แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แล้วที่นี้จะพูดสำหรับนักเรียน นักเรียนจะต้องทำอะไรจึงจะได้รับประโยชน์จากความเป็นนักเรียน ดีที่สุด มากที่สุด ที่จริงไอ้เรื่องนี้มันตั้งต้นมาจากบิดามารดา อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มารดา บิดา เป็นอาจารย์คนแรก เรียกว่าบูรพาจารย์ บุพพาจารย์ ปุพฺพาจริโย คือ มาตาปิตโร หรือว่ามารดาเป็นบุพพาจารย์ ถ้าตั้งต้นมาดี ก็มาถึงอาจารย์ต่อ ๆ มา โดยเฉพาะอาจารย์ในโรงเรียน ก็สอนต่อกันมาอีก จนกระทั่งมาถึงอาจารย์ที่วัด สอนทางจริยธรรม ทางศาสนา กระทั่งเลยไปถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นอาจารย์สูงสุด เขาเรียกว่าพระบรมศาสดา อาจารย์อย่างยิ่ง อาจารย์สูงสุด พระศาสดาแปลว่าครูหรืออาจารย์ คำว่าศาสดาแปลว่า ผู้สอน ผู้สั่งสอน ผู้ชี้ทาง ตั้งต้นมาจากพระพุทธเจ้า ลงมาถึง สมณะพราหมณ์ อุปัชฌาย์อาจารย์ทางศาสนา มาถึงครูบาอาจารย์ในโรงเรียน มาถึงอาจารย์คนแรกคือ บิดามารดา ถ้าทุกอย่างเป็นไปถูกต้องครบถ้วนแล้วก็เรียกว่ามันหมดปัญหาทางการศึกษา ถ้าไม่อย่างนั้น มันเป็นครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถ้าปล่อยให้เด็ก ๆ รู้เอาเอง ก็จะรู้แต่เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เป็นคนหนุ่มคนสาวแล้วก็รู้เพียงเท่านี้ ถ้ารู้เพียงเท่านี้จะได้ร้องไห้เรื่อย และจะได้กินยาตายในที่สุด ดังนั้นจะต้องรู้อะไรที่มันคุ้มกัน คุ้มครองกันได้ คือรู้อะไรมากกว่านั้น บิดามารดาก็อบรมตามหลักของศาสนาเหมือนกัน เพราะว่ามันมีอยู่ในวัฒนธรรม ศาสนามันให้กำเนิดแก่วัฒนธรรมหรือเป็นรากฐานของวัฒนธรรม พอเด็กถูกคลอดออกมาจากท้องแม่ก็ถูกแวดล้อมไปด้วยวัฒนธรรม เป็นไทยก็วัฒนธรรมไทย ก็มีรากอยู่ที่ศาสนา เพราะฉะนั้นเราจึงได้รับการอบรมให้เชื่อฟัง ให้เคารพ ให้เมตตากรุณา วัฒนธรรมไทยเป็นอย่างนี้ คล้าย ๆ กับวัฒนธรรมอื่นเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะมากกว่าในข้อที่ว่า มีเมตตา กรุณา มีความเสียสละ อดกลั้น อดทน ไม่โมโหโทโส ถ้าอะไรไม่ได้อย่างใจ ก็ให้อภัยได้ หรือว่าสลัดออกไปได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่คือวัฒนธรรมไทย มีอะไรเกิดขึ้น จะพลั้งปากว่าพุทโธ แทนที่จะพลั้งปากไม่มีประโยชน์อย่างอื่น พวกถือพระเจ้าเขาก็พลั้งปากออกชื่อพระเจ้า แล้วแต่ว่าภาษาไหนเรียกพระเจ้าว่าอะไร ก็นึกถึงพระเจ้า พระเจ้าจะได้ช่วย เอาพระเจ้าเป็นที่พึ่ง ส่วนพวกเราก็เอาพุทโธ พุทธะ พุทธเจ้า นี้เป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทที่แท้จริงจะพลั้งปากเป็นพุทโธ นี่เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณและเข้าใจความหมายดี พุทโธที่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้คนมันโง่ลงมาก