แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์และนักศึกษาทั้งหลาย โอกาสแห่งการพูดกันครั้งแรกนี้ อาตมาก็ไม่มีอะไรนอกจากการแสดงความยินดีต้อนรับท่านทั้งหลาย อนุโมทนาในการมาของท่านทั้งหลาย และขอชี้แจงในเรื่องที่เกี่ยวกับสวนโมกข์เพื่อให้เป็นที่เข้าใจแก่ท่านทั้งหลาย แล้วก็จะได้รับประโยชน์จากการมาให้มากที่สุดที่จะมากได้ก็แล้วกัน ได้ทราบว่าท่านทั้งหลายตั้งใจมาสวนโมกข์หรือถึงกับตั้งใจที่จะมาทำพิธีประทักษิณมาฆบูชานี่ก็มี นี่เราก็ควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
สวนโมกข์นี้จัดขึ้นด้วยความมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ที่สนใจในธรรมะ เพราะว่าธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ ดังนั้นเราทำให้มีความสะดวกแก่การที่จะใกล้ชิดธรรมชาติได้เท่าไร มันก็สะดวกหรือง่ายที่จะเข้าใจธรรมะได้เท่านั้น บางท่านอาจจะยังไม่เคยทราบว่า สำหรับคำว่าธรรมะนั้นมีใจความสำคัญก็คือเรื่องของธรรมชาติ เรื่องของกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และก็ผลที่จะได้รับจากหน้าที่ตามธรรมชาติ นี่ขอได้โปรดจำไว้เป็นหลักเถิด จะมีประโยชน์ต่อไปในอนาคต คือในการที่จะศึกษาธรรมะให้แตกฉานแจ่มแจ้ง แล้วก็ให้รู้ว่าธรรมะคำนี้มีความหมาย ๔ อย่างดังที่กล่าวแล้ว เมื่อเราศึกษาธรรมะอะไรข้อไหน เราต้องรู้ว่าไอ้ธรรมะที่เรากำลังศึกษานั้นมันอยู่ในความหมายไหนทั้ง ๔ ความหมายนี้ และที่สำคัญที่สุด ต้องการให้ศึกษาจากภายในตัวเองก่อน ธรรมะคือธรรมชาตินี่หมายความว่าตัวเราทั้งกายทั้งใจนั้นน่ะเป็นตัวธรรมชาติ และธรรมะคือกฎของธรรมชาตินั้นก็หมายความว่าในตัวเราก็มีกฎของธรรมชาติบังคับให้ทุกส่วนของร่างกายเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นก็มีอยู่ในตัวเรา เราต้องเคลื่อนไหวเพื่อบริหารร่างกาย มันก็คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นับตั้งแต่ต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นต้น นี่ก็เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ทุกอย่างเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้
ทีนี้อีกส่วนหนึ่งก็คือไม่รอดชีวิตอยู่เปล่าๆ ต้องได้รับความสุขชนิดที่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ด้วยดังนั้นเราจึงศึกษาหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติในส่วนนั้น ซึ่งอาตมาเข้าใจว่าท่านทั้งหลายมาที่สวนโมกข์นี้ก็ต้องการจะศึกษาอะไรบางอย่าง ก็ขอบอกเสียเลยว่า มันก็ศึกษาเรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่เราจะเอาไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตนี้ได้รับประโยชน์สูงสุดถึงที่สุดที่มันจะรับได้ ฉะนั้นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินี้จึงมีอยู่ในตัวคน ทีนี้ผลที่เกิดจากหน้าที่มันก็มีอยู่แล้ว ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร มันก็ได้รับผลตามสมควรแก่การปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าผิดมันก็ได้รับผลไม่น่าพอใจ ถ้าถูกมันก็ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ นี่แหละธรรมะคำเดียวมีความหมาย ๔ ความหมาย แล้วขอให้สังเกตดูว่ามันเกี่ยวกับธรรมชาติทั้งนั้น ธรรมะคือตัวธรรมชาติ ข้างในก็คือร่างกายเรา ข้างนอกก็คือร่างกายผู้อื่น ตลอดถึงวัตถุตามธรรมชาติ แผ่นดิน โลก ทั้งหมด ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์อะไรก็ตาม เพราะมันเป็นตัวธรรมชาติ แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ๆๆได้เกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาของเรา คือความทุกข์ ความสุขเป็นต้น ที่มันเกี่ยวกับความสุขความทุกข์ของเราโดยตรงก็คือภายในตัวเรา ฉะนั้นเราจึงสนใจในภายในก่อน แล้วขยายออกไปถึงภายนอก ไอ้ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ผลตรงตามกฎของธรรมชาติ มันเป็นเรื่องธรรมชาติทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมชาตินั่นน่ะก็คือเข้าใจธรรมะ นี่เราอยากจะให้เข้าใจธรรมะโดยสะดวก ก็จัดธรรมชาติให้อำนวยแก่การที่จะเข้าใจธรรมะ
