู้อะไรมากกว่าที่จะเรียนรู้จากกระดาษ หนังสือหนังหา ตำรับตำรา มันไปคนละแบบ ขอให้นึกถึงคำว่า ธรรม หรือ พระธรรม ที่เป็นคำสอน หรือเป็นการปฏิบัติ หรือเป็นผลของการปฏิบัติก็สุดแท้ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าในพระศาสนานี้โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานี้ เรียนก็เรียนเรื่องธรรมชาติ ปฏิบัติก็ตามกฎธรรมชาติ ได้ผลก็ตามกฎธรรมชาติ ให้รู้แต่ว่าพระธรรมนั้นน่ะ ถอดออกมาจากกฎของธรรมชาติ และจะเป็นทุกศาสนาเสียด้วย แต่ว่าเขาพูดไว้ในรูปที่มันให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นก็มี เช่นว่ามาจากพระเจ้า ถ้าพระเจ้าคือธรรมชาติ มันก็ยิ่งถูกใหญ่ แต่ถ้าในพุทธศาสนานี้แล้วก็คือเรื่องของธรรมชาติ ความทุกข์ก็เรื่องของธรรมชาติ กิเลสให้เกิดทุกข์ก็เรื่องธรรมชาติ ดับกิเลสก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีกิเลสเลยแล้วก็เป็นสุข ก็ยิ่งเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ทีนี้การปฏิบัตินั้นต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ จึงจะเอาชนะธรรมชาติได้ ให้รู้จักธรรมชาติไว้ ว่ามันเป็นอะไรอันหนึ่งซึ่งมันไม่ใช่เล็กน้อยเหมือนกับที่เรารู้จักกันอยู่เวลานี้ ลูกเด็กๆ ได้รับการสั่งสอนเรื่องธรรมชาตินิดเดียว เหมือนอย่างเรียนชั้นมหาวิทยาลัยแล้ว ก็อยากจะพูดว่ารู้เรื่องธรรมชาตินิดเดียว
ถ้าในพุทธศาสนาจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติทั้งหมด คือรู้จักตัวธรรมชาติโดยแท้จริง และรู้จักกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้นโดยแท้จริงด้วย รู้หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูก ให้ตรงตามกฎธรรมชาตินั้นๆ แล้วจึงจะได้ผลมาตรงตามกฎของธรรมชาติ ไม่มีอะไรมากกว่าที่จะเอาจากธรรมชาติ แม้ตัวพระนิพพานเองก็เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง แม้ตัวกิเลสหรือความทุกข์ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง นี่การเกิดขึ้นหรือการดับไปก็เป็นกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นเราต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าเราเตรียมตัวสำหรับเป็นเกลอกับธรรมชาติ มันก็ง่ายและสะดวกเข้ามาตั้งครึ่งตั้งค่อน ที่จะรู้จักธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ เข้าถึงกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คือรู้พระธรรมในพระพุทธศาสนา ท่านตรัสสอนเรื่องอะไรออกมา ก็มันเป็นการถอดออกมาจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งนั้น เหมือนอย่างว่านั่งอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจะพูดกันถึงคำว่า มีจิตว่างจากกิเลส ถ้าอยู่ที่บ้าน อยู่ที่มหาวิทยาลัย อยู่ในตลาด ในเมือง เมื่อพูดถึงว่าจิตว่างจากกิเลส เราจะรู้สึกรู้จักมันได้เท่าไร ถ้ามานั่งอยู่ในสภาพอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ ในสถานที่นี้ เมื่อพูดถึงว่ามีจิตว่างจากกิเลส เราจะรู้จักมันได้สักเท่าไร นี่จึงต้องเรียนจากของจริง และก็เรียนจากจิตใจอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ฉะนั้นขอให้ถือโอกาสนี้ให้ศึกษาเรื่องธรรมชาติ และก็จากจิตใจที่รู้สึกต่อธรรมชาตินั้นๆ โดยตรง ก็จะเรียกว่ามาถึงสวนโมกข์
คำว่า โมกข์ นั้นแปลว่า เกลี้ยง ภาษาธรรมดาๆ คำว่า โมกข์ โมกขะ ภาษาบาลีนี้ แปลว่า เกลี้ยง คือไม่มีอะไรไปฉาบทา แตะต้อง แปดเปื้อน ถ้าจิตโมกข์ ก็หมายความว่า จิตหลุดออกไป คือเกลี้ยงไปจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย เมื่อเรารู้จักจิตที่โมกข์ หรือว่างจากกิเลสที่รบกวนชั่วขณะก็ยังดี ชั่วแวบหนึ่งก็ยังดี ว่ามันว่างนั้นเป็นอย่างไร เกลี้ยงนั้นเป็นอย่างไร อย่างนี้เรียกว่ามาถึงสวนโมกข์ เข้ามาในสถานที่นี้ มานั่งลงที่นี่ก็ตาม ถ้าสังเกตดูก็คงจะรู้สึกว่าจิตใจมันเปลี่ยนชอบกล มันโล่งๆ ว่างๆ เกลี้ยงๆ มันไม่มีความทุกข์ แทบทุกคนรู้สึกว่าเป็นสุข บางคนถึงกับออกปากออกมาเลยว่า แหม, มันสบายจริง ไม่รู้เป็นอย่างไรมันสบายจริง บอกไม่ถูก เขาก็ไม่รู้เรื่องนี้ ฉะนั้นก็บอกไม่ถูก แต่รู้สึกชัดว่ามันสบายจริงๆ ทีนี้ถ้าจะให้อธิบายก็ต้องว่า พอมาถึงสถานที่อย่างนี้ ธรรมชาติชนิดนี้ มันริบเอาไอ้เรื่องปรุงแต่งในจิตใจไปเสียหมด มันหยุดการปรุงแต่งด้วยกิเลส ด้วยตัวกูด้วยของกู มันเอาไปหมด มันก็เลยว่างไปขณะหนึ่ง คือว่างจากกิเลสหรือว่างจากตัวกูของกู ถ้าจิตมันว่างหรือเกลี้ยงไปจากกิเลสประเภทตัวกูของกูแล้ว มันจะรู้สึกอย่างนั้นแหละ รู้สึกอย่างที่เรียกว่าเป็นสุข เยือกเย็นใจ ว่าง เกลี้ยงเกลา นี่บอกไม่ถูก นี่มันเป็นของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ใครๆ ทำให้ก็ไม่ได้ ฉะนั้นจะมีความรู้สึกอย่างนี้ ในสถานที่อย่างในบ้านในเมืองหรือว่ามันเต็มไปด้วยตัวกูของกูนั้น มันไม่ได้ อย่างในมหาวิทยาลัย เราก็ไม่มีธรรมชาติแบบนี้ มันก็ยากที่จะเกิดปฏิกิริยาแก่จิตใจหรือว่าในใจอย่างนี้ ฉะนั้นพอมานั่งที่นี่ มันก็มีปฏิกิริยาอย่างนี้ขึ้นในใจ จนถึงเขาก็รู้สึก ที่นี้ต้องเรียนจากความรู้สึกอันนั้นแหละ ว่ามันเป็นอย่างไร คืออะไร มาจากไหน เพราะเหตุใด นี่คือเรียนจากความรู้สึกภายในจิตใจ ที่ธรรมชาติมันได้บังคับหรือแวดล้อมให้เกิดขึ้น ก็เป็นอันว่าเรียนรู้จากตามธรรมชาติ จากตัวธรรมชาตินั้นด้วย นี่มันมากหรือมันผิดไปจากที่เราจะอ่านจากหนังสือ หนังสือก็พูดเรื่องนี้ เรื่องเดียวกันนี้ มากมายหลาย หลายพันหน้า แต่มันก็เกิดความรู้สึกไม่ได้ จนกว่าจะมานั่งในที่อย่างนี้ หรือว่าให้สิ่งชนิดนี้มันแวดล้อม มันก็เกิดความรู้สึกในใจที่เรียกกันว่า experience บ้าง อะไรบ้าง แล้วแต่จะเรียก มันเป็นความรู้สึกจริงๆ อยู่ในจิตใจ ก็เรียนจากสิ่งนั้น นั่นคือเรียนธรรมะที่แท้จริง เรียนเรื่องจริงของสิ่งที่เป็นอยู่จริง