ว่าพุทโธต่อเมื่อเกิดเรื่องบางเรื่อง บางทีเอาคำว่าพุทโธ มาใช้เมื่อเกิดอารมณ์ร้าย อารมณ์หน้าเกลียดหน้าชัง พุทโธ กลายเป็นโธ่ โธ่กลายเป็นพิโธ่ พิโธ่กลายเป็นพิโธ่พิถัง บ้าเลย มันไม่ตรงตามครองเดิมที่เขาต้องการจะให้ มีเรื่องอะไรให้นึกถึงพุทโธคือพระพุทธเจ้า ดังนั้นเราสังเกตดูได้ด้วยคำนี้นะ ถ้าใครยังพลั้งปากว่าพุทโธ เรียกว่ายังเป็นพุทธบริษัทเต็มที่ ถ้ามันเหลือแต่ โธ่ โธ่ นี้ละก็มันน้อยลงแล้ว มันโง่มากขึ้นแล้ว พุทธบริษัทเขาว่าฉลาด พุทธะแปลว่ารู้ว่าฉลาด พุทโธมันเหลือแต่โธ่ มันก็คือโง่เข้านั่นเอง มันไปเหลือ พิโธ่พิถัง มันก็ไปกันใหญ่ จนไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรนี้ เราต้องนึกถึงพุทโธนี่ไว้ให้ถูกต้องนี่อะไร พุทธะแปลว่ารู้ ว่าตื่น ว่าเบิกบาน พุทธะ พุทโธ นี้แปลว่ารู้ คือรู้สิ่งที่ควรจะรู้ แม้ว่าตื่นคือไม่หลับ แม้ว่าเราจะรู้แต่ถ้าเราหลับอยู่ มันก็เท่ากับไม่รู้นะ คนมันจะเก่งยังไง ถ้ามันเกิดหลับอยู่ ข้าศึกศัตรูมันก็ทำอันตรายคนหลับได้ทั้งที่มีความรู้ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้และเราต้องตื่นอยู่ด้วย อย่าไปมัวหลับอยู่ แล้วเราก็เบิกบานด้วยคือเป็นสุข ร่าเริงนี้ คำว่าพุทธะแปลได้ ๓ ความหมายอย่างนี้ ศัพท์ ศัพท์นี้มีรากศัพท์ ๓ ชนิดอย่างนี้ ว่ารู้ ว่าตื่น ว่าเบิกบาน ดังนั้นขอให้เป็นพุทโธตามพระพุทธเจ้า คือเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไปแต่เล็ก ๆ ไปตามกำลังขอสติปัญญา แม้ยังเด็กเล็ก ๆ อยู่ก็อุตส่าห์จดจำคำพุทโธไว้เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ เขาให้เราถือสรณาคมน์ ว่า
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ถือพระธรรมเป็นสรณะ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถือพระสงฆ์เป็นสรณะ
เด็กบางคนมันโง่ มันหัวเราะเยาะ บ้าบออะไรก็ไม่รู้ มันก็ถูกแล้ว ไอ้คนแต่ก่อนเขาทำไว้สำหรับเด็กสมัยนี้เป็นโง่ คือเขาฉลาด เขาทำไว้ฉลาด ฉลาดมาก เด็กเดี๋ยวนี้มันไม่รู้เท่า มันก็คิดว่าโง่ ที่จริงตัวเองมันเป็นคนโง่ แล้วก็จะเห็นว่าไอ้เรื่องของคนโบราณนั้นเป็นของโง่ เรื่องของตัวเองฉลาด เรื่องคนสมัยใหม่นี้ มันฉลาดไปไม่ได้ ถ้าว่ามันฉลาดจริง โลกนี้จะมีความสุข ไม่ใช่มีความทุกข์ลำบากเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันฉลาดแต่จะเชือดคอตัวมันเอง มีความรู้สำหรับทำให้มนุษย์ด้วยกันลำบากมากขึ้น จะกินจะอยู่ จะอะไร ก็จนไม่รู้จะกินจะอยู่กันอย่างไง ล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกลวงให้ลำบากมากขึ้น พระพุทธเจ้าท่านสอนให้กินอยู่แต่พอดี กินอยู่แต่พอดี แต่คนเดี๋ยวนี้มันจะกินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขต ดังนั้นสอนกันคนละอย่าง ดังนั้นอย่าเพิ่งเข้าใจว่าเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นของคนโง่ มันเป็นของคนฉลาดถึงที่สุด นี่คนโง่มันไม่เข้าใจ มันก็คิดว่าเป็นของคนโง่ นี่ระวังให้ดีว่าไอ้คนโบราณเขาทำอะไรไว้มากมายสำหรับให้คนเดี๋ยวนี้กลายเป็นคนโง่ คือไม่เข้าใจเรื่องของเขานั่นแหละ ถ้าไปดูภาพในตึกนี้ แล้วเราจะกลายเป็นคนโง่ทุกคนเลย ไม่เชื่อก็เข้าไปดูสิ เข้าไปดูภาพในตึกนี้ จะกลายเป็นคนโง่ทุกคน คือไม่รู้ ทายก็ไม่ถูก จนกว่าเขาจะอธิบายให้ฟัง เราจึงจะค่อยเป็นคนฉลาดขึ้นมา ให้ถือว่าเขาทำไว้สำหรับให้เรามันโง่ ถ้ามันเหนือกว่า อย่า ฉะนั้นอย่าเพิ่งประมาท อย่าเพิ่งอวดดีสำหรับเด็ก ๆ ต้องพยายามเชื่อฟัง จะต้องพยายามศึกษา แล้วโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ อย่าทำเล่นเป็นอันขาด ให้ทำด้วยความเคารพ ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ประมาท แล้วนี่จะเป็นที่พึ่งได้ ถ้าใครถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งได้จริง คนนั้นจะไม่มีร้องไห้เลย จะไม่มีอะไรมาทำให้ร้องไห้ได้ คนที่ยังร้องไห้อยู่เป็นคนที่ยังไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง พระธรรมยังช่วยไม่ได้ เพราะมันไม่รู้จักพระธรรม แล้วมันก็จะต้องร้องไห้ แล้วมันจะเป็นคนที่มีจิตใจไม่ ไม่ ไม่สะอาด ไม่เฉลียวฉลาด ดังนั้นการเรียนมันก็ไม่ดี ถ้าอยากจะมีจิตใจดี นั้นก็ต้องถือหลักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาก ๆ เข้าไว้ ดังนั้นในชั้นนี้ให้จำไว้ว่าในพระพุทธ นี่เขาเรียกว่า สรณะ พระธรรมก็เรียกว่าสรณะ พระสงฆ์ก็เรียกว่าสรณะ รวมกันเป็น ๓ สรณะเรียกว่าพระรัตนตรัย เราทุกคนคงจะเคยรับสรณาคมน์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ นี่กันมาหลายครั้งแล้ว แต่แล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้ก็ต้องยอมรับว่ายังเป็นคนโง่อยู่ คำว่าสรณะนั้นเขาแปลว่าที่พึ่ง ที่ระลึกถึง คำธรรมะแปลว่าที่พึ่งที่ระลึกถึง แต่ขอให้รู้ว่าคำธรรมะทุกคำมากจากคำชาวบ้านทั้งนั้นแหละ คำว่าสรณะนี่ถ้าเป็นคำชาวบ้านแท้ ๆ แปลว่า เรือน เรือนที่อยู่อาศัยนั่นแหละ ภาษาโบรมโบราณ คำว่าสรณะนี้เป็นชื่อของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เพราะบ้านเรือนเป็นที่พึ่งแก่เรา พอมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเราจะนึกระลึกถึงบ้าน พอระลึกถึงความปลอดภัยจะระลึกถึงบ้าน ดังนั้นคนจะวิ่งไปบ้านเมื่อมันเกิดอันตรายขึ้น ดังนั้นคำว่าสรณะนี่เคยเป็นชื่อของบ้านเรือนมาแต่โบราณกาลดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธศาสนาโน่น เพราะว่าพอเราวิ่งเข้าไปในเรือนเราก็รู้สึกปลอดภัย เหมือนกับหนูพอวิ่งเขาไปในรูขอมัน