แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมามีความเห็นว่า เราควรจะพูดกันในที่นี้ โดยหัวข้อว่า แพทย์ผู้เยียวยาสัตว์โลกทั้งปวง คำพูดนี้เข้าใจว่าคงไม่เคยจะมีใครได้ยินกันกี่คน เป็นคำพูดที่อยู่ในพระไตรปิฏก แต่ไปอยู่ในเถระคาถา มารหรือโจรเขาถามพระเถระองค์หนึ่งว่าทำไมจึงไม่กลัวตาย ทำไมจึงไม่มีทุกข์ร้อน ท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร ทีนี้พระเถระองค์นั้นก็ตอบว่า สัพพัญญู สัพพะทัตสาวี ชิโน อาจาริโย มะมะ มหาการุณิโก ตถา สัพพโลก ติกิจฉโก (นาทีที่ 01:37) แปลว่า พระศาสดาของเราเป็นสัพพัญญู คือรู้สิ่งทั้งปวง เป็นสัพพะทัตสาวี คือเห็นสิ่งทั้งปวง ชิโน เป็นผู้ชนะ มหาการุณิโก เป็นผู้มีกรุณาใหญ่หลวง ตถา เป็นพระศาสดา สัพพโลก ติกิจฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาซึ่งสัตว์โลกทั้งปวง ถ้าอย่างไรก็ขอให้ช่วยจำไอ้คำนี้ไว้ สัพพโลก ติกิจฉโก สัพพะ แปลว่า ทั้งปวง โลกะ แปลว่า โลก ติกิจฉโก แปลว่า นายแพทย์ สัพพโลก ติกิจฉโก เลยแปลว่า นายแพทย์แห่งสัตว์โลกทั้งปวง เป็นคาถาที่พระเถระตอบแก่มารหรือโจรคนนั้น นี่เถระคาถา เล่ม ๒๖ หน้า ๓๗๑ นี่คือหัวข้อที่จะบรรยาย นายแพทย์แห่งสัตว์โลกทั้งปวง ถ้าเข้าใจข้อนี้แล้วก็เป็นว่าเข้าใจในธรรมะหรือพระพุทธพระรัตนตรัยเพียงพอ ขอให้ถือคำๆนี้เป็นหลักโดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่เป็นนักเรียนแพทย์ เป็นนายแพทย์อยู่แล้ว ติกิจฉโก ว่าผู้เยียวยารักษาโรคโดยตรง ถ้า เวชโช (นาทีที่ 03:48) ไม่แน่ จะเป็นหมอเล่นกลก็ได้ หมองู หมออะไรต่างๆก็ได้ คำว่าเวชโช เวชชะ ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นหมอรักษาโรค แต่ถ้าคำว่าติกิจฉโกล่ะก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นหมอรักษาโรคเท่านั้น นั้นจึงไม่เรียกพระพุทธเจ้าว่าเวชโชอะไรทำนองนั้น แต่เรียกว่า ติกิจฉโก สัพพโลกติกิจฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง เป็นคำกลอนที่เรียกว่าคาถานั้นคือคำกลอน สัพพัญญู สัพพะทัตสาวี ชิโน อาจาริโย มะมะ มหาการุณิโก ตถา สัพพโลก ติกิจฉโก เป็นกลอนบทหนึ่ง ในคำตอบของพระเถระนี่ เอานี่เป็นหัวข้อสำหรับพูด นี่จะพูดสำหรับให้รู้จักนายแพทย์ผู้เยียวยาสัตว์โลกทั้งปวง ถ้ายอมรับว่า พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ของสัตว์โลกทั้งปวง ไอ้คุณทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็เป็นลูกน้องของพระพุทธเจ้า เพราะว่าเราก็เรียกตัวว่าแพทย์ แต่พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ของสัตว์โลกทั้งปวง เอาละเราทำความรู้จักกับนายแพทย์ของสัตว์โลกทั้งปวงคือพระพุทธเจ้ากันเสียที
อยากจะบอกเป็นข้อแรกว่าเราจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือธรรมะอะไรก็ตาม เราจะรู้จักพระพุทธเจ้า โดยทางปัญหาของเราเองนี่ดีกว่า เรามีปัญหาในเราอย่างไร เราต้องใช้ปัญหานั้นน่ะเป็นเครื่องทำให้เรารู้จักพระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนี้เราจะรู้จักพระพุทธเจ้าจริง นี่บังคับให้ท่องจำให้เชื่อให้อะไรในพระพุทธเจ้าก่อนที่จะรู้เรื่องปัญหานี่ มันเป็นเรื่องงมงาย เหมือนเราจับเด็กๆมาให้ท่องเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าหรือบังคับให้เชื่อนี่ มันเป็นเรื่องที่ออกจะงมงายและก็ได้เคยงมงายแล้วด้วย รู้จักพระพุทธเจ้าโดยผ่านไปทางปัญหาของเราก่อน แล้วเมื่อเราสามารถแก้ปัญหานั้นได้แล้วเราจะรักพระพุทธเจ้าจะนับถือจะเลื่อมใสและจะรู้จักพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องขึ้นมาทันที ครั้งพระพุทธกาลเป็นอย่างนี้ นี่คือวิธีการครั้งสมัยพุทธกาลของพุทธเจ้า ไม่มีใครถูกบังคับให้รับสรณาคมน์หรืออะไรทำนองนั้นไม่มี แต่จะมีคนที่เขามีความทุกข์เดือดร้อน ไฟไหม้อยู่ในอกในใจ ด้วยเรื่องอะไรก็ตามใจ หรือแม้แต่เป็นห่วง สงสัย ลังเล เกี่ยวกับชีวิตในอนาคตอะไรก็ตามนี่ก็ปัญหาทั้งนั้น แล้วก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถามปัญหาเหล่านั้น พระพุทธเจ้าท่านก็ชี้แจง ให้เขาเข้าใจและหมดปัญหาเหล่านั้น นี่เขาจึงจะประกาศตัว นับถือพระพุทธเจ้า ถือเป็นสรณะจนตลอดชีวิต นับถือพระพุทธเจ้ากันตอนนี้ ตอนหลังที่ได้แก้ปัญหาของตัวเองได้แล้วเป็นที่พอใจ นี่คือข้อที่พูดว่าเรารู้จักพระพุทธเจ้า โดยผ่านทางปัญหาในอกในใจของเราเองนั่นแหละ ดีกว่า ดีกว่าที่ว่าจะอ่านหนังสือเรื่องพระพุทธเจ้าหรือว่าท่องพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ทั้งที่ไม่ทราบว่าอะไร และสิ่งเหล่านั้นเราก็เคยได้ทำมาแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นว่าเราจะทำตามวิธีที่ถูกต้องหรือเป็นธรรมชาติที่สุด รู้จักพระพุทธเจ้าโดยผ่านทางปัญหาของเราเอง จนกว่าเมื่อไรเรา เราสามารถจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับความทุกข์ของเราเองได้หมดแล้ว นั่นแหละเราจะรู้จักพระพุทธเจ้าถึงที่สุด ฉะนั้นคนจะรู้จักพระพุทธเจ้าถึงที่สุดกันก็ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์ ที่ยังน้อยกว่านั้นยังต่ำกว่านั้นก็เรียกว่ารู้จักพระพุทธเจ้าโดยเอกเทศ นี้เอาเด็กๆมาให้รับสรณาคมน์ยังนี้มันก็เป็นพิธีรีตองเท่านั้น ไอ้การรู้จักพระพุทธเจ้าจริงจะต้องรู้จักโดยผ่านทางปัญหาในชีวิตจิตใจของตัวเองยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ตามลำดับ ตามลำดับ เท่าที่เราจะทำได้ นี่ข้อ ข้อ ข้อแรกอยากจะให้เข้าใจในข้อเท็จจริงอย่างนี้กันเสียก่อน ฉะนั้นจงพยายามใช้ปัญหาคือความทุกข์ความร้อนอะไรที่มีอยู่ ที่เรียกว่าปัญหาก็แล้วกัน ปัญหาอะไรก็ได้ที่มันเป็นความทุกข์ร้อนนี้มา สำหรับจะแก้ ก็ตามวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ซึ่งเราก็ทราบกันอยู่เป็นส่วนมาก พอปัญหาหลุดไปเท่าไรเราจะรู้จักพระพุทธเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ว่าพระพุทธเจ้าท่านรู้อะไร ท่านมีความดีวิเศษอย่างไร น่านับถือสักเท่าไร จะรู้กันตอนนี้
เอาละที่นี้เราจะต้องพูดอย่างที่เรียกว่าเป็นกลางๆทั่วไป คือปัญหาของมนุษย์ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นหมอมีหน้าที่รักษาโรค ในทีนี้เราจะถือว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าโรคนี่คือปัญหาแท้จริงของมนุษย์ทั้งหมดในโลก เดี๋ยวก็จะว่าให้ฟัง มันน่าหัวตรงที่ว่าไอ้คนที่พูด รอ เป็น ลอ ลอ เป็น รอ พูดไม่ชัด พูดโรคเป็นโลก พูดโลกเป็นโรคนี่ นี่ก็มีอยู่เป็นตัวอย่าง ว่าคล้ายๆกับว่าไอ้โรคกับไอ้โลกนี่คือสิ่งเดียวกัน คำว่าโลก นี่แปลว่า สิ่งที่ต้องแตกสลาย คำว่า โลก โลกะ แปลว่าสิ่งที่ต้องแตกสลาย ศัพท์นี้แปลว่าแตกสลาย ส่วนคำว่าโรคนั้น ศัพท์นี้แปลว่า เสียบแทง คือแทงให้เจ็บปวด ฉะนั้นไม่ใช่คำเดียวกันน่ะ อย่าพูดโรคเป็นโลก โลกเป็นโรคอีกต่อไปเลย โรคก็คือโรค โลกก็คือโลก ถ้าโรคก็ต้องเสียบแทง จะโรคในความหมายไหน ก็ต้องเป็นเรื่องเสียบแทงทั้งนั้น หรือว่าถ้ามันมีเรื่องเสียบแทงก็กลายเป็นโรคทั้งนั้น นี่ให้ ให้ส่งจิตใจไปตามคำพูดนี้ให้ดีๆ ให้รู้จักคำว่าโรค ถ้าโรคแล้วก็เป็นเสียบแทง ถ้าเสียบแทงแล้วก็ต้องเรียกว่าโรค มีเรื่องราวอะไรนั่งร้องไห้อยู่นั่นก็คือเสียบแทง นั่นก็คือโรค แต่มันเป็นโลกทางวิญญาณทาง ทาง Spiritual หรือว่าเราหนักอกหนักใจกลุ้มใจอะไรอยู่เป็นความไม่สบายใจสักหน่อยหนึ่ง ก็เรียกว่าเสียบแทง ถ้าเสียบแทงแล้วคือโรค ถ้าโรคแล้วก็ต้องเป็นปัญหา ต้องเป็นปัญหาที่ทนอยู่ไม่ได้ ที่จะต้องแก้ไข นั้นไม่ว่าอะไรปัญหาการเงินปัญหาการไอ้เศรษฐกิจ ปัญหาอะไรก็ตามเถอะ มันเป็นเรื่องเสียบแทงจิตใจ ถ้าเป็นเรื่องเสียบแทงจิตใจแล้วก็เรียกว่าโรคตามภาษาบาลี ฉะนั้นโรคจึงมีหลายอย่างไม่ใช่เพียงแต่โรคที่จะไปที่โรงพยาบาลอย่างเดียว นั้นขอให้บัญญัติขึ้นในที่นี้เพื่อความสะดวกที่จะเข้าใจเรื่องโรคว่าอย่างน้อยมีสักสามชนิด โรคกายก็เสียบแทงที่กาย โรคจิตก็เสียบแทงที่จิต โรควิญญาณก็เสียบแทงที่วิญญาณ จะต้องขอโอกาสไอ้คำว่าวิญญาณนี่มัน มันเป็นคำจำเป็น เป็นศัพท์จำเป็นที่ไม่ทราบว่าจะใช้อะไรต้องใช้คำว่าวิญญาณในภาษาไทย แล้วเราก็ ที่นี่ก็ได้ใช้มามากแล้วเช่นโรงมหรสพทางวิญญาณ ถ้ามันเป็นระบบทางกายก็เรียกว่าเรื่องทางกาย ถ้าเป็นระบบทางจิตก็เป็นเรื่องทางจิต แต่ถ้าเป็นเรื่องทางสติปัญญา ความคิดความเห็น นี่เป็นเรื่องทางวิญญาณ ไอ้ Physical system ควรจะมีขอบเขตแต่เพียงว่าเรื่องทางวัตถุ ทางร่างกาย ที่นี้ไอ้ Mental หรือ ไซ Psychic นี่มันก็เป็นเรื่องทางจิต ไอ้ส่วน Spiritual นั้นไม่ใช่เรื่องทางจิต ไม่ใช่เรื่องทาง Psychical เป็นเรื่องที่เรียกว่า ทาง Spiritual นี้คำว่า Spiritual นี่ก็ลำบากที่ว่ามันเล็งถึงผีสางอะไรก็ได้ แม้กระทั่งถึงเหล้าก็ยังได้ คำว่า Spiritual ในภาษาศีลธรรมในภาษาศาสนานี้หมายถึงปัญหาฝ่ายสติปัญญา นั้นให้ ให้จำไอ้หลักที่ว่าโรคกายเสียบแทงกาย โรคจิตเสียบแทงจิต โรควิญญาณเสียบแทงสติปัญญา ถ้าเราเป็นโรคทางกาย ก็ไปแก้ไขทางร่างกายที่โรงพยาบาลทางกาย ถ้าเป็นโรคทางจิตในระดับธรรมดาก็ไปทางโรงพยาบาลโรคจิต แต่ถ้าคำว่าจิตนั้นหมายเลยไปกว่านั้น ก็จะต้องไปหาโรงพยาบาลอื่น คือโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าด้วยก็ได้ แต่ถ้าเป็นโรคทาง Spiritual แล้วแน่นอนจะต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น
