แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้าจะถือโอกาสพูดแนะนำให้รู้จักสถานที่ พร้อมกับที่จะพูดเรื่องที่ตั้งใจจะพูดหรือควรจะพูดพร้อมไปในคราวเดียวกันเลย ที่มาถึงที่นี้ผู้ที่มาถึงที่นี้ควรจะได้อะไรให้คุ้มกันนั้นน่ะคือเรื่องที่ตั้งใจจะพูด ส่วนที่เกี่ยวกับสถานที่นั้นก็พอจะรู้กันอยู่แล้วว่าที่นี่เรียกว่าสวนโมกข์ เพราะสวนโมกข์ก็คือที่สงวนไว้เป็นป่าตามธรรมชาติ ไม่แตะต้องคือบริเวณบนภูเขานี้ ส่วนข้างล่างนั้นมีการก่อสร้างเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติไป แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามจะให้รักษาความเป็นธรรมชาติไว้เหมือนกันให้มากที่จะมากได้ งั้นเดี๋ยวนี้เรามานั่งอยู่ที่สวนโมกข์แล้ว ตามทางการวัดนี้เรียกวัดธารน้ำไหล เขาเรียกชื่ออย่างนั้นกันอยู่ก่อนแล้ว ธารน้ำไหลหรือดาลน้ำไหล แล้วภูเขานี้เรียกว่าภูเขาพุดทองมาแต่ก่อน เราซื้อที่ดินรอบภูเขา ขอเขาบ้างซื้อเขาบ้างได้รอบภูเขาๆก็ได้ฟรีโดยอัตโนมัติ ถ้าตามกฎหมายนี้เขาไม่ให้ใครซื้อขายหรือจำจอง แต่เนื่องจากซื้อที่ดินรอบหมดก็เลยตกเป็นของวัดไปโดยอัตโนมัติ ที่เรากำลังนั่งอยู่นี้ และขอให้สังเกตดูว่าเนี้ยมันเป็นซากโบราณสถานไม่ใช่เราจัดขึ้นใหม่ เพียงแต่เรามาตกแต่งใหม่ จะเป็นตามธรรมชาติเองอย่างนี้ไม่ได้ รอบมีหินจัดไว้รอบเพื่อกันดินผังเป็นพระปลอมขนาดนี้ มีพระเจดีย์ที่นี้ขโมยก็ขุดหาของพังทลายไปแล้วก่อนหน้าเรามาอยู่ นี่ถ้าดูตามก้อนอิฐที่มีอยู่นี้เป็นสมัยเดี๋ยวกันกับวัดพระธาตุ เพราะฉะนั้นธารานี้จะต้องมีอายุตั้งพันสองร้อยปี ที่เรามานั่งทับกันอยู่ มันร้างไปหลายร้อยปีหรือตั้งพันปี จนกระทั่งเขาเอาเป็นที่ปลูกต้นไม้ทำไร่ด้วยกันโดยรอบ เหลืออยู่แต่บนนี้ แล้วก็เคยถูกพายุเคยล้มไปหมดเพิ่งขึ้นใหม่ในระยะไม่กี่ร้อยปีถึงขนาดนี้ ทุกๆภูเขาที่มีขนาดเท่านี้จะมีอย่างนี้ทั้งนั้นและเป็นแถว เว้นแต่เขาใหญ่นั้นมันใหญ่มากยาวมากก็มีเป็นย่อมๆแสดงว่า ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษครั้นกระโน้นสนใจในศาสนาหรือในธรรมะกันมาก ที่เกี่ยวกับสถานที่นี้ เรากำลังนั่งอยู่ในที่ที่คนเมื่อสมัยพันกว่าปีเคยจัดไว้ ทำไว้ เป็นคนที่สนใจในพุทธศาสนาเป็นแน่นอน ที่นี้ก็มาถึงเรื่องที่เป็นความรู้หรือเป็นคติอะไรเกี่ยวกับผู้ที่มาที่นี้ คำว่ามาสวนโมกข์ก็หมายความมาดูที่อย่างนี้ ที่จะดูออกหรือเข้าใจหรือไม่เข้าใจนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ที่อยากจะให้เข้าใจ จำง่ายไม่ลืม ก็อยากจะพูดให้เป็นเรื่อง เป็นสาระคติ คดีอะไรสักชิ้นหนึ่ง เพื่อให้รู้จัก สถานที่นี้ดีพร้อมกันไปกับรู้จักธรรมะเพราะว่าปัญหาที่เราจะต้องศึกษาคือตัวธรรมะ แต่ตัวธรรมะโดยเฉพาะนั้น เราเอาไว้พูดกันตอนบ่ายก็ได้ ตอนเช้านี้มาดูสถานที่ ที่จะพูดเกี่ยวกับสถานที่ ที่เนื่องกันกับธรรมะ ทุกคนคงจะเคยได้ยินคำว่า โรงมหรสพทางวิญญาณมาบ้างแล้ว ก็ถ้าเคยสนใจเรื่องของสวนโมกข์ เพราะสวนโมกข์นี้คู่กันมากับคำว่า โรงมหรสพทางวิญญาณ ที่ขอให้สังเกตคำเหล่านี้แล้วพิจารณาให้ดีๆ ข้อแรกที่จะบอกก็คืออยากจะบอกว่า หากธรรมะนั่นแหละคือตัวมหรสพ หากแต่ว่าเป็นมหรสพทางวิญญาณ มหรสพนี้เข้าใจกันดีแล้วว่าหมายถึงอะไร ส่วนใหญ่ก็หมายถึงความพอใจหรือความสนุกสนาน การได้รับความเพลิดเพลินสนุกสนานในทางที่ถูกที่ควรก็เรียกว่ามหรสพ ความหมายเหมือนกับคำว่า เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่เราชอบกันทุกคนแต่ว่ามันเป็นทางวิญญาณคือทางจิตใจ แต่นี้พอมาทางวิญญาณหรือทางจิตใจ (6.50)นั้น ไม่ค่อยจะสนใจกันแล้วในโลกนี้ ทั้งโลกจึงเปลี่ยนไปมาก แต่ผลมันก็ต้องเปลี่ยนเป็น เปลี่ยนไปมากและไปในทางที่ไม่มีความสงบสุข มีความขึ้นๆลงๆมากๆแล้วก็เป็นไปด้วยความลำบาก อย่างนี้เราเรียกว่าไม่สนใจในเรื่องทางจิตใจซึ่งในที่นี่เรียกว่าทางวิญญาณ ถ้าทางภาษาบาลีเขาเรียกว่าทางจิตใจก็พอ แต่ในภาษาไทยเรา คำว่าจิตนั้นใช้ในความหมายต่ำไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่นว่า