ฉะนั้นสวนโมกข์จึงเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ ในลักษณะที่เห็นๆอยู่นี้ ให้สะดวกแก่ท่านทั้งหลายที่จะมา ก็ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด ให้ธรรมชาติช่วย จึงมีอำนาจมาก พระศาสดาของทุกศาสนาก็ตรัสรู้ในท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงัดสงบ ในป่าในดงอะไรทำนองนั้น ไม่เคยตรัสรู้กันบนปราสาทราชฐาน พระพุทธเจ้าแห่งพุทธศาสนาของเรา ท่านประสูติกลางดิน นี่มันน่าประหลาดที่ว่าท่านเป็นกษัตริย์ พอถึงคราวประสูติไปประสูติกลางดิน ในเมื่อท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็กลายเป็นนั่งกลางดิน โคนต้นไม้แห่งหนึ่งที่ริมลำธาร ไม่ได้ตรัสรู้บนตึกมหาวิทยาลัยราคาล้านๆ ท่านตรัสรู้กลางดินอย่างนี้ แล้วเมื่อท่านสอน ท่านก็สอนกลางดิน จนกล่าวได้ว่าพระไตรปิฎกตั้งมากมายนี้มันมีกำเนิดจากกลางดิน เมื่อนั่งสอนกันกลางดิน หรืออยู่กันตามธรรมชาติ กำลังเดินทางอยู่ก็สอนได้ พักทางชั่วขณะก็สอนได้ อยู่ที่วัดก็สอนกลางดิน นี่เรียกว่าสอนพระธรรมก็กลางดิน แล้วในที่สุดท่านปรินิพพาน ที่เรียกว่าตายนี้ ท่านก็นิพพานกลางดิน หมายความว่าชีวิตของท่านคลุกเคล้ากันอยู่กับธรรมชาติตลอดพระชนมายุ พูดภาษาชาวบ้านไม่หยาบคายสักหน่อยมันก็ว่าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน เป็นอยู่กลางดิน และก็ตายกลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน ไปดูได้ ยังเหลือซากอยู่
เดี๋ยวนี้มานั่งกันกลางดินในสภาพอย่างนี้ มันควรจะได้รับอะไรคล้ายๆกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้รับโดยไม่ต้องเจตนา เมื่อมานั่งกลางดิน มานั่งพูดกันกลางดิน มานั่งฟังกันกลางดินนี้ ผลที่ได้รับมันต่างกับที่เราจะพูดกันในห้องเรียนอันหรูหรา หรือท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอันหรูหรา นี่ก็คือความลับอันหนึ่งที่ว่าถ้าจะเข้าใจธรรมะโดยง่ายแล้วก็จงพยายามใกล้ชิดธรรมชาติ ขนาดที่เรียกว่าเป็นเกลอกันกับธรรมชาติทีเดียว ฉะนั้นจึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจเรื่องนี้ ว่าทำไมจึงต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยที่นั่งกลางดิน อย่าลืมว่ามันเป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า และเป็นสิ่งที่ได้ช่วยให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ จึงต้องตรัสรู้ในท่ามกลางธรรมชาติ จึงขอให้ทุกคนที่มานี้ได้มีความรู้สึกที่เรียกว่า พุทธานุสสติ การระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างมากกว่าธรรมดา คือมานั่งกลางดินนึกถึงพระพุทธเจ้า จะมีความรู้สึกต่อพระพุทธเจ้ามากกว่าอย่างอื่น นี่ขอให้สนใจข้อนี้และจำไว้เป็นที่ระลึกว่าได้มาที่สวนโมกข์วันนี้ และได้นั่งกลางดิน ได้นั่งที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า
นี่คือสรุปความสั้นๆว่าเราจัดธรรมชาติให้เหมาะสมสำหรับจะศึกษาธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาตินั้นก็คือธรรมะนั่นเอง ที่มันสำคัญอยู่ก็คือว่า ต้องศึกษาจากความรู้สึก และโปรดเข้าใจให้ชัดเจนว่าการศึกษาธรรมะนั้นให้ศึกษาจากความรู้สึกที่กำลังรู้สึกอยู่ ไม่ได้ต้องการให้ศึกษาจากหนังสือหนังหาคัมภีร์ตำรับตำราเสียงพูดจาอะไรเหล่านี้ซึ่งมันไม่ชัดเจน มันเป็นสลัวๆ ต้องศึกษาจากความรู้สึกเช่นว่าพอมานั่งตรงนี้ จิตใจเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร นี่เรียกว่าศึกษาจากความรู้สึก สมมติว่ามานั่งตรงนี้วันนี้ที่นี่ จิตใจมันโล่ง มันว่าง มันหยุด มันเย็น มันสงบ มันเงียบ มันสบาย ก็รีบศึกษาความรู้สึกนั้นแหละให้มาก คือรู้สึกในความรู้สึกอันนี้ให้มาก คือชิมรสของความรู้สึกที่ว่ามันสงบ มันหยุด มันเย็น มันสบาย มันว่าง มันโล่ง มันโปร่ง แล้วก็รู้สึกว่าเป็นสุขชนิดใหม่อีกชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนกับไอ้ความสุขสนุกสนานซึ่งเป็นเรื่องกระตุ้นกิเลส มันก็เป็นความรู้สึกร้อน เป็นสุกร้อน เป็น ก.สะกด เดี๋ยวนี้มันรู้สึกเป็นสุขเย็นชนิด ข.สะกด มันก็ไม่ ไม่เหมือนกัน ถ้าเราได้รับความสุขที่เกิดมาจากธรรมะแล้ว มันจะเย็น แล้วก็จะแปลกจากที่เราเคยรู้สึกกันแต่เรื่องสุกร้อนหรือ ก.สะกด