ถ้ามันเรียนเรื่องกิเลส ก็ต้องเรียนเมื่อกิเลสมันเกิด เกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความโง่ ความหลงอะไรขึ้นมา ก็ต้องเรียนจากความรู้สึกที่เป็นกิเลส แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น พอโกรธมันก็บ้าเสียเลย พอโลภมันก็หัวหมุนไปเลย มันไม่มีใครมาเรียนไอ้ตัวความโลภ ความโกรธ หรือความโง่อยู่ได้ จึงไม่ได้รู้เรื่องของกิเลส ถ้าเรียนเรื่องดับกิเลส ก็ต้องรู้กิเลส รู้จักกิเลส รู้การที่มันดับกิเลสลงไปนั้น ก็ต้องเรียนที่กิเลสเหมือนกัน เรียนความดับไฟ เป็นของร้อน มันก็ต้องเรียนที่ไฟ เรียนความดับทุกข์ มันก็ต้องเรียนที่ความทุกข์ อย่าเอาแยกกันไปไว้คนละทิศคนละทางให้ห่างไกลกัน เดี๋ยวนี้ก็อยากจะพูดถึงขนาดที่ว่า ไอ้ตกนรกไปพลางก็คว้าพระนิพพานไปพลาง คนโดยมากเขาไม่เข้าใจ เขาไม่ยอมฟังอย่างนี้ เขาเอานิพพานไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ อีกกี่หมื่นชาติแสนชาติจึงจะได้นิพพาน เดี๋ยวนี้ตกนรกอยู่ที่นี่ จะคว้านิพพานได้อย่างไร ขอให้ดูให้ดีเถอะว่าเมื่อตกนรกอยู่ เราจะต้องคว้าหานิพพาน นรกมันร้อน นิพพานมันเย็น เมื่อเราร้อนด้วยไฟไหม้ เราก็ต้องพยายามที่จะได้การดับไฟคือความเย็น ถ้าไปไว้เสียคนละแห่ง มันก็ไม่มีทางที่จะพบความดับไฟ หรือว่าเมื่อเราตกลงไปในน้ำ ตกน้ำอย่างนี้ เราก็ต้องคว้าหาที่เกาะที่พึ่ง เช่น ขอนไม้ หรือว่าสวะก็ยังดีที่มันลอยมา มันดีกว่าจมน้ำตาย นี่เมื่อตกน้ำก็ต้องคว้าหาที่จะเป็นที่พึ่งได้ทันที ที่นั่นและเดี๋ยวนั้น นี่ถ้าเราตกนรก ร้อนใจ ไฟเผาอยู่ ก็ต้องรีบคว้าหาพระนิพพานคือความเย็นใจทันที ถ้าถือหลักอย่างนี้ ไม่เท่าไรก็จะได้ผล ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ถ้าเอาไปไว้กันเสียคนละที่ คนละแห่ง คนละยุค คนละสมัย ก็ไม่มีหวัง
ถ้ามาเที่ยวที่นี่ เดินไปตามสระใหญ่โน่น ที่เขาเรียกกันว่า สระนาฬิเกร์ มีต้นพร้าว ต้นมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง ก็เรียกว่ามะพร้าวนาฬิเกร์ ก็อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง คือสระนั่น น้ำในสระนั้นเรียกว่าทะเลขี้ผึ้ง คือเป็นตัวความทุกข์ เป็นวัฏสงสาร เกิดๆดับๆ ดีๆ ชั่วๆ บุญๆ บาปๆ อยู่ที่นั่น ส่วนมะพร้าวมันก็ขึ้นโผล่พ้นขึ้นไป ไม่เกี่ยวข้องกับไอ้น้ำซึ่งเป็นทะเลขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งนั้นพอร้อน ก็เป็นของเหลว พอเย็นเข้าก็เป็นของแข็ง คือดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ ส่วนพระนิพพานไม่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ มันจึงขึ้นพ้นไป บทร้องของเขาจึงมีว่า มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง คือที่ต้นมะพร้าวนั้นน่ะ ดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ ขึ้นไปไม่ถึง มันก็ถึงอยู่ที่น้ำ ที่ทะเลขี้ผึ้งนั่นเอง ฉะนั้นความทุกข์อยู่ที่ไหน ก็ต้องหาความดับทุกข์ที่นั่น ที่นี้คนมันโง่ พอมันเกิดความทุกข์ขึ้นมา มันก็จะเป็นบ้าเสียให้ได้ มันก็เลยไม่เห็นอะไร ถ้ามีจิตใจต่อสู้ ปกติแล้วพบความทุกข์ที่ไหน ก็จะพบความดับทุกข์ที่นั่น หามูลเหตุของมันแล้วพลิกกลับกันเสีย อย่างนี้เรียกว่า รู้ธรรมชาติ รู้ใช้ รู้จักใช้วิธีของธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เป็นต้น โดยเข้าไปแตะต้องกับธรรมชาตินั้นๆ โดยตรง นี่มาที่สวนโมกข์ ก็ได้พบสิ่งเหล่านี้ เรียนธรรมะจากของจริงโดยตรง ไม่มัวเรียนจากหนังสือ เดี๋ยวจะคิดว่ามีรูปภาพ สอนธรรมะนั้นจะกลายเป็นหนังสือไป อย่าเข้าใจอย่างนั้น รูปภาพเหล่านั้นให้ความหมาย ต้องเข้าถึงความหมายอันนั้นให้มันลึกกว่าตัวหนังสือ มันก็เป็นเรื่องสอนธรรมะด้วยรูปภาพ สนุกดี ก็เลยเรียกว่า โรงมหรสพทางวิญญาณ
ที่นี้สิ่งที่มันครึ่งธรรมชาติ ก็ยังมี เช่น สระนาฬิเกร์ นั้นน่ะครึ่งธรรมชาติ ไอ้รูปภาพนั้นมันของคนทำขึ้น ทีนี้ธรรมชาติล้วนๆ เช่น ต้นไม้ แผ่นดินอะไรที่เรากำลังนั่งอยู่นี่ ถือว่าธรรมชาติล้วนๆ ก็เป็นการเข้าถึงธรรมชาติกว่า แต่ถึงอย่างไรก็เรียกว่า มหรสพทางวิญญาณได้ เพราะเรามานั่งให้ต้นไม้ ธรรมชาติทั้งหลาย มันแวดล้อมจิตใจ ให้หยุด ให้เย็น ให้เกลี้ยง นี่เรียกว่าความรู้สึกเป็นสุข เป็นมหรสพเหมือนกัน แต่เป็นมหรสพทางวิญญาณ ไม่ใช่มหรสพทางเนื้อทางหนัง ที่ไปดูหนังดูละคร เสียสตางค์ ก็ได้จิตใจที่บ้าเป็นผีสิงกลับมา นั่นน่ะมหรสพเนื้อหนังมันเป็นอย่างนั้น มหรสพทางวิญญาณนี้มันก็มีจิตใจที่สงบเย็นตามแบบของธรรมชาติ รู้สึกเป็นสุขเหมือนกับมหรสพเหมือนกัน แต่รสมันคนละอย่าง นี่เรื่องมาที่สวนโมกข์ เพื่อดูมหรสพทางวิญญาณ กระทั่งชิมรสเลย ชิมรสของมันเลย เป็นอย่างนี้ จึงหวังว่าคงจะได้ไปทุกคน ในฐานะที่เป็นนักศึกษา ควรจะได้ หรือควรจะเข้าใจ หรือชิมรสสิ่งเหล่านี้ได้ ไอ้เรื่องทางวัตถุ เรื่องสนุกสนานทางวัตถุก็มีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้วที่อื่น ดูจะมากเกินไปแล้ว ก็หาเรื่องทางวิญญาณมาช่วยไปอีกทางหนึ่ง จะได้สมบูรณ์ดี ฉะนั้นที่นี่ไม่มีให้เลยในเรื่องทางวัตถุ เพราะว่ามุ่งหวังแต่จะให้แต่ในเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ ทางมโนธรรม ขอให้พยายามเอาไปให้มาก จะได้ไปคู่กันกับเรื่องทางวัตถุ ที่เราจะเรียนจากมหาวิทยาลัย จากไหน อะไรก็ได้ มันจะได้พร้อม มี มี มีพร้อม มีครบกันทั้งสองฝ่าย ก็เรียกว่า ถูกต้องทั้งฝ่ายร่างกาย ทั้งฝ่ายจิตใจ หรือสติปัญญา มโนวิญญาณ
ที่นี้เป็นเรื่องพูดปรารภเริ่มต้นว่า ขอให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ และก็ มหรสพในทางวิญญาณ มานั่งอยู่กลางทรายนี้ ก็เหมือนกับว่านั่งดูมหรสพทางวิญญาณด้วยเหมือนกัน และยังจะเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้าอย่างยิ่งด้วย และพระศาสดาองค์อื่นๆ ด้วย ถ้าไปนั่งกลางดินอย่างนี้ที่ไหนอีก ก็ขอให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมาอีก เดี๋ยวไปนั่งในตึกมหาวิทยาลัยแล้วก็ลืมเรื่องนั่งกลางดินนี้เสีย จึงขอเตือนว่า เกิดไปนั่งกลางดินที่ไหนอีก ก็ขอให้มีรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมาอีก และก็อย่าได้ลืมว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน ตลอดเวลาอยู่กลางดิน สอนธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่กลางดิน พอกันทีสำหรับเรื่องธรรมชาติที่เป็นมหรสพ
