แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอกาสนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่จะปราศรัยแก่นิสิตนักศึกษาทั้งหลายตามเคย สำหรับผู้ที่มาที่นี่ มีความประสงค์อยากจะฟังเรื่องอะไรบ้างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสวนโมกข์ เมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวนโมกข์ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมะพร้อมกันไป นี้ช่วงเวลาที่เล็กน้อยนี้ ก็จำเป็นจะต้องเลือกพูดเท่าที่เห็นว่าจะจำเป็นหรือมีประโยชน์ที่สุดสำหรับเวลาเล็กน้อย เดี๋ยวนี้ทั้งโลกมีปัญหา คือความไม่สงบสุข ความเบียดเบียดมีมากขึ้น ความเอาเปรียบกันอย่างไม่มีขอบเขตนี่มีมากขึ้น ก็ลงความว่ามีความเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น แม้ที่สุดแต่เรื่องที่เรียกว่าระหว่างชาติหรือมีเกียรติที่สุด เช่นเรื่องกีฬาโอลิมปิคที่กำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าสมเพช เมื่อมีคนตายตั้ง ๑๘ คน คนอิสราเอล ถูกอาหรับยิงตาย ๖ คน อาหรับถูกเขา เจ้าหน้าที่ฆ่าตาย ๕ คน เจ้าหน้าที่ตาย ๑ คน อีก ๒ คนตายก่อนหน้านั้น นั่นล่ะคือผลของกีฬาสมัยนี้ ดูสิ สมัยที่มนุษย์เป็นอะไรไปแล้ว และอิสราเอลโกรธและแก้แค้น เอาเรือบินไปกราดจรวดยิงพวกอาหรับอีก ๒ ประเทศ ตายอีกกี่สิบกี่ร้อยก็ไม่รู้ ดูผลของการกีฬาโอลิมปิค ลงทุนมากมายเป็น ว่าหมื่นล้านบาท ค่าก่อสร้าง และค่าอื่นๆ อีกเยอะแยะ แล้วได้ประโยชน์อะไร ก็หมายความว่าได้เกียรติหลอกๆ กันเท่านั้นเอง คนก็ไม่ดีขึ้น เดี๋ยวนี้ยิ่งมีกีฬา ยิ่งฆ่ากันตาย ยิ่งใช้ระเบิดขวด ยิ่งใช้โอกาสกีฬาเบียดเบียนกันฆ่ากัน นี่เราไม่ทันเห็น คนที่เพิ่งเกิด ไม่ทันเห็นอันความสงบเรียบร้อยของการกีฬาสมัยที่คนยังไม่เป็นบ้ามากเหมือนอย่างนี้ ขอให้นึกดูว่า มันเป็นเพราะเหตุไร เท่าที่สังเกตมา มีหัวข้อสำคัญอยู่ ๒ คำเท่านั้นแหละ คือมันมีเรื่องสำหรับมนุษย์เรานี้อยู่ ๒ เรื่อง ไม่มากกว่านั้น คือเรื่องทางกายหรือทางวัตถุ นี้เรื่องหนึ่ง หรือเรื่องทางจิตหรือทางวิญญาณนั้น นี้อีกเรื่องหนึ่ง มันมี ๒ เรื่องเท่านั้น แล้ว ๒ เรื่องนี้มันจะตรงกันข้ามเสมอ ถ้าใครไปหลงใหลไปเรื่องทางกายมันก็จะเหยียบย่ำเรื่องทางจิต ถ้าใครไปหลงใหลเรื่องทางจิตก็ดูหมิ่นเรื่องทางกาย เพราะว่ามัน มัน มันเป็นเรื่องคนละอย่าง แต่ว่าก็จะตรงกันข้ามไปเลย คือเรื่องทางกายก็เข้าใจกันแล้ว เพราะว่ามีตา หู จมูก แล้วก็ ลิ้น กาย สำหรับรู้สึก หาความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อ ทางหนัง อย่างนี้ก็เรียกว่าเรื่องทางกาย สำหรับจิตนั้นมี ๒ความหมาย จิตที่อยู่ใต้อำนาจของร่างกายอนุโลมไปตามร่างกายนี้ ก็จิตอย่างนี้ มันอยู่ในพวกกาย คือจิตที่เป็นบ่าวเป็นขี้ข้าของไอ้ร่างกาย นี้จิตอีกประเภทหนึ่ง คือจิตที่จะชนะร่างกายได้ มันแยกตัวไปจากร่างกายได้ นี่เราเอาไปไว้ในฝ่ายวิญญาณ เขาใช้คำว่าวิญญาณ แต่ว่ามันก็ไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจกันหรอก สำหรับภาษาสากล ภาษาอังกฤษนี้ เขาเรียก Spiritual เรียกฝ่าย Spiritual นั่นล่ะคือฝ่ายสติปัญญา วิชาความรู้ ฝ่ายจิตชนิดที่มันอยู่เหนือกาย นี้ไอ้ประสาทหรือจิตที่มันอยู่กับกาย มันเนื่องอยู่กับกาย มันเป็นเรื่องกาย มันเป็นเรื่อง Physical ถ้าพูดเรื่องวิญญาณ ก็ให้นึกถึง Spiritual ไม่ใช่วิญญาณภูตผีปีศาจอะไรทำนองนั้น ก็จะได้แบ่งสิ่งที่เกี่ยวกับคนเราอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องกายกับเรื่องจิต แต่ว่าจิตคือเรื่องวิญญาณที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ ไอ้จิตชนิดหนึ่งอยู่กับกายก็เป็นเรื่องกายไป ถ้าเราเห็นแก่ร่างกายเห็นแก่ความสุขสนุกสนานทางร่างกาย เราก็ไม่เห็นแก่ศีลธรรม คนหนุ่มคนสาวที่มันเหยียบย่ำศีลธรรม เพราะมันไปเป็นทาสกิเลสในทางร่างกาย มันก็เหยียบย่ำศีลธรรม ไม่เคารพศีลธรรม ไม่เคารพแม้แต่ระเบียบวินัยของโรงเรียน ของมหาวิทยาลัย นี่มันไปเป็นทาสของร่างกาย เห็นแก่ความสุขสนุกสนาน ในทางเนื้อหนังร่างกาย โง่ถึงขนาดที่สูบบุหรี่ที่ไม่มีประโยชน์และเปลืองเงินของพ่อแม่เปล่าๆนี่มันโง่ถึงขนาดนี้ เพราะมันเป็นทาสของฝ่ายร่างกาย แล้วก็ไม่สนใจที่จะศึกษาพระธรรมหรือศาสนา ขอให้สังเกตดูถ้าเราเป็นทาสของร่างกายแล้วจะไม่สนใจศึกษาธรรมมะ หรือศาสนาซึ่งเป็นเรื่องฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ นี้ถ้าคนหนึ่งพอใจ หรือมันชอบในเรื่องทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ก็ไม่ค่อยเอาใจใส่กับเรื่องทางวัตถุหรือทางร่างกาย แต่อย่างนี้ก็ยังปลอดภัยกว่า ความที่หลงใหลในเรื่องทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณนั้นยังปลอดภัยกว่าไอ้หลงใหลทางเรื่องฝ่ายร่างกาย หลงใหลในทางฝ่ายร่างกายจะเหยียบย่ำศีลธรรม ถ้าหลงใหลในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณจะเคารพบูชาศีลธรรมถึงขนาดเคร่งเครียดเกินไปก็ได้ อาจจะเกินไปก็ได้ เช่นเดียวกับทางร่างกายนี่ถ้ามันเกินไปก็ไม่มีศีลธรรมเลย นั้นจะต้องรู้จักทำ (นาทีที่ 09:48)ให้พอดี
เดี๋ยวนี้คนในโลกเรากำลังละเลยเรื่องทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนา พวกฝรั่งหนุ่มๆ ที่มาที่นี่ก็พอใจที่ยืนยันว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนา เช่นมาถึงเขาก็ขอความรู้เรื่องพุทธศาสนา ช่วยอธิบายเรื่องพุทธศาสนา เราก็ถามว่าถือศาสนาอะไรมาก่อน อยู่ก่อนแล้ว เขาบอกว่าเขาไม่ถือศาสนาอะไร นี้ถามพ่อแม่ถือศาสนาอะไร เขาบอกว่าเป็น คริสเตียนบ้าง เป็นยิวบ้าง แต่ตัวเขาที่เป็นลูกนี้ไม่มีศาสนาคือไม่ถือศาสนา แล้วเป็นอย่างนี้ตั้ง ๘ คนใน ๑๐ คน คนที่จะบอกว่ามีศาสนานั้นมี ๒ คนใน ๑๐ คน ก็ยังพูดกันไปทำนองที่ว่ามันไม่จำเป็น ศาสนานี้เป็นไม่จำเป็น ไอ้สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าไม่มีความหมาย ตายแล้ว ไม่มีอยู่ในความคิดนึกมนุษย์แล้ว พระเจ้าตายแล้ว นั้นฝรั่งประเภทนี้ก็เห็นแต่เรื่องวัตถุหรือเรื่องกายอย่างเดียว มันจึงเกิดความเฟ้อในทางร่างกาย เช่นการกระทำอย่างฮิปปี้ หรือว่าอย่างอื่นๆ ที่มันคล้ายกัน คำนึงแต่เรื่องให้ร่างกายได้รับความเอร็ดอร่อยสนุกสนานอย่างเดียว นี่พวกหนุ่มสาวไทยเราก็ไปกำลังจะไปตามก้นเขา มันทำอะไรไม่ได้ดีกว่ามันก็มีแต่ไปตามก้นเขา เขาโง่เราก็โง่ด้วย เขาไม่มีศาสนา เราก็ไม่มีศาสนาด้วย นั้นจึงไม่ค่อยมีวัดวาอาราม คือไม่ค่อยมีสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ และเข้าไปด้วยความระมัดระวัง สังวร ไอ้โรคไม่มีนี่ศาสนากำลังลุกลาม