แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมเพียงคำเดียว เพื่อให้เป็นประโยชน์เต็มที่ก็อยากจะใช้วิธีอย่างเดียวกับชั้นเรียน อย่างในชั้นเรียนคือมีเขียนหัวข้อให้ในกระดานดำจะเข้าใจได้ง่ายด้วยแล้วจะจดก็ง่ายเรื่องของเรามีว่า ธรรมเพียงคำเดียวคือหัวข้อที่จะพูดเรื่องนี้ก็คือคำว่าธรรมเพียงคำเดียวมีความหมายว่าเราจะพูดเรื่องธรรมเพียงคำเดียวก็ได้ หรือจะความหมายว่าอะไรทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์สรุปอยู่ในคำว่าธรรมเพียงคำเดียวก็ได้ ฉนั้นคำว่าธรรมเพียงคำเดียวนี้มีความหมายมาก ทีนี้ข้อที่จะให้นั่นต่อไปก็คือว่า ธรรมสำหรับมนุษย์ ธรรมเนี่ยเป็นของสำหรับมนุษย์ เพราะหนึ่งเพื่อให้อยู่ในโลกด้วยชัยชนะ สองให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ สามธรรมอาจตอบคำถามได้ทุกข้อ เนี่ยหัวข้อแรกก็คือว่าธรรมเป็นของสำหรับมนุษย์ นี่ให้ไปคิดเอาเองให้รอบคอบว่ามันจะมียังไงบ้าง ในที่นี้เอาแต่ใจความก่อนว่า ถ้ามนุษย์ไม่มีธรรมก็คือไม่มีเป็นมนุษย์ และธรรมสำหรับมนุษย์เพื่อประโยชน์อย่างอื่นอีก คือให้อยู่ เพื่อให้อยู่ในโลกด้วยชัยชนะไม่ใช่ให้หนีโลกด้วยความพ่ายแพ้ มีคนเข้าใจผิดอยู่มากเดี๋ยวนี้แม้ในกรุงเทพฯ ในชั้นครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง คือเข้าใจว่าธรรมในพระพุทธศาสนาทำให้คนเบื่อโลกหนีโลกนั้นเป็นความเขลาของผู้นั้นเอง ทำธรรมตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เราอยู่ในโลกนี้ด้วยชัยชนะ ไม่ต้องวิ่งหนี ไม่ต้องหนีไปไหน จะอยู่ในโลกอย่างฆราวาสก็อยู่อย่างมีชัยชนะ จะอยู่อย่างนักบวชก็อยู่อย่างมีชัยชนะ แล้วแต่ว่าใครมีหน้าที่การงานอย่างไร ธรรมมีให้มากพอที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการ ฉนั้นไม่ใช่ให้ทิ้งการงานหรือไม่ใช่ให้หนีโลก แต่ให้อยู่ในโลกด้วยชัยชนะ ขอให้จำหัวข้อสั้นๆว่าอยู่เพื่ออยู่ในโลกด้วยชัยชนะ สองที่ว่าเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เนี่ยขยายความได้มากแล้วแต่ว่าเราเล็งถึงว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ขอให้พวกเราที่ประกาศตัวเป็นพุทธบริษัทเป็นชุมนุมผู้สนใจในพุทธศาสนาหรือพุทธศาสาตร์เนี่ยเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีๆ ไม่ใช่ว่าเราจะมาเป็นพุทธบริษัทหรือว่าเป็นพุทธบริษัทมาแล้วด้วยความงมงาย แต่มันมีเหตุผลมาก เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เนี่ยหมายความถ้าไม่เกี่ยวกับธรรมแล้วไม่มีทางจะได้ สำหรับปัญหาที่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์น่ะมันก็เป็นปัญหาใหญ่ ...........ตกลงกัน (ฟังไม่ชัด นาที ๐๕.๕๕) แต่ในที่นี้เรามีความแน่นอนว่าจะต้องให้ได้ขึ้นไปๆๆ จนถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่ใช่จะปล่อยไปตามยถากรรมเหมือนอย่างในหมู่สัตว์ สัตว์เดรฉานอย่างนั้นปล่อยไปตามกรรมโดยไม่รู้ว่ามีสิ่งอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะไปถึง ส่วนมนุษย์นี้มีหลักเกณฑ์มีอะไรที่ว่าจะต้องไปให้ถึงนั่น ต้องได้ความสมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์แล้วถือเป็นไอ้ที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ สำหรับทางพุทธศาสนานี่ที่ดีที่สุดของมนุษย์มันก็ตอบง่าย ด้วยคำพูดง่ายๆแต่ไม่รู้ว่าอะไรซึ่งชาวบ้านทั่วไปก็ตอบถูกว่านิพพาน แต่แล้วก็ไม่รู้ว่านิพพานนี้คืออะไร ต้องการนิพพานกันทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไร อย่างนี้มันไม่ไหว แต่ว่าคำตอบอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องการนักเราต้องการจะให้กว้างเป็นชั้นๆไปกว่านั้น ไอ้ที่ดีที่สุดของมนุษย์สำหรับเด็กๆเนี่ยคงจะเป็นเรื่องกินเรื่องเล่น ไอ้ดีที่สุดของหนุ่มสาวก็เรื่องของคนหนุ่มสาว ไอ้ดีที่สุดของพ่อบ้านแม่เรือนก็เรื่องเงิน เรื่องเกีรยติ เรื่องอะไรทำนองนี้ ไอ้ที่ดีของคนแก่คือการพักผ่อน นี้มันก็เป็น.... (ฟังไม่ชัด นาที ๐๗.๓๒) อยู่แล้วที่ว่ามันจะต้องเดินตามนั้น ฉนั้นถ้าเราเอาตามกฎโบราณที่สุดที่มนุษย์วางไว้เท่าที่เราจะทราบได้เช่นกฎเรื่องมนูธรรมศาสตร์ (ตัวสะกด นาที ๐๗.๔๔)ในประเทศอินเดียหลายพันปี ในมนูธรรมศาสตร์ ให้มนุษย์แบ่งชีวิตเป็น๔ขั้น คือขั้นพรหมจารีย์ก่อนมีเหย้าเรือนตั้งแต่เด็กมานี้เรียกว่าพรหมจารีย์ ศึกษา เล่าเรียน เคร่งครัดในศลีธรรม ในระเบียบวินัยต่างๆนี้ เรียกว่าขั้นพรหมจารีย์ขั้นหนึ่ง แล้วต่อมาก็ถึงขั้นคฤหรรษ์ คือครองเรือนเป็นสามี ภรรยา บิดา มารดาก็ต้องทำให้ดีที่สุดนี้ขั้นหนึ่ง นี่เมื่อนานไปจนถึงอายุ๕๐ ๖๐ ขึ้นไปแล้วก็เลื่อนเป็นขั้น....(ฟังไม่ชัด นาที ๐๘.๒๐) คำนี้แปลว่าอยู่ป่า แต่ไม่ได้จะต้องออกอยู่ป่าอย่างเดียว พวกผู้เฒ่านั้นจะหลบมุมอยู่ที่มุมบ้านตรงไหนก็ได้ ที่กอไผ่ทางไหนก็ได้ แล้วก็ไม่เอาใจใส่เรื่องทำมาจนเพียงพอแล้วก็หันย้อนมาเอาใจใส่แต่เรื่องข้างในจิตใจ ศึกษาเรื่องภายใน เรื่องที่ดีกว่าเรื่องโลกนี้หรือเรื่องภายนอกอยู่อย่างนี้ระยะหนึ่งเค้าเรียกว่า...... (ฟังไม่ชัด นาที ๐๘.๕๔) นี้ถ้ายังไม่ตายเสียอันนี้ยังมีต่อไปอีกเสร็จเรื่องนั้นแล้วก็เป็นเรื่อง สันญาสี (ตัวสะกด นาที ๐๙.๐๒) คือทำแสงสว่างให้แก่ผู้อื่นหมายความว่าเที่ยวสอนผู่อื่นเป็นที่พึ่ง เป็นผู้ตอบปัญหาให้แก่ผู้อื่น ถ้าได้ครบ๔อย่างนี้เค้าเรียกว่ามนุยษ์นั้นได้ทำครบตามที่เกิดมาเป็นมนุษย์หรือว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ในทางพุทธศาสนาของเราก็มีคล้ายๆนั่น แต่ว่าพูดไปอีกทางหนึ่งคือหลักเรื่องภูมิ ภูมิของจิตใจในหมู่มนุษย์เนี่ย มนุษย์มีจิตใจภูมิแรก ภูมิต่ำที่สุดก็คือพอใจในสิ่งที่เรียกว่ากามคุณ ตามปะสาชาวบ้านเรียกภูมิกามคุณ กามาวจร (ตัวสะกด นาที ๐๙.๔๘) แล้วต่อมาอายุมากเข้าก็เบื่อ ก็เลื่อนไปหาไอ้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกามคุณแต่เป็นเรื่องที่ให้ความพอใจได้เหมือนกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัตถุสิ่งของล้วนเรื่องอะไรทำนองนี้ แม้จะเป็นทรัพย์สมบัติเป็นของเล่นเป็นอะไรก็ตามไม่เกี่ยวกับกามคุณ เรียกว่ามีใจเหนือกว่ากามคุณขึ้นไปนี้เรียกว่า รูปาวจรณ์ (ตัวสะกด นาที ๑๐.๑๘) อีกภูมิหนึ่ง นี้ถ้าต่อขึ้นไปอีกก็เรียกว่า อรูปาวจรณ์ (ตัวสะกด นาที ๑๐.๑๘) นี่เป็นเรื่องยินดีในนามธรรมที่ไม่มีรูปร่างตัวตน เช่นเกีรยติ เช่นอะไรเป็นต้น นี่เมื่อสูงขึ้นไปอีกก็เป็นโลกกุตรภูมิเลย (ตัวสะกด นาที ๑๐.๓๓) คือยินดีในสิ่งที่สูงกว่าวิสัยโลกธรรมดาอย่างนี้ก็หมายถึงความสงบอย่างยิ่ง ความไม่มีตัวตนที่จะเป็นห่วงที่จะยึดถือให้เป็นทุกข์ มีความสุขในทางจิตใจสูงสุดแต่เพียงเท่านั้น เกิดมาทีหนึ่งถ้าผ่านไปได้ถึง๔ ภูมิอย่างนี้แล้วก็เรียกว่ามนุษย์นั้นได้ครบ ถ้ายกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆก็เช่นว่าทีแรกก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอย่างนี้ แล้วต่อมาก็ไปเล่นไอ้ของเล่นที่ไม่เกี่ยวกับอย่างนี้ แม้แต่จะไปเล่นบอล เล่นโกสน เล่นไอ้ลายครามอะไรก็ตามนี่ยกตัวอย่างเท่านั้น ก็สูงขึ้นไปกว่านี้ แล้วทีนี้ก็ไปเรื่องเกีรยติ เรื่องอะไร ซึ่งเป็นนามธรรมยิ่งขึ้นไปอีก แล้วสูงขึ้นไปอีกก็ไปสนใจเรื่องธรรมชั้นสูงเลย เป็นความสงบ ตาม...(ฟังไม่ชัด นาที ๑๑.๓๗)ของธรรมเลย เลื่อนเป็นชั้นๆอย่างนี้ก็ได้ ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เป็นชั้นๆไป เรามีภาพที่อยู่ข้างหลังนี้ภาพหนึ่งเรียกว่าภาพ จับวัว๑๐ขั้น (ฟังไม่ชัด นาที ๑๑.๕๐) เกิดมาไม่รู้อะไรก็รีๆขวางๆอยู่แล้วก็เริ่มเห็นรอยวัว แล้วก็เริ่มเห็นก้นวัว ตามไปเห็นก้น แล้วก็ถึงตัววัว จับวัว ฝึกวัว ฝึกสำเร็จ จูงไปบ้าน แล้วก็เอาไปขี่เป่าปี่ บนหลังวัว แล้วก็ทิ้งวัว เลิกวัว แหงนขึ้นไปเบื้องบน แล้วก็เป็นภาพว่างจากตัวตนซักทีหนึ่งไม่มีอะไร ที่นี้ก็เกิดใหม่ผลิใหม่เหมือนกับใบไม้ผลิใหม่ เกิดมาที่นี้ก็เจอตะเกียงเพื่อส่องให้ผู้อื่น เอาของแจกผู้อื่นขั้นสุดท้ายก็อย่างนี้แหล่ะ นี้อย่างของจีนคิดกันมาแต่โบราณว่ามนุษย์ควรจะมี ๑๐ ขั้นอย่างนี้ เนี่ยธรรมช่วยให้มนุษย์ไม่เสียทีที่เกิดมาจะให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราบางคนยังไม่ต้องการไอ้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็ต้องรู้ไว้ว่ามันหนีไม่พ้น นานแต่วันหน้ามันหนีไม่พ้นมันต้องไปที่นั่นเพราะธรมชาติกำหนดไว้เป็นอย่างนั้นมนุษย์จะฝืนธรมชาติไปไม่ได้ ถ้าไม่งั้นเค้าก็จะไม่ถึงความสงบหรือไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือมันพอเหมาะพอดีที่มนุษย์ควรจะได้ตามธรรมชาติเท่านั้นเอง หรือจะคิดเสียว่าแม้เดี๋ยวนี้เรายังไม่สนใจสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แต่สิ่งที่มันจำเป็นแก่เราในระดับนี้ก็ยังมากพอ และที่จะเรียกว่าธรรมด้วยเหมือนกัน ฉนั้นการที่จะได้อะไรโดยไม่เป็นทุกข์นี่ต้องอาศัยธรรม จะได้จะมีจะเป็นจะกินจะใช้จะอะไรทุกอย่างนี่ ถ้าต้องการไม่ให้เป็นทุกข์แล้วต้องอาศัยธรรมเข้าไปกำกับอยู่ด้วยทั้งนั้น นี้ก็ถือว่าให้ได้ดีที่สุดที่ควรจะได้ ได้เหมือนกันคือได้อย่างไม่เป็นทุกข์ แม้แต่จะเล่าเรียนแม้แต่จะหาเงินแม้แต่จะประกอบอาชีพอย่างนี้เราต้องทำให้ถูกวิธีที่ธรรมชาติกำหนดไว้ตามธรรมจึงจะไม่เป็นทุกข์ เนี่ยเป็นใจความย่อๆอย่างนี้ แล้วที่ว่าธรรมเพียงคำเดียวเนี่ยตอบกับคำถามได้ทุกข้อ ลองตั้งคำถามมาสัก ๒๐ ๓๐ ข้อ คำตอบว่าธรรมคำเดียวน่ะถูกหมด ทั้งในทางรับและในทางปฎิเสธ เพราะคำว่าธรรมเนี่ยมันประหลาดที่สุดในโลก เป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลกจนแปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ แปลเป็นภาษาอังกฤษไม่มีทางแปล เพราะว่าคำในภาษาอังกฤษที่มีอยู่แล้วไม่มีคำไหนมีความหมายครบตามความหมายของคำว่าธรรม เท่าที่เรารู้กันอยู่ในเมืองไทยเรานี้โดยมากแล้วในชั้นนักศึกษาขณะนี้ก็ยังรู้ความหมายของคำว่าธรรมแคบนิดเดียวไม่หมด ฉนั้นจึงเข้าใจว่าภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นมีคำแปลตรงกับคำว่าธรรม แต่ที่แท้นั้นมันเป็นคำที่ประหลาดในภาษาบาลีหรือสันสกฤษก็ตามซึ่งจะได้แสดงให้เห็นต่อไปเนี่ย ทำไมจึงเป็นขโมย ตอบว่าธรรม หมายความว่าธรรมที่ทำความเป็นขโมยเข้าครอบงำเขา เพราะว่าธรรมมันเป็นกลางอย่างนี้ ทำไมเขาจึงเป็นคนดีก็ตอบว่าเพราะธรรม ไอ้ธรรมที่เป็นคนดี ที่เป็นฝ่ายธรรมที่เป็นคนดีมันครอบงำเขา ทำไมเขาจึงเกิดมาเพราะธรรม เพราะเหตุปัจจัยที่สร้างคนให้เกิดจะเป็นกรรมหรือเป็นอะไรนั้นก็เรียกว่าธรรม ทำไมเขาจึงตายก็เพราะธรรม คือตามธรรมชาติกฏของธรรมชาติเขาจะต้องตายไอ้กฏที่ให้คนตายนี้ก็เรียกว่าธรรม เนี่ยจะตั้งคำถามสักหมื่นแสนอสงไขยข้อธรรมคำตอบว่าธรรมคำเดียวตอบได้ น่าสนใจยังไงไปลองคิดดู ทีนี้โดยพยัญชนะ ธรรมนะคำว่าธรรมโดยพยัญชนะ คือ หนึ่งธรรมชาติ สองกฏธรรมชาติ สามมีหน้าที่ตามธรรมชาติ สี่ผล...