ที่นี้ก็อยากจะพูดเรื่องที่ตั้งใจจะพูด เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายที่เป็นนักศึกษาบ้าง ในฐานะที่สนใจในสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะหรือศาสนา แล้วจึงได้มาที่นี่ เรื่องนี้มันก็ยืดยาวเหมือนกัน พูดกันกี่เดือนกี่ปีมันก็ไม่จบได้ แต่ว่าเราอาจจะพูดกันโดยหัวข้อได้ และก็สรุปใจความให้สั้นที่สุด สำหรับจะจำง่ายๆ แล้วก็ไปหาคำอธิบายได้ด้วยตนเองทีหลัง ไอ้เรื่องที่จะพูดนี้ ก็คือเรื่องที่ทุกคนก็พูดกันอยู่ หรือพร่ำหากันอยู่ คือเรื่องสันติภาพ
ทุกคนในโลกต้องการสันติภาพ อย่างน้อยก็ด้วยปาก ถ้าใครไม่ต้องการสันติภาพ คนนั้นมันก็บ้าแล้ว ไม่มีใครยอม ให้มันเป็นคนดีอยู่ได้ ฉะนั้นคนที่มันไม่ต้องการโดยจริงใจ มันก็ยังพูดว่าต้องการสันติภาพอยู่นั่นเอง แล้วสันติภาพของใคร ก็สันติภาพของโลก หรือของมนุษย์ เขาทำกันทุกอย่าง ทุกวิถีทางตลอดเวลา ของพวกนักการเมือง นักเศรษฐกิจ นักอะไรก็ตามใจ มันก็เพื่อสันติภาพของโลก แม้ที่เรากำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยนี้ ก็ดูเอา ถ้ามันไม่เพื่อสันติภาพของโลก มันก็ต้องเป็นบ้าเต็มทีเหมือนกัน แม้แต่เด็กยังเรียน ก ข ก กา อยู่ มันก็เป็นการเตรียมเพื่อจะรู้หนังสือ แล้วก็มีวิชาความรู้ต่อไปอีก กระทั่งมีอาชีพและก็ช่วยกันอยู่ในโลกนี้ เพื่อให้โลกนี้มันน่าอยู่ด้วยมีสันติภาพ แต่แล้วมันไม่ได้ผลตามนั้น คนมันไม่ซื่อสัตย์ต่อสันติภาพ ไม่รู้จักสันติภาพด้วยซ้ำไป เมื่อเราเรียน ก็หาเงิน หาเงินเดือนใช้ ก็สนุกสนานกันเต็มที่ ไอ้สันติภาพของโลกที่ไหนก็ตามใจมัน โดยมากมันเป็นเสียอย่างนี้ทั้งโลก เพราะฉะนั้นโลกนี้มันจึงไม่มีสันติภาพ พวกฝรั่งเก่งกว่าเรา เราตามก้นเขา เราก็ไม่เก่งกว่าเขา เขาก็ไม่ต้องการสันติภาพ เราก็ไม่ต้องการสันติภาพ ถ้าอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องพูดกัน ไม่มีธรรมะ ไม่มีเรื่องศาสนาอะไรที่จะต้องพูดกัน ฉะนั้นเราก็จะพูดกันได้แต่สำหรับผู้ที่ต้องการสันติภาพโดยแท้จริง ด้วยใจจริง
สันติภาพมันออกจะกว้าง คือของโลก ถ้าสันติสุขก็จะแคบเข้ามาหน่อย คือมันของคน คนหนึ่งๆ นี่จะพูดกันอย่างนี้ดีกว่า ทุกคนต้องการสันติสุขเฉพาะตน รวมกันแล้วเป็นสันติภาพอันกว้างขวางใหญ่หลวงของโลกทั้งหมด เราควรจะต้องการสิ่งนี้ กระทั่งมองเห็นว่าเราศึกษาเล่าเรียน มันจะเป็นเทคนิคเฉพาะวิชาเฉพาะอาชีพนั้น มันก็เป็นเรื่องหนึ่งสำหรับให้มันมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีสมรรถภาพ อย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่โลก แล้วก็จะช่วยกันสร้างสันติภาพให้มีขึ้นในโลก ถ้าไม่ต้องการขึ้นมาถึงนี้ มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว มันก็เป็นเรื่องเอาเปรียบ เผลอเข้าก็เป็นเรื่องของกิเลส แล้วคนชนิดนั้นไม่มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะอยู่ในโลก ถ้ามันเห็นแก่โลก แล้วจึงจะมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะอยู่ในโลก จึงถือเอาสันติภาพของโลกนี้เป็นความประสงค์ เป็นจุดที่มุ่งหมายของทุกคนที่อยู่ในโลก ฉะนั้นเราจะเรียน เรียน เรียน ก็ในที่สุดมันก็เพื่อประโยชน์อันสุดท้าย นี่คือให้โลกนี้มันงดงาม ประกอบไปด้วยสันติภาพ
ทีนี้จะดูกันต่อไปว่า สันติภาพของโลกนี้มันจะได้มาจากอะไร นี่คนก็จะเดาถูก ทายถูกกัน ก็คงจะพูดว่า มันมาจากศาสนาหรือธรรมะนั่นเอง นี้ก็ถูกแล้ว มันก็ไม่มีทางจะผิด แต่ว่ามันยังคร่าวๆ หรือว่าหยาบๆ เกินไป ควรจะดูกันให้ละเอียดกว่านั้น ที่นี้อยากจะพูดว่า สันติภาพของโลกนี้ มันมาได้ มีมาได้ จากสิ่งที่เราอาจจะเรียกชื่อให้ต่างๆ กันได้หลายๆ อย่าง แต่มันไม่ได้หลายอย่างโดย โดยตัวจริง มันหลายอย่างแต่โดยชื่อ ไอ้ตัวจริงน่ะ ก็มันมีอย่างเดียว ทีนี้เราจะพูดกันแต่โดยชื่อว่ามันหลายๆ อย่างก่อน
สิ่งๆ หนึ่งที่อาจจะเรียกชื่อได้หลายๆ อย่าง และนำมาซึ่งสันติภาพในโลก บางทีที่เรียกกันโดยมาก อาจจะเรียกว่า ศีลธรรม ศีลธรรมจะนำมาซึ่งสันติภาพในโลก เห็นด้วยหรือไม่ด้วย ก็คิดดู แต่คงจะเห็นด้วยยาก ถ้าหากว่าเข้าใจคำว่า ศีลธรรม เล็กนิดเดียว ผิวเผินด้วย เท่ากับว่าศีลธรรมนี่อธิบายกันในปทานุกรม มันเล็กเกินไป ฉะนั้นจะต้องเอาตามความจริงที่ถูกต้อง และตรงตามตัวหนังสือด้วย
ศีลธรรม แปลว่าอะไร ถ้าตามตัวหนังสือ วิเศษที่สุดน่ะแปลว่า สิ่งซึ่งทำให้เกิดภาวะปกติ เคยเข้าใจคำว่า ศีลธรรมอย่างนี้หรือเปล่า ที่ครูสอนในโรงเรียน อาจารย์อธิบายคำว่าศีลธรรม อธิบายว่าอย่างไร บางทีเป็นเรื่องกฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กๆ จะต้องปฏิบัติหรือชาวบ้านจะต้องปฏิบัติ และยิ่งมีคำว่า ศีลธรรมอันดีของประชาชน เข้ามาอย่างนี้ด้วยแล้ว มันยิ่งน่าหัว เพราะว่ามันไม่มีศีลธรรมอันเลว ไม่มีศีลธรรมไหนที่จะเป็นศีลธรรมอันเลว ไม่ต้องพูดว่าศีลธรรมอันดีของประชาชนอะไรกันอีก ก็ศีลธรรม ก็ต้องเป็นศีลธรรมเท่านั้นแหละ และถ้ามันถูกต้องตามเรื่องตามความหมายของคำนี้แล้ว ก็คือ ธรรมหรือสิ่ง ศีล มันแปลว่า ปกติ สิ่งที่ทำความปกติ นี่รู้เป็นความรู้ไว้เสียด้วย ถ้ายังไม่รู้ว่าคำว่า ธรรม ในภาษาบาลี ธรรมะ ในภาษาบาลีน่ะ ถ้าเป็นนาม เป็นคำนามธรรมดาทั่วไปนั้น มันแปลว่า สิ่ง ไม่แปลว่าอะไรมากไปกว่านั้น ที่มันมาเป็นพระธรรม มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์สูงสุดนั้น มันมีคำอื่นประกอบหรือให้ความหมายพิเศษ
ศีลธรรมก็แปลว่า ธรรมที่ทำศีล ที่นี้ ศีล แปลว่าปกติ ถ้าเป็นเรื่องทางวัตถุ ก็เหมือนก้อนหินก้อนนี้ ปกติกระดุกกระดิกไม่ได้ นี่คือศีล ศีลเหมือนกัน ก้อนศิลายิ่งตรงๆ ตามชื่อเลย บางทีอาจจะเอาคำว่า ศิลา ก้อนหินนี่ไปใช้ก็ได้ สำหรับคำว่าปกติ ถ้าทางกาย วาจา ก็หมายความว่า กาย วาจามันปกติ ไม่เกิดเรื่องเกิดราว ถ้าทางจิต ก็จิตมันปกติ มันไม่มีกิเลส นั่นน่ะคือศีล ศีลแปลว่าปกติ ฉะนั้นมันจึงไม่มีความทุกข์ เพราะมันเป็นตามปกติ ถ้าผิดปกติ มันจึงจะมีปัญหาและมีความทุกข์ ฉะนั้นคำว่าศีลธรรม ก็แปลว่า สิ่งที่ทำความปกติ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดปกติภาวะ อะไรก็ได้ถ้าทำให้เกิดปกติภาวะก็เรียกว่าศีลธรรม ถ้าว่าแจกไปตามชั้นตามลำดับ เป็นเรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทางอะไรก็แล้วแต่เรื่อง ถ้าโลกนี้มีศีลธรรมก็หมายความว่าโลกนี้มีสิ่งที่ทำให้เกิดภาวะปกติ ฉะนั้นโลกนี้ก็อยู่กันเป็นผาสุก นี่โลกที่มีศีลธรรมจะต้องเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราไม่มีความอยู่เป็นผาสุก ควรจะรู้จักกันได้แล้ว อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ก็เหมือนกัน เดี๋ยวก็มีเผาที่นั่น ทะเลาะกันที่นี่ ฆ่ากันที่โน่น มันมีศีลธรรมอยู่ที่ตรงไหน คือมันไม่มีความเป็นปกติ ที่นี้โดยศัพท์ โดยคำ คำว่า “ศีล” แปลว่า ปกติ ธรรม ก็แปลว่า สิ่ง สิ่งที่ทำความปกติ
ที่นี้มัน ในที่สุดมันมาอยู่ในรูปของศาสนา ทุกศาสนา ทุกศาสนาจะสอนศีลธรรมหลายๆ ระดับ ระดับที่ปกติที่สุดก็คือดับทุกข์ได้หรือนิพพาน หรือเข้าไปอยู่กับพระเจ้า ในโลกพระเจ้า มันก็เป็นเรื่องปกติที่สุดแล้วเหมือนกัน ศาสนาไหนก็สอนกันอย่างนี้ เพื่อให้หยุด ให้เย็น ให้ดับ ให้ไม่มีความทุกข์ นั้นน่ะสันติภาพของโลก ก็อยู่ด้วยศีลธรรม มีเพราะศีลธรรม ไปศึกษาให้ละเอียดลออเอาเอง สำหรับคำว่า ศีลธรรม
ทีนี้เราจะเรียกชื่ออย่างอื่นบ้าง จะเรียกชื่อว่า มนุษย์ธรรม หรือ มนุษยธรรมดูบ้าง มันก็อย่างเดียวกันอีกแหละ มนุษย์นี่มันแปลว่า สัตว์ที่มีจิตใจสูง สูงอยู่เหนือปัญหา เหนือความผิดปกติ เหนือความเร่าร้อน เหนืออะไรต่างๆ ไม่ใช่ว่าเป็นคน เกิดมาแล้วก็เป็นมนุษย์ แล้วก็มีมนุษยธรรม นั่นมันเป็นเรื่องที่สอนลูกเด็กๆ ในโรงเรียนประชาบาล หรือโรงเรียนชั้นต่ำๆ ในความหมายทางศาสนา ทางศีลธรรม ทางอะไรต่างๆ เขาเล็งถึงว่า ผู้มีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ จึงจะเรียกว่า มนุษย์ การที่เราศึกษาเล่าเรียนนี้ก็เพื่อจะทำความเป็นมนุษย์ให้มันก้าวหน้าไปตามลำดับทั้งนั้น ฉะนั้นอะไรที่ทำให้ใจสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น นั่นแหละคือมนุษยธรรม คือทำให้มีความเป็นมนุษย์ ทีแรกไม่รู้หนังสือสักตัวหนึ่ง เอ้า, ก็มีรู้ขึ้นมา มันก็มีวิชาความรู้ อาชีพมันก็สูงขึ้นมา มีความรู้ในหน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งโลก มันก็สูงขึ้นมา มนุษย์ธรรมก็มาอยู่ในรูปของชื่ออย่างอื่น เช่น วัฒนธรรม อารยธรรม อะไรก็ได้ ถ้ามันถูกต้องและแท้จริง
ทีนี้เราจะมาเรียกชื่อ เรียกกันโดยชื่อ ที่กำลังเป็นที่สนใจกันที่สุด และมันเกี่ยวข้องกันโดยตรงมากขึ้น คือจะ จะเรียกชื่อว่า ระบอบอธิปไตยที่มันถูกต้อง อธิปไตย ก็คือธรรมที่เป็นใหญ่ ที่มีอำนาจ ถ้ามันถูกต้อง ธรรมนั้นก็จะเป็นใหญ่ และก็ควบคุมโลกนี้ให้มีสันติภาพได้ ระบอบอธิปไตยนี้มันมีมาก เรียกว่าอะไร ประชาธิปไตย ธรรมาธิปไตย เสรีธิปไตย อะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก ทั้งโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย คณาธิปไตย เป็นต้น อธิปไตยไหนที่จะช่วยให้โลกนี้มีสันติภาพอันแท้จริง มันต้องเป็นอธิปไตยที่ถูกต้อง ถูกต้องโดยอุดมคติ ถูกต้องโดยวิธีที่ปฏิบัติ เดี๋ยวนี้เรากำลังเมาประชาธิปไตยกันใช่ไหม ไอ้ภาษากระโดกๆ ที่เรียกว่า ฮิต ฮิตนั่นนะ มันกำลังฮิตประชาธิปไตย มันเป็นประชาธิปไตยที่เขากำลังเร่งกันใหญ่ จะให้มีแม้แต่ในโรงเรียนอนุบาล แล้วมันจะช่วยให้โลกมีสันติภาพได้ไหม ก็ให้คิดดู
ถ้าอธิปไตยนั้น มันไม่ถูกต้องต่อกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มันไม่ถูกต้องโดยอุดมคติ ไม่ถูกต้องโดยวิธีปฏิบัติการ อะไรก็ตาม มันก็เป็นอธิปไตยบ้า ฉะนั้นประชาธิปไตยที่กำลังเมากันนัก ระวังให้ดี ถ้าว่าประชาเหล่านั้นมันโง่ ไม่รู้ความจริงแล้ว อธิปไตยนั้นมันก็ผิดแน่ ก็คือคนโง่นำโลก พาไปลงเหว ถ้าประชาชนไร้ศีลธรรม แล้วก็มอบอำนาจให้แก่ประชาชนชนิดนั้น ประชาธิปไตยนั้นก็พาคนลงเหว ยิ่งกว่าความทุกข์เสียอีก คือฉิบหายวินาศหมด ฉะนั้นอย่าหลงไปกับคำว่า ประชาธิปไตยลุ่นๆ ซึ่งมันไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่ มันต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีความถูกต้องต่อธรรม หรือว่าต่ออุดมคติอะไรต่างๆ
ทีนี้เพื่อให้ถูกต้อง ก็ต้องมีคำว่า ธรรม เข้ามาประกอบ คือประกอบไปด้วยธรรม ก็ต้องเป็นเรื่องที่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เห็นแก่ตัวคนเดียว ฉะนั้นก็มีคำกำกวมที่หลอกให้หลงกันได้มากขึ้น จะยกตัวอย่าง ตัวอย่างเช่นคำว่า ประชาธิปไตย นี่เอง ถ้าประชาธิปไตยนี่มันเป็นเสรีนิยม คือใครทำอะไรได้ตามต้องการเพราะเสรี เสรีนิยม ระวังให้ดีเถอะ มันจะทำโลกให้วินาศ และใครสามารถทำอะไรได้ตามใจตัว ไม่ผิดกฎหมายแล้วก็ทำได้นี่ แต่ถ้ากฎหมายนั้นมันออกมาโดยคนที่ไม่รู้ธรรมะ มันก็มีช่องโหว่ ให้เกิดคนที่มีสติปัญญาสามารถนี่กอบโกย อย่างที่เรียกว่า มือใครยาวก็สาวเอาได้ และไม่ผิด ไม่ผิดกฎหมายด้วย ในโลกนี้มันมีอย่างนี้ กอบโกยด้วยมือยาวที่สุดและไม่ผิดกฎหมายด้วย ก็เกิดคนพวกนั้นขึ้นมาในโลก แล้วก็ควบคุมโลกหรือหมุนโลกให้ไปตามนั้น ฉะนั้นเสรีประชาธิปไตยนี้ไม่สามารถจะทำโลกให้มีสันติภาพได้ เพราะมันเสรีโดยบุคคลที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรม แต่ถ้าจะตีความหมาย เสรี เป็นอย่างอื่น เสรีหมายถึงเสรีจากกิเลส ก็ไปนิพพานเลย อย่างนี้ก็ได้ แต่มันไม่มีความจริง ไม่มีความมุ่งหมายอยู่ในโลกนี้ ที่เขาบูชากันว่า เสรีประชาธิปไตยนั้นน่ะ ระวังให้ดี มันเสรีของใคร เสรีของคนที่ไม่มีศีลธรรม ฉะนั้นมือมันยาว มันก็สาวเอา เพราะว่าเขาเปิดไว้ให้ ฉะนั้นเสรีนิยมจึงใช้ไม่ได้ ตามความรู้สึกของอาตมา มันต้องมีคำที่ตรงกันข้ามคือว่า สังคมนิยม ถ้าเสรีนิยม คนๆ หนึ่งเอาได้ตามชอบใจ มือใครยาวสาวเอาได้ ถ้าเป็นสังคมนิยม มีระเบียบตายตัวแล้วเอาไม่ได้ สังคมไม่ยอม ต้องทำในลักษณะที่สังคมไม่เดือดร้อน มันก็เลยมีคำว่า สังคมนิยม ขึ้นมาเป็นคู่ตรงกันข้ามกับเสรีนิยม ก็ลองเลือกเอาเอง ลองคิดดูเอง เสรีนิยมคนก็คงจะชอบเพราะมันเสรี ส่วนบุคคล เพราะไม่อยากจะเห็นแก่ผู้อื่น แต่ธรรมชาติมันไม่ยอมให้ใครทำอะไรชนิดที่เรียกว่าเห็นแก่ตัวคนเดียว มือใครยาวสาวเอา อย่างนี้ธรรมชาติไม่ยอมแน่ เพราะธรรมชาติเขาต้องการให้เฉลี่ย เป็นลักษณะสังคมนิยม คือว่าอยู่สบายกันได้ด้วยกันทุกคน เหมือนกับว่าอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่แต่อย่างเดียวในโลกได้ เช่น ต้นไม้นี่จะอยู่โดยปราศจากมด แมลงก็ไม่ได้ อยู่โดยปราศจากนกก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีมด ไม่มีนกกินแมลง แมลงก็กินยอดไม้หมด ต้นไม้ก็ตายเกลี้ยงไปจากโลก มันไม่มีใครอยู่คนเดียวในโลกได้ หรือสิ่งเดียวในโลกได้ แล้วนก หนู ก็ไม่มียุ้งฉาง มันก็เก็บกินเฉพาะที่ท้องมันจำกัด และมันก็ไม่มีทางจะเอาเปรียบสัตว์อื่น ตัวอื่น คนอื่น ทีนี้พอมาถึงคน มันไม่ถือหลักอย่างนั้น มันเอาเปรียบ กอบโกย มันก็ผิดหลักธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติที่ว่า มันต้องเห็นแก่คนทั้งหมด
