แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พร้อมแล้ว ครูบาอาจารย์และนักเรียนทั้งหลาย การพูดพร้อมกัน เพื่อฟังทั้งครูทั้งอาจารย์นั้น มันพูดยาก มันผิด มันผิดปรกติมาก เพราะเรื่องมันอยู่กันคนละระดับ แต่เมื่อต้องพูด มันก็พูดไปในตามที่จะพูดได้ ตามที่จะนึกได้ ฉะนั้นช่วยกันฟังให้ดี ๆ ทั้งครูและทั้งนักเรียน แม้กระทั่งบิดามารดาด้วยก็ได้ นักเรียนทั้งหลาย มักจะไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เท่าที่รู้มาแล้ว มันก็เกิดมาเพื่อกิน เพื่อเล่น เพื่อสนุก เพื่อเล่าเรียน ให้ได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจวาสนา มีเงินใช้เหลือเฟือ อย่างนี้กันเป็นส่วนใหญ่ ที่จริงก็ยังไม่ถูก ทีนี้ครู อาจารย์ทั้งหลาย ก็เป็นครูเพื่อได้รับเงินเดือน เป็นอาชีพ ครูก็เลยเป็นลูกจ้าง สอนหนังสือ อย่างนี้มันก็ไม่ถูก ตามอุดมคติของคำว่า ครู คำว่าครูนี้ มีอุดมคติเป็นผู้เปิดประตูในทางวิญญาณ ให้ยุวชนเด็กเล็ก ลูกศิษย์ทั้งหลายเดินถูกทาง พ้นจากปัญหา พ้นจากไอ้ความเสียหาย เพราะไม่รู้ว่าจะเดินอย่างไร ทีนี้เมื่อมาพูดพร้อมกัน ก็อยากจะให้เกี่ยวข้องกันเสียเลยว่า เด็ก ๆ นักเรียนเป็นผู้สร้างโลก และครูบาอาจารย์ก็เป็นผู้ช่วยให้เด็ก ๆ ในอนาคตสร้างโลกได้สำเร็จ นี่จะพูดถึงเด็ก ฝ่ายเด็กหรือฝ่ายศิษย์ เธอแม้จะมีสมองอันน้อย ก็คงจะพอคิดได้ว่า หรือมองเห็นได้ว่า โลกนี่มันประกอบไปด้วยคนทุกคนในโลก ถ้าคนทุกคนในโลกมันดี เป็นคนดี ไอ้โลกนี้มันก็ดี ถ้าคนในโลกมันไม่ดี โลกนี้มันก็เลว โลกจะดีหรือจะเลวก็ขึ้นอยู่กับคนในโลก ทีนี้คนในโลกก็คือเธอทั้งหลายในอนาคต เดี๋ยวนี้เรายังเป็นเด็ก ยังไม่ทำหน้าที่ของคนโลกโดยสมบูรณ์ มีคนที่เค้าโต ๆ ก่อนหน้าเรานั้น เขาทำไปก่อน แต่อย่างไรก็ดีในอนาคต ก็จะมาถึงรอบเวรของเรา ที่จะต้องรับผิดชอบในการที่โลกนี้มันจะเป็นอย่างไร สำหรับโลกปัจจุบันนี้กล่าวได้ว่า ไม่เป็นโลกที่น่าพอใจ ยังเป็นโลกที่มีส่วนเลวร้ายอยู่มาก ยังเต็มไปด้วยอาชญากรรม ตั้งแต่อาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นไปจนถึงอาชญากรรมระดับโลก อาชญากรรมน้อย ๆ ก็คือว่า ทุกหัวระแหงยังเต็มไปด้วยเหตุการณ์ร้ายของผู้ที่ไม่ประกอบตนไว้ในธรรมะ มีความคิดเห็นแก่ตัว ก็ทำประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่ต้องนึกถึงผู้อื่น ก็เลยเกิดอาชญากรรมเลวร้ายขึ้นมา นี่เห็นได้ว่ามันมีทั่วไปทุกหัวระแหง แล้วก็มีอาชญากรรมที่ใหญ่โตระหว่างหมู่ระหว่างคณะ ระหว่างประเทศชาติ ที่เรียกว่าสงคราม สงครามก็คืออาชญากรรมระดับชาติ เดี๋ยวนี้ตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย ก็มีสงครามเล็ก สงครามน้อย สงครามเปิดเผย สงครามไม่เปิดเผยอย่างนี้อยู่ทั่ว ๆ ไปทั้งโลก ที่รบกันโดยตรงก็มี ที่เป็นฝักฝ่ายที่ยังช่วยรบโดยอ้อมก็มี ที่มันผูกพันกันให้ต้องช่วยเหลือกัน ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ อย่างนี้มันก็มี เรียกว่ามันกระเทือนถึงกันทั้งโลก เดือดร้อนอยู่ด้วยสงคราม นี้เรียกว่าสภาพของโลกในปัจจุบันนี้อยู่ในลักษณะที่ไม่พึงปรารถนา ไม่พึงปรารถนา ขอให้สนใจ ทีนี้ถ้าว่าในอนาคตเด็ก ๆ ทั้งหลายมีความรู้ถูกต้อง ดำรงตนอยู่ในธรรมะที่ถูกต้อง ก็จะไม่สร้างอาชญากรรมหรือเหตุการณ์ที่เลวร้ายเช่นนั้น แต่อาจจะดำรงอยู่ในสันติภาพ คือความสงบสุข เมื่อปัจจุบันนี้ยังหวังไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ก็ขอให้ได้หวังในโอกาสข้างหน้า ในอนาคตว่ามันจะเป็นโลกที่มีความสงบสุข ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับพวกเธอทั้งหลายที่ยังเป็นเด็ก เตรียมตัวศึกษาเล่าเรียนให้ดี จนมีความรู้ถูกต้อง มีการกระทำถูกต้อง ดำรงตนอยู่แต่ในทางแห่งความสงบ ก็จะทำให้โลกในอนาคตอยู่ในสภาพที่สงบได้ นี่เป็นความหวังที่มองเห็นอยู่ว่ามันอาจจะทำได้ แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับครูที่จะช่วยร่วมมือในการสร้างโลกชนิดนั้น ก็หมายความว่าครูมีความรู้ มีความเข้าใจอันถูกต้อง ว่าจะสร้างเด็กกันอย่างไร สร้างเด็กอย่างไร มันก็คือสร้างโลกอย่างนั้น ครูจึงต้องทำหน้าที่ช่วยเด็กสร้างโลกในอนาคต เด็กทั้งหลายเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ครูทั้งหลายก็เป็นผู้ช่วยเด็กสร้างโลกในอนาคต ทั้งสองฝ่ายนี่ต้องมีการกระทำที่ถูกต้อง ที่เป็นไปเพื่อสันติภาพ เราจะต้องรู้มูลเหตุของวิกฤตการณ์ คือ ไร้สันติภาพ ว่ามันเป็นเหตุเนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว คำนี้สำคัญมากนะช่วยจำกันไว้แม่นยำทุกคนว่า ความเห็นแก่ตัวเป็นต้นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวง ไม่มีความเลวร้ายชนิดไหนที่จะไม่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวก็หาโอกาสที่จะโลภ คนเห็นแก่ตัว เมื่อไม่ได้อย่างใจมันก็โกรธ คนเห็นแก่ตัวมันเป็นความโง่ เป็นความหลงอยู่ในตัวนั้นแล้ว อยู่ในความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ โดยไม่รู้ว่าความเห็นแก่ตัวนี้ มันนำมาซึ่งความทุกข์หรือปัญหา
รวมความว่าเหตุร้ายทั้งหลาย จะกี่ชนิดกี่สิบกี่ร้อยกี่พันชนิด มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว คือทำไปตามความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนั้นแหละคือกิเลส เรียกว่ากิเลส เป็นความคิดที่เลวร้าย เป็นความโลภจะเอา เป็นความโกรธจะทำลายล้าง เป็นความโง่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ก็ทำไปผิด ๆ นี่มันมีอยู่แต่ไอ้สามอย่างนี้ ซึ่งมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าถามว่าความเห็นแก่ตัวเล่า มีมูลมาจากอะไร ก็ยังจะกล่าวได้ว่า ความเห็นแก่ตัวมันมีมูลมาจากความโง่ ที่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ปล่อยไปตามความโง่ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความโง่อีกนั่นเอง เรียกว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดมาจากการที่คนนั้นไม่รู้ว่าเกิดมาทำอะไร กลายเป็นเกิดมาเห็นแก่ปากแก่ท้องท่าเดียว มันเห็นแก่ได้ท่าเดียว มันก็ถือศาสนาได้ ไม่ได้ถือศาสนาดี แต่ถือศาสนาได้ แล้วก็เห็นว่าได้แล้วก็เป็นดี ทีนี้คนโง่ คนอันธพาลอย่างไรมันก็ยังรู้จักอยากที่จะได้ ยิ่งโง่มาก มันก็อยากได้อย่างโง่ ๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งโง่เท่าไรมันยิ่งอยากได้อย่างโง่ ๆ ยิ่ง ๆขึ้นไป เมื่อมีแต่ความอยากได้ ด้วยความโง่เขลาแล้ว มันก็ทำผิด มันก็ทำผิดหมด นี่เป็นเหตุที่จะต้องรับรู้กันไว้ ว่าเพราะไม่รู้ว่าเกิดมานี้ควรจะทำอะไร มันก็ทำไปอย่างไม่รู้ ไม่รู้มันก็ทำผิด ทำผิดก็คือทำตามกิเลสที่ต้องการอย่างไร กิเลสนี่ มันเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว หรือมันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี่เป็นสัญชาตญาณอย่างสัตว์ แต่ถ้าดูกันอย่างยุติธรรมแล้ว สัตว์ยังเห็นแก่ตัว (นาทีที่ 15.57) เบาบางน้อยกว่าคน คนนี่ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะคนมันฉลาดมากมันมีสมองแก่กล้า ความเห็นแก่ตัวมันจึงมีมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ข้อที่คนจะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานมันก็อยู่ที่ตรงนี้ ตรงที่มันเห็นแก่ความเห็นแก่ตัวอย่างโง่เขลาที่สุด เพราะมีความคิดเฉลียวฉลาด มันก็เห็นแก่ตัวได้อย่างอย่างลึกซึ้ง สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น มันก็เห็นแก่ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเข้าใจได้ง่าย ๆ แล้วก็เป็นส่วนที่เบาบาง
ฉะนั้นขอให้มนุษย์ทุกคนรู้จักตนเอง ว่าเป็นอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัวเท่าไร มากน้อยเท่าไร และอะไรกำลังเกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว ในโลกปัจจุบันนี้ทุกคนมันทำไปด้วยความเห็นแก่ตัว และประโยชน์มันก็ต้องขัดกัน เพราะต่างคนต่างจะเอา จะเอาให้มากกว่า มันก็มามัวทะเลาะวิวาทกันด้วยการแย่งชิงประโยชน์แก่กันและกัน ยิ่งฉลาดก็ยิ่งมีวิธีการอันลึกซึ้งที่จะเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว ผู้อื่นมันก็ฉลาด มันก็พอ ๆ กัน มันก็รู้เท่าทัน มันก็ป้องกัน มันก็ต่อสู้ มันก็เลยมีการต่อสู้กันเป็นการถาวร แย่งชิงประโยชน์กันต่อสู้กันเป็นการถาวร นี่คือสภาพปัจจุบันของสัตว์โลกที่มีความเห็นแก่ตัว รู้จักคิด รู้จักนึก รู้จักกระทำ รู้จักใช้อาวุธพิเศษ วิเศษยิ่งกว่าธรรมดามาก มันก็เลยทำอันตรายกันมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันมีอย่างมากก็เพียงแต่ว่ามีเขา มีเขี้ยว มีงา มันก็ทำกันได้เพียงเท่านั้น ส่วนมนุษย์นี้มันมีสติปัญญา คิดประดิษฐ์อาวุธจะฆ่ากันทีเดียวตั้งแสนตั้งล้านก็ได้ นี่จึงเรียกว่าความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นนี้ มันเลวร้ายกว่าที่สัตว์เดรัจฉานมันกำลังกระทำอยู่ ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยสมองอันน้อยอันเล็กของมัน มันไม่เหมือนกับคนที่มีสมองอันใหญ่หลวง อันกว้างขวาง อันลึกซึ้งนี่ ทำการคิดนึกได้ลึกซึ้งกว้างขวางในการแย่งชิง ในการต่อสู้ ในการป้องกันตัว ในการใช้อาวุธ แล้วเราก็กำลังเดือดร้อนกันอยู่ทั่วไปหมด เพราะสงครามโดยตรงก็มี ก็ตายไปเพราะสงครามโดยตรง เพราะโดยอ้อมก็ทุกข์ยากลำบากอยู่ มีความทุกข์ใจเพราะปัญหาต่าง ๆ เกิดมาจากสงคราม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการบ้านการเมืองอะไรเหล่านี้ ล้วนแต่ทำให้คนนอนไม่หลับ ทำให้คนเป็นบ้า ทำให้คนฆ่าตัวตาย นี่เรียกว่ามันเป็นผลโดยอ้อม โลกนี้ก็อยู่ด้วยผลร้ายอย่างนี้
ฉะนั้นขอให้ช่วยกันคิดดูให้ดี ๆ ว่ามันน่าละอายต่อโลกสัตว์เดรัจฉานสักเท่าไร สัตว์เดรัจฉานเบียดเบียนกันแต่เล็กน้อย แต่พอสถานประมาณ แต่มนุษย์นี่เบียดเบียนกันสุดเหวี่ยง สุดที่สติปัญญาจะมีมาให้ได้ จึงเรียกได้ว่าไอ้โลกนี้เป็นโลกที่ไม่น่าอยู่ คือเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์อันเดือดร้อน และการกระทำอันน่าเกลียด น่าชัง น่าละอาย น่าอดสู โลกอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เราต้องการโลกใหม่ที่มีความสงบ มีความถูกต้อง มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องของจิต ที่มันถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง นี่ในอนาคตเราก็หวังว่าจะมีโลกอย่างนี้ ซึ่งจะฝากไว้กับยุวชน ที่จะเกิดมาในอนาคตนั่นเอง ถ้าการศึกษาเป็นไปถูกต้อง ก็จะได้รับผลอันนี้ ถ้าการศึกษายิ่งไม่ถูกต้อง มันก็ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม ฉะนั้นครูและนักเรียนจะต้องระมัดระวัง ช่วยกันให้มีการศึกษาอย่างถูกต้อง เพราะเราก็มีสติปัญญา ผู้จัดการศึกษาก็หวังดี เมื่อทุกฝ่ายมีความหวังดี มันก็พอจะแก้ปัญหาได้ นี่ขอให้สนใจในข้อที่ว่าเกิดมาทำไม เราเกิดมาทำไม นี่กันให้มาก ๆ แล้วก็ช่วยกันศึกษา ช่วยกันประพฤติ ช่วยกันกระทำ ช่วยกันส่งเสริม ให้มันได้ผลตามนั้น ข้อที่ว่าเกิดมาทำไม ถ้าเกิดมาเพื่อความทุกข์ยากลำบาก มันก็ไม่ดีอะไร ก็ไม่มีใครต้องการ ถ้าเกิดมาเพื่อการเบียดเบียนกัน มันก็เลวร้ายกว่าโลกสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเบียดเบียนกันน้อยที่สุด ไม่มีความจำเป็นอะไรแล้วมันก็ไม่กัดกัน แต่มนุษย์นี้ไม่ได้มีความต้องการเพียงเท่านั้น มันต้องการมากกว่านั้น มันก็คิดหาทางที่จะแย่งชิงประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน มีมันสมองฉลาดในการคิดการนึก การเบียดเบียนมันจึงมีมากมาย กว้างขวาง ลึกซึ้งอยู่ในโลก นี่เพราะไม่รู้ว่าเราเกิดมานี้ควรจะทำอะไร นี่ขอให้ทั้งครูและนักเรียนสนใจ ศึกษาให้ถูกต้อง ทำความเข้าใจแก่กันและกันให้ถูกต้อง ให้ตรงตามความจริงของธรรมชาติ ธรรมชาตินี้ไม่ได้สร้างคนมาสำหรับให้เป็นทุกข์ ยุ่งยาก กระวนกระวาย ระส่ำระสาย สังเกตดูได้ง่ายตรงที่ว่า ในที่ใดยังเป็นไปตามธรรมชาติ ในที่นั้นไม่มีความวุ่นวาย พอต้องการผิดธรรมชาติที่นั้นก็มีความวุ่นวาย ขอให้คิดดูให้ดีว่า ไอ้ธรรมชาติแท้ ๆ นั่นมันไม่ได้สร้างความวุ่นวายหรือเบียดเบียน มันต้องการความสงบสุข มันหลีกเลี่ยงการเบียดเบียน แต่มนุษย์ผู้ไม่รู้ความจริงข้อนี้ กลับทำหน้าที่ที่เป็นการเบียดเบียน ไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ คือสร้างความสงบสุข ขอให้ดูเถิดว่าธรรมชาติมันต้องการความหยุด ความสงบ ความปกติ ปกติ ปกติอยู่ตามธรรมชาติ มนุษย์ผู้โง่เขลานี่ ไปทำให้มันยุ่ง ไปทำให้ธรรมชาติมันยุ่ง ไปขุด ไปค้น ไปคุ้ย ไปเขี่ย ไปสร้าง ไปสรร ไปอะไรจนมันยุ่งกว่าธรรมดามากเกินไป เพราะกิเลสมันต้องการสิ่งที่เกินธรรมดา จะเรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องอะไรก็ตาม มันเกินธรรมดา เกินที่ควรจะมี จะเป็น เรื่องมันเลยยุ่ง ถ้าต้องการแต่เพียงว่าสะดวกสบายพอสมควรแล้ว มันก็ไม่ต้องยุ่งมากอย่างนี้ เรือบินก็ไม่ต้องมี มีสำหรับทำให้ยุ่ง ไม่มีก็ไม่เสียหายอะไร หรืออะไร ๆ ที่มันมากไปกว่านั้น เรื่องไปนอกโลก ไปนอกอวกาศด้วยจรวด ด้วยยานอวกาศก็ไม่ต้องมี มีให้มันยุ่ง ลดลงมาอีก แม้แต่รถไฟอย่างนี้ก็ไม่ต้องมี มีให้มันยุ่ง ถ้าบ้านไหนเมืองไหน มีทำกินใช้กันอยู่แต่ในบ้านเมืองของตัว มันก็ไม่ยุ่ง คนที่มีปัญญาเขามองเห็นความข้อนี้ จึงพูดว่า อยู่กันอย่างหมู่บ้านเล็ก ๆ นั่นแหละ จะมีความสงบสุข อย่ารวมกันเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นนคร เป็นมหานคร ซึ่งจะยุ่งที่สุด เต็มไปด้วยความโกลาหล วุ่นวาย ปัญหาร้อยแปดประการ แม้แต่ปัญหาเรื่องน้ำจะกิน เรื่องการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะนี่ในมหานคร มันยุ่งเท่าไร ถ้ามันอยู่กันอย่างหมู่บ้าน มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ทุก ๆ อย่างมันจะไม่มากจนเป็นปัญหา ถ้าอยู่กันอย่างหมู่บ้าน หมู่บ้าน หมู่บ้าน ทำมาหากินไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีอะไรที่ดีเกินไป อย่างไฟฟ้าอย่างนี้ก็ไม่ต้องมี มันไม่ตาย มันไม่เสียหาย มันกลับจะง่าย มันกลับจะสงบ มันกลับจะไม่วุ่นวาย เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเพราะทำสิ่งที่เกินพอดี เกินจำเป็นขึ้นมามากมาย กระทั่งมีอะไร มีวิทยุ มีโทรทัศน์ มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า มีอะไรเหล่านี้ มันก็ไม่ได้ช่วยให้มนุษย์มีความสงบสุข มันช่วยให้ยุ่งยากมากขึ้น ทุกอย่างทุกประการนี่เรียกว่า ความเจริญนั้นไม่ได้หมายความว่าความสงบสุข คำว่า ความเจริญ เจริญนี่ ภาษาบาลีก็แปลว่ามากขึ้นจนยุ่ง ผู้รู้ภาษาฝรั่งเขาว่าคำว่า Progress Progress ความเจริญนั้นเป็นคำเดียวกับความบ้า ความบ้านั่นก็คือ Progress เดี๋ยวนี้มันมาบ้าในทำอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ที่ทุกคนมันต้องการเหมือนกันเลย เลยไม่เหมาว่าเป็นความบ้า เห็นเป็นความถูกต้องไปเสีย การเป็นอยู่อย่างนคร มหานครมันก็เกิดขึ้น แล้วมันยุ่งสักเท่าไร อย่างที่กรุงเทพ เรื่องน้ำประปายุ่งเท่าไร เรื่องไฟฟ้ายุ่งเท่าไร เรื่องขนถ่ายของสกปรกยุ่งเท่าไร มันยุ่ง ยุ่งมหาศาล เพราะมันไปรวมกัน ทำให้ปัญหามันมากขึ้น ถ้าอยู่กันอย่างหมู่บ้าน หมู่บ้าน หมู่บ้านแยกกันอยู่ตามเดิม ตามสมัยโบราณโน่น ไม่มีปัญหาเหล่านี้เลย เราก็ไม่ต้องมีรถไฟ ไม่ต้องมีรถยนต์ ไม่ต้องมีอะไร คงทำไปตามที่ธรรมชาติมีให้ แล้วก็พอดีอยู่ได้ไม่ตาย นี่เรียกว่าไอ้ความเจริญนั่นคือความยุ่ง ควรจะรู้จักประหยัดกันเสียบ้าง คือนึกน้อมไปหาธรรมชาติ ให้เป็นอยู่อย่างธรรมชาติมากขึ้น ไอ้ความยุ่งมันก็จะน้อยลง เดี๋ยวนี้มันอยากจะให้ยุ่งยิ่งขึ้นไปกว่าที่ยุ่งอยู่แล้ว ยุ่งมากขึ้น มากขึ้นจนเป็นโรคจิต เป็นโรคประสาทกันนับไม่หวาดไม่ไหว คนในโลกนี้เป็นโรคประสาทมากจนไม่น่าเชื่อ เพราะความยุ่งนั่นเอง นี่เราจะมีโลกที่ยุ่งอย่างยิ่งดี หรือว่าจะมีโลกที่สงบเย็นกันดี โรคเรื่องยุ่งนี่ โรคยุ่งนี้แพงมาก ต้องลงทุน ต้องสร้างสรรค์ ต้องอะไรกันมากมายมหาศาล เป็นปัญหาเรื่องเงินเรื่องของ เรื่องอะไรทั่วไปหมด ถ้าโลกไม่ยุ่ง โลกหยุด โลกสงบ มันก็มีแต่เพียงที่ธรรมชาติจะอำนวยให้ และก็ไม่เป็นไร มันก็ไม่ค่อยจะเจ็บจะไข้ มันก็ไม่ค่อยจะเป็นจะตาย เหมือนในโลกที่มันยุ่ง ถึงมันจะเจ็บจะไข้จะตาย มันก็ตามธรรมชาติ ตามธรรมดาซึ่งควรจะพอใจ เมื่อมีชีวิตอยู่พอสมควรแล้ว มันก็ควรจะตาย มันก็ควรจะได้ตายไปอย่างสงบ อย่าให้ตายลำบากยากเย็นเหมือนคนสมัยนี้ ซึ่งตายลำบากยากเย็นทรมานเหลือประมาณ ซึ่งทำให้ยุ่งมากขึ้นแก่ทุกฝ่าย นี่ความเจริญอย่างนี้มันเป็นความยุ่ง ยุ่งถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นบ้าชนิดหนึ่งเลย คำว่าความเจริญนั้นมันแปลว่ามากจนยุ่ง ถ้าว่าจะให้มีความถูกต้อง มันต้องเพ่งหาไอ้ความสงบ ความสงบ วัฒนะ แปลว่าความเจริญ พัฒนา แปลว่าความเจริญ ยิ่งมีมากยิ่งยุ่งมาก แต่ว่า สันติ แปลว่าความสงบ ยิ่งมีมากยิ่งยุ่งน้อยและยิ่งไม่ยุ่ง
เราควรจะรู้ว่าเราควรจะช่วยกันสร้างโลกที่มีสันติสุข สันติภาพ เด็ก ๆ ก็ควรจะรู้ว่า ที่มันยุ่งนี่ มันยุ่งเพราะกิเลส เพราะเห็นแก่ตัว เพราะต้องการสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีมากขึ้น มากขึ้น ถ้าต้องการเฉพาะสิ่งที่ควรจะมี เรื่องมันก็ไม่ยุ่ง และมันก็ต้องการแต่น้อย มันไม่ต้องละโมบโลภลาภ ไม่ต้องเห็นแก่ตัว จนไปเบียดเบียนผู้อื่น จนไปแย่งชิง หลอกลวงของบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นเรามาคิดดูกันให้ดีว่า เกิดมาทำไม เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อสร้างโลกให้ยุ่ง หรือว่าเกิดมาเพื่อสร้างโลกให้สงบสุข มีเท่านี้ ถ้าเห็นว่ามันควรจะเกิดมาเพื่อสร้างโลกให้สงบสุข เราก็ขวนขวาย สนใจศึกษา แต่ในทิศทางที่เป็นความสงบสุข ในที่สุดก็ไปพบตัวมารร้าย ตัวสำคัญว่า ความเห็นแก่ตัวนั้น ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละเป็นตัวร้ายกาจที่สุด มาจากความโง่ ความเห็นแก่ตัวนี่ สัตว์เดรัจฉานก็มี แต่มันมีน้อยกว่ามนุษย์ เพราะมันไม่พัฒนาความเห็นแก่ตัว มนุษย์นี่มันพัฒนาความเห็นแก่ตัวจนขึ้นระดับสูงสุด สูงสุด สุดเหวี่ยง จนสุดที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนกันอีกแล้ว มันเห็นแก่ตัวขนาดนั้น มันจึงทำเพื่อยุ่ง ความเห็นแก่ตัวนี้ มันก็เป็นของธรรมดาที่จะต้องมี เป็นพื้นฐานแห่งชีวิต มันจะได้รักชีวิต และมันก็จะได้รักษาป้องกันชีวิต แต่ถ้าเพียงเท่านั้นมันไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้มันมากกว่านั้น มันต้องการเกินไปกว่าที่ควรจะต้องการ มันต้องความสวยงามจนเกินความต้องการ ต้องการความไพเราะจนเกินความต้องการ ต้องการไอ้รสอร่อยหอมหวนเกินความต้องการ ไม่จำเป็น ต้องการความสุขทางกายที่เกินต้องการ นี่มันเป็นเรื่องเกินต้องการ และมันก็ยุ่ง ยิ่งเกินต้องการมากเท่าไรมันก็ยุ่ง ยุ่งมากเท่านั้น ฉะนั้นดูให้ดี ๆ ให้ตรงตามหลักของธรรมชาติ หรือจะเรียกว่าหลักของพุทธศาสนาก็ได้
อยากจะบอกให้รู้กันทั่วทุกคนเลยว่า หลักของพระพุทธศาสนานั้นคือความพอดี เรียกเป็นบาลีก็ว่า มัชฌิมาปฏิปทา พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จะสอนเป็นครั้งแรกซึ่งเราก็รู้กันอยู่ว่าสอนปัญจวัคคีย์ ประโยคแรกที่ท่านพูดขึ้นมา ในคำสอนสูตรนั้นคือ มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ไม่หย่อนไม่ตึง ไม่มาก ไม่น้อย ไม่เปียก ไม่แฉะ ไม่แห้ง ไม่ไหม้เกรียม ไม่เปียก ไม่แฉะ คือ พอดี พอดี เรียก มัชฌิมาปฏิปทา และทรงยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ตถาคตรู้เฉพาะด้วยตนเอง ไม่ได้ยินได้ฟังมาจากคนอื่น ให้อยู่พอดี ให้อยู่พอดีนั่นเป็นเรื่องแรก และเรื่องที่สองก็เรื่องความทุกข์ เรื่อง อริยสัจจ์ ๔ นี้เป็นเรื่องที่สอง มีหูมีตาก็ไปเปิดดูเองในบาลี ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จะพบว่าตอนแรกท่านตรัสเรื่อง มัชฌิมาปฏิปทา แล้วก็ตรัสเรื่องอริยสัจจ์ ๔ เรื่องความทุกข์ ดังนั้นหลักสำคัญที่สุดก็คือ ความพอดี ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน ไม่แห้งจนไหม้เกรียม ไม่เปียกแฉะจนสกปรก