โรงพยาบาลทางโรคจิตอย่างนี้ จิตนี้ก็หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับมันสมอง ประสาท ร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่จิตที่เป็นวิญญาณโดยตรง เราเทียบกันได้อย่างนี้โรคทางกายก็ไปหาโรงพยาบาลตามปกติธรรมดา โรคทางจิตไปปากคลองสานเป็นต้น แต่โรคทางวิญญาณยังมีอีก พวกคนที่ไม่เป็นโรคทางกาย ไม่เป็นโรคทางจิต แล้วยังเป็นโรคทางวิญญาณเหมือนที่ต้องนั่งร้องไห้ ต้องเป็นโรคเส้นประสาทต้องซึมเศร้าต้องเศร้าหมองต้องต้องวิกลจริตให้เป็นโรคทางจิต ให้ถือว่าคนธรรมดาทุกคนที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ จะยังมีโรคทางวิญญาณอยู่บ้างไม่มากก็น้อยอย่างคุณหลวงวิเชียรว่า 15% อย่างนี้ ก็มีส่วนถูกคือ มีความโลภ ความโกรธ ความหลงที่เป็นเหตุให้ต้องดีใจ เสียใจ หัวเราะ ร้องไห้สลับกันไปนั้นนั่นแหละคือ โรคทางวิญญาณ คนธรรมดาทุกคนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังเป็นโรคทางวิญญาณ นี่ความหมายของคำว่าทางวิญญาณมันแยกออกมาอย่างนี้ในภาษาไทย ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไรดี ก็เลยเรียกว่าทางวิญญาณไปก่อน ถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาก็ใช้กันมาก(9.10)จะเป็นเรื่องความสุขหรือเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ฝ่าย(9.17 )นั้นมันมีอยู่ต่างหากจากฝ่ายที่เป็น(9.20)นี้เราเอาคำนี้เป็นหลักสำหรับพูดกับชาวต่างประเทศ งั้นเราเรียกว่า (9.28) เอ็นเตอร์เทนเมนท์มหรสพทางวิญญาณ เราเรียกพวกดังนั้นว่า(9.36) ฝรั่งหลายคนเข้าใจได้ทันที เพราะเขารู้คำว่า (9.44)มาดี สำหรับพวกเราก็อยากให้รู้เรื่องมหรสพทางวิญญาณให้ดี จะช่วยให้เข้าใจธรรมะเร็ว นักศึกษาชุมนุมพุทธศาสน์ก็มุ่งหมายที่จะรู้ธรรมะ นั้นวิธีเดียวที่จะรู้ธรรมะให้เร็ว และให้ไม่น่าเบื่อก็อยากจะแนะอยากจะเสนอว่ารู้เรื่องมหรสพทางวิญญาณเป็นดีที่สุดให้เร็วที่สุด เพราะว่าธรรมะนั้นมันเป็นมหรสพทางวิญญาณ ธรรมะนี้ให้ความสุขให้ความพอใจ หรือกระทั้งว่าความสนุกสนานก็ได้ แต่ในทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายวัตถุไม่ใช่ฝ่ายเนื้อหนังตามธรรมดา ที่นี้สถานที่ไหนจะให้ความรู้สึกอย่างนี้ เราเรียกสถานที่นั้นว่า โรงมหรสพทางวิญญาณ อันวัดนี้ทั้งวัดเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณไม่ใช้เฉพาะที่ตึกหลังนั้น ให้เข้าใจว่าวัดนี้ทั้งวัดเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณนี่จะเป็นได้อย่างไรก็ลองฟังดู ที่ว่าวัดนี้ทั้งวัด อยากจะให้นึกถึงที่นี่ก่อนอย่าเพิ่งไปนึกที่ตึกหลังนั้นที่ป่าอย่างนี้ มีลักษณะอย่างนี้จะเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณได้อย่างไร (11.14)บางคนเขาเรียกว่าโบสถ์ก็มี คนบางคนที่เป็นนักคิดโผล่ขึ้นมาที่นี้ถึงตรงนั้นก็ร้องตะโกนออกมา โบสถ์ๆ คือทั้งหมดนี้คือโบสถ์ ต้นไม้นี้เป็นฝาผนัง ใบไม้นี้เป็นหลังคาโบสถ์เรียกว่าโบสถ์ นี้คือคนที่สนใจในแง่ทางวิญญาณ มันกลายเป็นโบสถ์ทางวิญญาณทำหน้าที่อย่างโบสถ์แต่ลึกกว่าโบสถ์ธรรมดา กลายเป็นทำหน้าที่ที่ในจิตใจส่วนลึกที่เรียกว่าเป็นทางวิญญาณที่อะไรมันมีความหมายที่สำคัญอยู่ในที่อย่างนี้ ค่อยนึกดูแต่สรุปแล้วมันคือไอ้ความสงบ สงัด เยือกเย็น มีความหมายไปในทางสงบ ส่งเสริมจิตใจไปในทางสงบ ลักษณะอันนี้คือ ความหมายที่แท้จริงของสถานที่อย่างนี้ แต่เราก็ไม่ค่อยสนใจกันแล้วมันจะลึกเกินไป หรือมันจะจืดชืดเกินไป แต่ไหนๆที่นี่วันนี้มาถึงนี้แล้วมาถึงที่นี่แล้ว มันควรจะได้เรื่องราวของที่นี่ไป ไปผนวกกันกับ เรื่องราวที่อื่นหรืออย่างอื่น ไอ้เรื่องราวของที่นี่มันเป็นเรื่องมหรสพทางวิญญาณอย่างที่กล่าว นี้ลองระหว่างที่นั่งอยู่ที่นี่ลองศึกษาเรื่องที่นี่ดู ว่าคำว่ามหรสพทางวิญญาณมันหมายถึงอะไร ไอ้ตัวธรรมะนั้นเป็นตัวมหรสพ แต่ตัวธรรมชาติ สถานที่นี้เป็นตัวโรง โรงมหรสพคือตัวที่จะทำให้เกิดมหรสพ เพราะถ้าเป็นสถานที่อย่างนี้ก็คือความสงบ สงัด เยือกเย็นที่ส่งเสริมจิตใจแก่ของบุคคลผู้เข้ามานั่งนอนให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้น หรือให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เป็นยังไง ถ้าหากว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกสบายใจกว่าเมื่ออยู่ที่กรุงเทพก็ต้องค้นดูว่ามันเพราะอะไร ถ้าค้นพบก็จะพบว่านั้นก็คืออำนาจ หรือประโยชน์ของมหรสพทางวิญญาณ นี้เราจะพูดกันถึงสิ่งที่เบ็ดเตล็ดควรจะรู้ก่อนว่าการมองในด้านลึกนั้น มันมีอะไรอีกมากถ้าไม่มองก็จะไม่เห็นรู้สึกเหมือนไม่มี ถ้ามาที่นี่แล้วไม่มองกันในด้านลึกแล้วจะไม่มีอะไร จะไม่คุ้มค่ารถ ค่าอะไร ค่าเวลาที่เสียมา แต่ถ้ามองในด้านลึกก็มีมาก ด้านลึกก็คืออย่างที่พูดซ้ำๆอยู่เสมอว่าธรรมชาติของป่าอย่างนี้มันผลักดันจิตใจไปในทางความสงบ ให้ลืมความวุ่นวายมันบีบบังคับให้ลืมความวุ่นวาย ความระส่ำระสาย ความหนักอกหนักใจ ความยึดมั่นถือมั่นในกิเลส ให้กลายเป็นจิตที่สะอาดสว่างสงบขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกตัว งั้นเราจึงรู้สึกสบายถึงแม้ว่าเราจะไปตากอากาศในชายทะเลภูเขาที่อื่นมันก็ได้ผลอย่างเดี๋ยวกันนี้ มีแต่ว่าจะมากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราลืม ลืมสิ่งที่เป็นภาระผูกพันเรา ความหนักอกหนักใจ ลืมแม้กระทั่งชีวิตเดี๋ยวนี้ เราลืมแม้กระทั่งว่าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่ได้นึกถึงมัน ใจของเราจึงเปลี่ยนไปในรูปที่เรียกว่า ว่างจากภาระ ว่างจากความบีบบังคับ ว่างจากความกดดันอะไรต่างๆเราจึงสบาย เราไม่อาจจะอ่านได้จากหนังสือ ไม่อาจจะเข้าใจได้ด้วยการคำนวณด้วยเหตุผล เราต้องไปชิมดูกับสถานที่เหล่านั้น เช่นว่าเรามาที่นี่ แล้วก็ชิมดูจากสถานที่นี้แล้วเราไปที่หาดทราย ชายทะเล หรือที่อื่นก็ชิมได้จากที่นั้นๆมันเป็นลดหลั่นกัน พอมันรู้ว่านี้มันสบายใจบอกไม่ถูก มันรู้ว่าอย่าง(15.52)ก่อน ค่อยๆคิดว่ามาจากอะไรเนื่องจากอะไรเพราะเนื่องจากวันนี้เราว่างจากภาระที่บีบบังคับหรือความทุกข์ หรือจากกิเลสรบกวน เราจึงรู้สึกเป็นสุขที่สุด จิตที่ว่างจากสิ่งบีบบังคับชนิดนั้น มันเป็นสุขที่สุด นี้เราพูดอย่างภาษาธรรมะอย่างวัดเราพูดว่าไม่มีอะไร เวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไร มีจิตใจสบายที่สุดอย่างเดี๋ยวนี้ ขอให้นึกทุกคนว่า เรากำลังไม่รู้สึกว่าเรามีอะไร ไม่มีอะไรเป็นของเราที่ผูกมัดเรา เราลืมหมด มันอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ที่กรุงเทพ หรืออยู่ที่ไหนก็ตามใจ ไม่มาอยู่ในจิตใจเรา เรื่องนั้นอยู่ในจิตใจเรา จิตใจของเราเวลานี้ไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรแม้แต่กระทั่งชีวิต ทั้งจิตใจนั้นจึงรู้สึกสบายเป็นสุขที่สุด เนี้ยคือข้อความหรือ ข้อเท็จจริงที่จะอธิบายหัวใจของพุทธศาสนา ที่สอนว่าความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นความดับทุกข์ที่สุด ถ้าพูดอย่างนี้เราไม่เข้าใจมันเป็นตัวหนังสือด้วย เราต้องสังเกตดูจากตัวเราเองที่กำลังไม่มีความยึดมั่นอะไรเวลานี้ชั่วคราวนี้ เราจึงมีความสุขที่สุด คอยศึกษาจากตัวจริงอย่างนี้จึงจะเข้าใจ ทั้งที่ที่สถานที่แห่งใดทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราเรียกสถานที่นั้นว่า โรงมหรสพทางวิญญาณอันแท้จริงในระดับสูงสุด ที่นี่เราพยายามจะจัดให้ได้ผลอย่างนี้ เราจึงเรียกมันว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ การจัดให้มันเป็นธรรมชาติแท้ๆอยู่เนี้ยมันช่วยแวดล้อมจิตใจตามอำนาจของธรรมชาติ คือให้ไปในทางรู้สึกว่าไม่มีอะไรเวลานี้เราไม่มีอะไรที่ผูกมัดหรือยึดมั่น แล้วเราก็สบาย และธรรมชาติกระซิบบอกเราก็ได้ เราพูดกันลืม พูดเพื่อกันลืม เราพูดว่าก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้ ดินหญ้าอะไรก็พูดได้ บอกเราอย่างมีค่าที่สุด แต่เราฟังไม่ได้ยิน เพราะหูเราหนวก