ทีนี้โรคส่วนบุคคลมันก็มีอยู่อย่างนี้ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ ถ้ามากไปกว่านี้ก็เป็นโรคของสังคม ในสังคมคือไอ้หมู่ชนนี่มันมีโรคส่วนหนึ่งต่างหากที่เรียกว่าโรคทางสังคม นี่เราจะไม่พูดถึง จะพูดถึงแต่โรคของบุคคลที่ภาษามันทำยุ่ง ไอ้คำว่ากาย ว่าจิต ว่าวิญญาณ นี่แหละมันทำยุ่ง นั้นอย่าไปถือเอาตามตัวหนังสือ ให้ถือเอาความหมาย แล้วเราทำความหมายกันอย่างไรก็ถือเอาตามนั้นเพราะภาษามันทำยุ่ง ยกตัวอย่างเรื่องทางกายกับทางจิต ในภาษาแพทย์นี่มันก็ยุ่งแล้ว ไม่รู้ว่า Mental หรือ Psychical กันแน่ แล้วยิ่งการค้นคว้าสมัยหลังนี่อาจารย์แพทย์พวกหนึ่งก็บอกว่าไอ้โรคจิตนี้ไม่มี ไอ้โรคจิตที่เคยเรียกกันมาแต่ก่อนว่าโรคจิตนั้น ที่แท้มันเป็นเรื่องของประสาทหรือของมันสมอง แก้ไขได้ทางร่างกาย ทางประสาทซึ่งเป็นเรื่องทางกาย ฉะนั้นปัดออกไปเสียว่าโรคจิตไม่มี มีแต่โรคกาย ชั้นที่มันส่วนลึกส่วนประสาท ส่วนความรู้สึก ถ้าอย่างนี้โรคจิตก็ไม่มี มันก็ทำยุ่ง แต่เราก็ยังเรียกโรงพยาบาลชนิดนั้นว่าโรงพยาบาลโรคจิต ต่างไปจากไอ้โรงพยาบาลทางกายทางธรรมดา นี่ภาษาไทยธรรมดานี่ก็ยังยุ่งแล้ว ภาษาชาวบ้านธรรมดานี่ก็ยังยุ่งแล้ว แต่เรายอมรับว่าไอ้สิ่งนั้นมันไม่ใช่ทางกายล้วนๆ มัน มันเกี่ยวกับประสาทหรือเนื่องมาทางจิต มันอยู่ตรงกลาง นี่ถ้าว่าสูงขึ้นไปอีกมันก็กลายเป็นเรื่องทางสติปัญญา คือมีสติปัญญาวิปริต ถูกอะไรกระทำให้มันวิปริตเหมือนกับมันเจ็บป่วยทางสติปัญญานี่คือโรคทางวิญญาณ ที่นี้ถ้าเอาภาษาบาลีเป็นหลักที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ในอรรถกถาพูดถึงโรคนี้ ๒ โรคเท่านั้น คือโรคกายกับโรคจิต โรคจิตคือโรคกิเลส โรคทางวิญญาณอย่างที่อาตมากำลังพูดถึงนี้ไม่มี นั่นน่ะในภาษาบาลีในพระคัมภีร์จะมีเพียง ๒โรค คือโรคกาย กับโรคจิต โรคกายคือที่เจ็บป่วยทางธรรมดานี้ เดือดร้อนเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บธรรมดานี้ ถ้าโรคทางจิตก็คือกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ทำให้เจ็บปวด มี ๒โรคเท่านั้น แต่ที่นี้มันก็เอามาใช้ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้คำว่าโรคจิตนี้เราเอาไว้ที่ปากคลองสาน มันก็ไม่มีไปถึงโรคกิเลส ถีงต้องเพิ่มไอ้โรคกิเลสเข้ามาอีกโรคหนึ่ง อาตมาจึงต้องเพิ่มเข้ามาอีกคำหนึ่งว่าโรคทางวิญญาณ โรคทางวิญญาณนั่นแหละคือโรคที่เรียกว่าโรคทางจิตในพระคัมภีร์ เกี่ยวกับกิเลสทั้งนั้น โรคจิตในพระคัมภีร์เกี่ยวกับกิเลสทั้งนั้น คนไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร สบายดี ร่างกายดีอนามัยดี แต่ก็มีปัญหาเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลง เรียกว่าเขาเป็นโรคจิต ปัญหามันทำ ปัญหามันเกิดขึ้นมาถ้าทางภาษาทำยุ่ง ฉะนั้นเรามาบัญญัติภาษากันที่นี่เดี๋ยวนี้โดยเฉพาะ ว่าโรคกายเสียบแทงกาย โรคจิตเสียบแทงจิต โรควิญญาณเสียบแทงสติปัญญาให้ชำรุด
โรคกายเสียบแทงกาย ไม่ต้องอธิบาย อาตมาขืนอธิบายก็เอามะพร้าวมาขายสวนอยู่ที่นี่ก็ไม่ไหว นี้โรคจิตมันเสียบแทงจิต ทำให้จิตไม่ปกติสุข ทีนี้โรควิญญาณ หมายความว่าจิตก็ปกติดีแต่โง่หรือว่ามีอวิชชา ทำให้มืดมัวไปหมด คนก็สบายดี ไม่มีโรคอะไร แต่ทางสติปัญญาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไอ้ความเป็นมิจฉาทิฏฐินี่คือโรคทาง Spiritual ทีนี้ไอ้โรคที่ว่าจิตหรือระบบประสาทที่เนื่องกับกายครึ่งหนึ่ง เนื่องกับจิตครึ่งหนึ่งนี่เรียกว่าโรคทางจิต ในบางครั้งบางคราวเราประสบการเสียบแทงของโรคทางจิต ทีนี้เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์นั้นก็หมายถึงโรคทางจิตและโรคทางวิญญาณไม่เกี่ยวกับทางร่างกาย หมายถึงการเสียบแทงทางจิตหรือทางวิญญาณ แต่มันยังมีข้อเร้นลับอยู่อีกส่วนหนึ่งว่าแม้แต่โรคทางกายก็จะต้องมีมูลมาจากโรคทางจิต เดี๋ยวก็จะวินิจฉัยกันดู ว่าถ้าไม่มีเรื่องจิตเรื่องความรู้สึกทางจิต แล้วโรคทางกายมันก็ปรากฏไม่ได้ เพราะว่าเรารู้สึกในความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทางจิต ก็แปลว่าจิตนี่เข้าไปเกี่ยวข้องหมด เข้าไปเกี่ยวข้องกับร่างกาย ให้ร่างกายทำหน้าที่ร่างกายได้ จิตก็ทำหน้าที่ส่วนจิตเองได้ แล้วก็จิตเกี่ยวข้องกับเรื่องของสติปัญญา สติปัญญาไม่ใช่จิต แต่มันแสดงออกทางจิต หรือมันเกี่ยวข้องอยู่กับจิต ฉะนั้นจิตจึงเป็นประธาน เป็นแกนกลางสำหรับที่จะทำให้อะไรเป็นอะไรขึ้นมาได้ ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ นี่ภาษามันทำยุ่งอย่างนี้ ถ้าถือเอาทางพระบาลีเป็นหลัก ก็จะมีเพียง ๒ อย่าง อย่างที่ว่ามาแล้ว โรคทางกายโรคทางเส้นประสาท อย่างนี้เอาไว้โรคทางกายหมด โรคทางจิต โรคทางวิญญาณนี้เอารวมกันเป็นโรคทางจิต เลยมีเพียง ๒โรค ถ้าใครชอบจำไว้อย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าว่าจะพูดในภาษาไทยธรรมดาๆ ภาษาคนทั่วไปแล้วจะต้องแยกเป็น ๓ ละ โรคกาย โรคจิต โรควิญญาณ ทั้ง ๓ อย่างนี้มันเนื่องกัน กาย จิต วิญญาณ นี้จะเนื่องกัน ถ้ามองขึ้นไปไอ้กายนี่มันเป็นรากฐานอันแรก เป็นที่ตั้งของจิต จิตตั้งอยู่บนกายนี้ กายเป็นที่ตั้งของจิต จิตเป็นที่ตั้งของสติปัญญา นี่แหละสติปัญญามันอยู่ยอดเรียกว่าวิญญาณ นี้ถ้ามองมาจากข้างบน ในวิญญาณนั้นแหละสติปัญญามันควบคุมจิต จิตนี้มันควบคุมกายอย่างนี้ ถ้าเราจะมองลงมาทางล่าง สังเกตดูให้ดีเถอะ ถ้ามองจากทางล่างขึ้นไปไอ้กายนี่เป็นรากฐานของจิต จิตเป็นรากฐานของสติปัญญา ถ้ามองจากทางบน สติปัญญาควบคุมจิต จิตควบคุมกาย ก็เลยมีกาย มีจิต มีปัญญา แล้วระวังให้ดีทั้ง ๓ อันนี้เป็นโรคได้ทั้งนั้น ถึงพูดว่าโรคกายเสียบแทงกาย โรคจิตเสียบแทงจิต โรควิญญาณเสียบแทงวิญญาณ
นี่มาพูดถึงคำว่าเสียบแทงกันบ้าง อย่าถือเอาตามความหมายภาษาไทยธรรมดาว่าต้องแทงด้วยมีด ด้วยอะไรทำนองนั้น เสียบแทงคือมันมีอะไรมาทำให้เจ็บปวด เหมือนกับถูกของแหลมแทง ร่างกายถูกแทงด้วยมีดเป็นต้น แต่จิตมันถูกแทงด้วยความรู้สึกบางชนิด ความทุกข์นั่นแหละเสียบแทงจิต แม้กิเลสก็เสียบแทงจิต ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นตัวเสียบแทงจิต นี้วิญญาณนั้นมีทิฏฐิ ความคิดเห็น ผิดหรือถูก เป็นเครื่องเสียบแทงวิญญาณ นี้อวิชชาโดยเฉพาะนี่
นี่เราดูให้ชัดลงไปว่าคนเราอยู่ในโลกเป็นประจำวันนี่มันมีเรื่องสำคัญอยู่ ๓ เรื่องที่เรียกว่าเวทนา เรารู้สึกสบายใจเป็นสุขนี้เรื่องหนึ่ง เราไม่รู้สึกสบายใจและเป็นทุกข์นี้เรื่องหนึ่ง ถ้าเรารู้สึกไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสุขหรือทุกข์ คือยังไม่ ไม่เป็นสุขหรือทุกข์ หรือมันไม่แน่นี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าเวทนามี ๓ ชนิดอย่างนี้ สุขเวทนา รู้สึกเป็นสุขสบายใจ ทุกขเวทนา รู้สึกเป็นทุกข์ไม่สบายใจ อทุกขมสุขเวทนา ไม่รู้อย่างไรแน่ มันอยู่ในสภาพที่สงสัย หวัง วิตกกังวล อันนี้ไม่จัดเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จัดเป็นอทุกขมสุขแต่ก็เป็นเวทนา นี่ขึ้นชื่อว่าเวทนาแล้วทั้ง ๓ ชนิดนี้จะเสียบแทงทั้งนั้น ตรงนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ให้ทุกคนสังเกตให้ดีๆจากจิตใจของตน ถ้ามีอะไรมาถูกใจเรา สิ่งที่ถูกใจเรามันก็เสียบแทงใจเรา เดี๋ยวจะฟังไม่ถูก อะไรไม่ถูกใจเรามาหาเรามันก็เสียบแทงใจเรา อะไรที่ยังไม่แน่ว่าสุขหรือทุกข์มันก็เสียบแทงใจเรา ไอ้ของรักของชอบใจมาสัมผัสมันเสียบแทงชนิดที่ไม่รู้สึก เสียบแทงลึกซึ้ง แล้วก็ทำให้เกิดความทุกข์ชนิดลึกซึ้งเข้าใจยาก นี่พูดง่ายๆว่าไอ้ความรักนี่แหละมันเสียบแทง แล้วเข้าใจได้ยากในอาการที่เรียกว่าเสียบแทง ดูได้ง่ายในเมื่อดูที่อาการร้อนรน เมื่อความรักเกิดขึ้นก็ร้อนรนเหมือนเสียบแทง เมื่อความไม่รักคือความโกรธความเกลียดเกิดขึ้นมันก็เสียบแทง ทีนี้ไม่รักและไม่เกลียด แต่ว่ามันเป็นเรื่องสงสัย ลังเล วิตกกังวลมันก็เสียบแทง ถ้าไม่เข้าใจข้อเท็จจริงนี่แล้วจะเข้าใจธรรมะไม่ได้ คือจะเกิดไปแยกกันว่าเวทนาบางชนิดไม่เสียบแทง แต่ข้อเท็จจริงนั้นเวทนาทั้ง ๓ ชนิดล้วนแต่เสียบแทง ของรักจะเสียบแทงอย่างของรัก ของเกลียดจะเสียบแทงอย่างของเกลียด แล้วของไม่รักไม่เกลียดก็จะเสียบแทงอย่างของที่ไม่รักไม่เกลียด ขึ้นชื่อว่าเวทนาแล้วจะต้องเสียบแทง แต่มันจะต้องต่างกันมาก ต่างกันมากเกือบตรงกันข้าม แต่ว่าเป็นการเสียบแทงคือเผาลนจิตใจ เพราะฉะนั้นราคะก็เสียบแทง โทสะก็เสียบแทง โมหะก็เสียบแทง ราคะโลภะ นี่เป็นเรื่องรักเป็นเรื่องได้ เป็นเรื่องบวก มันก็เสียบแทง ไอ้โทสะหรือโกธะนี้เป็นเรื่องไม่ได้ เป็นเรื่องโกรธเรื่องขัดใจเป็นเรื่องลบ มันก็เสียบแทง นี่โมหะนั้นไม่อยู่ในรูปบวกหรือลบชัดเจน มันก็ปนๆกันยุ่งเป็นความวิตกกังวลเป็นความข้องใจด้วยความสงสัย