ฉะนั้นทุกศาสนาจึงสอนว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พวกนักเรียนสมัยใหม่ก็หัวเราะคุณย่า คุณยาย ว่ามัวแต่พูดอย่างนี้ ตัวเองมันโง่ ไม่รู้ว่าธรรมชาติมันต้องการให้ถือหลักว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าเห็นแก่ตัว อย่ามุ่งหมายเฉพาะตัว ฉะนั้นมันจึงเกิดคำว่า สังคมนิยมขึ้นมา แต่แล้วมันก็ยังไม่ ไม่ปลอดภัย มันต้องมีคำว่า ถูกต้อง เข้ามาอีกด้วย เสรีนิยมก็เหมือนกัน ถ้าใช้คำว่า ถูกต้อง เข้ามา มันก็ยังใช้ได้ สังคมนิยมมันก็ยังไม่ถูกต้องถึงที่สุด จนกว่าจะประกอบคำว่าถูกต้องเข้ามาอีก คำว่า ถูกต้องนี่ ถ้าเป็นบาลีก็เรียกว่า ธมฺมิก ธรรมิก แปลว่า ประกอบอยู่ด้วยธรรม ประกอบด้วยความถูกต้อง ฉะนั้นแล้วก็มีคำว่า ธรรมิกเสรีนิยม หรือธรรมิกสังคมนิยมเข้ามา ถ้านิยมสังคม มันก็ต้องถูกต้องด้วย ไม่มีทางผิดพลาดตรงไหน คือประกอบไปด้วยธรรม ฉะนั้นก็ทำสังคมให้มันเป็นสุขได้ด้วยกันทั้งสังคม ถ้าเสรีนิยม มันจะไปทางอัตตา ทางตัวตนเสีย มันก็แคบไป แม้จะถูกต้อง มันก็ถูกต้องเฉพาะคนไปเสีย เพราะคนก็เห็นแก่ตัว ฉะนั้นเราไม่ยอมให้เห็นแก่ตัว ถึงได้มีระเบียบให้เห็นแก่ทุกคน เห็นแก่ทุกคนแล้วก็ต้องถูกต้องตามธรรมด้วย ฉะนั้นเราจึงมีสังคมนิยมที่ถูกต้องตามแบบของพระศาสนา ไม่ใช่สังคมนิยมในโลกเวลานี้ เป็นสังคมนิยมบ้าเลือด สังคมนิยมแก้แค้น ทำลายนายทุน อย่างนั้นมันไม่เกี่ยวกันกับสังคมนิยมที่กำลังพูดถึง สังคมนิยมตามแบบของพระพุทธเจ้า หรือพุทธบริษัท หรือพุทธศาสนาต่างหาก ขอให้พยายามศึกษาเรื่องราวของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ากันให้ดีๆ แล้วก็จะพบว่าพระพุทธศาสนาหรือพระพุทธเจ้านี้เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นแบบสังคมนิยม ไม่ใช่เสรีนิยม ฉะนั้นถ้าจะแปล เสรีนิยม อย่างอุตริ หมายถึง นิพพาน และเป็นสังคมนิยม แล้วก็ยังประกอบด้วยธรรมะ ประกอบด้วยความถูกต้องอีก คือว่าจะมีหลักใหญ่ๆ ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ฉะนั้นเอาเปรียบไม่ลง ฆ่าไม่ลง หรืออะไรไม่ลง แล้วก็จะไม่กอบโกยส่วนเกิน ตัวเองควรจะอยู่ได้ ลักษณะเช่นนี้ก็อยู่ได้ ในลักษณะเช่นนี้ ไม่ใช้เสรีภาพอะไรไปกอบโกยเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัว จนตัวร่ำรวยล้นหล้าไปเลย นี่คือสังคมนิยม ถ้าใครเอาส่วนเกิน คนนั้นเป็นบาป เป็นคนบาป ศาสนาไหนก็สอนอย่างนี้ ไปดูเถอะ ใครที่มันอยากเกินจำเป็น แสวงหาเกินจำเป็น มีไว้เกินจำเป็น บริโภคเกินจำเป็น มันเป็นคนบาป จึงสอนให้ทำแต่พอดีที่เรียกว่า ถูกต้องหรือสายกลาง อย่าไปนิยมคำว่า กินดีอยู่ดี มันจะตกนรกไม่ทันรู้ตัว ให้นิยมคำว่า กินอยู่แต่พอดี มันจะไม่เอาส่วนเกิน บางทีนก หมู แมว มันส่วนเกินแก่กัน มัน มันไม่มียุ้งฉาง สัตว์ในโลกทั้งหลายมันไม่มียุ้งฉาง มันมีแต่ท้อง มันเอาส่วนเกินไม่ได้ มนุษย์มันมียุ้งฉาง มีสติปัญญาผลิต มันเกิดอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือผู้อื่น มันก็ครองโลก ไว้ใจอำนาจนี่มันก็ไม่ถูกแล้ว มันไม่เห็นแก่ผู้อื่นแล้ว
ควรจะทราบเรื่องของภิกษุเสียบ้างว่า มีผ้านุ่งผ้าห่มได้เพียง ๓ ผืนนะ ถ้าถือวินัยมีได้เพียง ๓ ผืน ถ้าได้ผืนที่ ๔ มา ต้องสละให้เป็นส่วนของผู้อื่นหรือเป็นของสงฆ์ ของกลางไปเลย บาตรก็มีได้ใบเดียว เครื่องใช้ไม้สอยมีเท่าที่จำเป็น ขืนมีมากกว่านั้น เป็นคนไม่มีศีล ไม่มีธรรม กุฏิวิหารสร้างเอง อยู่ได้เพียงกว้าง ๗ ฟุต ยาว ๑๒ ฟุต เท่ากับห้องน้ำห้องหนึ่ง สร้างใหญ่กว่านั้นไม่ได้ กินอยู่น่ะมันล้วนแต่จำกัดไว้ว่า ไม่มีส่วนเกิน ทีนี้มันก็เหลือไปถึงผู้อื่น ถ้ามี ก็มีให้ผู้อื่น จะทำจะสร้างขึ้นมาก็ได้ ก็สร้างให้ผู้อื่น ฉะนั้นพุทธบริษัทเป็นเศรษฐีมากมาย เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ตามเถอะ เศรษฐีนั้นก็สร้างหรือผลิตขึ้นมาด้วยข้าทาสบริวาร แล้วก็ไปช่วยสังคม เพราะว่าเศรษฐีในความหมายพุทธบริษัทนี่คือต้องมีโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทาน ไม่มีใครเรียกเศรษฐี นี่หมายถึงในความหมายของพุทธบริษัทในพุทธศาสนา ถ้าเป็นมหาเศรษฐีก็คือมีโรงทานมาก หลายโรง ก็ต้องมีปัจจัยที่จะมาบำรุงโรงทาน ฉะนั้นเศรษฐีก็มีข้าทาสบริวาร มีคนใช้ มีอะไรมาก ก็ช่วยกันผลิตได้มาก ได้มากก็เอามาเลี้ยงโรงทาน นี่มันไม่ใช่นายทุนอย่างสมัยนี้ ฉะนั้นอย่าเอาคำว่า เศรษฐี คำว่า นายทุน สมัยนี้ไปปนกันเข้าไม่ได้ เพราะเศรษฐีครั้งพุทธกาลที่เป็นพุทธบริษัท เขาก็หมายถึงคนที่มีโรงทาน หรือธรรมเนียมในประเทศอินเดียสมัยนั้นก็เหมือนกัน ถ้าเศรษฐีต้องมีโรงทาน จะถือศาสนาไหนก็สุดแท้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่นายทุนสมัยนี้ เพราะว่าเศรษฐีนั้นมันเป็นสังคมนิยม ถ้ามัน ถ้ามันไม่เป็นสังคมนิยมแล้วมันจะตั้งโรงทานไปทำไม ถ้ามัวมาตั้งโรงทาน ให้ทาน เดี๋ยวจะไม่เรียกสังคมนิยม แล้วจะเรียกว่าอะไร ฉะนั้นเศรษฐีก็ฝังทรัพย์สมบัติไว้ได้ เพื่อว่าลูกหลานมันจะหย่อนความสามารถ มันจะได้ใช้เงินนี้หล่อเลี้ยงโรงทานต่อไปเมื่อพ่อมันตายแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้มาถึงระบบกษัตริย์ เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น คุณสนใจก็ไปหาประวัติอ่านดู มันเป็นเรื่องจริงที่ในประวัติศาสตร์ของอินเดีย พระเจ้าอโศกมหาราชนั้นก็เป็นสังคมนิยม มีอะไรจารึกตามหน้าผา ตามเสาหิน ต่างๆ มันมีระบบสังคมนิยมทั้งนั้น ไม่ให้ใครเห็นแก่ตัวได้ ก็เลยเป็นหลักของศาสนา หรือธรรมะในศาสนามันเป็นรูปสังคมนิยม มันประกอบอยู่ด้วยธรรม ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรทุจริตซ่อนเร้นไว้ที่ไหน แต่ทีนี้มันยังมีดีอีกทีหนึ่งกว่านั้นก็คือว่า เป็นสังคมนิยมแบบเผด็จการ พระพุทธเจ้านั้นอุดมคติของท่านเป็นสังคมนิยม สัตว์ทั้งหลาย เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่วิธีปฏิบัติงานของท่านนั้นมันเป็นเผด็จการ ทีนี้คนมันโง่ มันเข้าใจคำว่า เผด็จการ ไปในทางความหมายที่เลว ว่าถ้าเผด็จการแล้ว ก็ฆ่าคนนั้นฆ่าคนนี้ เอาของเขามา หรือว่าเอากิเลสของตัวบังคับผู้อื่น นั่นมันเผด็จการอุดมคติที่บ้า
