แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลานี้ ๑๐ น. พอดีขอโอกาสพูดกับนักเรียนก่อน เวลาจำกัดฉะนั้นให้อภัยด้วย ตอนแรกนี้ขอคุยกับนักเรียนที่ตั้งใจมาและตั้งใจจะฟัง เรื่องที่จะพูดก็ต้องเป็นเรื่องเบ็ตเตล็ดที่นักเรียนควรจะทราบ ตามที่จะนึกได้ เวลานี้เรากำลังนั่งกลางดิน ขอให้ตั้งใจอุทิศการที่ต้องนั่งกลางดินนี่แหละ บูชาคุณพระพุทธเจ้า ถ้านั่งกลางดินนี่ไม่สบายหรือลำบากนะ ต้องตั้งใจอุทิศบูชาคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประสูติคือเกิดนะกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้านิพพานก็กลางดิน ไอ้ลูกศิษย์นี่ชอบอยู่ตึกชอบอยู่วิมานมันจะไปกันได้หรือไม่ได้ พระพุทธเจ้าประสูติสวนลุมพินีนะกลางดิน ประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็กลางดินโคนต้นโพธิ์หญ้าคารองบาง ๆ แล้วเป็นอยู่โดยมากสั่งสอนพระสาวกก็กลางดิน เหมือนกับแบบเราอย่างนี้แหละ ในที่สุดนิพพานก็กลางดิน ที่ในสวนอุทยานของมัลลกษัตริย์ ระหว่างต้นรังสองต้น ระหว่างต้นสาละสองต้น ฉะนั้นอย่าคิดเป็นอย่างอื่นในการที่ต้องนั่งกลางดินนี่อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นแล้วก็หงุดหงิด ข้อนี้แหละบูชาคุณพระพุทธเจ้า แล้วก็จะได้แก้นิสัยที่เห็นแก่ความสะดวกสบายเหลือเฟือฟุ้งเฟ้อ ไอ้นั่นเป็นข้าศึกคือเป็นกิเลส ชอบจะกินดีนอนดีทำให้มีขอบเขต จนกลายเป็นเรื่องเขาเรียกว่าวัตถุนิยม บูชาความสุขทางเนื้อทางหนัง จะต้องเป็นทุกข์ เมื่อคนที่มัวเมาวัตถุนี่แหละ ไม่ ไม่อาจจะเข้าใจธรรมะได้ ฉะนั้นเด็กนักเรียนรู้ไว้เสียเลยว่าไอ้นั่งกลางดินนี่มันเป็นเรื่องที่เป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า ผู้เกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนสาวกส่วนมากเป็นอยู่ตามกลางดิน ทีนี้เรื่องต่อไปก็อยากจะเตือนเกี่ยวกับเด็กนักเรียนในบางอย่างซึ่งอาจจะไม่มีใครเตือน ข้อที่จะเตือนก็เป็นหัวข้อง่าย ๆ ขอให้ตั้งใจจำและก็เตรียมตัวสำหรับจำ ว่าเธอทุกคนจงเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา จงเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ จงเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ จงเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า สี่อย่างนี้ก็พอ ไม่ต้องมากมายอะไรนัก สี่อย่างนี้พอ ข้อหนึ่งเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ตามความหมายของคำว่า บุตร บุตระ บุตตระ นี่ ศัพท์นี้แปลว่าผู้ยกบิดามารดาขึ้นมาเสียจากนรก ความทุกข์ระทมใด ๆ ของบิดามารดาเขาเรียกว่านรก บุตรจะยกความทุกข์ระทมทั้งหลายของบิดามารดา มีหน้าที่ชนิดนั้น ฉะนั้นเธอจงรู้ว่าเธอเป็นบุตร เป็นบุตรหญิงบุตรชายก็แล้วแต่นี่แหละ มีหน้าที่ยกความทุกข์ของบิดามารดาออกไปเสียจากอกเหมือนกันทั้งหมด เธออย่าจับบิดามารดาใส่ในนรก จะไม่ตรงกับความหมายของคำว่าบุตร เธออย่าจับบิดามารดาใส่ในนรก ด้วยการใช้เงินเปลือง เป็นนักเรียนใช้เงินเปลือง เป็นนักเรียนเกียจคร้านเล่าเรียน เป็นนักเรียนเป็นคนเจ้าชู้ตั้งแต่เด็ก เหลวไหลในการเรียนนี่แหละเรียกว่าจับบิดามารดาใส่ในนรก ไม่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ไม่เป็นบุตร เป็นแค่ก้อนสกปรกก้อนหนึ่งออกมาจากบิดามารดาเท่านั้น ไม่ใช่บุตร ต่อเมื่อเธอได้ทำหน้าที่ยกความทุกข์ความร้อนในอกในใจของบิดาได้จึงจะชื่อว่าบุตร บิดามารดามีความวิตกกังวลข้อใหญ่ก็คือว่าจะไม่มีใครสืบตระกูล จะไม่มีใครเลี้ยงดูยามแก่ยามเฒ่า หรือว่าจะไม่มีบุตรเป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาเหล่านี้แหละ เขาเรียกเป็นความวิตกกังวลเป็นความทุกข์ของบิดามารดา พอได้ลูกออกมาแล้วก็บิดามารดาก็มีความหวังว่าบุตรนี่แหละจะช่วยทำให้สมหวังในเรื่องมีเครื่องเชิดหน้าชูตา มีผู้สืบตระกูล มีผู้เลี้ยงดูในยามเฒ่ายามแก่ เขาจึงให้กลายเป็นผู้ยกบิดามารดาจากความทุกข์คือนรก ฉะนั้นขอให้เด็กทุก ๆ คนเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ข้อที่สองให้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เวลานี้สังเกตเห็นว่าเด็ก ๆ ไม่ค่อยจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนเขาเคารพนับถือครูบาอาจารย์อย่างสูงสุด เด็กสมัยนี้เห็นครูนี่แหละลูกจ้างไปเสียก็มี เป็นเพื่อนกันเสียก็มี วัฒนธรรมบ้า ๆ บอ ๆ ของพวกฝรั่งนะเขาให้ครูเป็นเพื่อนกับนักเรียน เราไม่เห็นด้วย ครูต้องเป็นปูชนียบุคคลของนักเรียน นักเรียนต้องเคารพในฐานะปูชนียบุคคลจะล่วงเกินไม่ได้ แล้วครูไม่ใช่ลูกจ้าง ถ้าครูเป็นลูกจ้างพระเจ้าพระสงฆ์ก็เป็นลูกจ้างไปหมด ครูได้เงินเดือนนะเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ อย่าต้องไปทำไร่ทำนาแล้วเอาเวลามาสอนศิษย์นะ เหมือนพระเจ้าพระสงฆ์ไม่ต้องทำไร่ทำนาไปบิณฑบาตรฉันได้นี่แหละ ไม่ต้องทำไร่ทำนา ก็เพื่อสอนสัตว์มหาชนในทางธรรม ฉะนั้นผู้ที่มีหน้าที่สูงสุดไม่มีโอกาสจะมาทำไร่ทำนาก็ต้องมีคนเลี้ยง ดังนั้นครูจึงได้รับการเลี้ยงพออยู่ได้แล้วก็สอนศิษย์ จึงไม่ใช่ลูกจ้าง แต่ว่ามีครูเลว ๆ ทำตนเป็นลูกจ้างก็มีเหมือนกัน เอาเปรียบการงานเอาเปรียบหน้าที่ ทำงานส่ง ๆ พอให้แล้ว ๆ วัน ๆ หนึ่งเพื่อจะเบิกเงินเดือนนี่ก็มี ครูชนิดลูกจ้างก็มีเหมือนกัน แต่ว่าครูที่แท้จริงไม่มีอาการชนิดนี้ บางคนเอาอาชีพครูเป็นเครื่องตั้งเนื้อตั้งตัวอย่างอื่น แบบนี้ครูนี้ไม่ใช่ปูชนียบุคคล ครูที่เป็นปูชนียบุคคลจะต้องรักเด็กเหมือนกับลูกในอก แล้วพยายามยกสถานะทางวิญญาณของเด็กให้สูงขึ้น คำว่าครูนี่แหละแปลว่าผู้นำในทางวิญญาณ ไม่ใช่พูดเอาเอง ในปทานุกรมมี ในปทานุกรมสันสกฤตที่มันเป็นกลาง ๆ จะแปลครูว่าผู้นำทางวิญญาณเสมอ ฉะนั้นครูจะต้องนำทางวิญญาณ ทีนี้ครูก็เลยกลายเป็นปูชนียบุคคลของเด็ก เด็กต้องเคารพเชื่อฟังอย่างเฉียบขาดเลย ไม่ควรจะล่วงเกินแต่ประการใด การที่ไปล่วงเกินครูทำให้เรียนไม่ดี เพราะจิตใจมันกระด้าง แล้วมันก็เรียนไม่ดี ผลของการเรียนก็ไม่ดี ฉะนั้นขอให้เคารพครูอย่างปูชนียบุคคลเหมือนสมัยโบราณนะ หัวใจมันจะดี ในการที่จะฟังคำสั่งสอนจากครู แล้วเราก็เรียนดี ได้รับประโยชน์สมตามความมุ่งหมายของการที่จะเรียน ขอให้ทุกคนเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ อย่าเห็นครูเป็นลูกจ้างหรือเรือจ้างหรืออะไรก็ตาม หรือเป็นเพื่อนกันเป็นต้น แล้วครูก็ทำตัวให้เหมาะที่จะเป็นปูชนียบุคคล เรื่องมันก็จบ ทีนี้ข้อที่สามว่าให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ข้อนี้อย่าเป็นกันแต่ปาก อย่าเพียงแต่ว่าเคารพธงชาติแล้วก็จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ มันต้องปฏิบัติให้ตรง ที่ประเทศชาติต้องการ คือช่วยกันรักษาความรอดของประเทศชาติ ทำประเทศชาติให้ก้าวหน้านี่แหละ มุ่งหมายแต่อย่างนี้แหละ ก็เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เรื่องนี้ครูสอนในโรงเรียนมากแล้ว เราไม่พูด ทีนี้เรื่องที่สี่ให้เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า คือเป็นพุทธมามกะซึ่งปฏิญาณกันอยู่ประจำปีว่าเป็น พุทธมามโกติ มํ ธาเรถะ นี่แหละ ให้เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า พุทธมามกะที่ดีไม่ใช่เพียงแต่ว่าปฏิญาณว่า พุทธมามโกติ มํ ธาเรถะ นั้นมันว่าแต่ปาก มันต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด ทีนี้สำหรับเด็ก ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก พระพุทธเจ้าสอนเรื่องให้เป็นบุตรที่เชื่อฟัง พระพุทธเจ้าจำแนกบุตรเป็นสามอย่างก่อน อภิชาตัง อนุชาตัง อวชาตัง นี่ คือบุตรที่เลวกว่าบิดามารดา บุตรซึ่งเสมอกับบิดามารดา บุตรซึ่งดีกว่าบิดามารดา นี่โดยสถานะการเป็นอยู่ เช่นบุตรสมัยนี้มักจะเรียนมากกว่าบิดามารดามีหน้ามีตาอะไรมากกว่า บิดามารดานี่เขาก็จัดว่าเป็น ดีกว่าบิดามารดา ถ้าพอเสมอบิดามารดาก็มี ต่ำกว่าบิดามารดานี่เต็มทีมาก คือทำอะไรได้เลวได้น้อยต่ำว่าบิดามารดา คงไม่มีใครปรารถนา แต่ทีนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าทั้งสามบุตรนี่ บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด บุตรที่มีฐานะดีกว่าบิดามารดาแต่มันดื้อกระด้างไม่เชื่อฟังไม่เคารพบิดามารดาก็ยังเป็นบุตรที่เลวอยู่นั่นเอง บุตรที่ดีของ ที่ดีกว่าบิดามารดานั้นต้องเป็นบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดาด้วย ถึงบุตรที่มีฐานะด้อยกว่าบิดามารดาแต่ถ้ายังเป็นบุตรผู้เชื่อฟังอยู่ก็ยังดีอยู่นั่นแหละ ถ้าบุตรเสมอกับบิดามารดาก็ต้องเป็นบุตรที่เชื่อฟังแหละจึงจะเป็นบุตรที่ดีได้ เขาจึงมาสรุปว่า อยู่ที่บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ประเสริฐสุด ถ้าเชื่อฟังบิดามารดาแล้ว เรื่องก็หมดเหมือนกัน คือไม่มีทางจะทำชั่ว ไม่มีทางจะทำเหลวไหล มีแต่สร้างความเจริญมีความสุภาพอ่อนโยนอ่อนน้อม มันเป็นสวัสดีมงคลมันก็มีแต่ความเจริญ นี่ผู้ที่เชื่อฟัง ผู้ที่มีความเคารพบิดามารดา อย่าเห็นว่าบิดามารดาโง่เขลาไม่ได้เรียนชั้นมัธยมไม่ได้ไปเมืองนอก นั่นคือความโง่ นั่นไม่เป็นเครื่องที่จะพูดว่าดีกว่าบิดามารดาได้ มันเพียงแต่ว่ามีโอกาสกว่า แล้วก็ได้ไปเล่าได้ไปเรียนมา แต่แล้วก็ไม่พ้นจากการช่วยเหลือของบิดามารดา ให้ถือว่าบิดามารดาให้ชีวิตมา ถ้าเราไม่ได้บิดามารดาเราไม่มีชิวิต ดังนั้นต้องมีบิดามารดาเป็นบุคคลสูงสุด ความปรารถนาของบิดามารดาเป็นของสูงสุดไม่ใช่ความปรารถนาของเรา