คือไม่ชนิดที่ไม่สุดเหวี่ยงทางใดทางหนึ่ง แต่อยู่ที่พอดี ฉะนั้นเราจงจัดให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเราอยู่ในลักษณะที่พอดี พอดี พอดี อย่าให้มันโง่ โง่เพราะเข้าใจความพอดีผิด แล้วมันก็เกินพอดี เกินพอดีมากขึ้นไปทุกที อย่างนี้มันก็ทำลายตัวเอง ฉะนั้นขอให้นึกดูว่าเรามีอะไรเกิน ต้องการเกิน หรือกระทำมันเกิน ก็จัดแจงเสียใหม่ให้พอดี รู้ความพอดี ซึ่งในที่สุดมันก็ไปตรงกับหลักของธรรมชาติ ไอ้หลักของธรรมชาตินี่ก็เป็นความพอดี พอเกินความพอดี มันจะต้องยุ่งยาก ลำบากเสียหาย จำ (นาทีที่ 38) จะต้องตาย เช่นว่าในโลกนี้มีอากาศพอดี ไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป ต้นไม้ต้นไร่ สัตว์เดรัจฉาน คนจึงอยู่ได้ ลองมีความร้อนเกินไปต้นไม้เหล่านี้ก็ตายหมด หรือมีความเย็นเกินไปต้นไม้เหล่านี้ก็อยู่ไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องอยู่ในความพอดี และก็ผลแห่งความพอดีก็เกิดขึ้นเป็นชีวิตชนิดที่เป็นไปได้ เรียกว่าอยู่ได้ด้วยความพอดี นี่ขอให้ทุกคนสนใจเรื่องความพอดี และดูแลให้มันเป็นเรื่องของความพอดี กินอยู่พอดี ถ้ากินดีอยู่ดี มันมักจะเผลอ เกินไปไม่ทันรู้ กินอยู่อย่างดี มันจะเกิน เกิน เกินไปจนเป็นเรื่องเลวร้าย ถ้ากินอยู่แต่พอดี มันก็คือไม่มากไม่น้อย มันก็ไม่มีอันตรายอะไร ฉะนั้นขอให้ศึกษาเรื่องความพอดีกันไว้ให้มาก จะรู้ว่ามันเป็นที่ตั้งแห่งชีวิต ความรอดตาย และความอยู่เป็นผาสุก เป็นความสงบสุข ทุกคนจงสนใจเรื่องความพอดี อย่าให้ทำอะไรชนิดที่มันเกินพอดี แต่ว่ามันลำบากเหมือนกันเพราะว่าเรามันโง่ เพราะว่าเรามันโง่ บอกเสียตรง ๆ เพราะว่าเรามันโง่ เรามันกำลังโง่ มันยากที่จะรู้ว่าอะไรพอดี ความโง่ทำให้รู้สึกไปในทำนองว่า ยิ่งอร่อยยิ่งดี ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งวุ่นวายยิ่งดี มันเป็นความเข้าใจผิด มันก็เลยเป็นเรื่องโกลาหลวุ่นวาย ระส่ำระสาย ไม่มีสันติภาพ นี่ขอให้ทุกคนทั้งที่เป็นศิษย์และที่เป็นอาจารย์ ทุกคนเลยรู้เรื่องนี้
เรื่องศิษย์ เรื่องอาจารย์นี่ ควรจะเข้าใจให้ครบถ้วน บิดามารดานั่นแหละคือ อาจารย์ที่สุด อาจารย์ตั้งแต่แรก อาจารย์คนแรกคือบิดามารดา ได้สอนให้ทารกที่เกิดมานั้น รู้จักทำอะไรขึ้นมาตามลำดับ นี่เป็นอาจารย์ ถ้าบิดามารดาไม่รู้ความจริงสอนไปในทางที่ให้มันเกิน แล้วมันก็จะต้องมีปัญหาอย่างนี้ เช่น พ่อแม่มักจะหาของสวยงาม เอร็ดอร่อย แม้แพงก็ไม่ว่ามาให้ลูกกินมาให้ลูกเล่นจนให้ติดเป็นนิสัยอย่างนี้ ก็สอนผิดเสียแล้ว สอนผิดเสียแล้ว สอนให้ทารกนั้นมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่รู้ว่าอะไรพอดีจนเป็นนิสสัย มันก็ต้องการอย่างนั้นเรื่อยไป ปัญหามันก็ไม่สิ้นสุด ถ้าพ่อแม่รู้จักความพอดี สอนแต่พอดี ให้รู้จักถูกต้องและพอดีไปตั้งแต่เล็ก ๆ ไอ้เด็กนั้นก็มีหลักมีเกณฑ์ที่ดี ทำอะไรได้พอดีเรื่อย ๆ ไป มันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มันถูกกระทำให้บูชาความสวยงาม ความเอร็ดอร่อย ความสนุกสนาน ซึ่งครูคนแรกนั่นแหละยัดเยียดให้ ยัดเยียดให้ชอบของสวยของงาม ของเอร็ดอร่อย ของสนุกสนาน ของที่บำรุงส่งเสริมกิเลส มันก็เลยเกิดความผิดพลาด เป็นความไม่รู้ และเห็นแก่ตัวขึ้นมาในจิตใจของทารก ครั้นมาถึงครูชั้นที่สองคือครูที่โรงเรียน ก็ไม่ได้แก้ไขสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น บางทีก็ทำให้โง่หนักขึ้นไปอีก ให้หลงใหลในความยุ่งยาก ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ สนุกสนานเอร็ดอร่อยมากขึ้นไปอีก เลยทำให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดี อย่างนี้มันก็เป็นครูอะไร เป็นครูให้วินาศ หรือว่าเป็นครูให้สงบสุขเล่า เพราะฉะนั้นขอให้ครูทั้งสองชนิด ครูคนแรกคือพ่อแม่ ครูคนถัดมาคือครูบาอาจารย์ หรือครูที่ถัดมาอีกคือพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งสามทั้งสี่รุ่นเป็นครูที่ถูกต้อง สอนให้คนมันรู้จักความถูกต้องและความพอดี