แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต้องเงียบ เอ่อ, เพราะว่ามันก้อง คนฟังต้องเงียบ เป็นเรื่องดีที่นักเรียนมาที่วัดเรา เราก็ยินดีให้มา ไม่ว่าใคร หยุดก่อนนะ....(นาทีที่ 00:34 เรียกชื่อคน ฟังไม่ชัด) ข้างนอกช่วยบอกว่าอย่าเสียงดัง ปิดประตูนั้นก็แล้วกัน ปิดประตูบานนั้นด้วย ถ้าพวกเธอคุยกันเสียงจะก้องฝาทำให้ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นก็ตั้งใจฟังกันสักหน่อยละกัน เอ้า, ทำไมมาทำตอนนี้ หยุดก่อนเถอะ เมื่อตะกี้ไม่ทำ หยุดเสียก่อน เราพูดไม่ค่อยได้ถ้ามีเสียงอะไรมาพูดแข่ง ครูสุวดิษฐ์ไปตามมาให้ช่วยพูดกับพวกเธอ เราก็คิดว่าคงจะมีประโยชน์บ้าง จึงยินดีมาพูด แล้วพูดสำหรับให้เป็นประโยชน์กับผู้ที่เป็นนักเรียน ต้องเลือกเรื่องที่เข้าใจว่ายังไม่เคยได้ยินกันบ่อยนัก และอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องเกี่ยวกับโรงแสดงธรรม เพราะเหตุใดจึงเรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยที่พูดเรื่องนี้ก็พอ เพราะว่าเวลามันมีน้อย
สำหรับความเป็นนักเรียน อยากจะพูดว่า นักเรียนทุกๆคนไม่ควรจะเข้าใจผิดและลืมความหมายความเป็นนักเรียน คนที่มีปัญญามากที่สุดในวัฒนธรรมตะวันออก เอเชียของเรานับถือ คือคนที่เขาเรียกกันว่า พระมนู เคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยินก็ลองนึกดู คนที่เรียกว่าพระมนู หรือท้าวมนู หรืออะไรก็ตามใจ เป็นผู้ที่ร้อยกรองคัมภีร์ที่เรียกว่า มนูธรรมศาสตร์ มนูธรรมศาสตร์ คือ ศาสตร์เรื่องธรรมะของพระมนู คำว่ามนูเขาถือว่าเป็นชื่อของคนๆนี้ มีความหมายเกี่ยวข้องกับคำว่า มนุษย์ คำว่า มนุษย์ นี้ ตามตัวอักษร แปลได้ว่าว่า ลูกหลาน หรือเหล่ากอ เชื้อสายของพระมนูก็ได้ มนุ กับ อุษยะ คือลูกหลาน เหล่ากอของพระมนูก็ได้ หรือจะแยกตามตัวหนังสือเป็นคำว่า มนะ กับ อุษย์ แปลว่าใจสูงก็ได้ แต่ความหมายอย่างเดียวกัน คนที่เป็นมนุษย์ คือคนที่เป็นเชื้อสายของพระมนู มนุษะ ก็ตาม มนุษยะก็ตาม ทีนี้ คำว่าพระมนู เป็นบุคคลที่ถือกันว่าเป็นคนมีปัญญาที่สุดคนแรกในโลกของเราในฝ่ายวัฒนธรรมตะวันออก คือวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์จะขึ้นอยู่กับประเทศอินเดีย ประเทศไทยเรารับวัฒนธรรมจากอินเดีย ศาสนาจากอินเดีย รับรองวัฒนธรรมจากอินเดีย ก็เลยรับรองความพิเศษของบุคคลที่ชื่อว่ามนู และมนูธรรมศาสตร์เป็นต้นตอของกฎหมาย ของวัฒนธรรม ของประเพณี ของอะไรทุกๆอย่างเลย ดังนั้นผู้ที่เรียนกฎหมายรู้จักคำว่า พระมนู รู้จักคำว่ามนูธรรมศาสตร์ และคำว่า มนู แปลว่า มีปัญญา ตามตัวพยัญชนะแท้ๆก็แปลว่ามีปัญญาด้วย ดังนั้นคำของมนู จึงเป็นที่สนใจและถือเป็นหลักกันมาเรื่อยๆ ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็จริง แต่ว่าเหมือนกัน หรือว่าไม่ขัดกัน หรือว่าพระพุทธเจ้าไม่คัดค้าน เนื่องจากมนูนี้ พระมนูนี้ก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพระพุทธเจ้า และเรื่องคำสอนไม่ขัดกัน ก็เลย จะถือว่าเป็นหลักพุทธศาสนาพร้อมๆกันก็ได้