ไอ้โมหะนี่ก็เสียบแทง เพราะฉะนั้นทั้ง ๓ อย่างนี่เป็นโรค โลภะ ราคะก็เป็นโรค โทสะ โกธะก็เป็นโรค โมหะก็เป็นโรค ต้องรู้จักไอ้โรคนี้ให้ดีเสียก่อนจึงจะรู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นนายแพทย์ผู้รักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงเหมือนที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะสัตว์โลกทั้งปวงเป็นโรค ๓ ชนิดนี้อยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อย รู้สึกบ้างไม่รู้สึกบ้าง จะไม่เป็นก็เว้นแต่ที่ไม่มีเวลาที่ไม่ปรากฏ โลภะ โทสะ โมหะ ตามปกติสัตว์นี่สะสมความเคยชินที่จะเกิดโลภะ โทสะ โมหะไว้มากมาย จนเป็นอันว่ามันเกิดเมื่อไรก็ได้ อารมณ์ที่น่ารักมามันก็รัก อารมณ์ที่น่าเกลียดน่าโกรธมา มันก็โกรธ มันก็เกลียด อารมณ์ที่ชวนให้ทึ่ง ให้สงสัย ให้ฉงน ให้ข้องใจ นี่มันก็ทึ่งขึ้นมา ไม่ได้อยู่เป็นปกติ นี้คือโรค ถ้ามันเนื่องจากกายมันก็เสียบแทงกาย ถ้ามันเนื่องจากจิตมันก็เสียบแทงจิต ถ้าเนื่องกับวิญญาณมันก็เสียบแทงวิญญาณ ทั้ง ๓ อย่างนี้มันเนื่องกัน ความรู้สึกทางกายล้วนๆมันรู้สึกไม่ได้ มันรู้สึกทางจิต ถ้าจิตไม่รู้สึกเสีย กายมันก็ไม่รู้สึก ทางสติปัญญาก็เหมือนกัน มันอาศัยจิตเป็นที่ตั้ง ฉะนั้นมันเพียงแต่ว่ามันไปแสดงออกที่ส่วนไหนมากเท่านั้นเอง ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะมันแสดงออกกันส่วนมากที่ร่างกาย หรือมีร่างกายเป็นต้นเหตุ หรือว่ามันแสดงออกทางจิตโดยตรง มีเรื่องของจิตโดยตรง หรือไปแสดงออกทางไอ้สติปัญญา หรือทางที่เรียกว่าทิฏฐิ ความคิดความเห็นนั่น นั่นมันก็เป็นโรคกันที่นั่น
นี่เรื่องโรค แท้จริงมันมีอยู่อย่างนี้ แม้ว่าร่างกายเราสบายดีไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรแต่จิตก็ถูกเสียบแทงอยู่เรื่อย โลภะ โทสะ โมหะไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่โดยตรง ไม่โดยเปิดเผย ก็โดยเร้นลับ แต่ถ้าพูดถึงโรคทางวิญญาณ ทางสติปัญญาแล้วคล้ายกับว่าเราเป็นอยู่ตลอดเวลา เรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงไร เราก็ไม่ปลอดจากโรคทางวิญญาณโดยสิ้นเชิงอยู่เพียงนั้น ก็จะมีมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจอะไรผิดๆอยู่ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งระดับใดก็ระดับหนึ่งอยู่ตลอดเวลา จึงเรียกว่าทุกคนเป็นโรคทางวิญญาณอย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์จึงจะหายโรคนี้ ส่วนโรคทางกายทางจิตนั้นก็มีบ้างเว้นบ้าง ตาม ตามเรื่องที่มันจะเกิดขึ้น ที่นี้ใครจะรักษาโรคเหล่านี้ ถือตามบาลีนี้ก็ว่าพระพุทธเจ้า เป็น สัพพโลก ติกิจฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง
ทีนี้เราจะดูไอ้สิ่งที่เรียกว่าโรค โรค นี้ให้เข้าใจกันต่อไปอีก เพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะต้องรู้จักโรคนี่กันเสียก่อน มันจึงจะรู้ รู้จักหรือนึกถึงการแก้โรค ธรรมะเป็นเรื่องแก้โรค แต่ถ้าเราไม่รู้จักโรคเราจะเอาธรรมะไปแก้โรคได้อย่างไร นั้นเราเสียเวลากันสักนิดหนึ่งเพื่อจะดูว่า ไอ้เรื่องโรคนี่มัน มัน มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันมีความลึกลับอย่างไร ทำไมคนเราจึงมีความโลภ ความโกรธได้ คล้ายๆกับว่าทั้งหมดมันอยู่ อยู่ที่สิ่งนั้น นี่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับรู้จัก ตัวเราเองหรือไม่ รู้จักร่างกายจิตใจอะไรทั้งหมดที่เรียกว่ามนุษย์นี้หรือไม่ อาตมาอยากจะรวบรัดเพื่อประหยัดเวลา อยากจะพูดอย่างทำนองอุปมาหรือว่าด้วยคำพูดที่มันไม่กี่คำแต่มัน มันจะกินความไว้หมด ว่ามันมีสิ่งอยู่สิ่งหนึ่ง เรียกว่าสิ่งที่อยู่เหนือเมฆ เหนืออะไรหมดเลย ที่เราไม่รู้จักมันได้ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ยังได้ไอ้สิ่งนี้ มันมีสิ่งอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีซึ่งเป็นต้นเหตุให้สิ่งทั้งหลายมัน มันได้เป็นเรื่องเป็นราวจนเป็นปัญหาของมนุษย์ขึ้นมา สิ่งนี้โดยมากเขาเรียกกันว่าพระเจ้า อยู่เบื้องหลังของสิ่งทั้งปวงหรือว่าอยู่ในที่ทั่วไป เป็นต้นเหตุของสิ่งทั้งปวง แต่ถ้าพูดอย่างชาวพุทธหรือพุทธบริษัทก็คือกฏเกณฑ์ของธรรมชาติแท้ๆ กฏเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งนั้นล่ะ ไม่มีอะไรมากไปกว่าธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ถ้าเรียกเป็นบาลีฟังประหลาดๆเรียกว่าอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตาแปลว่า ความที่เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จะเกิดขึ้น หมายความว่ามันมีแต่สิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกัน แล้วมันทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมาเรื่อยตลอดเวลา ทำไมโลกจึงเกิดขึ้น เพราะเราก็ได้ศึกษาเล่าเรียนมาและก็พอจะเชื่อได้ว่าทีแรกโลกนี้ไม่มี โลกนี้ไม่ได้มีทีแรก แล้วทำไมโลกจึงมีขึ้นมา มีก้อนโลกเป็นวัตถุแล้วทำไมจึงมีสิ่งมีชีวิตเป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ขึ้นมา เป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วมันยังมีอะไรที่มีความลับอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่ง คือทำให้มนุษย์มีกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นน่ะ ไอ้ต้นเหตุแท้จริงนั้นคืออะไร พวกถือ พวกที่ใช้คำว่าพระเจ้า เขาก็ว่าพระเจ้า พุทธบริษัทก็ใช้คำว่าธรรมชาติเร้นลับอันหนึ่งซึ่งเข้าใจได้ยาก เข้าใจไม่ได้นี่จะเรียกว่าอวิชชาก็ได้ ในความหมายที่ว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้ว่า ว่า ว่ามันคืออะไร นี่เรียกว่าอวิชชา ถ้าเราไม่รู้จักสิ่งนี้อยู่เพียงใดเราไม่อาจจะแก้ปัญหา นั้นก็พยายามรู้จักสิ่งนี้ อย่างน้อยก็รู้จักในแง่ที่มันเกี่ยวข้องกับเราอย่างจำเป็น สิ่งที่อยู่เหนือเมฆ เหนือไอ้ความรู้สึกอะไรนี่ มีอยู่จริง นี่มันได้ทำให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือไอ้สิ่งที่สวยงาม ที่ดึงดูด ยั่วยวน ดึงดูดจนเราทนอยู่ไม่ได้ แล้วก็เป็นสิ่งที่เราเข้าใจไม่ได้ ไอ้สิ่งสวยงามในโลกก็มีทุกอย่าง มีมากอย่าง แล้วแต่ละอย่างดึงดูดจิตใจ ยั่วยวนจิตใจ เราทนไม่ได้ต้องไปเป็นทาส เป็นบ่าวเป็นทาสเป็นขี้ข้าของมัน แล้วมันดึงดูดเราแรงจนเราเข้าใจไม่ได้ว่าเป็นการดึงดูดหรือยั่วยวน ฉะนั้นเราจึงตกหลุมของมัน คือมีความโลภเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น ความหลงเกิดขึ้น นี่สิ่งนี้จะเรียกว่าอะไร จะสืบสาวกันนักก็จะไม่รู้จักจบจักสิ้น จะเอาแต่เพียงว่ามันมีอยู่สิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุเป็นต้นตอ ที่ทำให้อะไรต่างๆเกิดขึ้นในโลกอย่างที่เป็นปัญหา นี่ขอให้ยกตัวอย่างมาสักอย่างหนึ่งในหลายๆอย่างเท่าที่เวลามันมี ที่มันทำให้เราเป็นลูกจ้างของมันอย่างสิ้นเนื้อประดาตัวก็คือของที่เราชอบ เรารักอะไรเราชอบอะไร เราจะเป็นลูกจ้างเป็นบ่าวเป็นทาสของสิ่งนั้น อย่างที่เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ว่าธรรมชาติอันเร้นลับนี้ไม่ได้พูดตรงๆอย่างนี้ เขาแฝงอะไรไว้มากซับซ้อนมาก เช่นแฝงการสืบพันธุ์ไว้กับกาม อารมณ์ นี่เป็นตัวอย่างที่ ที่เห็นได้ง่ายและมีแก่ทุกคน กามอารมณ์กับการสืบพันธุ์ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เอาการสืบพันธุ์ซ่อนแฝงไว้เบื้องหลังกามอารมณ์ สิ่งที่เรียกว่ากามอารมณ์คือสิ่งสวยงามเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อันนี้เรียกว่ากามอารมณ์ ไอ้การสืบพันธุ์นั้นเพียงแต่ว่าทำให้พืชพันธุ์ออกมาเพิ่มขึ้นๆอย่าให้สูญพันธุ์เท่านั้นเองไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่ไอ้สิ่งลึกลับ เหนือเมฆอะไรไม่รู้สิ่งนี้มันฉลาด จนเอาไอ้สิ่งที่คนไม่ค่อยจะชอบหรือไม่ชอบนั้นไปแฝงซ่อนไว้กับสิ่งที่คนชอบ รัก หลงใหล ทุกคนชอบกามอารมณ์ในระดับไหนชั้นไหน ชั้นไหนก็ตามเป็นทาสของกามอารมณ์ ทีนี้การสืบพันธุ์ซ่อนไว้ใต้นั้น ไอ้คนมันก็เป็นลูกจ้างเพื่อจะทำการสืบพันธุ์โดยรับค่าจ้างคือกามอารมณ์ สำหรับมนุษย์ยิ่งเป็นมาก สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนั้นแต่เป็นน้อยกว่า ความรู้สึกทางกามอารมณ์ทำให้มืดหน้ามัวตาไม่รู้อะไรเป็นอะไรต้องการแต่จะได้ท่าเดียว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกามอารมณ์ในระหว่างเพศคือเพศตรงข้ามแล้วผลสุดท้ายของกิจกรรมระหว่างเพศก็คือการสืบพันธุ์ อย่างที่ Sigmund Freud ว่านั้นก็ถูกแล้ว ว่าทุกอย่างมีมูลรากอันลึกซึ้งจากกามอารมณ์ ถ้าเป็นเรื่องของโลกไม่ใช่เรื่องของนิพพานแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือทำอะไรเพื่อกามอารมณ์ทั้งนั้น ทั้งที่ไม่รู้สึกตัวหรือรู้สึกตัว ที่เรียน เล่าเรียนกันมากๆนี่ก็เพื่ออาชีพ เพื่อเงิน แล้วเงินนั้นก็เพื่อความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปกว่าจะ จนตลอดชีวิต มันมีเท่านั้นเอง มีบ้านมีเรือนมันก็เพื่อให้ความสุขอันนี้ มีบุตร