ตั้งต้นจากเมืองฝรั่งแล้วจะเข้าเมืองไทย ก็กำลังจะตามก้นฝรั่งในเรื่องที่จะไม่มีศาสนากัน นั่นล่ะเป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าทำไมเดี๋ยวนี้จึงตีกันในมหาวิทยาลัย ขว้างระเบิดขวดกันในสนามกีฬาที่เล่นกันระหว่างมหาวิทยาลัยที่เมื่อก่อนนี้มันไม่มี นี้มันเห็นได้ชัดว่าเพราะเห็นแก่ตัวจัด ทำไมจึงเห็นแก่ตัวจัด ก็เพราะว่าเห็นแต่เรื่องทางร่างกาย เรื่องทางวัตถุทางร่างกายเป็นหลัก การเล่นกีฬานี้ก็เล่นเพื่อให้มันชนะ ไม่ใช่เล่นเพื่อรักษาระเบียบ เพื่อแสดงความเป็นนักกีฬา เรายอมแพ้ดีกว่ายอมทำผิดระเบียบ เรายอมแพ้ดีกว่าแสดงความเป็นป่าเถื่อนออกไปในสนามกีฬา เดี๋ยวนี้มันไม่คิดอย่างนั้น มันอยากชนะตะบัน จะชนะอย่างบ้า อย่างคลั่ง อย่างโง่เขลา มันก็เลยทำผิดระเบียบ ผิดอะไรหมด จนกระทั่งมันฆ่ากันก็ได้ ในสนามกีฬา นี่เรียกว่า สิ่งที่เรียกว่ากีฬานี้กำลังหมดที่พึ่ง ไม่เป็นที่พึ่งแก่มนุษย์แล้ว เป็นการสร้างให้มนุษย์เป็นอันธพาลในสนามกีฬา นี้การศึกษาที่เราเรียนๆกันอยู่นี้ก็เหมือนกัน ตามก้นฝรั่งเหมือนกันให้เรียนแต่เรื่องวัตถุ รู้จักแต่เรื่องวัตถุอย่างเดียว เรื่องทางจิตใจไม่ต้องเรียนกัน ทำงานนี้ก็เพื่อเงินเดือนอย่างเดียว ได้เงินมาก็สนุกสนาน จนไม่พอใช้เสมอไป นี้เพราะว่าเขาเป็นคนโง่ด้านเดียว รู้จักแต่ความสุขชนิดที่ต้องใช้เงินอย่างเดียว ความสุขในทางร่างกาย เราเรียกว่าเป็นความสุขทางเนื้อหนัง ต้องใช้เงินอย่างเดียว ต้องลงทุนด้วยสิ่งที่มีค่าเป็นเงินหรือมี เท่า เท่ากับเงินนั่นแหละ แล้วมันก็เป็นเรื่องของกิเลส มันขยายตัวไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นมีเงินเท่าไรก็ไม่พอ นี่อีกทางหนึ่งก็เป็นเรื่องความสุขทางจิตใจ นี้จะไม่ใช้เงิน จะไม่ต้องใช้เงิน เพราะมันทำที่จิตใจ ให้พอใจและให้เป็นสุข เงินไม่รู้จะใช้อะไร ซึ่งสมัยก่อนเขารู้จักกันมาก มีความสุขเพราะว่าเราพอใจตัวเองที่ได้ทำความดี คนสมัยนี้ทำไม่เป็น ไม่รู้จักความดี ไม่รู้จักพอใจในความดีจนเป็นสุข ต้องสุขเอร็ดอร่อย ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่มันก็ต้องใช้เงิน ก็เป็นคนที่เงินไม่พอใช้อยู่เรื่อย อย่างนี้ตามทางธรรมะเขาเรียกว่า มันหิว อย่างกับเปรต คำว่าเปรต มีความหมายว่า หิวเรื่อย ไม่รู้จักอิ่ม นั่นล่ะเป็นลักษณะของวัตถุนิยม คือรู้จักแต่ทางวัตถุทางร่างกาย แต่ฝ่ายตรงกันข้ามมันเป็นเรื่องจิต เรื่องวิญญาณมันรู้จักทำความดี แล้วมันอิ่มอยู่ด้วยความดี รู้จักพอใจอยู่ในความดี มีความสุข อยู่ได้ด้วยการยกมือไหว้ตัวเอง นี้เข้าใจยากมาก คนที่ลุ่มหลงเรื่องเนื้อหนังเรื่องวัตถุเข้าใจไม่ได้ ว่าคนเราจะมีความสุขอยู่ได้เพราะการยกมือไหว้ตัวเอง แต่ว่าคนโบราณเขาเข้าใจ เรียกว่าบุญกุศลบ้าง มีแล้วพอใจมีแล้วเป็นสุขไม่ต้องการอะไร ฉะนั้นคนสมัยนั้นมีความสุขอยู่ได้ด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่น หรือบำรุงวัด สร้างวัด บำรุงศาสนา สร้างวัดสร้างวาเป็นการใหญ่ ส่วนเดี๋ยวนี้เขาก็เอาไปสร้างโรงหนัง โรงละคร สร้างบาร์ สร้างไนต์คลับ มันก็ตรงกันข้ามอย่างนี้ นี้ก็ดูเอาเองว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร
ทีนี้ก็วกมาดูเราทั้งหลายที่กำลังจะเป็นครูโดยมาก ที่จะพาคนไปไหน การเป็นครู หมายความว่าจะพาคน พาเด็กๆ ไปไหน จะพาไปให้ลุ่มหลงในเรื่องทางวัตถุทางเนื้อทางหนังตามก้นฝรั่งอย่างนี้ก็ได้ ก็ไม่มีใครว่า แต่ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเท่านั้น แต่แล้วก็ให้รู้เสียว่ามันก็จะเจริญในทางวัตถุ แล้วก็มีจิตใจทราม จะมีอาชญากรรมชนิดที่เกิดแก่คนหนุ่มคนสาว ที่เห็นๆอยู่ ที่อ่านได้หนังสือพิมพ์นี้มากขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย เพราะวิญญาณมันต่ำ จิตมันทราม การรู้หนังสือกระทั่งผ่านมหาวิทยาลัยเมืองนอกเมืองนามาจนไม่รู้จะเรียนอะไรแล้วนั้นไม่ได้หมายความว่าจิตสูง ยังคงมีจิตทรามที่สุดก็ได้ ก็มันรู้แต่เรื่องอาชีพ รู้แต่เรื่องเทคโนโลยี รู้แต่เรื่องอะไรที่มันเป็น ไม่ได้เกี่ยวกับจิตใจ หรือธรรมะหรือศาสนา ยิ่งมีปริญญาสูงยิ่งจองหอง ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งเห็นแก่เงิน ใช้เงินไปซื้อผู้อื่น มาบำรุงบำเรอความสุขของตัวนี่มันผิดตรงนี้ มันจึงมีจิตทราม นั้นอย่าไปคิดว่าไปเรียนเมืองนอกปริญญายาวเป็นหางแล้วก็เป็นคนดีแล้ว เป็นคนมีจิตทรามที่สุดก็มี ถ้าดูหลักฐานพยานต่างๆ ที่มันเคยเกิดขึ้นแล้ว มันปรากฏอยู่แล้ว ในบ้านเราตลอดเวลาที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ต้องเรียนอะไรอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมันคู่กัน หรือว่าจะเรียกว่าตรงกันข้ามก็ได้ คือเรื่องทางจิตใจ ทางศาสนา ซึ่งเมื่อก่อนมีเรียนมากในโรงเรียน เดี๋ยวนี้คัดออกไปมาก คัดออกไปหมดแล้ว เหลือไว้สำหรับให้เด็กจดใส่สมุดบ้างเล็กๆน้อยๆไม่มีการสนใจเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องไอ้จริยธรรม เรื่องจรรยาอะไรมาก เหมือนแต่ก่อน นี้เพราะว่าไปตามก้นฝรั่ง ฝรั่งเขาเลิกเรื่องนี้ก่อน คือเอา เอาศาสนาออกไปเสียจากหลักสูตรของการเล่าเรียน เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล ไม่ต้องอยู่ในโรงเรียน อย่ามาอยู่ในโรงเรียนเรื่องศาสนา มันเป็นเรื่องส่วนตัวของตัวบุคคล แต่ละคน แต่ละศาสนา ทีนี้นักเรียนก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้เรื่องศาสนาของตัว เรียนแต่วิชาท่าเดียว ยิ่งเรียนได้มาก ก็ยิ่งกระหยิ่มมาก แล้วก็เผลอเข้าก็เห็นแก่ตัวมาก แล้วก็ใช้กิเลสมาก ก็มีแต่เรื่องที่จะทำให้เดือดร้อน ที่จะเป็นทางมาแห่งอาชญากรรม แม้ในโรงเรียน ที่ครูเป็นอย่างไรบ้างเดี๋ยวนี้ นักเรียนเป็นอย่างไรบ้าง นี่น่าเสียดายที่ว่าพวกคุณมีอายุน้อย ไม่เคยเห็นอะไรเป็นระยะยาวตั้งห้าหกสิบปี ถ้าคนแก่ๆ นี้มันเคยเห็น ความแตกต่างระหว่าง ๕๐ - ๖๐ปีมันต่างกันอย่างไร นั้นจึงเข้าใจได้ แล้วพอจะเข้าใจได้ว่าไอ้ความเสื่อมทางจิตใจมันมีมากน้อยเท่าไร และอาชญากรรมที่ไม่พึงปรารถนามันเกิดขึ้นได้เท่าไรนี้เป็นต้น นี้ก็พูดไปตามเรื่อง ตามเนื้อผ้า ตามเนื้อหาของเรื่องที่จำเป็นแก่มนุษย์ เพราะมนุษย์อยู่ไม่ได้ด้วยความเจริญทางร่างกายอย่างเดียว ถ้าจิตใจไม่สูงก็ไม่เป็นมนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์นี่เรียกว่าเป็นคนก็ได้ ถ้าเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนที่มีจิตใจสูง มีร่างกายเหมาะสม มีความเป็นอยู่ทางร่างกายเหมาะสมไม่เฟ้อ ไม่เกิน แล้วก็มีจิตใจสูง มีคุณธรรมสูง พอที่ตัวเองจะมีความสงบสุขและก็ช่วยให้ผู้อื่นมีความสงบสุข