ทีนี้ก็ศึกษาจากความรู้สึกนั้นต่อไปว่า ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ ถ้าฉลาดสักหน่อยก็จะพบว่า เพราะพอเรามานั่ง พอเรามานั่งลงตรงนี้ ไอ้ความคิดนึกประเภทกิเลส ประเภทที่มีตัวตน ความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูนั่นน่ะมันหายไป หรือมันไม่อาจจะเกิดได้ ที่มันกำลังเกิดอยู่มันก็หายไป แล้วมันไม่อาจจะเกิดอีกได้ เพราะฉะนั้นจิตนี้มันจึงว่างไปจากไอ้ความรู้สึกประเภทตัวกูของกู พอมันว่างไปจากความรู้สึกประเภทนี้ มันก็เย็นสบาย เป็นความสุขตามแบบของธรรมะ จัดสงเคราะห์ไว้ในพวกพระนิพพาน สุขเพราะว่างจากการรบกวนของกิเลส ที่เราไปสุขสนุกสนานทางวัตถุทางเนื้อทางหนังนั้นมันยิ่งส่งเสริมกิเลส มันยิ่งกลัดกลุ้มไปด้วยฤทธิ์อำนาจของกิเลส มันก็เป็นความสุขชนิดนั้น คือสุขที่กิเลสเข้ามาเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน พอใจยินดีในสิ่งที่ได้รับ ได้รู้สึก ได้สัมผัสอยู่ ส่วนความสุขชนิดนี้มันเกิดมาจากการที่ว่างไปจากกิเลส คือกิเลสว่างไปชั่วคราวก็ได้ เราไม่ได้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าในขณะนี้มันว่างไปจากกิเลส มันก็มีรสอย่างเดียวกันแหละ เพียงแต่ว่าพระอรหันต์ท่านว่างจากกิเลสเป็นการถาวรเพราะมันหมดกิเลส ส่วนเรานี่ว่างจากกิเลสชั่วคราว แต่ในขณะที่ว่างจากกิเลสนั้นเราก็จะพบรสของความสุขชนิดเดียวกัน แม้จะเป็นของชิมลองเพียงชั่วคราวมันก็เป็นของชนิดเดียวกัน ฉะนั้นขอให้สนใจที่จะรู้ จะศึกษาไอ้ความรู้สึกในเวลาบางครั้งที่จิตว่างไปจากกิเลส มันเป็นอย่างไร นี่เราจะเข้าใจธรรมะ เพราะศึกษาจากภายในอย่างนี้ซึ่งไม่อาจจะศึกษาได้จากหนังสือที่อ่านหรือคำพูดที่อธิบายกันให้มากมายอย่างไร มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ของจริง ถ้าเป็นของจริง ต้องเป็นสิ่งที่รู้สึกอยู่ในภายใน
ดังนั้นเราจึงมุ่งหมายพิเศษโดยเฉพาะยิ่งกว่าอย่างอื่น ว่าจะจัดสถานที่นี้ให้ได้รับความสะดวกในการที่ผู้มาจะได้สัมผัสกับธรรมชาติซึ่งจะช่วยให้เกิดความว่างจากกิเลสแม้เป็นการชั่วคราว ทุกหนทุกแห่งในเนื้อที่ ๓๐๐ กว่าไร่นี้เราก็จัดกันแบบนี้ทั้งนั้น จะไปนั่งตรงไหนก็ได้ ล้วนแต่จะช่วยให้สัมผัสธรรมชาติและธรรมชาติก็จะช่วยให้ว่างไปจากกิเลส คือกิเลสเกิดยาก ถ้าบรรยากาศเป็นธรรมชาติแล้วกิเลสเกิดยาก มันไม่กระตุ้นส่งเสริมการเกิดแห่งกิเลส ถ้าเราไปนั่งกับสิ่งที่มันยั่วยวน มันก็ส่งเสริมการเกิดแห่งกิเลส มันก็ยากอีกเหมือนกันที่จะทำให้ว่างจากกิเลส ฉะนั้นที่นี่ในสภาพอย่างนี้มันก็ง่ายในการที่จะทำให้ว่างไปจากกิเลส พอได้ชิมรสสักหน่อยก็ยังดี เรียกว่าชิมรสของพระนิพพานนิดหนึ่งก็ยังดี ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจศึกษาเรื่องนี้ว่าจิตใจมันแปลกจากเมื่อเราอยู่ที่บ้าน หรือเมื่อที่เราอยู่ที่มหาวิทยาลัย หรืออยู่ที่กุรงเทพ เป็นต้น มันต่างกันอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่ามาถึงสวนโมกข์ ไม่อย่างนั้นมานั่งอยู่ตรงนี้ก็ยังไม่มาถึงสวนโมกข์ เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าจิตใจมันไม่โมกข์ คำว่าโมกข์ แปลว่าเกลี้ยง ถ้าจิตใจยังไม่เกลี้ยงมันก็ไม่โมกข์ ใจของใครที่มานั่งอยู่ที่นี่ไม่เคยเกลี้ยงสักแวบหนึ่ง คนนั้นยังไม่มาถึงสวนโมกข์แม้มานั่งอยู่ที่นี่แล้ว นี่ขอให้ศึกษาโดยตรงจากจิตใจอย่างนี้ และให้รู้จักคำว่าโมกข์ โมกขะนั้นมันแปลว่าเกลี้ยง ไม่มีอะไรฉาบทาผูกมัดรัดรึงก็เรียกว่าเกลี้ยง ภาษาธรรมดาชาวบ้านธรรมดาก็คำนี้ต้องแปลว่าเกลี้ยง แต่ภาษาศาสนาเขาเรียกว่าหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นจากกิเลสมันก็เกลี้ยงอีกเหมือนกัน ฉะนั้นความหมายตามธรรมดาแท้ๆมันแปลว่าเกลี้ยง เราจะมีจิตใจเกลี้ยงได้โดยง่าย โดยการได้รับสิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศในสภาพอย่างนี้