คำว่า เผด็จการ มี ๒ ความหมาย ถ้าเป็นวิธีปฏิบัติงานแล้ว ใช้ได้ เมื่อมันมีความถูกต้องแล้ว ก็ต้องเผด็จการ ให้มันเร็ว ให้มันทันแก่ใจ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงใช้วิธีเผด็จการ เช่น ออกโองการลงมาว่า ทุกบ้านต้องปลูกมะม่วง ต้องปลูกต้นพิกุล อย่างนี้มันก็ต้องปลูก ถ้าไม่ปลูกก็ถูกลงโทษ หรือว่าสั่งอะไรกับมันแล้ว มันก็ต้องทำทันที ก็มีคนพวกหนึ่งเรียกว่า ธมฺมอมจฺโจ อำมาตย์ของธรรมะ หรืออำมาตย์เพื่อธรรมะ อะไรก็ตาม จะเที่ยวตรวจว่าประชาชนทำตรงตามพระบรมราชโองการหรือไม่ ถ้าทำไม่ตรงก็จัดการทันทีเลย มันเป็นระบบเผด็จการอย่างนั้น มันจึงพรึบเดียว มันก็เป็นไปอย่างถูกต้องหรือเจริญหรือสงบสุขได้ เป็นสังคมนิยมที่เผด็จการ มันช้าอยู่ไม่ได้ นี่เป็นจักรพรรดิ ตอนหลังเป็นจักรพรรดิที่ประกอบไปด้วยธรรม เมื่อก่อนหน้านี้ก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่รบเก่ง ที่ฆ่าคนนับไม่ไหว พอเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ก็กลายเป็นอย่างนี้ ก็เป็นพระราชาที่ว่าประกอบด้วยทศพิธราชธรรม ถ้าระบบนี้ยังอยู่มาถึงเวลานี้ เข้าใจว่าโลกนี้จะดีกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ โลกเดี๋ยวนี้มันเป็นระบอบเสรีประชาธิปไตยบ้า คือเห็นแก่ตัว มือใครยาวสาวเอา ไม่มีอะไร ใครได้มากก็เป็นนายทุนไป ไม่ใช่เป็นเศรษฐีอย่างที่มีโรงทาน
ฉะนั้นเราควรจะนึกถึงสิ่งดีๆ ที่มันเคยมีมาแล้วในประวัติศาสตร์ หรือว่าแม้เมื่อเร็วๆ นี้ เข้าใจว่ากษัตริย์บางองค์ในราชวงศ์จักรีหรือราชวงศ์อยุธยา ก็คงจะมีทศพิธราชธรรม มีอุดมคติเป็นสังคมนิยม แต่ว่าวิธีปฏิบัติงานมันเป็นเผด็จการ ที่นี่มีตัวอย่างอยู่ที่ตำบลพุมเรียง จากนี้ไปไม่กี่กิโล เขาเรียกว่าวัดสมุหนิมิต ถ้ามีโอกาสก็ไปดูวัดนั้น วัดสมบูรณ์แบบเหมือนกับที่กรุงเทพฯ เหมือนที่ไหนทุกอย่าง แต่สร้างเสร็จใน ๔ เดือน สร้างเสร็จใน ๔ เดือนก็ต้องเรียกว่าเนรมิตสิ เป็นรัชกาลที่ ๓ เป็นระบอบราชาธิปไตย เฉียบขาดด้วย แต่เมื่อคนผู้มีอำนาจนั้นมันมีจิตใจเป็นสังคมนิยม มันก็ทำไปอย่างสังคมนิยมเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน สร้างวัดนี้ก็สร้างเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ก็ใช้วิธีเผด็จการ มันก็สร้างได้ใน ๔ เดือน ถามดูก็ไม่มีใครถูกฆ่า ไม่ได้ฆ่าใครให้เป็นให้ตาย ว่ามีแต่ถูกเฆี่ยน ๙ คน ๑๐ คน แล้วมันจะเป็นไรไป คนเหลวไหลมันก็มี มันก็ถูกเฆี่ยน และคนที่ถูกเฆี่ยนคนสุดท้าย อาตมายังได้เห็น เป็นคนตัวเล็กๆ มีรอยที่หลัง ๒-๓ รอย มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แกคงจะเหลวไหลบกพร่องนิดหน่อย ถูกเฆี่ยน แล้ววัดมันก็สร้างเสร็จ มันก็ใน ๔ เดือน คิดดูเถอะ อุดมคติมันเป็นสังคมนิยม ทำแก่ประชาชน เพื่อประชาชน แต่วิธีปฏิบัติงานมันต้องเผด็จการ มันจึงจะเสร็จในเวลาอย่างนั้นได้ นี่เสรีประชาธิปไตยอย่างนี้ ทำไม่ได้หรอก จะสร้างวัดเช่นนั้นเสร็จใน ๔ เดือนไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มองดูถึงคำว่า เผด็จการ นั้นถ้าประกอบไปด้วยธรรม มันก็ยิ่งดี ประกอบด้วยธรรมะแล้วก็ยิ่งดี ยิ่งแล้ว เพราะฉะนั้นคำนี้สำคัญมาก ต้องช่วยกันจำไว้ จะใช้ระบบไหนก็ตาม ขอให้มีคำว่า ธรรมิก เข้าไปอยู่ด้วย แปลว่าประกอบอยู่ด้วยธรรม ถ้าเป็นเสรีประชาธิปไตยก็ต้องประกอบอยู่ด้วยธรรม มันจึงจะใช้ได้ ถ้าไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมแล้ว ทำโลกวินาศหมด กิเลสของคนก็จะทำเอาตามกิเลส โลกนี้มันก็ฉิบหาย เหมือนที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ มันกิเลสครองโลก เพราะว่าเสรีประชาธิปไตยมันให้โอกาส ฉะนั้นถ้าเป็นสังคมนิยมก็ควรจะประกอบด้วยคำว่า ธรรมิก มันถูกต้อง มิฉะนั้นมันจะไปพ้องกันกับสังคมนิยมบ้าๆ บอๆ ที่กำลังระบาดอยู่ ที่เป็นชนกรรมาชีพทำลายนายทุน นี่มันก็ไม่ถูก มันไม่ประกอบไปด้วยธรรม เพราะว่าชนกรรมาชีพมันก็ไม่ประกอบไปด้วยธรรม มันจึงยากจน นายทุนมันก็ไม่ประกอบไปด้วยธรรม มันจึงเป็นนายทุนกอบโกยขึ้นมา ถ้ามันมีคำว่า ธรรมิก แล้ว โลกนี้มันก็ไม่มีนายทุน และไม่มีชนกรรมาชีพ มันจะไม่ทำให้เกิดนายทุนหรือเกิดชนกรรมาชีพขึ้นมาได้ มันไม่มีนายทุน เพราะว่ามันถือธรรมะ มันก็ไม่ต้องเป็นนายทุนก็ได้ แล้วไม่มีคนจน เพราะว่าถ้าประกอบอยู่ด้วยธรรมะแล้ว มันไม่จน
นี่ขอให้พวกเราเข้าใจดีๆ หน่อยนะว่า ถ้าประกอบอยู่ด้วยธรรมะแล้วไม่จน ที่จนนี่ เพราะไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ การขี้เกียจนั้นก็เรียกว่า ผิดธรรมะ การไม่ขวนขวายศึกษาให้รู้ให้สามารถนั้น ก็เรียกว่ามันไม่มีธรรมะ ไม่มีศีลธรรม เดี๋ยวนี้มัน มันไม่มีธรรมะมากไปกว่านั้น คือมันไปรักอบายมุข อบายมุข ๖ นี่ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน เกียจคร้านทำการงาน คบคนชั่วเป็นมิตร หกอย่างนี้ที่มันนิยมกันอยู่ในชนพวกคนจน ถ้าถือธรรมะไม่เท่าไรมันก็กลายเป็นผู้มีอันจะกิน รอดตัวไปได้ เขาเรียกว่าพวกไม้คานปิดทอง นี่ไม่ใช่เรื่องมุข เรื่อง make up มันเรื่องจริงที่มีอยู่จริง เข้ามาจากเมืองจีน ไม่มีอะไรนอกจากไม้คาน ตั้งต้นขึ้นด้วยไม้คาน แล้วไม่เท่าไรก็มีอันจะกิน ในชั่วชีวิตเดียวนั้นน่ะ ก็เป็นคนร่ำรวย กระทั่งมียศศักดิ์ พระเจ้าแผ่นดินแต่งตั้ง อย่าออกชื่อเขาก็ได้ ไม้คานอันนั้นก็ต้องปิดทองไว้บนที่บูชา ให้ลูกหลานดู นี่เพราะเขามาโดยมือเปล่า นอกจากมีไม้คาน นี่ยังเป็นอย่างนี้ได้ เดี๋ยวนี้มันมีแต่อบายมุข ถึงมันมีที่ดินอยู่ที่นี่ มันก็ฉิบหายหมด แล้วที่ดินมาจากไหน มันก็ฉิบหายหมด