(ฟังไม่ชัด นาที ๑๗.๒๓) นี้ขอให้ดูเฉพาะธรรมนี้ก่อน คำว่าธรรม ธรรมในภาษาบาลี ธรรม…(ฟังไม่ชัด นาที ๑๗.๕๖) ในภาษาสันสกฤษ แล้วมาเป็นธรรมในภาษาไทยเรานี้มันมีความหมาย๔ อย่างนี้ เนี่ยถ้าเป็นภาษาบาลีเนี่ยเขียนอย่างนี้เป็นภาษาสันสกฤษก็เขียนอย่างนี้ ถ้าเป็นธรรมก็เขียนอย่างนี้คำเดียวกันในภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤษก็ตามคำว่าธรรมนี่หมายถึงธรรมชาติ และหมายถึงกฏธรรมชาติ และหมายถึงหน้าที่ของมนุษย์ตามกฏธรรมชาติ และหมายถึงผลที่มันจะเกิดขึ้นมาจากการทำหน้าที่นั้นๆด้วย เรียกว่าธรรมทั้งนั้นแหล่ะ เดี๋ยวนี้เราจนปัญญาที่ว่าไอ้คำว่าธรรมชาติในภาษาบาลีเนี่ยก็ยังไม่รู้จะเรียกในภาษาอังกฤษว่าอย่างไรอยู่เหมือนกัน เช่นเดียวกับคำว่าธรรมเนี่ยไม่ต้องแปลแล้ว ใช้คำว่าธรรมมันเฉยๆให้มันปรากฏ เป็นรูปสันสกฤษก็เป็นอย่างนี้ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑๙.๐๐)เนี่ยธรมไม่แปลถ้าแปลเนี่ยจะถูกแต่ บางส่วนๆๆ จะแปลว่าคำสอนมันก็ถูกแต่บางส่วน จะแปลว่ากฏมันก็ถูกแต่บางส่วน จะแปลว่าธรรมชาติมันก็ถูกแต่บางส่วน มันไม่ได้ทั้งนั้น อย่าแปล ใช้คำว่าธรรม นี้ไอ้คำว่าธรรมชาติ นี้สมมุติถ้าเราใช้คำว่า Nature ก็ดีมันยังไม่รู้ว่าจะอะไรดีก็ใช้คำว่า Natureเนี่ยไปทีจะตรงกับที่ฝรั่งเค้าใช้หรือไม่ก็ตามใจแต่ในที่นี้เราเอาไปทีว่าหมายถึงบรรดาสิ่งต่างๆซึ่งปรากฏแก่มนุษย์ที่มองเห็นตัวก็ตาม ที่ไม่มองเห็นตัวก็ตาม ที่เป็นเรื่องเนื้อหนังร่างกายที่เป็นเรื่องจิตใจความคิดความนึกอะไรก็ตามเรียกว่าธรรมชาติหมด ไม่ว่าธรรมชาติที่ไหนก็เรียกในภาษาบาลีว่าธรรมทั้งนั้นเพราะว่าธรรมเท่านั้นแปลว่าธรรมชาติก็ได้ นี้ถ้ามันเป็นกฏ เราก็มีคำว่ากฏนี้เข้าไป แต่ทีนี้มันหมายถึงกฏของธรรมชาติ กฏของ Nature ไม่ใช่ตัวNature เช่นว่าในNature ในธรรมชาตินั้นมีกฏที่บังคับอยู่ให้มันต้องเป็นอย่างนั้นๆ เช่นในสิ่งที่เราเรียกว่าความร้อนมีกฏอย่างนั้น ไฟฟ้ามีกฏอย่างนั้น อย่างนั้นมีกฏอย่างนี้รวมอยู่ในตัวมัน หรือว่ามีลักษณะที่จะต้องเป็นอย่างนั้นเช่นต้องเปลี่ยนแปลง เช่นต้องดับไปเป็นต้นเรียกว่ากฏ นี้เกี่ยวกับตัวธรรมชาติเอง ทีนี้ที่เกี่ยวกับมนุษย์คือหน้าที่ ที่นี้ของมนุษย์น่ะ หน้าที่ของมนุษย์ที่ต้องเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๒๑.๐๕) หน้าที่ที่ธรรมชาติบังคับอยู่ว่ามนุษย์ต้องทำ ฉนั้นเราตื่นขึ้นก็ต้องทำหน้าที่ เช่นอะไร เช่นว่าต้องกินอาหาร หรือต้องอาบน้ำ หรือต้องไปส้วม หรือกระทั่งต้องไปทำหน้าที่อื่นๆทุกอย่าง ที่ไม่ทำแล้วไม่ได้สำหรับผู้นั้น ไอ้ตัวหน้าที่นี้คือธรรมเหมือนกัน ในภาษาบาลีเค้าก็เรียกว่าธรรมเหมือนกันแล้วเรารู้จักแต่ในส่วนนี้ที่ในเมืองไทยในภาษาไทยรู้จักธรรมแต่ในความหมายนี้คือ สิ่งที่ต้องปฏิบัติ สิ่งที่ต้องศึกษาหรือสิ่งที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ ที่นี้ผล ผลของ duty เมื่อทำหน้าที่เหล่านั้นมันต้องมีผลเกิดขึ้นมา โดยอนุโลมแก่หน้าที่นี้อีกแหล่ะ นี้ก็เรียกว่าธรรมเหมือนกันเช่นว่าได้บรรลุมรรคผลขึ้นมาในขั้นสูงสุดก็เรียกว่าผลของการปฏิบัติ ฉนั้นคำว่าธรรมมันกว้างอย่างนี้ เนี่ยถ้าเราอยากจะรู้พระพุทธศาสนาให้ถูกต้องให้ครบบริบูรณ์แล้วต้องสนใจ ๔ เรื่องนี้ไว้ในคำว่าธรรมแล้วมันตอบปํญหาได้หมดเหมือนอย่างที่ว่านี้ แล้วเนี่ยมันมีตั้ง๔อย่างๆนี้ที่ตัว มันไม่มีอะไรรอดไปจาก ๔ข้อนี้ได้ บรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ที่นี้ไอ้เนื้อตัวเราและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรานั้นน่ะคือธรรม เนื้อตัวเราก็เป็นตัวธรรมชาติเนี้ย ร่างกายอย่างเนี้ยเป็นเนื้อตัวเราแล้วกฏของธรรมชาติก็ตามหน้าที่ของเราก็ตามผลที่เราได้รับเป็นเงินเป็นทองเป็นอะไรก็ตามที่มาเกี่ยวข้องกับเรามันก็คือธรรม ฉนั้นสิ่งที่เรียกว่าธรรมก็คือตัวเราทุกอย่างที่เกี่ยวข้องอยู่กับเรา ฉนั้นการเรียนธรรมศึกษาธรรมก็คือศึกษาตัวเราและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับเรา ก็ลองคิดดูจำเป็นหรือไม่จำเป็นอย่างไร น่าศึกษาหรือไม่น่าศึกษายังไง มันไม่ใช่เรื่องจะต้องหนีเข้าไปป่านั่งหลับตาอยู่ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องทำด้วยสติปัญญาอย่างยิ่ง คือเรียนเรื่องตัวเราและสิงที่เกิดขึ้นกับตัวเราทั้งหมด ถ้าจำคำ๔คำนี้ไว้แล้วรู้ว่าเนี่ยสิ่งที่เรียกว่าธรรมแล้วจะศึกษาหลักพระพุทธศาสนาอื่นๆได้เร็วได้ง่ายที่สุด แล้วจะพบได้เองว่าทำไมคำว่าธรรมเพียงคำเดียวเนี่ยตอบคำถามได้ทุกข้อ เช่นคำว่าทำไมเกิดเพราะกฎธรรมชาติเนี่ยก็เพราะธรรม คือทำไมตายก็เพราะอันนี้แหล่ะ หรือว่าเนื้อตัวเราประกอบขึ้นด้วยอะไร ดิน น้ำ ลม ไฟ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๒๓.๕๖) คือตัวนี้ตัวธรรม ประกอบด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรม หรือเรากินอยู่ด้วยอะไรก็คือเนี่ยธรรมส่วนนี้ เราจะได้อะไรต่อไปก็คือธรรมส่วนนี้ มันไม่ค่อยสนุกเป็นมหรศพหนักหรอกแต่ว่าถ้าเข้าใจแล้วก็จะช่วยได้มาก เรียนธรรมก็คือเรียนเรื่องตัวเรา ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเราเนี่ย เรียนธรรม เรียนเรื่องตัวเราทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเรา ตัวเราและทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเรา นี่บางคนอาจจะคิดว่าที่เรียนในหลักสูตรที่มหาวิทยาลัย เรียนวิศวะ เรียนอักษรศาสตร์ เรียนวิทยาการ มันอะไร มันตัวเราหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเราหรือไม่ลองคิดดู ถ้าเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเราก็คือธรรมเหมือนกันแต่มันอีกแขนงหนึ่ง แม้ตอนนี้เราจะเรียนเรื่องวิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๒๕.๐๗)อะไรก็ตาม มันก็คือเรียนธรรมแขนงหนึ่งในหลายๆแขนง ทีนี้ที่แคบเข้ามาที่เป็นตัวพุทธศาสนา เราเอาอันที่เกี่ยวกับหน้าที่เนี่ยมากขึ้นไอ้นี้มันยังไม่จำเป็นไม่รีบด่วน แต่ไอ้หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องนี้จำเป็นและรีบด่วน ฉนั้นคำว่าธรรมจึงเอามาใช้ให้มันแคบเข้ามาเฉพาะส่วนนี้แล้วขยายออกเป็นข้อๆ ให้เป็นตามไปตามที่ส่วนนี้ต้องการก็พอ เช่นว่าเราเคยได้ยินแต่คำว่าเป็นธรรม ไม่เป็นธรรม คล้ายๆกับไม่เป็นธรรมนั้นไม่ใช่ธรรม ที่แท้มันเป็นที่มันเป็นฝ่ายดำฝ่ายไม่ถูก อธรรมก็คือธรรม เป็นธรรมส่วนที่ไม่เป็นธรรม หน้าที่ตามธรรมชาติเนี่ยคือสิ่งเราเรียกกันว่าประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม สองคำเกี่ยวข้องกับข้อนี้ทั้งนั้น พระธรรมคือคำสั่งสอน พระองค์ก็สั่งสอนเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่ เรื่องอื่นก็สอนกันแต่มันไม่มากเท่าเรื่องนี้ ไม่เท่าหน้าที่ตามธรรมชาติ เด็กก็ได้รับคำสั่งสอนแต่เพียงว่าพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จะได้รับคำอธิบายแต่เพียงเท่านั้นฉนั้นมันแคบนิดเดียวมันส่วนหนึ่งของอันเนี่ย ไม่ได้รับคำสั่งสอนว่าธรรมคือธรรมชาติ คือกฏธรรมชาติ คือหน้าที่ตามธรรมชาติ ผลจากหน้าที่ตามธรรมชาติ ผลจากหน้าที่ตามธรรมชาติ ช่วยจดหรือจำไปสำหรับเป็นหลัก สำหรับศึกษาอย่างกว่างขวางออกไป นี้ถ้าว่าเราจะเอากันให้รวบรัด เฉพาะที่เกี่ยวกับความทุกข์โดยตรงคือธรรมโดยหน้าที่มากขึ้นแล้วก็ เรื่องอริยสัจในพระพุทธศาสนานั่นเอง ต้องรอบรู้เหตุของทุกข์ ต้องละเสีย ภาวะอทุกข์เนี่ย ตั้งศัพท์เอาใหม่เพื่อประหยัดเนื้อที่ ภาวะไม่มีทุกข์เนี่ยต้องทำให้ปรากฏ นี้ทางให้ถึง ทางให้ถึงภาวะนั้นน่ะ ต้องทำให้มี ให้มาก เนี่ยที่เรื่องอริยสัจในพระพุททศาสนา เรื่องทุกข์กับเรื่องเหตุให้เกิดทุกข์นี่อันนี้ต้องรอบรู้ มีคำว่ารอบรู้ อันนี้ต้องละเสียและภาวะอทุกข์เนี่ยต้องมีหลักให้ทำให้ปรากฏแก่เรา คือได้ถึงเราเนี่ย ต้องทำตามทางที่จะให้ถึงยิ่ง ต้องให้มีขึ้นมาให้มากขึ้นมา นี่เค้าเรียกว่าสมุทัย เรียกนิโรธ เรียกมรรคในภาษาบาลี ฉนั้นขอให้คิดว่าเนี่ย ออกไปจากเนี่ย คือหน้าที่ของเราจะต้องรู้ทุกข์ จะต้องละเหตุแห่งทุกข์ จะต้องทำไอ้ภาวะไม่มีทุกข์เนี่ยให้ปรากฏ แล้วก็เดินตามทางเพื่อจะให้ถึงนั่นน่ะ เพื่อให้ถึงอันนี้ เนี่ยแปลว่าเราต้องรู้ในฐานะเป็นไอ้ความรู้สมบูรณ์เท่านั้นเอง แต่ไอ้ที่จะไปดับจริงๆก็คือไอ้ข้อเนี่ยเป็นส่วนใหญ่ ฉนั้นธรรมที่เราได้ยินได้ฟังหรือได้ฟังเทศน์ ฟังธรรม ฟังอะไรเนี่ย มันเป็นแต่เรื่องนี้หมด คงเพราะรวมเข้าไปแต่ในเรื่องนี้หมด ไม่ค่อยพูดกันถึงเรื่องนี้ เช่นว่าเรียนวิทยาศาสตร์ก็คือเรียนธรรมอย่างนี้ไม่รู้ เลยไม่รู้ว่าเรียนวิทยาศาสตร์ก็คือเรียนธรรม แต่ถ้าเราดูตัวหนังสือเป็นอยู่จริงหรือความมุ่งหมายป็นอยู่จริงคำว่าธรรมในพระพุทธศาสนาหมายถึง ๔ อย่างนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เรียกว่าธรรม เป็นสภาวะธรรมแปลว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ กฏอนิจัง ทุกขัง อนัตตา แปลว่ากฏแห่งธรรม กฏของธรรมชาติ พระธรรมปฏิบัติศึกษาเล่าเรียนก็เพราะธรรม แล้วผลเกิดขึ้นเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นมรรคผลนิพพานก็เรียกว่าธรรม แล้วเราก็สนใจกันส่วนนี้ ฉนั้นถ้าเราจะรู้ธรรมที่จำเป็นก่อนก็คือสนใจใน ๔ อย่างนี้ เราจะศึกษาคามรู้ชนิดไหน ข้อไหนมาก็ให้ลงให้ได้ใน ๔ อย่างนี้แล้วมันก็คือธรรมอีกนั่นเอง ความทุกข์ก็เป็นธรรม เหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นธรรม ภาวะทุกข์ก็คือธรรม ทางปฏิบัติให้ถึงภาวะไม่มีทุกข์ก็คือธรรม เลยไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม ที่นี้ก็คือหัวใจที่มัน ถ้าธรรมชนิดไหนก็ตาม ธรรมชนิดไหนก็ตามนี่มันมีสรุปความอยู่ที่ว่าเป็นสิ่งที่ใครจะไปถือว่าของตัวไม่ได้ เพื่ออนัตตานี้ๆ เพื่ออนัตตานี้ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ใครจะไปยึดครองเป็นของตนนั้นไม่ได้ เราจะว่าเราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ยึดครองไม่ได้นั้นให้ถูกวิธี นี้คำว่าถูกวิธีอย่างถึงกับว่า (ฟังไม่ชัด นาที ๓๑.๔๐) แม้เนื้อตัวเนี่ยเราจะถือว่าของเรา จะคิดว่าของเราจะมั่นหมายว่าของเรานั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเราก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันให้ถูกวิธี ไม่ให้เกิดเป็นความผิดหรือความทุกข์ขึ้นมา ไม่ใช่อนัตตาแล้วก็เลิกกัน มันจะเลิกยังไงได้เพราะมันคือตัวเรา เราไม่อาจจะแยกธรรมออกจากตัวเราได้เพราะว่าตัวเราคือธรรม ร่างกายเนื้อหนังจิตใจ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งเนื้อตัวก็คือธรรม ถ้าเราไปแยกธรรมออกจากตัวเรานั้นมันก็ ... จะแยกธรรมนั้นออกจากตัวเราไม่ได้ มีแต่จะต้องทำทุกอย่างให้มันเป็นไปอย่างถูกต้อง ไอ้ร่างกายก็เป็นธรรม จิตใจก็เป็นธรรม แล้วมันก็ต้องควบคุมกันให้ถูกต้อง ให้ร่างกายจิตใจนั้นน่ะแสวงหาความรู้ ที่เค้าพูดว่าไม่มีตัวตนก็หมายความอย่างนี้ เช่นว่าไปเรียน (ฟังไม่ชัด นาที ๓๒.๓๖) ก็คือไอ้ร่างกายมันไปเนี่ยมันไปเรียน ฉนั้นใครได้รับผลก็มันคือร่างกายจิตใจเนี่ยได้รับผล ถ้าใครเป็นทุกข์ก็คือร่างกายจิตใจเนี่ยมันเป็นทุกข์ เพราะงั้นมันต้องทำในวิธีที่ไม่เป็นทุกข์ของมันเอง มันจะดิ้นรนไปทางนั้น เว้นแม้ว่ามันเข้าใจผิดมันก็เดินไปทางผิด นี้ถ้าว่าอนัตตาในพระพุทธศาสนาเข้าหมายอย่างนี้เพราะคนไม่รู้เรื่องเอาไปล้อเลียนก็มี หรือบางคนไม่เชื่อว่ามันจะมีประโยชน์อะไร ทำอย่างนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเราก็มี มันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่แน่นอนอย่างยิ่ง ถ้าอยากจะศึกษาพุทธศาสนามันก็หลีกไม่ได้ที่จะต้องศึกษาเรื่องอย่างนี้ ฉนั้นจะน่าสนุกหรือไม่น่าสนุกนั้นก็สุดแท้สำหรับชุมนุมพุทธศาสตร์เข้ามา เป็นชุมนุมพุทธศาสตร์เข้ามา เห็นว่ามันจะสนุกหรือไม่สนุกก็สุดแท้ แต่ว่ามันไม่มีเรื่องอื่นหรอกที่จะทำให้เข้าถึงพุทธศาสนาได้นอกจากเรื่องที่ว่าทุกอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่ใครจะถือว่าเป็นตัวตนของตนไม่ได้ มันเป็นของธรรมชาติ มันเป็นของธรรมชาติอย่างนี้ สมมุติว่าใครไปโกงเอาเป็นของๆตนธรรมชาติตบหน้าให้นั้นคือความทุกข์ที่ต้องมานั่งร้องไห้ต้องกระโดดน้ำตายต้องอะไรกันอยู่บ่อยๆ ไม่มีอย่างอื่นหรอกที่จะทำให้คนร้องไห้หรือกระโดดน้ำตาย นอกจากไปโกงเอาของธรรมชาติมาเป็นของตัว แล้วเมื่อไม่ได้อย่างใจแล้วก็ต้องฆ่าตัวตาย นี้ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้นเราคิดว่ามันต้องทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติเพราะมันของธรรมชาติมันก็ไม่ต้องฆ่าตัวตาย ก็ไม่ต้องร้องไห้ด้วย นี่คำว่าอนัตตานี้จะใช้คำอื่นๆก็ได้อย่างเช่นคำว่าสุญญตาก็เหมือนกัน คำเหล่านี้ไม่กี่คำหรอกถ้าจำไว้ได้ก็ดีมันเป็นหัวใจทั้งหมดในพุทธศาสนา นี่มันแปลว่าว่าง ว่างก็คือว่างจากไอ้ที่จะเอามาเป็นของเรานี้ มันเป็นของธรรมชาติไม่มีที่จะเป็นองเราก็เรียกว่าว่างจากการเป็นของเรา แล้วคำอื่นยังมีอีกมันมากนักไม่ต้องก็ได้ นี้จะอธิบายคำว่าว่างเนี่ยดีกว่า เวลาเหลืออยู่เล็กน้องเนี่ย มันเป็นเรื่องที่จะมีประโยชน์ โดยตรงขึ้นมา คำว่าว่าง ความว่าง หรือ จิตว่าง เป็นคำที่ประกอบขึ้นจากหลักพุทธศาสนาทั้งหมด ที่ว่าจากเป็นคำๆเนี่ยความว่างหรือจิตว่างเนี่ยเป็นคำที่ประกอบขึ้นจากหลักพุทธศาสนาทั้งหมดก็เหมือนที่อธิบายนี้ ไม่ว่าอันไหน ไม่ว่าธรรมอันไหนมันเป็นอนัตตาหรือเป็นสุญญตา ฉนั้นการศึกษาของเราก็ดีการงานก็ดี ผลของการงานก็ดี ชีวิตก็ดี อะไรก็ดีมันถูกถือเป็นของธรรมชาติหมด ไม่ใช่ของตัวเรา ว่างจากที่มันจะมาเป็นตัวเราหรือตามใจเรา ฉนั้นคำว่าว่างนั้นจึงเป็นคำที่รวมความหรืออมความนี้ทั้งหมดไว้ แล้วก็เลยเป็นหัวใจ คำๆเดียวเนี่ยเป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่ใช้ได้ในทุกกรณี เนี่ยที่คำว่าใช้ได้ในทุกกรณีนี้หมายความว่ามันเป็นที่ เป็นหัวใจของธรรมทั้งหมด ในฐานะที่เป็นหัวใจของธรรมทั้งหมดมันจึงใช้ได้แก่กรณีทุกกรณีในการแก้ปํญหาก็ตามหรือในทางที่จะทำให้ผิดก็ตาม มันใช้ได้ในทุกกรณีคำว่าว่าง คำว่าจิตว่าง ที่นี้คำว่าจิตว่าง จิตว่างแบบอันธพาลอย่างแรกจิตว่างแบบอันธพาล ว่าเอาเองดื้อๆ แซ่เซ่อ จนตรอกอะไรทำนองนี้ อย่างที่เป็นลัทธิ .....(บาลี ฟังไม่ชัด นาที ๓๘.๑๕) จิตว่าง จิตว่างแบบอันธพาล จิตว่างมี๒แบบ แบบแรกจะบอกให้ทราบถึงเรื่องจิตว่างแบบอันธพาล คือแกล้งว่าเอาเองว่าไม่ยึดถือ ว่าว่าง ว่าอะไรทำนองนั้น ในเมื่อจนตรอกเข้ามาหรือเพื่อแก้เก้อ หรือเพื่อเถียงตะพึดจิตว่างแบบอันธพาลนี้ก็ยังมีประโยชน์ไว้เป็นฝ่ายดื้อ ฝ่ายเถียง ฝ่ายค้านตะพึด ฝ่ายที่เรียกว่าแกล้งทำว่าไม่มีตัวกู ไม่มีอะไรทั้งนี้แล้วก็ค้านตะพึด แล้วจิตว่างอีกที่เป็นลัทธินั้นก็คือลัทธิที่เป็นคู่แข่งขันกับพระพุทธเจ้ามีหลายคน เฉพาะ๒คนเนี่ยสอนเรื่องว่าง ว่างชนิดที่ไม่มีอะไร ว่างชนิดที่ไม่ต้องคิดนึกถึงอะไรหมด ว่างถึงขนาดว่าเอามีดฟันคอคนเนี่ย มีดผ่านไปตามระหว่างอนูไม่มีใครฆ่าใคร หรือว่าการทำความดีมันก็สำเร็จลงที่ตรงนั่นน่ะหมดทั้งนั้น เช่นว่าให้ทานมันก็เสร็จจบตรงแค่กิน บูชายัญจบแค่ตรงที่ฆ่าเท่านั้นไม่มีผลอะไร บิดามารดาก็ไม่มีอย่างนี้คิดดูเหอะ นี่แหล่ะอันธพาลอย่างนี้ บิดามารดาก็ไม่มี เพราะว่านี้ก็ไม่มีตัวตน นั้นก็ไม่มีตัวตนบิดาก็ไม่มีมารดาก็ไม่มีก็ไม่ต้องกตัญญูก็ไม่ต้องอะไรหมด เนี่ยจิตว่างแบบอันธพาล แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนถือ นับถือจนเป็นคู่แข่งขันกับพระพุทธเจ้าได้ก็น่าแปลกเหมือนกัน ในประเทศอินเดียสมัยพุทธกาลก็มีพวกยอมรับนับถือฐิถิที่เป็นมิจฉาฐิถิอย่างนี้มากเหมือนกัน จนเป็นก๊ก เป็นฉันนะแข่งขันกับพระพุทธเจ้าได้ มีครูชื่อว่า.....(ฟังไม่ชัด นาที ๔๐.๑๙) ในบรรดาครูทั้ง๖คน ที่เป็นคู่แข่งขันกับพระพุทธเจ้ามีพวกที่เป็นจิตว่างแบบอันธพาลอย่างนี้อยู่ ๒คน ที่ว่าจิตว่างแบบที่ว่าเราจะสนใจควรจะสนใจ จิตว่างตามแบบตามธรรมชาติ ตามแบบของพุทธศาสนา ผู้ที่เป็น (ฟังไม่ชัด นาที ๔๑.๑๔) พุทธศาสนา นี้เราให้เราว่างเอง หรือว่างเพราะบังคับ และว่างเพราะทำให้เห็นธรรม เนี่ยเพื่อดูตามแนวนี้อีกทีหนึ่งเถอะ คำว่าความว่างคือว่างไม่มีอะไรเป็นของเราได้นอกจากของธรรมชาติ ที่นี้เมื่อจิตมองเห็นข้อเท็จจริงอันนี้จิตนั้นก็ไม่ไปเที่ยวจับอะไรมาเป็นของตน ก็เลยเรียกว่าจิตว่างความว่างคือภาวะอย่างนี้ จิตว่างคือจิตที่เห็นอยู่ในภาวะอย่างนี้แล้วก็อยู่ๆว่างๆอยู่ แต่นั่นไม่ใช่เป็นจิตที่ไม่ทำอะไรมันเป็นจิตที่จะต้องทำอะไรตามที่มันควรจะทำเหมือนกัน ถ้าจิตมันไม่ว่างหรือมันไปโง่ว่ามีอะไรเป็นของเรา ไอ้จิตนี้มันก็ทำไปอย่างหนึ่ง ถ้าจิตมันรู้ว่าอันนี้มันไม่ใช่ของเรานะเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างว่าไม่ใช่ของเรานะมันก็ยืมใช้มันก็ทำไปอีกอย่างหนี่ง ฉนั้นมันไม่เหมือนกันหรอก จิตว่างกับจิตไม่ว่างนี้มันไม่เหมือนกัน เป็นคำอธิบายมาจากคำสอนทั้งหมดทั้งพระไตรปิฏกทั้ง๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มีผู้ไปถามพระพุทธเจ้าว่าคำสอนในพระพุทธศาสนาทั้งหมดสรุปแล้วได้ความว่ายังไง สัพเพธรรมมานารังเวสายะ (ฟังไม่ชัด นาที ๔๓.