ทีนี้เรามีคำอีกคำหนึ่งสำหรับที่นี่ว่า มหรสพทางวิญญาณ สิ่งประเล้าประโลมใจในทางวิญญาณ แต่ไม่ใช่เพื่อให้เกิดกิเลส มนุษย์มันดีกว่าสัตว์ แล้วมันยังต้องการอาหารอีกชนิดหนึ่ง หรือปัจจัยอีกชนิดหนึ่ง คือสิ่งประเล้าประโลมใจ แม้ว่าจะมีอาหารกิน มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย มีการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ จนไม่มีปัญหาอะไรแล้ว มันยังไม่พอสำหรับมนุษย์ ไม่พอสำหรับกิเลสของมนุษย์ คือมันยังต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจ ดังนั้นจึงมีไอ้สิ่งประเล้าประโลมใจที่คนฉลาดเขาจัดขึ้น แล้วก็เลยเถิดไปถึงว่าจัดขึ้นเพื่อล้วงกระเป๋าคนอื่น นี่สถานบันเทิงเริงรมย์ทั้งหลายมันเป็นสิ่งที่จัดขึ้นเพื่อล้วงกระเป๋าคนอื่น โดยเอาสิ่งประเล้าประโลมใจมาใส่ให้ แต่ว่าสิ่งประเล้าประโลมใจชนิดนั้นมันร้อนทั้งนั้น มันเป็นเรื่องสุก ก.สะกดทั้งนั้น เรายืมคำนั้นมาอีกทีหนึ่ง แต่มาเป็นฝ่ายวิญญาณ เป็นฝ่ายธรรมะ ฉะนั้นจึงได้เรียกชื่อว่า มหรสพทางวิญญาณ บางทีก็เรียกว่าโรงหนังทางวิญญาณ ที่แท้ก็คือสิ่งประเล้าประโลมใจในทางฝ่ายวิญญาณ Entertainment เป็นคำกลางๆ สิ่งประเล้าประโลมใจ ถ้าทำไปด้วยเหยื่อของกิเลสมันก็ได้ไปฝ่ายกิเลส ถ้ามันทำไปด้วยสิ่งที่ควบคุมกิเลส ปราบปรามกิเลส มันก็ได้รับผลเป็นการปราศจากกิเลสแล้วก็สบายใจด้วย คือได้รับความประเล้าประโลมใจเหมือนกัน แต่ชนิด ชนิดแรกมันเป็นไปเพื่อกิเลส ให้กิเลสช่วยประเล้าประโลมใจ ชนิดหลังนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อกิเลส หรือความว่างจากกิเลสนั่นแหละเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ มันจึงได้รับจิตใจที่เยือกเย็น เป็นความสะอาด เป็นความสว่าง เป็นความสงบ นี้ขอให้นึกถึงเรื่องนี้ด้วย ว่าที่สวนโมกข์นี้มุ่งหมายจะให้มีสิ่งประเล้าประโลมใจในทางวิญญาณ คือฝ่ายที่สูงไปกว่าวัตถุ ก็คือธรรมะนั่นเอง ฉะนั้นจึงจัดให้สวนโมกข์ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องประเล้าประโลมใจ ด้วยการถึงธรรมชาติแล้วสงบเย็น นี้เรียกว่าเอาธรรมชาติล้วนๆ ๑๐๐% มาเป็นปัจจัยแห่งการประเล้าประโลมใจ
ทีนี้ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่ง อีกแผนกหนึ่ง คือธรรมชาติที่ถูกดัดแปลง เช่นเรามีสระมะพร้าวนาฬิเกร์ทางทิศใต้นี้ ไม่ใช่ธรรมชาติแท้ แต่ดัดแปลงธรรมชาติให้เป็นรูปสระใหญ่มีต้นมะพร้าวอยู่กลางสระ สำหรับไปศึกษาเรื่องของพระนิพพาน ให้เกิดภาพพจน์เกี่ยวกับพระนิพพาน ว่าพระนิพพานนั้นอยู่ท่ามกลางของวัฏฏสงสาร เป็นความดับทุกข์ที่หาพบในท่ามกลางความทุกข์ เราจะดับไฟ เราจะมีความการดับไฟต้องไปดับที่ไฟ ฉะนั้นการดับไฟมันอยู่ที่ไฟ ต้องดับไฟลงไปจึงจะเป็นการดับไฟ ไอ้การดับทุกข์นี้ก็เหมือนกัน ต้องมีความทุกข์และก็ดับลงไปมันจึงจะอยู่ที่นั่น ฉะนั้นท่านจึงว่านิพพานนั้นอยู่ท่ามกลางวัฏฏสงสาร ความดับไฟอยู่ท่ามกลางไฟ ไฟใหญ่ก็ดับได้มาก ก็เป็นความเย็นมาก และมันก็เย็นมากมันกลับอยู่กลางกองไฟใหญ่ คิดนึกได้อย่างนี้ก็เข้าใจเรื่องนิพพาน เรื่องวัฏฏสงสาร ไปนั่งที่ริมสระแล้วก็เพ่งดูมันจะเกิดไอ้ความรู้สึกอันนี้หรือไม่ ช่วยกันใช้ประโยชน์ของสิ่งที่มีให้ใช้ มีอยู่ในสวนโมกข์นี้
แล้วทีนี้ก็ยังมีมหรสพทางวิญญาณอีกประเภทหนึ่ง คือเป็นของที่จัดขึ้นล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวกับธรรมชาติ คือตึกหลังนี้ ที่อยู่ที่เห็นมองเห็นอยู่ ตึกหลังนี้ข้างในเต็มไปด้วยภาพเขียน ข้างนอกเต็มไปด้วยภาพหินสลักจำลองมาจากประเทศอินเดีย นี้ไม่เกี่ยวกับธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น ก็เพื่อมหรสพทางวิญญาณด้วยเหมือนกัน ถ้าเข้าไปดูภาพในตึกนี้ ถ้าเข้าใจ จะรู้สึกต่อธรรมะ แล้วก็จะรู้สึกเป็นสุขสนุกสนานเป็นมหรสพทางวิญญาณกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือไม่อยากจะสนใจมันก็คงจะรำคาญ เพราะไม่รู้ว่าภาพอะไรดูยุ่งๆไปหมด อย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ มันก็ไม่ได้รับมหรสพทางวิญญาณ แต่ถ้าพยายามเข้าใจภาพใดภาพหนึ่ง แล้วจะเกิดความรู้สึกสนุกสนานและเป็นสุขที่ได้รับมหรสพทางวิญญาณ เป็นการศึกษาในทางศิลปะก็ได้ เป็นการศึกษาอย่างอื่นๆก็ได้ แต่เราต้องการให้ศึกษาธรรมะจากรูปภาพ