กฎเกี่ยวกับมนูธรรมศาสตร์มีมากมาย รวมทั้งกฎหมาย รวมทั้งอะไรด้วย แต่ที่สำคัญที่สุด เขาเพ่งเล็ง คำที่พระมนูได้กล่าวไว้ สำหรับมนุษย์ทั่วๆไป จะกล่าวถึงสำหรับมนุษย์ทั่วๆไป ที่กว้างที่สุดคือ ตามมนูธรรมศาสตร์ ถือว่า ให้มนุษย์สังเกตและยอมรับในหลักการที่ว่า คนในโลกมีอยู่ 4 อาศรม คำว่าอาศรม ไม่ได้ หมายความว่า กระท่อมฤๅษี คำว่า อาศรมที่แปลว่า กระท่อมฤๅษี เป็นคำที่ในเมืองไทยที่หลังพูดกันแคบๆเพราะไม่รู้ คำว่า อาศรม ก็แปลว่า คนจำนวนมากประพฤติอย่างเดียวกัน ก็เรียกว่าอาศรม คนจำนวนมากๆมีความคิดอย่างเดียวกัน กระทำอย่างเดียวกัน อยู่ร่วมกัน จึงจะเรียกว่าอาศรม คนในโลกมี 4 อาศรม
อาศรมที่ 1 เรียกว่า พรหมจารี คือ พวกเด็กๆ เด็กหญิงเด็กชาย ตลอดจนคนหนุ่มคนสาวที่ยังไม่แต่งงาน เรียกว่าอาศรมพรหมจารี นี้ในโลกมีอยู่เป็นอาศรมอันดับแรก
อาศรมที่ 2 คือ คฤหัสถ์ แต่งงานเป็นสามีภรรยา เป็นพ่อบ้านแม่เรือน นี้ เรียกว่าอาศรมคฤหัสถ์
อาศรมที่ 3 เรียกว่า วานปรัสถ์ แปลว่า ผู้อยู่ในที่เงียบ หรือในป่า เป็นพ่อบ้านแม่เรือนมีลูกมีหลานมาจนเพียงพอ ถึงที่สุดแล้ว จึงปลีกตัวไปหาความสงบ จะอยู่ป่าก็ได้ จะอยู่ตามโคนต้นกล้วย กอไผ่ เงียบๆในมุมบ้านก็ได้ แต่เขาไม่ทำการงานเหมือนคฤหัสถ์ เขาศึกษาด้านจิตใจ ด้านใน เพ่งเล็งในด้านใน แล้วถ้ายังอยู่ต่อไปอีก
อาศรมที่ 4 เรียกว่า สันยาสี คือ เป็นแสงสว่างให้แก่ผู้อื่น คนที่อายุมากถึงที่สุดแล้ว ผ่านชีวิตการงานมาทุกแบบแล้ว นั่งคิด นั่งนึกมาเพียงพอแล้ว จึงทำตัวเป็นผู้แนะนำผู้อื่น เป็นแสงสว่างให้แก่ผู้อื่น ใครถามปัญหาอะไรตอบได้ทั้งหมด แล้วก็หมดเท่านั้น
ซึ่งอาศรมพรหมจารีคือตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 20 พออายุ 20 หรือเลย 20 ขึ้นไปก็แต่งงานเป็นคฤหัสถ์จนอายุ 50-60 พออายุ 60 แล้ว ก็หาที่สงัด มองจากด้านใน ศึกษาจากภายใน จนอายุ 70 หรือจนกว่าจะพอใจ และหลังจากนั้นก็ดำรงตนเป็นแสงสว่างแก่ลูก หลาน เหลน และเพื่อนมนุษย์ทั้งปวง จัดมนุษย์ไว้เป็น 4 ระดับ ดังที่กล่าวมานี้
ถึงแม้ว่าพระมนู เราไม่รู้จัก หรือไม่ได้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก็เห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ขัดกับหลักพระพุทธศาสนา และมองเห็นได้ว่ามีเหตุผลพอที่จะรับฟัง
ทีนี้อาศรมที่ 1 ที่เรียกว่า พรหมจารี นี้มีความประพฤติที่ประเสริฐ หมายความว่า มีการศึกษา และมีการปฏิบัติเคร่งครัดในระเบียบวินัย พวกพรหมจารีนี้จะต้องศึกษาตลอดเวลา และจะต้องปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด อย่างเคร่งครัดที่สุดเหมือนกับพระที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย ในศีลธรรม
ทีนี้พอถึงอาศรมคฤหัสถ์ก็ต้องทำงาน ต้องทำงาน ชีวิตเป็นการงาน เป็นการงานที่สุดเลย ต้องหาเงิน ต้องหาชื่อเสียง ต้องหาเกียรติยศ หาอะไรต่างๆ มันเป็นชีวิตในการกระทำการงาน แล้วขั้นปลายก็หาความสงบ ขั้นปลายสุดคือเป็นแสงสว่างให้ผู้อื่นอีกทีหนึ่ง
ทีนี้เธอที่เป็นนักเรียนทุกๆคน ถ้าถือตามหลักพระมนูธรรมศาสตร์ จะอยู่ในอาศรมที่ 1 คือ พรหมจารี ต้องศึกษาให้ดี ให้พอ และต้องประพฤติปฏิบัติให้เคร่งครัด และจะมีหวังได้เป็นเลื่อนชั้นเป็นคฤหัสถ์ก็ดี เป็นวานปรัสถ์ก็ดี เป็นสันยาสีก็ดี ได้ไม่เสียชาติเกิด มิฉะนั้นเธอจะเสียชาติเกิด คือเป็นเด็กที่ดีก็ไม่ได้ เป็นพรหมจารีที่ดีก็ไม่ได้ จะเสียชาติเกิด เพราะเรียนไม่ดี ไม่เคร่งครัดในระเบียบวินัย ในศีลธรรม ผ่านชั้นพรหมจารีไปก็ไม่ได้ มันก็ล้มละลาย คือมัน เป็นคฤหัสถ์ที่ดีไม่ได้ เป็นวานปรัสถ์ที่ดีไม่ได้ เป็นสันยาสีก็ที่ดีไม่ได้ เพราะพื้นฐานเบื้องต้นมันเลวหมด มันล้มละลาย