เดี๋ยวนี้เรามาแข่งกันแต่ทางเรื่องทางเนื้อหนังทางร่างกาย เห็นแต่ที่ว่าจะ แต่งตัวอวดกัน กินอยู่อวดกัน และแสดงฝีไม้ลายมือทางเนื้อทางหนังอวดกัน ไม่ประกวดอวดกันในเรื่องของจริยธรรมหรือภูมิธรรมแห่งจิตใจเหมือนแต่ก่อน นี้ขอให้รู้จักว่าโลกกำลังเป็นอย่างนี้ เราก็อยู่ในโลกก็รู้ไว้ด้วย ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปจะได้เข้าใจได้ง่ายๆ ทำไมมันจึงฆ่ากันได้กันง่ายๆ ทำไมมันจึงประพฤติอนาจารไม่น่าดู ไม่น่านับถือมากขึ้น ก็เพราะข้อนี้เอง เรียกว่ารู้แต่เรื่องร่างกายไม่รู้เรื่องฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ อย่างนี้เราเรียกกันว่า เขาไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เขารู้แต่เพียงว่าเกิดมาเพื่อกิน เพื่อนอน เพื่อเล่น เพื่อหัว เพื่อสนุกสนาน มีเงินใช้มากๆ มีบ้านเรือน มีรถยนต์ มีเครื่องบำรุงบำเรอต่างๆ แล้วก็เท่านั้นเอง อันนี้เป็นมูลเหตุที่ให้โลกนี้กำลังระส่ำระสายที่สุด พวกหนึ่งเอาไว้ได้มาก ก็กอบโกยมาก พวกหนึ่งเอาไม่ได้ก็ยื้อแย่ง ก็ต่อสู้ มันก็มีการเบียดเบียนกันระหว่าง ๒ พวกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เดี๋ยวนี้ยังไม่เข้าใจ ก็ขอให้สังเกตต่อไปข้างหน้า โตขึ้นแล้วจะเข้าใจ ว่าโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ แล้วจะไม่มีความสงบสุข แม้ว่าเราจะไม่มีส่วนกับเขาโดยตรง ก็พลอยได้รับบาปรับผลกรรมด้วย เพราะมันอยู่ร่วมโลกกัน มันเนื่องถึงกัน ความยุ่งยากลำบาก ความขาดแคลน มันจะเนื่องถึงกัน
เดี๋ยวนี้เราเป็นครู ก็ควรจะรู้อะไรมากสักหน่อย มากกว่าพวกอื่น ถึงว่าไม่ใช่แต่สอนเด็กให้รู้หนังสือ สอนเด็กให้เอาตัวรอดได้ เพื่อให้มีจิตใจชนิดที่ต่อสู้กับความทุกข์หรือปัญหาต่างๆ ได้ โดยเฉพาะก็คือเรื่องที่สอง คือเรื่องจิตใจ มันจะช่วยให้มนุษย์มีความสุขได้ นี้ถ้าครูเองก็ไม่รู้ แล้วจะไปสอนเด็กได้อย่างไร ไอ้คำเดิมของเขาแต่โบราณนี้ คำว่าครูนี้แปลว่าผู้นำในทางวิญญาณ พอมาพูดเดี๋ยวนี้เด็กๆ ก็หัวเราะกันกิ๊กก๊ากไปหมดว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ คล้ายกับเรื่องผีสางอะไรทำนองนั้น คำว่าครูนี้ มี มีเกียรติสูงสุด สำหรับสมัยโบราณ เขาเรียกผู้นำในทางวิญญาณ Guide แปลว่าผู้นำ Spiritual ก็แปลว่าทางวิญญาณ Spiritual Guide แปลว่าผู้นำในทางวิญญาณ ของเด็กบ้าง ของชาวบ้านบ้าง กระทั่งของพระราชามหากษัตริย์ ก็ล้วนแต่มีครูที่เป็นผู้นำในทางวิญญาณนั้น ส่วนเรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องหัว เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องเงิน เรื่องทอง นั้นไม่ใช่หน้าที่ครู เป็นหน้าที่คนพวกอื่นหรือว่าเขาก็รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว นี้ถ้าเรามีครูที่นำในทางวิญญาณ ไอ้คนในโลกมันก็มีแสงสว่างในทางวิญญาณ ทำอะไรไม่ผิดและไม่มีความทุกข์ เขาก็เรียกว่า Spiritual หรือ Enlightenment Enlightenment คำนี้แปลว่า สว่าง ความสว่าง หรือการตรัสรู้ การตรัสรู้ในฝ่าย Spiritual ความสว่างไสวในฝ่าย Spiritual คือฝ่ายวิญญาณ ที่เราสอนหนังสือให้เด็กๆ รู้นี่เขายังไม่จัดเป็นฝ่ายวิญญาณ เพียงแต่มันจะเป็นโดยอ้อม หรือโดยสงเคราะห์ในภายหลัง ต่อให้เด็กรู้หนังสือ ยังไม่เป็นแสงสว่างในทางวิญญาณ ต่อให้รู้จักผิดชอบชั่วดี กลัวบาป กลัวชั่ว จึงจะเป็นแสงสว่างในทางวิญญาณ หรือสอนกันแต่หนังสือเหมือนเครื่องจักร มันก็เป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องกายไปหมด มีมากเท่าไรยิ่งเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น นี่จำไว้ แยกกันเด็ดขาดเลยว่า ถ้าเรื่องทางวัตถุทางการทางเนื้อทางหนังแล้ว จะเพิ่มความเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณแล้วก็จะไม่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เรียกวิธีหนึ่งว่าเป็นเรื่องทางธรรมะก็ได้ ทางวิญญาณเรียกว่าว่าทางธรรมะก็ได้ เพราะบางทีเขาเรียกทาง Moral เฉยๆ แต่มันไปกำกวมกับคำว่าศีลธรรม คำว่า Moral ในกรณีอย่างนี้หมายถึง Spiritual คือเรื่องทางสติปัญญาทางจิตใจทั้งหมด ที่ไม่เกี่ยวกับวัตถุก็แล้วกัน นี้จะทำได้หรือไม่ได้นี้ไม่ได้พูดนะ แต่บอกให้รู้ว่าไอ้เรื่องในโลกมันมี ๒ เรื่องอย่างนี้ ถ้าทำกันแต่เพียงเรื่องเดียวทางวัตถุแล้ว โลกก็จะเป็นโลกที่ไม่น่าดูมากขึ้น น่าขยะแขยง ไม่น่าอยู่มากขึ้นนะ อย่างที่เดี๋ยวนี้เราก็เริ่มรู้สึกกันแล้ว แต่ถ้ามันมีเรื่องจิตทางวิญญาณมากขึ้น ไอ้โลกนี้จะงดงาม จะน่าไหว้น่านับถือจะน่าอยู่ จะอยู่ด้วยความปลอดภัย เหมือนกับเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีมานี้ยังน่าอยู่กว่าเดี่ยวนี้มาก จะเดินไปตามถนนหนทางก็ไม่ต้องระแวงว่าอันธพาลจะมาทำร้าย อย่างเขาจะไปที่ไร่ที่นานี่ก็งับประตูไว้เท่านั้นน่ะ ไม่ได้ใส่กุญแจ บางทีก็ร้องสั่งเพื่อนบ้านข้างเคียงว่าฝากด้วยนะ หมายความว่าฝากบ้านด้วยนะ แล้วบ้านก็งับประตูไว้เฉยๆเ ขาก็ไปทำไร่ ทั้งวัน กลับมาตอนเย็น มันก็ไม่มีอะไร เดี๋ยวนี้แม้จะใส่กุญแจไว้มันก็งัดกุญแจ เมื่อก่อนเขาก็นอนเล่นกันได้ที่ตามแคร่ ตามร้าน ที่ใต้ต้นไม้ หรือใต้ถุนบ้าน หลับลืมไปจนสว่างก็ได้สบายเลย เดี๋ยวนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้ถูกยิงตาย นั่นน่ะมันมาจากอะไร ถ้าเข้าใจข้อนี้กันบ้างก็จะดีเพราะเป็นอะไร เป็นหน้าที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับครูบาอาจารย์โดยตรง มันเนื่องมาจากคนมันเห็นแก่ตัว มันมีการกระทำไปตามความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นมันจึงเบียดเบียนผู้อื่น ฉะนั้นเรื่องการศึกษา มันเรื่องกำจัดความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว เรื่องการกีฬาก็เรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ทำเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว เราเรียนก็เพื่อตัว เห็นแก่ตัว กอบโกยของตัว แข่งขันกันสร้างอะไรๆ ให้แก่ตัว ให้แก่พวกของตัว ให้แก่หมู่คณะของตัว นี่มันก็เป็นเรื่องเพื่อตัวทั้งนั้น อย่างที่มันทะเลาะกันในมหาวิทยาลัยก็เพื่อหมู่คณะของตัว นี่เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวด้านเดียวไม่เห็นแก่ความจริง ความถูกต้อง หรือธรรมะเสียเลย เมื่อก่อนเขาเห็นพอดีหรือว่าเขาเห็นแก่เรื่องร่างกายส่วนตัวนี้มันน้อย เห็นแก่เรื่องคามดี ความจริง ความงาม ความถูกต้อง ความยุติธรรมนั้นมันมาก หมายความว่าเห็นแก่ความดี ความจริง มากกว่าที่จะเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เห็นแก่ตัวหมด ไม่ค่อยเห็นแก่ความดี ความจริง ความงาม ความถูกต้อง ความยุติธรรม นี่พอเป็นอย่างนั้นกันมากคนเข้า มันก็ได้ฆ่าฟันกันเท่านั้น ผู้ที่อ่อนแอก็จะถูกข่มเหง มันจึงเกิดอันธพาล ข่มเหงสตรีมากขึ้น มันก็ไม่ต้องโทษใคร มันเป็นความผิดพลาดของการศึกษาที่มันเดินมาไม่ถูกทาง มันไม่เป็นไปในทางที่จะป้องกันอะไรได้ ยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว ก่อนนี้แม้ไม่เคยเข้าโรงเรียน ถ้าเคยบวชเคยเรียนบ้างในวัดในวา มันก็อบรมกันแต่เรื่องระเบียบวินัย อย่าให้เห็นแก่ตัว ให้กลัวบาปอย่างยิ่งเลย ฉะนั้นเด็กที่โง่ๆ ที่ไม่ค่อยรู้หนังสือ ออกไปมันก็ยังกลัวบาป แต่เดี๋ยวนี้คนมันไม่กลัวบาป คนไม่รู้หนังสือก็ไม่กลัวบาป คนรู้หนังสือก็ไม่กลัวบาป คนรวยก็ไม่กลัวบาป คนจนก็ไม่กลัวบาป มันก็เกิดเป็นผลเห็นทันตาอย่างนี้
