- .......ให้ได้ว่าเราได้ ได้ชิม เอ้อ,สภาพหรือความรู้สึกที่คล้ายสมัยโบราณ ไม่มีปัญหาเรื่องสถานที่เรื่องอะไรกันให้มากให้เปลืองก็ใช้ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่ก็ป่า ถ้าเกี่ยวกับศาสนามันก็ต้องเข้าใจเถอะว่ามัน มันคล้ายป่า คล้ายสภาพป่า เอ้อ, เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าวัดหรืออารามอะไรของพวกนักบวชนั้น ต้องอยู่นอกเมือง ในครั้งพุทธกาลนั้นต้องอยู่นอกเมือง เมืองมีกำแพงล้อมรอบแล้วมีประตูเปิดปิดได้ พอค่ำลงก็ปิดประตูเมือง พวกพระพวก เอ้อ, นักบวชนั้นอยู่นอก นอกเมืองก็คือป่า ดังนั้นผู้ที่จะไปสนทนาด้วยไปถามปัญหา ไปก็ออกไปที่ป่า พวกพระเจ้าแผ่นดินกลางวันไม่มีเวลาก็ใช้เวลากลางคืน ดังนั้นการไปหาพระ โดยเฉพาะไปหาพระพุทธเจ้านั้น พระเจ้าแผ่นดินจะต้องมีกองทัพระวังหน้าระวังหลังเพราะว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมัยนั้นมีศัตรูมาก ถ้าจะเฝ้าพระพุทธเจ้าต้องไปด้วยกองทัพเพราะว่าอยู่นอกเมือง ไอ้ที่เรียกว่า เวฬุวัน เชตวัน อะไรวันเหล่านั้นอยู่นอกเมืองเป็นป่าเป็นอาราม มันเป็นป่าที่จัดเตรียม เอ้อ,ที่ตระเตรียมไว้ เขาเรียกว่าอารามหรือวัน ลงท้ายด้วยคำว่า วัน หรือปาร์ค ถ้าจัดเตรียม ตระเตรียมเฉพาะมากไปกว่านั้นก็เป็นพวกอาราม แต่ก็ไม่พ้นจากสภาพป่า เพราะฉะนั้นที่นี้มีความมุ่งหมายจะจัดสถานที่ให้เลียนแบบครั้งโบราณ ครั้งพุทธกาล เพราะฉะนั้นดู ที่มีต้นไม้เหลืออยู่ทั้งหมดที่เป็นต้นไม้ป่า แล้วก็ปลูกขึ้นมาใหม่ อย่างนี้แหล่ะปลูกขึ้นมาใหม่ อย่างนี้อย่างนั้นเป็นป่าของเดิมปนกันอยู่ เพราะว่ามัน ของเดิมไม่พอเราก็ปลูกขึ้นใหม่ พวกนี้ปลูกขึ้นใหม่
- ทีนี้ก็เกี่ยวกับคำว่า“สวนโมกข์”เป็นสถานที่จัดอนุโลมตามธรรมชาติเพื่อให้สะดวกแก่ผู้ที่ปฏิบัติคือผู้ที่เรียนมาแล้ว แล้วก็ปฏิบัติของตัว ไม่ได้รับความสะดวกในเรื่องสถานที่ เราก็เลยช่วยเหลือจัดสถานที่ให้ ฉะนั้นที่สวนโมกข์นี้โดยหลักการแท้ๆ แล้วไม่ยอมรับ ไม่ไม่ได้รับสอน ไม่ยอมรับสอนอย่างโรงเรียนหรืออย่างเป็นสำนักสอน แต่เป็นสำนักที่จัดไว้เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ที่เรียนมาแล้ว นี้เรียกว่า เรียกชื่อว่า สวนโมกขพลาราม “โมกขะ” คำหนึ่ง “พละ” คำหนึ่ง “อาราม” คำหนึ่ง เป็นโมกขพลาราม ก็แปลว่า ป่าไม้ พละ เป็นกำลัง โมกขะแห่งความหลุดพ้นคือความพ้นทุกข์ เราเรียกกันมาแต่ทีแรกเลย ตามความมุ่งหมายอันนี้ว่า สวนโมกขพลาราม ทีนี้เผอิญมีต้นไม้ชื่อเหมือนกันต้นหนึ่ง ต้นโมก ไม้โมก เป็นไม้ที่เขาใช้ไม้ทำของเล่น เน้อขาวๆ หรือทำพาย พายเรือ ก็มีอยู่ทั่วไปในวัดนี้ แล้วต้นพลา ก็มีอยู่ทั่วๆ ไปในวัดนี้ โมกขพลารามเลยเป็นทั้งทางไอ้ตัวหนังสือ ทั้งทางความหมาย ต้นพลานี้ ต้นนี้คือต้นพลา ต้นโมกก็มีอยู่ทั่วๆ ไป ปนอยู่นี้ (นาทีที่ 5:11) นี้แหละคำว่า สวนโมกขพลาราม ที่นี่มีกิจการพิเศษ กิจการที่เป็นความมุ่งหมายโดยเฉพาะเป็นพิเศษ คือช่วยให้รู้ธรรมะด้วยวิธีที่ไม่น่าเบื่อ การศึกษาธรรมะฟังธรรมะอย่างวิธีที่ทำกันมาแต่ก่อนนั้น มักจะรู้สึกเบื่อ ส่วนมากรู้สึกเบื่อ เพราะมีพิธีรีตองมาก หรือบางทีก็พูดด้วยภาษาที่ฟังยาก แล้วก็พูดแต่ปากเฉยๆ ทีนี้เรา เอ้อ,มีวิธีที่จะไม่ให้เบื่อ ก็ใช้ธรรมชาติหรือสิ่งของช่วย คือฟังไปพร้อมกับเรียนจากสิ่งของดูสิ่งของ ช่วยให้เกิดความพอใจสนุกสนานด้วย แล้วก็รู้ธรรมะอย่างไม่รู้ตัว ไม่ไม่ ไม่รู้สึกด้วย แล้วก็อย่างลึกซึ้งด้วยนี่คือความมุ่งหมาย ทีนี้กิจการนี้ เอ้อ, ทีแรกคิดชื่อกันขึ้นมาว่า “มหรสพทางวิญญาณ” มหรสพนั้นคือสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน หรือไอ้สิ่งที่น่า ทำความพอใจทุกชนิด แล้วก็ทางวิญญาณนี้มีความหมายพิเศษ คือทางธรรม ไม่ใช่ทางวัตถุ ไอ้โรงมหรสพ โรงหนัง โรงละครหรืออะไรก็ตาม ที่มีกันอยู่ตามธรรมดาที่ตลาดที่ในเมืองนั้นก็คือมหรสพทางวัตถุ หรือทางฝ่ายเนื้อหนัง ถ้าเรียกภาษาศาสนา เอ้อ,มีความพอใจเนื่องด้วยเนื้อหนัง ทีนี้ไอ้ทางฝ่ายวิญญาณนี้คือทางสติปัญญาแล้วก็เป็นทางที่ลึกซึ้งที่เกี่ยวกับธรรมะ ก็เลยเรียกว่าทางวิญญาณ ก็มีความหมาย เอ้อ,มีความหมายเฉพาะว่าทางวิญญาณ แต่คำพูดยังไม่เคยมี ก็เลยเรียกทางวิญญาณไปก่อน แต่ภาษาต่างประเทศเขามีคำว่า Spiritual ใช้กันดื่นไปหมด ฝ่าย Spiritual หมายความว่าไม่เกี่ยวกับฝ่ายวัตถุ ทีนี้พอว่าพวกฝรั่งมาที่นี่ ถามว่าอะไรกัน เราบอกว่า Spiritual theater มันก็เข้าใจทันทีล่ะ เข้าใจทันทีเลย นี้ตึกหลังนี้คือ Spiritual theater ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก เข้าใจทันที แล้วคนเขาก็หัวเราะ เอ้อ,เรียกว่าโรงละครทางวิญญาณ คือ โรงมหรสพทางวิญญาณ เด็กรู้จักแต่โรงหนังเลยเรียกว่าโรงหนังทางวิญญาณ ทีนี้หนักเข้าหนักเข้ามันยืดยาดนัก มันเรียกโรงหนังเฉยๆ ฉะนั้นลองถามดูเด็กๆ เขาเรียกนี้ว่าโรงหนัง เรียกตึกหลังนี้ว่าโรงหนัง นี่คุณก็เป็นนักศึกษาฟังคำว่าโรงหนังอย่างนี้ออกหรือไม่ออก แล้วชาวบ้านก็เรียกว่าโรงหนังเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น เดี๋ยวนี้เป็นที่รู้จักกันไปหมดว่าไอ้ ไอ้โรงหนัง ตึกนี้คือโรงหนัง ทีนี้อยากจะพูดให้หมดเสียเลยว่า ที่เราเรียกว่ามหรสพ แล้วก็ทางวิญญาณ Spiritual entertainment ทำนองอย่างนี้ ขอให้เข้าใจว่าที่แท้ที่จริงนั้น ไอ้ธรรมะนั้นแหละ ธรรมะหรือพระธรรมนั่นแหละคือ คือมหรสพทางวิญญาณ นี่คงจะฟังกันไม่ถูก พระธรรมที่แท้จริงนั่นคือ มหรสพทางวิญญาณ เพราะว่าถ้าใครไปเกิดรู้ธรรม มีธรรมบรรลุธรรม หรือรู้ธรรมกันจริงๆ คนนั้นจะพอใจ จะรู้สึกสบายเป็นสุขพอใจเหมือนกับมหรสพ น้ำหนักเท่ามหรสพทั้งหลาย แต่มันเป็นมหรสพทางวิญญาณ ดังนี่ถ้าพูดให้ถูกแล้วพระธรรมหรือธรรมะนั้นแหละเป็นตัวมหรสพเท่ากับทางวิญญาณ ทีนี้อุปกรณ์ต่างๆ ที่จะให้เรียนมหรสพทางวิญญาณมันก็ต้องมี เช่นเราจะมีหนังมีละครนี้ เราต้องมีโรง มีโรงหนัง โรงละคร ไอ้กิจการหนังกิจการละครมันจึงจะมีได้ ในเปลือกโรงนั้นมันไม่ใช้ตัวมหรสพ มันเป็นโรงมหรสพหรือเป็นเครื่องมือที่จะมีมหรสพ ไอ้ตัวหนังตัวละครนั้นแหละมันเป็นเรื่องที่เราต้องการทางฝ่ายวัตถุเป็นอย่างนั้น ทีนี้ทางฝ่ายวิญญาณ พระธรรมนั่นเองเป็นตัวมหรสพ ทีนี้ไอ้โรง โรงมหรสพของพระธรรมอยู่ที่ไหน ก็คือธรรมชาติ นี้ที่ต้นไม้ภูเขาก้อนหินก้อนดิน นี่ก็คือโรงละครของพระธรรม เมื่อพระธรรมเป็นละครเป็นกิจการละคร อย่าลืมนะว่าพระธรรมนั้นถ้าไปแตะต้องเข้าถึงจริงๆแล้วจะสนุก จะพอใจ จะมีความสุขและมีความพอใจ เหมือนที่คนเขาบ้าหนังบ้าละคร แต่ทีนี้มัน มันเข้าถึงยาก เพราะฉะนั้นจึงน้อยคนที่จะพอใจในพระธรรมเหมือนว่าเป็นมหรสพ แต่แล้วมันก็ยังเป็นอย่างนั้น แหละ มันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทีนี้เราก็พยายามที่จะให้มันมีขึ้นมาในประเทศเราหรือในโลกนี้ คือมหรสพทางวิญญาณ มาศึกษาธรรมะมี มามี experience ในธรรมะนั้นแหละ ในมหรสพนั้น โดยอาศัยโรงละครนี้คือธรรมชาติ แล้วเราบอกเขาว่าก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้ เม็ดทรายก็พูดได้ มดแมลงก็พูดได้ เขาก็ไม่เชื่อ ไม่มีใครเชื่อ เพราะว่าเขาไม่มาทนนั่งทำจิตใจให้สงบให้เป็นสมาธิแล้วเกิดความคิดขึ้นมาในจิตในใจของเขา ถ้าเราไม่มานั่งใกล้ก้อนหิน ไอ้ความคิดชนิดหนึ่งไม่เกิด เพราะว่ามานั่งที่ตรงนี้ใกล้ก้อนหินใกล้ต้นไม้นี้ความคิดชนิดหนึ่งซึ่งไม่เคยเกิดนั้นแหละมันเกิด ฉะนั้นเราเลยยกให้เป็นสิทธิ เอ้อ,ของต้นไม้ของก้อนหินเป็นเจ้าของไอ้ความคิดนั้นเรียกว่ามันพูดได้ เพราะว่าถ้าไม่มานั่งกับมัน มันไม่ได้เกิดความคิดอันนี้ขึ้นมา นี่เพราะว่าเรามานั่งกันตรงนี้ ใต้ต้นไม้ต้นนี้ ก้อนหินก้อนนี้ หรือตรงไหนก็ตาม ช่วยแวดล้อมจิตให้เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาใหม่ นี่ก็ถือว่าเป็นของต้นไม้ของก้อนหินมันพูด พระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาองค์อื่นๆ องค์ไหนก็ตามก็ไปนั่งฟังต้นไม้พูด ก้อนหินพูด อย่างนี้ทั้งนั้นแหละจึงได้มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ในโรงละครซึ่ง มีแต่ตรัสรู้ในที่ เอ้อ,ที่สงัด ที่ต้นไม้พูดได้ ก้อนหินพูดได้ อะไรก็พูดได้ไปหมด ธรรมชาติต่างๆ พูดได้ มีศาสดาที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่งชื่อมิลาเรปะ เป็นทิเบตสักพันกว่าปีมาแล้ว รูปปติมาของท่านองค์นี้ก็ต้องทำนั่ง คือนั่งอยู่กลางดง ฟังธรรมชาติพูด นี่ก็คือว่าใช้เป็นเครื่องช่วยให้ฟังให้ได้ยินถนัดขึ้น หลับตาฟังธรรมชาติพูด นี่ไปดูในโบสถ์ทิเบตมีภาพเขียนหรือภาพหล่ออาจารย์ ว่าพระองค์หนึ่งอย่างทำอย่างนี้นั้นคือองค์ที่ว่า มิลาเรปะ คำสอนของท่านผู้นี้มีชื่อเสียงแพร่หลายมากในทิเบต เรียกว่าแสนบท hundred thousand แสนใช่ไหม Hundred thousand songs of milarepa เพราะว่าถ้าแกได้ยินอะไรแกก็ประพันธ์เป็นคำกาพย์กลอนเอาไว้ เอ้อ,ก็เลยพิมพ์ออกมาชุดหนึ่ง ของ …(นาทีที่ 14:59:6) ตอนนี้ว่า แสนบท แสน song แสนบทเพลงแห่งมิลาเรปะ หนังสือพิมพ์ชาวพุทธที่เชียงใหม่กำลังแปลบาง บางบทลง ลองหาอ่าน จะเห็นว่าดี จะแปลทั้งแสนบทคงไม่ไหว สักห้าสิบหกสิบบทนี่ก็จะแย่ แต่ละบทดีมาก จะพูดด้วยเรื่องอะไรก็ดีดีดีมาก พูดเรื่องความทุกข์ พูดเรื่องเอ้อ,ความสุข พูดเรื่องบิดามารดา พูดเรื่องอะไรครอบครัว มีมีทั้งนั้นเลย มันจะจริงตามนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่แล้วมันก็ตามเถอะ แต่มันจริงอยู่อย่างหนึ่งคือว่าไปนั่งอยู่คนเดียวในที่สงัดความคิดเกิดอย่างที่ไม่เคยเกิดในบ้านในเมือง สำหรับองค์นี้ยกตัวอย่างมาให้ดูว่ามัน ประโยชน์ของธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น มันพูดได้ ที่ตรงนั้นเราก็มีตอไม้ขุดขึ้นมาจากดินตอหนึ่ง เผอิญมีรูปร่างคล้ายอย่างนี้ ตั้งไว้ดูเป็นที่ระลึก เอ้อ,ให้เข้าใจว่าธรรมชาตินี้ประเสริฐที่สุดจนเราพูดว่า ธรรมชาติสอนดีกว่าครูบาอาจารย์สอน นี้ฟังไว้ทีหนึ่งก่อนนะว่าธรรมชาติสอนนี่ดีกว่าครูบาอาจารย์สอน ทีนี้ถ้าให้พูดมากไปกว่านั้นเดี๋ยวจะตกใจว่าธรรมชาติสอนยังดีกว่าพระพุทธ
พระพุทธเจ้าสอน แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงยอมรับรองข้อนี้ ธรรมชาติสอนดีกว่าฉันสอน แต่ต้องอธิบาย ที่ว่าธรรมชาติสอนนั้น มันสอนในส่วนที่ที่ที่คนสอนไม่ได้ คนพูดไม่ได้ อย่างจะพูดสักข้อหนึ่งว่าไอ้จิตที่สงบเป็นสุข จิตใจที่สงบเป็นสุขเราจะพูดกันด้วยปากสักเท่าไรเท่าไร มันก็ไม่เกิด ไอ้รสของความสุขขึ้นมาใน ในใจได้ พูดเป็นตัวหนังสือสักหลาย หลายร้อยหน้ากระดาษหรือหลายชั่วโมงก็ตาม มันไม่ทำให้คนนั้นรู้จักความสุขได้ จนกว่าจะไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งธรรมชาติมันแวดล้อม ทำให้จิตนั่นมันสลัดไอ้สิ่งวุ่นวายออกไปเสียหมด แล้วเป็นจิตที่ว่างจากไอ้ความวุ่นวาย มันเลยสบายเป็นสุข รู้สึกสบายบอกไม่ถูก จนกระทั่งว่าคนนั้นจะไปพูดความรู้สึกอันนี้ให้อีกคนฟังก็พูดไม่ได้ เข้าใจไหม เฮอะ, เอ้าสมมติว่าคุณมาจากกรุงเทพฯ นั่งรถไฟมาหรือรถยนต์มา ออกมาจากบ้าน ไอ้เรื่องยุ่งหัวต่างๆ มันก็เริ่มเลือนใช่ไหม ที่รียก เรราเรียกกันว่าเรื่องตัวกูของกู หลาย หลายร้อยอย่างมันเริ่มเลือน เริ่มจางไป จางไป จางไป จนกระทั่งมาถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้ไม่มีไอ้เรื่องตัวกูของกูรบกวนเลย มันรู้สึกสบายใช่ไหม นี่ถามทุกคนนี้ ดังนี้ใคร ใคร ใครครสอน เราต้องถือว่าธรรมชาติทั้งหมดในสวนโมกข์นี้มันสอน โดยมันแวดล้อมความคิดไว้ไม่ให้ไปในทางตัวกูของกู ไปในทางว่างจากตัวกูของกู ไอ้เรื่องของเรา เรื่องอะไรของเรา เรื่องการเรียน เรื่องการงาน เรื่องความรับผิดชอบอะไรต่างๆ ไม่ติดมาเลย นี้เรียกว่าของกูไม่มี เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เรากำลังลืมไปว่าเรามีชีวิต ใช่ไหม ไม่มีใครคิดถึงว่าเรามีชีวิต นี้เรียกว่าตัวกูก็ ก็ไม่มี ในการรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูทุกชนิดแหละ กี่ร้อยชนิด เราเรียกสั้นๆ ว่าไอ้พวก egoistic idea ไอ้ concept ทั้งหมดนี้ไม่มี นี่กำลังสบาย จริงไหมเดี๋ยวนี้กำลังสบายใช่ไหม ด้วยธรรมชาติมันแวดล้อม ไม่ใช่ไม่ใช่ใครสอน ทีนี้เอ้ารู้สึกสบายแล้วอย่างนี้แล้วเราจะไปพรรณนาไอ้ความสบายนี้เป็นตัวหนังสือนี้ทำได้ไหม ทำได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์นี่กล้าท้า เอาละเป็นนักประพันธ์อย่างดีไปบรรยายอะไรมันได้ไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ คือมันไม่ได้รู้สึกด้วย experience จริงๆ แต่ทีนี้ไอ้ที่เรารู้สึกอยู่นี่มันรู้สึกจริงๆ ฉะนั้นใครจะไปพูดเรื่องความสุข เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นสักกี่ชั่วโมงมันก็ไม่จริงไม่ดีไม่มากเท่าที่มานั่งให้ก้อนหินมันช่วย ก้อนหินต้นไม้มดแมลงต่างๆ นี้มันช่วย มันพูด มันพูดโดยที่ไม่ต้องออกเสียง แต่เรากลับได้ยินอย่างยิ่ง กระทั่งจิตใจของเราเปลี่ยน แล้วก็เข้าใจไอ้สิ่งที่เรียกว่าเอ้อ,ความสงบได้ทันที ความสุขความสงบหรือเข้าใจไปถึงนิพพานได้ทันที เพราะว่านิพพานนั่นก็คือดับสนิทแห่งตัวกูของกู ดับกันจริงๆ จึงจะเป็นนิพพานสมบูรณ์ เดี๋ยวนี้เรามันนิพพานชิมลอง ที่มานี่ กำลังไม่มีตัวกูของกู กำลังเย็นสบายนี่เป็นนิพพานชิมลอง อย่ามาทิ้งไว้ที่นี้กลับไปมือเปล่า เอ้อ, มันสอนอย่างไม่มีอะไรที่จะดีเท่า พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าอย่าเชื่อเราหรือว่า เอ้อ,อย่ายึดถือไอ้ ไอ้ถ้อยคำของเรานี้ ต้องไปปฏิบัติจนเกิดความรู้สึกอย่างที่ว่านี้ขึ้นในใจก่อนแล้วจึงเชื่อเรา จนบอกว่าไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เป็นสุขอย่างยิ่งนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อเรา เราพูดนี้ แล้วถึงเราก็ ก็ฟังไม่รู้เรื่องที่บอกว่าราคะ ว่างจากราคะ โทสะ เป็นสุขอย่างยิ่ง เราไม่รู้เรื่อง จนกว่าเมื่อไรเราเผอิญไป มีโอกาสมีอะไรที่อะไรมันแวดล้อมให้ราคะ โทสะ โมหะ มันว่างไปชั่วขณะ แล้วเราก็รู้ทันทีว่า เอ้อ,มันจริง เหมือนอย่างที่เรานั่งอยู่ที่นี้ ก็เรียกว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ กำลังไม่รบกวน เพราะฉะนั้นจึงมีความรู้สึกเยือกเย็นสบาย แบบความสุขทางวิญญาณ ไม่ใช่ความสุขทางเนื้อหนังคือเรื่องกิน เรื่องเล่นเรื่องอะไรที่ทางตา ทางหู ทางจมูก อะไรที่เรื่อง ทางเนื้อหนังนั้นอีกอย่างหนึ่ง ความสุขนั้นอีกอย่าง นี้เรากำลังมีความสุขทางวิญญาณ ไม่ต้องอาศัยสิ่งเหล่านั้น ทีนี้เรื่องความสุขชนิดนี้ เอ้อ,มันสำคัญมากกว่า นี่เดี๋ยวจะไม่เชื่ออีก ไม่เชื่อก็ได้ คือว่าเรารอดตายอยู่ได้เพราะความสุขชนิดนี้แหละ เราไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่ไปอยู่ ปากคลองสานนั้น ก็เพราะว่ามีไอ้ความสุขชนิดนี้ช่วยประคับประคองเอาไว้ คือเวลาที่จิตใจของเราสบาย ไม่มีตัวกูของกูนั่นแหละ ตอนนั้นเราไม่ปวดหัว เราไม่กลุ้ม เราไม่อะไร เวลาอย่างนี้ต้องมีมากพอ ถ้ามีไม่มากพอคนนั้นเป็นโรคเส้นประสาท วิกลจริตหรือกระทั่งตายไปเลย เวลาที่เราไม่มีไอ้ตัวกูของกูแล้วสบายพอสมควรนั้นต้องมีอยู่ตามส่วนที่มันต้องการ เช่น ๒๔ ชั่วโมงก็ต้องมีอารมณ์ที่สงบนี่สัก ๘ ชั่วโมง สมมติว่า แล้วเหล่านั้นเราก็ยุ่งไปตามเรื่อง ไอ้ ๘ ชั่วโมงนี้ขาดไม่ได้ จะเป็นการนอนหลับหรือการพักผ่อนอย่างอื่น แม้ที่เราตื่นๆ อยู่นี่ต้องมีชั่วโมงที่มันสงบหรือมันหยุดพอสมควร ไม่เช่นนั้นเราปวดหัว เป็นโรคเส้นประสาท เป็นบ้าตาย แล้วชั่วโมงที่ว่างจากตัวกูของกูนี้มันหล่อเลี้ยงคนไว้ไม่ให้เป็นบ้า เป็นโรคเส้นประสาท ไม่ให้ตาย ที่เรียกเมื่อตะกี้ว่านิพพานชิมลอง แต่เราไม่รู้สึกเราไม่รู้จักแล้วเราก็ไม่ได้เรียกว่านิพพาน แต่ทางพุทธศาสนาหรือพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่านิพพานชั่วขณะ ชั่วครู่ ชั่วขณะ เขาเรียกว่า ตทังคนิพพาน นิพพานบังเอิญชั่วขณะ คือสิ่งแวดล้อม แวดล้อมเราอยู่ในลักษณะที่ให้เราหยุดมีตัวกูของกูได้ ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที อยู่เสมอในวันหนึ่ง วันหนึ่ง นี่คือนิพพานชั่วขณะคือนิพพานชิมลอง ทุกคนรอดตัวอยู่ได้ไม่เป็นบ้าเพราะส่วนนี้ เพราะจิตส่วนที่ว่างจากตัวกูของกูส่วนนี้ ถ้าใครไม่มีหรือมีน้อย มันก็ต้องเป็นโรคเส้นประสาทหรือเป็นบ้าหรือตายเลย ดังนั้นเราต้องขอบใจไอ้ความสงบ สิ่งที่เรียกว่าความสงบนี้มันช่วยให้เราปรกติอยู่ได้ ไม่เป็นบ้า ไม่เป็นไอ้โรคเส้นประสาท ดังนั้นเราต้องจัดให้มันมีให้พอในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงนี้ นาทีแห่งความสงบ ชั่วโมงแห่งความสงบต้องมีพอ พอสมสัดส่วนกับชั่วโมงวุ่นวาย ทีนี้เมื่อมานั่งอยู่อย่างนี้ มันเป็นชั่วโมงแห่งความสงบ มันลืมไปเรื่องตัวกู เรื่องของกู เรื่องอะไรมันลืมไปหมด ดังนั้นเราต้องศึกษาลงไปที่ความรู้สึกอันนั้น ซึ่งไม่อาจจะศึกษาได้จากหนังสือ ที่จริงหนังสือเราก็พูดเรื่องนี้ เขียนเรื่องนี้ ปาถกฐาเรื่องนี้ เทศน์เรื่องนี้ หลายร้อยหลายพันหน้ากระดาษ แล้วก็ยังไม่มีประโยชน์อะไร แต่บอกวิธีว่ามันจะต้องทำอย่างนั้น อย่างนั้น จึงจะพบกับไอ้ความสงบอย่างนี้ จะพบได้มากขึ้น พบได้นานขึ้น นานขึ้น เราเลยแบ่งเป็นสองอย่างว่า เวลาที่มันวุ่นวาย เรียกว่าจิตวุ่นนี้อย่างหนึ่ง เวลาที่มันว่างไม่วุ่นนั้นมันอีกอย่างหนึ่ง ก็เลยมีเรื่องจิตวุ่นกับจิตว่าง เราขยายเวลาที่จิตว่างนี้ออกให้มาก ไอ้เวลาที่จิตวุ่นให้มันน้อยลงเพราะว่าเมื่อจิตวุ่นเมื่อไรมีความทุกข์เมื่อนั้น ดังนั้นจึงว่าแม้จะทำการงานการศึกษาเล่าเรียนสอบไล่อะไรก็ต้องให้ทำด้วยจิตว่าง คืออย่าทำด้วยจิตที่วุ่นวาย ให้เป็นจิตที่เยือกเย็นสงบ ปราศจากตัวกูของกู ไอ้เราเรียนหรือเราอยากจะเรียน เราอยากจะสำเร็จในการเรียนนั้นก็คิดได้ เป็นเรื่องที่คิดแล้วเป็นเรื่องที่ต้องการอยู่เองแล้ว ไม่ต้องคิดก็ได้ แต่พอถึงเวลาที่เรียนหรือสอบไล่นี่ต้องไม่มีไอ้สิ่งเหล่ารบกวน มีแต่สมาธิที่ปราศจากตัวกูหรือของกู แล้วก็เรียนหรือสอบไล่แล้วก็ได้ผลดี อย่างนี้ก็ทำงานด้วยจิตว่าง ไอ้สภาพจิตว่างอย่างนี้จะช่วยหล่อเลี้ยงคนไว้ไม่ให้เป็นโรคปวดหัว ไม่ให้เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นบ้าและไม่ตายในที่สุด เพราะฉะนั้นเราขอบใจมัน ต้องศึกษาไว้ให้เข้าใจ ทั้งการมาที่นี้ไม่มีอะไรที่ดีหรือมีค่าเท่ากับการศึกษาเรื่องนี้ คือศึกษาให้พบว่า ให้พบข้อเท็จ เท็จจริงสักอย่างหนึ่งซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเวลาที่เราเป็นสุขที่สุดนั้นแหละ ก็คือเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรหรือเป็นอะไร นี้ฟังยาก เวลาที่เราจะรู้สึกเป็นสุขที่สุดแต่เป็นเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรหรือเราเป็นอะไร แม้แต่ตัวเรา พอเรารู้สึกว่าเรามีตัวเรา เป็นตัวเราเท่านั้นแหละ มันก็มีภาระหน้าที่มีความรับผิดชอบ มีวิตกกังวล มีห่วง มีอะไรเรื่องตัวเรา พอรู้วสึกว่่าเรามีอยู่เท่านั้นแหละ มันก็มีห่วง เหมือนกับของหนักมาทับหรือโซ่ตรวนมาจองจำ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ตัดความคิดอันนี้ ที่เรามี เราเป็นเรามี เรามีตัวเราเราเป็นของเรา มีอะไรเป็นของเรานี้ ให้ตัดออกไปเสียความคิดอันนี้ ให้มีแต่สติปัญญาหน้าที่อะไรต้องทำก็ทำไป ทีนี้ก็เลยสบายทำงานไม่รู้จักเหนื่อย คิดอะไรไม่รู้จักปวดหัว เพราะว่าไอ้เรื่องวุ่นๆ ยุ่งๆ ไอ้จิตวุ่นวายนั้นมันออกไปหมด ก็เลยจิตว่างที่สามารถที่มีสมรรถภาพ นั่นแหละคุณฟังมาว่าเวลาที่จะเป็นสุขที่สุดคือเวลาที่เราไม่ ไม่มีความรู้สึกว่าเรามีอะไรหรือเป็นอะไร เดี๋ยวนี้คุณกำลังลืมไปทุกคนใช่ไหม ที่ว่าเป็นอะไร มีอะไร ลืม ลืมไปหมด เป็นนักเรียนเป็นอะไรลืมไปหมด กำลังว่างจากความคิดว่าเรามีอะไร หรือเราเป็นอะไร เราจึงมีความสุข รู้สึกเป็นความสุข หรือเราไปทะเล ไปเที่ยวทะเล ไปเที่ยวภูเขา ไปตากอากาศอะไรก็ตาม เมื่อรู้สึกสบายเป็นสุขพอใจแล้ว ตรงนั้นจะมีผลอย่างเดียวกัน คือเราลืมไปว่าเรามีอะไร เรามีตัวเรา หรือเราเป็นอะไร นี้มันลืมไป ฉะนั้นจำไว้เป็นสูตรไปคิดดูเถอะ เราจะรู้สึกเป็นสุขที่สุดเฉพาะเมื่อเราไม่รู้สึกว่าเราเป็นอะไรหรือมีอะไร แต่เราก็ทำอะไรได้ เราวิ่งเล่นได้ เรากินอาหารได้ เราทำอะไรได้ ที่บางแสนหรือที่ไหนก็ตามใจหรือที่นี่ก็ตาม คุณก็กินอาหารได้อะไรได้ แต่ไม่รู้สึก
- เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ ไม่มไอ้ีความรู้สึกเป็นตัวเราของเรารบกวนนี้ มันก็มีความสุขอย่างนี้ ไอ้เรื่องของศาสนาทุกศาสนาจึงมีให้ตัดความรู้สึกนี้ความรู้สึกที่เกี่ยวกับตัวเรานี้ เรียก เรียกสั้นๆ รวมๆ ก็ว่าตัวกูของกูนี้ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตเขาเรียกอหังการ มมังการ อหังการนี่ คอนเซ็ปท์ว่าตัวกู มมังการ คอนเซ็ปท์ก็ว่าของกู บางทีก็เรียกว่า อัตตา อัตตนียา อัตตา คือตัวตน อัตตนียา คือของตน มีผู้เป็นบุรุษที่สาม รวมเรียกว่าตัวกูหรือของกูนี้ ถ้ามันมีขึ้นในใจเมื่อไร เมื่อนั้นก็เป็นผู้ทนทุกข์ทันที ดังนั้นไอ้เรื่องปฏิบัติศาสนาจนบรรลุมรรคผลนิพพานไม่มีเรื่องอื่น มีเรื่องขจัดอันนี้ออกไปทำให้ละลายไปจนกว่าจะหมดสิ้นก็เป็นพระอรหันต์ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธจะต้องรู้จักหัวใจของพุทธศาสนาแล้วก็มีไว้ให้ได้ตามสมควรแก่เวลา แล้วก็เอาเวลาที่ว่างจากตัวกูของกูนี่ ควรจะมีบ้างตามสัดส่วนที่จะมีได้ ให้มากขึ้นก็ยิ่งดี ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นพุทธบริษัทเลย ทีนี้ถึงศาสนาอื่นๆ ก็เหมือนกัน เขามุ่งหมายอย่างเดียวกันนี้แหละ เขาสอนทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเลยทุกศาสนา นี้ขอฝากไว้ทุกๆ คนอย่าไปทำห้าแต้ม คืออย่าไปดูถูกศาสนาอื่นเข้า มันจะห้าแต้ม เพราะทุกศาสนาเขาจะสอนให้ ให้ทุกคนทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น แหละ ไอ้ศัตรูร้ายของมนุษย์ก็คือความเห็นแก่ตัว แล้วแตกแขนงออกไปได้ต่างๆ ไอ้ความเห็นแก่ตัวนั้น และความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละ ประเสริฐที่สุด ทุกศาสนาต้องการหรือไม่ใช่เรื่องศาสนาก็ต้องการ ศีลธรรมทั่วไปก็ต้องการ แม้ แม้ แม้เราโดยส่วนตัวก็ต้องการความไม่เห็นแก่ตัวจากผู้อื่น ของผู้อื่น เอ้อ,จากผู้อื่น เดี๋ยวนี้คุณพอกพูนกันแต่ความเห็นแก่ตัวใช่ไหม ทุกคนนี่พอเกิดมาก็อยากจะเอาให้มาก อยากจะดีอยากจะเด่นอยากจะเรียนเพื่อเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ใครเรียนเพื่อคนอื่นบ้าง หรือใครเรียนเพื่อโลกเพื่อส่วนรวมบ้าง แล้วเวลาที่พอกพูนความเห็นแก่ตัวที่สุดนั้น ก็เวลาที่คุณแห่กันไปนั่งเชียร์พวกเล่นกีฬา นี่ ไม่มีเวลาไหนที่จะพอกพูนความเห็นแก่ตัวมากเท่านี้ ซึ่งแต่โบราณเขาไม่มีมีนะ เราอุตริมามีขึ้นมันก็พอกพูนความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มหาวิทยาลัยของเราพวกเรา อะไรมีแต่เราทั้งนั้นแหละ นี่แหละคือตัวกูของกูแหละ พูดตรงๆ ก็คือตัวกูของกู พูดไพเราะอย่างอื่นก็เป็นอหังการ มมังการ เป็นเหน็บกันมันก็(นาทีที่ 33:43) มันก็ไม่รู้สึก ไม่ค่อยจะรู้สึก แล้วเวลาไปนั่งเชียร์กีฬานายคิดอย่างไร เฮอะ มันก็ไม่มีอะไรนอกจากพวกกูของกูตัวกูอะไรแต่กูทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงพูดว่าสมัยนี้มีแต่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว จริงไม่จริงก็เอาไปคิดดูเถอะ สมัยนี้การศึกษาเล่าเรียนการก้าวหน้าในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของมนุษย์ทั้งโลกนี้ ล้วนแต่เพิ่มความเห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่รู้สึกตัว มันจึงมีผลเป็นเรื่องเบียดเบียนกันเรื่อย ความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว เราลองนึกดูให้ยุติธรรมไม่เข้าใครออกใครว่าเราต้องการอะไรมากที่สุด เดี๋ยวนี้แหละ คนเดี๋ยวนี้มันก็ต้องการไอ้ที่เรียกว่าความสุข ความสุขก็เรื่องไอ้วัตถุนิยม พูดภาษารวมๆ ก็ว่าความสุขที่เกิดจากวัตถุ ทางตาทางหูทางจมูก ทางลิ้นทางกายที่เป็นไปเพื่อความเอร็ดอร่อยของกิเลสนี้เขาเรียกวัตถุนิยม ทุกคนต้องการอย่างนี้ ไอ้ธรรมเนียมโบราณเขาสอนให้เกลียดสิ่งเหล่านี้ ไอ้ธรรมเนียมสมัยใหม่นี้สอนให้บูชาสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นไอ้โลกจึงมีแต่ความเห็นแก่ตัว ทีนี้เมื่อมองกว้างออกไปเกี่ยวกับผู้อื่นก็เห็นว่าไอ้สิ่งที่ดีที่สุดก็คือไอ้วัตถุปัจจัยที่จะให้เราชนะสงคราม จริงหรือไม่จริงไปลองคิดดู ไอ้วัตถุปัจจัยที่จะให้เราชนะไอ้สงคราม เราถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุดสำคัญที่สุด ประหลาดที่สุด พิเศษที่สุด เรื่องการเมือง เรื่องทหาร เรื่องเศรษฐกิจหรืออะไรก็ตาม บรรดาวัตถุปัจจัยที่จะเป็นเหตุให้ชนะสงครามนั่นแหละคือพระเจ้า ส่วนพระเจ้าที่แท้บางคนเขาเอาไปขว้างทิ้งลงคลองหมดแล้ว เขาเอาพระเจ้าใหม่ขึ้นมา ก็คือวัตถุปัจจัยที่จะช่วยให้เราชนะสงคราม ประเทศไหนก็ตาม เสรีประชาธิปไตยก็ตาม คอมมิวนิสต์ก็ตาม อะไรก็ตาม มันต้องการไอ้วัตถุปัจจัยที่จะช่วยให้ชนะสงครามเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้มันก็มาจากความเห็นแก่ตัว โดยส่วนตัวเรา เราก็ชอบความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนังมันก็เห็นแก่ตัว ทีนี้ก็คิดกว้างไปว่าเราจะต้องชนะผู้อื่น เพื่อเราจะได้วัตถุปัจจัยเพื่อความสุขของเรา หรืออย่างน้อยก็รักษาป้องกันไอ้ความสุขชนิดนี้ของเราอย่าให้ใครเอาไป อย่ามาแย่งชิงไป นี่ มันจึงรบกันทั้งโลก กำลังรบกันอยู่เรื่อย ที่พูดว่ารบเพราะเขาเบียดเบียนเรา รบเพื่อความเป็นธรรมหรืออะไรอย่างนี้มันไม่จริง มันเป็นข้อแก้ตัว เบื้องหลังที่แท้จริงในจิตใจก็เพื่อ เพื่อความเห็นแก่ตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันของตัว เพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว เขาไม่ทันทำอะไรเราสักที เราก็อยากจะฆ่าเขาแล้ว โดยคิดว่าเขาอาจจะมาฆ่าเรา เพราะความคิดของคนสมัยนี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมนะว่าอย่าห้าแต้ม เที่ยวไปตำหนิศาสนาอื่นเข้า ทุกศาสนาต้องการทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาทุกศาสนาจะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่ศาสนา ไอ้ส่วนที่วิธีที่จะไม่ให้เห็นแก่ตัวมันต่างกัน ศาสนาหนึ่งก็ใช้วิธีอย่าง อีกศาสนาหนึ่งก็ใช้วิธีอย่าง แต่เพื่อผลเดียวกันคือการทำลายความเห็นแก่ตัว เรามีปัญญาอย่างพุทธบริษัทเราก็คิดว่าจะทำลายความเห็นแก่ตัว แต่พวกอื่นเขาอาจ อาจจะใช้พระเจ้าเป็นเครื่องมือว่าจงเห็นแก่พระเจ้า อย่าเห็นแก่ตัว ต้องทำตามพระเจ้าต้องการ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีโอกาสจะเห็นแก่ตัว ศาสนาที่มีพระเจ้าเขาก็ถือกันอย่างนั้น แต่แล้วเขาก็มุ่งหมายไอ้ความไม่เห็นแก่ตัวหรือไม่มีความคิดยึดมั่นถือมั่นว่าตัวว่าของตัว ในคัมภีร์ไบเบิลของพวกคริสเตียนก็มีคำสอนอย่างนี้เต็มไปหมด แล้วที่เหมือนกับพุทธศาสนาแท้ๆ อย่างยิ่งอยู่ เช่นว่า คำสอนที่เซนต์ปอลสอนกับพวกโคลิเซีย ประมวลคำสอนของพระเยซูทั้งหมดมาให้เป็นใจความสั้นๆ และสอนพวกนี้ เขาสอนว่า มีภรรยาก็จง จงเหมือนกับไม่มีภรรยา ตัวหนังสือมันว่าอย่างนั้น มีสามีก็เหมือนกันอีก แล้วมีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ ฟังไว้ก่อนนะ แล้วก็มีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข มีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข เดี๋ยวนี้เรากำลังกระหายกำลังนั่นต่อความสุข แล้วเขาก็สอนว่ามีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข เอ้อ,มีความทุกข์ก็จงเหมือนกับไม่มีความทุกข์ ไปซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา ทำได้ไหม นี่ทุกคนทำได้ไหม ซื้อของที่ตลาด อย่าเอาอะไรมา อ้าว,แย่แล้ว ถ้าไม่เข้าใจหรือปฏิบัติไม่ได้เราก็เลวกว่าคริสเตียน น่าละอายไหม น่าเจ็บปวดนะเขาว่า ไอ้ชาวพุทธมันเลวกว่าคริสเตียนลงไป ซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา ก็เหมือนคำสอนในพุทธศาสนาเรื่องอนัตตา ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราหรือเป็นของเรา เมื่อไอ้ร่างกายแท้ๆ ชีวิตนี้แท้ๆ มันก็ไม่ใช่ตัวเราหรือของเรา แล้วทำไมของห่อหนึ่งจะเป็นของเราได้ เขาก็ว่า ซื้อที่ตลาดหิ้วมาบ้านนี่ ในใจไม่คิดว่าของเรา เอามากินเข้าไปเลย ก็ไม่คิดว่าของเรา นี่พวกคริสเตียนเขาบอกว่าของพระเจ้าไม่มีอะไรที่ไม่ใช่พระเจ้าและไม่ใช่ของพระเจ้า ดังนั้นที่ได้มาและกินเข้าไปก็ของพระเจ้า เพราะฉะนั้นการที่เราไปถือมาหิ้วของมาจากตลาดนั้นจึงไม่มีความหมายเป็นของเรา จึงว่าเราไม่ได้เอาอะไรมา นี่ทางพระพุทธศาสนาก็เหมือนกันแหละ ทุกอย่างนี่เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ ดินน้ำลมไฟอากาศวิญญาณอะไรก็เป็นของธรรมชาติ ถ้าใครไปว่าของเรา คนนั้นเป็นโจร ปล้นธรรมชาติ พอเราคิดว่านี่ ตัวนี้ ตัวร่างกายนี้ของเรา เราเป็นโจรทันที เป็นโจรปล้นธรรมชาติซึ่งๆหน้าเอามาเป็นของเรา แต่ถ้าเรารู้สึกอยู่ว่านี่มันของธรรมชาติ คนเรียนวิทยาศาสตร์ก็รู้ใช่ไหมว่าทุกส่วนของร่างกายชีวิตนี่มันของธรรมชาติ แล้วทำไมจะต้องว่าของเรา คนที่เรียกว่าของเราก็คือโจรปล้นธรรมชาติ ต้องถูกลงโทษให้มีความทุกข์แหละ ไม่มีวันที่จะผ่องใสอะไรได้ ดังนั้นต่อเมื่อเราไม่มีไอ้ความคิดว่าตัวกูว่าหรือของกูเท่านั้น เราจึงจะไม่เป็นโจรปล้นธรรมชาติ แล้วเราก็สบายเพราะเราเป็นคนดี เราไม่ได้เป็นโจร ทีนี้คุณมานั่งอยู่ที่นี่ต้นไม้ทั้งหมดเหล่านี้มันช่วยแวดล้อมจิตใจให้ลืมตัวกูของกู เดี๋ยวนี้กำลังไม่เป็นโจรปล้นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นให้จำเอาไป จำเอากลับไปบ้านว่าเราจะมีจิตใจที่โปร่งที่สะอาดที่สว่างที่สงบอย่างนี้ ไม่เป็นโจรปล้นธรรมชาติ แล้วปัญญาอย่างนี้ก็ทำให้ง่วงนอนแล้วหลับเลย จะให้เอากลับไปกรุงเทพฯ นี้ถ้าเราต้องการสติปัญญา ไอ้ความที่เป็นมหรสพทางวิญญาณมันมีแต่อย่างนี้ ดังนั้นคุณจะนั่งที่ตรงนี้ให้ต้นไม้มันช่วยสอนก็ดี หรือถ้าไปดูภาพเขียนในนั้นให้มันช่วยสอนก็ดี มันมีแต่เรื่องนี้ แล้วก็จะทำลายตัวกูของกูนี้ เรื่องอื่นอย่างอื่นไปหาได้ที่อื่น แต่ที่นี่ต้องการให้ความสะดวกแต่เรื่องนี้ จึงจัดธรรมชาติอย่างนี้ จัดไอ้โรงหนังนี้ขึ้น มีอะไรอยู่ในโรงหนังก็เข้าไปดูเองก็แล้วกัน ดังนั้นแต่จะสอนเรื่องที่ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู แล้วสบายที่สุด ไม่ต้องปวดหัวไม่ต้องเป็นโรคเส้นประสาท นั่นแหละคือความหมายของคำว่า โมขพลาราม แปลว่าป่าไม้ที่เป็นกำลังสนับสนุนให้เกิดความหลุดพ้นจากความทุกข์ มันมีความหมายอย่างนี้ แม้กระทั้งสวนโมกข์นี้ก็เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ ไม่ใช่เฉพาะตึกนั้น ตึกหลังนั้นเป็นในส่วนน้อย ส่วนใหญ่คือธรรมชาติทั้งหมดเลย ทั้งวัดเลย คือถ้าพูดให้ถูกคือทั้งโลกเลย ไอ้ธรรมชาติตามธรรมชาตินี้เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ แล้วตัวมหรสพแท้ๆ คือธรรมะหรือพระธรรมที่เราเรียกว่าศาสนาหรืออะไรก็ตาม นั้นคือตัวมหรสพแท้ๆ พอได้ชิมได้รู้สึกจะมีความรู้สึกเป็นสุขฝ่ายวิญญาณ แยกกันเสียฝ่าย Physic ฝ่าย Spiritual ให้มันสองพวกไปเลย ที่ให้มีความรู้ทางฝ่าย Spiritual นี้ควบคุมไอ้ความรู้ความต้องการทาง Physic จนถึงกับว่าไปซื้อของที่ตลาดแล้วก็ไม่ได้เอาอะไรมา แล้วกินเข้าไปแล้วถ่ายออกไปได้ ดังนี้อย่าให้การกินการอะไรนั้น มันเป็นเรื่องให้เกิดตัวกูของกูแล้วมีความทุกข์ โดยความรู้ทางฝ่ายวิญญาณนี้ช่วยควบคุมเอาไว้ ดังนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็ทำได้อย่างนี้ แล้วก็คุ้มกันแล้ว เกินค่าแล้วที่จะมาที่นี่ ที่มาที่นี่ ถ้าไม่เอาอย่างนี้ก็เลิกกัน ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรให้ ไม่มีอะไรแปลกกว่าที่จะหาได้จากที่กรุงเทพฯ หรือที่ไหนๆ ดังนั้นจงพยายามเข้าใจภาพในนี้ให้มากเท่าที่จะเข้าใจได้ มันจะบอกแต่เรื่องอย่างนี้แหละ มันช่วยสนับสนุนแง่ใดแง่หนึ่ง หรือแม้แต่ไอ้จะขึ้นไปเที่ยวบนภูเขาไปอะไรก็ตาม พยายามศึกษาไอ้จิตที่มันกำลังว่างจากตัวกูของกู กำลังสบายสงบเย็นไปตามธรรมชาติ อ้อม อ้อมไปที่ตรงโน้นมีโรงทำภาพปั้นจำลองหินสลักในอินเดีย เป็นหินสลักชุดแรกที่สุดในโลกที่เกี่ยวกับพุทธ พุทธประวัติ พ.ศ.