มันก็รู้สึกปลอดภัย เพราะอะไรทำอะไรมันไม่ได้ ไอ้ทีมีรู มีรัง มีโพรง มีอะไรต่าง ๆ พอมันได้เข้าไปในนั้น มันก็ปลอดภัย เมื่อมนุษย์เราได้วิ่งเข้าไปในบ้านเรือนเรารู้สึกปลอดภัย ความหมายนี้คือว่าเป็นที่ปลอดภัย เป็นที่นึกถึง เป็นที่พึ่งอาศัย แต่ว่านั้นมันที่พึ่งอาศัยทางร่างกาย ส่วนทางจิตใจมันยังไม่ได้ มันต้องมีเรือนอีกแบบหนึ่ง สำหรับที่พึ่งทางจิตใจ ดังนั้นเรือนนี้ก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาใหม่ สำหรับเป็นเรือนสำหรับจิตใจ อาศัย ปลอดภัย คู่กันเรือนที่ร่างกายอาศัยคือเรือนที่บ้านเป็นหลัง ๆ เรารู้จักสรณะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้สิ จึงจะเรียกว่าเป็นพุทธมามกะ เหมือนทุกคราวที่ทำพิธีเป็นพุทธมามกะ นับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่อาศัย พร้อมทั้งพระธรรม พร้อมทั้งพระสงฆ์ ขอให้ตั้งต้นถูกต้องอย่างนี้ในทางจิตใจ ทีนี้วัฒนธรรมไทยก็สอนให้มีการนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่เริ่มจำความได้ สอนให้รับศีล สอนให้รับสรณาคมน์ ในบ้านในเรือนทุกคราวที่มีพิธีแต่งงาน พิธีอะไรก็ตามใจ ถ้ามันมีพิธีทางศาสนา มันก็มีการรับสรณาคมน์ ดังนั้นเราโตขึ้นทุกวันก็ควรจะรู้ความหมายของสรณาคมน์มากขึ้นทุกวัน รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดียิ่งขึ้น อันนี้เป็นเรื่องทางจิตใจหรือสูงสุด ที่นี้เราจะรู้จักข้อนี้ทันทีไม่ได้ มันอยากเกินไป เราต้องจะอาศัยความรู้ของพ่อแม่ ของครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน ของครูบาอาจารย์ที่วัดวาอาราม สอนกันยิ่งขึ้นไปจนถึงกับได้รับความรู้สูงสุด เหมือนพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างไร ดังนั้นเด็กๆ จะต้องอยู่ในกรอบในวินัยจึงจะเรียกว่าเป็นเด็ก ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นคนอะไรก็ไม่รู้ เด็กก็ไม่ใช่ ผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ มันจะเป็นคนบ้าเสียมากกว่า ถ้าเป็นเด็กต้องเป็นเด็ก ถ้าเป็นหนุ่มสาวต้องเป็นหนุ่มสาว ถ้าเป็นผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้ใหญ่ ให้มันตรงตามนั้น อย่าให้มันก้าวก่าย เดี๋ยวนี้เป็นเด็กก็ขอให้เป็นเด็ก เป็นเด็กนี้ภาษาโบรมโบราณเขาเรียกว่าพรหมจารี ตั้งแต่เกิดมาจนกว่าจะแต่งงานนั้นเขาเรียกว่าพรหมจารีทั้งนั้น เป็นภาษาอินเดีย ภาษาโบรมโบราณก่อนพุทธกาล แปลว่าคนพวกนี้จะต้องเคร่งครัดต่อระเบียบวินัย จะเรียกว่าพรหมจารี ประพฤติพรหม ประพฤติเคร่งครัดในระเบียบวินัยตามที่เขามีไว้อย่างไร สำหรับเด็กเล็ก ๆ อย่างไร สำหรับเด็กโตแล้วอย่างไร เด็กวัยรุ่นอย่างไร คนหนุ่มคนสาวเต็มที่มีระเบียบวินัยอย่างไร ทุกคนถือตรงตามระเบียบ มันก็เรียบร้อยไปหมด