ถ้าเธอเห็นว่าหลักเกณฑ์ของพระมนูธรรมศาสตร์นี้ใช้ได้ ก็เอาไปคิดไปนึก เป็นพรหมจารีก็ดี คือ มีการศึกษาเพียงพอ มีการปฏิบัติเคร่งครัดในระเบียบวินัย ศีลธรรม เขาเรียกเป็นพรหมจารี มีเท่านั้น คำว่าพรหมจารีตามความหมายเดิม ที่กว้างขวางที่สุด เขาหมายความอย่างนี้ คือ ทำอะไรทำจริง เขาเรียกว่าพรหมจารี ประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าอุตริเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เด็ก เรียกว่าคนเสียชาติเกิด ไม่ได้เป็นพรหมจารีที่ดีตามกฎเกณฑ์ของพระมนูธรรมศาสตร์ ถ้าว่าโดยหลักของมนูธรรมศาสตร์ มันก็เสียชาติเกิด เด็กที่เหลวไหลในการศึกษาเล่าเรียน การประพฤติ จนกระทั่ง เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก คือไม่มีโอกาสได้เลื่อนขึ้นไปตามลำดับๆ ที่สอง ที่สาม ที่สี่นั่นเอง เธอก็เห็นได้ว่าเสียชาติเกิดแบบไหน มันก็ล้มเหลวหมดในการเรียน และ การงาน ผลาญเงินของพ่อแม่ จับพ่อแม่ใส่นรกทั้งเป็นๆ คือความร้อนใจ สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ที่เรียกว่าอบาย อบาย คือความเป็นนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
เมื่อใดเธอร้อนใจเหมือนไฟเผา เมื่อนั้นเธอเป็นสัตว์นรก ไม่ว่าทำผิดเองก็ดี หรือ ทำผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ปล่อยให้เกิดอาการร้อนใจเหมือนไฟเผา เมื่อนั้นเธอเกิดเป็นสัตว์นรกโดยอุปปาติกะกำเนิด เมื่อใดที่เธอโง่อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อนั้นเป็นเดรัจฉาน มีความหมายอย่างสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยจิตใจแล้ว ในร่างของมนุษย์นี่แหละ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยจิตใจ และเมื่อใดเธอหิวไม่มีเหตุผล ทะเยอทะยานแบบสร้างวิมานในอากาศ หิวไม่มีเหตุผล เมื่อนั้นเป็นเปรต เปรตมีความหมายว่า หิวมากเกินควร เกินสภาวะที่ควรจะเป็น เขาเปรียบเปรตว่า ท้องเท่าภูเขา แล้วปากเท่ารูเข็ม มันจะกินเข้าไปให้อิ่มได้อย่างไร เมื่อปากเท่ารูเข็ม แต่ท้องเท่าภูเขา มันหิวทะเยอทะยาน แบบสร้างวิมานในอากาศ มันไม่ได้ทะเยอทะยาน หรือปรารถนาแบบมีเหตุผล หรือพอเหมาะพอสม คนเราเกิดมาต้องปรารถนาในลักษณะแค่พอเหมาะพอสม แล้วทำให้สมบูรณ์ นี่มันเกินไป เป็นเรื่องฝันทั้งนั้น เขาเรียกว่าหิวเกินประมาณ ในทางวิญญาณ เขาเรียกว่าเป็นเปรต เมื่อใดที่ขี้ขลาด ขี้ขลาดอย่างไม่มีเหตุผล กลัวแม้กระทั่ง ตุ๊กแก จิ้งจก ไส้เดือน กิ้งกือ นี่ก็กลัว มันไม่มีเหตุผลเกินไป เขาเรียกว่า อสุรกาย แปลว่า ขี้ขลาด หรือไม่กล้าหาญ
เมื่อใดร้อนใจ เมื่อนั้นเป็นสัตว์นรก เมื่อใดโง่ เมื่อนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อใดหิว ทะเยอทะยาน ไม่มีเหตุผล เมื่อนั้นเป็นเปรต เมื่อใดขี้ขลาด ไม่มีเหตุผล เรียกว่าเป็นอสุรกาย นี้เขาเรียกว่าอบาย เสื่อมเสียหมด ไม่มีอะไรเหลือ จนกว่าจะตายมาเกิดใหม่ หมายความว่าความคิดเปลี่ยน มาเป็นเกิดคนอีก เดี๋ยวเกิดเป็นอบายอีก เดี๋ยวเป็นนรก เดี๋ยวเป็นเดรัจฉาน เดี๋ยวเป็นเปรต เดี๋ยวเป็นอสุรกาย อาการเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าอบาย แล้วต้นเหตุที่ทำให้เป็นอย่างนี้ท่านเรียกว่า อบายมุข เช่น ดื่มน้ำเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน ใช้เงินเปลืองอะไรก็ตามใจ เราจะยกตัวอย่างอบายมุขสักข้อ คือว่า เรื่องเล่นการพนัน