สักสี่ห้าร้อย ที่หินสลักชุดนี้มีขึ้นในประเทศอินเดีย ก่อนนี้ก็ไม่มี แสดงพุทธประวัติตลอดเรื่องโดยไม่ต้องมีรูปพระพุทธเจ้า ไปดูเถอะทุกภาพจะไม่มีรูปพระสิทธัตถะ หริือรูปพระพุทธเจ้า ถ้าตรงไหนที่เดี๋ยวนี้ที่เราจะต้องแสดงด้วยรูปพระสิทธัตถะแต่ตรงนั้นเขาทิ้งว่างเอาไว้ ตรงนั้นก็จะทิ้งเป็นที่ว่างเอาไว้ อาสนะก็ว่าง หลังม้าก็ว่าง อะไรก็ว่าง นั้นเขารู้จักพระพุทธเจ้าดีกว่าพวกเราสมัยนี้ พวกเราสมัยนี้รู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นคน เป็นตัวคนเหมือนเรานี้ แต่พวกนั้นสมัยนั้นเขาว่าพระพุทธเจ้าแท้จริงไม่ใช่สิ่งที่แสดงได้ด้วยรูปหรือ Form คือไม่มีมิติ มันก็เลยไม่มีรูปไม่มี Form ดังนั้นตรงนั้นต้องว่างจึงว่างหมดเลย ถ้าจะไม่ให้ว่างที่เดียว ก็ทำสัญลักษณ์อะไรนิดๆ หน่อยๆ รอยเท้าบ้าง ใบโพธิ์บ้าง ธรรมจักรบ้าง แต่ส่วนมากทิ้งว่างไว้หมด เป็นรูปต้นโพธิ์นี่ก็มีอาสนะ นี่ก็ว่างไม่มีอะไร นั่นแหละพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั้น ม้าออกไป ขี่ม้าออกไปหลังม้าก็ว่าง บางทีก็ทำเป็นดวงไฟนี่ นั่นเขารู้จักพระพุทธเจ้าดีว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงได้ด้วยรูปภาพ เดี๋ยวนี้เราชอบเขียนพระพุทธเจ้า ชอบปั้นพระพุทธรูป จนไม่รู้ว่าองค์ไหนเหมือน กี่แสนกี่ล้านองค์ก็ไม่รู้ว่าองค์ไหนเหมือน ก็เลยไม่เหมือนสักทีก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงสักที พระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือว่างจากกิเลสว่างจากราคะ โทสะ โมหะ ว่างจากความทุกข์ ว่างจากตัวกูของกู พวกนั้นเขาทำถูก แล้วมันทำได้อย่างนี้อยู่ประมาณสองสามร้อยปี พอ พ.ศ. หกเจ็ดร้อยก็เกิดอุตริทำรูปคนขึ้นมา หินสลักตอนนี้เราไม่เอา เราเอาแต่หินสลักตอนแรกที่ยังไม่มีพระพุทธรูป นี่ก็ใส่ไว้จบเรื่องรอบโรงหนังนี้ ตั้งแต่ประสูติจนถึงตรัสรู้นิพพานอะไรใส่ไว้(นาทีที่ 47:40) แล้วไปที่โรงปั้นนั้น ท่านจะอธิบายให้ฟังโดยละเอียด ดังนี้เราอยากจะอวดสักอย่างว่าแม้คุณไปที่อินเดีย คุณก็ไม่มีปัญญาจะเป็นหินสลักเหล่านี้ครบชุด เราต้องใช้เวลาตั้งหลายปีเป็นปีปีเพื่อจะติดตามว่าอยู่ที่ไหนบ้าง มันอยู่ที่พิพิธพันธ์นี้แผ่น อยู่ในพิพิธพันธ์โน้นแผ่น อยู่ในป่าบ้าง อยู่ในเมืองบ้างทั่วอินเดีย เราให้ความสะดวกที่รวบรวมมาไว้ที่นี้ แล้วจำนวนหนึ่งก็ต้องขอความช่วยเหลือจากไอ้พวกฝรั่งที่ British Museum ที่ลอนดอน มันขนเอาไปตั้งหลายร้อยชิ้นเอาไปเสียตั้งหลายสิบปีแล้ว เราก็ต้องขอรูปถ่ายมาไปเข้าให้มันครบชุดพุทธประวัติ เดี๋ยวนี้มันจึงมาดูที่นี้ได้ในไม่กี่นาทีหมดแล้ว แต่มันเป็นเพียงไอ้รูปก็อปปี้ พยายามทำให้เหมือนที่สุดที่เราจะทำได้ แล้วก็ไปดูวิธีทำทางโน้น เห็นแล้วจะไม่รู้สึกว่ายาก มันยากเหมือนกันแหละ แต่ว่ามันไม่ไม่ใช่ยากจนคิดว่าเราทำไม่ได้ นี้ก็ประหยัดเวลาที่ว่าไม่ต้องไปถึงอินเดีย ไปถึงอินเดียก็ดูไม่ได้ นี่เราหลายคนช่วยกันหลายยุคหลายครั้งหลายคราวจึงจะได้มาหมด แล้วมาทำอยู่ตั้งเจ็ดแปดปีแล้ว ทำก็อปปี้นี้ขึ้น เดี๋ยวไปดู ทีนี้อีกอันหนึ่งที่อยากให้ดูก็ตรงนั้นมีสระสี่เหลี่ยมใหญ่ๆแล้วกลางสระมีเกาะเล็กๆ มีต้นมะพร้าวอยู่ต้นหนึ่ง นี่คือสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งของสวนโมกข์ คือเป็นสัญลักษณ์ของนิพพาน แต่นอกจากนั้นมันยังเป็นสัญลักษณ์ของปู่ย่าตายายของเราที่รู้ธรรมะหรือสนใจธรรมะมากกว่า กว่าพวกเรากว่ารุ่นพวกเรา ก็หมายความว่าแม้แต่บทกล่อมลูกให้นอนนี่ยังมีเนื้อร้องเป็นนิพพาน เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มีเพลงอะไรบ้างที่มีเนื้อร้องเป็นนิพพาน เดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนกล่อมลูกอยู่ด้วยบทกล่อมลูกบทนี้ แต่ไม่รู้ว่าอะไร แต่เขาไม่รู้ว่าอะไร แล้วมันสอนกันมาด้วยปากโดยไม่ต้องรู้ว่าอะไรก็ได้ บทกล่อมลูกมีหลายร้อยบทประมาณสามสี่ร้อยบท ของชาวบ้านแถบปากใต้นี้ ไม่เหมือนใครไม่เหมือนทางภาคเหนือภาคกลาง แล้วก็หลายบท และคือส่วนมากมันเป็นเรื่องสนุกสนาน เป็นเรื่องประวัตินั่นประวัตินี่ก็มี เป็นคำสอนจริยธรรมทั่วๆ ไปก็มี แต่มีสองสามบทสี่ห้าบทที่เป็นธรรมะชั้นลึกถึงนิพพาน เอาละพูดให้ฟังว่านิพพานคืออะไร คือบทนี้จะต้องร้องว่ามะพร้าวนาฬิเกร์ ขึ้นมาว่ามะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดี่ยวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟังให้ดีนะ ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง แล้วกลางทะเลขี้ผึ้งถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย มะพร้าวนาฬิเกร์ว่าอีกที ต้นเดี่ยวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย มะพร้าวนาฬิเกร์ ก็คือมะพร้าว นาฬิเกร์แปลว่า มะพร้าว ภาษาบาลีว่านา ว่านาฬิเกร์ ภาษาไทยว่ามะพร้าว แต่ว่าเดี๋ยวนี้เขาเอาเฉพาะพร้าวชนิดเหลืองว่าเป็นมะพร้าวนาฬิเกร์ ถามคนเขาไปดูเถอะ แต่เดิมนาฬิเกร์คือมะพร้าว ทีนี้ต้นเดี่ยวโนเน หมายความว่ามันเดี่ยวจริงๆ เดี่ยวที่สุด เดี่ยวอย่างยิ่ง ไม่มีคู่เปรียบ ไม่มีคู่อะไร แล้วกลางทะเลขี้ผึ้ง คุณรู้แห่งไหมทะเลขี้ผึ้งอยู่ที่ไหน เอ้า ถามถาม ถามง่ายๆ ว่าขี้ผึ้งเป็นของแข็งหรือของเหลว ว่าไง ขี้ผึ้งเป็นของแข็งของเหลว นี่เคยเห็นแต่ขี้ผึ้งในอุณหภูมิอย่างนี้ก็เป็นของแข็ง เราก็โง่กว่าปู่ย่าตายายของเราแล้ว ปู่ย่าตายายของเรารู้จักเรียกทะเลขี้ผึ้ง ไม่เอาอัน อันอื่นมาเปรียบเทียบ เขาจะ เขาเอาขี้ผึ้งมาเปรียบเทียบเพราะว่าขี้ผึ้งในอุณหภูมิหนึ่งมันเป็นของเหลว ในอุณหภูมิหนึ่งเป็นของแข็ง ใช่ไหม เราไม่พูดได้ว่าขี้ผึ้งนี่เป็นของเหลวหรือของแข็ง มันเป็นได้สองอย่าง ทะเลขี้ผึ้งก็หมายถึงโลก โลกหรือสังสารวัฏ เดีี๋ยวเลวเดี๋ยวดี เดี๋ยวเลวเดี๋ยวดี เดี๋ยวบุญเดี๋ยวบาป เดี๋ยวบุญเดี๋ยวบาป ไอ้เรื่องโลกมันเป็นอย่างนี้ ดังนั้นทะเลขี้ผึ้งก็คือว่าทะเลต่างๆที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่ว เดี๋ยวบุญเดี๋ยวบาป ทีนี้มันอยู่กลางทะเลขี้ผึ้งอย่างที่ว่าอธิบายยาก เขาหมายความถึงกับว่าไม่ต้องไปค้นที่อื่น มันต้องค้นที่นั่น มันอยู่ที่นั่น แล้วเมื่อพบสภาพนั้นแล้วก็จะไม่มีความทุกข์ คือฝนตกก็ไม่ต้อง ฟ้าร้องก็ไม่ถึง เขาฉลาดกว่าเราทั้งทางฟิสิกส์ทั้งทาง Logic ทั้งทางอะไร ในใน ในความทุกข์มีนิพพาน นี่มันเป็น Logic เสียมาก เช่นว่าความไม่มีนี้ มันอยู่ที่ตรงความมี เดี๋ยวนี้เราไปเห็นอันนี้ถ้าเราคิดว่าอันนี้มี แล้วความไม่มีของอันนี้อยู่ที่ไหน มันก็ต้องอยู่ลึกเข้าไปในนี้อีกที แต่เรามองไม่เห็น ดังนั้นถ้าเราไม่เอาอันนี้ เราก็พบอันนั้น แล้วเราไม่เอาวัฏสงสารหรือ หรือ หรือขี้ผึ้ง ก็ทะเลขี้ผึ้งเราก็พบสิ่งตรงกันข้ามคือนิพพาน ไอ้เย็นที่สุดมันก็อยู่ตรงที่ร้อนที่สุดนั่นแหละ ก็ให้เอาที่ร้อนที่สุดออกเสีย มันก็เหลือที่เย็นที่สุดอยู่ที่นั้น ยิ่งร้อนมากก็ยิ่งเย็นมาก นี่วิธีพูดของปู่ย่าตายาย Logic ก็เก่ง ฟิสิกส์ก็เก่ง รู้จักขี้ผึ้งนี้ไม่เป็น ไม่เป็นของเหลวหรือของแข็ง จะรอให้เราเป็นคนโง่เข้าไปดูถึงไม่รู้เรื่องอะไร นี่ขอบอกไว้ทีว่า คำพูดของปู่ย่าตายายนั้นฉลาดมากมีไว้สำหรับให้พวกลูกหลานกลายเป็นคนโง่ คือรู้ไม่ทันว่าที่พูดไว้มันหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นระวังให้ดี นี่มันมีหลายๆ บทที่มันจะสูญไป และบทนี้ไม่อยากจะให้สูญไป จึงสร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นสระใหญ่เปรียบเหมือนทะเล แล้วต้นมะพร้าวต้นหนึ่งอยู่กลางสระนั้น เปรียบเหมือนกลางทะเลขี้ผึ้ง ดังนั้นอย่าเพียงแต่เหลือบตาดูทีเดียวนะ ไปดูให้ดีๆ หน่อย ไปหยุดดให้ใหู้ให้เกิดความคิดอะไรบ้างที่สระนั้น แล้วไอ้นี่คือเรื่องมหรสพทางวิญญาณถือเป็นกิจการของสวนโมขพลาราม มีไว้สำหรับช่วยให้เพื่อนมนุษย์รู้จักธรรมะด้วยวิธีที่สนุกสนานสักหน่อยไม่น่าเบื่อ เพราะฉะนั้นถ้ามาเที่ยวอย่างทัศนาจรก็ไม่มีไม่ไม่ไม่คุ้มค่าขาดทุนแน่ เพราะไม่มีอะไรสวยหรือดีเหมือนที่ไปบางแสนหรือไปอะไร ดังนั้นถ้ามาหาผลอย่างทัศนาจรที่นี่ก็ขาดทุนแน่ เว้นไว้แต่มาหาผลมันในเรื่องความรู้ทางฝ่ายสติปัญญาทางฝ่ายวิญญาณ อาจจะได้ผลคุ้มกันหรือเกินค่่า นี่แหละก็มีเท่านี้ที่พูดอธิบายนำเที่ยววัดนี้ให้รู้เรื่อง ถ้าอยากจะเห็นวัดนี้ให้ทั่วถึงเร็วๆ ก็ขึ้นไปเดินรอบนั้น มันเดินได้รอบ แล้วเมื่อขณะมันเดินอยู่มองดูลงมาข้างล่าง ก็จะเห็นวัดคราวเดียวทั่วๆ ไปได้ วัดนี้มีราว ๓๐๐ ไร่ แล้วมีภูเขาอยู่กลางวัดพอดี ก็ขึ้นไปบนยอดภูเขาสักหน่อย รู้ว่าไอ้ลานเสมอๆ มีหินล้อมรอบๆเเขาทำไว้ตั้งแต่สมัยศรีวิชัย ๑๒๐๐ กว่าปี สมัยปู่ย่าตายายสนใจธรรมะกันมาก แล้วชอบความสงบมาก ภูเขาเล็กๆ ทุกภูเขาจะถูกกระทำอย่างนี้หมด ทุกภูเขาเลย แต่เดี๋ยวนี้ก็ชวนกันทำลายเสียหมด ตรงนู้นมีค่ายลูกเสือ ตรงนั้นมีหมู่ มีหมู่บ้านวาสิกา ด้านหลังออกไปโน้นมีกุฏิพระเป็นแถวๆ ราว ๕๐ กว่ากุฏิ วัดนี้มีพระ ๕๓ รูป แล้วทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปดู อยากจะแนะนำว่าควรจะแบ่งกันเป็นหมู่เล็กๆ เพราะว่าบางซอกมันแคบ เข้าไปพร้อมกันไม่ไม่ไม่ไม่สำเร็จ อธิบายก็ไม่รู้เรื่อง ดังนั้นแบ่งออกไปหลายหน่วยให้พระองค์หนึ่งอธิบายส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่ง อย่างนั้นจะได้ผลดีกว่า ส่วนข้างนอกไปพร้อมกันทั้งหมด นี่มีผู้ที่คอยอธิบายอยู่ในนั้นหรือว่าถ้าอธิบายเอาเองยิ่งดี สิ่งที่เราคิดออกเองนั้นเข้าใจลึกกว่าที่คนอื่นบอก จริงไหม นี่ข้อนี้ต้องจริง ไอ้ปัญหาหรือคำ โจทย์อะไรก็ตามไอ้ที่เราคิดออกเองนี่ เราจะเข้าใจกว่าที่ให้เขาสอนเสียเรื่อย ฉะนั้นเราพยายามดู พยายามคิด ทีนี้ก็มีวิธีว่าไปดูให้รู้ว่าภาพอะไร นี้อันทีหนึ่งดูรู้ว่าภาพอะไร ระยะที่สองให้รู้ว่ามันมีความหมายอย่างไร แล้วระยะที่สามมันด่าเราอย่างไร เท่านี้พอ คือมันสอนอะไร อย่างเข้าประตูนี้จะมีรูปดอกไม้จากคน เดี๋ยวดู ดูจะไม่ออกว่าภาพอะไร เห็น เห็นคนจำนวนหนึ่งถูกเชือกมัดเอาไว้ เขาเขียนว่าดอกไม้จากคน นี่จะอธิบายตัวอย่างวิธีดู ให้เป็นตัวอย่างสักภาพหนึ่ง อย่างภาพนี้คนถูกมัดอยู่แล้วเขียนว่าดอกไม้จากคน ข้างล่างมีคำอธิบาย คือว่าคนคิดแต่ว่าคนจัดดอกไม้ คนไม่เคยคิดว่าดอกไม้จัดคน นี่คนมันโง่กว่าดอกไม้ เอ่อ,หมาย หมายความว่าไอ้ดอกไม้มันจัดหัวใจคน ดอกไม้มันจัดหัวใจคนฟังถูกไหม ตั้งแต่บอกให้มึงไปซื้อมาจากตลาด นี่ ไม่มีใครนึกเลย แล้วถือเอามาหรือว่าลงทุนปลูกเองหรืออะไรก็ตามใจ นี่ดอกไม้มันจัดหัวใจคน กระทั่งเอามามัดอยู่นี่มันจัดหัวใจของเราไปพลาง เราคิดแต่จะจัดอย่างนั้นอย่างนี้ คือมัน มันจัดหัวใจของเราไปพลาง เราจึงจัดดอกไม้ด้วยการบังคับของความต้องการ นี่เขาเรียกว่าจัดดอกไม้ด้วยจิตวุ่น คนทั่วไปตามธรรมดาสามัญนี้จัดดอกไม้ด้วยจิตวุ่น มีตัวกูของกู อย่างนี้ก็คือดอกไม้จัดใจคนตลอดเวลา บีบบังคับให้ร้อนให้กลัว ให้กลัวว่าจะไม่สวยเดี๋ยวจะแพ้เขาบ้างอะไรบ้างนี่ มันจัดใจคนตลอดเวลา เว้นไว้แต่ว่าเราจะไปหัดกันเสียใหม่อย่างวิธีไอ้พวกเซน คือนิกายเซนในญี่ปุ่น พวกญี่ปุ่นเขาจัดดอกไม้ เขาต้องสำรวมจิตใจให้ ให้เป็นอิสระจากดอกไม้เสียก่อน อย่าให้อะไรมันบีบคั้นเราว่าอยากนั้นสวยอย่างนี้สวยอย่างโน้น อย่างนี้เขาจะหัวเราะ อย่างนี้จะได้รางวัล อย่า อย่ามีอย่างนั้น จิตใจ Free อิสระที่สุดแล้วก็เปลี่ยนไปตามความรู้สึกที่มัน Free มันจะได้ ได้ดอกไม้ที่แปลกประหลาดและสวย นั่นเขาเรียกจัดดอกไม้ด้วยจิตว่าง กับจัดดอกไม้ด้วยจิตวุ่นต่างกันลิบ ทีนี้จะจัดดอกไม้ด้วยจิตว่างนั้นคนจัดดอกไม้ ถ้าจัดดอกไม้ด้วยจิตวุ่นแล้วดอกไม้จัดคน นี่ไปดูเถอะ ดีดี เราถือว่ามันถึงสมัยแล้วที่มนุษย์จะต้องมี จะย้อนกลับไปสู่วิชาความรู้ทางฝ่ายจิตใจ เดี๋ยวนี้มันเตลิดเปิดเปิงไปทางฝ่ายวัตถุจน จนไม่มีความสุขแล้วก็หลงกันว่าวิเศษ แล้วทางอื่นไม่มีนอกจากย้อนลงมาหาไอ้วิชาความรู้ทางจิตใจ ให้บังคับจิตใจให้ได้ ตั้งจิตใจไว้ให้ถูกต้อง แล้วก็ดำเนินไปให้ถูกต้อง มันก็จะมีโอกาสสงบสุขกัน กันอีกไ คือถือว่ามันเวียนไปเวียนมาเป็นยุคๆ ยุควัตถุสุดเหวี่ยงแล้วมันก็เบื่อก็เกินพอก็ย้อนหลังมาหาไอ้เรื่องวิญญาณกันอีก (ผู้ฟังถาม: ทีนี้กระผมอ้างในเหตุผลในการเลือกทำวิทยานิพนท์ที่นี้ อ้างแบบ แบบที่) แล้วจะไปไอ้คนอ่าน เขาจะอ่านรู้เรื่องเหรอ กรรมการหรืออะไรเขาจะไปรู้เรื่องเหรอ ไอ้ความมุ่งหมายของเรา (ผู้ฟังเสริม: มีอาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร ท่านสนับสนุนโครงการนี้มากกับอาจารย์อีกหลายท่านสนับสนุน) คุณอย่าไปจำกัดเสียว่าสวนโมกข์แล้วก็ที่นี่ ถ้าเข้ามาสวนโมกข์ก็ให้หมายทั่วทั่วไป คือวิธีการอันหนึ่งที่จะส่งเสริมให้มนุษย์รอด รอดจากความทุกข์โดยหลักทั่วๆ ไป แล้วก็สวนโมกข์นี้ก็ที่ไหนก็ได้ แล้วที่จริงมันก็เป็นอยู่แล้วในทั่วทุกๆศาสนา ทุกศาสนาต้องการความรอด เพราะฉะนั้นวิธีการอันใดอันหนึ่งที่เป็นไปเพื่อความรอดนั้นก็คือไอ้หลักการอันนี้ที่เรากำลังพยายาม ทำไมต้องพยายามอย่างนี้ก็เพราะว่าไอ้วิธีที่ทำกันมาแล้วนั้นมัน มันน่าเบื่อสำหรับสมัยนี้ มันน่าเบื่อสำหรับสมัยนี้ คือสมัยที่ที่วัตถุยั่วยวนมากนี้ มันจะเป็นที่น่าเบื่อ แต่ถ้าสมัยปู่ย่าตายายเขาไม่มีวัตถุมายั่วมาก ไอ้อย่างนี้ก็ยังสนุก เมื่อ เมื่อ ๖๐ ปีมานี่เองไอ้การก่อพระทราย ก่ออะไรต่างๆ มันเป็นที่ที่สนุกสนานของหนุ่มๆ สาวๆ หนุ่มๆ สาวๆ พอใจอย่างยิ่งที่มาก่อพระทรายที่วัด เดี๋ยวนี้มันทำไม่ลง (เสียงญาติโยมพูดเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์ โดยมีท่านอาจารย์พุทธทาสเสริม+เพิ่มเติม ญาติโยมกล่าวบทกล่อมลูกมะพร้าวนาฬิเกร์ แล้วท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวต่อว่า ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ คือว่า อิ่มเต็มไปด้วยบุญแล้วก็เหนือบุญขึ้นไปอีก ถ้ายังชอบบุญอยู่
- ก็ยังไม่ถึง ญาติโยม: หมายถึงไม่ยึดถือในบุญในบาป ท่านอาจารย์พุทธทาส : เอ้อ, ไม่ ละบาปมาแล้ว มาบุญ บุญก็ไปต่อไปอีก ในนั้นมีรูป มีรูปพ้นแล้วโว้ย ไปดูสิ ไปถ่ายรูป มันจะต้องเหนือ เหนือโลก เหนืออุโบสถ์ เหนือวิหาร เหนือเทวดา เหนือโลกและเทวโลก พรหมโลก มันจึงจะถึงว่า พ้นแล้วโว้ย)
- ไอ้เรื่องหลุดพ้นจากความทุกข์มันก็เป็นปัญหาสุดยอดของโลก เดี๋ยวนี้ถึงเขารบกันก็เพราะว่าเพื่อเพื่อเพื่อความสุข แต่มันไม่ถูกวิธี
- ( พูดคุยเรื่องทั่วไป ถามเวลา / ถามไถ่ทั่วไป )
- วันนี้เป็นวันออกพรรษาด้วย เป็นวันพระด้วย เอ้อ,เผอิญมันก็เตรียมอะไรบางอย่าง ที่จะไปทำสังฆกรรมออกพรรษา
- (เป็นการถามตอบระหว่างผู้ฟังกับท่านพุทธทาส)
ผู้เข้าฟังถาม: ที่นี้สอนวิปัสสนาด้วยหรือไม่
ท่านพุทธทาสตอบ: ที่นี่ไม่ได้ ไม่มีมีหลักการสอน ที่วางไว้เป็นหลักการไม่มีการสอน แต่มันก็มีบ้างเหมือนกันเป็นเรื่องส่วนตัวไป ไม่ใช่ไม่ใช่เป็นทางการ ไอ้ตามทางการให้เขาเรียนนักธรรมเรียนบาลี เรียนวิชชามาๆๆๆๆเสร็จแล้ว แล้วก็มาลงมือทำตามความรู้ที่เรียนมา คือมันมากที่เรียนมาคือคือเรื่องวิปัสสนานั่นแหละ ทีนี้ถ้าว่าทำมันขัดข้องหรืออะไรมันอยากจะปรึกษากันก็ได้เหมือนกัน
- ผู้เข้าฟังถาม: ท่านมาในแบบนี้ในแบบภาวะธรรมชาติไหมครับ ได้รับอะไรจากสถานที่ที่อยู่แบบธรรมชาติบ้าง
ท่านพุทธทาสตอบ: ก็เหมือนอย่างที่พูดนั้น มันสอนไอ้ สอนความสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา คือความรู้ที่ที่เรียนมาจากโรงเรียนตั้งหลายๆ ปีนั้น มาเข้าใจจริงก็ต่อเมื่อมาอยู่กับธรรมชาติ เพราะธรรมชาติช่วยให้เข้าใจ เข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านั้น เมื่อก่อนนี้ไม่มีบางอ้อ เดี๋ยวนี้มันมีบางอ้อ
ผู้เขาฟังถาม: คือคนที่เรียนรู้จากธรรมชาตินี้ กับคนที่เริ่มต้นสองคนนี้ไม่เท่ากัน คือคนหนึ่งเรียนสูง แต่อีกคนหนึ่งไม่ได้มีความรู้เลย แล้วก็มาอยู่ในภาวะธรรมชาติเหมือนๆ กันนี่ ไอ้สิ่งที่สองคนนี้ได้รับจากธรรมชาติจะแตกต่างกันไหม
ท่านพุทธทาสตอบ: มันก็จะต้องแตกต่างกันบ้าง มันก็สู้คนที่เรียนมาไม่ได้ ไอ้คนที่เรียนเรื่องธรรมชาติมาแล้ว แล้วก็มาอยู่กับธรรมชาติอีกนี่ มันก็ดีกว่า แล้วเราก็ต้องถือว่าไม่ว่าวิชาความรู้อะไรมันไม่นอกไปจากธรรมชาติ แต่เราไม่ไปเรียกว่าธรรมชาติ มันเป็นความรู้เรื่องธรรมชาติตามกฎของธรรมชาติ
- คุณเรืองไปช่วยที นี่ไม่มีอะไรแล้ว ไปตามคุณวรศักดิ์อะไรมา