นั้นเราก็รู้ไว้เถิดว่ามันเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่ง ซึ่งอาจจะหามาครบ หาไม่ครบในหนังสือเรียนหรือหลักสูตรแต่มันเกี่ยวข้องกับคน ฉะนั้นเดี๋ยวนี้เอาเรื่องนี้มาพูดให้ฟังก็เพื่อว่าให้มันซ้ำกับที่มันมีในหนังสือ ถ้ามีอยู่ในหนังสือไปอ่านเองได้ เดี๋ยวนี้มันมีอยู่ในข้อเท็จจริงของมนุษย์ในโลก แต่ว่ามันเกี่ยวกับเราทุกคน แล้วพวกครูนี้คล้ายๆกับว่า เป็นหน้าที่โดยตรงที่จะต้องให้คนในโลกมันดี ถ้าพวกครูไม่ทำแล้วใครจะทำ นั้นครูนี้ต้องอย่าเข้าใจว่าเป็นบุคคลคนหนึ่งๆมันเป็นสถาบันอันเดียวทั้งโลก รับผิดชอบที่ว่าจะทำให้มนุษย์มันดีขึ้น นี่เป้าหมายคำว่าครู เดี๋ยวนี้ครูมันก็เผลอไปไปเห็นแก่วัตถุ เป็นทาสทางวัตถุ เห็นแก่ตัวจัด คล้ายๆ กับว่าโลกนี้ไม่มีสถาบันของผู้นำในทางวิญญาณที่ถูกต้อง นี่มันเป็นเรื่องทั้งหมด เป็น เป็นความสำคัญทั้งหมดของทุกๆเรื่อง เพราะว่าไอ้สันติภาพหรือสันติสุขของมนุษย์ มันขึ้นอยู่ที่ข้อนี้ นั้นถ้าอย่างไรเราก็เป็นครูที่มีส่วนจะทำโลกนี้ให้ดีขึ้นบ้าง อย่าไปผสมโรงกับที่ทำคนให้เห็นแก่ตัวจัด
นี่ขออภัยพูดตรงๆ ก็เคยพูดมาหลายหนแล้ว ไม่ใช่จะพูดคราวนี้อีก คือพูดว่าไอ้ครูที่จะทำโลกให้ฉิบหายนั่นน่ะ มีมากเกินไปแล้ว แต่ว่าครูที่จะทำโลกให้สงบสุขมีสันติภาพนี้ยังไม่ค่อยมี ถ้าครูคนไหนสอนแต่ให้เด็กๆ มันทะเยอะยานเอาดิบเอาดี เห็นแต่แก่ตัวข้างเดียว เห็นแก่ปาก แก่ท้อง แก่เนื้อ แก่หนังข้างเดียว ครูก็เป็นผู้นำในเรื่องอบายมุขเสียเองอย่างนี้ นี้ก็เรียกว่าครูที่จะทำโลกให้ฉิบหาย แล้วก็มีมาก ครูแต่งตัวยั่วเด็กจนเป็นอันตรายแก่ตัวครูเองนี่ เป็นตัวอย่าง คือครูที่จะทำโลกให้ฉิบหายนี่ จะมีมากเกินไปเสียแล้ว นี่ครูที่จะทำให้คนรักบาป เอ้ย, รักบุญกลัวบาป สำรวม ระวัง มัธยัสถ์ เคารพบิดามารดา เคารพครูนั่นเองด้วย ยิ่งไม่ค่อยมี เดี๋ยวนี้เราเห็นกันอยู่ มีหลักฐานพยานปรากฏอยู่ ว่านักเรียนไม่เคารพครู บางทีดูถูกครู แล้วมันจะเป็นนักเรียนกับครู หรือจะเป็นศิษย์กับอาจารย์กันได้อย่างไร มันก็ไม่มีความเป็นครูไม่มีความเป็นศิษย์ มันมีแต่คนบ้าๆ ใน ๒ พวก ทำงานแต่ความจำเป็น คนหนึ่งอย่างได้เงินเดือนเอ้า, ก็สอน คนหนึ่งอยากจะมีความรู้สำหรับเงินก็เรียนก็มีเท่านั้น ไม่มีความเป็นศิษย์กับไม่มีความเป็นครูเหมือนแต่กาลก่อน ครูแต่กาลก่อนก็มีเมตตา มีปัญญาเต็มอยู่ในจิตใจ เงินเดือนไม่ได้คำนึงถึง เพราะถือว่าเงินเดือนเป็นเครื่องบูชาไม่ใช่ค่าจ้าง นี้ลูกศิษย์ก็รักครูนับถือครู ซื่อตรงจงรักภักดีต่อครูยิ่งกว่าพ่อแม่ไปเสียอีก กลัวครูมากกกว่าพ่อแม่ ทั้งกลัวด้วยแล้วก็ทั้งรักครูด้วย ภาวะอย่างนี้เขาเรียกว่ามันมีความเป็นศิษย์กับความเป็นครู คือมีอาจารย์กับลูกศิษย์
เดี๋ยวนี้มันหายไปหมด ไม่รู้จะไปโทษใคร ที่มองเห็นอยู่ก็มันก็โทษอารยธรรมแบบใหม่ ที่เขาเรียกกันว่าประชาธิปไตยหรืออะไรก็ไม่รู้ แต่มันมีผลทำให้คนนี่อาจเอื้อมขึ้นมาสม่ำเสมอกัน เมื่อก่อนไม่มีใครกล้าทำกับครูอย่างนี้ หรือว่าเมื่อก่อนนี้ไม่มีใครกล้าเอาไอ้ คนชั้นรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงอะไรมาล้อเล่น หรือว่าเรียกไอ้เรียกอีอะไร หรือเขียนการ์ตูนล้อเล่น เขามีที่เคารพมีที่สูงมีที่ต่ำ ตามกฎเกณฑ์ของคนโบราณ เดี๋ยวนี้ก็มาล้อกันเล่นเรียกไอ้เรียกอี เรียกกัน จนไม่มีใครว่าใคร เป็นที่เคารพแก่ใครแล้ว แล้วมันลามปามมาถึงครูกับศิษย์แล้วด้วยก็เลยพอดีกัน ไปคิดดูว่าจะมองเห็นว่า โลกนี้กำลังไม่มีบิดามารดา ไม่มีครูบาอาจารย์ เพราะเด็กๆไม่เคารพบิดามารดา ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ไม่นับถืออย่างสูงสุด ความหมายนั้นมันก็หายไป เหลือแต่ว่าอาศัยกันไป อาศัยกันไป ต่างคนต่างเห็นแก่ปากแก่ท้อง พวกฝรั่งเขาก็เรียนจบเขาก็ไม่รู้จักพ่อแม่ เขาว่าปีหนึ่งจะไปเยี่ยมพ่อแม่สักครั้ง พ่อแม่ก็พ่อแม่ เราก็เรา หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วก็หาความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีเงินมากก็ไม่เคยมาให้พ่อแม่เอาไว้ใช้ ให้สบายยิ่งๆขึ้นไป อย่างนี้เรียกว่าโลกนี้กำลังไม่มีบิดามารดา ไม่มีลูก ไม่มีศิษย์ ไม่มีครูบาอาจารย์มากขึ้น คนแต่ก่อนเขาจะหาด้วยความถูกต้องยุติธรรมไม่เอาเปรียบคนอื่น ก็กินใช้แต่พอดี ถ้าเหลือก็ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เดี๋ยวนี้ใครคิดอย่างนี้บ้าง ใครกำลังปฏิบัติอย่างนี้บ้าง ช่วย ช่วยสอดส่องดูที ว่าใครเป็นผู้ที่หาโดยทางสุจริต ก็กินใช้แต่พอดีหรือเท่าที่จำเป็น ที่เหลือนั้นทำประโยชน์แก่ผู้อื่นที่เรียกว่าทำบุญทำกุศล ที่มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้เขาก็หาโดยทุจริตไม่ต้องรู้ว่าดีหรือชั่ว ผิดหรือถูก แล้วก็จะกินจะใช้คนเดียวนี่ กินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขต จนไม่มีเหลือสำหรับช่วยผู้อื่น คนแต่ก่อนเขาทำบุญคิดว่าจะได้บุญ คนเดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำบุญ เว้นไว้แต่ว่าจะเอาอะไรมาหลอกมาล่อ ต้องจัดงานให้สนุกสนาน ต้องจัดงานบอล ให้ได้เต้นรำ ให้ได้กินเหล้า จึงจะบริจาคสักสิบบาทหนึ่งก็พอดีกับที่ไปกินเหล้าของเขา แล้วมันจะเป็นการทำบุญได้อย่างไร มันไม่เหมือนกับคนสมัยก่อนด้วยเหตุนี้ นี่ขอให้เข้าใจโลกในสภาพปัจจุบันเถิด แล้วจะเห็นในความจำเป็นความสำคัญอย่างยิ่งในหน้าที่ของครูที่ว่าจะนำโลกนี้ไปให้ถูกต้องในฐานะเป็นผู้นำในทางวิญญาณ