นั่นเขามามือเปล่าด้วยไม้คานอันเดียว เขาก็เป็นเศรษฐี มียศบรรดาศักดิ์ เพราะมันประกอบด้วยธรรมะ ฉะนั้นอยากจะพูดว่า ถ้ามันมีธรรมะแล้วไม่มีนายทุนและไม่มีชนกรรมาชีพ มันจะมีเฉลี่ยเสมอกันไป อย่างว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อุ้มชูถนอมกันไปอย่างนี้ ก็เรียกว่าเป็นเรื่อง ธรรมิกสังคมนิยมแบบเผด็จการ ให้มันเร็ว อย่าให้มันอืดอาดอยู่ได้ จึงสรุปความยืนยันในที่สุดว่า ไอ้โลกนี้จะมีสันติภาพได้ ก็เพราะมีการประพฤติกระทำในหมู่มนุษย์นี้ ในลักษณะที่ว่าเป็นธรรมิกสังคมนิยมแล้วก็เผด็จการ เผด็จการโดยธรรมะ โดยผู้ที่มีธรรมะ โดยผู้ที่ได้รับการมอบหมายโดยชอบธรรม ก็คือทุกคนน่ะมันเผด็จการ มันเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนเผด็จการ แต่ต้องเป็นคนที่ประกอบไปด้วยธรรมเสียก่อน แล้วอุดมคตินั้นต้องเห็นแก่สังคมเสียก่อน แล้วอุดมคตินั้นน่ะมันเผด็จการให้เกิดความสุข ความสงบสุขแก่สังคม ทันใจ เหมือนกับวัดๆ นั้น สร้าง ๔ เดือนเสร็จ ควรจะไปดู
นี่เราระบุเอาว่า ระบบอธิปไตยในโลกนี้ก็สำคัญที่จะทำให้โลกนี้มีสันติภาพ จะเอาอธิปไตยชนิดไหนกัน มันก็ต้องประชาธิปไตยแน่ แต่อย่าเสรีนิยมเลย เอาเป็นสังคมนิยมเถิด และวิธีการนั้นต้องเผด็จการด้วยจึงจะทันแก่เวลา เดี๋ยวนี้มันมีอะไรที่อุ้ยอ้ายไม่ทันแก่เวลา และมันไม่จริง แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยขูดรีด มือใครยาวสาวเอา อย่างนี้มันก็ไม่มีทางที่จะมีสันติภาพในโลกได้ ประชาธิปไตยอะไรก็ไม่รู้ว่า พูดได้ตามใจคือไทยแท้ นี่อาตมารู้สึกว่ามันบ้าบอที่สุด ถ้าจะทำตามใจตัวเองก็เป็นประชาธิปไตย นี่ไม่รู้ว่านั่นมันกิเลสธรรมต่างหาก
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงสิ่งที่เนื่องกันต่อไปอีก อีก อีกส่วนหนึ่งก็คือ การศึกษานี่ อุปกรณ์ อุปกรณ์หรือองค์ประกอบแก่สันติภาพนั้น ต้องมีการศึกษาที่ให้เราได้มาซึ่งระบอบธรรมิกสังคมนิยมแบบเผด็จการ ถ้ามีการศึกษาไม่พอ มันมีไม่ได้ ต้องมีการศึกษาทิฏฐิ มีรากฐานเป็นศีลธรรม มีการศึกษาที่ส่งเสริมศีลธรรมหรือความเจริญทางจิตใจ ไม่ใช่การศึกษาที่ยิ่งมีแล้วยิ่งเห็นแก่ตัว ตอนนี้โลกกำลังบ้าการศึกษาที่ยิ่งจัดแล้วยิ่งเห็นแก่ตัว มันศึกษาจบ จบมหาวิทยาลัยก็ไปชอบเฮโรอีนบ้าง อะไรบ้าง หรือว่ามีอันธพาลในมหาวิทยาลัย กระทั่งเผามหาวิทยาลัย ที่คุณก็รู้อยู่แล้วว่าการศึกษานั่นมันไม่ถูกต้อง มันไม่ส่งเสริมแก่ความมีศีลธรรม การศึกษานี้ยิ่งจัดให้มากเท่าไร โลกยิ่งฉิบหาย ยิ่งจัดให้เร็วเท่าไร โลกก็ยิ่งฉิบหายเร็วเท่านั้นเพราะว่าการศึกษานั้นมันไม่ส่งเสริมศีลธรรม มันต้องจัดการศึกษาให้ถูกต้อง ให้มีศีลธรรมขึ้นในจิตใจของผู้ศึกษา การศึกษาชนิดนี้เท่านั้นที่จะเป็นอุปกรณ์แก่การทำโลกให้มีสันติภาพ อุปกรณ์อื่นๆ เช่น การกีฬา นี่ก็ควรจะเอามาพูด การกีฬาถ้าเป็นกีฬาจริง มันทำให้เป็นวิญญาณแห่งนักกีฬา ไม่มีระบบกองเชียร์ของภูตผีปีศาจ กองเชียร์นั้นเป็นลัทธิภูตผีปีศาจ เห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกของตัว โห่ร้องคนอื่น อย่างนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่ระบบกีฬา ถ้ากีฬา เขาต้องทำเพื่อแสดงออกมาให้เห็นว่า มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ไม่พูดถึงแพ้ ไม่พูดถึงชนะ มันก็มีแพ้มีชนะ แต่มันไม่มีความหมายสำหรับนักกีฬา ฉะนั้นฝ่ายแพ้อาจจะมีน้ำใจนักกีฬามากกว่าฝ่ายชนะ นี่คุณไปสังเกตดู ฝ่ายที่แพ้จะเป็นนักกีฬามากกว่าฝ่ายชนะ ก็ฝ่ายชนะมันโกงนี่ ฝ่ายแพ้มันไม่โกง มันก็มีความเป็นนักกีฬามากกว่า เดี๋ยวนี้คนมันบ้า มันไปนิยมแพ้-ชนะ มันไม่นิยมความเป็นนักกีฬา กองเชียร์ไม่เคยมี มันก็มีขึ้นมา มันก็เลยได้ ได้เผาสนามกีฬาในที่สุด เพราะกีฬามันไม่ถูกแล้ว นี่ตัวอย่างเท่านั้นแหละ ยิ่งเล่นกีฬายิ่งเป็นอันธพาล ยิ่งเล่นกีฬายิ่งเอาเปรียบผู้อื่น ยิ่งเล่นกีฬายิ่งโหดร้าย นี่มันป่วยการ ไม่เล่นกีฬาเสียดีกว่า ไม่ส่งเสริมสันติภาพ
ทีนี้สิ่งอื่นก็คือการพัฒนาต่อไปอีก เดี๋ยวนี้กำลังพัฒนาไม่ถูก พัฒนาแต่วัตถุ พัฒนาชนิดที่ทำให้เขาโง่ พัฒนาชนิดที่ทำให้เขาอ่อนแอ มันต้องพัฒนาชนิดที่ทำให้เขาฉลาด อย่าไปช่วยเขาเสียหมด แต่ไปทำให้เขามีความเฉลียวฉลาด เข้มแข็งขึ้นมา จิตใจสูงขึ้นมา เขาช่วยตัวเองได้ในที่สุด นี่เป็นการพัฒนาที่ถูกต้อง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว มันก็ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความยุติธรรม มันต้องมีความถูกต้อง และให้เขารู้จักความถูกต้อง ให้เขายกตัวเองขึ้นมาด้วยความถูกต้อง นี่ไปช่วยทำเสีย ยิ่งทำให้คนมันโง่มากขึ้น เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์โง่ลงๆ นี่มากหลายอย่าง เรียกว่าพัฒนาเหมือนกัน แล้วไปทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปโลกพระจันทร์หรือไปอะไร ที่ยังมองไม่เห็นประโยชน์ ไม่คุ้มค่า ทำไอ้ที่มันจำเป็นกว่านั้นดีกว่า คือทำคนให้มีศีลธรรม ด้วยจิตใจ นี่เรียกว่าพัฒนาที่ดีกว่า เจริญก้าวหน้าที่ดีกว่า
ทีนี้ขนบธรรมเนียมประเพณีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงขอร้องให้สนใจดีๆ ไอ้ประเพณีรับน้องใหม่บ้าๆ บอๆ นั้น ระวังให้ดี มันจะทำลาย ขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีรีตองอะไรต่างๆ ระวังให้ดี เลือกเอาไว้แต่ที่ดีๆ มันก็ดีแน่ เขาเรียกว่า พิธี นี่ดี มันเป็นวิธี มันเป็นเทคนิค หรือเป็นเทคนิค เรียกว่า พิธี แต่ถ้า รีตอง ก็ใช้ไม่ได้ มันทำบ้าๆ บอๆ ด้วยกิเลส มันทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำเลยเถิด ทำอะไรต่างๆ นี่มันไม่ถูกแล้ว ฉะนั้นขอให้นึกถึงพิธี ขนบธรรมเนียมประเพณีประจำมหาวิทยาลัยอะไรกันบ้าง
เอาละ ขอเวลาอีกนิดเดียว จะพูดถึงอันตรายทีนี้ คือได้พูดถึงอุปกรณ์มาแล้ว ว่าถ้าการศึกษาดี การกีฬาดี การพัฒนาดี ขนบธรรมเนียมประเพณีดี มันก็ส่งเสริมสันติภาพ ทีนี้อยากจะพูดถึงอันตรายบ้าง อันตรายของสันติภาพ เป็นข้อสุดท้าย มีเทคโนโลยีด้านเดียว นี่อันตรายของสันติภาพ เทคโนโลยีนี้มันก็ทำแต่ทางฝ่ายวัตถุเท่านั้น จะแขนงไหนก็ตาม มันเป็นเรื่องทางวัตถุทั้งนั้น ฉะนั้นเทคโนโลยีมันสร้างนายทุนผู้กอบโกยขึ้นมาได้ในที่สุดตอนหลัง มันมีเทคโนโลยีด้านเดียว ทีนี้อีกทางหนึ่งมันขาดเทคโนโลยีเสียเลย นี่มันก็ไม่ได้ มันทำให้จนหรือทำให้โง่ ไม่ทันแก่เหตุการณ์ที่ธรรมชาติมันเปลี่ยนแปลงมา ไอ้เทคโนโลยีตะพึด มันก็เป็นอันตราย ไม่มีเทคโนโลยีเสียเลย มันก็เป็นอันตราย เทคโนโลยีทำให้มีนายทุน ขาดเทคโนโลยีทำให้ยากจน อย่างนี้เป็นต้น