ไม่มีเรื่องที่ยุ่งยากลำบากเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้คนมันแหกคอก แหกวินัย ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย ไม่มีความเป็นพรหมจารี อย่างเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็กอย่างนี่มันก็เรียกว่าแหกคอกแล้ว หรือว่าหนุ่มสาวที่ไม่อยู่ในระเบียบของคนหนุ่มสาว มันกลายเป็นอะไรไปแล้ว เป็นคนเน่าในไปแล้ว มันก็ไม่มีความเป็นพรหมจารี คือมันทำผิดหลักของพระศาสดา ของพระพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์หมด ปัญหาแก้ได้ง่ายนิดเดียว คือว่าทุกคนปฏิบัติให้ตรงตามหน้าที่ของตน ก่อนแต่งงานก็เป็นพรหมจารีอย่างเคร่งครัด แต่งงานแล้วก็เป็นคฤหัสถ์อย่างเคร่งครัด เป็นคฤหัสถ์เบื่อแล้วก็ออกหาความสงบก็เรียกว่า วานปรัสถ์ อย่างเคร่งครัด รู้อะไรมากแล้วก็เที่ยวสอนคนอื่นบ้าง เป็นที่พึ่งแก่คนอื่นบ้างเขาเรียกว่า สันยาสี เขาแบ่งชีวิตคนไว้เป็น ๔ ตอน นี้เป็นพรหมจารีจนถึงวันแต่งงาน เป็นคฤหัสถ์ไปจนจะพอใจ แล้วออกหาความสงบเป็นวานปรัสถ์ เหลือจากนั้นก็เที่ยวแจกของส่องตะเกียง ทำหน้าที่ครูบาอาจารย์ทางวิญญาณ โลกจะมีความสงบสุข ถ้าว่าคนมันปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ผู้รู้เขาได้วางไว้ ผู้รู้เขาวางไว้ตามกฎของธรรมชาติ ไม่ใช่บัญญัติเอาเองตามชอบใจ พระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นสัพพัญญูรู้อะไรหมด ก็ไม่ได้บัญญัติกฎเกณฑ์อะไรตามชอบใจท่าน ท่านบัญญัติตามกฎของธรรมชาติ ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติมันกำหนดไว้ เพราะเมื่อเรายังเด็กอยู่ เราจะต้องเชื่อฟังจนกว่าจะหมดเขตของความเป็นพรหมจารี จะต้องเชื่อฟังระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด อย่างบูชาระเบียบวินัยทีเดียว เด็กคนนี้ก็จะร่างกายสบายดี มีการศึกษาเล่าเรียนดี มีสติปัญญาดี มีโชคดีตลอดเวลา เพราะว่าเขาประพฤติความดีตลอดเวลา จนกว่าจะเรียนเสร็จ มันกว่าจะถึงวัยที่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ มันก็มีดีไม่มีเรื่อง ไม่มีอันธพาลในโรงเรียน ไม่มีระเบิดขวดในมหาวิทยาลัย ไม่มีอะไรเหมือนอย่างที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้มันแหกคอกแหวกแนว มันจึงเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ไม่เป็นพุทธบริษัท เป็นซาตาน เป็นพระยามาร เป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่ามันไม่ถือธรรมะ ไม่ถือระเบียบ ไม่ถือวินัย ดังนั้นพวกเราทุกคนกลัวกันให้มาก อย่าให้เป็นอย่างนั้น นี่จำไว้ว่าเป็นเด็กนักเรียนนี้จะต้องถูกจัดไว้ในพวกพรหมจารี คือประพฤติเคร่งครัดในระเบียบวินัยทุกอย่างทุกประการเลย แม้แต่ระเบียบวินัยในโรงเรียน