คนที่เล่นการพนัน เมื่อแพ้ เดือดร้อน ลูกเมียเดือดร้อน อะไรเดือดร้อน เป็นสัตว์นรก คนที่เล่นการพนัน เกิดเป็นสัตว์นรก เขาเดือดร้อนเพราะแพ้การพนัน แล้วการที่เขาคิดว่าเล่นการพนันจะช่วยได้นี่เป็นความโง่ เพราะฉะนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน โง่อย่างสัตว์เดรัจฉาน จึงไปเล่นการพนัน โดยคิดว่ามันจะช่วยได้ มันก็ตกอบายข้อที่สอง ทีนี้คนที่เล่นการพนันจะหิวตลอดเวลา เหมือนคนซื้อลอตเตอรี่จะหิวตลอด ในฝันนี่ก็หิว นี่มันเป็นเปรต มันนั่งเล่นการพนันเป็นเปรตไปพลาง จะหิวตลอด และมันขี้ขลาด กลัวแพ้ที่สุดเลย คนเล่นการพนันนี่นะ นี่ก็ เป็นอสุรกาย ดังนั้นคนที่นั่งเล่นการพนันอยู่ในบ่อน ยังไม่ทันลุกขึ้น เดี๋ยวก็เป็นสัตว์นรก เดี๋ยวเป็นเดรัจฉาน เดี๋ยวเป็นเปรต เดี๋ยวเป็นอสุรกาย เกิด-ตาย เกิด-ตาย เกิด-ตาย เกิดใหม่ เกิดแล้วเกิดอีกอยู่ในวงการพนัน มันจึงเป็นอบาย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การพนันเป็นอบายมุข อบายมุขแปลว่า ปากทางแห่งอบาย ลองเล่นแล้วจะเป็นอบายครบทั้งสี่ในวงการพนัน ในที่นั้น ในชั่วโมงนั้น นั่นเอง เธอต้องเข้าใจ ไม่ใช่ต่อท้ายแล้ว อบาย นี้เธอเป็นนักเรียน ตามหลักของพระมนูธรรมศาสตร์เป็นพรหมจารี เพราะฉะนั้นอย่าเป็นสัตว์นรก อย่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่าเป็นเปรต อย่าเป็นอสุรกาย นักเรียนนี้ต้องเป็นพรหมจารี ต้องมีจิตใจที่ผ่องใส กล้าหาญ มีปัญญา ไม่โง่เขลา และไม่มีความเร่าร้อน เธอจึงปรับปรุงตัวเองโดยทุกวิถีทาง ให้จิตใจสงบเยือกเย็น ให้ฉลาด ไม่มีความหิวเผาหัวใจ และไม่มีความขี้ขลาด เธอก็เป็นพรหมจารี สมตามความหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในอันดับแรก อาศรมแรก คือ พรหมจารี
เราเห็นว่าเป็นคำที่นักเรียนทุกคนควรจะได้ยิน แล้วนำไปคิดดู ถ้าเห็นจริงก็ควรทำตามอย่างเคร่งครัด ถ้าเมื่อเธอทำตามอย่างเคร่งครัดก็เป็นพรหมจารีที่แน่นอน คือมีความประพฤติประเสริฐในขั้นแรก วัยแรกของชีวิต ศึกษาให้ดีที่สุด และปฏิบัติให้เคร่งครัดที่สุด เอาความเคร่งครัดมาไว้ในวัยนี้ เคร่งครัดในทางระเบียบวินัย ศีลธรรมต่างๆ มาไว้ในวัยที่หนึ่งคือพรหมจารี เพราะฉะนั้นจะต้องศึกษาและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เราก็จะได้เป็นพรหมจารี จะมีผลไม่ตกอบาย จะมีความเจริญงอกงาม ก้าวหน้า ไปตามลำดับ จนเป็นคฤหัสถ์ก็ดี เป็นวานปรัสถ์ก็ดี เป็นสันยาสีก็ดี เช่นหลักที่พระพุทธเจ้ารับรอง
ในทางพระพุทธศาสนาก็มีเหมือนกัน แต่เขาเรียกชื่อต่างกันไป ซึ่งตอนนี้ยังไม่พูดเพราะไม่มีเวลา จะพูดโดยหลักทั่วไป เป็นมนุษย์ทั่วไป จึงหวังว่าเธอทุกคนจะเอาไปคิดไปนึก เราไม่ได้เกณฑ์ให้เชื่อ ไม่ได้เกณฑ์ให้เชื่อ หรือทำตามอย่างงมงายทันที ให้เอาไปคิดดูแล้วเห็นจริง แล้วกลัว แล้วเชื่อ หรือว่าต้องการให้ผ่านไปไม่เสียชาติเกิด แล้วเชื่อ แล้วก็ปฏิบัติตาม นี่เรียกว่าพรหมจารี คำเดียวแค่นั้นนะ มีคำอธิบายวันนี้ตามกฎของมนูธรรมศาสตร์ คือคนก่อนแต่งงาน ตั้งแต่เกิดมาก่อนแต่งงาน จะเป็นคนที่ดี ที่เตรียมพร้อมที่จะเป็นพ่อบ้านแม่เรือนต่อไปในอนาคต ถ้าทำในขั้นแรกนี้ไม่ดี ล้มเหลวหมด