ฉะนั้นเรามามีคำที่เรียกว่า ธรรมิก คำว่า ธรรมิก ประกอบอยู่ด้วยธรรม มันก็จะมีพอดี คือทางจิตก็มี ทางวัตถุก็มี เทคโนโลยีทางวัตถุอย่างเดียวเหมือนควายบ้า มันลากเกวียนลากไถไปฉิบหายหมด มันต้องมีเทคโนโลยีทางวิญญาณ ดวงจิตที่งดงาม ที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม นี่ก็เป็นเทคโนโลยี แต่เขาไม่เรียกกัน เราเรียกว่า ศีลธรรม วัฒนธรรม มโนธรรม อะไรก็ตามนี่ มันเป็นควายตัวหนึ่งซึ่งมันรู้เรื่อง มันไม่ มันเคียงคู่กันไป ตัวหนึ่งมันมีแรง ตัวหนึ่งมันมีรู้ ตัวหนึ่งเป็นเรี่ยวแรง ตัวหนึ่งเป็นความรู้ และควายสองตัวนี้ก็ลากแอกลากไถลากเกวียนอะไรไปได้ดี เดี๋ยวนี้มนุษย์ในโลกนี้ มันเหมือนกับควายบ้าตัวเดียว มันมีแต่เทคโนโลยี มันไม่มีมโนธรรม ไม่มีเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ในมหาวิทยาลัยก็จะไม่สอนกันเสียแล้ว เพราะว่าแยกเอาเรื่องพระธรรม เรื่องศาสนานี้ออกไปไว้เป็นเรื่องพิเศษ นี่มันเริ่มบ้ากันมาสัก ๑๐๐ ปีเห็นจะได้แล้ว อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเพิ่งมีนะ การแยกศาสนาออกไปจากการศึกษาสามัญนี่ มันมีมาสัก ๑๐๐ ปีได้ ฝรั่งเขานำก่อน เราโง่ไปตามก้นเขา ก็แยกวิชาธรรมะหรือศาสนาออกจากการศึกษาของประชาชน เรียกว่า secularization อันนี้มันเป็นการศึกษาบริสุทธิ์ไปเลย เรื่องศาสนาเรื่องศีลธรรมไม่ต้อง นั้นเป็นเรื่องพิเศษ เป็นเรื่อง private ใครต้องการไปหาเอาเอง ไปหาเอาเอง ไปหาที่วัด ไปหาเอาเอง ในโรงเรียนไม่ต้อง ไม่มี ไม่มีการศึกษาทางศาสนา ทางธรรม ทางศีลธรรมในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย ทีนี้เราก็โตกันขึ้นมาโดยปราศจากความรู้ทางธรรม ทางศาสนา ทางศีลธรรม เพราะว่าไอ้เรื่องทางสามัญอย่างเดียว หรือเทคโนโลยีอย่างเดียว มันก็หมดเวลาแล้ว เพราะเขาไปเพิ่มมันมากเข้า มากเข้า มากเข้า มากเข้า จนเรียนไม่ทันอยู่แล้ว เพียงฝ่ายเดียว ไอ้ฝ่ายธรรม ฝ่ายศาสนา ฝ่ายศีลธรรมก็เข้าไม่จุ นี่การศึกษาที่จัดผิด ทำให้โลกวินาศ ไม่มีศีลธรรม แล้วก็เป็นหนักขึ้น หนักขึ้น หนักขึ้น จนปัจจุบันนี้มันหนักขึ้น ในการแยกธรรมะหรือศีลธรรมออกจากการศึกษา ฉะนั้นขอให้ไปพิจารณาดูเองเถอะว่ามันเป็นอย่างนี้จริงไหม และก็อย่าเห็นแก่ตัว เข้าข้างตัว ทำไมเราจึงไร้ศีลธรรมขนาดเผาโรงเรียน เผาอาคารเรียนของเราได้ เพราะมันมีแต่ความรู้ชนิดที่ทำให้เห็นแก่ตัว มุทะลุดุดัน พวกฝรั่งก็เหมือนกัน นี่ไม่ใช่ว่าเฉพาะคนไทย เดี๋ยวนี้ก็ไม่อยากจะนุ่งผ้ากันแล้ว พอเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็นำลัทธิใหม่ว่า จะไม่นุ่งผ้ากันแล้ว หรือว่าการเสพติดเฮโรอีนนี่เป็นของหรูหราไป การเล่นหัว การอยู่ดีกินดีนั้นก็ดีไป เขาไม่ถือว่าผิดศีลธรรม เพราะเขาไม่รู้ว่าศีลธรรมคืออะไร นายทุนเขาก็ถือว่าเขาไม่ผิดศีลธรรม เขาทำตามกฎหมายหรือว่ารัฐธรรมนูญมันเปิดโอกาสไว้อย่างนั้น เขาทำได้ นี่ก็ไม่ผิดศีลธรรม แต่โดยเนื้อแท้แล้วธรรมชาติมันไม่ยอม เพราะมันทำผิดกฎธรรมชาติ คือไม่มีศีลธรรม เป็นการไร้ศีลธรรม ระวังให้ดี การศึกษา การกระทำที่มันจัดผิดแล้ว หรือระบบเศรษฐกิจก็ตามที่มันจัดผิดแล้ว มันก็ทำให้โลกนี้เป็นโลกที่เห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่มีศีลธรรม
ทีนี้พูดถึงเรื่องประเทศชาติกันบ้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเทศชาติที่ไร้ศีลธรรมจะต้องสูญชาติ ไม่ต้องมีใครแช่งเพราะว่าคนพวกไหนเมื่อไร้ศีลธรรมแล้ว มันสูญชาติแล้ว คือสูญชาติมนุษย์แล้ว มันไม่เป็นมนุษย์แล้ว ทีนี้มันก็เริ่มสูญชาติในทางวัฒนธรรม ทางจิตใจ เช่นเราไปตามก้นไอ้วัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมไทยก็หมดไป ฉะนั้นชาติไทยโดยจิตโดยวิญญาณก็หมดแล้ว ก็สูญแล้ว ทีนี้ไม่เท่าไรก็จะสูญชาติทางการเมือง ระวังให้ดี จะเป็นขี้ข้าเขาทางการเมือง นี้เรียกว่าสูญชาติทางการเมือง ถ้าเราไปนิยมวัฒนธรรมเขา จนไม่เอาของเรา เราก็สูญชาติทางวัฒนธรรมหรือทางจิตใจ หรือว่าถ้าเราไม่มีศีลธรรมกันเลย เราก็สูญชาติแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว ทีนี้การสูญชาติแห่งความเป็นมนุษย์มันนำมาสู่การสูญชาติทางวัฒนธรรม การสูญชาติทางวัฒนธรรม มันก็นำมาสู่ความสูญชาติทางการเมือง เป็นขี้ข้าเขา เป็นเมืองขึ้นเขา
ฉะนั้นขอให้พวกเรายุวชนทั้งหลายนี่ จงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา เข้าใจให้ดีๆ อย่าทำให้สูญชาติ สูญประเทศ สูญศาสนา สูญพระมหากษัตริย์เลย โดยรักษาศีลธรรมนี้ไว้ให้ดี เราจะมีประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ได้ เดี๋ยวนี้เรากำลังจะทำให้สูญชาติไปในทางวัฒนธรรม ไปตามก้นตะวันตก แล้วก็ไม่มีสันติภาพกันทั้งโลก เมื่อพวกเขามันนำโลกอย่างนั้น เราโง่ไปตามก้นเขา ก็เท่ากับไปช่วยกันระดมทำให้โลกนี้มันหมดสันติภาพเร็วเข้า ขออย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน มันเต็มไปด้วยสันติภาพ เพราะว่ามันไปตามความถูกต้องของธรรมชาติ คือไม่เห็นแก่ตัว มันเต็มอยู่ด้วยศีลธรรมนั่นเอง นี่ก็พูดมากไปหน่อยแล้ว เพราะว่าเรามันมีโอกาสพบกันครั้งเดียวเท่านี้ พูดตั้งชั่วโมง เลยนิดหนึ่งนะ ก็พอกันที
ฉะนั้นขอร้องว่าให้มาถึงสวนโมกข์ อย่างน้อยก็มีจิตใจเกลี้ยงเกลาสักขณะหนึ่ง นี่ก็ได้รับมหรสพทางวิญญาณ ไปดูภาพเขียน ภาพปั้น ดูทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ให้ได้เกิดความรู้ในทางจิต สะอาด สว่าง สงบ หรือจิตเกลี้ยงไปจากความเห็นแก่ตัว ให้รู้ว่านี่ความสุขที่สุด ให้รู้ว่านี่สมรรถภาพที่จะทำงานได้ดีที่สุด แม้แต่การศึกษาเล่าเรียน ขอให้ทุกคนมีจิตชนิดนี้ ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จสมตามความประสงค์มุ่งหมายในหน้าที่การงานของตนตามที่มีอยู่อย่างไร จงทุกๆ ประการเถิด