ในการศึกษาในโรงเรียนก็เรียกว่าระเบียบวินัยจะต้องเคร่งครัดเหมือนกัน ในเรื่องศีลธรรม เรื่องจรรยา เรื่องสังคม เรื่องอะไรต่าง ๆ ก็มีระเบียบอยู่ชัดแล้วก็ต้องเคร่งครัดเหมือนกัน แล้วที่มันสูงสุดเขาคือ เขาเรียกว่า “การบังคับใจ” บังคับใจอย่าให้เกิดความชั่ว อย่าให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่าให้เกิดราคะ โทสะ โมหะนั่น ถ้าเรียกให้สั้นที่สุด “อย่าตามใจตัวเอง” คนที่เป็นพรหมจารีต้องไม่ตามใจตัวเอง คือไม่ตามใจกิเลส จะต้องสงวนรักษาระเบียบวินัย เรียกอีกอย่างว่า ”ตามใจพระพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไร จะต้องปฏิบัติเคร่งครัดและอย่ามาตามใจกิเลสของเรา อยากไปดูหนัง ก็ไปดูหนัง อยากนอนก็นอน ไม่อยากเรียกก็ไม่เรียน อยากจะด่าครูก็ด่าครู เมื่อวันสองวันนี้ มีหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า เขาบูชาครูด้วยเหล็กแหลม ที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐดูสินะ เด็กนักเรียนเขาบูชาครูด้วยเหล็กปลายแหลมเสียบอกครู ซึ่งก่อนนี้มันไม่มี นี่แสดงว่ามันเลวเต็มที่แล้ว เราอย่าไปผสมโรงกับเขาสิ ถ้าเรามีความเป็นพรหมจารีเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยแล้ว สิ่งเหล่านี้มันเกิดไม่ได้ แล้วเราบางทีก็โตขึ้นจะไปเป็นครูกันหลายคนเหมือนกัน ระวังให้ดี เป็นนักเรียนให้ดีเสียก่อน จะไปเป็นครูที่ดีได้ แล้วเราเป็นครูก็คงไม่อยากให้นักเรียนคนไหนบูชาด้วยเหล็กแหลมเสียบหน้าอก ดังนั้นกลัวกันไว้ให้มากเขาเรียกว่ามี “โอตตัปปะ” ละอายกันเสียให้มากเรียกว่า “หิริ” แต่นี้คนเช่นนั้นมันไม่ละอาย ทำผิดมันก็ไม่ละอาย จะถูกลงโทษมันก็ไม่กลัว มันไม่มีหิริโอตตัปปะ มันจึงทำอย่างนั้นได้ ถ้าเราไม่อยากจะโชคร้ายถึงขนาดนั้น มันก็ทำได้ไม่ยาก ทำได้ด้วยการเชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งเป็นครูคนแรก เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ แล้วเชื่อฟังครูบาอาจารย์ทางศาสนา เชื่อฟังพระพุทธเจ้า แล้ววัดผลกันได้ด้วยการที่ว่าเราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาข้อแรก เราจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ในโรงเรียน เราจะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนเราทุกคนไม่ว่าที่บ้านหรือที่โรงเรียน แล้วเราจะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ แล้วเป็นสมาชิกที่ดีของศาสนา คือเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า ขอให้เด็ก ๆ ทุกคนจำคำ ๕ คำนี้ไว้ ว่าเป็นลูก เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดานี้ข้อ ๑ แหละ ๒.ก็เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ๓. ก็เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนทุกคน ๔. ก็เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ๕.