หรือหูของเราไม่รับเสียงชนิดนี้เลยจิตใจของเรากำลังยึดมั่นถือมั่นวุ่นอยู่ด้วยอะไรบางอย่าง เมื่อจิตใจมันว่างพอก็จะได้ยิน แม้แต่ต้นไม้พูด ก้อนหินพูด มดแมลงพูด คือธรรมชาติพูด พูดไปในทางบอกให้รู้ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร จึงไม่มีอะไร นั่นแหละเป็นสุขที่สุด ถ้าเข้าใจข้อนี้คือเข้าใจพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งในเวลาอันรวดเร็ว จึงนำมาพูดในฐานะที่ผู้ฟังนี้เป็นสมาชิกชุมนุมพุทธศาสน์ อยากจะพูดย้ำถึงเรื่องคำว่าทางวิญญาณนี้อีกหน่อย ว่าเดี๋ยวนี้เราไปในทางวัตถุกันมาก ยิ่งพวกฝรั่งยิ่งไปมาก คนไทยเราบรรพบุรุษเคยหนักในเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ ลูกหลานก็หันไปทางพวกฝรั่งมากขึ้นไปในทางวัตถุมากขึ้น นี้โลกก็หมุนไปทางวัตถุมากขึ้นนั่นแหละจะถึงวันหนึ่งซึ่งจะเป็นภัย งั้นเรารู้เรื่องทางวิญญาณ มหรสพทางวิญญาณไว้บ้างเพื่อจะถ่วงกันไว้อย่าให้ล่มจม ให้เราไม่หลงไปแต่ในทางวัตถุอย่างเดียว แต่มีความรู้ในทางฝ่ายจิตและวิญญาณเป็นเครื่องถ่วงกันไว้พอดีๆ และชีวิตนี้ก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นของที่จริงกว่า ถ้าหลงใหลไปทางวัตถุแล้วก็เป็นเรื่องถูกหลอก กระทั่งแม้ตายอย่างแมงเม่าเข้าไฟก็ไม่รู้สึก แมงเม่าบินเข้าไฟแล้วตายมันก็ไม่รู้สึก เช่นเดียวกับมนุษย์เรา ถ้าหลงไปในทางวัตถุมากเกินไปก็จะมีอาการอย่างนั้น แล้วเราก็ไม่รู้สึก แล้วเราก็ไม่กลัว แล้วเราก็ไม่เห็นว่าเป็นปัญหา เพราะว่าเราตายแล้วก็ไม่รู้ว่าไปไหนอย่างนี้ เรื่องความเสื่อมเสียทุกข์ร้อนจะเกิดขึ้นแก่คนทุกคนในโลกเราก็ไม่รับผิดชอบ แล้วไม่รู้ไม่ชี้ เราต้องการแต่ความสนุกสนานทางวัตถุเป็นประจำวัน ขอให้มองมนุษย์ทั้งโลกที่กำลังจะหันเหไปทางนั้น ซึ่งตรงกันข้ามจากหลักพุทธศาสนา จึงขอร้องให้สนใจ เรื่องฝ่ายวิญญาณแล้วจะได้มีใจละเอียด เห็นอะไรๆในแง่ลึก อย่าหาว่าดูถูกเลย อยากจะพูดว่ายังไม่ค่อยจะมองอะไรในแง่ลึก หรือไม่มองกันเสียเลย มองแต่ในแง่วัตถุที่เป็นวัตถุอย่างธรรมดาทั้งนั้น ถ้ามองกันในแง่ลึกแล้วจะพบที่ว่าอะไรมีอยู่ในป่านี้ ไม่ใช่ผีสางเทวดาความเป็นมหรสพทางวิญญาณ ต้นไม้พูดได้ก้อนหินพูดได้ หมายความว่าเรามานั่งๆกับมันสิ นั่งคนเดียวเงียบๆยิ่งดี มันจะเกิดความรู้สึกแจ่มแจ้งขึ้นมาในจิตใจเป็นคุ้งเป็นแคว เหมือนมีใครมาบอกมาตะโกนใส่หูเลย คือความคิดนึกของเรามันเกิดขึ้นมา แต่ถ้าไม่มานั่งในที่อย่างนี้แล้วตอนนี้มันไม่เกิด ถ้าต้องถือว่ามันเกิดเพราะสิ่งนี้ถึงพูด สมมติกันว่าสิ่งนี้มันพูด ก้อนหินมันพูด ต้นไม้มันพูด หรือป่านี้มันพูด หรือมดแมลงมันพูด การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หรือการรู้ธรรมะของพวกฤาษีมุนีโยคีเป็นไปในลักษณะอย่างนี้นั้น คือเป็นเสียงจากธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นผู้พูด ที่แท้คือว่าธรรมชาติมันแวดล้อมให้เรารู้สึกอย่างนั้นชัดเจนขึ้นมาดังลั่นเช่นนั้นก็เสียงพูด อยากจะขอร้องเป็นพิเศษตรงนี้ว่าช่วยสนใจธรรมชาติที่เงียบสงบนี้ เพิ่มขึ้นบ้าง อย่าสนใจเรื่องอย่างที่เหมือนที่กรุงเทพ หรือเหมือนที่หัวหิน หรือเหมือนที่อะไรอย่างเดียว มันก็ไม่รู้อะไรต้องเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ต้องมาสนใจทั้งสองฝ่ายเหมือนรู้ทั้งสองฝ่ายว่าเราเป็นคนที่ทำอะไรไม่ผิด งั้นถ้ามาในที่อย่างนี้ก็ควรจะได้ความรู้ ส่วนนี้เพราะมันหาที่อื่นไม่สะดวก หาที่นี่สะดวก เนี้ยความเงียบนี้ ก็ลองนิ่งดูเราจะรู้สึกความเงียบของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ และในความเงียบนั้นมีอะไร มีความหมายอะไรบ้าง มีความเยือกเย็น มีความสงบรองรับ รู้สึกกันได้ง่ายๆแต่ถ้ามีปัญญามากเป็นคนเฉียบแหลมในทางวิญญาณแล้วจะมองเห็นอีกหลายอย่าง ความเงียบนี้ เป็นดนตรีคงจะฟังไม่ถูกกันบ้างก็ได้ ความเงียบนี้เป็นดนตรีได้อย่างไร ก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะเคยได้ยินดนตรีของความเงียบ เพราะความไพเราะชนิดนี้มันเป็นฝ่ายวิญญาณถ้าหูไม่ไปในทางฝ่ายวิญญาณนั้นฟังไม่ได้ยิน ความเงียบนี้เป็นกวีนิพนธ์ เป็นดนตรี เป็นทุกอย่างที่มนุษย์ใฝ่ฝันกันนัก เป็นภาพเขียนอย่างพวกเซนเขาพูด เห็นรู้สึกนี้เป็นภาพเขียน แต่ที่อยากให้สนใจที่สุดก็คือว่ามันเป็นเครื่องรีเฟรชเมนท์ รีเฟรชชิ่งที่ทำให้เราสดชื่น ถ้าในความสดชื่นนั้นมีดนตรี มีกวีนิพนธ์ มีอะไรซ้อนอยู่อย่างลึกลับครบทุกอย่าง ถ้าเรามีปัญญาเราแยกออกมาได้ แต่เราผลเป็นว่า มันเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราสดชื่น ให้เรารู้จักธรรมชาติให้เรารู้จักส่วนลึกภายในจิตใจนี้ทุกคนควรจะได้ไม่ว่าชนิดไหน ไม่ว่าใครชนิดไหน ควรจะได้ถ้าเข้ามาที่อย่างนี้แล้ว ควรจะได้ความสดชื่นทางกายก่อน แล้วก็ได้ความสดชื่นทางจิต ระบบประสาทที่เกี่ยวลึกเข้าไปหน่อย แล้วก็ได้ควาสดชื่นทางวิญญาณที่เป็นส่วนลึกที่สุด เมื่อเรากำลังไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอะไร จิตกำลังเป็นอิสระกำลังว่างจากสิ่งบีบคั้นรบกวนเผาลน ทางสดชื่นก็ยังมีถึง 3 ขนาด ความสดชื่นทางกาย ความสดชื่นทางจิต ความสดชื่นทางวิญญาณ เราไม่มีเวลาที่จะพูดละเอียดได้ก็ต้องพูดเป็นหัวข้อสำหรับไปคิด เนี้ยสถานที่อย่างนี้ ถือว่าระบุที่นี่เป็นตัวอย่างมันมีอะไรอย่างนี้ ถ้าใครเอาได้ หรือได้รับก็รับว่าได้รับสิ่งมีค่ามากที่สุด ถ้าเอาติดไปได้จะมีประโยชน์มากที่สุด จะช่วยทำชีวิตให้ฉลาด ให้สามารถรู้จักชีวิตนั่นเอง ว่ามันหมายถึงอะไรโดยสิ้นเชิงแล้วเราก็จัดมันให้ไปในลักษณะที่ถูกต้องไม่เป็นทุกข์ มาในที่อย่างนี้ก็กลายเป็นว่ามาศึกษาเรื่องของชีวิตในด้านลึกหรือในด้านที่เรียกว่าวิญญาณ สำหรับในโรงหนัง ไอ้ตึกหลังนั้น เราเรียกล้อๆกันว่าโรงหนัง ที่นี่หมายถึงโรงมหรสพทางวิญญาณ ที่ไม่ใช่ธรรมชาติแท้อย่างนี้ คือที่ที่จัดขึ้นเฉพาะเช่นตึกหลังนั้น มุ่งหมานให้เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณก็พูดแล้วว่ามหรสพหมายถึง เอนเตอร์เทนเมนท์ เราใช้วัตถุบางอย่างที่เอนเตอร์เทนเมนท์ทางวิญญาณมีภาพเขียน ทำไมภาพเขียน ยกตัวอย่างเช่น มีภาพเขียนที่ให้ความสนุกสนานในการดู ให้ความสนุกสนานในการตีความหมาย ให้ความสนุกสนานในการรู้ธรรมะแล้วให้ความสนุกสนานในการที่จะน้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับเรา วิจารณ์ตัวเรา จนกระทั่งรู้จักตัวเราดีขึ้น เรียนธรรมะด้วยภาพอย่างสนุกสนานอย่างนี้ในส่วนลึกของธรรมะอย่างนี้ เราจะเรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ ไม่ใช่แสดงศิลปะเหมือนภาพเขียนที่เขาแสดงกันทั่วๆไป นี่เราแสดงศิลปะทางวิญญาณ เดี๋ยวเราก็ตอนบ่ายนี้เราเข้าไปดูได้ ภาพพุทธประวัติรอบๆนั้น ก็เป็นภาพพุทธประวัติชุดแรกที่สุดในโลก ชุดแรกของอินเดียคือชุดแรกที่สุดในโลก เป็นหินหลักที่สร้างขึ้นก่อนพ.ศ.500 ระหว่างพ.ศ.300 ถึง 500ไม่มีพระพุทธรูป เอาความว่างหรือที่ว่าง ที่นั่งว่างอะไรว่างๆนั่นตรงนั้นไม่ทำพระพุทธเจ้าปล่อยว่างเป็นพระพุทธเจ้า เขาเรียกเอาความว่างเป็นพระพุทธเจ้า เช่น ขี่ม้าออกบวชบนหลังม้าไม่ตามใครเลย ม้าหลังว่างไปกั้นกลดให้ หรือตรัสรู้โคนต้นโพธิ์ ตรงนั้นก็ทิ้งที่ว่างไว้ ทุกแห่งที่พระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนตรงนั้นทิ้งที่ว่างหมด จนถึง พ.ศ.500เศษ เขาจึงกล้าทำพระพุทธรูปกันขึ้นเป็นครั้งแรก งั้นถึงสลักพุทธประวัติก่อนพ.ศ.500เศษที่ว่านี้ จะไม่มีพระพุทธรูป พระพุทธเจ้านี่ก็แสดงพระพุทธเจ้าด้วยความว่าง ในความว่างนี้ต้องศึกษากันอีกมาก ยังเข้าใจไม่ได้เวลานี้ก็เอาไว้ศึกษาต่อไปข้างหน้า แล้วมีความหมายที่สำคัญมาก เราจะได้มีการเรียนธรรมะ การเข้าใจธรรมะอย่างสนุก ในตึกหลังนั้นเราจึงเรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ แล้วยอดของมหรสพก็คือเรื่องที่เรียกว่าความว่างนี่คงจะไม่เข้าใจ ก็คงจะเริ่มง่วงนอนพอพูดถึงเรื่องความว่างคนก็เริ่มง่วงนอนแล้ว ไม่เข้าใจ แต่ว่ามันเป็นเรื่อง เป็นหัวใจทั้งหมดของพุทธศาสนา คือหัวใจของธรรมะที่จะช่วยให้ดับทุกข์ ย้อนมาใหม่ว่าเมื่อตะกี้ได้พูดแล้วว่า เมื่อเรานั่งอยู่ที่นี่จิตใจของเราว่างจากความผูกมัด ความรับผิดชอบจากอะไรทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งชีวิต ความรู้สึกเป็นสุขเหมือนไปตากอากาศชายทะเล บนภูเขานี้เพราะมันว่าจิตมันว่าง ยอดของความว่าง ยอดของมหรสพนั้นก็คือความว่าง และก็ไม่มีเวลาไหนที่เราจะมีความสุขมากที่สุด เท่าในเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไร รู้สึกจะมีจิตใจที่ได้รับความว่างได้รับความสงบเท่านั้น พอเรารู้ว่าเราเป็นอะไรเท่านั้น เราก็มีภาระอะไรขึ้นมาเรามีภาระความรับผิดชอบขึ้นมา เดี๋ยวเราก็จะต้องรักบ้าง เดี๋ยวเราก็จะต้องโกรธบ้าง เดี๋ยวเราก็ต้องเกลียดบ้าง เดี๋ยวเราก็ต้องกลัวบ้าง อย่างนี้มันไม่ว่าง มันก็เริ่มเป็นทุกข์ งั้นถ้าว่างจากสิ่งเหล่านี้หมด มันก็มีความสงบสุขเช่นเดียวกับที่ธรรมชาติต้องการให้เราเป็น ดูต้นไม้ถูกลมพัดเหมือนกับเต้นรำ ก็ให้ต้นไม้บอกว่า แสดงความหวังว่าเมื่อไรมนุษย์จะลุกขึ้น เต้นรำด้วยจิตที่ว่างอย่างนี้บ้าง มนุษย์ลุกขึ้นเต้นรำด้วยจิตที่วุ่นวายประกอบไปด้วยกิเลส นั้นก็มีความทุกข์ มีความร้อนก็ทนเอาทนเอา ก็เพราะว่า เต้นรำด้วยจิตที่ว่างอย่างนี้หมายถึงว่า ร่างกายไม่ต้องลุกขึ้นเต้น วิญญาณมีความรู้แจ้งในสิ่งทั้งปวง พอใจอยู่สงบอยู่เป็นสุขอยู่คืออย่างนั้นแหละ คืออาการเต้นรำของมนุษย์ ในขณะที่มีจิตว่าง ที่เราดูต้นไม้อย่างนี้ เราไม่เห็นภาพของความทุกข์เลยเห็นภาพของความหยุด ความสงบ ความพอใจ ความเป็นสุข ถูกลมโชยมาก็เต้นรำ คำว่าเต้นรำหมายถึงว่ามันพอใจ หรือไม่มีความทุกข์ นี้เป็นคำที่ประหลาดที่ว่า ความว่างเป็นยอดของมหรสพ คือยอดของเอนเตอร์เทนเมนท์ แล้วมันก็เป็นคำพูดทางวิญญาณฝ่าย(32.13)มากเกินไป ฟังไม่ถูกหรือยังฟังไม่ถูก หรือฟังถูกแต่น้อยสุดแท้ ขอวิงวอนไว้จำไปคิด ให้เข้าใจคำว่าความว่างที่มีอยู่เองตามธรรมชาตินี้ก่อน แล้วก็จะรู้ความว่างที่เราอาจจะทำให้เกิดได้เมื่อไรตามต้องการ เมื่อใดจิตว่างเมื่อนั้นก็ไม่มีความทุกข์ และมีความฉลาดตามธรรมชาติ ขอพูดซ้ำนี้ไม่กลัวไม่กลัวเบื่อไม่กลัวโกรธเพราะว่าให้สนใจเรื่องมีจิตว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่เป็นห่วงไม่วิตกกังวล แม้แต่ชีวิต ลืมไปแม้กระทั่งมีชีวิตพอนึกว่ามีชีวิตเท่าไร ชีวิตนั้นก็กลายเป็นโซ่ เป็นอะไรขึ้นมาทันทีพอนึกว่าเรามีชีวิตนี้ งั้นป่วยการแต่นึกไม่ได้เป็นในทางที่ไม่ต้องมีโซ่ตรวนอย่างนั้น แล้วจิตมันก็ฉลาดพอจะคิดว่าควรจะทำอะไรแล้วก็ทำอย่างนั้นไปก็แล้วกัน ไม่ต้องมานึกให้เกิดความเป็นห่วงขึ้นมา คำกลอนของกรมพระนราธิปบิดาของท่านวันนอ(33.34)มีชีพก็มีห่วงเบ็ดจะบ่วงประแจมือ มีชีพก็มีห่วงดุจะบ่วงประแจมือ สิ้นชีพก็สิ้นถือ ทิฐิสิ้นสุบินหวง พอรู้สึกว่าเรามีชีวิตก็เหมือนกับถูกสวมประแจมือ ถ้าจิตคิดจะทำให้ไม่มีห่วงมันก็หมดไอ้ความรู้สึกที่จะ ความฝันว่ามีเรามีกูมีของกูนั้นหมดในความรู้สึกอย่างนั้น มันก็เลยสบายหรือเป็นอิสระ การเรียนโดยวิธีนี้เรียนได้ทุกคน อย่าว่าแต่ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้มีปัญญา เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเลย พวกชาวบ้านก็เรียนได้ พวกชาวบ้านแท้ๆไม่เคย แทบจะไม่รู้หนังสือก็เรียนได้ งั้นถือโอกาสเล่าสักนิดถึงเรื่องว่า ครั้งหนึ่งเคยไปนอนที่ภูเขาทางนู้นเดินไปวันหนึ่งเต็มๆจากสถานนีที่ใกล้ที่สุด เป็นที่มีเสือมีช้าง มีอะไรทุกอย่างคือเป็นดงแท้ๆ มันคิดดูสิไปถึงมันก็ค่ำ แล้วมันก็ต้องนอน ไม่มีที่พักไม่มีอะไรมันก็ต้องนอนไปอย่างนี้ ไม่มีอะไรก็ต้องนอนบนใบไม้ ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายไม่มีเครื่องป้องกัน ไอ้ความเหนื่อยก็บังคับให้นอนอยู่แล้ว ไม่เห็นจะไม่เหนื่อยมันก็ต้องนอน แล้วมันต้องตัดสินใจที่จะนอน มันจะต้องเสียสละ ไอ้พวกซับคอนทรัชภายใต้ความรู้สึกไม่ต้องรู้สึก มันทำหน้าที่ของมันเอง เสียสละชีวิตมันจึงนอนได้ มันต้องการจะนอนถ้ามันยอมเสียสละแม้แต่ชีวิตเสือจะมากินเวลาหลับก็ตามใจก็ได้ งั้นเราเวลานั้นตลอดคืนมันมีการเสีสละตัวเอง เสียสละตัวตนนี้ออกไปตลอดคืน พอตื่นเช้ามันสบายทั้ง 13 คน บอกว่า วันนี้ทำไมสบายบอกไม่ถูกเลยนั่งหัวเราะกันอย่างนั้น พวกหมอช้างที่ไม่รู้หนังสือเลย ไม่ประสีประสาทาง(35.50)เลยมันก็บอกอย่างนั้น ไอ้พวกพระก็บอกอย่างนั้นไอ้คนอื่นๆก็ยังบอกอย่างนั้น นี้เขาก็อธิบายไม่ได้ ถามให้อธิบายก็อธิบายไปต่างๆนาๆ เช่นว่า ไม่คิดถึงบ้านก็ถูก มีส่วนถูกอยู่มาก แต่ยังไม่ลึกถึงกับเข้าใจว่า เพราะว่า คืนนั้นเราสละชีวิต สละตัวตน สละสิ่งที่เคยกดทับวิญญาณอยู่ภายใต้สำนึกนั้นออกไปหมด งั้นตื่นขึ้นมันก็เลยสบาย เบาสบาย เนี้ยเป็นวิธีเรียน หรือเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดที่จะเรียนธรรมะ ก็พยายามจำอย่างนี้ไว้ว่า เป็นวิธีเรียนธรรมะที่เป็นตัวพุทธศาสนาจริงๆ ในเวลาที่เร็วที่สุด แล้วอย่างนี้ทำให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าความว่างได้ง่ายที่สุด ได้ลึกซึ้งที่สุด ก็คือรู้จักมหรสพทางวิญญาณถึงที่สุดนั้นเอง งั้นอยากจะขอให้จดจำไปคิดสักนิด แม้สรุปความว่า ขอให้พวกเราทุกคนรู้จัก ในขั้นแรกให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า มหรสพทางวิญญาณนั้นคือ ธรรมะ รู้จักโดยตัวอย่างที่ว่านี้ แล้วรู้จักขณะที่พอมาถึงที่อย่างนี้แล้วได้รับเลย ไม่เหมือนเป็นเพียงไปเที่ยวป่าตามธรรมดา ในเรื่องนี้โรงละครทางวิญญาณ รอบตัวเรานี้เต็มไปด้วย(37.27)เต็มไปด้วยมิวสิคเต็มไปด้วยอะไรที่มนุษย์ใฝ่ฝันกันนัก แต่ในด้านลึกในทางวิญญาณ ก็เรียกว่าเป็นโบสถ์ทางวิญญาณก็ได้ มันมีอะไรให้ยิ่งกว่าโบสถ์ธรรมดาในความหมายเดียวกัน มีพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ยิ่งกว่าพระพุทธรูปในโบสถ์ตามธรรมดา ถ้าท่านทั้งหลายพบธรรมะอย่างที่ว่า หรือความสงบอย่างที่ว่า ด้วยความว่างอย่างที่ว่า นั้นคือพบพระพุทธเจ้าที่แท้จริงในโบสถ์นี้ยิ่งกว่าในโบสถ์ตามธรรมดา นี่เป็นตัวอย่างทั้งข้อที่ว่าาทำไมเราจึงเรียกว่าโบสถ์ทางวิญญาณอย่างนี้เป็นต้น โดยเฉพาะความสวยงามภาพเขียนฝาพนังโบสถ์นั้นก็ที่นี่มีภาพเขียนที่ฝาพนังโบสถ์ สวยงามลึกซึ้งยิ่งกว่าในโบสถ์ธรรมดาหลายร้อยเท่าหลายพันเท่า แต่ต้องดูด้วยสายตาที่เรียกว่าทางฝ่ายวิญญาณ มีภาพเขียน มีดนตรี มีเห่กวีนิพนธ์ มีอะไรทุกอย่าง ทางฝ่ายวิญญาณ นั้นเคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่ามหรสพทางวิญญาณเป็นข้อแรกได้รู้ แล้วให้พอใจมหรสพทางวิญญาณเป็นข้อที่สอง แล้วจงพยายามเข้าใจและอยู่ด้วยมหรสพทางวิญญาณนี้ ควบคู่กันไปกับสิ่งต่างๆทางวัตถุ ทุกกาล ทุกเวลา ทุกนาที ไม่ว่าที่นี่หรือกลับไปที่บ้าน ที่มหาวิทยาลัย หรือที่ไหนก็ตาม เราจะต้องไม่เผลอ จะต้องไม่ลืม ในส่วนลึกทางจิตใจ ทางวิญญาณว่ามันมีอยู่ส่วนหนึ่ง ถ้าทำผิดส่วนนี้แล้วส่วนวัตถุก็เสียหมดแล้วปัญหาก็เกิดขึ้นแก่มนุษย์จนแก้ไม่ไว้ ในที่สุดโลกนี้ก็ตกต่ำในทางวิญญาณ ไม่ดีไปกว่าสัตว์เดียจรฉาน แม้จะมีอะไรกินอร่อยกว่า มีเครื่องแต่งตัวสวยกว่า ใหญ่กว่ามีอะไรกว่าก็แต่ทางวัตถุ แต่ทางฝ่ายจิตใจ ไม่ดีไปกว่าสัตว์เดียจรฉานแล้วยังจะร้ายกาจไปกว่าสัตว์เดียจรฉาน คือเบียดเบียนตัวเอง ไปเบียดเบียนผู้อื่นยิ่งกว่าที่สัตว์เดียจรฉานเบียดเบียนกันเสียอีก ดูที่มนุษย์กำลังเบียดเบียนกันอยู่เวลานี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่ามันลึกซึ้งเท่าไร เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่ามนุษย์ไม่รู้จักแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือมหรสพทางวิญญาณ ไปหลงแต่เรื่องทางวัตถุ มันก็เกิดการแย่งชิงกัน ริษยา อาฆาตกันทำลายกัน ถ้ามนุษย์รู้จักสนใจโลกทางวิญญาณ มันจะมีความรู้สึกเป็นไปในทางอื่นจะไม่เบียดเบียนกันไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น จะอยู่เป็นสุขกันยิ่งกว่านี้ เพราะว่าไอ้ความสุขทางวิญญาณนั้น มันช่วยดึงเอาไว้ มันให้ความพอใจกว่าที่จะไปหลุ่มหลงทางวัตถุ ถึงกับไม่มีใครหลุ่มหลงทางวัตถุกันปะดั่งพร้อมกันอย่างนี้ วัตถุมันก็ไม่ขาดแคลน ถ้าทุกคนปะดั่งไปหาวัตถุต้องการวัตถุพร้อมกันหมด วัตถุมันก็ขาดแคลนอย่างที่เป็นอยู่ เดี๋ยวนี้มันก็ต้องรบกันเพื่อแย่งกัน งั้นถ้าเรารู้จักทำจิตใจให้ถูกต้อง เรื่องทางวัตถุก็จะไม่เกิดเป็นปัญหาขึ้นแล้วก็อยู่กันอย่างสันติสุข ตามความมุ่งหมายของศาสนาในโลก ทุกๆศาสนารวมถึงพุทธศาสนา ที่เราก็ต้องไม่ละเมอต้องไม่งมงายต้องไม่ละเมอว่าไอ้การที่เราเป็นสมาชิกชุมนุมพุทธศาสน์ เพื่อศึกษาพุทธศาสนา หรือเพื่อใช้พุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์แก่เรามากที่สุดนี้มันคืออะไรกันแน่แล้วเราจะต้องทำอย่างไร ถ้าเราเห็นว่ามันมีความสำคัญอย่างยิ่งแล้วเราก็จะได้ให้ความสนใจให้มากที่สุด ให้มันได้รับจริงๆ เนี้ยขอร้องให้คิดนึกในฐานะที่เป็นคนไทยนับถือพุทธศาสนา มีพุทธศาสนาเป็นมรดก มีบรรพบุรุษที่เป็นพุทธบริษัท เราจะต้องตอบปัญหาของพุทธศาสนาแก่ชาวต่างประเทศได้ดี พร้อมกันไปในขณะที่เรารู้จักใช้ศาสนานั้นให้เป็นประโยชน์แก่เราด้วย ไม่พูดแต่ปาก เมื่อเป็นเช่นนี้ความเป็นสมาชิกชุมนุมพุทธศาสน์หรือพุทธบริษัทประเภทไหนก็ถูกต้องหมดมีผลตามนั้นหมด แล้วเราก็อยู่ในสภาพที่ว่าจะไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่นคือไม่เป็นทุกข์ วิชาความรู้ต่างๆที่เราเรียนมาในโลกนี้จะมีประโยชน์ จะกลายเป็นมีประโยชน์คือไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าเราไม่มีความรู้ทางธรรมะพอ ไอ้สิ่งที่เราเรียนนั้นแหละมันจะฆ่าเรา ไอ้เงินที่เราหามามันจะฆ่าเรา เกียรติยศชื่อเสียงที่เราหวังจะได้มาหรือได้มามันจะฆ่าเรา ทำเราให้เป็นทุกข์ และวินาศใปในทางจิตใจ ถ้าเรามีความรู้ทางธรรมะหรือมหรสพทางวิญญาณเพียงพอแล้ว เราควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งเหล่านั้นไม่อาจจะฆ่าเราแต่เราควบคุมสิ่งเหล่านั้น เห็นความจำเป็นของธรรมะในลักษณะอย่างนี้มีมากถึงอย่างนี้ แล้วช่วยกันขนขวาย ให้เข้าใจยิ่งยิ่งขึ้นไป ให้กลุ่มชุมนุมพุทธศาสน์นี้เป็นกลุ่มที่มีความหมายในลักษณะเป็นดวงวิญญาณของมหาวิทยาลัย เป็นดวงวิญญาณของประเทศชาติ แล้วเป็นดวงวิญญาณของมนุษยชาติทั้งหมดทั้งสิ้น นี้ใจความสำคัญที่อยากจะพูดในที่อย่างนี้เวลานี้ ก็มีอย่างนี้ คือเรื่องมหรสพทางวิญญาณคือธรรมะ สถานที่ที่ให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้เรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณไปหมด ที่ภูเขาก็ได้ ชายทะเลก็ได้ ในป่าที่อย่างอื่นคล้ายๆกันนี้ก็ได้ ถ้าเรารู้จักทำจิตใจให้ถูกต้องแล้วมันเป็นมหรสพทางวิญญาณ เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ ได้ยินก้อนหินพูด ได้ยินต้นไม้พูด ได้ยินทุกอย่างพูด ซึ่งล้วนแต่พูดให้เราเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง ไม่ได้พูดเรื่องอื่น เรากำลังจะเป็นมนุษย์อย่างไม่ถูกต้อง มันก็บอกให้เราเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ได้รับประโยชน์คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ซึ่งมันไม่ใช่แต่เพียงวัตถุล้วนๆเพียวๆแดงๆโลดๆเต้นๆกันไปตามที่หลงใหลกันอยู่ มันต้องมีส่วนลึกทางจิตใจส่วนหนึ่งด้วยจึงจะสมบูรณ์ เนี้ยขอ ขอยุติข้อแนะนำ ทั้งข้อแนะนำวัดนี้ คำแนะนำวัดนี้ให้รู้จักวัดนี้ ให้รู้จักสวนโมกข์ในลักษณะอย่างนี้ ในขณะที่เรานั่งกันอยู่ที่นี่ เมื่อมีความประสงค์มุ่งหมายจะมาดูสวนโมกข์ก็อุตส่าห์พาขึ้นมาจนถึงสวนโมกข์ คือบริเวณนี้ แล้วเมื่อมาถึงสวนโมกข์แล้วก็ได้มีการพยายามที่จะเข็ญเข้าไปจนถึงหัวใจ หรือสปิริตของสวนโมกข์ก็คือเรื่องที่กำลังพูดนี้แล้วจึงหวังว่าทุกคนจะได้ เล่าจากประโยชน์เลยที่อุตส่าห์มาถึงที่นี้ ขอให้ได้รับความเจริญก้าวหน้าในทางจิตใจเกี่ยวกับธรรมะนี้เรื่อยไป นี้เวลาที่เหลือนิดน้อยนี้เราไปดูพอรู้จักวัดนี้ก็จะถึงเวลาที่ไปรับประทาน นี่กี่โมงแล้ว สี่โมงยี่สิบ ไปดูไอ้ที่ควรจะดูอาตมาพาไปเอง