ผู้อื่นกล่าว : ไม่มีตันหาใน อาหารคือคำข้าวก็ดี ในอาหารคือผัสสะก็ดี ในอาหารคือมโนสันเจตนาก็ดี ในอาหารคือวิญญาณก็ดีแล้วไซร้วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในที่นั้น วิญญาณก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในที่ใด การก้าวลงสู่นามรูปย่อมไม่มีในที่นั้น การก้าวลงสู่ลงแห่งนามรูปไม่มีในที่ใดความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายย่อมไม่มีในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายไม่มีในที่ใด การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปย่อมไม่มีในที่นั้น การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปไม่มีในที่ใด ชาติชราหรือมรณะต่อไปย่อมไม่มีในที่นั้น ชาติชรามรณะต่อไปไม่มีในที่ใด ภิกษุทั้งหลายเราเรียกที่นั้นว่าเป็นที่ไม่โศกไม่มีธุลี และไม่มีความคับแค้นดั่งนี้ ภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนเรือนยอดหรือศาลาเรือนยอดที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือหรือใต้ก็ตาม เป็นเรือนมีหน้าต่างทางทิศตะวันออกครั้นพระอาทิตย์ขึ้นมา แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ส่องเข้าไปทางช่องหน้าต่างแล้ว ต้องตั้งอยู่ที่ส่วนไหนในเรือนนั้นเล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญแสงสว่างแห่งพระอาทิตย์จะปรากฏที่ฝาเรือนข้างในด้านทิศตะวันตกพระเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายถ้าฝาเรือนทางทิศตะวันตกไม่มีเล่าแสงสว่าง แสงสว่้าง แสงแห่งพระอาทิตย์นั้นจะปรากฏอยู่ที่ไหน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นั้นจะปรากฏที่พื้นดินพระเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายถ้าพื้นดินไม่มีเล่า แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นั้นจะปรากฏที่ไหน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นั้นจะปรากฏในน้ำพระเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายถ้าน้ำไม่มีเล่า แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นั้นจะปรากฏที่ไหนอีก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นั้นย่อมไม่มี ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏแล้วพระเจ้าข้า ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏแล้วพระเจ้าข้า ภิกษุทั้งหลายฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าวก็ดี ในอาหารคือผัสสะก็ดี ในอาหารคือมโนสันเจตนาก็ดี ในอาหารคือวิญญาณก็ดีแล้วไซร้ วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในอาหารคือคำข้าวเป็นต้นนั้นนั้น วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้เจริญงอกงามไม่ได้ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูปย่อมไม่มีในที่นั้น การก้าวลงแห่งนามรูปไม่มีในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายย่อมไม่มีในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายไม่มีในที่ใด การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปย่อมไม่มีในที่นั้น การบังเกิดในภพใหม่ต่อไปไม่มีในที่ใด ชาติชราและมรณะต่อไปย่อมไม่มีในที่นั้น ชาติชรามรณะต่อไปไม่มีในที่ได้ ภิกษุทั้งหลายเราเรียกว่า เราเรียกที่นั้นว่าเป็นที่ไม่โศกไม่มีธุลีไม่มีความคับแค้นดังนี้ ความรอบรู้ที่แท้จริง ภิกษุทั้งหลายความรอบรู้เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลายความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะอันใด ภิกษุทั้งหลายอันนั้นแหละเราเรียกว่าความรอบรู้ที่เกิดขึ้นในขณะแห่งการบรรลุนิพพานซึ่งจัดว่าเป็นความรู้อันแท้จริง แล ธรรมที่สมควรแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ภิกษุทั้งหลายคำนี้เป็นคำที่สมควรแก่ภิกษุผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม คือข้อที่ปฏิ คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายความรู้สึกในรูป เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในเวทนา เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสัญญา เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังขาร เป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในวิญญาณ ภิกษุนั้นเมื่อเป็นผู้มากอยู่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากรูปจากเวทนาจากสัญญาจากสังขารจากวิญญาณ ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ความโศกความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เราตถาคต กล่าวว่าเขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงและรูปอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นถึงความไม่เที่ยงในเวทนาอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสัญญาอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความไม่เที่ยงในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความโศกความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เราตถาคตกล่าวว่าเขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความทุกข์ในรูปอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความทุกข์ในเวทนาอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความทุกข์ในสัญญาอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความทุกข์ในสังขารอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความทุกข์ในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความทุกข์ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ย่อมรอบรู้ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความโศกความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เราตถาคตกล่าวว่าเขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ได้ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายธรรมนี้เป็นธรรมที่สมควรแก่ภิกษุผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม คือข้อที่ภิกษุเป็นผู้ตามเห็นความเป็นอนัตตาในรูปอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นอนัตตาในเวทนาอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นอนัตตาในสัญญาอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นอนัตตาในสังขารอยู่เป็นประจำ เป็นผู้ตามเห็นความเป็นอนัตตาในวิญญาณอยู่เป็นประจำ ภิกษุนั้นเมื่อตามเห็นความเป็นอนัตตาในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ อยู่เป็นประจำ ย่อมรอบรู้ ย่อมรู้รอบซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ เมื่อเขารู้รอบอยู่ซึ่งรูป ซึ่งเวทนา ซึ่งสัญญา ซึ่งสังขาร ซึ่งวิญญาณ ย่อมหลุดพ้นจากรูป จากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จากวิญญาณ ย่อมพ้นได้จากความเกิดความแก่ความตายความโศกความร่ำไรรำพัน ความคับแค้นใจ ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เราตถาคตกล่าวว่าเขาย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ดังนี้ อริยะวิโมกข์คืออมตธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอริยะวิโมคกข์ความพ้นพิเศษอันประเสริฐเป็นอย่างไรเล่า อานนท์อริยะสาวกในธรรมวินัยนี้ย่อมพิจารณาเห็นโทษโดยประจักษ์ดังนี้ว่า กามทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้เหล่าใดด้วย กามทั้งหลายที่เป็นไปด้วยภพเบื้องหน้าเหล่าใดด้วย กามสัญญาที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้เหล่าใดด้วย กามสัญญาที่เป็นไปในภพเบื้องหน้าเหล่าใดด้วย รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้เหล่าใดด้วย รูปทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้าเหล่าใดด้วย รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพปัจจุบันนี้เหล่าใดด้วย รูปสัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในภพเบื้องหน้าเหล่าใดด้วย อาเนญชาสัญญาเหล่าใดด้วย อากิญจัญญายตนะสัญญาเหล่าใดด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนะเหล่าใดด้วย นั่นล้วนแต่เป็นสักกายะ เป็นแต่เพียงสักกายะ ยังมีความยึดถือด้วยอุปาทาน ส่วนอมตะธรรมนั้น ได้แก่ วิโมกข์แห่งจิต เพราะไม่มีอุปาทานนี่เอง อานนท์ด้วยเหตุนี้แหละ เป็นอันว่าอเนญชาสัปปายปฏิปทา เราได้แสดงแล้ว อากิญจัญญายตนะสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว เนวสัญญานาสัญญายตนะสัปปายปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว การอาศัยปฏิปทานั้นๆ ตามลำดับ ลำดับ แล้ว ข้ามพ้นโมกข์ศีลได้ เราได้แสดงแล้ว นั่นแหละคืออริยวิโมกข์ อานนท์จิตอันใดที่ศาสดาผู้เอ็นดูแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย อานนท์นั่นโคนไม้ทั้งหลาย นั่นเรือนว่างทั้งหลาย อานนท์พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลสอย่าได้ประมาท พวกเธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย นี่แหละเป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนแก่พวกเธอทั้งหลายของเรา นิพพานเพราะไม่ยึดถือธรรมที่บรรลุ อานนท์ ส่วนภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ปฏิบัติในปฎิปทาอันเป็นที่สบายแก่เนวสัญญาญาสัญญายตนะอย่างนั้นแล้ว ย่อมได้เฉพาะซึ่งอุเบกขาว่าถ้าไม่ควรมีและไม่พึงมีกะเรา ต้องไม่มีแก่เรา สิ่งใดมีอยู่ สิ่งใดมีแล้ว เราจะละทิ้งสิ่งนั้นเสีย ดังนี้ ภิกษุบางรูปนั้นย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญไม่เมาหมกอยู่ในอุเบกขานั้น เมื่อไม่เพลิดเพลินไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกซึ่งอุเบกขานั้น วิญญาณของเธอก็ไม่เป็นธรรมชาติ อาศัยซึ่งอุเบกขานั้น ไม่มีอุเบกขาเป็นอุปาทาน อานนท์ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพานแล หยุดถือมั่น หวั่นไหว ภิกษุทั้งหลายในการใดอวิชชาของภิกษุดับไป วิชาเกิดขึ้นเพราะอวิชชาหายไป วิชาเกิดขึ้นนั่นแหละ ภิกษุนั้นย่อมไม่ทำความยึดมั่นในกาม ให้เกิดขึ้น ไม่ทำความยึดมั่นด้วยให้ทิฐิเกิดขึ้น ไม่ทำความยึดมั่นในศีลและวัตรให้เกิดขึ้น และไม่ทำความยึดมั่นว่าตัวตนให้เกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลายเมื่อไม่ทำความยึดมั่นทั้งหลายให้เกิดขึ้น ย่อมไม่หวั่นใจไปตามสิ่งใดๆ เมื่อไม่หวั่นใจย่อมดับสนิทเพราะตนโดยแท้ ภิกษุนั้นย่อมรู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อการทำที่สุดทุกข์ เช่นนี้มิได้มีอีกต่อไปอย่างนี้แล ลำดับแห่งโลกียสุขซึ่งยังไม่ถึงนิพพาน อานนท์กามคุณห้าอย่างอย่างไหนเหล่า ห้าอย่างคือรูปทั้งหลายที่เห็นได้ทางตาก็ดี เสียงทั้งหลายที่ฟังได้ทางหูก็ดี กลิ่นทั้งหลายที่ดมรู้ทางจมูกก็ดี รสทั้งหลายที่ลิ้มได้ทางลิ้นก็ดี และโผฏฐัพพะที่สัมผัสรู้ทางผิวกายก็ดี อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาน่ารักใคร่น่าพอใจ ที่ยวนตายวนใจให้รักเป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจมีอยู่ อานนท์เหล่านี้แลคือกามคุณ ๕ อย่าง อานนท์สุขโสมนัสใดอันอาศัยกามคุณ ๕ เหล่านี้บังเกิดขึ้น อานนท์สุขโสมนัสนั้นเราเรียกว่ากามสุข อานนท์ชนเหล่าใดก็ตามจึงกล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ได้เสวยซึ้งกามสุขย่อมอยู่ในสถานะได้ ได้บรมสันติ บรรลุรมสุข บรมโสมนัสดังนี้ อานนท์เราตถาคตไม่ยอมรับรองคำกล่าวเช่นนั้นของชนเหล่านั้นเลย ข้อนี้เพราะเหตุไร อานนท์เพราะเหตุว่าสุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่ากามสุขนั้นยังมีอยู่ อานนท์สุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่ากามสุขเป็นอย่างไรเล่า อานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้เพราะสงัดจากกาม และสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายจึงบรรลุฌานที่ ๑ มี ซึ่งมีวิตกวิจารณ์ปิติและสุขอันเกิดจากวิเวกนั้นแลอยู่ อานนท์นี่แหละคือความสุขชนิดที่เป็นอย่างอื่น ที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่ากามสุขนั้น อานนท์แต่แม้กระนั้น ถ้าชนเหล่าใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ได้เสวยเฉพาะซึ่งสุขอันเกิดแด่ปฐมฌานจะอยู่ในฐานะได้บรมสันติ บรมสุข บรมโสมนัสดังนี้ อานนท์เราไม่ยอมรับรองคำกล่าวเช่นนั้นของคนเหล่านั้น ข้อนี้เพราะเหตุไรอานนท์ เพราะเหตุว่าสุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่ากามสุขอันเกิดแต่ปฐมฌานนั้นยังมีอยู่ อานนท์สุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่ปฐมฌานนั้นเป็นอย่างไรเล่า อานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้เพราะวิตกวิจารณ์รำงับ จึงบรรลุฌานที่สองอันเป็นเครื่องผ่องใสอยู่ภายใน ทำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแห่งใจไม่มีวิตกวิจารณ์ มีแต่ปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธินั้นแลอยู่ อานนท์นี่แลคือความสุขชนิดที่เป็นอย่างอื่นที่เหนือกว่า ประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่ปฐมฌานนั้น อานนท์แต่แม้กระนั้นถ้าชนเหล่าใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ได้เสวยเฉพาะซึ่งสุขอันเกิดแต่ทุติยฌานย่อมอยู่ในฐานะได้บรมสันติ บรมสุข บรมโสมนัสดังนี้ อานนท์ เราไม่ยอมรับรองคำกล่าวเช่นนั้นของคนเหล่านั้น ข้อนี้เพราะเหตุไร อานนท์เพราะเหตุว่าสุขอย่างอื่นที่เหนือกว่า ประณีตกว่าความสุขอันเกิดแต่ทุติยฌานนั้นยังมีอยู่ อานนท์สุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่ทุติยฌานนั้นเป็นอย่างไรเล่าอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เพราะความจางคลายไปแห่งปิติเป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะเสวยสุขอยู่ด้วย นามกายจึงบรรลุฌานที่สาม เป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวว่าผู้บรรลุฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปรกติสุขดังนี้นั้นแลอยู่ อานนท์นี่แหละคือความสุขชนิดที่เป็นอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่ทุติยฌานนั้น อานนท์แต่แม้กระนั้นถ้าชนเหล่าใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ได้เสวยเฉพาะซึ่งสุข ซึ่งเกิดแต่ตติยฌานย่อมอยู่ในฐานะได้บรมสันติ บรมสุข บรมโสมนัสดังนี้ อานนท์เราไม่ยอมรับรองคำกล่าวเช่นนั้นของชนเหล่านั้น ข้อนี้เพราะเหตุไร อานนท์เพราะเหตุว่าสุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่ตติยฌานนั้นยังมีอยู่ อานนท์สุขอย่างอื่นที่เหนือกว่า ประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่ตติยฌานนั้นเป็นอย่างไรเล่า อานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้เพราะละสุขเสียได้และเพราะละทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนจึงบรรลุฌานที่สี่อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขานั้นแลอยู่ อานนท์นี่แหละคือความสุขชนิดที่เป็นอย่างอื่นที่เหนือกว่า ประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่ตติยฌานนั้น อานนท์แต่แม้กระนั้น ถ้าชนเหล่าใดยังพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ได้เสวยเฉพาะซึ่งสุขอันเกิดแต่จตุตถฌานย่อมอยู่ในฐานะได้บรมสันติ บรมสุข บรมโสมนัสดังนี้ อานนท์เราไม่ยอมรับรองคำกล่าวเช่นนั้นของชนเหล่านั้น ข้อนี้เพราะเหตุไร อานนท์เพราะเหตุว่าสุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่จตุตฌานนั้นยังมีอยู่ อานนท์สุขอย่างอื่นที่เหนือกว่า ประณีตกว่า กว่าความสุขอันเกิดแต่จตุตถฌานนั้นเป็นอย่างไรเล่า อานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้เฉพาะผ่านพ้นรูป สัญญา เสียได้ เพราะผ่านพ้นรูปสัญญาเสียได้แล้วประการทั้งปวงเพราะความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งปฏิฆสัญญาเพราะไม่ทำในใจในซึ่งนานัตสัญญาจึงบรรลุอากาสานัญจายตนะอันมีการทำในใจว่า อากาศไม่มีที่สิ้นสุด อากาศไม่มีที่สิ้นสุดอันนี้ แล้วแลอยู่ อานนท์นี่แลคือความสุขชนิดที่เป็นอย่างอื่นที่เหนือกว่า ประณีตกว่าความสุขอันเกิดแต่จตุตฌานนั้น อานนท์แต่แม้กระนั้นถ้าชนเหล่าใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่ได้เสวยเฉพาะซึ่งสุขอันเกิดแต่อากาสานัญจายตนะฌานย่อมอยู่ในฐานะได้บรมสันติ บรมสุข บรมโสมนัสดังนี้ อานนท์เราไม่ยอมรับรองคำกล่าวเช่นนั้นของชนเหล่านั้น ข้อนี้เพราะเหตุไร อานนท์เพราะเหตุว่าความสุขอย่างอื่นที่เหนือกว่าประณีต