ฉะนั้นอย่าเอาแต่ใจตัว เราไปบังคับบิดามารดาแบบนั้นแบบนี้ จะทำอะไรมันก็ต้องได้รับความเห็นด้วยของบิดามารดา ซึ่งบิดามารดาก็อยากให้เรียนดีอยากให้เรียนสูงอยากให้เจริญอย่างนั้นมันไม่ขัดข้องกัน แต่ถ้าสมมติว่ามันเกิดขัดข้องกันจริง ๆ ก็ขอให้เอาความประสงค์ของบิดามารดาเป็นหลักแหละ ถ้าบิดามารดาไม่ให้ไปเมืองนอกก็อย่าไปดีกว่า ทำอะไรให้ดีที่สุดให้ตรงความประสงค์ของบิดามารดานี่แหละ น่าจะนับถือ ยังเป็นบุตรที่เชื่อฟังก็มีความเจริญได้เหมือนกัน ทีนี้ไปเมืองนอกเมืองนากลับมาอย่าเข้าใจว่าดีกว่าบิดามารดา มันดีเพราะไปมีวิชามาจากเมืองนอกนะ แต่จิตใจมันอาจจะเลวกว่าก็ได้ ดีหรือชั่วนี่เขาไม่ได้วัดกันที่เรื่องวัตถุหรือข้างนอก เขาเอาจิตใจเป็นหลัก ถ้าใจมันสูงแล้วก็ดี ถ้าใจมันต่ำแล้วก็ไม่ดี ฉะนั้นจิตใจที่สะอาดสว่างสงบเป็นเครื่องวัดว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี คนที่มีจิตใจสะอาดสว่างสงบนี่เป็นคนมีความสุข เป็นคนมีคุณธรรมสูง ดังนั้นเราจะต้องถือเอาความดีที่แท้จริงนั่นแหละเป็นหลัก ไม่ใช่ว่าได้รวยได้สวยได้เกียรติได้อะไร แล้วแบบนี้ก็จะดีจะวิเศษไปได้ มันต้องมีธรรมะอีกทีหนึ่ง ความงามของร่างกายนี่แหละ เครื่องประดับประดาทางร่างกายนี่แหละ เป็นของหลอกลวง งามด้วยวิชาความรู้นะยังจริงกว่า แต่ถ้างามด้วยธรรมะด้วยกระทำแล้ว ว่าจริงที่สุด เป็นความงามที่แท้จริง ทีนี้อย่าไปตามพวกที่เป็นวัตถุนิยม โดยเฉพาะพวกฝรั่งที่เป็นวัตถุนิยมนะ มันเอาความงามทางวัตถุ เอาความงามทางกิเลส มีวัฒนธรรมให้นุ่งน้อยห่มน้อยเข้าทุกทีจนกระทั่งเปลือยกายประกวดกันอย่างนี้ นี่อย่าไปบ้าตามวัฒนธรรมภูติผีปีศาจชนิดนี้ เป็นสตรีอย่าแต่งกายชนิดที่เปิดสิ่งที่ไม่ควรจะเปิดเหมือนพวกฝรั่ง มันบาปทุกลมหายใจเข้าออกนี่ จะบอกให้ฟัง ถ้าไปแต่งตัวด้วยกระโปรงที่สั้นจนเกือบจะไม่เป็นการนุ่งนะ มันบาปทุกลมหายใจเข้าออก เพราะว่ามันมีเจตนาจะหลอกลวงจะตบตาผู้ที่เห็นนะ ผู้หญิงคนนั้นต้องการจะหลอกลวงตบตาผู้ชายที่เห็น จะได้หลงมันนี่ มันเป็นผู้หญิงที่แขวนเบ็ด เต็มไปด้วยเบ็ด อยู่ตลอดเวลาที่นุ่งกระโปรงสั้นชนิดนั้น เบ็ดนี่คือเพื่อจะหลอกลวงแล้วจะเกี่ยวเขามา พรากเอามา มันจึงเป็นบาปอยู่ทุกลมหายใจที่นุ่งกระโปรงชนิดนั้น แล้วผู้ชายก็ใจทรามอันธพาลออกแบบกระโปรงชนิดนี้ให้พวกผู้หญิงทั้งโลกหลงได้ แบบนี้ไม่เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า มันจะต้องรู้จักละอาย ปกปิดสิ่งที่ควรปกปิด เพื่อไม่ให้หิริ เพื่อไม่ให้หิริและโอตตัปปะเกิดกำเริบขึ้น คืออย่าให้ความละอายสูญหายไป รักษาความละอายไว้ได้ ต้องมีการตกแต่งร่างกายชนิดนั้น จึงจะเป็นพุทธมามกะที่ดี พุทธมามิกาที่ดี นี่มีแต่นักเรียนหญิง ถ้ามีนักเรียนชายก็จะพูดว่า ถ้าไปแต่งตัวแบบบ้า ๆ บอ ๆ นั่นก็ไม่เป็นพุทธมามกะที่ดี เป็นเรื่องหลอกลวงเป็นเรื่องโง่ เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นพุทธมามกะหรือพุทธมามกาที่ดีของพระพุทธเจ้าแล้วต้องระวังในเรื่องนี้ อย่าให้เป็นเรื่องของกิเลส อย่าให้เป็นเรื่องพ่ายแพ้แก่กิเลส อย่าให้กลายเป็นเรื่องที่ว่ากิเลสลากหัวลากคอไปหาความทุกข์ไปหานรก ฉะนั้นการศึกษาของมนุษย์เรา ต้องเพื่อชนะกิเลสไม่ใช่เพื่อเป็นทาสของกิเลส ทีนี้เวลานี้การศึกษาสมัยใหม่ของเขานี่แหละ โดยเฉพาะของพวกฝรั่งนี่แหละ มันกำลังไปเป็นทาสของกิเลสนะ ดูให้ดี ๆ นะ มันศึกษาเพื่อไปเป็นทาสของกิเลสนะ แล้วมันได้ลำบากยุ่งยากเป็นบ้าเสียสติเป็นโรคประสาทได้รบได้ราฆ่าฟันกันไม่สิ้นไม่สุด เพราะการศึกษามันนำไปสู่ความเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้ชนะกิเลส แต่การศึกษาแต่โบราณของไทยหรือวัฒนธรรมของชาวพุทธนะ ศึกษาเท่าไหร่ก็ยิ่งชนะกิเลสเท่านั้น เขามุ่งจะศึกษาในส่วนชนะกิเลสมากกว่าจะรู้ จะเรียนหนังสือ ก ข ก กา เรื่องแบบนี้ การที่ไปเล่าไปเรียน รู้มากฉลาดเฉลียวแต่เพื่อเป็นทาสกิเลสนี่แหละมันไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรดีตรงไหนเลย ทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้าน ไม่มีปริญญาไม่มีอะไร แต่เป็นผู้ที่ชนะกิเลสนี่แหละประเสริฐ ตัวเองก็ไม่มีความทุกข์ผู้อื่นก็ไม่มีความทุกข์ มนุษย์ยังดีอยู่เพราะคนเหล่านี้ ถ้าไปตามกิเลสแล้วมนุษย์ทั้งหมดเลวลง มีแต่เรื่องของกิเลส มีแต่เรื่องของลามกอนาจาร แล้วมาสมมติกันเสียใหม่ว่าไม่ลามกอนาจาร นี่การศึกษาของสมัยปัจจุบันนี่ เรียนไป เรียนไป เรียนไป จนทำให้ สมมติสิ่งที่ลามากอนาจารว่าไม่ลามกอนาจารได้นะ ดูสิ เช่นสตรีที่เปลือยกายประกวดความงามกันนี่ไม่ใช่ลามกอนาจาร นี่การศึกษาสมัยใหม่เขาเรียนกันแบบนี้ เขาอ้างเหตุผลกันแบบนี้ เขามีกันแบบนี้ นี่คือว่าการศึกษาจะนำโลกไปฉิบหาย นำโลกไปสู่ความฉิบหาย ฉะนั้นเราพยายามที่จะไม่เดินตาม เราจะเลือกเอาแต่ที่มัน จะทำให้เจริญในทางจิตทางใจนี่ ทางกายวาจาใจแหละ แล้วก็มีความสุขกันจริง ๆ ไม่ใช่มีความสุขหลอกลวง เอาแต่ร้องไห้หรือกินยาตายกันเรื่อย ๆ แบบนี้ มันก็เป็นเรื่องหลอกลวง พวกฝรั่งเรียน เรียน เรียน พอถึงมหาวิทยาลัยแล้วออกไปเป็นฮิปปี้ สูบกัญชา ว่าบรรลุนิพพานด้วยการสูบกัญชา นี่คิดดูสิ การศึกษาของฝรั่งมันดีอย่างไรล่ะ ควรจะเอาเป็นแบบหรือไปตามหลังมันได้ยังไง นี่เราเป็นคนไทยนะ อย่าลืม เราเป็นสายเลือดที่เป็นพุทธบริษัทมาแต่ พันกว่าปีแล้วนะ อย่าลืม อย่าไปโง่ถึงขนาดนั้นนะ ให้สูบกัญชา แล้วก็จะได้เสวยสุขของนิพพานนี่ มันเรื่องไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ว่าจะเลวอย่างไรจะโง่อย่างไร จะบ้าบออย่างไร ดังนั้นขอให้เด็กนักเรียนทุกคนรู้ว่าการศึกษานี่เขาทำเพื่อให้วิญญาณมันสูง จนความทุกข์ท่วมทับไม่ได้ กิเลสท่วมทับไม่ได้ ฉะนั้นขอให้เธอศึกษาเล่าเรียนด้วยความมุ่งหมายว่าจะทำให้วิญญาณสูง จิตใจสูง จนความชั่วท่วมทับไม่ได้ กิเลสท่วมทับไม่ได้นั่นแหละ จะเป็นพุทธมามกะดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาล่ะทีนี้ก็ครบสี่ข้อแล้ว หนึ่งเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา สองเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ทีนี้ข้อสามเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และข้อสี่เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า เท่านี้พอ แต่ถ้าเธอจะเลือกเอาอย่างเดียวขี้เกียจถือมากล่ะก็ ถือข้อสุดท้าย จงเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า เรารับรองว่าถ้าเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ มันจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาโดยอัตโนมัติ จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์โดยอัตโนมัติ และจะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติโดยอัตโนมัติ ขอให้เป็นพุทธมามกะของพระพุทธเจ้า ที่ดีที่ถูกต้องเท่านั้น แล้วปัญหาหมดไม่มีปัญหาอะไรเหลือ จะเป็นนักเรียนที่ดีจะเรียนชนิดที่ว่าเป็นที่พึ่งแก่ตัวได้ ฉะนั้นขอให้มองเห็นความสำคัญอันนี้ จะกลายเป็นเรื่องที่ว่า เรื่องของธรรมะ หรือพระธรรม หรือศาสนา เป็นเรื่องทางจิตใจโดยตรง ให้จิตใจดีแล้วร่างกายมันก็ดี นี่แหละเป็นหลักของพวกเราช่วยจำไว้ เป็นหลักของพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ของพวกเราต้อง ต้องถือหลักว่า ถ้าจิตใจดีแล้วร่างกายดี แต่ทีนี้มันมีพวกอื่นตรงกันข้าม พวกวัตถุนิยมเขาเรียก พวกวัตถุนิยมว่า ถ้าร่างกายดีแล้วจิตใจดี ถ้าวัตถุสมบูรณ์ ร่างกาย ถ้าวัตถุสมบูรณ์แล้วจิตใจจะดีเองว่าอย่างนั้น มันเลยสร้างกันแต่เรื่องวัตถุ สร้างกันแต่เรื่องร่างกาย บำรุงบำเรอกันแต่เรื่องร่างกาย นี่แหละพวกวัตถุนิยม แต่ว่าพวกเราเป็นพุทธบริษัทจะว่าแบบนั้นไม่ได้จะถือแบบนั้นไม่ได้ มันโง่ เราว่าจิตใจดีแล้วร่างกายจะดี คือจะดีไปด้วยกันได้ ถ้าถือว่าวัตถุดีร่างกายดีเป็นดีที่สุดแล้วก็ จะไปเป็นทาสของกิเลส คือจะไปหลงในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นอะไรนี้ เป็นเรื่องหลงใหลในวัตถุ มันจะดีไปได้อย่างไร นอกจากดีอย่างภูติผีปีศาจ เห็นแต่เรื่องสวยงาม เรื่องสนุก เรื่องอร่อย เรื่องเนื้อเรื่องหนัง ทีนี้เราใจดี คือใจสะอาดสว่างสงบนี่ ถ้าหัวใจมันเป็นแบบนี้แล้วร่างกายมันจะเลวไปได้อย่างไร เพราะจิตใจมันให้ร่างกายทำไปตามความรู้สึกของจิตใจ มันจึงเป็นร่างกายที่พลอยสะอาดสว่างสงบไปด้วย นี่เรียกว่าดี นี่เรียน ๆ ๆ อย่างแบบใหม่ อย่างแผนใหม่ อย่างฝรั่งนี่ อย่าไปบ้าจนกลายเป็นวัตถุนิยม ระวังให้ดี ๆ ไอ้สิ่งที่เรียกวัตถุนิยมนั่นแหละ ทำให้เกิดรบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุดอยู่เวลานี้ ฉะนั้นเรามันต้องเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ต้องนิยมในธรรมะ นิยมในทางจิตทางวิญญาณ เรียกว่าธรรมนิยม วิญญาณนิยม มโนนิยม อะไรก็แล้วแต่จะเรียก แต่ไม่ใช่วัตถุก็แล้วกัน วัตถุนะสำหรับเป็นทาสเป็นบ่าว เป็นเครื่องใช้เครื่องรับใช้ จิตนี่แหละเป็นนาย ถ้าจิตดีแล้วก็ควบคุมบ่าวดี นายดีก็ควบคุมบ่าวดี จิตดีมันควบคุมร่างกายดี ดังนั้นเราก็รอดตัว นี่แหละรวมความว่า ให้ตั้งหน้าตั้งตาเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้าเป็นข้อแรก แล้วมันก็จะลากไปเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นพลเมืองที่ดีมาเอง นี่พูดสำหรับลูกเด็ก ๆ เห็นว่าสำคัญในข้อนี้ ให้ท่องให้ภาวนาว่าจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาไม่จับบิดามารดาใส่ในนรก แต่ว่ายกบิดามารดาขึ้นจากนรก ถ้าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ให้ครูบาอาจารย์ชักจูงในทางจิตทางวิญญาณไปสู่เบื้องสูง ถ้าเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ คือช่วยกันสร้างความรอดและความเจริญให้กับประเทศชาติ แล้วก็เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า คือสมกับว่าเป็นมนุษย์มีใจสูงไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน แล้วปัญหาก็จะหมด จะไม่ต้องร้องไห้ จะไม่ต้องฆ่าตัวตาย จะไม่ต้องทำอะไรที่ไม่ควรทำ เพราะมีความสุขสบายดี