ทีนี้ยังมีเรื่องกลางๆที่ทุกๆขั้นจะต้องนึกถึง เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถูก อยู่ในโลกจะต้องประพฤติให้ถูกต้อง เธอจะต้องประพฤติให้ถูกต้องในฐานะที่เป็นอะไรทุกๆอย่าง เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา อย่าจับบิดามารดาใส่ในความร้อนใจ คือ นรก เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ อย่าทำให้ครูบาอาจารย์ล้มละลายในการสอนเธอให้เป็นคนดี ถ้าเธอเป็นคนเลว การสอนเธอให้เป็นคนดีย่อมล้มละลาย เธอต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ และเธอยังจะต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ จนกระทั่งเป็นสาวกที่ดีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ถูกต้องอย่างนี้เลย ให้มันเรียบร้อย ราบรื่น คล่องแคล่วไปหมด จะถือโอกาสพูดถึงเรื่อง ตึกหลังนี้ที่เรียกมหรสพทางวิญญาณ โดยอธิบายให้เห็นภาพสักภาพหนึ่ง
ไปอยู่ตรงมุมนั้น นั่งให้เหมือนลิ้นงูในปากงู เขาเขียนคนนั่งในปากงูตัวใหญ่ มีตัวหนังสือเขียนว่า อยู่ให้เหมือนลิ้นงูในปากงู และมีรูปตาอยู่ดวงหนึ่งด้วย หมายความว่าถ้ามีดวงตาจงมองให้เห็นความจริง ว่าเราอยู่ในโลกนี้ต้องอยู่ให้เหมือนกับลิ้นงูอยู่ในปากงู ถ้าเด็กนักเรียนคนไหนไม่โง่นัก ไม่โง่จนเกินไปคงจะฟังออกแล้ว ว่าอยู่ในโลกนี้เหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงูหมายความว่าอย่างไร เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด แต่ถ้าเราไม่สังเกตก็ไม่รู้ ว่าลิ้นงูอยู่ในปากงูไม่ถูกเขี้ยวงูเลย ซึ่งลิ้นงูก็อยู่ข้างๆเขี้ยวงู ตวัดไปตวัดมาอยู่ข้างเขี้ยวงู หรือปลายเขี้ยวงู แต่ไม่เคยถูกกระทบเขี้ยวงูเลย มันเหมาะสมที่สุด เพราะฉะนั้นลิ้นงูจึงไม่เป็นอันตรายเพราะเขี้ยวงู ทั้งที่อยู่ในปากงูด้วยกัน คนจงอยู่ในโลก โดยไม่ไปต้องถูกคมเขี้ยวของโลก โลกก็เหมือนกับปากงูเหมือนกัน เต็มไปด้วยอันตราย ในโลกนี้เต็มไปด้วยอันตรายเหมือนเขี้ยวงู ถ้าเราไม่ถูกเขี้ยวงูก็รอดตัวไป ถ้าถูกเขี้ยวงูมันจะล้มละลาย จะต้องนั่งร้องไห้ ต้องกินยาตาย จะต้องกระโดดน้ำตาย หรืออยู่อย่างเศษมนุษย์ไม่มีความหมาย นี่แหละถูกเขี้ยวงู อยู่ในโลกนี้อย่างเศษมนุษย์ ไม่มีความหมาย ไม่มีคุณค่า ไม่มีความดี ไหว้ตัวเองไม่ได้ ถ้าใครยังมีอะไรดีจนไหว้ตัวเองได้ คนนั้นแหละรอดตัวอย่างแน่นอน นั่นเป็นประกาศนียบัตรที่แท้จริง ประกาศนียบัตรกระดาษนี่หลอกลวง ซื้อเอาก็ได้ ไม่แน่นอน การสอบไล่นี้โกงก็ได้ ไม่แน่นอน แต่ถ้ายกมือไหว้ตัวเองได้นี้แน่นอน นี่เป็นประกาศนียบัตรที่แน่นอน ใครมีแล้ววิเศษที่สุดเลย นึกถึงตนเองแล้วไม่มีอะไรที่ตำหนิติเตียนได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องมีเรื่องร้อนใจ เป็นอบายอย่างใดอย่างหนึ่ง คือไม่ถูกเขี้ยวงู อยู่ในปากงูไม่ถูกเขี้ยวงู อยู่ในโลกโดยไม่ถูกเขี้ยวโลก
ในโลกนี้มีอะไรต่างๆนานาสารพัด รวมความแล้ว เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี้แหละ ทำไม่ดีกลายเป็นเขี้ยวงูทันที คือเราต้องไม่ทำให้กลายลักษณะที่เป็นเขี้ยวงูมากัดเรา เราต้องมีความรู้ มีความประพฤติที่ดีอย่างที่เรียกว่าเป็นพรหมจารี แล้วก็ไม่จะไม่ถูกเขี้ยวของโลก ในโลกจะมีเขี้ยว มีขวาก มีหนาม มีอะไรมากมายเท่าไหร่ก็ตามใจมัน เราไม่ไปถูกก็แล้วกัน เหมือนลิ้นงูไม่ถูกเขี้ยวงูก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ สอนอย่างนี้ เหมือนพระองค์เอง อยู่ในโลกแต่ไม่ถูกเขี้ยวของโลก พระพุทธเจ้าอยู่ในโลกไม่ถูกกับเขี้ยวของโลก คือไม่กระทบกับโลกธรรม ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้นินทา