๐๐) สิ่งทั้งหลายทั้งปวงทุกสิ่งที่ทำทั้งหมดเนี่ยใครๆไม่ไปควรมั่นหมาย ใครๆไม่ควรเข้าไปมั่นหมายว่าตัวกูว่าของกู นั่นน่ะคือว่าง ว่างจากตัวกูของกู นั้นจึงว่าเป็นธรรมที่ประกอบขึ้นจากหลักพุทธศาสนาทั้งหมดและเป็นหัวใจของพุทธศาสนาทั้งหมดที่ใช้ได้ในทุกกรณีนี้ จะดับทุกข์อย่างต่ำ หรืออย่างกลาง หรืออย่างสูง ต้องใช้เรื่องของความว่างนี้ให้เป็นอย่างต่ำ หรืออย่างกลาง หรืออย่างสูง ไอ้ความว่างที่มีเป็นอย่างๆไปเหมือนกัน นี้เพื่อกันไม่ให้ปนกันยุ่ง เนี่ยเราจะต้องแบ่งแยกไอ้ความว่างเป็นแบบอันธพาลนี้พวกหนึ่ง แล้วความว่างหรือจิตว่างตามแแบธรรมชาติ หรือตามแบบพุทธศาสนานี้อีกพวกหนึ่ง ทีนี้จิตว่างตามแบบของธรรมชาตินี้คือว่างเอง เหมือนที่เราพูดกันบนภูเขาเมื่อตอนเช้านั่นน่ะคือว่างเอง พอคุณขึ้นไปบนภูเขาแล้วมันก็ว่างเอง มันก็สบายอยู่พักหนึ่ง แล้วเวลาที่มันสบายมันสดชื่นมันฉลาดมันคิดอะไรได้ดีมันแจ่มใสไม่ใช่ว่าว่างแล้วมันง่วงนอนไม่ได้ หรือว่างแล้วทำอะไรไม่ได้ ว่างแล้วมันมืดมนไม่ได้ แม้แต่ว่างเองเมื่อมันขึ้นไปนั้นน่ะมันก็ยังมีประโยชน์ ที่นี้ที่สูงขึ้นไปว่างเพราะบังคับ นี้มันต้องเก่งหน่อยเมื่อจิตมันวุ่นวายเราสามารถบังคับจิตให้ว่างได้เช่น ทำกรรมฐานสมาธิภาวนาให้จิตที่วุ่นวายด้วโลภะ โทสะ โมหะ หยุดลงชั่วคราวเพราะอำนาจบังคับนี่ แล้วป็นจิตที่แจ่มใสผ่องใสทำอะไรได้ต่อไปอีก เนี่ยว่างเพราะบังคับ ไว้หนึ่งที่นี่ก็ได้ ไว้สองที่นี่ แล้วก็ไว้สามที่นี่ นี้เราต้องไปเรียนกันโดยเฉพาะที่เรียกว่าเรียนกรรมฐาน เรียนสมาธิ บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจก็เป็นจิตว่าง ความว่างที่ชั้นกลางไม่ใช่ชั้นสูงสุด ถ้าชั้นสูงสุดนั้นต้องทำให้มันเห็นว่าไอ้เนี่ยมันเป็นอนัตตา สุญญตาไปทุกอย่างเลย ฉนั้นจิตจึงว่างโดยไม่ไปจับเอาอะไรว่าเป็นตัวเราว่าเป็นของเรา ที่นี้มันมีลักษณะเป็นจิตที่อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง เป็นอิสระ ไม่หลงในสิ่งใด ไม่เข้าไปเป็นทาสของสิ่งใด ฉนั้นจึงเป็นจิตที่อยู่เหนือทุกสิ่งจึงทำอะไรไม่ผิด จึงมองอะไรจากข้างบน ถ้าเป็นจิตวุ่นจิตโง่มันอยู่ข้างๆ ข้างใต้มันเป็นทาสของทุกสิ่ง ถ้าว่างถึงที่สุดน่ะในลักษณะอย่างนี้เป็นพระอรหันต์แล้วนะ ต้องทราบว่าขนาดเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เราไม่ได้พูดถึงที่สุดล่ะ พูดถึงว่าธรรมดาที่จะเอาไปใช้เนี่ย หมายความว่า ควบคุมเราไม่ให้เผลอไปหลงว่าอะไรอยู่ในอำนาจเราเข้า แต่เราจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ด้วยจิตชนิดนี้ จิตที่เราฉลาดและไม่เป็นทาสอย่างนี้ เนี่ยที่นี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากจะสรุป ว่าธรรมคำว่าธรรมคำเดียวหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเราที่เราสมมุติเรียกว่าตัวเรา หรือของเรา หรือที่เกี่ยวข้องกับเราทุกอย่างนั้นคือสิ่งที่เรียกว่าธรรม มันแยกออกเป็นตัวธรรมชาติก็มี กฏรรมชาติก็มี หน้าที่ก็มี ผลตามหน้าที่ก็มี ถ้าถามว่าตัวเราตัวนี้อยู่ที่ไหนมันก็อยู่ในตัวนี้ในข้อนี้ในธรรมชาติดิน น้ำ ลม ไฟ กาย ใจนี้เป็นตัวธรรมชาติ ถ้าถือว่าการศึกษาของเราก็อยู่ที่นี้ การงานของเราอยู่ที่นี้ อาชีพของเราอยู่ที่นี้ เงินเดือนของเราอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นี่ เพราะเราได้ทำหน้าที่ตามธรรมชาติชั้นต่ำชั้นต้นเช่นเราได้เงินเดือน หรือเราร้องไห้ล่ะมันก็อยู่ที่นี่เพราะเราทำผิด มันมีผลเกิดจากธรรมชาติในฝ่ายผิด ธรรมชาติที่เป็นฝ่ายทุกข์ เมื่อเราร้องไห้ (ฟังไม่ชัด นาที ๔๗.๓๐) ถ้าเราดีใจ สบายใจมันก็ขึ้นอยู่ที่นี่ เพราะเราทำหน้าที่ถูกต้องตามธรรมชาติฝ่ายที่ทำให้หัวเราะได้ ให้สบายได้ไม่มีอะไรที่จะไม่เกี่ยวกับไอ้๔อย่างนี้ แต่๔อย่างนี้รวมอยู่ในคำๆเดียวว่าธรรม เพราะฉนั้นเราจึงถือว่าคำว่าธรรมน่ะคือเราและทุกอย่างที่เราต้องเกี่ยวข้องด้วย เพราะธรรมนี้มันมีอยู่ไปในรูปตัวธรรมชาติก็มี กฏธรรมชาติก็มี จะอยู่ในรูปไหนก็ตามมันมีเพื่อให้เรารู้ให้เราเข้าใจให้เราศึกษาแล้วให้เราจัดทำตัวเรานี้ให้เป็นไปในทางที่มีค่า มีค่าสูงสุด ไม่ใช่จะดูหมิ่นดูถูกอะไรบรรดาการศึกษาในโลกเวลานี้ ถ้าไม่เป็นไปถูกต้องตามกฏนี้แล้วจะไม่ทำให้ชีวิตมนุษย์มีค่าที่สุด มันเป็นเรื่องทำให้ยุ่งยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้นเราต้องรู้จักมันให้ดี แล้วก็ปฎิบัติให้สมควรแก่สถานะแก่สภาวะของเราเขาเรียกว่า ปฎิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ถ้าปราศจากธรรมเสียแล้วเราไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์นี้ก็มีเท่านี้ ถ้าเราปราศจากสิ่งที่เรียกว่าธรรม คือความรู้เรื่องธรรมมากเพียงพอที่จะปฎิบัติสิ่งต่างๆให้ถูกต้องแล้วเราก็ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์ แม้ว่าเราจะมีความก้าวหน้าในทางวัตถุมากมายสักเพียงไรก็ตาม นี้มีเท่านี้ไอ้คำว่าธรรมคำเดียวเนี่ยมันเป็นอย่างนี้ แล้วไม่รู้ว่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไร มีคนแนะว่าคำนี้บ้าง คำอื่นบ้างหลายๆ ห้าหกสิบคำก็ไม่มีความหมายครบตามคำเดินเค้า คำว่า Normบ้าง คำว่า Law บ้าง คำว่า .....(ฟังไม่ชัด นาที ๔๙.๓๕) ยี่สิบสามสิบคำเอามารวมก็ยังไม่ได้ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๔๙.๔๐) ทั้งหมด ไอ้นี้คำนี้ก็แปลว่าทุกอย่างอยู่แล้วมันก็ยังไม่ตรงเพราะมันไม่รวมอะไรต่างๆบางอย่างเหล่านี้เลย เนี่ยคือคำว่าธรรม แล้วหัวใจของคำว่าธรรมคือคำว่าอนัตตาหรือสุญญตา เพราะว่ามันเป็นของธรรมชาติเป็นของใครไม่ได้เราต้องไปเกี่ยวข้องกับอันนี้ให้ถูกวิธีเหมือนกับเราไปเกี่ยวข้องกับเสือกับงูกับยาพิษอย่าให้เป็นอันตรายกับเราแต่ให้ได้ตามที่เราต้องการ ให้เราหัวเราะได้หัวเราอย่างมีชัยชนะไม่ใช่หัวเราะงมงายหลงไหล ทีนี้ก็มีอยู่หน่อยหนึ่งตรงที่ว่าที่มันเกี่ยวกันน่ะเกี่ยวกับคำว่าจิตว่างนี่ ได้รับคำถามว่า ถ้าจิตว่างแล้วก็ไม่รับผิดชอบอะไรนี่ก็ลองดูเอาเองว่าจิตว่างนี่จะรับผิดชอบหรืดไม่รับผิดชอบ ว่าจิตว่างเนี่ยจะยิ่งรู้จักหน้าที่ของตัวดีแล้วยังมีความแจ่มใส.....(ฟังไม่ชัด นาที ๕๐.๕๕) ด้วยจะต้องทำอย่างไรด้วยและทำสำเร็จด้วย แต่ต้องไม่ใช่จิตว่างอย่างตามแบบอันธพาลนี้ นี่มันหาเรื่องจะนอนซะหลับบ้าง หาเรื่องจะขี้เกียจบ้าง หาเรื่องจะเอาเปรียบบ้าง มันว่างแบบอันธพาล แล้วเค้าเอาไปปนกันเสีย แล้วพอได้ยินคำว่าว่างแล้วก็มักจะแกล้งว่าไม่มีอะไรเหมือนกับท่อนไม้ จิตเหมือนกับท่อนไม้ เหมือนกับก้อนหินอย่างนี้มันว่างแบบอันธพาลอย่างนี้ ไม่อย่างนี้ ก็อย่างนี้เพราะมันมี๒แบบ นี้ว่าเอาเอง ตามประสาคนธรรมดา แบบจะดื้อขึ้นมา แบบจะแก้เก้อขึ้นมา แบบจนตรอกขึ้นมา แล้วอีกอย่างก็เป็นลัทธิที่มีคนนับถือมากเท่ากับเพราะพุทธศาสนาในอินเดียครั้งพุทธกาล .....(ฟังไม่ชัด นาที ๕๑.๔๔) แต่ถ้าว่างกันแบบพุทธสศาสนาก็คือว่าทำใจให้สะอาด สว่าง สงบ นั่นน่ะคือว่าง เมื่อในจิตใจมีภาวะสะอาด สว่าง สงบ ว่างจากสิ่งรบกวน เผารน บีบคั้น ผูกมัดไว้ ว่างภาระ ไม่ติดธุระ ติดธุระคือไปรักไปโกรธไปเกลียดอะไรอย่างนี้ เรียกว่าติดธุระไม่ว่าง แต่ถ้าว่างก็คือปราศจากสิ่งเหล่านี้ ฉนั้นมันจึงให้คำจำกัดความว่าถ้าจิตว่างตามแบบนี้นะ ตามแบบที่เห็นธรรมตามที่เป็นจริงอยู่อย่างไรแล้วเนี่ย คือจิตที่แจ่มใสที่สุด เข้มแข็งที่สุด เยือกเย็นที่สุด กล้าหาญที่สุด สนุกในการงาน ในการทำการงานที่สุด นี้คำว่าว่างในฐานะที่เป็นหัวใจของธรรมทั้งหมด บางทีก็เรียกว่าอนัตตา บางทีก็เรียกว่าสุญญตา ปู่ย่าตายายของเราเคยชินกับคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นน่ะอยู่กับว่างโดยไม่มีความรู้เรื่องว่าง แต่ว่าอยู่กับว่างโดยแท้จริง มันก็มีจิตที่ไม่ค่อยมีความทุกข์ อยากจะแนะว่าไอ้ว่างอย่างนี้ ไอ้ว่างชนิดไหนเนี่ย ว่างใน๓ว่างเนี่ยใช้ได้ทั้งนั้นแหล่ะ ถ้าเราไม่ว่างคือเรานอนไม่หลับ เราตายแล้วที่นี้เรานอนพอสมควรแก่ความต้องการของร่างกาย เพราะมันจิตมันว่างเอง เพราะฉนั้นเราจึงมีชีวิตรอดอยู่ด้วยความว่างเองแท้ๆไม่งั้นเรานอนไม่หลับหรอก ใน๒๐ชั่วโมงเรานอน๘ชั่วโมง ๑๐ชั่วโมงเราก็อยู่ได้ หรือว่าถ้ามันมีอะไรวุ่นมากอย่างนี้ก็เป็นโรคเส้นประสาท ถ้าความว่างเองมีไม่พอ คนเป็นโรคเส้นประสาทหรือเป็นบ้าไปส่งโรงพยาบาลโรคจิตไปเลย เราขอบใจความว่าง ที่เป็นตัวชีวิตเป็นตัวพื้นฐานของชีวิตรองรับอยู่รองรับชีวิตอยู่ นี่ว่างเพราะบังคับนี่เพราะเราต้องการจะดียิ่งขึ้นไปอีกเราจึงต้องหาวิธี วิชาอันหนึ่งซึ่งค้นพบแล้วก็บังคับได้ว่างมากขึ้นไปอีก นี้ถ้าดีขึ้นไปกว่านั้นมันไม่เกี่ยวกับบังคับ เพราะว่าการบังคับนี้มันอยู่ชั่วขณะที่บังคับพอไม่บังคับมันก็กลับไปเป็นไอ้อย่างธรรมดา นี่ถ้ามันเป็นแบบที่ว่างถูกต้องตลอดกาลนี้ก็คือทำให้มันเห็นธรรมเหล่านั้น แล้วมันก็ไม่ไปเที่ยวจับนั่นจับนี่เป็นอิสระอยู่เสมอ ให้ทำอะไรก็ทำได้เต็มที่ตามกำลังของความคิด ของธรรมชาติของจิต ทีนี้การปนเป อยากจะบอกถึงเรื่องว่าในชีวิตประจำวันเนี่ยมันใช้ความว่างอย่างไม่รู้สึกตัว เช่นพอเราจะคิดเลข เราเป็นนักเรียนอยู่โรงเรียนเราทำเลข เรามุ่งจะคิดเลขเนี่ย อื่นๆ(ฟังไม่ชัด นาที ๕๔.๔๔) ออกไป ตัวกูออกไป ชีวิตออกไป ลืมตัวกูลืมชีวิตลืมของกูลืมทุกอย่างเหลือเป็นจิตธรรมชาติแท้ที่ว่างนั้น มันจึงคิดเลขนั้นออกดีกว่าจิตอย่างไหนหมด หรือว่าเมื่อเราจะเล่นกีฬาจะขวางหรือจะยิงหรือจะทำอะไรให้ถูกจุดเป้าหมายในการแข่งขันเช่นยิงปืนอย่างนี้ คนที่ยิงปืนต้องลืม มีจิตว่างชนิดที่เรียกว่าเป็นเองนี้ก็ได้หรือบังคับนี้ก็ได้ ไม่ไปเที่ยวนึกถึงนั่นถึงนี่อยู่เฉพาะเวลานั้น ก็หน้านั้นก็นึกไปแต่พอถึงเวลานั้นที่จะยิงแล้วมันต้องลืมหมดแม้แต่ชีวิตแม้แต่ตัวเอง เหลือแต่กลไก automatic ของร่างกายที่ร่างกายคืนออกไปด้วยจิตที่ว่างที่สุด มุ่งแต่เป้าที่จะให้ถึงเท่านั้น นั่นน่ะจะยิงถูกอย่างเป็นปาฏิหารย์ทุกทีไป แต่คนเขาไม่รู้ไม่เข้าใจคิดว่านั่นน่ะคือความเห็นแก่ตัว จะยิงให้ถูก ถ้าเขาเห็นแก่ตัวยิงไปเท่านั้นยิงผิดหมด มันเป็นเรื่องกลัว เป็นเรื่องต่ำ เป็นเรื่อง...(ฟังไม่ชัด นาที ๕๕.