มีภรรยา สามีก็เพื่อความรู้สึกอันนี้ ถ้ามีภรรยาสามีเพียงแต่การสืบพันธุ์ล้วนๆแล้ว เข้าใจว่าคงไม่มีใครสมัคร คงไม่มีใครกระทำ นั้นก็ลองซื่อตรงต่อตัวเองกันบ้าง คิด คิดกันลงไปตรงๆบ้างว่าไอ้การแต่งงานนั้นถ้าเพื่อการมีลูกมีเต้าล้วนๆแล้วคงไม่มีใครกระทำ มันมีส่วนที่โง่เป็นลูกจ้างของสิ่งลึกลับนี้คือกามอารมณ์บวกอยู่ด้วย คนจึงอุตส่าห์ทน บางทีก็ทนเลือดตาไหลเพื่อให้ได้สิ่งนี้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งนี้ นี่ใครเป็นผู้วางแผนการหลอกลวงมนุษย์มากถึงอย่างนี้ นี่ตอบยาก สภาพอันลึกลับอันเร้นลับนี้เขาเรียกกันว่าพระเจ้าแต่เราจะเรียกว่าธรรมชาติ ธรรมชาติอันลึกลับเร้นลับชนิดหนึ่ง หรืออวิชชาของมนุษย์นั้นเอง มันได้ใส่อะไรไว้ในสัญชาตญาณของสิ่งที่มีชีวิต ไอ้ความรู้สึกที่รู้สึกได้เองของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี่เราเรียกว่าสัญชาตญาณจะเป็นระดับต่ำเช่นต้นไม้ หญ้า บอน ก็ได้ อันนี้สัญชาตญาณคือมีสิ่งที่มันรู้สึกได้เอง รู้สึกต้องการอาหาร รู้สึกต้องการสืบพันธุ์ แม้แต่หญ้า บอนก็ต้องการสืบพันธุ์ ตามแบบของพืช ไปเรียนไอ้ Biology แขนงนี้อธิบายไว้ชัดเจนมาก สิ่งที่มีชีวิตประเภทพืชก็ต้องการสืบพันธุ์ อย่างเลวที่สุดมันก็สืบพันธุ์ด้วยการแบ่งเซลล์ นี่ก็ยังต้องเรียกว่าการสืบพันธุ์ แต่ว่าขนาดต้นไม้อย่างนี้แล้วไม่ใช่เรื่องแบ่งเซลล์แล้วมันมีฝ่ายตัวผู้และฝ่ายตัวเมียและดิ้นรนที่จะให้เกิดการพบกัน แล้วก็เป็นลูกเป็นเต้าออกมาไอ้สัตว์เดรัจฉานนี่เห็นได้ชัด มนุษย์ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่ามันมีสัญชาตญาณที่ต้องการสืบพันธุ์ แล้วยังมีสัญชาตญาณอย่างอื่นอีกมาก แต่ว่าสัญชาตญาณแม่บทของทั้งหมดนี้ก็คือสัญชาตญาณของการที่ไม่ยอมตาย อยากจะอยู่ไม่อยากตาย นั้นจึงดิ้นรนทุกอย่างเพื่อจะให้ได้อยู่
นี้ธรรมชาติอันเร้นลับนี้พระเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เขาได้ใส่ความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในสัญชาตญาณ นั้นเราจึงทำอะไรเป็นไปตามอำนาจของสัญชาตญาณเป็นพื้นฐาน นี่เราจะกินอาหาร หรือเราจะต่อสู้ หรือเราจะมีชีวิตอยู่ แล้วกระทั่งจะสืบพันธุ์ จะมีตัวกูของกูอยู่ แล้วที่ประสงค์อย่างยิ่งก็คือความเอร็ดอร่อยที่เรียกว่าความสุข ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ที่โดยเนื้อแท้คือกามอารมณ์ ธรรมชาติใส่สัญชาตญาณแห่งการเป็นทาสของกามอารมณ์ไว้ในสัญชาตญาณนั้น เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายพอเกิดมาก็เริ่มเป็นทาสของกามอารมณ์ตั้งแต่เล็กๆขึ้นมาจนกระทั่งถึงวัยเต็มที่ของความเป็นหญิงเป็นชาย หรือเป็นตัวผู้หรือเป็นตัวเมีย นี่มันจึงมีความรู้สึกในทางนี้ได้ง่ายแสนที่จะง่ายเพราะอยู่ในสัญชาตญาณมันเสร็จแล้ว เพียงแค่สัญชาตญาณนี่เป็นพื้นฐานพอแล้ว ทีนี้มันทำซ้ำคือมันเติมลงไปๆเรื่อย เติมลงไปอีก เติมลงไปให้แก่สัญชาตญาณนั้นอีก เช่น โตขึ้นมาพอรู้จักความรักมันก็มีความรัก ทุกคราวที่มีความรักมันจะเติมสัญชาตญาณแห่งความรักนี้เพิ่มขึ้นๆ ความโกรธก็เหมือนกัน ความเกลียดก็เหมือนกัน ความกลัวก็เหมือนกัน มันจะเติมใหม่ให้มากขึ้นทุกๆคราวที่เราได้มีความรู้สึกอย่างนั้น ไอ้ของเติมใหม่นี่สะสมไว้ในสันดานเรื่อย เพิ่มพูนให้แก่สัญชาตญาณเรื่อย สำเร็จรูป ประจำอยู่ในสันดาน นี่ภาษาวัดๆวาๆนี่เขาเรียกว่าอนุสัย อาสวะ สังโยชน์ สังโยชน์ หรือ อาสวะหรือ อนุสัยนี่ คือสิ่งที่สะสมหมักหมมไว้อย่างนี้มากเหลือประมาณ เพราะฉะนั้นเราจึงพร้อมที่จะรัก ในเมื่อไอ้ของน่ารักมันเข้ามา เราก็พร้อมที่จะเกลียดในของที่เรารู้สึกว่าน่าเกลียดมันเข้ามา เราจึงรู้สึกทึ่งเฉยๆในเมื่อไอ้สิ่งที่มันน่าทึ่งเข้ามา นี่คือโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่าราคะ โทสะ โมหะ ให้ผลเป็นเรื่องความรู้สึกที่เสียบแทงอย่างที่ว่า โลภะเสียบแทงอย่างโลภะ โทสะเสียบแทงอย่างโทสะ โมหะเสียบแทงอย่างโมหะ นี่สัญชาตญาณแท้ๆเกิดเป็นโรคขึ้นมาได้อย่างขนาดหนักเช่นนี้
นี่เราคิดดูเถอะ มันไม่รู้ว่าอะไรแต่เราเป็นทาสของมันอยู่ตลอดเวลา เราแก้ไขไม่ได้เพราะเราไม่รู้จักว่ามันเป็นอะไร เราน่าจะปล่อยไปตามความรู้สึกตามสามัญสำนึก น่ารักก็รัก น่าโกรธก็โกรธ น่ากลัวก็กลัว มันมีแต่เสียอย่างนี้ นี่คืออาการโรคถึงที่สุดแล้ว มันเป็นปัญหาที่ไม่แสดงต้นตอ เราไม่รู้จักต้นตอ ดังนั้นเราจึงเป็นคนโง่ ขออภัยพูดคำหยาบๆ ว่าเราเป็นคนโง่ พูดว่าเป็นคนโง่บางทีจะยังไม่ ไม่สม ต้องพูดว่าโง่อย่างดักดาน เราจึงเป็นคนโง่อย่างดักดาน เพราะเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม คิดดูซิ เมื่อเราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไมแล้วจะไม่ให้เรียกว่าเราโง่อย่างดักดานแล้วจะให้เรียกว่าอะไร เรารู้หรือยังว่าเราเกิดมาทำไม หรือว่าไอ้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั่นคืออะไร แต่เราก็ไม่รู้ ไม่รู้ก็ต้องโง่ดักดาน ที่จริงมันเป็นการสมควรแล้วที่เราจะโง่อย่างดักดานเพราะสิ่งนี้มันลึกลับเหลือประมาณ มันลึกลับเหลือที่จะพูดได้ว่ามันตั้งต้นที่ไหนและคืออะไร นี่เราจึงใช้คำว่ามันมีสิ่งๆหนึ่งที่อยู่เหนือเมฆ หมายความว่าอยู่เบื้องหลังเมฆ เราไม่รู้ว่าอะไร จะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าก็อยู่เหนือเมฆ หรือเรียกว่า ผี ปีศาจ อวิชชาอะไรก็ได้ มันอยู่หลังเมฆ มันอยู่เบื้องหลังเมฆ ไอ้เมฆหมอกนี้คือสิ่งที่บังอยู่ข้างหน้า ไอ้สิ่งที่อยู่หลังเมฆนั่นแหละตัวการแหละ ที่ทำให้เราต้องรักไอ้สิ่งที่น่ารัก ต้องเกลียดสิ่งที่น่าเกลียดต้องกลัวสิ่งที่น่ากลัว ต้องทึ่งหรือสนใจสิ่งที่น่าทึ่งน่าสนใจ อย่างนี้ไปหมด ที่นี้ไปแตะที่ไหนเข้าเป็นเสียบแทงทั้งนั้น ไอ้รักก็เสียบแทงอย่างรัก ไอ้เกลียดก็เสียบแทงอย่างเกลียด ไอ้กลัวก็เสียบแทงอย่างกลัว ไอ้วิตกกังวลก็เสียบแทงอย่างวิตกกังวล แม้แต่สนใจอยากจะรู้อะไรสักนิดมันก็เสียบแทงแล้ว ความสงสัยมันก็เสียบแทง
นี่ก็คือลักษณะของโรคหรือว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าโรคแต่เราไม่รู้จักสมมุติฐานชัดเจนถึงที่สุด แต่เราก็รู้สมมุติฐานเพียงพอที่เราจะแก้ไขได้ เพราะเราไม่จำเป็นจะต้องรู้อะไรหมดถึงที่สุดหรอก มันรู้ไม่ได้ เราจึงต้องรู้เฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าที่มันจำเป็นที่จะต้องรู้และต้องแก้ไขกันเดี๋ยวนี้ ข้อนี้ต้องนึกถึงเรื่องทางวัตถุเป็นตัวอย่าง ในโลกนี้เจริญด้วยวัตถุ วิชาทางวัตถุ เอาวัตถุมาใช้อย่างประหลาดมหัศจรรย์เหมือนกับว่าเป็นของทิพย์ แต่มนุษย์นักวิทยาศาสตร์ตัวยอดยิ่งมันก็ไม่รู้ถึงที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร เดี๋ยวนี้มันก็ไม่รู้แม้แต่ว่าไฟฟ้านี้คืออะไร ที่โดยแท้จริงคืออะไร มันก็ไม่รู้ แต่มันรู้วิธีที่จะทำให้ปรากฏการณ์อันนี้แสดงออกมาบางอย่างบางส่วนแล้วมาใช้ทำอะไรได้ เป็นแสงสว่างได้ เป็นพลังงานได้ เป็นอะไรได้ แต่ตัวไฟฟ้าจริงๆมันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร อยู่ที่ไหน ตั้งต้นอะไรที่ไหนมันก็ไม่รู้ นี่เรื่องวัตถุแท้ๆเป็นชิ้นเป็นดุ้นแท้ๆก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้ไอ้เรื่องทางจิตทางวิญญาณที่มันไม่แสดงตัวตนได้อย่างไร แต่สรุปได้ว่าเรายังสามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราไม่รู้จักโดยหมดจดโดยหมดสิ้นนั่นแหละ นี่คือพระพุทธเจ้าท่านแนะในข้อนี้ ว่าจะต้องสังเกตอย่างไร จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตว่าใจนี้อย่างไรโดยตั้งต้นเข้าไป ตั้งต้นเข้าไปหาไอ้สิ่งที่ลึกลับนั่น อย่าไปตั้งต้นมาจากสิ่งที่ลึกลับ มันไม่รู้หรอกมันตั้งต้นไม่ได้ เพราะไม่รู้มันอยู่ที่ไหนไอ้สิ่งลึกลับนั้น เราตั้งต้นจากสิ่งที่ปรากฏแก่เรา รู้ รู้สึกอยู่แก่เราเข้าไปหาสิ่งที่ลึกลับนั้น แล้วก็เท่าที่มันจำเป็นอย่าให้มากกว่าที่จำเป็น ถ้ามากเกินกว่าจำเป็นเดี๋ยวจะถูกเรียกว่าบ้า โดยที่โง่ดักดาน ทีนี้จะบ้าเหลือประมาณ