นั่นแหละจะเป็นโชคดี เป็นสวัสดีมงคลแก่ชีวิตทุกชีวิตในโลกนี้ ถ้าได้รับคำสั่งสอนผิดพลาด หลงใหลในความเฟ้อ ฟุ่มเฟือยนั่นคือ ความวินาศทางจิตใจ วินาศทางจิตใจ ซึ่งวินาศแล้วมันก็นำความวินาศมาสู่ทางวัตถุ ทางร่างกาย ก็ได้ฉิบหายกันหมด ทางจิตใจก็วินาศ ทางร่างกายก็วินาศ ทางวัตถุสิ่งของก็วินาศ มันก็เลยเป็นความวินาศอยู่ด้วยความวินาศ แล้วจะไปโทษใคร โลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ ทีนี้เรามาช่วยกันสร้างโลกใหม่ ให้อยู่ในความถูกต้อง ขอให้ประสานทำงานอย่างประสาน โดยมีเจตนาว่าครูช่วยให้เด็กโตขึ้นมาอย่างถูกต้อง เป็นผู้สร้างโลกที่ถูกต้อง เพราะว่าโลกยุคนี้ปัดทิ้งได้ มันไม่มีความถูกต้อง มันบ้า ๆ บอ ๆ มันต้องเปลี่ยนใหม่ ที่เด็กที่จะโตขึ้นในอนาคต จะเป็นผู้สร้างความถูกต้อง สร้างโลกนี้ให้มันเป็นโลกที่ถูกต้อง แล้วครูก็ให้ความร่วมมือในการที่จะช่วยสร้างโลก ช่วยให้เด็ก ๆ ได้สร้างโลกแห่งความถูกต้อง ไม่ว่าครูชนิดไหน ครูที่เป็นบิดามารดาแรกสอนตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็สอนให้ถูกต้อง ครูที่โรงเรียนก็สอนให้ถูกต้อง ครูที่วัดวาอารามตอนหลังนี้ก็สอนให้ถูกต้อง ให้คนทุกคนรู้จักความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เราไม่อาจจะหลีกพ้นกฎของธรรมชาติ มันจะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งมีหลักเกณฑ์อยู่ว่าพอดีนั่นแหละจะไม่มีปัญหา ถ้าเกินพอดีก็มีปัญหา ถ้าไม่ถึงขนาดที่พอดีก็มีปัญหา พุทธศาสนาจึงเป็นหลักที่ถูกต้องตรงที่สอนความพอดี ไม่มีปัญหาอะไร อยู่อย่างถูกต้อง มีความสงบสุข มีความถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจ แม้แต่ทางวัตถุสิ่งของก็ถูกต้อง คำว่าถูกต้องนี้อย่าคิดให้มันเพ้อเจ้อ มันจะบ้า จนไม่รู้ว่าจะถูกต้องกันอย่างไร ยิ่งเรียนมากยิ่งตอบไม่ถูกว่าถูกต้องกันอย่างไร ยิ่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนามายิ่งมีหลักคิดมากมายจนไม่รู้ว่าจะถูกต้องกันอย่างไร กลายเป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ ไม่รู้จักจบว่าจะถูกต้องกันอย่างไร เอากันง่าย ๆ ตามหลักของพระพุทธศาสนาว่าถูกต้อง คือ ไม่ทำอันตรายแก่ฝ่ายใด แล้วให้คุณให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่าย นั่นคือความถูกต้อง การกระทำนั้นให้เกิดคุณ เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายผู้ทำและผู้อื่นที่มันเนื่องด้วยกัน ได้รับประโยชน์ ไม่ให้โทษแก่ตนเองและไม่ให้โทษแก่ผู้อื่นที่เข้ามาเนื่องกัน นี่คือความถูกต้อง มองเห็นชัดอยู่ในตัวการกระทำ ไม่ว่าสิ่งใดถ้ามันถูกต้องแล้ว มันไม่ทำอันตรายใคร มันมีแต่ให้คุณให้ประโยชน์ ถ้ามันไม่ถูกต้องแล้วมันทำอันตรายเสียตั้งแต่ทีแรก ทำอันตรายคนที่ทำ คนที่คิด แล้วมันก็ทำอันตรายต่อ ๆ ๆ กันออกไป มันก็ผิดหมด วัตถุสิ่งของที่มีมาใช้มันก็ไม่ถูกต้อง ในบ้านในเรือน ยิ่งไปซื้อหาของแพง ๆ มา มาใส่ไว้ในบ้านในเรือนเพื่อความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย นี้มันไม่ใช่ความถูกต้อง มันไม่จำเป็นจะต้องมีสิ่งเหล่านี้ ให้มันถูกต้องทางวัตถุว่าในบ้านในเรือนมีแต่วัตถุที่ควรจะมี และถูกต้องพอดีสำหรับการเป็นอยู่ของเรา อย่าไปเห่อมีโทรทัศน์ มีอะไรกับเขา ซึ่งมันเป็นความโง่และสร้างความยุ่งยากลำบากทีหลัง เรารู้แต่หน้าที่ที่ควรกระทำ ไม่ต้องไปรู้เกินกว่าหน้าที่ ไอ้เรื่องเพลิดเพลิน ฟุ่มเฟือย สนุกสนานนั้น มันไม่จำเป็น ไม่ใช่หน้าที่ ไม่มีก็ได้ เรามีความถูกต้องในทางวัตถุ คือมีบ้านเรือนถูกต้องมีเครื่องใช้ไม้สอยถูกต้อง มีอะไรต่าง ๆ ที่ต้องมี ประกอบอยู่ในบ้านเรือนอย่างถูกต้อง นี้เรียกว่าความถูกต้องทางวัตถุ แล้วก็มีกายคือการประพฤติทางกายถูกต้อง ไม่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น มีการพูดจาทางวาจาถูกต้อง ไม่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น มีความคิดถูกต้อง ไม่ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น