๕๕) เป็นเรื่องอะไรไปทางนู้น เห็นแก่ชื่อเสียงของโรงเรียนมั่ง เห็นกันขณะอื่น ขณะที่จะทำอย่างนี้ต้องลืมหมดแม้แต่ชีวิตตัว ถ้าไปมัวนึกถึงชื่อของโรงเรียนก็ประหม่าว่าเสียชื่อโรงเรียน นึกถึงตัวก็เสียชื่อของตัวอย่างนี้ก็ใจสั่นมือสั่นทำไม่ได้ คำว่าว่างเนี่ยมีความจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และกระทั่งว่าถ้าไม่มีว่างชนิดนี้แล้วเราตายนานแล้ว มันนอนไม่หลับ ที่นี้เรื่องที่สูงขึ้นไปๆๆก็ทำนองนี้ จนกระทั่งว่าไม่มีกิเลสอยู่เลยเป็นมนุษย์ที่ประหลาดคือไม่มีความทุกข์เลย เราไม่มีความรู้เรื่องว่างเราก็เข้าใจผิดเรื่องว่าง ถ้ารู้เรื่องนี้ก็จะใช้เป็นประโยชน์ได้มาก ว่าที่แท้ลัทธิคอมมูนิสต์เกิดขึ้นในโลกเพราะจิตไม่ว่าง ฟังถูกมั้ยว่า การที่ลัทธิคอมมูนิสต์เกิดขึ้นมาได้ในโลกนั้ก็เพราะจิตของคนนั้นน่ะมันไม่ว่างมากเกินไป เห็นแก่ตัว มันต้องการจะยื้อแย่ง มันไม่รู้กฏธรรมชาติเหล่านี้ว่าคนต้องเป็นไปตามกรรม ถ้ารู้ว่าคนต้องเป็นไปตามกรรมก็จะต้องมีสูงมีต่ำมีจนมีอะไรมันก็ไม่มีสิทธิไปเป็นคอมมูนิสต์ได้ คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๕๗.๓๐) พูดยกตัวอย่างนี้ก่อนที่ว่าปัญหาเฉพาะหน้า แล้วคนไม่เมตตากรุณากันเกิดลัทธิคอมมูนิสต์ขึ้นมา ก็เพราะมันไม่ว่าง มันเห็นแก่ตัวมากเกินไป ไม่เห็นแก่ผู้อื่นเลยทำให้เกิดความไม่เห็นแก่กันและกันจึงเกิดการต่อสู้เพราะว่าคนๆหนึ่งเอาไปมากเกินไปคนพวกนี้ก็ต้องการจะแย่งเอามา เรียกว่าเพราะไม่เห็นกฏของธรรมชาติ ทำให้ไม่ยอมรับในการแบ่งเป็นคนมีคนจน ทั้งๆที่ความจริงมันต้องเป็นอย่างนั้นเพราะว่าธรรมชาตินี้มันไม่เท่ากัน ในการเป็นคนๆหนึ่ง แล้วคนก็ไม่เมตตากรุณาหนักเข้าๆๆแล้วทีนี้ก็ฝักตัวขึ้นมาในโลกนี้ แล้วก็ไม่รู้อุดมคติที่สูงกว่าคือไม่รู้ว่าไอ้ความสุขเรื่องทางจิตเนี่ยสูงกว่าทางวัตถุ นี้จึงไปหลงแย่งความสุขทางวัตถุ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดลัทธิ Directive Materialism ว่าวัตถุจัดผิดฉนั้นเราต้องจัดวัตถุให้มากพอมันก็เกิดไอ้ลัทธิอย่างนี้ขึ้นเป็นปัญหา ถ้าว่ารู้ธรรมในลักษณะนี้แล้วมันเกิดไม่ได้ลัทธิคอมมูนิสต์ปัจจุบันในโลกนี้นั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามนุษย์เหล่านั้นได้รู้ความจริงเหล่านี้ นี้ไม่ว่าอะไรทุกๆอย่างมันรวมอยู่ที่ความจริง แล้วความจริงที่สุดก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมมีลักษณะอย่างนี้ แล้วสรุปอยู่ในคำเพียง๒ ๓คำว่ามันไม่เป็นของใคร แล้วมันมีอำนาจบังคับสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามกฏของมันเอง ฉนั้นถ้าว่าคนจนมีจิตว่าง ก็หมายความว่ารู้ว่าเราไม่ได้เกิดมาเหมือนกันล่ะ และเรานี่ไม่อาจจะเกิดมาเหมือนกัน เพราะอะไรๆก็ไม่เหมือนกันร่างกายก็ไม่เหมือนกัน สติปัญญาก็ไม่เหมือนกัน อะไรๆก็ไม่เหมือนกันมาแต่เดิมเพราะงั้นเราจะต้องต่างกัน นี้เมื่อเราจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้เราก็ต้องทำงานตามหน้าที่ของเรา ฉนั้นเราจะเป็นคนกวาดขยะถนน หรือว่าเราจะเป็นคนขับสามล้อ หรือว่าเราจะเป็นคนแจวเรือจ้างก็ถูกต้อง ก็ควรจะพอใจแล้ว แล้วเรามีทางที่จะทำให้สนุกสนานด้วยมีจิตอย่างนี้ เราจิตนั้นจะไม่รังเกียจงานอย่างนั้น และเมื่อจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้นก็ยินดีทำด้วยความสนุกไม่ทิ้งงานนี้เสียแล้วไปขโมย แล้วอย่าเข้าใจว่ามัน อย่ามองกันไปในแง่ร้ายเกินไปว่าจิตว่างนี้ไม่ทำอะไรเอาเปรียบคนอื่น มันทำให้ยอมรับได้ทั้งหมด แม้จะต้องเป็นคนแจวเรือจ้าง แม้จะต้องเป็นคนเทขยะ ล้างท่อถนน หรือเป็นอะไรที่รังเกียจกันนักน่ะ มันกลับทำได้ด้วยความสนุกหรือพอใจว่า นี้มันพอดีกันแล้วกับธรรมชาติตรงนี้ เป็นไปตามกรรมอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มีปัญหามากที่คนต่อสู้แย่งชิงกัน แข่งขันกัน ทำลายกันโดยไม่ยอมรับกฏของกรรมที่ว่ามันสร้างมาสำหรับตามกฏธรรมชาติต้องต่างกัน เราจะเสมอเหมือนกันไม่ได้ แต่แล้วเราก็ต้องถือว่าถ้าเราพอใจได้มันก็ควรจะไม่เป็นทุกข์แล้ว เมื่อเราพอใจในสิ่งนี้ได้ ทีนี้เราต้องเข้าใจเรื่องนี้เราจึงพอใจได้ ให้ไปทำงานถังขยะเหม็นๆจะว่ายังไง คงจะไม่ยอมแน่ เนี่ยมันก็เพราะว่าไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรบ้าง แต่เดี๋ยวนี้มันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วเป็นไปในอย่างที่ไม่ถูกต้องตามธรรมอยู่ทั่วๆไปแล้ว เพราะการถูกต้องอย่างนี้มีมาเพื่อจะแก้ไขถ้ามันแก้ไม่ได้หรือโลกนี้ก็ต้องไปตามประสาของโลกที่จะวินาศ ที่จะมีแต่ยิ่งเบียดเบียนกันอะไรก็ฆ่าฟัน นิดหน่อยก็ฆ่าฟันกัน แม้กระทั่งฆ่าตัวเองอย่างง่ายๆไปอย่างนี้ เพราะงั้นคำว่าจิตว่างหรือความว่างนี้เป็นเรื่องเดียวที่สุดในพระพุทธศาสนาทั้งในแง่ความลึกซึ้งและในแง่ที่มีประโยชน์ที่สุดหรืออะไรก็ตาม เพราะมันเป็นหัวใจของสิ่งที่เรียกว่าธรรมเนี่ยทั้งหมด ธรรมทั้งหมดรวมความแล้วเป็นสุญญตาหรือเป็นอนัตตา ที่ว่าเราทำงานด้วยจิตว่างนั้นคือจิตที่ Free ที่เป็นอิสระที่สุด ไม่ใช่จิตที่ถูกผูกมัดติดนั่นติดนี่อยู่ ทำงานด้วยจิตว่างอิสระที่สุด เฉลียวฉลาดที่สุด แคล่วคล่องที่สุด Active ที่สุด ไม่ใช่จิตที่ติดตังนุงนังอยู่กับอะไรต่างๆนั้นเรียกว่าจิตวุ่น ถ้าได้ผลของงานมาเป็นเงินเป็นชื่อเสียงก็อย่าเอามายึดมั่นด้วยจิตโง่เขลา ต้องว่าเป็นของฝากไว้กับธรรมชาติเหมือนกับฝากเงินไว้กับธนาคารอย่างนั้น ถ้าเอามาใส่ไว้บนศรีษะมันตายแล้ว มีเงินไม่เท่าไรเอามาสุมอยู่บนศรีษะมันก็ต้องตายก็เท่านั้นต้องฝากไว้กับธนาคาร ทีนี้ในทางจิตใจก็เหมือนกันอย่าได้คิดว่าของเรา แม้จะเก็บจะรักษาจะใช้จะกินก็อย่าได้มั่นหมายว่าของเรา มันก็ไม่มาหนักอยู่ในจิตใจเรา กินอาหารก็ของเงินที่หามาได้ด้วยการทำงานด้วยจิตว่างแล้วฝากไว้กับความว่าง เรามีคำกลอนที่คนอ่านไม่เข้าใจแล้วหาว่าเราบ้าก็มี จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น กินอาหารความว่างอย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที นี้ไม่มีใครยอม ไม่มีใครยอมตาย เสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที เพราะฟังไม่ถูกคือว่าอย่ามีตัวกูตัวฉันตลอดเวลาเลยนั้นน่ะจะสบายที่สุด เหมือนกับพูดที่บนภูเขาว่าจิตที่ไม่ได้นึกว่ามีตัวเรานั้นมันก็ไม่มีโซ่ตรวนที่คล้องบ่วงเรารัดรึงเราก็สบายที่สุด นี้ที่เรียกว่าตายแต่ในตัวแต่หัวที อ้าวทีนี้มีปํญหาอะไรก็ได้เวลาเหลืออยู่ไม่มากนัก ๒ โมงครึ่ง คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๐๔.๒๒) ปลงตกนี้มันก็เป็นแบบหนึ่งเหมือนกันที่จะทำให้จิตว่างแต่จิตว่างตามวิธีนี้มันยิ่งกว่าปลงตกคือมันรู้ มันรู้ไปทุกอย่างจนไม่ไปเที่ยวจับอะไร ไอ้ปลงตกเนี่ยต้องระวังให้ดีต้องปลงไปในทางที่ถูก ถ้าปลงไปในทางที่ไม่ถูกมันจะเป็นการทำแก้เก้อ มันจะเกิดจิตว่างแบบข้างๆคูๆขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว ปลงตกต้องหมายความว่าเข้าใจถูกต้องมาในทำนองอย่างนี้ แล้วก็ไม่ยินดียินร้ายไม่กลัวไม่เศร้าอะไรอีกต่อไปนี่เรียกว่าปลงตกคืดการทำให้จิตว่างวิธีหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมด มีปัญหาอะไร คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๐๕.๒๒) มัน ๓ ๔ ขั้น ว่างอันธพาลก็มี ว่างถูกต้องก็มี ว่างถูกต้องก็ยังมีเป็นชั้นๆๆๆอย่างนั้น แล้วคนเราวุ่นด้วยเหตุที่ไม่เหมือนกัน เพราะในความว่างก็ไม่เหมือนกัน .....คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๐๕.๔๐) มันพูดยากไอ้ธรรมในชั้นลึกนั้นพูดให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ ธรรมในชั้นลึกจริงแล้วพูดด้วยปากไม่ได้ เนี่ยๆดีมากค่อย .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๐๖.๑๐) กันเถอะ จนเรียกได้ว่า ไอ้ธรรมที่เป็นธรรมชั้นลึกจริงๆแล้วเป็นธรรมที่พูดด้วยปากไม่ได้ ธรรมเช่นมรรค ผล นิพพาน หรืออย่างเนี่ยคนจะมาพูดด้วยปากให้คนอื่นเข้าใจนั้นไม่ได้ มันต้องหุบปากเสมอนี่ก็มีรูปหุบปากก็มี ถ้าถูกถามถึงธรรมว่าพุทธคืออะไรก็หุบปาก แต่ถ้าถามว่าจะหาทางเข้าใจได้ยังไงก็ให้ไปลองปฏิบัติอย่างนั้นๆ แล้วพุทธ ธรรม ก็จะปรากฏขึ้นมาแก่เรา ขอยกตัวอย่างง่ายๆเหมือนอย่างว่าน้ำตาลที่เรามีอยู่ทุกคนเนี่ยเคยกินมาทุกคนน้ำตาลหวาน นี้ความหวานเป็นอย่างไร ให้ช่วยบอกทีเนี่ยทั้งๆที่เราเคยกินน้ำตาลมาแล้วเราก็ยังพูดไม่ได้ ยังอธิบายความหวานให้คนที่ไม่เคยกินน้ำตาลฟังไม่ได้ต้องบอกว่าไปซื้อน้ำตาลมากินดูเอ้าก็คือหวานอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้ธรรมชั้นที่แท้จริงก็เป็นอย่างนี้ เค้าจึงให้คำจำกัดความว่าไอ้ธรรมที่เอามาพูดได้ยังไม่ใช่ธรรม ธรรมที่เอามาพูดได้ยังไม่ใช่ธรรม เลาจื้อก็ว่าอย่างนี้ เต๋าที่ยังเอามาพูดบอกกันได้นี่ยังไม่ใช่เต๋า ถ้าในพุทธเราก็บอกว่าธรรมที่เอามาพูดได้ยังไม่ใช่ตัวธรรมที่ถึงที่สุด มันไปเป็นไอ้ธรรมขั้นต่ำหรือวิธีให้เข้าถึงธรรม คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๐๗.๔๐) เอ้าจะได้ยังไงเคยกินน้ำตาลทั้ง๒คนน่ะ คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๐๘.๐๐) อ๋อนั้นป็นกรณีพิเศษถ้าลิ้นของเขามีโรคหรือว่าร่างกายของเขาผิดปรกติ ถ้ามีสภาพปรกติล่ะก็น้ำตาลห่อเดียวกันมันก็ต้องบอกอะไรเหมือนๆกัน คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๐๘.