ได้สรรเสริญ ได้สุข ได้ทุกข์ อะไรแบบนี้ เขาเรียกว่าโลกธรรม สิ่งเหล่านี้ทำอันตรายคนให้น้ำตาไหล ให้ฆ่าตัวตาย ให้กระโดดน้ำตาย เพราะทำไม่ถูกต้อง ทำผิดกับสิ่งเหล่านี้ แต่ผู้ที่ทำถูกต้อง เขาเรียกว่า พระอริยเจ้า ไม่กระทบกับโทษเหล่านี้ ฉะนั้นจึงสบาย ก็เปรียบเหมือนกับอยู่ในโลก ไม่ถูกกับเขี้ยวของโลก เหมือนลิ้นงูไม่ถูกเขี้ยวของงู ภาพเหล่านี้สอนธรรมะอย่างลึกซึ้งในระยะเวลาอันสั้น และสนุก ภาพเหล่านี้ทั้งหมด ถ้าใครดูเข้าใจจะสอนธรรมะอันลึกซึ้งในเวลาอันสั้นและสนุก เพราะฉะนั้นเราจึงเรียกว่า โรงมหรสพทางวิญญาณ
คำว่า มหรสพ หมายความว่า ต้องสนุก คำว่าทางวิญญาณ หมายถึงเรื่องทางจิตใจ ในชั้นลึก เด็กๆไม่ค่อยสนใจในเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ สนใจแต่เรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องเนื้อเรื่องหนัง เรื่องวัตถุ จึงไม่เข้าใจในเรื่องทางวิญญาณ ในที่สุด เนื้อหนัง วัตถุนั่นแหละมันกัดเอา ซึ่งมันเป็นเขี้ยวของโลกอย่างร้ายกาจ แล้วมันกัดเอา แล้วมันล้มละลาย มันตาย มันตายทางวิญญาณ เหลืออยู่ในโลกนี้ เท่ากับชีวิตที่เป็นซาก เป็นเศษไม่มีความหมาย นั่นคือตายทางวิญญาณ เพราะถูกกับเขี้ยวของโลก เพราะฉะนั้นเราจะต้องอยู่โดยไม่ถูกกับเขี้ยวของโลก และสนุกสนาน พอใจในความเป็นอยู่ พอใจในการที่เป็นมนุษย์อยู่ พอใจในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ไหว้ตัวเองได้จึงจะสนุก
อันนี้เป็นเพียงโรงมหรสพทางวิญญาณ เป็นเรื่องสถานที่สำหรับช่วยให้เกิดมหรสพทางวิญญาณ ส่วนตัวมหรสพจริงๆนั้น เธอต้องทำเอง เธอต้องประพฤติเองให้จิตวิญญาณไม่กระทบกับความทุกข์ มีความสบาย มีความพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ชีวิตนั่นแหละจะเป็นมหรสพเอง ด้วยธรรมะที่มีในชีวิต การกระทำที่มีในชีวิตนั่นแหละเป็นตัวมหรสพเสียเอง นี่มันเป็นแค่เพียงเปลือกโรง เต็มไปด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้เราสร้างมหรสพทางวิญญาณขึ้นในจิตในใจของเรา
ฉะนั้น ถ้าเธอได้ยินคำว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ จึงหมายถึงตึกหลังนี้ เธอเข้าใจถูกต้องว่าเรามีเครื่องมือ เครื่องอุปกรณ์ ที่จะสอนธรรมะในขั้นลึก ขั้นสูงในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อคู่ไปกับวิชาความรู้ทางโลกโลกที่เธอเรียนในโรงเรียน ซึ่งที่เธอเรียนในโรงเรียนนั้น เป็นเรื่องทางวัตถุ ทางร่างกายเป็นส่วนมาก ไม่เป็นทางวิญญาณในส่วนลึก จึงทำให้เธอมีความปกติ สบาย เป็นมนุษย์ที่สบายทางร่างกาย ทางเส้นประสาท ทางจิต แต่ทางสติปัญญา ทางวิญญาณอาจจะผิดก็ได้ คนที่สบายเมื่อคิดผิด ก็มีความทุกข์ ฆ่าตัวตาย คนที่มีเงินมาก ฆ่าตัวตาย คนที่ไปเรียนเมืองนอกมา ฆ่าตัวตาย คนที่มีอำนาจวาสนา ฆ่าตัวตาย นั่นคือเรื่องทางวิญญาณไม่มีความถูกต้อง ไม่มีความรู้ ไม่มีความถูกต้องทางวิญญาณ แม้เธอจะเรียนอย่างดีมีปริญญา ไปเมืองนอกกลับมา เธอก็อาจจะมีหวังที่จะกระโดดน้ำตาย ฆ่าตัวตาย เสียชื่อเสียง ถ้าหากว่าเธอยังขาดความรู้ในทางฝ่ายวิญญาณ ความถูกต้องในทางสติปัญญาที่ลึกซึ้ง คือ สามารถทำให้บังคับกิเลสตัณหาได้ สามารถบังคับ โลภะ โทสะ โมหะได้ นั่นคือ ความรู้ทางวิญญาณ เธอจึงจะชนะหมด ต่อไปนี้ไม่มีเรื่องร้าย ไม่มีเรื่องอะไรจะมาเกี่ยวข้องได้ด้วย