การใช้ธรรมะ อ่า, การใช้รูปภาพเพื่อสอนธรรมะนี้เป็นวิธีโบราณของบรรพบุรุษของเรา สมัยที่ประชาชนไม่รู้หนังสือ เขาสอนธรรมะกันด้วยรูปภาพ จึงเขียนที่ฝาผนังโบสถ์บ้าง ในสมุดข่อยบ้าง ให้ดูกัน พอเข้าใจรูปภาพก็เข้าใจธรรมะ คนพวกนั้นจึงเข้าใจธรรมะทั้งที่ไม่รู้หนังสือ แล้วยังจะเข้าใจธรรมะลึกซึ้งถึงส่วนลึกของจิตใจยิ่งกว่าคนที่รู้หนังสือสมัยนี้เสียอีก อย่าหาว่าอาตมาดูหมิ่นดูถูกด่าทออะไร ก็จะพูดว่าปู่ย่าตายายที่ไม่รู้หนังสือ ศึกษาธรรมะ รู้ธรรมะยิ่งกว่าไอ้ลูกหลานสมัยที่มันรู้หนังสือกันเป็นบ้าเป็นหลัง ก็ยังไม่เข้าใจธรรมะ ฉะนั้นเราจึงใช้วิธีอันนั้น คือวิธีเดิมของบรรพบุรุษ สอนธรรมะด้วยรูปภาพในตึกหลังนี้ ถ้าได้รับธรรมะก็เป็นสุขสนุกพอใจในด้านวิญญาณ คำว่า ด้านวิญญาณ นี้ครูบาอาจารย์นักศึกษาทั้งหลายคงจะเข้าใจได้ง่าย แต่ชาวบ้านทั้งหลายนั้นคงจะเข้าใจได้ยาก
คือเรื่องเกี่ยวกับคนเรามันมีเรื่องด้านร่างกายเป็น Physical Faculty ทีนี้สูงขึ้นมาเป็นเรื่องจิต เรื่อง Mental Faculty แล้วเป็นเรื่องสูงขึ้นมาอีก เป็นเรื่องทางวิญญาณ เขาเรียกว่า Spiritual Faculty มันไม่ใช่เรื่องจิตล้วนๆ มันเป็นเรื่องของสติปัญญา ความคิด ความเห็น ความเชื่อ หรือความรู้สึกแห่งจิตใจ นี่มันเป็นเรื่องธรรมะนั่นแหละ ถ้าเราไม่สบายทางกายก็ไปโรงพยาบาลทางกาย ถ้าไม่สบายทางจิตก็ไปโรงพยาบาลทางจิต แต่ถ้าไม่สบายทางวิญญาณต้องมาหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีการบำบัดโรคในทางวิญญาณ นี่คือความหมายของคำว่า ทางวิญญาณ ให้เรามีเรื่องทางวิญญาณที่ได้ปรับปรุงกันไว้เพื่อจะเขยิบมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ให้มันสูงขึ้นมา ถึงระดับที่เรียกกันว่าทางวิญญาณ นี่ภาพเขียนเหล่านี้จะช่วยได้ ให้ความสะดวก ให้ความง่ายในการจำ ในการช่วยให้จำง่าย ช่วยให้คิดได้ง่าย
ทีนี้ด้านนอกโดยรอบของตึกหลังนั้น ที่เห็นดูเป็นหินสลักน่ะ ที่จริงไม่ใช่หินล่ะ มันเป็นของจำลองโดยปูน แต่ทำให้คล้ายหิน ถอดรูปแบบมาจากประเทศอินเดียที่เขามีอยู่ที่พระเจดีย์เก่าๆตั้ง ๒,๐๐๐ ปีขึ้นไป คือว่าเป็นสมัยที่ยังไม่มีพระพุทธรูป เขาก็มีเรื่องสลักพุทธประวัติไว้โดยภาพหินสลักเหล่านี้ ฉะนั้นจึงไม่มีรูปพระพุทธเจ้าที่เป็นอย่างมนุษย์ เพราะว่าสมัยนั้นเขาไม่มีรูปพระพุทธรูป หรือรูปพระพุทธเจ้าอย่างเป็นมนุษย์ เขาถือเป็นหลักว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นไม่อาจจะแสดงได้ด้วยรูปภาพ ถ้าแสดงด้วยรูปภาพเป็นรูปคนนี้มันเป็นการแสดงเปลือกเกินไป แล้วไปจับไอ้นั้น จับสิ่งนั้นว่าเป็นพระพุทธเจ้านั้นมันโง่ ฉะนั้นเขากลัวจะโง่ เขาจึงไม่แสดงพระ พระพุทธเจ้าด้วยรูปภาพ ก็เลยทิ้งไว้เป็นที่ว่าง เป็นความว่าง ซึ่งจะหมายถึงพระนิพพานก็ได้เพราะพระนิพพานคือว่างอย่างยิ่ง ว่างจากกิเลส ไปดูเถอะทุกภาพจะไม่มีรูปพระพุทธเจ้า รูปพระสิทธัตถะรูปอะไรไม่มี เขาจะทิ้งว่างไว้ ที่นั่งก็ว่าง หลังม้าก็ว่าง ตรงไหนก็ว่าง หรือบางทีก็ทำสัญลักษณ์เล็กๆน้อยๆไว้ที่ตรงนั้นเป็นสัญลักษณ์
นี่สมัยแรกนั้นเขาไม่ทำพระพุทธรูป แล้วหินสลักชุดนี้ในประเทศอินเดียก็กล่าวได้ว่าเป็นหินสลักพุทธประวัติชุดแรกในโลก ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครเคยทำ ก็ทำขึ้นในประเทศอินเดียเป็นชุดแรก มันก็เป็นชุดแรกของโลก ก็เป็นพุทธประวัติชุดแรกที่ไม่มีรูปพระพุทธรูป นี่ขอให้สนใจดูให้ดีทุกๆภาพ และครั้งแรกทีเดียวแม้แต่รูปพระสงฆ์ก็ไม่ยอมทำเป็นในรูปคน ไม่ทำเสียเฉยๆอย่างนั้นน่ะ แล้วต่อมาจึงกล้าทำรูปพระสงฆ์ แล้วต่อมาจึงกล้าทำรูปพระพุทธเจ้า นี่มันตกมาถึงพ.ศ.