ปัญหาเฉพาะหน้าเดี๋ยวนี้คือความทุกข์ ทุกข์ที่ประจำวันนี่คือความทุกข์ แล้วความทุกข์มาจากอะไรแล้วสิ่งนั้นมาจากอะไร ๒-๓ ชั้นเท่านั้นแหละก็พอที่จะป้องกันความทุกข์ได้ ความทุกข์เกิดมาจากความอยาก น่ารักก็อยากไปอย่าง น่าเกลียดก็อยากไปอย่าง ไม่รู้ว่าอะไรก็อยากไปอีกอย่างหนึ่งคือสงสัย นี้เองเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ นี่พระพุทธเจ้าท่านมีวิธีสอนให้พิจารณาดูจนเห็นว่ามันไม่ต้องรักก็ได้ มันไม่ต้องเกลียดก็ได้ ไม่ต้องโกรธก็ได้ ช่างหัวมันสิ เรารู้จักทำจิตใจ อย่าให้ไปรัก อย่าให้ไปเกลียด อย่าให้ไปกลัว อย่าให้ไปอะไรก็พอแล้ว นี่คำสอนเรื่องอริยสัจก็เกิดขึ้น หรือที่ละเอียดกว่านั้นก็คือคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตาก็เกิดขึ้น เพราะนั้นไอ้จุดจบอยู่ที่เพียงว่า มันมีสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกผิดๆนี้ขึ้นมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าพูดอย่างที่มองเห็นอยู่ ก็เมื่อตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียงก็ตาม คู่ไหนก็ได้ แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นที่นั่น ที่เรียกว่าวิญญาณแล้วการกระทบกันนี่เรียกว่าผัสสะ ผัสสะก็เกิดเวทนา ที่รักบ้างไม่รักบ้าง หรือว่าไม่รู้ว่าจะรักดีไม่รักดีบ้างนี่ แล้วเกิดความอยากคือตัณหาขึ้นไปตามสมควรแก่สิ่งนั้นที่น่ารักหรือไม่น่ารัก นี้ตัวกูมันก็เกิดยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นมันก็เป็นทุกข์ มันก็มีอยู่เท่านี้ ที่นี้มีวิชาสักหน่อยเท่านั้นแหละว่าพอตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง นี่ระวังให้ดีๆอย่าไปโง่อย่าไปเผลอให้มันไปเกิดรักหรือไปเกิดเกลียดเข้านี่เท่านั้นเอง นี่ถือว่าพอไปรักเข้ามันก็เสียบแทงเอา พอไปโกรธไปเกลียดเข้ามันก็เสียบแทงเอา พอไปสงสัยไปยึดถือไปกังวลเข้ามันก็เสียบแทงเอา เราก็เป็นคนรู้ รู้จักเจ็บปวดแล้วก็รู้จักเกลียดความเจ็บปวดไม่อยากจะเจ็บปวด นี่จึงจะ จะมีความคิดในทางที่จะไม่ปล่อยไปอย่างนั้น นั้นพระพุทธท่านเจ้าจึงไม่ได้พูดไปให้มากไปว่ามันมาจากไหนในที่สุด ที่ว่าอวิชชานี่มันตั้งต้นที่ไหน รู้ไม่ได้ สิ่งที่เรียกอวิชชามันจะตั้งต้นที่ไหนเมื่อไรอย่างไรอย่าไปรู้มันเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ รู้แต่ว่ามันจะเกิดที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างไรนี่ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น นี่มันจะปรากฎออกมาได้อย่างไร ทำให้มันปรากฎได้ก็แล้วกัน แล้วทำตัวเองนี่ให้เก่ง คือหมายความว่าไอ้ร่างกายนี้ทั้งจิตใจและสติปัญญานี้อบรมเข้า อบรมเข้า ด้วยวิธีที่เรียกว่าภาวนานี่ เราเรียกกันอย่างที่คนชาวบ้านฟังไม่รู้ว่าสมถภาวนา วิปัสนาภาวนานี้ หลายคนก็คงฟังไม่รู้ว่าอะไรแต่นั่นน่ะคือวิธีอบรม ให้มันดีขึ้นๆ เก่งขึ้นๆ คำว่าภาวนานั้นแปลว่าทำให้เจริญขึ้น ตรงเป็นคำเดียวกันกับคำว่า Develop Develop นี่ทำให้ดีขึ้น ให้เจริญออกมาไอ้ที่มันเจริญได้เท่าไรทำให้มันเจริญออกมาให้หมดนี่เรียกว่า Develop คำนี้ตรงกับคำว่าภาวนา นั้นกายและใจของเรามันจะ Develop ได้กันเท่าไรก็หาวิธี Develop มัน ให้มันสูงสุด นี้ถ้าว่าทำถูกวิธีจริงมันก็ตามแบบของพระพุทธเจ้า มัน Develop ขึ้นมาถึงขนาดที่เรียกว่าไอ้ใจนี้จะไม่โง่อีกต่อไป จะไม่ไปหลงรักหลงเกลียดหลงกลัวหลงอะไรอีกต่อไป ด้วยวิธีที่เขาเรียกกันว่าสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา หรือแล้วแต่จะเรียกว่าอะไร ล้วนแต่เป็นการทำให้จิตใจของมนุษย์นี่เจริญขึ้นสูงขึ้นจนถึงขีดสูงสุดที่มันจะเจริญได้แล้วมันจะสูงไปกว่าพระอรหันต์ไม่ได้ คือผู้ที่มีจิตใจ โลภไม่ได้ โกรธไม่ได้ หลงไม่ได้ เป็นทุกข์ไม่ได้อีกต่อไปนั่น มันสูงสุดเพียงเท่านั้น นี้เรา มันคล้ายๆกับว่าเขาจับเอาผ้าผูกตาจับมาปล่อยในที่ที่เราไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้มันก็ยากอยู่ตรงนี้แหละ เราก็ต้องช่วยตัวเองตั้งต้นสังเกตดูทิศไหนเป็นอย่างไรอะไรเป็นอย่างไร ค่อยๆสังเกตไปไม่นานนักเราก็พอจะรู้ว่าไอ้ความทุกข์นี่คืออะไร แล้วเกิดมาจากตัณหาอย่างไร ถ้าควบคุมหรือดับตัณหาเสียได้มันก็ควบคุมความทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นเราจะอยู่อย่างไรจึงจะควบคุมได้ ก็อยู่ให้ถูกกับเรื่องของธรรมชาตินี่สิ ไอ้อยู่ถูกตามเรื่องของตามธรรมชาตินี่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ แปลว่า ความถูกต้อง ๘ ประการ ๘ ประการ คือ มีความคิดเห็นถูกต้อง มีความปรารถนาถูกต้อง มีการพูดจาถูกต้อง มีการทำการงานถูกต้อง มีการเลี้ยงชีวิตถูกต้อง มีความพยายามพากเพียรถูกต้อง มีการดำรงสติถูกต้อง มีการตั้งสมาธิถูกต้อง รวมเป็น ๘ ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ที่ธรรมชาติต้องการ พออยู่อย่างถูกต้องอย่างนี้แล้วมันถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ ชนิดที่ว่าไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้มันเกิดไม่ได้ พอผิดพลาดนิดเดียวมันเกิดทันที พอกลับไปถูกต้องอีกมันก็หายไปอีก นั้นการต่อสู้มันก็มีอยู่เท่านี้ เราไอ้มนุษย์นี่จะต่อสู้กับกิเลสอยู่เรื่อยไป เผลอไม่ได้ เผลอเป็นไม่ถูกต้อง พอไม่เผลอมันก็ถูกต้อง นี่ความถูกต้องทีหนึ่งมันก็เพิ่มความเคยชินของความถูกต้อง นี้เขาเรียกว่าเป็นการแก้กัน เราทำผิดทีหนึ่ง มันเป็นกิเลสอนุสัยเพิ่มขึ้นทีหนึ่ง พอเราทำถูกต้องทีหนึ่งมันก็เพิ่มไอ้เรื่องสิ่งที่จะทำลายกิเลสอาสวะอนุสัยทีหนึ่ง เรียกว่าเพิ่มบารมีขึ้นมาทีหนึ่ง มันแล้วแต่จะเพิ่มเป็นฝ่ายไหนถ้าเราเผลอมันเพิ่มฝ่ายเกิดโลภโกรธ หลง ถ้าเราไม่เผลอ มันเพิ่มฝ่ายที่จะไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เราอยู่ให้ถูกต้อง เป็นอยู่ให้ถูกต้อง จนมันเป็นความเคยชินในการถูกต้องแทน แทนไอ้ความเคยชินในความผิดพลาด ความโง่ ความหลงมันจะเบาบางไปโดยเหตุนี้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสนั้นดูจะง่ายเกินไป ฟังแล้วมันดูจะง่ายเกินไป ท่านว่าเป็นอยู่อย่างถูกต้องโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ฟังแล้วมันง่ายเกินไป แต่ทีปฏิบัติมันก็ไม่ง่าย เป็นอยู่ให้ถูกต้องรู้ดีว่าถูกต้องคืออย่างงั้นๆ แล้วมันทำให้ถูกต้องไม่ได้ มันบังคับตัวเองไม่ได้ มันเผลอเก่งอะไรอย่างนี้มันถูกต้องไม่ได้ ปัญหาจึงเหลือไม่มากนักที่ว่าจะไม่เผลอแล้วก็รักษาความถูกต้องไว้ให้ได้ ตลอดเวลาที่มีความถูกต้อง ความเคยชินของกิเลสก็จะลดลงๆ ลดลง จนวันหนึ่งมันหมดไป นี้เขาเรียกว่าไอ้สิ่ง สิ่งลึกลับนั้นมันทำอะไรเราไม่ได้ จะเรียกพระเจ้า หรืออวิชชา หรือธรรมชาติ สังขาร อะไรก็ตามแต่ มันทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราทำวิวัฒนา ทำพัฒนา ทำภาวนาให้สูงมาได้ถึงขนาดนี้
นี่คือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลก นี้พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ความลับอันนี้ก่อนคนอื่น แล้วก็บอกให้ทุกคนรู้ไปทำตามจึงได้นามว่าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง คำว่าสัตว์โลกทั้งปวง ที่ไม่เคยบวชเคยเรียนก็เข้าใจยาก คำว่าโลกทั้งปวงนี่ไม่ใช่ของเข้าใจง่าย เอ้า,จะพูดให้คำเดียวว่าไอ้โลกทั้งปวงทั้งหมดทุกชนิดของโลกนั้นอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี่เดี๋ยวก็ฟังไม่ถูกแล้ว นี่ภาษาธรรมะภาษาพระพุทธเจ้ามันเป็นอย่างนี้ไอ้โลกทั้งปวงอยู่ในร่างกายนี้ ที่ยาวไม่เกินวานี้ โรคทั้งปวงก็ตาม โลกทั้งปวงก็ตาม อยู่ในร่างกายที่ยาวไม่เกินวานี้ ไอ้โลกทั้งปวงนี้ถ้าพูดอย่างภาษาคนทั่วไปไม่ใช่ภาษาพระพุทธเจ้านะ จะพูดว่าโลกมนุษย์อยู่ที่นี่ ที่เรานั่งๆอยู่นี่ แต่โลกนรกอยู่ใต้ดินนู่น ใต้อเวจี ใต้ไหนก็ไม่รู้ ยาวลึกเท่าไรก็ไม่รู้ แล้วโลกสวรรค์ก็ไปข้างบน เหนือเมฆเหนืออะไรขึ้นไปนู่น แล้วโลกพรหมยิ่งไปไกลกว่านั้น ก็พูดกันไปอย่างนั้นไอ้อย่างนั้นเขาก็พูดกันไปได้ มันก็เป็นเรื่องหนึ่งแต่ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะจัดการให้หมดปัญหาได้มันไกลเกินเอื้อม พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงว่าไอ้โลกนี้มันอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเรามีความคิดอย่างมนุษย์ เราเป็นมนุษย์ ถ้ามีความคิดอย่างสัตว์เดรัจฉาน เราก็เป็นเดรัจฉาน เรามีความคิดอย่างเปรต เราก็เป็นเปรต เราที่นั่งๆอยู่นี่ เกิดมีความคิดอย่างสัตว์นรกก็เป็นสัตว์นรก เมื่อเรามีความคิดอย่างไรเราก็เป็นอย่างนั้น แล้วนั่นแหละโลก โลกนั้นมันก็อยู่ที่นั่น เมื่อเรามีความคิดอย่างสัตว์เดรัจฉานเราก็กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วโลกนี้ก็กลายเป็นโลกของสัตว์เดรัจฉาน แล้วโลกสัตว์เดรัจฉานนี้ก็มีโรคอย่างสัตว์เดรัจฉานเสียบแทงใจเราคือความโง่ ถ้าเรามีความหิว มีความทะเยอทะยานสร้างวิมานในอากาศมากเกินไปเราก็เป็นเปรต โลกในเวลานั้นมันเป็นโรคของเปรตสำหรับเรา ไอ้เปรตกับโลก เปรตกับโรค มันก็อยู่ที่ตรงนั้นแหละ เรานั่งที่ไหนมันก็อยู่ที่ตรงนั้น นี่ถ้าเราร้อนใจไม่เข้าเรื่องไม่มีเหตุผลนี่ ร้อนอย่างกิเลสเผาผลาญนี่มันก็เป็นโลกนรก มันเป็นโลกของนรก และก็เป็นโรคอย่างโรคนรกแล้วก็เสียบแทงอย่างโรคนรก นี่ว่าธรรมดาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์นี้มันไม่โง่มากเกิน ไปไม่หิวมากเกินไป ไม่ร้อนรนมากเกินไป แต่ก็ไม่มีความสุขมากเกินไป มันคล้ายๆกับว่าเฉลี่ยกัน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำได้ผลมาสมควรกับหยาดเหงื่อที่เสียไปอย่างนี้เรียกว่าโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นไอ้โดยมากเราก็อยู่กันอย่างในโลกมนุษย์หรือเป็นมนุษย์ ถ้าบางคราวโชคดีไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ได้กามอารมณ์ตามต้องการอย่างนี่ก็เรียกว่าเป็นโลกเทวดา กามาวจร นี่ถ้าทำจิตใจดีกว่านั้นไม่ต้องเกี่ยวข้องกับกามอารมณ์เป็นสุขอยู่ได้ เพราะรูปธรรมบริสุทธ์หรือเพราะอรูปธรรมก็ตาม นี่ก็เรียกว่าเป็นพรหมโลก