นี้พูดอีกหน่อยก็คือว่า นำเขาให้รู้จักหาความสุขในด้านจิตด้านวิญญาณด้วย เดี๋ยวนี้เขารู้จักแต่ความสุขทางเนื้อหนัง จนต้องใช้เงินจนเงินไม่พอใช้อยู่เสมอแหละ ถ้ารู้จักหาความสุขด้านจิตด้านวิญญาณแล้ว เงินจะเหลือใช้ทันที นี่กล้าพูดกล้ายืนยันก็ไปคิดดูเอง เดี๋ยวนี้เงินไม่พอใช้ก็เพราะมันไปละโมบความสุขทางเนื้อหนัง พอไปหาความสุขทางจิตใจแล้วเงินจะเหลือใช้ทันที เพราะมันไม่ค่อยมีที่จะใช้ นั้นทำทางจิตใจคือทำความดี แล้วก็มีความสุข นอนหลับสนิท ฝันดี มีความพอใจในตัวเอง นับถือตัวเอง ว่ามันเต็มอยู่ด้วยความดี ถ้าคิดจะไปดูหนังดูละคร มันว่าเรื่องบ้า มันไม่อยากไป อย่าว่าแต่ไปไนต์คลับ ไปบาร์ ไปอะไรกัน มันก็ยิ่งไม่อยากไป มันก็เลยไม่รู้ว่าจะใช้เงินให้มันหมดไปได้อย่างไร เงินมันก็เหลือ
นี่เรื่องความสุขทางเนื้อหนังความสุขทางจิตใจมันต่างกันอยู่อย่างนี้ มันจะตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้ ความสุขอย่างแรกจะทำให้เห็นแก่ตัว ความสุขอย่างหลังจะทำให้เห็นแก่ผู้อื่น ความสุขอย่างแรกต้องใช้เงิน ความสุขอย่างหลังไม่ต้องใช้เงิน ความสุขอย่างแรกทำให้เบียดเบียนกัน ความสุขอย่างหลังทำให้รักใคร่กัน ขอให้จำไว้ ๒ คำว่า ไอ้เรื่องทางกายกับเรื่องทางวิญญาณ ทางจิตทางวิญญาณมันตรงกันข้ามกันอยู่อย่างนี้เสมอไป ขอให้ครูยิ่งโตขึ้น นับวันยิ่งโตขึ้นก็ให้นึกถึงเรื่องทางจิตทางวิญญาณให้มากขึ้น เมื่อยังเล็กๆ อยู่ก็เป็นธรรมดาไม่ว่าใครทุกคนแหละมันก็รู้จักแต่เรื่องทางวัตถุ แต่พอโตขึ้นได้ศึกษามากขึ้นก็รู้เรื่องทางจิตมากขึ้น กระทั่งรู้ รู้มากสมแก่การที่จะช่วยกันทำให้โลกนี้มันมีความสงบสุข ตัวเองก็ไม่เดือดร้อน พอไปหลงใหลในความสุขทางเนื้อทางหนัง มันจะหิวเป็นเปรตอยู่เสมอ นี้ไม่ใช่แกล้งว่า ไม่ใช่แกล้งด่า ไม่ใช่แกล้งประชด มันเป็นข้อเท็จจริง ที่เห็นๆกันอยู่ เพราะเรื่องของกิเลสนั้นไม่มีวันอิ่ม ได้มาเท่าไรมันก็อยาก อยากล้ำหน้าที่ได้มาอยู่เรื่อยไป อยาก ได้มาเท่านี้ ความอยากมันจะล้ำหน้าที่ได้มาเรื่อยไป นั่นล่ะเป็นเรื่องทางวัตถุ ก็หิวเป็นเปรตอยู่เสมอ เพราะว่าความอยากความต้องการของกิเลส ตัณหานี้มันขยายได้เร็วได้ไม่มีขอบเขต ฉะนั้นเราจึงลืมตัวทำสิ่งที่ไม่ควรทำออกไป ทีละนิดๆ ละนิดๆ จนเป็นอันตรายกันหมดจนแก้ไขไม่ได้
เรามามองเห็นข้อนี้กันแล้ว ก็คิดดูให้ดีจะทำให้เราเป็นคนมีประโยชน์กับเขาในโลกนี้ควรจะทำอย่างไร การเป็นครูนี้มันก็ไม่มีความหมายอย่างอื่น นอกจากว่าทำมนุษย์ให้มีแสงสว่าง เรียกว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ แต่ แต่โบราณเขาจัดเป็นปูชนียบุคคลไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่ใช่เป็นข้าราชการ เป็นลูกจ้างรัฐบาล เขาจัดไว้ฐานะเป็นปูชนียบุคคลของโลก แต่เดี๋ยวนี้มันได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากรัฐบาล มันก็ได้เหมือนกัน เพราะว่าเราได้ทำหน้าที่ที่มีค่ามาก ที่เขาให้เงินเท่านี้มันก็ยังไม่คุ้มกับไอ้ความดีที่เราทำด้วยซ้ำไป นี่ถ้าเราเป็นครูกันจริงๆ นะ ทำวิญญาณของคนให้สูงได้จริงนี่ เงินเดือนเดือนละหมื่นก็ยังไม่คุ้มกัน คือของเรามันยังแพงกว่า แต่ถ้าเราเพียงแต่สอนหนังสือ เงินเดือนสี่ห้าร้อยก็พอแล้ว คุ้มกันแล้วนั่นล่ะ มันเป็นเงินเดือน มันไม่ใช่ค่าบูชาคุณ แต่ถ้าเราเป็นครูที่ทำจิตใจของ ของมนุษย์ในโลกให้มันสูงขึ้นนี่ ควรจะจ้างเดือนละหมื่นเดือนละแสนทีเดียว ถ้าเรารับเงินเดือนเพียงเท่านี้ มันก็เลยเรียกว่าเรายังเป็นเจ้าหนี้อยู่ ฉะนั้นเรายังเคารพตนเองได้ เราเป็นปูชนียบุคคลอยู่ เรามองเห็นอยู่ แม้นใครจะไม่มองเห็นก็ตามใจ ข้อเท็จจริงมันก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอ ขอให้เราทำงานที่มีค่าสูงสุด แพงกว่าเงินเดือนที่เราได้รับอยู่ ให้มันหลายๆ เท่า ถ้าจะออกไปเป็นครูก็ขอให้คิดอย่างนี้ นี่พูดเผื่อไว้ข้างหน้านะว่าถ้าเรียนจบไปเป็นครู เพราะว่าจะไปคิดตอนโน้นทีเดียว มันก็คงไม่ทันล่ะ เรื่องนี้มันยาก มันลึกลับซับซ้อน คิดกันไว้เรื่อยๆว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร เราเกิดมาทำไม เราเกิดมาทีหนึ่งนี้ควรจะได้อะไร อยากจะบอกสั้นๆว่า ควรจะไอ้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วสิ่งนั้นก็เป็นเรื่องความสุขในทางจิตในทางวิญญาณ
เอาล่ะที่นี้จะพูดถึงเรื่องสวนโมกข์ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกัน ก็พูดมาที่แรกแล้วว่า ผู้ที่ต้องการความสุขทางจิตทางวิญญาณนั้น มันไม่ต้องอาศัยวัตถุ ไม่ต้องอาศัยเงินไม่ต้องอาศัยวัตถุอะไรนัก จะพูดให้มันสุดโต่งเลย เช่นว่าคนเขาประกอบการงานสำเร็จ มีอาชีพ มีอะไร มีลูก มีหลาน ถึงที่สุดที่ฆราวาสเขาจะมีกันได้แล้วเขาก็ออกไปเป็นมุนี ฤๅษี โยคี อยู่ในป่า ไม่ได้เอาอะไรไปเลย ไม่ต้องใช้เงิน ไม่มีเงิน และก็ เพราะไม่ต้องใช้เงิน เพราะมันอยู่ในป่า และก็ไม่ต้องการบ้านเรือน อยู่ตามถ้ำตามเพิง ตามอะไรที่จะมีอยู่ได้ หรือว่าเอาใบไม้มาทำเป็นที่มุงบังแล้วก็อยู่ได้ แล้วก็มีคำพูดที่ฟังแล้ว คนเวลานี้คนสมัยนี้ไม่เชื่อ คือพูดว่า เข้าฌานนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา จำศีล กินวาตา เป็นผาสุก ทุกคืนวัน จำศีลกินวาตา กินลม เด็กๆคงไม่เชื่อว่าฤๅษีมันจะกินลมแล้วมันจะอยู่ได้อย่างไร เอาละฤๅษีก็กินลูกไม้ กินใบไม้ กินรากไม้ เหง้าไม้ หัวไม้ไปตามเรื่องนั่นแหละ แต่บางเวลาไม่กินอะไรเป็นเดือนก็อยู่ได้ เขาอยู่ได้ด้วยกำลังของฌาน เรื่องของฌานนั้นคือมันหยุด หยุด หยุด หยุด หยุด หมดจนกระทั่งหยุด Circulation ทั้งหลาย คือหยุดการหายใจ หยุดการไหลเวียนของโลหิต หยุดการขับการถ่าย การเข้าการออก หยุดหมด มันปิดได้มันหยุดได้ เรียกว่าฝึกถึงวิธีแล้ว มันก็จึงเหมือนกับว่ากินลมอยู่ มีอากาศออกซิเจนหล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ มันก็อยู่ได้เป็นเดือน จำศีลกินวาตาเป็นผาสุกทุกคืนวัน เดี๋ยวนี้ฟังกันไม่ถูก ยิ่งฝรั่งยิ่งฟังไม่ถูกแน่ มันเป็นเรื่องของฝ่ายนี้ของฝ่ายตะวันออก ของฝ่ายฤๅษี มุนีในประเทศอินเดียที่เป็นต้นตอไอ้เรื่องทางจิตทางวิญญาณ เขาก็รู้สึกว่ามีความสุขเหลือแสน ยิ่งกว่าเมื่ออยู่ที่บ้านที่เรือนกับบุตรภรรยาสามี เป็นอย่างนั้น นั่นละเรียกว่าเรื่องความสุขทางจิตทางวิญญาณที่มันสุดโต่ง เดี๋ยวนี้เราไม่เอาสุดโต่งขนาดนั้น เราเอาเพียงที่ว่ามันคู่แฝดกันไปได้กับเรื่องทางร่างกาย ร่างกายเอาพออยู่ได้สะดวกสบาย และจิตใจนี้เอาดีที่สุด มันไม่ต้องลงทุน ทุกคนถ้ารู้จักแสงหาความสุขทางจิตใจ แล้วก็จะไม่เป็นโรคเส้นประสาท ระวังให้ดีจะเป็นโรคเส้นประสาทตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว นี่ระวังให้ดี กล้าท้าด้วย ถ้ามันปล่อยไปในเรื่องของวัตถุไม่มีขอบเขตแล้วก็จะต้องเป็นโรคเส้นประสาทกันแต่ยังเด็ก ก็ต้องรู้เรื่องจิตใจที่มันจะสงบระงับได้อย่างไร อะไรมันดีที่สุด อะไรมันดีธรรมดา อะไรมันไม่ดี แล้วไปหลงว่าดี ต้องรู้กันหมดเลย นั่นแหละจะรอดตัวไปได้จากโรคเส้นประสาท รอดตัวไปได้จากกิเลสที่จะพาไปหาความชั่ว