๑๙) ก็มันไม่มีทางจะผิดกันได้เพราะคนหนึ่งเข้าใจผิดคนหนึ่งเข้าใจถูก คนหนึ่งเข้าใจถูกมาก คนหนึ่งมากเข้าใจถูกน้อยอย่างนี้เป็นต้นเพราะฉนั้นไอ้สิ่งที่เขาพูดถึงนั้นไม่เหมือนกันแล้ว ไม่เฉพาะไอ้เรื่องความว่างเรื่องอื่นก็เหมือนกัน เรื่องพุทธเรื่องธรรมอะไรก็ตาม มันไม่เท่ากันไม่เหมือนกันสำหรับคนที่มีจิตไม่เหมือนกัน ว่างมากว่างน้อยว่างจริงว่างไม่จริงอะไรก็ตามแบบมาตรฐานที่มีอยู่เป็นชั้นๆ นั้นคนปุถุชนมีจิตว่างเป็นครั้งคราวและว่างเองตามธรรมชาติไม่ได้ว่างแท้จริงตลอดกาลเหมือนอย่างพระอรหันต์ พระอรหันต์มีอะไรเป็นเรื่องพิเศษที่ว่าได้ปฏิบัติมาแล้วทำให้จิตไม่อาจจะเกิดกิเลสได้อีกตลอดกาล ส่วนเรานี่กิเลสไม่รบกวนเป็นคราวๆ ถ้ากิเลสรบกวนตลอด ๒๔ ชั่วโมงเรานอนไม่หลับ แล้วเป็นโรคเส้นประสาทเป็นบ้าแล้วก็ตาย แต่พระอรหันต์นั้นไม่มีกิเลสรบกวนตลอดเวลา เพราะงั้นท่านจึงอยู่ในสภาพดีกว่าเรา สูงกว่าเรา สบายกว่าเรา เหนือกว่า และเป็นความว่างที่เด็ดขาดตามแบบที่๓ ว่างเพราะทำให้เห็นแจ้งในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด มีอะไรก็ถามได้ยังมีเวลาอยู่บ้าง มีอะไรอีกก็ถามได้ไม่ต้องเกรงใจ คำถาม.....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๐.๑๐) นี้ก็เป็นปัญหาที่มีถามอยู่บ่อยๆเหมือนกันว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนพันกว่าปีมาแล้วสำหรับคนสมัยนั้นเวลานั้นที่นั่นเดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนแปลงมาก แล้วธรรมนั้นจะเอามาใช้กับโลกสมัยนี้ได้อย่างไง เนี่ยใครจะมีความเห็นว่ายังไง ถ้าพูดโดยเอาหลักเข้ายัน ยืนยันโดยหลักเค้าก็มีพูดอยู่แล้วว่าธรรมแท้นั้นเป็นอกาลิโก ธรรมแท้เป็นอกาลิโกไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ มันไม่เนื่องกับเวลาไม่เนื่องกับสถานที่ ฉนั้นเวลาจะล่วงไปเท่าไหร่ก็ล่วงไปเถอะ ไอ้ธรรมนั้นยังเป็นธรรมที่ใช้ได้ มันต้องดูให้รู้ว่า ไอ้เวลาที่เปลี่ยนแปลงนั้นล่วงมานั้นอะไรมันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงโดยปลีกย่อยหรือว่าเปลี่ยนแปลงโดยหลักการส่วนใหญ่ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกมากเหมือนกันน่าคิดมาก เมื่ออย่างสมัยพุทธกาลผู้หญิงเป็นผู้หญิง ผู้ชายเป็นผู้ชาย พอมาถึงสมัยนี้ผู้หญิงจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงจะทำอย่างผู้ชายหรืออยากจะทิ้งหน้าที่ผู้หญิงอย่างนี้ มีปัญหาทางศาสนาเกิดขึ้นคือจะไม่มีใครทำหน้าที่ผู้หญิง แต่แล้วมันก็คงฝืนไปไม่ได้เท่าไหร่ เพราะว่าธรรมชาติมันมีอยู่ ผู้หญิงยังคงเป็นผู้หญิง ผู้หญิงต้องคลอดบุตรอะไรทำนองนี้ แล้วจะถามง่ายๆว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่น่ะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงฟังดูให้ดี หรือความอยากความต้องการที่เป็นกิเลสในใจของคนสมัยนี้กับของคนสมัยพุทธกาลนั้นต่างกันมั้ย ความโลภหรือความโกรธก็ตามของคนสมัยนี้หรือของคนสมัยพุทธกาลสองพันกว่าปี หรือห้าพันปีก็ได้ต่างกันมั้ย กิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์น่ะมันต่างกันมั้ยลองคิดดู จริงอ่ะไอ้มูลเหตุที่ทำให้เกิดกิเลสอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือต่างกันได้ แต่เมื่อกิเลสเกิดขึ้นเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงน่ะเหมือนกันเลย ไอ้ความโลภที่เกิดเมื่อหลายพันปีมาแล้วกับความโลภที่เกิดของมนุษย์สมัยนี้ก็คือความโลภอย่างเดียวกัน เพราะงั้นต้องการสิ่งที่จะแก้ไขอันเดียวกันกับเมื่อหลายพันปีมาแล้วความโลภ ความโกรธ ความหลง ความทุกข์ อะไรก็ตาม หรือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็ได้ หลายพันปีมาแล้วเป็นอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าเดี๋ยวนี้เราจะขี่รถยนต์เราจะขี่เรือบินเราจะมีห้องเย็นมีอะไรเหล่านี้ก็เถอะนั้นมันส่วนปลีกย่อยต่างหาก ส่วนในจิตใจของมนุษย์ที่ได้ปรุงบนความโลภ ความโกรธ ความหลงก็ยังเหมือนเดิมและความทุกข์ก็ยังเหมือนเดิม ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความอโศกะ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๔.๑๕) อะไรก็ยังเหมือนเดิม ดูไอ้ร้องไห้ไม่เคยต่างกันเลย การร้องไห้หรือเสียงร้องไห้ของคนเมื่อหลายพันปีมาแล้วก็ยังเหมือนอย่างนี้ ของเจ็กของจีนของฝรั่งแทบจะฟังไม่ออกว่าใครร้องไห้ เนี่ยโดยธรรมชาติแท้ๆมันเหมือนกันอย่างนี้ ฉนั้นไอ้ธรรมที่แก้ความทุกข์ส่วนนี้ยังคงเดิมยังอันเดียวกันอยู่ แม้มนุษย์สมัยนี้จะเปลี่ยนไปมากโดยความเป็นอยู่อะไรก็ตาม แล้วเรื่องจิตว่างนี้กำจัดกิเลสที่ทำให้จิตวุ่นเพื่อให้จิตเป็นอิสระแล้วทำอะไรให้ถูกต้องและไม่เห็นแก่ตัว เรื่องจิตว่างนี่มุ่งหมายส่วนใหญ่คือจะทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้ามีตัวไม่ว่าง มีตัวคือไม่ว่าง ฟังง่ายๆเหลือเกิน ถ้ามีตัวจะว่างยังไงล่ะเพราะมีตัวอยู่มันก็ไม่ว่าง ถ้าไม่มีตัวนั่นน่ะคือว่าง ถ้ามีตัวมันเห็นแก่ตัวแม้จะรักตัวยังไงน่ะมันเป็นความเห็นแก่ตัว เผลอเข้าเป็นการเห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่น ที่นี่เราไม่มีตัวมีความว่างจึงอยู่เหนือความมีตัวเนี่ยจะควบคุมความมีตัวแล้วจะช่วยผู้อื่นที่ต่ำกว่า ถ้ายังเชื่อว่าคนยังเหมือนกันอยู่ครั้งพุทธกาลมันก็เข้าใจได้ง่ายเพราะว่าพระพุทธเจ้าทำงานมากกว่าใครๆในโลกไปศึกษาอ่านดูให้รู้เรื่องส่วนตัวของพระพุทธเจ้าจะพบว่า ท่านทำงานมากกว่าใครๆทำประโยชน์ให้สังคมหมดเลย พระพุทธเจ้าอยู่ในแบบ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๖.๐๔) คือไม่มีเรื่องส่วนตัว มีแต่เรื่องที่จะทำเพื่อผู้อื่นและพระพุทธเจ้าท่านก็ทำงานตลอดเวลายิ่งกว่าใครๆ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๖.๑๕) พระอรหันต์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าคนอื่นยิ่งกว่าคนธรรมดาเพราะคนธรรมดาเขาเห็นแก่ตัว เขาก็ทำเพื่อตัว นี่ท่านก็ทำเพื่อผู้อื่นด้วย ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วจะชวนให้หยุดหนีไปนอนเสียไม่ทำประโชน์อะไร ประโยชน์ที่ควรทำทุกอย่างทำตามหน้าที่ ด้วยความไม่รู้สึกอะไร นอกจากว่ารู้สึกบริสุทธ์ได้ทำงานเพื่องานอย่างนั้น ถ้าจิตวุ่นก็ทำงานเพื่อตัวเอง เพื่อเงิน เพื่อเกีรยติ ถ้าจิตว่างก็ทำงานเพื่องาน ลองไปศึกษาเรื่องทำงานเพื่องานแล้วก็จะเข้าใจเรื่องจิตว่างได้มากขึ้นกว่าเดิม จิตวุ่นก็ทำงานเพื่อเงินเพื่อตัว จิตว่างทำงานเพื่องานเป็นหลักจริยธรรมสากล ทำงานเพื่องาน คือทางสากลไปรวบรวมดูในหนังสือเรื่องจริยธรรม Morality Ethic ต่างๆทั้งหมดแล้วก็จะพบความมุ่งหมายอันเนี่ยสำคัญมากที่สุด Duty for Duty .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๗.๓๔) ทำงานเพื่อประโยชน์แก่งาน นั่นน่ะคือทำด้วยจิตว่าง นักจริยธรรมสากลลงมติเหมือนกันทุกชาติ ทุกประเทศ ทุกศาสนาว่า Duty for Duty .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๗.๔๐) เนี่ยเป็นคำมั่น .... .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๗.๔๒) ของจริยธรรมของมนุษย์ ถ้าเขาขยายออกไปอีกเขาขยายออกเป็นตั้ง๔อย่างน่ะเช่นว่า Perfection ความเต็มของความเป็นมนุษย์นี่ Perfection ความเต็มของความเป็นมนุษย์แล้วก็ Happiness มีความสุขที่แท้จริง แล้วก็ Duty for Duty ...ทำงานเพื่อประโยชน์แก่งานนั้น ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่เนี่ย แล้วก็ Universal Love ความรักที่ไม่มีตัวฉัน ความรักที่เป็น Universal ๔อย่างนี้เป็น .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๑๘.๒๓) ทางศลีธรรมตามหลักจริยธรรมสากลที่ตกลงกันในพวกนักจริยธรรมของโลกทั้งหมด ถ้าคุณไปศึกษาเรื่อง Duty for Duty ...จะเข้าใจเรื่องจิตว่างเพราะมันทำไม่ได้ ถ้ามีตัวกูแล้วทำงานเพื่องานไม่ได้ ต้องทำงานเพื่อเงินหรือเพื่ออะไรเสมอไป แล้วที่ว่าจิตว่างแล้วจะไม่รับผิดชอบอะไรเสียเลยนั้นเป็นไปไม่ได้มันอยู่เหนือทั้งหมดเลย แล้วมันต้องการจะช่วยผู้อื่นเต็มที่ ต้องการจะทำงานเพื่องานไม่ใช่ทำงานชุ่ยๆนั่นมันเสียๆไปได้ มันรับผิดชอบเต็มที่ อาตมาก็ยอมรับว่าเข้าใจยากเรื่องนี้แต่ไม่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจ มีความมุ่งหมายอย่างที่จะไม่ให้เป็นทุกข์ให้งานไม่เป็นทุกข์ให้งานสนุก ทำงานเพื่องานเนี่ยพอได้ทำมันสบายใจแล้ว ถ้าทำงานเพื่อเงินยังไม่ได้เงินยังไม่สบายใจ ได้เงินก็ยังไม่พออีกยังร้อนอยู่อีก มันยังหิวอยู่อีก เนี่ยถ้าทำงานเพื่อเงินเป็นอย่างนั้น ถ้าทำงานเพื่องานพอลงมือทำนั้นสบายใจแล้วเพราะมันได้ทำงานเพราะต้องการทำงานและทำเพื่องานพอลงมือทำงานก็สนุกทันที เหมือนกับเราเล่นกีฬาเพื่ออกกำลังอย่างนี้พอเริ่มเล่นกีฬาเราก็สบายทันที แต่ถ้าเราเล่นกีฬาเพื่อเอาชนะถ้ามันยังไม่ชนะมันก็ไม่สบายได้ ถ้าไปแพ้แล้วยิ่งแล้วใหญ่ต่างกันอย่างนี้ มีอะไรที่ยังไม่เข้าใจก็ถามไม่ต้องเกรงใจมันเป็นงาน มันเกิดเป็นงานที่จะต้องทำแล้วงานที่จะต้องถามงานที่จะตอบ พอเป็นงานก็ต้องทำเพราะงั้นมีอะไรก็ถาม คำถาม.....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๒๐.