ทีนี้เรื่องต่อไปก็อยากจะพูดรวมกันเลย ทั้งสำหรับนักเรียนและทั้งสำหรับผู้ใหญ่นี่ คือเรื่องสวนโมกข์นี้ เรื่องที่สถานที่นี้ ก็ได้นามว่าสวนโมกข์นี้ ชื่อที่เรียกมาแต่เดิมตั้งแต่ พ.ศ. ๗๕ นะ เรียกว่าสวนโมกขพลาราม แปลว่าป่าไม้เป็นกำลังสำหรับพ้นทุกข์ โมกขะ แปลว่าพ้นทุกข์ พละ แปลว่ากำลัง อารามแปลว่าป่าไม้ โมกขพลาราม ป่าไม้เป็นกำลังสำหรับความหลุดพ้นจากความทุกข์ ก็หมายความว่าในป่านี้ในสวนนี้ จัดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือให้คนเราดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ได้โดยง่าย โดยอาศัยอำนาจของธรรมชาติ ไม่มีสิ่งไหนจะมีอำนาจยิ่งไปกว่าธรรมชาติ ให้นักเรียนไปศึกษาดูเถอะ หรือผู้ใหญ่ก็ศึกษาดู ไม่มีอะไรมีอำนาจยิ่งไปกว่าธรรมชาติ อย่าอวดดีเหมือนพวกฝรั่งว่าจะเอาชนะธรรมชาติ แต่ถ้าจะเอาชนะธรรมชาติต้องเอาธรรมะเข้ามา ซึ่งเป็นธรรมชาติอีกเหมือนกัน ธรรมะนี่เป็นธรรมชาติอีกเหมือนกันแต่มันเหนือกว่า ธรรมชาติสอนดีกว่าคนสอน เพราะธรรมชาติมันสอนลงไปจริง ๆ เรื่องสุขเรื่องทุกข์เรื่องอะไรต่าง ๆ มันสอนจริง ๆ เช่นเรื่องความเจ็บความไข้มาสอนนี่มันสอนจริง สอนให้คนเรารู้จักว่า อะไรเป็นอะไรจริง ๆ ความตายนี่มาก็เพื่อมาสอน ให้ฉลาดในการที่จะต่อต้านความตาย แต่เราไม่รับนี่ ไม่เอานี่ พอเจ็บไข้มาก็ร้องอู้ เป็นคนโง่ไปเลย ความตายมาก็เป็นคนขี้ขลาดไปเลย มันจะต้องสามารถใช้ทุกสิ่งนี่แหละเป็นผู้สอน เป็นการสอน ทีนี้ที่ใกล้ชิดที่สุดที่เกี่ยวกับสถานที่นี้ ที่เรียกว่าสวนโมกข์นี้ เราต้องการให้ธรรมชาติเหล่านี้สอน พอคนมา เข้ามาในบริเวณนี้แล้วสบายใจ นี่ลองถามดู ทุกคนรู้สึกว่าสบายใจ แต่ทีนี้คนเหล่านั้นไม่สนใจว่าเหตุอะไรจึงสบายใจ ปล่อยให้ผ่าน ๆ ไป กลายเป็นเรื่องสนุกสนานมาเที่ยว มันก็เลยโง่ไปตามเดิม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดมาที่ชนิดนี่จึงสบายใจ ธรรมชาตินั้นตั้งใจจะสอน ว่าพอมาถึงนี่แล้ว จะต้องรู้เรื่องความสบายใจหรือความสุข แต่คนมันเป็นนักเรียนที่โง่ ไม่สนใจไม่ศึกษาไม่ติดตาม ถ้าสนใจศึกษาติดตาม ก็จะรู้สึกได้ว่าพอเข้ามาในธรรมชาติชนิดนี้แหละ ธรรมชาติชนิดนี้มันทำให้ลืม ลืมตัวกู ลืมของกู ความรู้สึกยึดมั่นว่าตัวกูบ้าง ว่าของกูบ้าง มันทำให้เป็นความทุกข์หนักขึ้นอยู่ตลอดเวลา ที่บ้านที่เรือนที่ไหนก็แล้วแต่ แต่พอมาที่นี่แบบนี้ ธรรมชาตินี่ช่วย มีอิทธิพลทำให้ลืมไปเสียพักหนึ่ง ลืมตัวกูของกู คือลืมวิตกกังวล ลืมความรับผิดชอบ ลืมความยึดมั่นถือมั่น มันจึงสบายใจ มีรสชาติเหมือนกับนิพพาน ผิดกันแต่ว่ามันเป็นของชั่วคราว ความสบายใจที่สุดของเรานี้จะเป็นชั่วคราวเท่านั้น เพราะเรายังไม่หมดกิเลส กลับไปถึงบ้านมีกิเลสกลับถึงที่อื่นก็มีกิเลส ก็ร้อนอีก ไม่เย็น ซึ่งเย็นก็เพราะอยู่ที่ว่าธรรมชาตินี่ช่วยจัดให้ชั่วครู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังดี นี่แหละเป็นบทเรียนของการเรียน ถ้าใครฉลาดก็เรียน เรียนให้เข้าใจกันทีว่า อ้าว, ความสุข ความไม่ทุกข์นี่มาจากความที่ไม่มีตัวกูของกู ดังนั้นเราต้องทำจิตใจให้ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกู แล้วจะได้มีความสุข แล้วจะได้มีปัญญา แล้วจะได้ปฏิบัติการงานดี การงานจะสนุก การงานไม่เป็นทุกข์ เมื่อเรากำลังสบายใจชนิดนี้ เอาสิจะคิดทำอะไรตรงนี้ จะคิดทำงานอะไร จะขุดดิน ฟันไม้ จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะสนุก เพราะใจมันสบาย การงานสนุก พอใจมีตัวกูของกูเข้ามากลัดกลุ้มแล้วมันจะเป็นทุกข์ไปเสียหมด แม้แต่จะกวาดขยะสักทีนึงนี่ก็มีความทุกข์แล้ว คืออิดหนาระอาใจไม่อยากจะทำนั่นเอง เห็นแก่ตัวกูของกู นี่ขอให้จำกันไว้ทุกคนว่า ถ้าจิตกลัดกลุ้มไปด้วยตัวกูของกูการงานเป็นทุกข์ ถ้าจิตว่างจากตัวกูของกูการงานนั่นเองกลับเป็นสุข ไม่ใช่เงินนะ ตัวการงานแท้ ๆ แหละ มีความสุขได้ ถ้าจิตมันว่างสบายมันพอใจสนุกเป็นสุขในการงาน ที่เป็นสุขในเงินนั่นเป็นความสุขของกิเลส ถ้ามันมีความสุขในเงินแล้วมันจะไม่รู้สึกเป็นสุขในการงาน