๖๐๐-๗๐๐ แล้วจึงกล้าทำรูปพระพุทธเจ้าก่อนหน้านั้นไม่กล้าทำ แต่เขาก็สามารถสลักภาพหินสลักนี้เป็นเรื่องพระพุทธเจ้าติดต่อกันไปจนตลอดเรื่อง ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพานได้เหมือนกัน ขอให้ลองคิดดู และทำไว้ตั้งสองพันปี เมื่อพ.ศ.๔๐๐-๕๐๐ ตอนนั้นไม่มีการใช้หนังสือ ก็ยังไม่มีการใช้หนังสือในประเทศอินเดีย เพราะฉะนั้นตอนนั้นพระพุทธประวัติที่เขียนเป็นหนังสือก็ยังไม่มี พ.ศ.เกือบ ๑,๐๐๐ น่ะจึงจะมีพุทธประวัติที่เขียนขึ้นเป็นเล่มหนังสือ แล้วเขียนมากที่สุด พ.ศ.๑,๒๐๐-๑,๓๐๐ ฉะนั้นพุทธประวัติที่เราเรียนๆกัน เช่นคัมภีร์พุทธจริต ลิต ลลิตวิสตระ ปฐม สมโภช อะไรก็ตาม มันเพิ่งเขียนและเขียนจากหินสลักเหล่านี้ทั้งนั้น เรื่องมันก็ตรงกันน่ะ เพราะว่าหนังสือมันเขียนจากหินสลัก นี่ถ้าสนใจในแง่โบราณคดี แง่ประวัติศาสตร์ ก็ลองศึกษากันในส่วนนี้บ้าง และก็ดูรูปภาพคน บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอยอะไร ก็พอจะรู้ได้ว่าสมัยนู้นเขามีเครื่องใช้ไม้สอยกันอย่างไร เครื่องแต่งม้าแต่งรถแต่งช้าง เครื่องดนตรี เครื่องประดับกาย มันมีอย่างไรนี่ ก็มีประโยชน์อย่างนี้ ขอให้ศึกษาด้วยถ้าพอใจมันก็เป็นมหรสพทางวิญญาณได้เหมือนกัน
รวมความว่าตึกหลังนั้นก็เป็นมหรสพทางวิญญาณ แต่ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติล้วนๆ หรือครึ่งธรรมชาติ มันเป็นเรื่องของมนุษย์ทำโดยตรง ก็รวมความว่าเราก็มีมหรสพทางวิญญาณเต็มที่ ตามที่เราจะทำได้ เป็นธรรมชาติล้วนๆก็มี ครึ่งธรรมชาติก็มี คนทำล้วนๆก็มี ก็เพื่อจะให้ผู้ที่มานี้ได้รับประโยชน์ด้วย ความรู้ด้วย สนุกสนานเป็นที่พอใจอย่างกับมหรสพด้วย แต่ขออภัย จะแสดงความเสียใจหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก ว่าเรายังไม่ได้รับผลอันนี้เต็มตามที่เราหวัง มหรสพทางวิญญาณนี้จัดมาตั้งแต่ พ.ศ.๒,๕๐๕ ถ้านับมาถึงเวลานี้ก็เท่าไรล่ะ ๑๗ ปีแล้ว ยังไม่ได้รับผลเป็นที่พอใจ เพราะว่าผู้ที่มาๆนี้ไม่สนใจที่จะได้รับประโยชน์ถึงขนาดนี้ มาดูลักๆเลิกๆ แล้วก็ไป มาดูโดยไม่ทันเข้าใจแล้วก็ไป ทีนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์ ไม่ได้รับลูกตาที่เราแจก ไม่ได้รับมหรสพทางวิญญาณที่เราหวังจะให้ ก็เลยโมโหขึ้นมา เขียนรูปภาพติดไว้ที่หัวตึกนั้นไปดูพรุ่งนี้ก็ดูก็แล้วกัน รูปแจกลูกตา รูปอวโลกิเตศวรแจกลูกตา สองสามคนเข้าไปรับลูกตา นอกนั้นกลับ วิ่งกลับหัวขาดไม่มีอะไร วิ่งไปเป็นฝูงๆ มันเป็นฝูงๆที่วิ่งกลับไป หัวขาดคือไม่ได้รับลูกตา ไม่ยอมรับแจกลูกตาสองสามคนเท่านั้นก็ ก็ยอมรับแจกลูกตา เทียบ ถ้าเทียบเปอร์เซ็นต์กันแล้วน้อยมาก นี้อาตมาก็ยังสงสัยอยู่ว่าในหลายๆสิบหลายๆร้อยคนที่นั่งอยู่ที่นี่จะมีคนยินดีรับลูกตาไปกี่คนก็ยังไม่ทราบ พรุ่งนี้ก็จะรู้กันเองด้วยตนเองว่าจะได้รับลูกตาหรือไม่ ไม่รับลูกตา
นี่เรื่องของสวนโมกข์ที่จัดขึ้นมาในลักษณะที่จะสอนธรรมะโดยวิธีธรรมชาติ แล้วก็โดยวิธีที่ให้เกิดความพอใจ ประเล้าประโลมใจในทางจิตทางวิญญาณ จึงได้เรียกอาคารหลังนี้ว่าโรงหนัง เพื่อจะหลอกเด็กๆให้มาสนใจก่อน แล้วก็ค่อยมารู้กันทีหลัง นี้คนโตๆแล้วก็ไม่ควรจะถูกหลอก มันควรจะไปใช้มันให้เป็นประโยชน์ ได้รับความพอใจ คือมีธรรมะเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจตามสมควรแก่การมา ก็จะได้ชื่อว่ามาถึงสวนโมกข์เป็นแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาก็อยากจะพูดว่าไม่คุ้มค่าที่เสียเวลามา เหนื่อยมา เสียค่าน้ำมันรถมา เสียค่ารถไฟมาอะไรต่างๆ คือมันก็ต้องเสีย แล้วมันจะไม่คุ้มค่า ฉะนั้นขอร้องให้พยายามทำให้คุ้มค่าในการที่ได้มา
ถ้าไปเที่ยวทั่วๆไปทั้งวัด มันก็ยังมีที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเยือกเย็นตามธรรมชาติ ธรรมชาติช่วยแวดล้อมจิตใจให้หยุด ให้เย็น ให้เกลี้ยง ให้ว่างนี่อยู่หลายๆแห่ง ที่ตรงศูนย์กลางของวัดนั่นเป็นภูเขา เป็นยอดภูเขา บนยอดภูเขานั้นแหละจัดเป็นสี วิสุงคามสีมา จะทำพิธีต่างๆกันที่บนนั้น บนยอดเขานั้น เช่นพิธีมาฆบูชา พรุ่งนี้ถ้าใครยังอยู่ ก็คงจะได้ไปทำพิธีมาฆบูชาบนยอดเขา เขาเรียกว่าเขาพุทธ พุทธทอง นี่ภาษาอย่างนี้สำหรับบ้านนี้ ก็ ก็ต้องหมายความว่ามีพระพุทธรูปที่เป็นทองหรืออะไรทำนองนั้น