ก็เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า มีเท่านั้นเอง ใครทำได้ครบ ๕ อย่างนี้ คนนั้นได้สิ่งที่ดีสุด ที่สูงสุดที่มนุษย์จะควรได้ ขอให้จำไว้ อย่าเพิ่งหาว่าคนพูดนี้โง่ นึกเผื่อไว้บ้างว่าตัวเองอาจจะโง่ก็ได้ ดังนั้นอย่างเพิ่งหาว่าท่านไหนโง่ เอาไปคิดดู ว่าถ้าเราไม่เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เราจะเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นคนที่เรียกว่าจับบิดามารดาใส่นรก ทำบิดามารดาให้ร้อนใจ เราสอบไล่ตก บิดามารดาก็ร้อนใจ เราใช้เงินเปลือง บิดามารดาก็ร้อนใจ เราประพฤติเสียหายในสังคม บิดามารดาก็ร้อนใจ เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก บิดามารดาก็ร้อนใจ การเล่าเรียนก็เสียหาย หมดอะไรก็เปลือง ก็เสียหายหมด คนอย่างนี้เขาเรียกว่าเกิดมาเพื่อจับบิดามารดาใส่ลงไปในนรก ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็นที่ชื่นอกชื่นใจของบิดามารดา อย่างนั้นเขาจึงไม่เรียกว่าบุตร ถ้าเกิดมาเป็นบุตรต้องช่วยให้บิดามารดาชื่นอกชื่นใจ เหมือนกับขึ้นจากนรก เรียกว่าเกิดมาแล้วทำให้บิดามารดาร้อนใจเหมือนกับตกนรกนี้ เขาเรียกว่า “ก้อนสกปรกที่ออกมาจากบิดามารดา” ไม่ใช่บุตร ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่อะไร เป็นก้อนสกปรกซึ่งเกิดออกมาสำหรับล้างผลาญบิดามารดา ให้บิดามารดาเดือดร้อน นี่จงกลัวให้มาก จงละอายให้มาก ถ้ามันมีอะไรที่จะกระเดียดไปในทางนั้น แล้วต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เพราะว่าเราต้องการจะดี เราดีเองไม่ได้ ต้องอาศัยความรู้ผ่านทางครูบาอาจารย์ เขาสอนสืบๆกันมาไม่รู้กี่พันปี หมื่นปี แสนปีแล้วก็ได้ เขาสอนวิชาความรู้สืบ ๆ ๆ กันมาทางครูบาอาจารย์ พอเราเกิดมาเราก็ต้องรับความรู้นั้น เพราะว่าเราจะรู้เองไม่ได้ ถ้าเราจะพยายามรู้เองได้มันช้ามาก เราก็ตายเสียก่อน เราจึงต้องรับความรู้ที่ถ่ายทอดกันมา ถ้าอยากจะได้รับความรู้มาก ๆ เราต้องมีจิตใจที่ดี คือเชื่อฟัง อ่อนโยน เชื่อฟัง เคารพนับถือ กตัญญูกตเวที มีความซื่อตรงต่อการศึกษาเล่าเรียน ไม่เท่าไรเราก็ได้ความรู้มากจริง แล้วเราก็เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เช่นเดียวกับเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ที่นี้ก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน อย่ามองดูผู้อื่นด้วยสายตาที่เกลียดชัง เพราะมันเห็นแก่ประโยชน์ตัว มันจึงมองผู้อื่นด้วยสายตาที่อิจฉาริษยา เกลียดชัง เพื่อนสอบได้ดีกว่าเราเพียงคะแนนเดียวก็ชักอิจฉาแล้ว อย่างนี้จะเรียกว่าเพื่อนที่ดีของเพื่อนได้อย่างไร