มีจิตใจอย่างนั้นนั่งอยู่ที่ไหนตรงนั้นก็เป็นพรหมโลกที่นั่น นั้นทุกโลกมันอยู่ที่จิตใจของคนนั้น คนนั้นนั่งอยู่ที่ไหนทั้งหมดนั้นก็เป็นโลกชนิดนั้นของคนนั้น อย่างนี้นี่มันอยู่ในวิสัยที่เราเห็นได้เป็นสันทิฏฐิโก เป็นอะกาลิโกไม่ต้องรอ เราเห็นได้ เรารู้จักได้ เราจัดการได้ เราแก้ไขได้ แต่ถ้าเอาไว้ไกลเกินไปและไป ถึงกันก็ตายแล้ว(นาทีที่ 01.05.37) มันเป็นปัญหาที่มองไม่เห็นว่าจะไปจัดการอย่างไรไหว มันนานนัก มันต้องรอนานนัก กว่าจะจัดการลงไปได้ หรือกว่าจะได้รับผล นั้นถือเอาอย่างที่ว่าได้รับผลที่นี่เดี๋ยวนี้ดีกว่า ถ้าได้รับผลที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วไม่ต้องสงสัย เมื่อไรมันก็ได้ นี่พูดไปอย่างสมมุติเถอะว่า ถ้าดีที่นี่ แล้วตายไปแล้วมันก็ดี นั้นจัดการให้ที่นี่ให้มันดีเสียเถอะให้มันถูกเสียเถอะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้โลกทั้งหลายมันก็อยู่ที่นี่ แล้วแต่จิตใจของเรา นี่พระพุทธเจ้าท่านจะแก้ไขโรคได้ทุกโรค ความทุกข์อย่างสัตว์นรก ท่านก็ช่วยแก้ไขให้ได้ ความทุกข์อย่างสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ช่วยแก้ไขให้ได้ อย่างเปรตก็ช่วยแก้ไขให้ได้ อย่างมนุษย์ก็ช่วยแก้ไขให้ได้ อย่างเทวดาก็ช่วยแก้ไขให้ได้ แม้แต่อย่างพรหม ความทุกข์อย่างพรหม ท่านก็ช่วยแก้ไขให้ได้ มันต่างกันลิบลับเลย ไอ้ความทุกข์อย่างพรหมนั่นคือความหลงใหลในความสุขว่าตัวกูของกูดีเด่นนั่น พรหมไม่มีอะไรมากกว่าตัวกูของกูจัดกว่าสัตว์ประเภทไหนหมด เหมือนสัตว์ที่เกลียดสักกายทิฏฐิ เป็นสัตว์ที่มีสักกายทิฏฐิมากที่สุด มากกว่ามนุษย์เสียอีก นั้นจึงกลัวตายมากกว่าสัตว์ไหนๆอีกเพราะมันมีสักกายทิฏฐิมาก เพราะมันมีความสุขมากมันไม่อยากตาย นี่เป็นกฏเกณฑ์ง่ายๆว่าถ้าใครมีความสุขมาก คนนั้นไม่อยากตาย ถ้าไม่ค่อยมีความสุขก็ดูเหมือนอยากจะตายก็ได้ ถ้าทุกข์มากเกินไปอยากตายกันเร็วๆด้วยซ้ำๆไป ไอ้ความที่ได้อย่างใจเป็นเหตุให้ไม่อยากตาย ทีนี้พวกพรหมมันได้มากกว่าเพื่อน ในโลกพรหมนั่นก็คือเป็นโลกที่เขามีตัวกูของกูจัดแล้วก็ไม่อยากตาย พูดถึงกาย การละเสียซึ่งสักกายทิฏฐิอย่างนี้พวกพรหมสะดุ้งก่อนผู้อื่น ในบาลีเขียนไว้อย่างนี้ แต่ว่าใจความทั้งหมดนั้นมันมีอยู่ว่า ทุกโลกมันเป็นโรคนี่พูด ลอ เป็น รอ ได้ก็ยิ่งดีตอนนี้ โรคเป็นโลก โลกเป็นโรค ทุกโลกมันมีโรค นับตั้งแต่นรก เดรัจฉาน เปรต มนุษย์ เทวดา พรหม จะมีโรคทุกโลกคือมันมีกิเลส กันทุกชนิดสัตว์ พรหมถึงขนาดเนวสัญญานาสัญายตนะ พอสิ้นอำนาจนั้น แล้วมันกลับมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่เป็นคำพูดในบาลีพุทธภาษิต แม้แต่เนวสัญญานาสัญญายตนะกลับเป็นสัตว์เดรัจฉานตั้งต้นใหม่อีกได้ ก็คือมีกิเลส ตัวกูของกูนี่อยู่เท่ากันหมดแหละ ทุกๆโลกมันมีตัวกูของกูเท่ากันหมด แต่ว่ามันรูปร่างมันต่างกัน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นโรคเท่า เหมือนกันหมด แต่ว่าโรคนี่มีลักษณะต่างกันตามที่จะเป็นอย่างไร นี่พระพุทธเจ้าท่านแก้ไขให้ได้ทุกโรคและทุกโลก ทุกโรคในทุกโลก นั้นท่านจึงชื่อว่า สัพพโลก ติกิจฉโก โรคคือความเสียบแทง ในทุกโลกมีความโลภ ความโกรธ ความหลงแบบใดแบบหนึ่ง นั้นมีการเสียบแทงอยู่ที่นั่น นี่พระพุทธเจ้าท่านเป็นนายแพทย์รักษาโรคทั้งปวงแห่งโลกทั้งปวงในลักษณะอย่างนี้ นี้ก็ลองเปรียบเทียบไอ้ความเป็นแพทย์ของพวกเรานี้ดูสิ เทียบดูความเป็นแพทย์ของพระพุทธเจ้าว่ามันมากน้อยกว่ากันเท่าไร ความเป็นแพทย์ของพระพุทธเจ้ากับความเป็นแพทย์ของเรามันมากน้อยกว่ากันเท่าไร ดูมันจะไม่ได้ซักหยิบมือหนึ่งมัง ฉะนั้นเราเป็นลูกจ๊อกของพระพุทธเจ้าเราเป็นลูกน้องของท่าน ทำงานอย่างเดียวกันคือเป็นแพทย์ แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็นแพทย์ที่จะรักษาโรคทุกโรคและของทุกโลก
ทีนี้ก็จะต้องดูต่อไปว่า ที่พูดมาแล้วตั้งยืดยาวนี่ มันเป็นเรื่องทางจิตทั้งนั้น จะดูคล้ายๆกับว่าเป็นเรื่องโรคทางจิตไปเสียหมด แล้วมันก็ต้องพูดอย่างนั้นมันไม่มีทางพูดอย่างอื่นหรอก เพราะโรคทางกายมันรู้ได้ทางจิต โรคทางกายเกิดขึ้น มันเจ็บป่วยที่จิต ฉะนั้นก็เป็นโรคที่เนื่องอยู่กับจิต แต่ว่ามันยังมีความลับอะไรอีกอย่างหนึ่งว่าไอ้โรคทางกายนี่มันขึ้นอยู่กับจิต หรือว่าโรคอะไรก็ตามใจ มันขึ้นอยู่กับจิต มันใน๒ ๒ความหมาย ทว่าไม่มีจิตก็ไม่รู้สึกต่อโรคนี้อย่างหนึ่ง ฉะนั้นไอ้โรคมันรู้สึกขึ้นมาเพราะมีจิต นั้นจึงต้องเป็นโรคที่เนื่องกับจิต แต่ว่าที่ควรจะเห็นมากไปกว่านั้นอีกนั่นก็คือว่า ถ้าคนเรามีจิตดีนะ มันจะแทบจะไม่มีโรคทางกาย นี้ทุกคนคงไม่เชื่อ แต่อาตมายิ่งมองทุกวันแล้วก็ยิ่งเชื่อ ถ้ามีจิตถูกต้องแล้วก็โรคทางกายยากที่จะเกิด ให้มีสภาพจิตที่ถูกต้องโรคทางกายยากที่จะเกิด ไอ้โรคที่มันเนื่องกับระบบประสาทหรือจิตอยู่มากๆนั้นเห็นชัด เรามีสภาพจิตไม่ดีนี่ เรา ใน ในไม่กี่เดือนนี่เราจะเป็นโรคกระเพาะ พิรุธชำรุด เราจะเป็นโรคความดันสูง เป็นโรคนอนไม่หลับ ได้โอกาสหนึ่งก็เป็นโรคอัมพาต อย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้เป็นโรคทางกายทั้งนั้น แต่มูลรากแท้จริงมาจากโรคทางจิต คือมีจิตผิดสภาพปกติ หยุด หยุดไม่ได้ หยุดพักไม่ได้ มีความทรมานในทางจิตโดยไม่รู้สึกตัวอยู่ เราเป็น จึงเป็นโรคชนิดโรคทางกายนี่เสียตั้ง ๕๐ เปอร์เซนต์แล้ว โรคความดันสูง โรคกระเพาะไม่เป็นไปตามธรรมชาติ กระทั่งโรคประสาท กระทั่งโรควิกลจริต ทีนี้ไอ้โรคที่เรียกว่า Accident แท้ๆอุบัติเหตุแท้ๆ เช่นว่าทำ ทำมีดบาดมือ ทำปืนลั่นใส่ตัวเองอย่างนี้ มันก็มาจากจิตที่ไม่ปกติ หรือว่าเราไปเดินให้รถยนต์ทับอย่างนี้ก็เพราะความโง่ของเรา โดยวิธีไหนก็ตาม มัน มันมีมูลมาจากการที่จิตมันไม่ถูกต้อง เราเดินหกล้มนี่มันก็เพราะว่าสภาพจิตมันไม่ถูกต้องเราจึงหกล้ม หรือเรากินอยู่ไม่ถูกเรื่องก็เพราะว่าสภาพจิตของมันไม่ฉลาดไม่ถูกต้อง เดี๋ยวมันก็จะหมดเข้าไปอีกตั้ง ๕๐ เปอร์เซนต์อีกน่ะ ทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซนต์มันจะต้องตั้งต้นที่ความผิดพลาดของสิ่งที่เรียกว่าจิต โรคทางกายล้วนๆยากที่จะเกิดได้โดยไม่มีส่วนทางจิตเพราะว่า เมื่อ เมื่อสภาพทางจิตมันผิดปกติ ไอ้สภาพโลหิต การไหลเวียนของโลหิตก็ผิดสภาพปกติ เดี๋ยวมันก็เป็นโรคนั้นโรคนี้เพราะว่าโลหิตมันผิดสภาพปกติ แม้แต่เป็นเรื่องแผลผุพองก็ยังได้ ดูให้ดีว่าข้อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกอย่างมันเนื่องมาจากจิตนี่มันมีความจริงอยู่มากทีเดียว นี่พระพุทธเจ้าเป็นแพทย์ทางจิตท่านพูดอย่างนี้อย่าเพิ่งหาว่าท่านเอาเปรียบ ควรจะมองดูว่าท่านพูดโดยความจริงหรือโดยข้อเท็จจริง ว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามอำนาจของจิต สังขารทั้งปวง ธรรมทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของสิ่งๆเดียวคือจิต บางอย่างเห็นง่ายมาก แต่บางอย่างมันลึกเหลือเกินมองไม่ค่อยเห็น แล้วคนก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ทีนี้ก็ไปมีความคิดเป็นโรคทางวิญญาณขึ้นมา คือไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไปคิดเอาเองว่า โอ้ย, มันไม่ใช่จิต มันเป็นวัตถุ แก้ไขที่วัตถุให้ถูกต้อง ฉะนั้นก็เลยมุ่งมั่นแต่จะแก้ไขแต่ทางวัตถุให้สบายถูกต้องนี่ ไอ้ Materialism มันก็เกิดขึ้นมา สูงสุดเป็นไอ้ลัทธิ ไอ้ Dialectics Materialism (นาทีที่ 01:14:32) มีเหตุผลที่จะแสดงทุกอย่างทุกทางว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องวัตถุล้วนๆ เป็นเรื่องกายล้วนๆไม่เกี่ยวกับจิต ก็ได้เป็นคอมมิวนิสต์ข้างวิญญาณ แม้ว่าทางเนื้อทางตัวไม่เป็นคอมมิวนิสต์ แต่เป็นคอมมิวนิสต์เต็มที่ในทางวิญญาณ เพราะมองเห็นแต่ว่าอะไรๆมันเนื่องอยู่ที่วัตถุหรือร่างกาย นี่ขอให้ดูให้ดีว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจิตนั้นมันอย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำอื่นว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับผัสสะ คำนี้ยิ่งลึกใหญ่ยิ่งฟังยากนะ ผัสสะแปลว่าการกระทบ การกระทบของตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส ผิวหนังสัมผัสผิวหนัง ใจสัมผัสสิ่งที่รู้สึกกับใจ นี่เขาเรียกสัมผัสหรือผัสสะ พระพุทธเจ้าท่านพูดอย่าง อย่างนักวิทยาศาสตร์ที่สุดตอนนี้ พูดว่าทุกอย่างเกิดจากผัสสะ มีต้นตออยู่ที่ผัสสะ