ดั้งนั้นคนเหล่านั้นจะคอรัปชั่นจะเอาแต่เงิน แต่งานไม่ทำ หรือทำน้อยหรือโกง ไอ้พวกที่ว่าเห็นเงินเป็นพระเจ้านะ แต่เงินกับงานนี่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ไอ้งานเป็นของประเสริฐทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ เป็นบทเรียนที่ดี ส่วนเงินสำหรับทำให้หลงใหลระวังให้ดี ฉะนั้นเราต้องบูชาการงานอย่าบูชาเงิน ให้เงินมันอยู่ใต้ฝ่าตีน ให้งานอยู่บนหัว ไอ้คนบูชาเงิน เงินอยู่บนหัวงานอยู่ใต้ฝ่าตีน ตรงกันข้าม ไม่บูชางานแต่ไปบูชาเงิน คนบูชาเงินจะต้องมีจิตใจเป็นภูติผีปีศาจเสมอ ไปตรวจสอบเอาเองแหละ คนที่จะบูชาการงานแล้ว คนนั้นเป็นจิตใจเป็นสัตบุรุษ เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้รู้ความจริงของธรรมชาติ พอใจในการงาน มีความสุขจากการงาน สนุกเมื่อทำงาน เป็นสุขเมื่อทำงาน ไอ้เงินนั้นเอาไว้เป็นบ่าวสำหรับอำนวยความสะดวก นี่แหละจิตที่สะอาดที่ไม่มีเจือด้วยกิเลสจะพอใจในการงาน เห็นว่าการงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม แต่ฟังให้ดี ๆ ว่าการทำงานให้เรียบร้อยนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม เพราะว่าจะปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนี่งก็ต้องปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว ในตัวมันเอง สมมติว่าจะทำงานนี่นะ เราต้องอดทน ต้องยอมเหนื่อย นี่เขาเรียกว่ามีขันติ ธรรมะข้อขันติ เราต้องพากเพียรนี่เป็นธรรมะข้อวิริยะ แล้วเราต้องฉลาดรอบคอบ นี่เป็นธรรมะข้อสติสัมปชัญญะ หรือว่าเราจะต้อง ต่อสู้จนกว่าการงานจะสำเร็จ แบบนี้แหละ มันเป็นการบำเพ็ญบารมีชนิดหนึ่ง แต่ผลสุดท้ายไอ้การงานนี่มันจะสอนให้เรารู้ว่าโลกนี้คืออะไรชีวิตนี้คืออะไร เมื่อเราทำงานมากเข้า ๆ เหน็ดเหนื่อยมาก ๆ เข้า กระทั่งเป็นคนสูงอายุแบบนี้แล้ว จะรู้ทีเดียวว่าชีวิตนี้คืออะไร เงินคืออะไร ความสุขคืออะไร ความทุกข์คืออะไร นี่ก็รู้ธรรมะกันทั้งนั้น ดังนั้นขอให้ปฏิบัติการงานให้ดีแล้วจะเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในตัว ในตัวการงาน แล้วเป็นบุญอยู่ในตัวของการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ปฏิบัติธรรมได้ คือทำการงานที่ถูกต้องอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่ามาบวชเป็นพระเป็นเณรแล้วก็จะถือว่าปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ ชาวบ้านอยู่ที่บ้านทำการงานในหน้าที่ให้ดี นั่นเป็นการปฏิบัติธรรม แล้วควบคุมให้อย่าให้เห็นแก่ตัวด้วย เพราะถ้าเห็นแก่ตัวแล้วเป็นการงานของภูติผีปีศาจไปเลย ถ้าเห็นแก่ธรรมแก่ความดีความจริงความถูกต้องแล้วก็เป็นการงานของมนุษย์ นี่เราจะต้องบูชาความจริงความดี ความตรงความถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัวแต่เห็นแก่ธรรม มันมีอยู่สองแง่เท่านั้น คนที่เห็นแก่ตัวจะไม่เห็นแก่ธรรม คนที่เห็นแก่ธรรมจะไม่เห็นแก่ตัว ทีนี้เราปฏิบัติงาน ทำการงานมันคือการปฏิบัติธรรม เห็นแก่ธรรมอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องไม่เห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา ไอ้ความเห็นแก่ตัวนี่เอาออกไปเสีย ทุกศาสนาเขาจะสอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาไหนไม่สอนเรื่องความเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่สอนเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัวแล้ว ศาสนานั้นใช้ไม่ได้ หมายความว่าศาสนาไหนสอนแต่เรื่องความเห็นแก่ตัว ศาสนานั้นใช้ไม่ได้ ศาสนาที่สอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัวศาสนานั้นใช้ได้ แล้วคุณดูเถอะ ศาสนาคริสต์ อิสลามอะไรก็ตามแต่ จะสอนเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น พุทธศาสนานี่ยิ่งที่สุดเลย ไม่ให้มีตัวไม่ให้มีของตัว เรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา นี่ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาคริสต์ก็สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวให้รักเพื่อนบ้านยิ่งกว่าตัว ศาสนาอื่นมีพระเจ้าก็สอนให้ทำตามพระเจ้าอย่าทำตามกิเลสของตัว ให้ทำตามคำสั่งของพระเจ้าอย่าทำตามกิเลสของตัว มันล้วนแต่ให้ทำลายความเห็นแก่ตัว จึงถือได้ว่าความไม่เห็นแก่ตัวนี่เป็นหลักใหญ่ทั้งหมดในการปฏิบัติ ไม่เห็นแก่ตัวจะเห็นแก่ใคร เห็นแก่พระธรรมเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความดีความจริงความถูกต้อง ถ้าอยากจะมีตัว ให้เอาพระธรรมมาเป็นตัวอย่าเอากิเลสมาเป็นตัว ไอ้ความเห็นแก่ตัวนี่มันเป็นเรื่องของกิเลส ตัวกิเลสเป็นตัว แต่ถ้าเราเห็นแก่พระธรรม