นี่อาตมาขอแนะนำให้รู้จักสวนโมกข์ในฐานะเป็นธรรมชาติที่จัดไว้เพื่อเข้า เข้าถึงธรรมชาติคือพระธรรม และเป็นที่ที่จะให้ได้รับความพอใจในด้านจิตด้านวิญญาณ จึงเรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ อาตมาขอแสดงความยินดีต้อนรับท่านทั้งหลายที่มา และขอแสดงความหวังว่าท่านจะต้องได้รับประโยชน์จากการมาอย่างคุ้มค่ากัน แล้วบางทีจะถือโอกาสพูดตามธรรมเนียมเสียด้วยว่า ถ้าการต้อนรับมันบกพร่องก็ขออภัยด้วย เพราะมันๆจน มันไม่มีที่พักที่สะดวกสบายหรือเพียงพอกัน นี่ก็ต้องขออภัยด้วย แล้วอาตมาเสียอีกจะขอบใจท่านทั้งหลาย ไม่ใช่ท่าน ไม่ใช่ท่านทั้งหลายจะต้องขอบใจอาตมาหรือขอบใจวัด วัดนี่จะขอบใจท่านทั้งหลายว่าท่านทั้งหลายได้มาชวน มาได้มาช่วยทำให้วัดนี้มีประโยชน์ไม่เป็นหมัน เราต้องการให้วัดนี้มีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย แก่ประชาชน และท่านก็ได้มาทำให้วัดนี้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เจ้าของวัดขอขอบใจท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ต้องขอบใจเจ้าของวัด วัดนี้มันแปลกอยู่อย่างนี้
เอาล่ะ, เป็นอันว่าเราได้พูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับสวนโมกข์ว่ามีอย่างไร มีทำไม จะ จะใช้สวนโมกข์นี้ให้เป็นประโยชน์อย่างไร ก็พอสมควรแก่การที่ท่านทั้งหลายจะเข้าใจ แล้วพรุ่งนี้ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตรงนี้เรียกว่าโค้งหิน เป็นที่ทำพิธีต่างๆ ทุกอย่างมันเป็นสารพัดอเนกประสงค์ ที่จะใช้สถานที่ตรงนี้ ตรงโน้นขึ้นไปที่ไหล่เขานั่นก็มีโรงเรียนหิน สำหรับอบรมวิชาเหมือนกับชั้นเรียน แต่ก็นั่งกลางดิน ใช้โต๊ะก้อนหินรองกระดาษเขียนหนังสือ ที่โรงเรียนหินนั้นก็ควรจะไปเยี่ยมด้วย เพราะใช้เป็นโรงเรียนสำหรับอบรมบุคคลมาหลายประเภทแล้ว นักเรียนนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆก็หลายชุดหลายพวกหลายปีมาแล้ว หนังสือเล่มโตๆดำๆที่เรียกว่าชุดธรรมโฆษณ์ มหิดลธรรม โมกขธรรมประยุกต์ บรมธรรมอะไรก็ล้วนแต่เป็นคำบรรยาย อบรมนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยนั้นๆ เมื่อปีก่อนๆนู้นทั้งนั้น อบรมผู้พิพากษาคือผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาก็หลายชุดมาแล้ว อบรมชาวบ้านก็มี อบรมอาจารย์วิปัสสนาก็มี ช่วยไปเยี่ยมโรงเรียนหินที่ไหล่เขาไอ้ตรงข้างหลังนี้ด้วย จะช่วยให้เห็นสวนโมกข์อย่างทั่วถึง จะได้รับความรู้ความเข้าใจ คุ้มค่ามา
และในที่สุดขอให้พบหลักว่าเรายึดถือหลักอย่างนี้ ยึดถือหลักอยู่กับธรรมชาติ ยึดถือหลักที่ว่าจะใช้จ่ายให้น้อยที่สุด ลงทุนทางเงินทองทุนทรัพย์นี่ให้น้อยที่สุด แต่แล้วให้ได้ประโยชน์มากมายมหาศาลยิ่งกว่าที่เขาจะลงทุนกันเป็นแสนเป็นล้าน และต้องการให้เป็นอยู่อย่างต่ำๆ พระเณรที่อยู่ที่นี่ก็เป็นอยู่อย่างต่ำๆ เรียกว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส นี่เป็นอยู่อย่างต่ำที่สุดแล้ว แล้วก็มุ่งหวังที่จะทำให้สูง ให้รับประโยชน์ในทางสูงในทางจิตใจ เป็นอยู่ต่ำๆ แต่มีการกระทำอย่างสูง ลักษณะอย่างนี้จะเห็นได้ทั่วไป ทั่วๆไปในวัดนี้ ถ้าใครชอบใจก็เอาไปใช้ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ จะกินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาสกันดูบ้าง แม้เป็นนักเรียนนักศึกษาก็จะได้รับประโยชน์ในทางจิตใจ จิตใจมันไม่ฟุ้งซ่าน มันเป็นสมาธิและมันเข้มแข็ง ทำให้มีการเรียนดี มีการงานดี มีอะไรเป็นที่น่าพอใจ หวังว่าคงจะได้รับประโยชน์จากการมาสู่สถานที่นี้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ด้วยกันทุกคน
อาตมาขอยุติคำปราศรัยต้อนรับท่านทั้งหลายและแนะนำสวนโมกข์นี้ เพราะเป็นการสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านประสบความสำเร็จมีความสุขสวัสดีเป็นผลการมาที่นี่อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเถิด.