ฉะนั้นโรคทุกโรคมันตั้งต้นที่ผัสสะไม่มีทางผิด โดยเฉพาะแล้วโรคทางจิตแล้วมันเกิดจากผัสสะ ทางอายตนะนี้ เดี๋ยวเกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน เกิดความทุกข์ นี่ถูก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นี้ถ้าเป็นโรคทางกายล้วนๆ มันก็เพราะผัสสะนะ ถ้าผัสสะมัน ไม่ ไม่รู้สึกความเจ็บแล้วมันจะเป็นโรคได้อย่างไรเล่า ทีนี้ไอ้ผัสสะมันไปรู้สึกความเจ็บเข้าที่ทางกายทางหนัง เนื้อหนังนี่ มันก็เกิดเป็นโรคขึ้นมา ถ้าอย่ามีผัสสะมันก็ไม่มีโรคนี่ท่านจึงพูดอย่างนี้ ปัญหาเรื่องทุกข์เรื่องไอ้กิเลสนี่มันตั้งต้นที่ผัสสะมันเกิดจากผัสสะ ถ้าไม่เกิดโรคขึ้นมาโดยตรงเห็นได้ง่ายก็มี โดยอ้อมๆเห็นยากก็มีอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ แล้วทีหนึ่งก็ทำให้รู้สึกในสภาวะที่เป็นโรค แม้ว่าเราจะเป็นโรคอะไรแต่ถ้ามันไม่มีอะไร ทำให้เราได้รู้สึกในสภาวะที่เป็นโรคมันก็เท่ากับว่าไม่มีโรค เดี๋ยวนี้สิ่งที่เรียกว่าผัสสะนี่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกในสภาวะที่เป็นโรค พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าทุกอย่างมันขึ้นอยุ่กับผัสสะ ให้ผัสสะเป็นจุดตั้งต้นสำหรับการศึกษา การแก้ไข การควบคุมการให้ดีให้ถูกต้อง แล้วโรคทางกายก็จะหมดไป โรคทางจิตก็จะหมดไป โรคทางวิญญาณก็จะหมดไป อยากจะพูดว่าพวกเราที่อายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีนี่อย่าดูถูกคำพูดของคน ๘๐ ปีอย่างพระพุทธเจ้า จะหาว่าคนอายุ ๘๐ ปี พูดโง่ๆเขลาๆอย่าคิดอย่างนั้น ในเมื่อเราอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี พระพุทธเจ้าท่านอายุตั้ง ๘๐ ปี ก็ท่านศึกษาขวนขวายค้นคว้าแต่เรื่องอย่างนี้ ฉะนั้นต้องเชื่อ เชื่อ เชื่อ เชื่อ เชื่อถ้อยคำของท่านสำหรับจะไปทดสอบดู อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้เด็ดขาดเลยว่าอย่าเชื่อฉันเพราะสักว่าฉันพูด เพราะสักว่าฉันพูดนั้นอย่าเชื่อ แต่ว่าไม่ใช่ห้ามไม่ให้ฟัง นี่คนเข้าใจผิดมาก เข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้า แล้วยังแถมด่าอาตมาด้วย ว่าบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าเชื่อท่านเรื่องกาลามสูตรน่ะ อย่าเชื่อพระพุทธเจ้า อย่าเชื่อว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา อย่าเชื่อว่าเพราะมีในพระไตรปิฎกนี่ อาตมาก็พูดตามพระพุทธเจ้าพูด แล้วด่าอาตมาว่าไม่ให้เชื่อพระพุทธเจ้า เสร็จก็แล้วเอาคำพูดของพระพุทธเจ้ามาพูด นี่มันไขว้กันหมด มันผิดกันหมด พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่าเชื่อแม้แต่ฉันพูด แต่ท่านมิได้ห้ามว่าอย่าฟัง ก็ฟังสิ แล้วก็ไม่เชื่อ แล้วไปคิดทดสอบดู แยกแยะดู พิจารณาดูโดยทดลองดู เช่นท่านพูดว่าความโลภเป็นของเสียบแทง อ้าวจริงไม่จริงก็ลองโลภดูสิ คุณลองโลภกันดูสิ แล้วจะรู้ว่ามันเสียบแทงหรือไม่เสียบแทง นี่ความโกรธความหลงก็เหมือนกัน นี่เราก็เลยเชื่อตัวเองได้ ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้านั้น ท่านต้องการอย่างนี้ ถ้าพอสักว่าท่านพูดแล้วเชื่อ นี่ท่านหาว่าเป็นคนโง่ โง่งมงายโง่ดักดานอีก เขาก็สักว่าพูดก็เชื่อ ฉะนั้นจะต้องเอาไปฟังแล้วไปลองดูไป Test ดูไปสังเกตค้นคว้าดู โดยวิธีต่างๆแล้วก็จะเชื่อตัวเอง
นี่เราเด็กๆอย่าเพิ่งคิดว่าไอ้คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่จำเป็นสำหรับเราหรอก เพราะเรายังเป็นเด็ก เรายังอยากจะอยู่ในโลก เรายังไม่อยากไปนิพพาน เราอยากจะสนุกสนานอย่างนี้ เราไม่ต้องการคำสอนของพระพุทธเจ้าเพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา อย่าคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นต้องการจะแก้โรคทุกโรค ยิ่งเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่จะมีโรค โลภะ โทสะ โมหะ มากขึ้นทุกที มันก็ยิ่งต้องการเยียวยาตามแบบของพระพุทธเจ้ามากขึ้นทุกที ฉะนั้นจะต้องศึกษาเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลงให้มากขึ้นทุกที นี่อย่าเพิ่งไปคิดเสียว่ามันไม่เกี่ยวกับเรา มันอยู่คนละเรื่องคนละมุมโลก ไม่ใช่อย่างนั้น ให้นึกไว้เสมอว่าพระพุทธเจ้าเป็นแพทย์ผู้รักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงไม่ยกเว้นใครไม่ยกเว้นชนิดไหน จะเป็นเด็กหรือเป็นคนหนุ่มสาว คนแก่คนเฒ่า มันอยู่ในขอบเขตการเยียวยาของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปดูถูกคำพูดที่ฟังดูแล้วคล้ายกับว่ามันเป็นคำพูดโง่ๆบ้าๆบอๆของคนแก่หรือของพระพุทธเจ้าก็ตามใจ เช่นพูดว่าทุกอย่างไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คนเดี๋ยวนี้เขาเห็นว่าเป็นคำพูดที่บ้าๆบอ ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะทำอะไรได้ นั้นมันเพราะความโง่ของคนนั้น มันทำให้เห็นแต่อย่างนั้น ส่วนพระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายว่าจะให้เราอยู่และทำอะไรโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ไว้ให้เรารู้จักไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เราทำ หรือเรากำลังทำ หรือเราได้รับผลของการทำ หรือเรามี เรากิน เราใช้ อย่าทำไปโดยความยึดมั่น พอยึดมั่นเมื่อไรมันเสียบแทงทันที ยึดมั่นมากเสียบแทงมาก ยึดมั่นน้อยเสียบแทงน้อย มันจะนั่งร้องไห้อยู่ก็เพราะอันนี้ มันจะไปฆ่าตัวตายก็เพราะอันนี้ บางทีมันไม่ต้องเป็นอย่างนั้น มันอยู่ได้สบายในโลกนี้ก็เพราะว่ามันไม่ไปยึดมั่นถือมั่นจะทำก็ทำ อย่างเดี๋ยวนี้เรากำลังสบายที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะว่าความยึดมั่นถือมั่นไม่เกิด เรากำลังสบายหรือว่าสบายบอกไม่ถูก เพราะว่าความยึดมั่นถือมั่นไม่รบกวน ถ้าเกิดเราคิดผิด เดี๋ยวใจเถอะนั่งอยู่ตรงนี้มันจะเกิดความหวาด ความระแวง ความกลัว ความวิตกกังวลว่าเป็นทุกข์ พอกลับไปถึงบ้านที่กรุงเทพฯเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น มันก็มีความทุกข์ มันก็มีความเสียบแทง มันไม่เกลี้ยง มันไม่ว่างเหมือนที่นั่งอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นเอาไอ้ความรู้สึกอย่างนี้กลับไปบ้านบ้าง จะไม่เสียค่ารถเปล่า คือมันได้อะไรติดไปบ้างนะ ที่มาสวนโมกข์ทีหนึ่ง ให้ได้ตัวอย่างความไม่ยึดมั่นถือมั่นที่นั่งตรงนี้ชั่วโมงหนึ่งนี่ติดไปบ้าง พอมันเกิดอะไรยุ่งขึ้นมา ก็นึกถึงนั่งตอนนี้ มันจะเรียกกลับมาได้ จะมีจิตใจคล้ายๆที่นี่แล้วต่อสู้ไปอีกได้ นี่ประโยชน์เป็นอย่างนี้
คำว่าสุญญตาแปลว่าว่างเดี๋ยวนี้คนไม่อยากฟัง นี้เป็นหัวใจพุทธศาสนาแต่คนเกลียดที่สุด ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ คนกลับไม่ชอบ เขาชอบให้เต็มอัดอยู่ด้วยกิเลส เต็มอัดอยู่ด้วยความทุกข์ก็ตามใจเขาสิ พระพุทธเจ้าท่านสอนในเรื่องความว่างเรียกว่าสุญญตา ความว่าง ทุกอย่างเป็นของว่าง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น พอจิตเห็นว่าทุกอย่างว่าง จิตมันก็ไม่ยึดถืออะไร มันก็เป็นจิตที่ฟรีที่เป็นอิสระหรือเป็นจิตว่าง ว่างจากการยึดถือ นี้คนเขาเข้าใจผิด เขาคิดว่าพอว่างแล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วมันว่างตามแบบของคนนั้น ถ้าว่างตามแบบของพระพุทธเจ้าก็คือพิจารณาเห็นโลกว่ามันเป็นของไม่ควรยึดถือ แล้วจิตมันไม่ยึดถือ จิตมันก็ว่างจากการยึดถือมันมีเท่านั้นเอง นี้พอจิตว่างจากการยึดถือมันเป็นจิตฟรี อิสระ หรือเดิมแท้ของมัน มันจึงว่องไว มันจึงฉลาด มันจึงไม่ ไม่เกิดกิเลส เพราะมันไม่ยึดมั่นถือมั่น นั้นพูดถึงสบายมันก็สบายแล้ว พอพูดถึงฉลาดมันก็ฉลาดสิ เพราะมันเป็นอิสระ กำลังเป็นอิสระ นี่เรียกว่าเป็นวิธีที่ลึกลับที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบยารักษาโรคขนานเลิศที่สุดคือสุญญตา เดี๋ยวนี้เขาพบยาที่เลิศที่สุดในโลกชื่ออะไรอาตมาก็ไม่ทราบ ยาเนื้อหนัง แต่ว่าไอ้ยาของโรคนี่เดี๋ยวก็เปลี่ยนอีกแล้ว ครั้งหนึ่งยาเพนนิซิลินเคยขึ้นสุดยอดเลย เดี๋ยวนี้ไปอยู่ใต้ถุนแล้วมัง มันก็จะพบอะไรใหม่เรื่อย แต่ว่ายาของพระพุทธเจ้านี่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรอก ไอ้สุญญตานั้นน่ะมันเป็นของธรรมชาติก่อนพระพุทธเจ้า มันแก้โรคความยึดมั่นถือมั่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงได้มาแต่เดิมอย่างไร เดี๋ยวนี้มันก็แก้ได้อย่างนั้น มันมีอยู่แต่ว่าคนจะกินหรือไม่กินเท่านั้น นี้ยกตัวอย่างว่าไอ้ยาของพระพุทธเจ้านี่ขนานเอก ขนานเลิศก็คืออนัต คือสุญญตา บางทีก็เรียกว่าอนัตตา อนัตตาก็แปลว่าไม่ใช่ตน ให้มีความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวกูไม่ใช่ของกู นี่เรียกว่าอนัตตา หรือถ้าว่างจากตัวกูของกูก็เรียกว่าสุญญตา ที่ว่าจะต้องการรายละเอียดบ้างก็เรียกเสียใหม่ว่าอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตานี่ คำนี้วิเศษที่สุดแต่ไม่ค่อยมีใครพูดใครรู้จัก อาตมากำลังพยายามให้พวกเราในเมืองไทยรู้จักคำนี้ นั้นจะโฆษณาคำนี้ไปเรื่อยไป อิทัปปัจจยตาแปลว่าความที่เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นี่คือกฏวิทยาศาสตร์เหนือกว่ากฏวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ฟิสิกส์ เคมี อะไรก็ตามจะไม่พ้นไปจากกฏนี้ กระทั่งไอ้ Relativity กฏนามธรรมนั้นก็ไม่พ้นไปจากไอ้อิทัปปัจจยตา เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เมื่อไม่มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ก็จะดับลง ทีนี้มันมีมากนี่ ไอ้เหตุปัจจัยมันมีมาก นั้นก็เกิดสิ่งแปลกๆได้ หรือว่าจะดับสิ่งแปลกๆได้ นี้เรียกว่าอิทัปปัจจยตา เป็นคำพูดที่ฉลาดที่สุดในโลกอาตมาว่า ทุกยุคทุกสมัยคำพูดนี้จะฉลาดที่สุด สมกับเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้บางทีท่านคงจะอยากพูดสั้นๆมัง หรือว่ามันจะแสดงความหมายแปลกออกไปบ้าง ท่านเรียกมันว่าตถาตา นี้ยิ่งเข้าใจยากใหญ่ ตถาตาแปลว่าเป็นอย่างนั้นเอง ตถาตาเป็นอย่างนั้นเอง เข้าใจผิดให้โทษคือไม่ทำอะไร คิดว่าแก้ไขไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้นเอง ฉันไม่แก้ไขอะไร ปล่อยไปตามเรื่อง อย่างนี้มันผิด คำว่าอย่างนั้นเอง มันคือเป็นไปตามกฏแห่งเหตุแห่งปัจจัย มันเป็นอย่างนั้นเอง โลกนี้เป็นอย่างนี้เอง มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันอย่างนี้เอง เมื่อถึงเวลาที่มันจะดับลง มันก็เป็นอย่างนี้เอง คือตามเหตุตามปัจจัยอย่างนี้เอง ถ้าเข้าใจถูกก็จะไม่ตกไปทางฝ่ายรัก หรือไม่ตกไปทางฝ่ายเกลียด มันเฉยอยู่ได้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มันเป็นอย่างี้เองเราจะไปดีใจอะไรได้เงินสักล้านร้อยล้านแสนล้าน มันก็ไม่ดีใจ เมื่อฉิบหายมันก็ไม่เสียใจ เพราะว่าเห็นสิ่งที่เรียกว่าตถาตา ไม่ดีใจและไม่เสียใจในเรื่องอะไรหมด แต่มีความฉลาดอย่างยิ่งว่าควรทำอย่างไร เมื่อสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราควรทำอะไร ควรทำอย่างไรไม่มีเสียใจ ไม่มีดีใจไม่มีได้ไม่มีเสีย แต่ยังรู้อยู่ว่าควรทำอย่างไรก็ทำไปสิ ฉะนั้นจึงแก้ปัญหาได้ทุกอย่างโดยความหมายคำว่าอิทัปปัจจยตาหรือตถาตา นี่คือยา ยาชื่อหนึ่ง หนึ่งๆ ของพระพุทธเจ้าที่จะแก้โรคทั้งปวงได้ โอ้ย, ยังมีชื่อแทนกันได้เยอะแยะ แล้วแต่ว่าควรจะให้คนไข้คนใดได้ยินชื่อ ชื่อไหน บางทีก็ใช้คำว่า ธาตุ มัตตกา (นาทีที่ 01:28:45) ธาตุมัตตกาก็อย่า ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลตัวตนเรา เขาเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ ไอ้ธาตุตามธรรมชาตินี่ยิ่งไปลึกล่ะ มันมีธาตุชนิดที่ครอบงำหมดไม่ใช่ธาตุอย่างเคมีอย่างนี้ ถ้าพูดว่าธาตุของพระพุทธเจ้าท่านว่า รูปธาตุ อรูปธาตุ นิโรธธาตุ ธาตุสำหรับสิ่งที่มีรูป ธาตุสำหรับสิ่งที่ไม่มีรูป และก็ธาตุที่จะดับเสียซึ่งสิ่งที่มีรูปและไม่มีรูปนี่ ต้องเสียเวลาอีก ๒-๓ ชั่วโมงถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แม้ว่าท่านจะพูดว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณนี้ก็ยังต้องอธิบายกันหลายชั่วโมง คนเข้าใจผิดว่าธาตุดินหมายถึงดินอย่างนี้ นี่มันผิดตายเลย ธาตุน้ำหมายถึงน้ำนี่มันผิดตายเลย พระพุทธไม่ได้ โอ้ย, อย่าพูดเดี๋ยวจะเป็นคำด่าพระพุทธเจ้า เมื่อท่านพูดว่าธาตุดินท่านหมายถึงคุณสมบัติที่มันกินเนื้อที่ เพราะในน้ำก็มีดิน เพราะในน้ำก็มีอณูที่มันกินเนื้อที่ คุณสมบัติที่กินเนื้อที่ท่านเรียกว่าธาตุดิน คุณสมบัติที่มี Cohesion เปลี่ยนรูปได้เกาะกุมกันอยู่นี้ เรียกว่าธาตุน้ำ หรือคุณสมบัติที่มันร้อนหรือเผา เรียกว่าธาตุไฟ แล้วคุณสมบัติที่มันขยายตัวได้ลักษณะของแก๊สนั้น ท่านเรียกว่าธาตุลมมันจึงลอยได้ อย่าไปชี้ธาตุลมที่ลม ชี้ธาตุน้ำที่น้ำ มันจะโง่เอง แล้วไปหาว่าพระพุทธเจ้าโง่ คนมันโง่เองแล้วบางทีครูบาอาจารย์ก็ยังสอนกันผิดๆอยู่อย่างนั้นด้วย เดี๋ยวนี้แหละ ชี้ธาตุน้ำที่น้ำ ชี้ธาตุไฟที่ไฟ นี่มันไม่ถูก ถ้าเราหยิบดินขึ้นมากำหนึ่งนี่ ในนั้นน่ะ มันมีข้อแรกก็คืออุณหภูมิ ในดินนี้มีอุณหภูมินี้เป็นธาตุไฟ แล้วในดินนั้นในอณูของดิน มันก็มีการระเหยตัวเป็นธาตุลมเป็นแก๊ส และการกินเนื้อที่ของทุกๆเซลล์หรือทุกๆอณูนี้เป็นธาตุดิน เพราะมันกินเนื้อที่ แล้วลักษณะของธาตุน้ำที่มันละเอียดดูไม่เห็น มันก็มีอยู่ในดินนั้น อย่างง่ายๆปั้นดินมันก็มีน้ำออกมาแต่ไม่ได้หมายถึงน้ำนั่น หมายถึงคุณสมบัติที่มีการก่อตัวเปลี่ยนรูปตามสิ่งที่เข้ามาห่อหุ้ม นี่ธาตุน้ำ ฉะนั้นในดินมันก็มีทั้งธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ในน้ำ มันก็มีทั้งธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลม ตักน้ำมันขันหนึ่งอณูส่วนที่กินพื้นที่นี่เรียกว่าธาตุดิน อุณหภูมิของน้ำเรียกธาตุไฟ ความระเหยของน้ำคุณสมบัตินั้นเรียกว่าธาตุลม Cohesion ของน้ำก็เรียกว่าธาตุน้ำ นี่เรียกว่าธาตุอย่างนี้ ทีนี้ถ้าว่างหรือว่าอากาศธาตุคือว่างไม่มีอะไร วิญญาณธาตุก็เป็นนามธรรมเข้าใจยาก ก็จัดเป็นธาตุด้วยเหมือนกัน ๖ ธาตุนี้รวมกันเข้าเป็นคนๆ หนึ่งอยู่ในเวลานี้ ให้เห็นแต่เพียงว่าสักว่าธาตุ ๖ ธาตุเป็นไปตามธรรมชาติไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล คำพูดนี้เรียกว่า ธาตุมัตตกา แปลว่าสักแต่ว่าธาตุ ใครมองเห็นอันนี้ก็เหมือนกับได้กินยาเข้าไป แล้วจะไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง จะเรียกอย่างอื่นก็มีอีกแยะแหละไม่มีเวลาพูดหรอกแต่รวมความแล้วจะแสดงความไม่มีตัวตน สูงสุดประเสริฐที่สุด ยานี้มันไม่ มีความหมายแห่งตัวตน ถ้าเข้าไปดูภาพเขียนในตึกนั้น ก็ให้สังเกตดูหน่อยว่าไอ้ภาพที่เขียนรอบๆนี่ ฆ่ายักษ์คือฆ่ากิเลส ต้องฆ่าด้วยอาวุธคือหนวดเต่า เขากระต่าย นอกบ อธิบายให้ฟังแล้วหรือยังก็ไม่ทราบ ต้องเอาหนวดเต่ามา เอ้อ, ต้องเอาเขากระต่ายมาทำคันศร หนวดเต่ามาทำสายศร เอานอกบมาทำลูกศรแล้วก็ยิงไปที่เมืองยักษ์ แก้ว ๙ ดวงจะล่วงลงมาจากยอดปราสาท ประตูเมืองยักษ์จะเปิดเอง ยักษ์จะหนีไปหมด เข้าไปยึดครองได้เลย นี่พูดอย่างกันท่ายักษ์ก็คือใช้สุญญตา เรารู้เรื่องสุญญตาอย่างที่ว่านี่มันจะทำให้ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดโลภ ไม่เกิดโกรธ ไม่เกิดหลง ก็ยักษ์ก็ไม่มี ความทุกข์ก็ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่ายา ไม่ได้เรียกว่าอาวุธ สุญญตา อนัตตาเป็นยา ใช้อยู่แล้ว โรคตัวกูของกูไม่มีทางจะเกิด เพราะฉะนั้นความคิดว่าตัวกูของกูไม่มีทางจะเกิด นั้นความโลภความโกรธความหลงก็ไม่มีทางจะเกิด มันก็ไม่มีอะไรเสียบแทง ไม่มีอะไรเสียบแทงก็คือภาวะที่ปราศจากโรค นี่พระพุทธเจ้าท่านเป็นนายแพทย์ในลักษณะอย่างนี้
ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านรักษาโรคทุกโรคของทุกโลก ส่วนเรานี่รักษาเฉพาะโรคฟันบ้าง เฉพาะโรคกระดูกบ้าง เฉพาะอะไรบ้าง มันคนละอย่างเทียบกันไม่ไหว นี้เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู คงจะเคยได้ยินกันทุกคนแหละสัพพัญญู สัพพัญญู นี่คุณดูเถอะสัพพัญญูหรือไม่สัพพัญญู รู้จักโรคและการแก้ไขโรคทุกชนิดทุกปัญหาเลย แล้วก็สัพพะทัตสาวีเห็นทุกอย่าง รู้ทุกอย่าง เห็นทุกอย่าง ชิโนเป็นผู้ชนะ คือชนะโรค ชนะโรค ชนะสิ่งที่เสียบแทง มหาการุณิโก นี่ท่านทนอยู่ไม่ได้ท่านพ้นจากโลกแล้วท่านก็ช่วยคนอื่นให้พ้นจากโลกด้วย เรียกว่ามีกรุณาอันใหญ่หลวง แล้วสรุปด้วยคำว่า สัพพโลกติกิจฉโก อาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นแพทย์ผู้รักษาเยียวยารักษาโรคแห่งสัตว์โลกทั้งปวง พระเถระองค์นี้ชื่ออธิมุตตกะ (นาทีที่1:35:26 ) กล่าวคำนี้อยู่ในพระไตรปิฏกอย่างที่บอกชื่อมาแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนรู้จักพระพุทธเจ้าในลักษณะที่เป็นสัพพโลกติกิจฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง นั้นถ้าทำอะไรๆก็จะขอร้องว่าให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นี่ขอร้องทุกๆคน ลูกเด็ก เล็กเด็กแดงว่าจะทำอะไรก็ให้นึกถึงนายแพทย์แห่งโลกทั้งปวงก่อนจะได้ไม่มีทุกข์ไม่มีร้อน จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ทั้งทางร่างกาย ทั้งทางจิตใจ ทั้งทางสติปัญญาหรือทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นไม่ว่าเรื่องอะไร ทุกๆเรื่องล่ะ จะสอบไล่ก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน สอบไล่ตกก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน สอบไล่ได้ก็ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน มีอะไรเกิดขึ้นก็ไปนั่งร้อง อย่าเที่ยวไปนั่งร้องไห้ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน อย่าเพิ่งไปโดดน้ำตาย นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ไอ้ยาแก้โรคของพระพุทธเจ้าจะวิ่งมาหา ถ้ายังจำได้บ้างที่อาตมาพูดให้ฟังนี่ จะได้มารักษาให้หาย ฉะนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นทางกายทางใจทางวิญญาณให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ปัญหาจะหมดไป แม้แต่ว่าก่อนแต่จะสมัครไปเป็นฮิปปี้ ก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลือแน่ เวลามันหมดแล้ว นั้นขอสรุปความว่าให้ทุกคนช่วยจำทีว่า สัพพโลกติกิจฉโกใครจำได้จำไปบอกเพื่อนที่จำไม่ได้ ไอ้คนที่มันขี้ลืมกลับไปถึงกรุงเทพฯช่วยบอกหน่อยว่า สัพพโลกติกิจฉโก อาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงเพราะว่าเราก็กำลังเป็นนักเรียนแพทย์บ้าง เป็นแพทย์บ้าง เป็นอาจารย์แพทย์บ้าง มันเกี่ยวกับแพทย์อย่างนี้ สุดยอดของเราอยู่ที่พระพุทธเจ้า นั่นแหละเวลาก็หมดแล้วก็ยุติกัน สวัสดีทุกคน
[T1]ไม่รู้ตัวสะกด
[T2]ไม่แน่ใจว่าควรสะกดว่า “กามารมณ์” หรือ “กามอารมณ์”
[T3]ฟังไม่ชัด
[T4]ไม่แน่ใจ
[T5]ไม่รู้ตัวสะกด
[T6]ไม่แน่ใจตัวสะกด