พระธรรมมาเป็นตัวแบบนี้จะไม่เป็นไร มันเห็นแก่ธรรม มันจะรบกันอยู่ระหว่างของสองสิ่งนี้แหละ คือตัวกับธรรม เห็นแก่ตนกับเห็นแก่ธรรม อย่างหนึ่งเป็นยักษ์อย่างหนึ่งเป็นมนุษย์แหละ เห็นแก่ตัวของกิเลสนี่เป็นยักษ์ เห็นแก่ธรรมก็เป็นมนุษย์ ธรรมะกับอธรรมต่อสู้กันอยู่อย่างยืดยาวตามธรรมชาตินี่แหละ เราต้องอยู่ฝ่ายธรรมะไว้เสมอ เห็นแก่ธรรมอย่าเห็นแก่ตัว มันก็เลยกลายเป็นว่า เป็นพุทธบริษัท ก็จะสมชื่อคือไม่มีความทุกข์ ถ้ามีความทุกข์มีความหม่นหมองไม่ ไม่เป็นพุทธบริษัท ถ้าเป็นพุทธบริษัทต้องมีความสุขมีความสะอาดสว่างสงบมีความแจ่มใส พุทธะ พุทธะ คำนี้แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นักเรียนจำไว้ให้ดีด้วยว่าคำว่า พุทธะ หรือ พุทโธ แปลว่า รู้หรือตื่นหรือเบิกบาน รู้คือรู้สิ่งที่ควรรู้ ตื่นคือไม่หลับ หลับคือโง่ แล้วก็เบิกบานคือแจ่มใสไม่มีความทุกข์ ถ้าเราจะเป็นพุทธมามกะหรือเป็นพุทธบริษัทต้องมีความรู้ มีความตื่น มีความเบิกบาน ไม่ทุกข์ นี้เราจะศึกษาเรื่องจิตที่ไม่มีความทุกข์ได้ในเมื่อมาที่นี่แบบนี้ ไม่เชื่อลองสังเกตดูลองพิจารณาดู ที่นี่เรากำลังสบาย เพราะที่นี่ไม่มีความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว เวลานี้เธอกำลังไม่เห็นแก่ตัวเพราะมันลืมไปว่ามีตัว ก็เลยสบายที่สุด ทีนี้เราเอาจิตใจชนิดนี้กลับไปบ้าน กลับไปถึงบ้านกลับไปถึงโรงเรียน จงมีจิตใจที่สบายชนิดนี้เรียนหนังสือ แล้วทำการงานด้วยจิตใจที่สบายชนิดนี้ แล้วการงานจะสนุกอยู่ในการงาน แล้วการงานจะได้ผลดี ให้ผลดี ผู้ทำไม่มีความทุกข์มีแต่ความสุขทั้งกายและใจ ขอให้ธรรมชาติต้นไม้ก้อนดินที่นี่มันสอนในลักษณะเช่นนี้ เข้าใจแล้วพากลับไปบ้าน ให้เป็นผู้ที่รู้ว่า เออ, ไอ้ความสุขนี่เกิดต่อเมื่อเราไม่มีตัวกูของกู เหมือนกับคนสิ้นเนื้อประดาตัวนั่นแหละ ชีวิตก็ไม่ได้นึกถึงเลย เมื่อนั้นจะมีความสุขที่สุด แต่ว่ามันประหลาดที่ว่าเวลานั้นทำการงานได้และทำการงานสนุก นี่ให้เข้าใจข้อนี้แล้วก็พอ เมื่อได้รับความพอใจความสุขชนิดนี้ เขาเรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ นี่เรากำลังเรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ มหรสพทางวัตถุทางเนื้อหนังนั่นอยู่ที่ตลาด โรงหนังโรงละคร กินเหล้าเมายาอะไรนี้เป็นมหรสพทางเนื้อหนัง เป็นมหรสพของภูติผีปีศาจ เอ้า,ไปเถอะ แต่ไปที่ตลาด ไปที่บาร์ไปที่ไนท์คลับไปที่ไหนก็ตามใจ ล้วนแต่เป็นมหรสพทางเนื้อหนังของภูติผีปีศาจ ทีนี้มาหาความสะอาดสว่างสงบตามธรรมชาติ นี่แหละเป็นมหรสพทางวิญญาณของพระธรรมหรือของพระพุทธเจ้า คือช่วยให้มีจิตใจสะอาดสว่างสงบ แล้วมีความพอใจเหมือนกับมหรสพชนิดนั้นเหมือนกัน ไอ้นู่นมันคนบ้า พอใจมันก็พอใจเท่านั้นแหละ ไอ้นี่มันคนดีพอใจมันก็พอใจเท่านั้น อำนาจของความพอใจมันพอกันแต่มันคนละอย่าง เหมือนสัตว์ที่ชอบกินอุจจาระก็มันว่าอุจจาระอร่อยแหละ ส่วนสัตว์ที่กินข้าวก็ว่าข้าวปลาอร่อยสิ แต่ความอร่อยมันจะรู้สึกเท่า ๆ ทีนี้เรามีมหรสพทางวิญญาณ คือเอาธรรมะและธรรมชาติ เป็นวัตถุสำหรับแสวงหาความสุขใจนี่ ทั้งวัดเลยมีธรรมชาติที่จะช่วยให้ศึกษาเรื่องนี้ได้ นี่พูดไปมันก็ลำบากมาก มันมากมาย โดยเฉพาะที่สระนาฬิเกร์ นั่นแหละเพื่อจะสอนมหรสพทางวิญญาณ นิพพานกลางวัฏสงสาร คือหัวใจของเรานี่เดี๋ยวเป็นวัฏสงสารเดี๋ยวเป็นนิพพาน หัวใจของเราก้อนเดียวนี่แหละ หรือจะเรียกว่าสมองก็แล้วแต่ พอตัวกูของกูเกิดขึ้นมา หัวใจนั้นเต็มไปด้วยวัฏสงสารคือความทุกข์ พอหัวใจมันว่างจากตัวกูของกูเวลานั้นหัวใจกำลังเต็มอยู่ด้วยนิพพาน เหมือนกับว่ามาแล้วสบายใจที่นี่ นี่คือกำลังว่างจากตัวกูของกูหัวใจกำลังเต็มไปด้วยนิพพาน พอกลับไปคิดถึงเรื่องตัวกูของกูมีความทุกข์อีกก็เป็นวัฏสงสาร มะพร้าวนาฬิเกร์กลางทะเลขี้ผึ้งนี่คือว่านิพพานกลางวัฏสงสารไปดูให้ดี ๆ นี่มาสวนโมกข์ต้องเข้าใจข้อนี้แล้วก็กลายเป็นธุดงค์ ไม่ใช่มาทัศนาจรบ้า ๆ บอ ๆ ขออภัยพูดตรง ๆ เวลามันน้อยนะ ไม่ใช่มาทัศนาจรบ้า ๆ บอ ๆ มาเพื่อธุดงค์ มาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในพระธรรม โดยอาศัยธรรมชาติเป็นครู พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนั้น ต้องเรียนจากธรรมชาติโดยตรง ทั้งวัดนี้เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ ตัวมหรสพนั่นคือพระธรรม ตัวโรงมหรสพนั่นคือทั้งหมดนี้รวมทั้งตึกหลังนี้ด้วย เป็นโรงมหรสพ นี่เป็นโรงมหรสพที่แสดงมหรสพด้วยภาพ คือสอนธรรมะด้วยภาพที่เขียนขึ้น แต่ว่าทั้งหมดนี้มันเป็นโรงมหรสพที่สอนด้วยธรรมชาติ ต้นไม้ ก้อนดิน ก้อนหิน ก้อน เม็ดทรายอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีความฉลาดพอจะได้ยินพูด ถ้าใครไม่โง่เกินไปจะได้ยินต้นไม้พูด