แต่หากเธอขาดความรู้สติปัญญาในฝ่ายวิญญาณในชั้นสูงแล้ว ความรู้ของเธอนั่นแหละจะฆ่าเธอ ความฉลาดของเธอนั่นแหละทำให้เธอคดโกงเก่ง และทำให้เธอทำผิด ทำชั่วเก่งกว่าคนที่ไม่ได้เล่าไม่ได้เรียน แล้วมันก็ฆ่าตัวเธอตาย พินาศ ฉิบหายยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เล่าไม่ได้เรียน ระวังให้ดี วิชาความรู้ที่ไม่มีธรรมะคุ้มครอง มันเป็นพิษ เป็นอันตรายยิ่งกว่าสิ่งใด ยิ่งกว่าไม่มีเสียอีก เพราะมันฉลาดมากขึ้น พอมันใช้ความฉลาดผิดมันก็เป็นอันตรายมาก สู้คนไม่ฉลาดก็ไม่ได้ เขาอยู่เฉยๆยังดีกว่า เพราะอย่างนี้ เขาจึงให้เรียนทั้งฝ่ายวัตถุ ทั้งฝ่ายจิตใจ ให้มันควบคู่กันไป ให้มันเพียงพอ ขนานกันไป แล้วเธอก็จะเป็นดีหมดเลย เป็นลูกที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ประโยชน์ของคำว่า ทางวิญญาณเป็นเช่นนี้
ที่เราเรียกว่าโรงมหรสพหมายความว่า ไม่น่าเบื่อ เรื่องทางจิตทางวิญญาณนี่ไม่น่าเบื่อ ไม่น่ารำคาญ ถ้าทำถูกทำเป็นนี่ไม่น่าเบื่อ การที่จะศึกษาภาพเหล่านี้ให้เข้าใจนี่ ไม่น่าเบื่อเลย แต่ถ้าไม่เข้าใจก็น่าเบื่อแน่นอน เพราะว่าจิตมันต่ำเกินไปไม่เข้าใจเรื่องนี้ พอใจแต่ในเรื่องทางร่างกาย ทางวัตถุอย่างเดียว
โรงมหรสพทางวิญญาณ บางทีเรียกกันสนุกๆสั้นๆว่า โรงหนัง เรียกตึกหลังนี้ว่าโรงหนังก็มีเหมือนกัน แต่ว่าโรงหนังทางวิญญาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงว่าอะไรๆก็ทางวิญญาณไปหมดเลย คนไม่เข้าใจก็เอาไปล้อ ไปหัวเราะ คนที่เข้าใจก็สนใจ เพราะจะได้เป็นเรื่องคู่กับทางร่างกาย เรามีทั้งทางร่างกาย เรามีทั้งทางจิตใจ มีสองอย่างในคนๆหนึ่ง ไม่ได้มีแต่ร่างกาย ฉะนั้น ถ้าเห็นแต่เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องเอร็ดอร่อย ทางปากทางท้องแล้วจิตใจมันล้มละลาย จิตใจมันตกเป็นทาสของวัตถุ จิตใจเป็นทาสของร่างกาย แล้วร่างกายก็พาจิตใจลงนรกเหมือนที่กล่าวมา เราต้องมีจิตใจที่ถูกต้อง ควบคุมร่างกาย จิตใจที่จะพาร่างกายไปสวรรค์ หรือไปในทางที่ควรปรารถนา นี่แหละคำว่ามหรสพทางวิญญาณ คือตึกหลังนี้ มีความมุ่งหมายอย่างนี้ โดยถือว่าจำเป็นที่สุดแก่ชีวิตมนุษย์ ที่จะต้องมีความรู้เรื่องนี้ และปฏิบัติเรื่องนี้
คราวนี้ สำหรับพวกเธอโดยเฉพาะ ก็ของให้สำนึกตัวไว้ว่าเป็นพรหมจารี มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ธรรมชาติเป็นผู้กำหนด ยิ่งกว่าพระเจ้า คือถ้าธรรมชาติคือพระเจ้า พระเจ้า คือ ธรรมชาติ คือพระเจ้าด้วยกันเป็นผู้กำหนด ถ้าทำผิดจากนี้ ถือว่าไม่เป็นมนุษย์ตามความหมายของธรรมชาติต้องการ เราอย่าไปสู้ธรรมชาติเลย สู้ไม่ไหว เราจงพยายามทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ที่กำหนดไว้อย่างไร ว่าทำอย่างไรจึงจะมีความสุข ถ้าทำอย่างไรจะต้องมีความทุกข์ เราต้องไปตามกฎนั้น ฉะนั้น ขอให้เธอเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญทั้งหมด ของชีวิตทั้งหมด ของการศึกษาเล่าเรียน ของการเกิดมาเป็นคน ไม่ใช่เรื่องทัศนาจร ทัศนาจรนั้นเป็นผลพลอยได้ มาเที่ยว มาเห็น มาดู มาชม นี้เป็นผลพลอยได้ เป็นทัศนาจร แต่ว่าเนื้อหาสาระของการมานี้คือ จะต้องให้รู้ธรรมะ ตามที่ต้องการจะแสดง มีความมุ่งหมายจะแสดงให้เธอได้รู้ธรรมะโดยง่าย อย่างน้อยให้รู้ว่าเวลาที่เราไม่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัว เวลานั้นเราสบายที่สุด เช่นมาวัดนี้ แล้วลืม มันลืมเรื่องนั้นเรื่องนี้ ลืมที่เป็นความเห็นแก่ตัว นั่นแหละ จิตใจว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวว่าของตัว มันเลยสบาย เท่านี้ก็พอแล้ว เป็นการเรียนสูงสุดแล้ว ว่าเวลามีจิตใจสบาย คือเวลาที่เราไม่มีอะไรยึดมั่นว่าตัวเรา ว่าของเรา พอไปหลงรัก หลงยึดมั่น มั่นหมาย อะไรว่าตัวเราของเรา เมื่อนั้นจะมีความทุกข์ทันที ใจหม่นหมองทันที คิดไม่เก่ง จำไม่เก่ง มีชีวิตก็ไม่เป็นสุข