๔๐) เรื่องนี้ดีก็มากไอ้คำถามอย่างนี้ดีมาก ที่พระพุทธเจ้าว่าชีวิตเป็นทุกข์หรือความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์นี้คนไม่เข้าใจกระทั่ง นี้ลองฟังให้ดีชีวิตหรือความเกิดไม่ได้เป็นทุกข์ตามธรรมชาติ มันเป็นทุกข์ต่อเมื่อคนจิตไม่ว่างคือไปยึดถือไอ้ความเกิดก็ของฉัน ไปยึดถืออะไรว่าของฉันเข้าเมื่อนั้นแหล่ะความเกิดจะเป็นทุกข์ ถ้าไม่ได้ยึดถือว่าความเกิดของฉัน ความแก่ของฉันหรือชีวิตของฉัน ชีวิตนี้ไม่เป็นทุกข์เลย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็ไม่เป็นทุกข์เลย เราได้ยินเขาสวดมนต์ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์นั้นเราฟังไม่รู้หมด เขาหมายถึงความเกิดที่ยึดว่าของฉัน ความแก่ที่ยึดว่าของฉัน ความตายที่ยึดว่าของฉันจึงจะเป็นทุกข์ ถ้าความเกิด ความแก่ ความตายที่คนสละออกไปเสียได้แล้วเป็นของธรรมชาติแล้วไม่เป็นทุกข์ ความทุกข์อยู่ที่ยึดมั่นถือมั่นว่าของฉัน อย่างเงินหรือครอบครัว หรืออะไรก็ตามใจที่เขาถือกันว่าเป็นทุกข์นั้นเพราะว่าตามธรรมดามันยึดมั่น แต่ถ้าไม่ยึดมั่นแล้วก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ที่จะพูดว่าของรักเป็นทุกข์ต้องหมายความให้ชัดลงไปว่าเพราะไปยึดมั่นถือมั่น ถ้าไม่ไปยึดมั่นถือมั่นก็ไม่เป็นทุกข์ ความทุกข์มันต้องมีเพราะยึดมั่นถือมั่น เราเขียนเป็นรูป๕คนหรือ๕สิ่งเสมอเช่นรูปนั้นน่ะ โจร๕คนไล่ฆ่าคนน่ะคือความทุกข์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ยึดมั่น๕ประการเป็นความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านพูดว่าความเกิดเป็นทุกข์ ท่านหมายถึงว่าความเกิดที่ยึดมั่นว่าของเรา ของผู้นั้นจึงจะเป็นทุกข์ ฉนั้นโดยที่แท้แล้วความเกิดไม่ควรพูดว่าเป็นทุกข์หรือเป็นสุขหรอก พูดได้ว่าถ้ายึดมั่นก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดมั่นก็เป็นสุขได้ไม่เป็นทุกข์ ชีวิตก็เหมือนกันถ้ายึดมั่นเมื่อไหร่เป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดมั่นมันก็เบาสบาย ไม่แบก ไม่มีการแบก ไม่มีการผูกมัด มันไม่เป็นทุกข์ ชีวิตที่เป็นทุกข์ไปดูให้ดีมันมีอะไรตั้ง๕อย่างเหล่านั้นเข้าไปผูกพัน ผูกมัด ยึดมั่น ถือมั่น นี้ถ้าชีวิตเนี่ยไม่มีการยึดมั่น ถือมั่น เป็นชีวิตที่มีการศึกษาธรรมเพียงพอมันก็ไม่เป็นทุกข์เลย ชีวิตเหมือนกันมันเป็นคนเหมือนกัน อยู่ในนี้ๆเหมือนกันแต่ในใจไม่มีความยึดมั่น ถือมั่น ๕ ประการเลยไม่เป็นทุกข์ ทีนี้มันพูดคล้ายๆมันพูดเป็นคำสำหรับคนธรรมดาสามัญไปหมดว่าชีวิตเป็นทุกข์ เพราะสิ่งที่เรียกว่าชีวิตเป็นที่ยึดมั่นถือมั่นของคนตามธรรมดา พระอริยเจ้าท่านไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ฉนั้นประโยคนี้ใช้กับพระอริยเจ้าไม่ได้ จะใช้ว่าชีวิตเป็นทุกข์ไม่ได้ ใช้ได้เป็นหลักกลางๆทั่วไปสำหรับคนธรรมดา แต่พระอริยเจ้าหรือพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องพูดว่าชีวิตเป็นทุกข์เพราะท่านพูดในโวหารของคนธรรมดา เพราะสอนคนธรรมดาบอกคนธรรมดาสังเกตุดูว่าชีวิตตามปรกตินั้นเป็นทุกข์เพราะเต็มอยู่ในความยึดมั้นถือมั่นว่าของฉันว่าตัวฉัน แต่ถ้าชีวิตแท้ๆไม่เกี่ยวกับความยึดมั่นเอาความยึดมั่นออกเสียได้นั้นไม่ทุกข์เช่นชีวิตของพระอรหันต์นั้นไม่เป็นทุกข์อยู่เหนือความทุกข์ จิตใจอยู่เหนือความทุกข์ ไม่มีความทุกข์เบียดเบียนจะเรียกว่าสุขอย่างยิ่งก็ได้หรือไม่เรียกอะไรเลยก็ได้ ถ้าพูดโดยสมมุติก็เรียกว่าสุขอย่างยิ่ง ถ้าพูดให้ถูกและผิดก็ไม่เป็นอะไรเลยอยู่เหนือสุขและเหนือทุกข์ คำถาม.....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๒๕.๑๐) ถ้าเขายึดมั่นว่าเป็นสุขเพราะความหลงมันก็ได้เหมือนกันแหล่ะ มันเป็นสุขอย่างหรอกๆ เป็นสุขอย่างหรอกๆไปในช่วงเวลาที่เขาหลง เขาหลงยึดมั่นไอ้ยึดมั่นยึดให้เป็นอะไรก็ได้ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นในความรู้สึกอย่างนั้นชั่วขณะหนึ่งแล้วเป็นเรื่องไม่จริง เพราะถ้าเราไม่ต้องการความทุกข์แล้วเราอย่ายึดมั่นดีกว่า เหมือนกับถ้าเราไม่ต้องการความหนักเราอย่าเอาอะไรมาแบกไว้มาทูนไว้ ถ้าเราไม่ต้องการความหนักเราอย่าเอาอะไรมาแบกไว้ทูนไว้ ถ้าเราไม่ต้องการความร้อนเราอย่าเอาไฟมารน มันมีลักษณะอย่างนี้คือเราอย่าไปคิดเอาเองอย่างนี้เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องน่าหัว จะไปคิดว่าฉันจะบังคับให้รู้สึกอย่างนี้ฉันจะบังคับให้รู้สึกอย่างโน้น เดี๋ยวจะมาจิตว่างแบบอันธพาลมา จะบังคับเอาอย่างนั้นจะบังคับเอาอย่างนี้ซึ่งเป็นการหรอกตัวเอง คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๒๖.๓๐)ไม่ก่อให้เกิดความเบื่อ คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๒๖.๕๐) นั่นน่ะมีความเบื่อต่ออะไร ยังไม่เคยมีความว่าง ยังไม่เคยรู้จักความว่าง แล้วเบื่อความว่างยังไง ไหนลองเล่าไปซิ ยังไม่เคยมีความว่าง ยังไม่เคยรู้รสของความว่าง ไม่เคยชิมความว่างแล้วเบื่อความว่างยังไง นั่นแหล่ะว่างตามภาษาธรรมดา ว่างไม่ทำอะไร ว่างไม่ ไม่ใช่ว่างตามแบบพระพุทธเจ้าน่ะ ซึ่งเป็นจิตที่กำลังเป็นตัวมันเองตามธรรมชาติเดิมแท้ของจิตมีความเป็นอิสระ มีความแจ่มใสสดใส มีสติปัญญาตามธรรมชาติของจิต จิตที่ไม่ถูกอะไรทำมัน ไม่ถูกอะไรครอบงำมัน นี้มันอยู่ที่คำว่าว่างแล้ว อยู่ที่คำว่าว่างแล้วใช้ความหมายต่างกัน ไอ้ความว่างนั่นถ้านึกโดยที่แท้แล้วมันก็ควรจะดึงดูด คุณชอบว่างหรือชอบวุ่น ถามอย่างนี้ ชอบว่างหรือชอบวุ่น คำถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๒๘.๓๐) คือมันเป็นสุขเป็นทุกข์ใช่มั๊ย เนี่ยเป็นเรื่องรู้สึกตามธรรมดาที่สุดว่าต้องการให้มีอะไรเข้าไว้ เขาเรียกว่าเป็นความรู้สึกสัญชาตญาณทั่วๆไปคือต้องการจะมีอะไรเขาไว้เพราะกลัวจะว้าเหว่ กลัวจะไม่มีอะไร แต่ว่าความว่างนี้ไม่ใช่ไม่มีอะไร ไอ้ความว่างนี่คือมีทั้งหมดล่ะ ถ้าเรามีจิตเป็นอิสระเหนือ..(ฟังไม่ชัด) ๑.๒๙.๑๕ ทุกอย่างจะเป็นของเรา จะอยู่ในอำนาจเรา เนี่ยจะฟังไม่ถูกมันจะสูงเกินไป จิตที่ชนะตัวเองแล้วจิตที่ชนะกิเลสแล้วชนะตัวเองแล้วนั้นน่ะครอบครองทุกอย่างเลย จะว่าไม่มีอะไรไม่ได้คือมีหมดเลย กลายเป็นได้หมด นี่ขอให้ทราบไว้อีกทีหนึ่งว่าภาษาที่ใช้เนี่ยมันเป็นอย่างนี้ มันทำให้รู้ธรรมยากเพราะภาษาที่ใช้ ภาษาธรรมที่แท้ที่ชั้นสูงขึ้นไป พุทธก็ดี เล่าจื้อก็ดี เต๋าก็ดี มันมีภาษาพิเศษของมัน ไม่เอาน่ะได้หมด เมื่อเราไม่เอาอะไรเลยนั้นน่ะ เมื่อเราไม่อยากเอาอะไรเลยนั่นน่ะคือได้หมด ฟังถูกมั๊ย จิตชนิดไหนที่ว่ามีอะไรหมดหรือได้หมด มันเหนือทุกอย่างเลย เมื่อจิตอยู่สูงจนไม่เห็นอะไรมีสาระก็แปลว่าไอ้ทุกอย่างนั้นมันอยู่ในอำนาจเราหมด แม้ว่าเราจะไม่ไปกินไปใช้ไปแตะต้องมันน่ะ มันเป็นสิ่งที่อยู่ในอำนาจเราภายใต้เรา ในอำนาจเราทั้งหมด ถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๐.๓๐) ศาสนาพระศรีอารย์ ที่น่าสนใจน่ะเค้าเอาเรื่องวัตถุเข้ามาโฆษณาชวนเชื่อศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ๆต้องอย่างนี้หมด ต้องสอนเรื่องนี้หมด ถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๑.๐๐) ทีนี้พระศาสนาพระศรีอารย์มีโฆษณาชวนเชื่อว่า ถ้าได้เกิดในพระศาสนาพระศรีอารย์ในยุคนั้นน่ะมีความสบายมากเหมือนที่เราเคยได้ยิน ถ้าเป็นแบบโบราณก็ว่ามีอะไรให้ครบตามที่ต้องการ มีกัลปพฤกษ์ มีต้นไม้อยู่ประจำทั่วไปหมดต้องการอะไรก็ไปบอกต้นไม้จะได้ตามต้องการหรือว่าแม่น้ำข้างนี้ไหลลง แม่น้ำข้างนี้ไหลขึ้น นี้เป็นเรื่อง .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๑.๓๗) เห็นแต่พวกเรือแจวมากกว่า สะดวกจนว่าข้างนี้แม่น้ำไหลลง ข้างนี้แม่น้ำไหลขึ้น ทุกอย่างให้หมดให้ตามต้องการหมด ให้มนุษย์ได้ความสะดวกสบายความสุขเท่าที่คนสมัยนั้นจะนึกเห็น เขาเขียนไว้หมดเลยนี่เป็นส่วนพิเศษทางวัตถุในแผ่นดินสมัยพระศรีอารย์นั้น แต่ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พระศรีอารย์ก็ พระพุทธเจ้าองค์นั้นก็สอนอย่างนี้ สอน .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๒.๐๐) ทำจิตให้บริสุทธ์นี้ทั้งนั้นเลยไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนจะสอนอย่างอื่นได้คือสอนอริยสัตย์อย่างนี้ นั้นที่ว่าแผ่นดินในยุคพระศรีอารย์ ในศาสนาพระศรีอารย์ ฉนั้นคนจึงตั้งจิตอธิฐานกันว่าทำบุญเนี่ยขอให้ได้ไปเกิดในศาสนาพระศรีอารย์ที่บ้านเมืองเป็นอย่างนั้น นอนไม่ต้องปิดประตูเรือนไม่มีขโมยอย่างนี้เป็นต้น ถาม .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๑.๔๐) นี้ก็มีเหมือนกันมีปัญหามีส่วนที่เป็นปัญหาที่ควรจะมี ไอ้ความสงสารก็ไม่ใช่จิตว่าง ความสงสารผู้อื่นนั้นไม่ใช่จิตว่าง มันมีเราแล้วมีเขาแล้วสงสรแล้วเราก็ไม่ค่อยจะสนุกนักที่กำลังสงสารผู้อื่นอยู่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำงานด้วยความสงสารในลักษณะนั้นนะ ท่านทำงานด้วยความสงสารชนิดที่มีจิตว่างแต่ว่าลักษณะของความสงสารนั้นไม่ได้รบกวนจิตใจท่านหรอก ความเมตตาของท่านไม่เหมือนกับความเมตตาของคนธรรมดา ความเมตตาของพระอรหันต์ไม่เหมือนความเมตตาของคนธรรมดา ไม่ใช่ว่ามีตัวเราแล้วมีตัวคนอื่นแล้วเรารักเขาอย่างคนธรรมดารู้สึกน่ะอย่างนี้ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่เหนือไปกว่านั้น แล้วเราก็บอกแล้วว่าในจิตว่างนั้นมีสติปัญญาสมบูรณ์ถึงที่สุด ฉนั้นสติปัญญาเป็นตัวบอกว่าหน้าที่ควรทำอย่างไร หน้าที่ของพระพุทธเจ้า หน้าที่ของผู้หลุดพ้นแล้วควรจะต้องทำอย่างไร นั้นก็คือช่วยผู้อื่น นี้ว่าถ้าทำไปอย่างนี้ก็เรียกว่าเพราะตัวตนที่สงสารหรืออะไรเหมือนเรานึกหรอก ไม่ใช่เพราะแม่รักลูกแล้วก็ทุกข์แล้วก็สงสารแล้วก็ช่วยอย่างนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้สึกของพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในรูปนี้ ทำไปเพราะหน้าที่ หน้าที่รู้สึกเพราะปัญญา แต่ก็มีพูดเหมือนกันว่า Momentum ของความเมตตา กรุณา สงสารที่พระพุทธเจ้าเคยทำไปกาลก่อนนั้นเหลืออยู่ แรงเหวี่ยงของ Momentum ยังเหลืออยู่นี้ แม้ท่านจะไม่นึกอะไรอื่น ไอ้แรงนี้ก็ยังมีอยู่ ทำให้ท่านทนอยู่ไม่ได้ต้องลุกขึ้นทำช่วยผู้อื่น แต่นี้ ไม่เรียกว่าเจตนา เราถือว่า Momentum ไม่ใช่เจตนาทำไปด้วยความเคยชินหรืออำนาจอะไรทำนองเดียวกันนั้น ไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่ตัวฉันมันเป็นความว่างเหมือนกัน ถาม.....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๕.