ทีนี้เรื่องสวนโมกข์นี้ก็เป็นเรื่องจัดขึ้นเพื่อให้ความสะดวกแก่บุคคล ที่ต้องการจะศึกษาเรื่องความสงบสุขในฝ่ายจิตใจไม่ใช่ฝ่ายร่างกาย ไม่ได้สอนเรื่องหาเงินหาทอง หาของ หาไอ้ความสุขทางเนื้อหนัง แต่จะให้ความสะดวกในการศึกษาและเข้าใจเรื่องความสุขและทางฝ่ายจิตใจ เช่นว่าความสุขจากธรรมชาติ พอมานั่งตรงนี้มันสบายใจ ไม่ต้องมีอะไร เพียงแต่มานั่งตรงนี้มันก็สบายใจ ถ้าธรรมชาติอันประหลาด มันมีอำนาจมาก มันริบความรู้สึกเลวๆไปเสียหมด ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่มันระงับไปชั่วคราว แล้วเราจึงรู้สึกสบายที่ตรงนี้ เราไม่รู้สึกอะไรที่เป็นห่วงวิตกกังวลด้วยตัวกูของกูที่ตรงนี้ มันจึงสบาย ส่วนนี้มันสบายเพราะว่ามันมีธรรมะตามธรรมชาติเข้ามา แม้นไม่ต้องกิน ไม่ต้องเล่น ไม่ต้องหัว อะไรให้อย่างเหมือนที่บ้านมันก็มีความสุขสบาย นี้เราให้ความสะดวก เพราะใครต้องการจะหาความสงบสุขจากธรรมชาติก็หาได้ง่ายที่นี่
ที่นี้เรื่องอุปกรณ์ที่ทำขึ้นก็จัดตกแต่งให้มันดีกว่าธรรมชาติบ้าง บางแห่งก็ปล่อยไปตามธรรมชาติบ้าง บางแห่งก็สร้างขึ้นล้วนๆบ้าง เช่นรูปภาพในตึกนี้ อย่างนี้ก็สร้างขึ้นเพื่อว่า ถ้าเข้าใจแล้วจะเข้าใจเรื่องทางจิตใจ ก็จะมีความสุขในทางจิตใจ รูปภาพเหล่านั้นน่ะ มันมีความหมายลึก ของคนมีสติปัญญาคิดขึ้นไว้ ทำขึ้นไว้ ล้วนแต่เป็นคนที่รู้จักความสุขในทางฝ่ายวิญญาณทั้งนั้น ที่เราไม่รู้นี่ มันก็เห็นเป็นไร้สาระ หลายๆคนเดินผ่านไปผ่านมาไม่รู้ค่าของรูปภาพเหล่านั้น นี้มันก็ช่วยไม่ได้ บางทีมันก็ไม่มีเวลาพอที่จะสนใจด้วย แต่ถ้าใครสนใจและเข้าใจจะรู้เรื่องความสุขในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ไอ้รูปภาพบางชนิดเราไม่ได้เขียนนะ แต่เราสร้างขึ้นเลย เป็นรูปภาพในสระสี่เหลี่ยมใหญ่ๆ มีมะพร้าวอยู่กลางสระต้นหนึ่งนั้นน่ะ มันก็เป็นรูปภาพที่เราต้องการ คือรูปต้นมะพร้าว นาฬิเกร์ อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง พูดเท่านี้ก็ฟังไม่ถูก ยังฟังไม่ถูกแน่ ไม่รู้ว่าทะเลขี้ผึ้งนี่คืออะไร มันเป็นปริศนาหรือว่าเป็นธรรมะที่เขาพูดไว้ในรูปของปริศนา แต่แล้วมันเกี่ยวข้องกับเรา เพราะว่าปู่ย่าตายายของเราบนแหลมลายูนี้ มันรู้แล้วมันพูดไว้ ไอ้บทกล่อมลูกบทนี้พอพูดให้ฝรั่งฟัง แล้วมันงงตาขาว ทั้งนั้นแหละ คือมันคิดว่าทำไม คนจึงฉลาดกันขนาดนี้ ก็เป็นบทกล่อมลูกให้นอนเสียด้วย ตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงสงขลา คนแก่ๆเขายังร้องได้อยู่เดี๋ยวนี้ว่ามะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย นี่ก็มี บางทีก็ว่ากลางทะเลขี้ผึ้ งต้นเดียวเกี่ยวลิงโลดเอยก็มี บางทีก็ว่า กลางทะเลขี้ผึ้ง คำนึงแต่มะพร้าวนาฬิเกร์เอย ก็มี ดูไม่กี่วันนี้ประหลาดที่ว่ามาจากหลังสวนไอ้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พอตอนลงตอนนี้ มันกลับลงว่ากลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงแล้วแม่ทองร้อยชั่งเอย ได้แต่ร้องก๊าก คู่รักของเขาว่า ถึงแล้ว ถึงมะพร้าวนาฬิเกร์ คือถึงนิพพาน มะพร้าวนาฬิเกร์ก็หมายถึงนิพพาน ทะเลขี้ผึ้งก็หมายถึงความทุกข์หรือวัฏฏะสงสาร ขี้ผึ้งนั้นถ้ามันร้อนมันก็เป็นของเหลว ถ้ามันเย็นก็เป็นของแข็งนี่คือความดีความชั่ว บุญบาปสุขทุกข์ ได้เสียแพ้ชนะ มันเป็นทะเลขี้ผึ้ง เดี๋ยวแข็งเดี๋ยวเหลว เดี๋ยวแข็งเดี๋ยวเหลว นี่ก็อยู่เหนือนั้นหมด ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่แพ้ไม่ชนะ ไม่ได้ไม่เสีย นี่เป็นมะพร้าวนาฬิเกร์เป็นนิพพาน จิตชนิดนี้ไม่มีความทุกข์เลย นั้นภาพ ภาพที่มีค่ามากที่สุด แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครสนใจ เห็ฯต้นมะพร้าวต้นหนึ่งอยู่กลางน้ำ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเกียรติสูงสุดของบ้านเราเมืองเรา ที่บรรพบุรุษเขาฉลาดกันถึงอย่างนั้น นี่บนแหลมมลายูภาคใต้นี่ ถ้าอย่างไรก็ช่วยนึกถึงไอ้ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษบ้าง เขาเคยฉลาดมามากแล้ว เราอย่าเป็นลูกหลานที่หลับหูหลับตาไปแต่ตะพึด รู้จักของดีวิเศษของปู่ย่าตายาย แม้ว่าจะทำไม่ได้เหมือน ก็ให้มันรู้ไว้สิ ให้มันเข้าใจ แล้วก็ทำเท่าที่จะทำได้ ฉะนั้นจิตใจอย่าฟูอย่าแฟบ อย่าขึ้นอย่าลง อย่าเป็นเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เหมือนกับคนบ้า พอได้ถูกใจก็หัวเราะร่วน พอไม่ได้ถูกใจก็ร้องไห้ มัวแต่อย่างนี้แหละทะเลขี้ผึ้ง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี่ยวฟู เดี๋ยวแฟบ ถ้าเป็นมะพร้าวนาฬิเกร์มันปกติ มันปกติ ที่เขาเรียกว่าสมดุลหรือ Equilibrium นี่มันปกติ จะให้หัวเราะมันก็ไม่หัวเราะ จะให้ร้องไห้มันก็ไม่ร้องไห้ นี่เรียกว่ามันชนะ มันชนะอยู่เหนืออารมณ์ต่างๆ คนอย่างนี้จะอายุยืน ไอ้คนที่เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ ไม่เท่าไรก็บ้า ไม่เท่าไรก็เป็นโรคเส้นประสาทเป็นอย่างน้อย ไปดูสระมะพร้าวนาฬิเกร์แล้วก็ให้เข้าใจอย่างนี้ มันมีประโยชน์ แล้วไม่ใช่ของใหม่ๆที่คิดขึ้นเมื่อวานนี้ เป็นของเป็นพันปีมาแล้ว บ้านเมืองของเรามันศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้
นี่คือสวนโมกข์เป็นที่รวบรวมเป็นสิ่งที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องทางจิตทางวิญญาณ อย่างน้อยก็ให้ได้ชิมรสความสงบสุขทางวิญญาณ พอเข้ามาที่นั่งที่ตรงนี้มันก็สบายใจแล้ว ใช่มั้ย แต่ใครมานั่งตรงนี้แล้วยังไม่สบายใจ รีบไปหาหมอเถอะ มันจะบ้าแล้วแหละ ไม่เท่าไรมันจะต้องเป็นบ้า รีบไปหาหมอ ถ้าเข้ามาถึงแล้วมันเย็นสบาย มันหยุดความรู้สึกวุ่นวายอะไรได้แล้ว ปกติ ก็ศึกษาต่อไปว่า เอ้า, ทำไมมันจึงสบาย ทำไมมันจึงปกติ มันไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิด ไม่มีตัวกูของกูเกิด มันลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ นี้จิตมันว่าง จิตมันสงบ จิตมันหยุด มันสบายอย่างนี้