เมื่อเธอเดินอยู่ตามป่า ตามเขา ตามชายทะเล จิตใจสบาย นั่นแหละ เวลานั้นเธอไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเรา แล้วเธอก็คิดดูเมื่อไปเดินอยู่ชายทะเล จิตใจสบาย เราก็ทำอะไรได้ และอยากจะทำทุกอย่างที่ควรทำเลย แต่ถ้าทำก็ทำได้ดีเพราะเป็นเวลาที่ใจสบาย เพราะฉะนั้น อย่าเครียด อย่ากลัวเวลา แล้วจิตใจสบาย จงพยายามทำจิตใจให้สบาย เหมือนเดินอยู่ตามภูเขา ตามชายทะเล ไม่มีตัวกู ของกูรบกวนในจิตใจ นั่นแหละ ถ้าทำอะไรแล้วทำได้ดี จำดี คิดดี ตัดสินใจดี และสนุกในการงาน
ให้จำความรู้สึกอันนี้ กลับไปถึงห้องเรียน ถึงเวลาเรียน ให้ทำบทเรียนด้วยจิตใจที่ผ่องใส แจ่มใส ว่างโปร่ง แบบนี้แล้วเธอจะทำได้ดี เพราะถ้ากลับไปถึงห้องเรียน เธอหม่นหมอง เธอมีตัวกูของกู เกิดกลัว เกิดหวั่นไหว เกิดประหม่า หรือในทางตรงกันข้าม เกิดระเริง อวดดี มันก็หมดเลย มันก็ล้มละลายอยู่ดี เพราะฉะนั้น มาในที่สงบ สงัด เช่นในป่านี้ เขามาศึกษาให้รู้ว่า ทำอย่างไรจิตใจจึงจะว่าง จะฟรี จะอิสระ จะเหมาะสมที่จะทำการงาน แล้วเอาจิตใจนั้นกลับไปให้ได้ทุกคน รักษาไว้ให้มั่นคง มันจะเป็นเวลาที่สบายที่สุดด้วย เป็นเวลาที่ทำงานได้มาก ได้ดี ได้อย่างยิ่งด้วย แล้วมันก็มีเท่านั้นเอง นอกนั้นผลมันตามมาเอง
เรามีเวลาที่กำหนดมาให้เท่านี้ เราก็จะยุติในการบรรยาย สรุปความให้ฟังอีกสักนิดว่า อย่าลืมว่าเป็นพรหมจารี แปลว่า ผู้ประพฤติอย่างประเสริฐ เป็นอาศรมลำดับแรกของชีวิตมนุษย์ ตามกฎของพระมนูธรรมศาสตร์ที่ผู้มีปัญญาทุกคน รวมถึงพระพุทธเจ้าด้วยก็รับรอง แล้วเราจงทำให้มันดี ให้เป็นพรหมจารีเรื่อยๆไป อย่าเพิ่งชิงสุกก่อนห่าม อย่าอะไรแบบนั้น จนกว่าจะถึงขั้นที่จะเป็นคฤหัสถ์ แล้วทำให้ดีที่สุด ให้ได้เลื่อนเป็นวานปรัสถ์และสันยาสี ในที่สุดเป็นผู้มีอายุมาก เป็นแสงสว่างให้คนทั้งหลายที่เกิดมาทีหลังได้รับประโยชน์มากที่สุด นี่เรียกว่าเกิดมาสมบูรณ์ที่สุด เหมือนกับภาพสิบภาพ ภาพวัวที่อยู่ด้านหลัง แสดงอาการที่ดีเหมือนกัน เกิดมาไม่รู้อะไร แล้วค่อยรู้ แล้วชนะ แล้วชนะ แล้วบริโภคผลของการชนะ แล้วก็ลืมไป พอถึงอย่างนั้น แล้วมันลดต่ำไป ตัวเองก็ลืม ลืมก็ว่าง ว่างแล้วเกิดใหม่เป็นของผู้อื่นเลย ของผู้อื่นตลอดชีวิตเลย ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น แสงสว่างให้ผู้อื่นตลอดชีวิตเลย นี่แหละเรื่องชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงที่สุด ตามกฎของมนู หรือมนูธรรมศาสตร์ เมื่อเราเป็นลูกหลานของมนู คือเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ มันต้องเป็นลูกหลานของมนู ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าเรียกตัวเองว่ามนุษย์ เมื่อเรียกตัวเองว่ามนุษย์มันก็ต้องเป็นลูกหลานของมนู เราก็ต้องปฏิบัติตามกฎของมนู
จึงหวังว่าเธอทุกๆคนจะมีความเจริญไปตามทางของมนุษย์ ตามกฎของมนู สมตามความมุ่งหมายทุกๆประการ เวลามีเพียงเท่านี้ขอยุติ ขอให้มีความสุขสวัสดีทุกๆคน