มันก็ต้องเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนยาก เพื่อนลำบากกัน ใครเล่าเรียนได้ดีที่สุดอย่างไรมันก็เป็นบุญของบุคคลนั้น ไอ้เราได้น้อยกว่าเขา เราก็เป็นบาปของเรา ถ้าเราดีกว่าเขามันก็เป็นบุญของเรา เพราะดังนั้นเราแข่งกันสร้างบุญ อย่าอิจฉาริษยากัน ถ้าจะแข่งกันก็แข่งกันในการสร้างบุญ สร้างความดี อย่าแข่งกันสร้างบาป ถ้ามัวแต่อิจฉาริษยากันก็คือ แข่งขันกันในการสร้างบาป แล้วมันก็จะบาปมากขึ้น บาปมากขึ้น จนไม่มีบุญแล้วมันจะแย่ อย่าทำเล่นกับบาป อย่าทำเล่นกับบุญ ดังนั้นเราต้องมีความรักเพื่อน ว่าเพื่อนก็เหมือนกับเรา ไม่ชอบความทุกข์ เพื่อนนี้ก็อยากจะดีมีความสุข เพราะดังนั้นเราเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ที่นี้โตขึ้นก็เป็นพลเมืองที่ดี ไปรู้เอาเองครูก็สอนมากอยู่แล้ว ที่นี้จะเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า ก็พยายามทำได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ง่ายนิดเดียวคือเชื่อฟังบิดามารดา พระพุทธเจ้าต้องการให้เด็ก ๆ ทุกคนเชื่อฟังบิดามารดา ท่านตรัสไว้อย่างนั้น ว่าลูกนะมีอยู่ ๓ พวก คือลูกที่ดีกว่าบิดามารดา ลูกที่เสมอกันกับบิดามารดา ลูกที่เลวกว่าบิดามารดา แต่ว่าทั้ง ๓ พวกนี้ มันสู้ลูกที่เชื่อฟังไม่ได้ ลูกที่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่นะดีที่สุด พอเราปฏิบัติอย่างนี้มันก็ได้ทั้งเชื่อฟังบิดามารดา เชื่อฟังพระพุทธเจ้า แล้วไม่ทำอะไรผิด เพราะบิดามารดา ครูบาอาจารย์ก็สอนอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าสอน ดังนั้นเราก็เป็นพุทธมามกะที่ดีไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกว่าจะโต จนกว่าจะแก่ จะเฒ่า จะตาย นะเป็นตลอดเวลา นี้เรียกว่าเรามีเป้าหมายมาตามลำดับ นับตั้งแต่เป็นศิษย์ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ แล้วก็เป็นพุทธบริษัทที่ดีของพระพุทธเจ้า ขอให้ช่วยจำไว้ ถ้าใครจำไว้ได้จะเป็นเครื่องรางคุ้มครองไม่ให้ตกต่ำไปในทางบาป ไม่ให้ตกต่ำไปในทางความเสื่อมเสีย มีแต่ความเจริญ นี้เป็นเครื่องคุ้มครอง เหมือนกับเราแขวนพระเครื่อง สำหรับพระเครื่องชนิดนี้ต้องปฏิบัติตามด้วย ต้องแขวนไว้ในใจ ไม่ต้องแขวนที่คอก็ได้ แขวนไว้ในใจคือจำให้ได้แม่นยำ แล้วก็ต้องปฏิบัติตามด้วย แล้วก็จะคุ้มครองได้ ให้เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นพุทธบริษัทที่ดี แล้วก็ได้ทั้งหมดในบรรดาสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ขออวยพรให้เด็กทุกคนประสบความสำเร็จในการเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นพุทธบริษัทที่ดีของพระพุทธเจ้า มีความเจริญงอกงามในธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา อยู่ทุกทิพพาราตรีกาลเทอญ.