๒๕) คำว่าหน้าที่ๆ เมื่อมันเกิดขึ้นหน้าที่เป็นอย่างไร จิตที่เป็นจิตแท้ที่เป็นอิสระเป็นจิตว่างด้วยตัวมันเอง จิตที่ไม่เป็นทาสของอะไรคือจิตที่เป็นนายเป็นอิสระ เป็นว่างๆไม่มีอะไรครอบงำแทรกซ้อนจิตนี้รู้หน้าที่ ฉนั้นหน้าที่มีอยู่ตลอดเวลา เวลาไหนควรทำหน้าที่อะไร ถึงแม้จะเห็นอยู่ว่าไอ้น้ำท่วมก็ธรรมชาติ น้ำไม่ท่วมก็ธรรมชาติ คนมีกินก็ธรรมชาติ คนไม่มีกินก็ธรรมชาติ ไอ้หน้าที่มันก็มีอยู่นั้นแหล่ะ เราควรทำอย่างไรเมื่อคนมีกินหรือเมื่อคนไม่มีกิน ควรทำอย่างไรทำอย่างนี้เสมอ แต่ก็ไม่ได้เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ทำนะ เนี่ยมันทำไม่ได้หรือไม่ได้ทำก็ไม่เป็นทุกข์หรอก ไม่เหมือนแม่รักลูกมากแล้วไม่ได้ช่วยอย่างนี้ นี้มันไม่ว่างเนี่ยเป็นเรื่องศลีธรรมไม่ใช่เรื่องสูงสุดทำนองนี้ เรื่องสูงสุดทำนองนี้มีอะไรไกลไปอีกต้องพยายามติดตาม ศึกษาเรื่องนี้ให้รู้ว่าคำว่าว่างนี้มันหมายความอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็มีคนเข้าใจผิดเอาไปเขียนด่าอาตมาบ้าง ล้อบ้าง อะไรก็มี เรื่องความว่างนี้เพราะเข้าใจผิดคำว่าว่าง เอาความว่างแบบอันธพาลมาปนความว่างแบบพระพุทธเจ้านี้อย่างนี้เป็นต้น เนี่ยเรากำลังพูดเรื่องความว่างแบบพระพุทธเจ้าอยู่ เอามาตรฐานความว่างแบบอันธพาลไปพูดอย่างนี้มันก็คนละเรื่อง เพราะงั้นขอร้องให้พวกเราที่จะเป็นชุมนุมพุทธศาตร์เนี่ยเข้าใจหัวใจของพระพุทธศาสนาใช้คำว่าอย่างนี้นะมันเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องถ้าผิดแล้วก็ได้เป็นไอ้แบบนี้อ่ะ แบบไอ้ .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๗.๔๖) ศาสดาคู่แข่งขันของพระพุทธเจ้าในยุคเดียวกันว่างแล้วไม่ทำอะไร ว่างแล้วไม่มีอะไรเออ..ว่างแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องรับผิดชอบ ฆ่าคนก็ไม่มีบาป ทำบุญก็ไม่มีบุญอย่างนี้มันว่างแบบนี้ เพราะมันไม่ได้ว่างจริง เพราะมันตั้งลัทธิเอาเอง สร้างลัทธิขึ้นมาไม่ใช่ว่างจริง โดยการทำให้ถูกต้องรู้เรื่องอย่างนี้ให้ถูกต้องแล้วมันว่างจริงว่างเอง ขอให้ทราบไว้ว่าลัทธิที่สอนเรื่องความว่างในครั้งพระพุทธกาลนั้นมีตั้งยี่สิบสามสิบลัทธิ เรียกว่าสอนลัทธิว่างกันหมด ทีนี้ถ้าเขาแบ่งโดยหลักนี้เขาก็แบ่งพระศาสนาทั้งหมดในโลกนี้สมมติว่า ๓๐๐ ศาสนานี้ ก็แบ่งได้สองอย่างเท่านั้น ศาสนาไหนสอนว่าว่าง ศาสนาไหนสอนว่าไม่ว่าง มีเท่านั้นเอง ก็มีศาสนาที่สอนว่างตั้งครึ่งหนึ่งอย่างนี้เช่นพุทธศาสนา เช่นศาสนาอื่นๆ รวมกระทั่งศาสนาไอ้มิจฉาทิฐินี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องสอนเรื่องว่างทั้งนั้น แต่มันเป็นเรื่องว่างคนละอย่างเลย เพราะอย่างนี้ยังอาจแบ่งเป็นอย่างอื่นได้อีก แบ่งว่าศาสนานี้สอนเรื่องว่าง สอนว่าว่าง พวกนี้สอนว่าไม่ว่างก็มี เป็นสุญญะ สุญวาส กับ อสุญวาส ( นาที ๑.๓๗.๑๐) พุทธศาสนาก็เป็นพวกสุญวาส แล้วไอ้นี่ก็เป็นสุญวาส แล้วยังมีอย่างอื่นอีกที่เป็นสุญวาส .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๓๙.๒๐) ว่างตามแบบของพุทธศาสนาหรือแบบของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่างแบบอันธพาลที่สร้างลัทธิเอาเอง เป็นเพียงลัทธิที่ผูกขึ้นหรือตั้งขึ้น อย่าเชื่อหนังสือ หรืออย่าเชื่อคำพูด หรือฝากไว้กับคำพูด คำแนะของผู้อื่นนัก เอาตามวิธีที่พูดกันแล้วบนภูเขาตั้งปรากฏแก่ใจว่าจิตกำลังเป็นอะไรจริงๆ เป็นสุขเพราะอะไร เพราะไม่มีอะไรผูกมัดเพราะไม่มีอะไรครอบงำนั่นน่ะคือยังไง แล้วก็ไต่ไปตามแนวนี้ออกไปหาไอ้ตามความหมายที่ลึกที่ว่ามันว่างจริงแล้วมันไม่มีทุกข์อย่างไร เฉลียวฉลาดอย่างไง ความสุขมันไม่ใช่คำว่าความสุขเนี่ยมันมี ๒, ๓ ความหมาย ความสุขที่ร้อนก็มี ทำให้นอนไม่หลับก็มีที่เรียกว่าความสุขน่ะ หรือทำให้มือสั่นก็มี อย่างนี้มันคนละคำ ที่ว่าความสุขที่เกิดมาจากความว่างเนี่ยมันปรกติ ยิ่งกว่าปรกติ เพราะฉนั้นมันมีอยู่หลายชั้น แต่ว่าเราก็มักจะสนใจไอ้ชั้น ที่ต่ำกว่าเสมอ ในไอ้สิ่งที่เป็นยั่วยวนที่สุดมีคำอีกกี่คำลองนึกมาดูอ่ะ เช่นความเพลิดเพลิน หรือความขบขัน ความเพลิดเพลิน ความพอใจ กระทั่งความสุข กระทั่งความสงบอย่างนี้ก็มีหลายระดับหลายคำล้วนแต่ถูก .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๔๑.๓๘) ความสุขหมดบางคนเอาขนาดไอ้คำว่า pressure เป็นความสุขไปก็มีหนักไปกว่านั้นไปเอา amusement เป็นความสุขไปก็มี มันก็ไม่ได้ กระนั้นแม้แต่คำว่า Happiness จริงๆก็ยังไม่ใช่ความสุขที่เราต้องการเราต้องการสูงขึ้นไปถึง peacefulness blissfulness อะไรอย่างนี้ไม่ใช่เพียง Happiness ธรรมดาอะไรอย่างนี้ นี้มันก็เหมือนกันเนี่ยความสุขที่จะได้มาจากธรรมชั้นนี้น่ะมันไม่มีในความหมายของคำที่พูดอยู่ตามธรรมดา อีกห้านาทีแล้วจะให้ดูภาพมีอะไรอีกลองถามมาให้หมดอีก๕นาที .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๔๒.๐๐) อย่างนี้ก็มีปัญหาอีกอ่ะเกี่ยวกับคำพูด อยู่ในวิสัยที่จะพึงถึงได้ อะไรอยู่ในวิสัยที่จะพึงถึงได้ ถ้าเราเอาคนอ่อนแอเป็นหลักมันก็ลดลงไปมากเหลือเกิน อะไรอยู่ในวิสัยที่จะพึงถึงได้ จะต้องเอาคนปรกติเป็นหลัก เอาคนเข้มแข็งเกินไปเป็นหลักก็คงไม่ไหว ไม่มีใครตามได้เอาคนอ่อนแอเป็นหลักไม่ไหวมันคงเสียหมด มันต้องเป็นระดับธรรมดา สำหรับคำสอนในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในวิสัยที่คนธรรมดาแม้สมัยนี้จะเข้าใจได้และปฏิบัติได้ แต่ว่าที่เป็นไปไม่ได้นั้นก็ไปทำผิดกันเสียเอง เพราะเค้าสอนกันผิดเสียเองเนี่ย เค้าสอนกันบิดๆเสียเอง นี้อีกอย่างหนึ่งด้วย แล้วเพราะว่าสมัยนี้ไม่มีความดึงดดูดให้หันหลังให้สิ่งเหล่านี้มากขึ้นเกินไปด้วยคนเราก็เลยถูกดึงให้สนใจเรื่องวัตถุเนื้อหนังมากไปกว่าที่จะทนศึกษาสิ่งซึ่งแม้อยู่ในวิสัยที่จะเข้าใจได้นั้น ก็ลองคิดดูอ่ะเราไปเอาที่มันไม่ต้องทนไม่ดีกว่าหรือ ไปเอาสิ่งที่ไม่ลำบากยุ่งยากและสนุกสนานไม่ดีกว่าที่จะมาทำสิ่งที่ยังจะต้องปลุกปล้ำ เนี่ยพุทธศาสนาอยู่ในสภาพอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มองดูทางหนึ่งก็น่าจะยินดีคือพวกฝรั่งจำนวนหนึ่งก็สนใจและเข้าใจมากขึ้นๆ ทั้งที่ฝรั่งแทบทั้งหมดมีความเจริญแผนใหม่ไปในทางหันหลังให้พุทธศาสนาให้คริสต์ศาสนาเพราะว่าไม่ต้องทิ้งหลักการเดิม คงรักษาหลักการเดิมเอาไว้ให้เป็นที่สนองความต้องการอยู่ตามเดิม แต่ส่าเราจะหาวิธีใหม่จะเรียกว่าโฆษณาชวนเชื่อหรืออะไรก็สุดแท้เป็น propaganda อย่างบริสุทธิ์นี่ ให้น่าสนใจให้คนหันมาสนใจแล้วรับเอาสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่พอจะปฏิบัติได้เนี่ยดีกว่า ดีกว่าที่จะจัดให้อีกระดับหนึ่งซึ่งลดลงไปอีกมันจะไม่เพียงพอแก่การที่จะทำให้มนุษย์มีธรรมอย่างเพียงพอได้ แล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่าทางอื่นเค้าก็คงจะแก้ไขกัน ลดกันไปตามพอใจจนศลีธรรมดูไม่ได้ก็ได้นี่อาตมากล้าพูดอย่างนี้เพราะคนในโลกในอนาคตเนี่ยคงจะแก้ไขศลีธรรมกันจนเรียกว่าไปอยู่ในสภาพที่แทบจะดูไม่ได้ก็ได้ เราไม่จำเป็นจะต้องแก้ไขเพราะเราไม่พูดเรื่องศลีธรรมในทำนองนั้นเราพูดแต่เรื่องว่าหัวใจจะเป็นทุกข์หรือจะไม่เป็นทุกข์อย่างไรก็แล้วกัน แล้วยิ่งในสมัยที่โลกนี้ที่มีอะไรที่จะทำให้เป็นทุกข์ได้มากแล้วก็ยิ่งจะต้องการธรรมอย่างนี้มากอย่างอื่นไม่ช่วยได้ ถ้างั้นเราจะต้องติดแห่ ติดร่างแห่ไปตามเขาขึ้นลงไปตามเขา บอบช้ำไปตามเขาแล้วก็เป็นตายในลักษณะไม่น่าดูเหมือนกับเขา มันมีอยู่ทางเดียวในปัญหาที่ถามเนี่ยคือปรับปรุงวิธีสอนให้เข้าใจง่ายจนปฏิบัติกันได้ปรับปรุงวิธีปฏิบัติให้ปฏิบัติกันง่ายขึ้นแต่จะเปลี่ยนหลักการนั้นเป็นไปไม่ได้ ถาม.....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๔๗.๐๐) บอกไม่ได้ บอกไม่ได้ว่ามีหรือไม่มี ไม่มีใครทราบได้แล้วเขายังมีหลักว่าใครไม่เป็นพระอรหันต์หรือเป็นพระอรหันต์น่ะคนนั้นต้องเป็นพระอรหันต์เสียก่อน คนนั้นต้องเป็นพระอรหันต์เสียก่อนจึงจะรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์ ฉนั้นเราก็ไม่มีทางที่จะรู้แต่โดยหลักก็คือผู้ที่ไม่มีความทุกข์เลยอีกต่อไปนั่นน่ะคือพระอรหันต์ ผู้ที่ไม่มีความทุกข์โดยแท้จริงเลยอีกต่อไปนั่นน่ะคือพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้จำกัดเวลาว่าเมื่อนั้นเมื่อนี้ ยุคนั้นยุคนี้ ท่านกลับพูดเสียว่าถ้ายังมีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่เพียงใดโลกนี้ก็ยังไม่ว่างจากพระอรหันต์อยู่เพียงนั้นท่านว่าอย่างนั้น เนี่ย๔โมงเราต้องออกไปกัน ต้องออกไปเตรียมตัวกันนี่มัน๓โมง๑๕นาที เราต้องออกจากนี่๕โมงตามที่ตกลงกัน ไปวัด...ไปดูอะไรไปทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาหน่อย เอาละทีนี้หยุดเรื่องนี้ก็จะพูดเรื่องรูปภาพเป็นมหรรสพทางวิญญาณยังไง นี่คงจะดูกันทั่วแล้วซิท่าแล้วเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เอารูปที่ง่ายที่สุดก่อนเช่นรูปนั้น แม่น้ำคดน้ำไม่คด ไอ้รูปนั้นดู .....(ฟังไม่ชัด นาที ๑.๔๙.๕๑) คดๆน่ะ มีหนังสือเขียนว่าแม่น้ำคดน้ำไม่คดถ้าเราเข้าใจก็ฉลาดขึ้นก็สนุกเหมือนกันว่าที่เราไม่เคยเข้าใจอย่างนี้หนังสือนั่นก็อธิบายอยู่พอสมควรแล้ว ความคดอยู่ที่ลำน้ำตัวน้ำไม่ได้คด หมายความว่าชั่วมันอยู่ที่กิเลสไม่ได้อยู่ที่จิต เราไปยกโทษว่าจิตชั่วจิตไม่ดีจิตอย่างนั้น ที่แท้ไม่ดีหรือชั่วมันอยู่ที่กิเลสไม่ได้อยู่ที่จิตเช่นเดียวกับความคดอยู่ที่ลำน้ำไม่ได้อยู่ที่น้ำ ทีนี้ภาษาพูดของเราว่าจิตชั่วจิตทราม นี้เราแยกออกซะได้แยกกิเลสออกจากจิตได้แยกความทรามออกจากจิตได้เป็นเหตุให้มีจิตที่ไม่ทราม แม่น้ำคดน้ำไม่คดหรือแม่น้ำเปลี่ยนน้ำไม่เปลี่ยน น้ำยังคงเป็นน้ำนี้เป็นของ