ฉะนั้นที่ตรงนี้ก็ดี ที่บนภูเขาก็ดี ตรงไหนก็ดี ก็จัดให้สะดวก สำหรับพอเข้ามามันก็สอน เริ่มสอนทันที ให้หยุด ให้เย็น แล้วก็มาศึกษาว่าทำไมมันจึงเย็นจึงหยุด มันไม่มีตัวกูของกู ทำไมมันจึงไม่มีตัวกูของกู แล้วก็กำลังรับอิทธิพลจากธรรมชาติ นี่ก็อย่างหนึ่งแล้ว มันเป็นเอง นี่ถ้าไปศึกษาสิ่งต่างๆในรูปภาพหรือสิ่งของต่างๆ มันก็ได้ ยิ่งได้ความรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก นี่ความ ความมุ่งหมายของการจัดสวนโมกข์คืออย่างนี้ นั้นถ้าจะมาที่นี่ แม้จะมาชั่วขณะอย่างนี้ ก็ควรจะได้รับในสิ่งเหล่านี้ไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้มาสวนโมกข์ จะไม่เรียกว่ามาสวนโมกข์ มันต้องได้รับสิ่งเหล่านี้ไปจึงจะเรียกว่าได้มาสวนโมกข์ เพราะเรื่องของสวนโมกข์นี้มันเป็นเรื่องโมกข์ คำว่าโมกข์มันแปลว่าเตี้ยน (นาทีที่ 55:40) คือมันไม่มีอะไรปะหุ้ม มันโมกข์ จิตมันไม่มีกิเลสมารบกวน มันพ้นคือมันโมกข์จากกิเลสแล้ว ก็เลยรู้สึกชิมรสอันใหม่ เดี๋ยวนี้เราหยุดเย็นสงบสบาย มันศึกษาโดยไม่ต้องใช้หนังสือ ศึกษาโดยไม่ต้องใช้คำพูดด้วยซ้ำไป มันปรากฏแก่จิตใจเอง ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักคิด รู้จักนึก รู้จักสังเกตเอง แล้วก็จะได้กับประโยชน์มาก ที่ว่าจะได้ประโยชน์มากนี้คือมันจะคุ้มครองไปจนตาย เดี๋ยวนี้ยังเป็นเด็กๆก็ยังไม่ค่อยรู้อะไร แต่ถ้าเข้าใจหลักเกณฑ์อันนี้ไว้ ต่อไปมันก็จะมีความทุกข์จะยาก มันจะนึกทัน มันจะเข้าใจ มันจะมีความทุกข์ยาก มันจะหัวเราะก็ยาก จะร้องไห้ก็ยาก มันจะคงปกติเรื่อยไป แสวงหาความรู้อันนี้ไว้เป็นที่พึ่งในอนาคตจนกระทั่งตาย จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ได้โดยง่าย
นี่เรียกว่าความรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านก็มีสูงสุดในด้านฝ่ายจิตใจ หาความรู้ของพระศาสดาอื่นๆ เช่นพระเยซู พระมะหะหมัด พระอะไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือต้องการให้คนมีจิตใจชนิดที่เขาเรียกว่าถึงกับพระเจ้า จิตใจที่ถึงกับพระเจ้าคือสะอาด สว่าง สงบ ไม่มีความทุกข์เลย นี่เขาต้องการอย่างนั้น ส่วนร่างกายมันต้องมันก็มีกินมีใช้เป็นแน่นอน เดี๋ยวนี้เรามันไปหลงความสุขทางเนื้อหนัง เขาเรียกว่ามันไปเป็นสมุน หรือเข้าพวกกันกับซาตาน กับพระยามาร เห็นแก่ความสุขทางเนื้อทางหนัง จนเงินเดือนเท่าไรก็ไม่พอใช้ แล้วมันจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร ถ้าเราคิดว่าเราเกิดมาจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วต้องนึกถึงพระเจ้า นึกถึงศาสนา นึกถึงจุดหมายปลายทางของสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั่นแหละ นั่นแหละคือพระเจ้า คือมันตรงกันข้ามกับที่ว่าจะปล่อยไปตามกิเลส ถ้าเป็นคนปุถุชนมันโง่ หลับหูหลับตาเป็นเรื่องทางวัตถุหรือทางเนื้อทางหนังไปหมด ก็ไม่มีพระเจ้า มันจะถูกพระเจ้าลงโทษให้มันร้องไห้ หัวเราะ ร้องไห้ หัวเราะจนตายไปเลย ถ้าเรารู้เรื่อง รู้เรื่องของพระเจ้า ก็เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นของเด็กเล่น ไอ้ที่ว่าสุขสบายนัก สวยนัก งามนัก วิเศษนัก ที่หนึ่งในโลกนั่นน่ะ กลายเป็นเรื่องเด็กเล่นไปหมด ไม่ทำให้เราหลงได้ เราก็มุ่งมั่นแต่เรื่องจิตใจที่มันสูง ที่มันสะอาด ที่มันสว่าง ที่มันสงบ ไม่มีความทุกข์เลย ฉะนั้นทำอะไรก็ได้ อยู่ในโลกนี้ก็ได้ มันเป็นความสุขสบายไปหมด ถ้าว่าทำจิตใจให้ถูกต้อง ไปๆมาๆ มันก็เหลือ เป็นเพียงคำเดียวว่ามันทำจิตใจไว้ให้มันถูกต้อง รู้ให้รอบคอบ แล้วดำรงจิตใจไว้ให้ถูกต้อง หมายความว่ารู้ผิด รู้ถูก รู้ดี รู้ชั่ว รู้บุญ รู้บาป รู้หมดและก็ทำจิตใจให้ถูกต้อง ให้มันอยู่เหนือความทุกข์ไว้เลย ทีแรกก็ตั้งต้นด้วยละความชั่วก่อน ถ้าละไม่ได้ก็แย่ ทีนี้ละความชั่วได้แล้ว ก็ทำความดี ก็ดียิ่งขึ้นไปอีก ถือเสียว่ามันยังรบกวน ต้องมีจิตใจสูงพ้นเหนือความดีและความชั่วต่อไปอีก เขาเรียกว่าเรื่อง ต้นมะพร้าวนาฬิเกร์ที่ทะเลขี้ผึ้ง เรื่องนี้มันสูงสุดนะ เข้าใจยากสำหรับคนธรรมดา ที่ว่าพ้นบุญ พ้นบาป เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ เข้าใจยาก แต่ค่อยเข้าใจได้ทีหลัง จะร้องไห้ก็ไม่ไหว หัวเราะก็ไม่ไหว นั่นแหละจะอยู่เหนือหัวเราะ เหนือร้องไห้ นั่นแหละจะอยู่เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ ก็คิดดูสิ หวานมันก็ไม่ไหว ขมมันก็ไม่ไหว ไอ้ขมมันไม่ไหวนั้นเห็นชัด แต่หวานมันก็ไม่ไหวนั้นเห็นยาก ผลสุดท้ายมันก็ต้องไปหาไอ้สิ่งที่เหนือขมเหนือหวานนั่นแหละ จึงจะเป็นอิสระที่สุด หรือเป็นสุขที่สุด เดี๋ยวนี้เราก็ยังต้องกินขมอยู่ ยังไม่เคยพบหวาน เคยพบหวานก็หลงกันพักใหญ่ ออกไปแล้วก็จะได้ จนกว่าเห็นว่า โอ้ย, ไม่ไหวแล้ว เหน็ดเหนื่อย รบกวน จะสู้จืดสนิทไม่ได้
นี่เรื่องของชีวิตจิตใจคนเรามันมีอยู่อย่างนี้ ละชั่วเสียก่อนแล้วก็ทำดี ทำดีเต็มที่แล้วก็มีจิตใจที่เป็นอิสระอยู่เหนือหมดทุกอย่าง ศาสนาไหนก็สอนอย่างนี้ นี่เราเป็นครู เราจะนำคนในโลกไปให้ถูกทาง เราต้องรู้จุดหมายปลายทางอย่างนี้ แม้ว่าเรายังเดินไปไม่ถึง เราก็ยังสามารถจะบอกให้คนอื่นเดินได้ มันดีอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ยังเด็กๆไม่รู้เรื่องนี้ ก็เป็นอันว่าบอกให้รู้ไว้ก่อนว่าไอ้มนุษย์ที่เกิดมานั้นน่ะ มันดีๆที่สุดที่นั่น มันต้องไปดีที่สุดไปที่นั่น ที่อื่นมันไม่มี ที่สูงสุด ที่ประเสริฐของมนุษย์คือมันอยู่ที่นั่น ละชั่วได้ไปถึงดีแล้วก็มีจิตใจที่อยู่เหนือความยึดถือชั่วหรือดีทีหนึ่ง เขาเรียกว่า ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ อย่างนี้เขาเรียกว่าเหนือดีเหนือชั่ว จะเรียกว่าโลกของพระเจ้าก็ได้ จะเรียกว่านิพพานอย่างพุทธศาสนาก็ได้ ถ้าเขามีพระเจ้าเขาก็เลยอยู่กับพระเจ้า เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์เหมือนพระเจ้า นี่ทาง ปลายทาง ครูเป็นผู้นำทาง ฉะนั้นอุตส่าห์ทำให้ดีให้มันเป็นครู ให้เป็นปูชนียบุคคล เป็นแสงสว่าง เป็นตัวแสงสว่างในทางวิญญาณ ให้เด็กเขาเดินถูกทาง อย่าไปทำตัวเป็นเด็กเสียเอง แล้วมันก็จะเกิดเรื่องอย่างที่เกิดๆมาแล้ว เรื่องที่สงขลาก็ดี เรื่องที่กรุงเทพฯก็ดี มันก็รู้ๆกันอยู่ เพราะมันไม่รู้ว่ามันเกิดมาทำไม ทำไมมันจะต้องไปที่นั่น เพราะมันไม่รู้ว่ามันเกิดมาทำไม เดี๋ยวนี้เราก็รู้ว่าเกิดมาทำไม เราก็รู้จักทำให้มันปลอดภัย ไปถึงที่ควรจะต้องการได้