มีสติปัญญา ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความยึดถือเป็นหลักมันถูกต้องไปหมด ขอให้ช่วยกันโดยทำนองนี้ แม้ว่าครูจะสอนหนังสือ สอนวิชาชีพ สอนอะไรก็ตามหน้าที่ ก็ขออย่าลืมว่า ต้องสอนความถูกต้อง สอนความถูกต้อง ความพอดี ความถูกต้องให้แก่ลูกเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วย อย่าให้เขาโง่ จนไปทะเยอทะยานในสิ่งที่ไม่ควรจะมี ควรจะได้ ไม่ควรจะเกี่ยวข้อง อย่าให้มีขึ้นมา แล้วเด็ก ๆ ก็จะต้องเชื่อฟังครูบาอาจารย์ บิดามารดา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เด็กที่ดีที่สุดคือเด็กที่เชื่อฟัง ไม่ใช่เด็กเกิดมาสวย เกิดมารวย เกิดมาฉลาด เกิดมาอะไร มันไม่แน่ ไม่แน่ ไม่ใช่ดีที่สุด ที่ดีที่สุดคือเด็กที่เชื่อฟัง แล้วผู้ใหญ่ก็นำไปได้ นำไปได้ นำไปสู่ความถูกต้อง ความเจริญ ได้ตรงตามที่ควรจะเป็น นี่เด็ก ๆ ถือหลักเป็นผู้เชื่อฟัง เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย รู้จักความถูกต้องได้เอง ว่ามันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายมากขึ้น ๆ จนโตเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นพ่อบ้าน แม่เรือน มันก็ถูกต้องจนตลอดชีวิต เมื่อทุกคนมันถูกต้องในครอบครัวนั้นก็เป็นครอบครัวที่ดี ครอบครัวแต่ละครอบครัวมันดี หมู่บ้านนั้นก็เป็นหมู่บ้านที่ดี มีความถูกต้อง ทุกหมู่บ้านมันดี ตำบลนั้นก็เป็นตำบลที่ดี ตำบลมันดีหมดแล้ว บ้านเมืองมันก็ดี บ้านเมืองมันดีหมดแล้ว ประเทศชาติมันก็ดี แล้วมันก็จะเลยไปถึงว่า เมื่อประเทศทุกประเทศมันดีแล้ว โลกนี้มันก็ดี คือมีความสงบสุข ตรงตามที่เราต้องการว่าอยู่กันอย่างสงบสุข อยู่ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว อยู่ด้วยความรักผู้อื่น อย่างเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ทุกคนมีคุณธรรมข้อนี้ จะไปที่ไหนก็จะเห็นแต่มิตรสหายที่ดี พร้อมที่จะช่วยเหลือ พร้อมที่จะช่วยเหลือ นี่โลกพระศรีอารยเมตไตรยก็เกิดขึ้น คือเหลียวไปทางไหนก็มีแต่มือที่ชูขึ้นมาเพื่อจะช่วย ปากก็ถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร เมื่อต้องการให้ช่วยอย่างไรก็ช่วยกันอย่างนั้นจริง ๆ เลยเต็มไปด้วยผู้ช่วย นี่โลกนี้มันก็เป็นโลกที่มีความสงบสุข สมกับเป็นโลกของมนุษย์ที่มีจิตใจสูง อยู่กันอย่างไม่มีความเดือดร้อนใด ๆ คงเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ในที่สุดเรื่องความเกิดแก่เจ็บตายก็กลายเป็นของธรรมดาไป ไม่ต้องเดือดร้อน เป็นของธรรมดาไป เราอยู่อย่างถูกต้อง ตั้งแต่เกิดจนตาย มันก็พอแล้ว ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่มีแต่ความถูกต้องและความสงบสุข นี่คือโลกที่ประเสริฐที่สุด ที่จะต้องช่วยกันสร้าง และเด็ก ๆ ทั้งหลายจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต คุณครูทั้งหลายจะเป็นผู้ช่วยโลก ช่วยเด็ก ๆ ให้สร้างโลกในอนาคต เรื่องก็จบ
นี่วันนี้ก็พูดอย่างนี้ แล้วก็พูดเพียงเท่านี้ ว่าให้เด็ก ๆ จงรู้สึกตัวว่าเราเป็นผู้ที่จะสร้างโลกในอนาคตได้ตามที่เราต้องการ เราจงรู้ว่าเราเกิดมาทำไมกันเสียก่อน แล้วครูบาอาจารย์ก็ช่วยร่วมมือสั่งสอน ให้เด็ก ๆ สามารถจะสร้างโลกตามที่ควรจะต้องการนั้นได้จริง แล้วเรื่องก็จบ ในที่สุดนี้ก็ขอแสดงความหวังว่า ท่านทั้งหลายทุกคนซึ่งมันจะต้องเป็นทั้งศิษย์และทั้งอาจารย์กลับกันอยู่นั่นแหละ จงรู้จักหน้าที่ของตนว่าเกิดมาเพื่อช่วยกันทำให้โลกนี้มันงดงาม น่าอยู่ น่าดู น่าอาศัยเพราะว่าเป็นโลกแห่งสันติสุข เกิดมาเพื่อช่วยกันสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่ น่าดู เป็นโลกแห่งสันติสุข แล้วมันก็จบ ถึงมันจะตายไปก็ไม่เสียหายอะไร เพราะได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้ว หวังว่าทุกคนจะนำไปคิดพิจารณา และบำเพ็ญตนให้อยู่ในร่องในรอยดังที่ว่ามา พร้อมกันนั้นก็ประสบความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ เอ้า,ปิดประชุมกลับได้