จะได้ยินก้อนหินพูด จะได้ยินเม็ดทรายพูด มันพูดว่าเย็น มันพูดว่าหยุด มันพูดว่าสงบนะ มันพูดว่ามนุษย์อย่าบ้าไปนักเลย หยุดกันเสียบ้างเย็นกันเสียบ้าง นี่ต้นไม้มันพูดแบบนี้ ก้อนหินก็พูดแบบนี้ ก้อนดินก็พูดแบบนี้ ไส้เดือนก็เขียนจดหมายถึงมนุษย์อยู่เสมอบอกเรื่องนี้ ลายขี้ไส้เดือนกลางดินนะ มันเขียนถึงมนุษย์ว่าให้หยุดบ้ากันเสียที แต่มนุษย์มันไม่อ่าน นี่แหละรูปภาพในนั้นมี ไปดูในหนองสาหร่ายกำลังเขียนพระไตรปิฎก เพราะว่าสาหร่ายละเอียดมากมีลวดลายต่าง ๆ ครบถ้วนในบรรดาความหมายที่มนุษย์จะนึกได้ นี่เขาเรียกว่าสาหร่ายกำลังเขียนพระไตรปิฎก แต่มนุษย์มันก็ไม่อ่าน รูปภาพในนี้มีไปอ่านดู นี่แหละเรื่องมหสพทางวิญญาณ หมายความว่าได้รับความพอใจเพราะความรู้อันนี้แล้ว มันก็เรียกว่าได้สิ่งสบายใจที่สุดเป็นมหรสพทางวิญญาณ เรามีโรงมหรสพทางวิญญาณไว้เพื่อให้ความสะดวก ไว้เพื่อให้ความสะดวก ว่ามาวันเดียวสองวันนี่ได้ความรู้ทางธรรมะเท่ากับศึกษาตั้งปี สองปี สิบปี ถ้าคุณเรียนธรรมะจากธรรมชาติได้นี่ วันเดียวเท่านั้นแหละ จะรู้ธรรมะมากเท่าเรียนพระไตรปิฎกตั้งสิบปียี่สิบปี นั่นมันเรียนหนังสือ มันโง่ ไปเอาหนังสือเป็นพระธรรม ในนั้นมันมีรูปเต่าอยู่ตัวหนึ่ง บนหลังเต่ามีหนังสือวางอยู่ ทีนี้คนมันถึงว่าโอ้ย,ไอ้เต่าบ้า เต่าโง่ พระธรรมอยู่บนหลังแล้วก็ยังไม่รู้ แล้วเต่ามันก็บอกว่า มึงนั่นแหละโง่ คนนั่นแหละโง่ ไอ้ที่บนหลังนะมันกระดาษ สมุดกระดาษ ไอ้ตัวกูแหละพระธรรม เต่าว่าแบบนั้น นี่รูปในนี้มีไปดูเถอะ ก็หมายความว่าเต่านั่นเขาหมายถึงเต่าหินตาบอดหูหนวกอย่างนั้น คือว่าเต่า ในทีนี้หมายถึงมันเป็นเต่าลงไปโดยเหตุที่ว่า ตานี่แหละ มันไม่ไปรับเอารูปสวย ๆ มาปรุงกิเลส หูนี่มันไม่ไปรับเอาเสียงเพราะ ๆ มาปรุงกิเลส จมูกก็ไม่ไปรับเอากลิ่นหอม ๆ มาปรุงกิเลส ไอ้ลิ้นก็ไม่ไปเอาอร่อย ๆ มาเป็นกิเลส ไอ้ผิวหนังก็ไม่หาสัมผัสเพื่อเกิดกิเลส นี่แหละเต่า เมื่อคุณว่าเต่ามันโง่นะ ถ้ามันโง่ก็มันเลยไม่ไปรับอะไรมาปรุงกิเลสแหละ มันเฉยเสียแหละ เต่ามันก็ว่า นี่แหละพระธรรม กูนี่พระธรรม บนหลังนั้นกระดาษ หรือใบลาน คนก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร คนก็หายโง่สิแบบนั้น นี่ขอให้ศึกษากันในรูปนี้ ในการที่มานี้มาที่วัดนี้ซึ่งจัดโรงมหรสพทางวิญญาณ แล้วต้องศึกษาชนิดนี้จึงจะได้รับความพอใจสูงสุด เหมือนกับพวกบ้า ๆ ไปหาความพอใจทางโรงหนังโรงละครตามบาร์ตามไนท์คลับ เขาก็ได้รับความพอใจสูงสุดเขาเหมือนกัน เราก็ได้รับสูงสุด แต่ของเรามันเย็นของเขามันร้อน มีเท่านั้น ไอ้นู่นเป็นเวทนาที่ร้อน ไอ้นี่เป็นเวทนาที่เย็น ต่างกันเท่านี้ โรงมหรสพตามธรรมดาให้เวทนาที่ร้อน ความสุขที่ร้อน สุขก็สะกดไหม้เกรียมไปเลย โรงมหรสพทางวิญญาณนี่ให้ความสุขที่เย็น ไม่เผาไม่ไหม้ไม่อะไร มันเยือกเย็น ต่างกันแบบนี้ รู้จักแยกโรงมหรสพเป็นสองโรง โรงทางฝ่ายเนื้อหนังอย่างหนึ่ง โรงฝ่ายวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง นี่สวนโมกข์นี่แหละ มุ่งหมายจะเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ อะไร ๆ ก็มุ่งหมายทั้งหมดเลย ตึกหลังนี้ก็ตาม มะพร้าวนาฬิเกร์นี้ก็ตามทุกอย่างแหละ ขอให้พยายามมีตา หู ฉลาด ดู ฟังในมหรสพทางวิญญาณกันเสียบ้าง ไม่เสียทีเหน็ดเหนื่อยลำบากมาจากชุมพร มาจากฉวาง ไม่เสียเงินเปล่า ถ้าไม่ได้สิ่งเหล่านี้มันเหมือนกับเสียเงินเปล่าแหละ คือได้โง่ไปกว่าเดิมมาหลงใหลอะไรมากไปกว่าเดิม แต่ถ้าได้ความรู้ความเข้าใจอันนี้แล้วก็ได้สิ่งที่ประเสริฐเกินค่า เกินราคา เกินเรี่ยวแรงเวลาที่สละเหน็ดเหนื่อย นี่แหละเรื่องที่จะพูด น่าฟังไม่น่าฟังก็ตามแต่ ไม่น่าฟังก็เลิกกัน เข็ดหลาบก็อย่ามาอีก มันไม่มีอะไรจะพูด พูดเรื่องมหรสพทางวิญญาณ คือสวนโมกข์นี้มันมีอยู่แบบนี้ แล้วขอให้มาอย่างธุดงค์อย่ามาอย่างทัศนาจร มาให้จิตใจสะอาดสว่างสงบยิ่งขึ้นทุกที นี่ขอให้เข้าใจเช่นนี้แหละ ทั้งเด็กนักเรียนทั้งพ่อแม่ทั้งหลายนี่แหละ ว่าวัดนี้คือแบบนี้ ก้อนหินพูดได้ ต้นไม้พูดได้ ก้อนดินพูดได้ คนไม่ได้ยินเอง แล้วไม่ต้องโทษใคร เอาแหละขอแสดงความยินดีในที่สุด ว่าอุตส่าห์มากันถึงนี่ ได้พบได้ปะได้เห็นได้มีโอกาสช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฉันก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตามหน้าที่ที่เป็นภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้า รับใช้พระพุทธเจ้าจึงพูดชนิดนี้ จึงชี้แจงชนิดนี้ ขอให้มีความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้นในจิตในใจ มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดามีความสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