นี่เรื่องที่จะพูดกับผู้ที่จะเป็นครูก็มีอย่างนี้ ว่ามันมีเรื่องกาย เรื่องจิตหรือวิญญาณ อยู่สองเรื่องตรงกันข้าม อันหนึ่งทำให้เห็นแก่ตัว อันหนึ่งทำให้เห็นแก่ผู้อื่น ที่ว่าเราก็อยู่ตรงกลางก็ได้ ใน ในชั้นนี้นะเห็นแก่ตัวบ้างแล้วก็เห็นแก่ผู้อื่นบ้างให้มันพอดีกัน จนกระทั่งมันเห็นแก่ความดี ความจริง ความงาม ความถูกต้อง ไม่ต้องเห็นแก่ใครละทีนี้ ก็เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่ความจริงที่สุดไปเลย เพราะเป็นคนที่ ที่ถึงที่สุดของการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ นี้เรื่องทางหนังสือหนังหาก็มีที่อื่นอยู่ทั่วไปแล้ว เรื่องวิชาชีพก็มีที่อื่นอยู่ทั่วไปแล้ว แต่เรื่องทางจิตทางวิญญาณนี้ยังไม่ค่อยจะมีที่ไหน ก็เลยมีสวนโมกข์ขึ้นมาแห่งหนึ่ง ก่อนในหลายๆ แห่ง เพื่อมาพูดกันเรื่องนี้ เพื่อมาดู มาเห็น มาชิมรส ของความสุขในทางฝ่ายนี้ เพื่อว่าเราจะมีความรู้เจนจัดดีทั้งสองฝ่าย คือทั้งทางฝ่ายกายและฝ่ายวิญญาณ ขอให้นักศึกษานิสิตทั้งหลายจงเข้าใจไอ้ความมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์คือว่าเกิดมาควรจะได้อะไร ก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั่นต้องเป็นเรื่องทางฝ่ายจิตหรือฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นอิสระไปจากวัตถุ ไม่เป็นทาสของวัตถุเหมือนโลกสมัยปัจจุบัน เราอย่าไปตามก้นให้คนที่เห็นแต่แก่วัตถุ แก่เนื้อแก่หนัง มันจะลำบาก โลกนี้จะไม่มีที่พึ่ง ขอให้ความรู้อันนี้จงแจ่มแจ้งกระจ่างอยู่ในใจของท่านทั้งหลายทุกคน เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ทำความก้าวหน้าให้แก่ตน แก่ประเทศชาติและแก่โลกทั้งสิ้น สมตามความมุ่งหมายของการที่จะเป็นนักศึกษาหรือว่าเป็นครูทุกๆประการเถิด ขอยุติการพูดการพูดไว้เพียงเท่านี้
(นาทีที่ 01:05:19) เสียงขาดหายไป คาดว่าเสียงบรรยายต่อไปนี้เป็นการสนทนาถามตอบ
คือไม่มีความทุกข์เลย ทำอย่างไรๆ ก็มีความทุกข์ไม่ได้ เขาจึงใช้อุปมาสูงสุดว่าฝนตกไม่ต้องฟ้าร้องไม่ถึง คือเหนือ เหนืออิสระ เหนือทุกสิ่ง ถ้าฝนยังตกถูก ฟ้ายังร้องถึง ยังมีความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นี่ภาษาอุปมาของคนโบราณไม่ใช่เล่นนะ ใช้คำว่าทะเลขี้ผึ้ง คนเดี๋ยวนี้ฟังไม่ออก ขึ้ผึ้งจะเป็นทะเลได้อย่างไร มันก็ฟังไม่ออก ต้องขอให้จำไว้ว่าปู่ย่าตายายของเราเขาพูดไว้ สำหรับให้พวกเรากลายเป็นคนโง่ จำไว้ให้ดีๆเถอะ มันอะไรมากเหลือเกินที่พูดไว้ให้เรากลายเป็นคนโง่ เคยโดนมาหลายเรื่องหลายราวแล้ว กว่าจะรู้ทันที่ไหนได้ ทะเลขี้ผึ้งมันก็เดินไปสบายสิ เดี๋ยวนี้มันเดินไปไม่ได้ มันเป็นวัฏฏะสงสาร เป็นความทุกข์ ทะเลขี้ผึ้งเดี๋ยวเหลว เดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวเหลว เดี๋ยวแข็ง เหมือนวันหนึ่งๆ เดี๋ยวหัวเราะ เดี่ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี่ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจกันอยู่แต่อย่างนี้ เรียกว่าทะเลขี้ผึ้ง ไม่เคยขึ้นพ้นนั้นเลย อะไรมาให้ดีใจก็ดีใจ ดีใจจนเกือบตาย อะไรมาเสียใจก็เสียใจจนเกือบตาย นั่นคือทะเลขี้ผึ้ง ต้องเหนือนั้นนะจึงเป็นมะพร้าวนาฬิเกร์ คุณถ่ายรูปไปหรือเปล่า นั้นน่ะรูปที่ดีที่สุด คือรูปของไอ้ความอยู่เหนือความทุกข์ เรียกว่ารูปของนิพพานก็ได้ แต่เราเรียกว่ามะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ ไม่มีใครถ่ายรูปมะ มะพร้าวต้นนี้ ถ่ายแต่รูปตัวเองกันทั้งนั้นแหละ พวกที่มาๆ เห็นถ่ายแต่รูปด้วยเองกันทั้งนั้นแหละ
(นาทีที่ 01:07:48 - 01:07:58) เสียงผู้ชายพูด ได้ยินไม่ชัด
ทำไมไม่ดูไอ้ภาพในตึกนี้ให้ละเอียดลออ ให้ได้ประโยชน์มากๆ
(นาทีที่ 01:08:08 – 01:08:15) เสียงผู้ชายพูด ได้ยินไม่ชัด
แม้แต่รูปว่าเสียงขลุ่ยกลับมาหาก่อไผ่นี้ต้องอธิบายกันหลายชั่วโมง รูปข้างประตูเล็กเข้าไปถึงก็จะเห็นแต่ภาพนั้น พูดสั้นๆก็ว่ามันก็บ้าไป พอหายบ้ามันก็หยุดเอง คนทุกคนเป็นอย่างนั้นแหละ มันก็บ้าไปตามเรื่องของมัน หายบ้ามันก็หยุดเอง ลุกขึ้น โลดๆ เต้นๆ เป็นบ้า เหมือนกับคนบ้าก็ชักอย่างนี้ หายบ้าก็หยุดเอง บอกกันไม่ค่อยเชื่อห้ามกันไม่ค่อยฟัง ถ้าด่าคนดื้อ
จะออกจากนี้ ๑๒ โมง เอาสิ ไปพุมเรียง ใช่มั้ย นี้จะบอกให้ว่าไปดูวัดแก้ว ศึกษาโบราณคดีสมัยศรีวิชัย ดูวัดพระธาตุฯ ดูพิพิธภัณฑ์ เกี่ยวกับโบราณคดีสมัยศรีวิชัย แล้วก็ลงไปตามถนนเส้นวัดพระธาตุฯ กับอ่าวพุมเรียงน่ะ เขาเรียกว่าถนนวัดพระธาตุฯ เป็นถนนที่เขาเพิ่งตัดขึ้นในสมัยที่สมเด็จเจ้ากรมพระยาวชิรญาณท่านเสด็จฯ ก่อนนี้ยังไม่มี กรมพระยาวชิรญาณวโรรสน่ะ นี้ไปที่พุมเรียงนั้นน่ะ รู้ไว้ว่านะว่ามันเป็นเมืองเก่า สมัยโบราณเขาไม่มีรถไฟก็ใช้เรือ คลองนั้นยังลึก เรือเดินทะเลเข้าได้ เรือใบ เรือเดินทะเล เดี๋ยวนี้ตื้นจะเป็นคูอยู่แล้ว เมืองพุมเรียงเป็นเมืองเก่าสมัยนู้น พอมีรถไฟก็ย้ายมานี่ และไปดูที่คนหมู่บ้านอิสลามทอผ้ายกดอก คนไทยทำหมวก นี่อาชีพของสำคัญสำหรับผู้หญิง ผู้ชายก็ทำการจับปลา เขาทอผ้ายกดอกกันมาหลายชั่วบรรพบุรุษแล้ว ที่ชั้นดีที่สุดที่คนโบราณทำไว้ดูเสียที่ในพิพิธภัณฑ์ ที่วัดพระธาตุฯน่ะ แล้วก็ไปดูที่เขาทำจริง เดี๋ยวนี้ ไม่สูงถึงขนาดนี้ ฉะนั้นถ้าว่าเขาจะทำชั้นดีที่สุด จะเอาไปถวายสมเด็จพระราชินี ก็วันก่อนก็จะเอาไปถวายสมเด็จพระราชินีไปเมืองนอกให้ท่าน เขาต้องมายืมตัวอย่างในพิพิธภัณฑ์นี้ ไปให้คนที่ทอทำให้เหมือน นี่เราก็ไปดู เขาก็ขายไม่แพง ซื้อมาเป็นที่ระลึก นี้ฝ่ายหมู่บ้านไทยนี้ก็ทำหมวกส่งไปขาย ไป ไปติดฉลาก ติดยี่ห้อกันไปขายที่อื่น บางคนสนใจสวนโมกข์เก่า ก็แวะเข้าไปดูสวนโมกข์เก่า มีสระใหญ่เขาเรียกว่าตระพัง เป็นภาษาบรมโบราณเรียกว่าตระพัง ถ้าสระใหญ่ที่ขุด ขุดขึ้นแล้วมันใหญ่เกินไปเขาเรียกว่าตระพัง เป็นแทงก์สำหรับเก็บน้ำไว้ช่วยประชาชน ที่สวนโมกข์เก่ามี ไปดูวัดสมุหนิมิตร เขาสร้าง ๔ เดือนเสร็จ จึงเรียกว่านิรมิต สมเด็จกรมพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์อะไรชื่อก็จำไม่ได้แน่ ในแผ่นหินจารึกก็มีอยู่ในโบสถ์นั้น เขาว่าสร้าง ๔ เดือนเสร็จ นี่ลักษณะหรือเรียกว่าประโยชน์ก็ได้ของระบอบเผด็จการ สร้างวัดสมบูรณ์แบบ ๔ เดือนเสร็จ สร้างด้วยหวาย วัดใหญ่โตสมบูรณ์แบบทุกอย่าง สร้าง ๔ เดือนเสร็จจนต้องเรียกว่านิรมิตไง วัดนั้นเลยชื่อว่าวัดสมุหนิรมิต คือสร้างด้วยหวาย แล้วเกณฑ์คนทุกหัวเมือง ทุกหัวเมืองใกล้ๆนี้ ตั้งแต่ชุมพร นครอะไรมา มาสร้างนี้ เผด็จการมันไวอย่างนั้น ปีหนึ่งก็ทำวัดอย่างนี้ได้ ก็ไปดู ก็จะได้เป็นความคิดอันหนึ่งว่าระบอบเผด็จการเป็นอย่างไร ระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างไร และก็ไปดูได้ถึงไอ้ริมทะเล ที่อ่าวก็ได้ เขาเรียกว่าปากน้ำพุมเรียง เป็นที่ที่เขาใช้สำหรับชุมนุมกองทัพเรือ สมัยเรือพาย กองทัพหลวงเขาก็มาจอดที่ปากน้ำพุมเรียงนี้ เอาเสบียง เอาทหาร เอาอะไรต่างๆลงที่นี้ แล้วก็ยกข้ามอ่าวนี้ไปตีเมืองนครศรีธรรมราช สมัยพระเจ้าตากสิน แล้วก็สมัยอะไรอีกทีหนึ่ง มี ๒ ที ไปดูร่องรอยของประวัติศาสตร์ ไหนๆมาแล้วก็ให้ได้ประโยชน์ ให้ได้ความรู้ทั่วๆไป หลายแขนง เอาสิ เสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปกันได้
[T1]ไม่แน่ใจว่าหมายถึง “ธรรม” หรือ “ทำ”
[T2]ไม่แน่ใจตัวสะกดค่ะ ว่าสะกด “นาฬิเกร์” หรือว่า “นาฬิเก” กันแน่
[T3]ไม่แน่ใจว่าพูดว่า ‘เตี้ยน’ หรือ ‘เกลี้ยง’