บทสนทนาหลังการบรรยายธรรม (หลังจาก นาทีที่ 43:24 เป็นต้นไป)
ท่านพุทธทาส : คุณเปงฮั้วมีอะไรอีกล่ะ พูดอะไรยังไม่จบอีก คุณน่ะ
คุณเปงฮั้ว : โพธิสัตว์อยู่องค์หนึ่งแขนขาดครึ่งตัว และนี่ก็มีคนถามผมบอกว่าพระโพธิสัตว์นี่แขนขาดหรืออย่างไร ผมก็งงนะ เพราะว่าอยากจะถามท่านอาจารย์ว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ได้มาจากไหน ก็ทำไมแขนจึงขาด
ท่านพุทธทาส : เพราะท่านทำงานมาก ทำงานมากกว่าคุณเปงฮั้วหลายร้อยเท่า
คุณเปงฮั้ว : อ้อ
ท่านพุทธทาส : แขนมันเลยขาดไป
คุณเปงฮั้ว : อ้อ อ้อ
ท่านพุทธทาส : พระโพธิสัตว์ท่านทำงานมาก
คุณเปงฮั้ว : ครับ
ท่านพุทธทาส : เพราะตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้ายังมี ยังมีมนุษย์ได้รับความทุกข์อยู่ในโลกแม้แต่คนเดียวนั่น พระโพธิสัตว์จะไม่พยายามเข้าสู่พระนิพพาน ทำงานมากจนแขนขาดไป
คุณเปงฮั้ว : ครับ
ท่านพุทธทาส : ดีไหม
คุณเปงฮั้ว : ครับ ก็อยากทราบประวัตินะฮะ ว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้น่ะ ท่านได้มาจากไหน
ท่านพุทธทาส : นี้ รูปพระโพธิสัตว์นี้เป็นรูปจำลองขึ้นมาจากองค์จริง องค์จริงเป็นของสัม อ่า, เป็นทำด้วยสัมฤทธิ์ ที่เขาเรียกว่า Bronze น่ะ นี่อยู่ที่วัดพระธาตุ ทิ้งอยู่ข้างต้นโพธิ์ ข้างประตูกำแพงแก้ว กรมพระยาดำรงฯ ท่านเสด็จมาเห็นเข้า ท่านก็เอาไปไว้กรุงเทพ เป็นชิ้นเอกที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเทพ เข้าไปในห้องสัมฤทธิ์ก็จะเห็นพระพุทธ อ่า, พระโพธิสัตว์องค์นี้ตั้งอยู่อย่างสง่า ถ้าตีราคา เมื่อมีการประกันเอาลงเรือไปต่างประเทศนี่ ๓ ล้านบาท จะยืมไปแสดงที่ประเทศไหน ต่างประเทศนั้นก็ต้องตีราคา ๓ ล้านบาท เพราะมันมีองค์เดียวในประเทศไทย หรือว่าในทวีปเอเชียนี้ก็ได้ เป็นของสมัยศรีวิชัย คือประมาณ ๑,๒๐๐-๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว ๑,๒๐๐ หรือ ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว มันเป็นสัมฤทธิ์ แม้จะเป็นสัมฤทธิ์มันก็ต้องผุกร่อนได้ อาตมาคิดว่าก่อนนี้พระโพธิสัตว์องค์นี้สมบูรณ์ทั้งตัวแหละ ตามแบบที่เห็นๆอยู่ในอินเดียก็มี ที่คล้ายนี้ ประดิษฐานอยู่เป็นองค์ประธานในพระเจดีย์พระบรมธาตุที่วัดพระธาตุ ในรูปแบบที่ว่าเป็นพุทธศาสนาอย่างมหายาน
ทีนี้ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาเปลี่ยนเป็นเถรวาท พวกเถรวาทเข้ามา ก็เห็นว่านี้มันไม่ใช่พุทธศาสนาที่ถูกต้อง ก็ถอดออกมาเสียจากที่ประธานนั้น เอามาทิ้งไว้ที่โคนต้นโพธิ์ แล้วบางทีคงจะแกล้งทุบให้ขาหักแขนขาดเสียด้วยซ้ำไปก็ได้ ไปโมโหว่าไม่ใช่เป็นพุทธศาสนาที่แท้จริงอย่างนี้ก็ได้นะ พระโพธิสัตว์องค์นี้จึงแขนขาด ขาขาด หัวขาดในตอนยอดขาด หรือว่าเพราะว่ามันเป็น Bronze น่ะมันเป็นโลหะ มันเก่า มันรื้อขนแล้วมันก็หัก ขาดและก็สูญหายไปเสีย เหลือแต่ท่อนองค์อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน
ควรจะหาโอกาสไปเยี่ยมชมและไหว้พระบรมธาตุที่วัดพระธาตุไชยานั้น เพราะตรงรั้วกำแพงแก้วริมรั้วริมนอกตรงนั้นน่ะ เป็นที่พบพระโพธิสัตว์องค์นี้ เดี๋ยวนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์กรุงเทพ แล้วเราก็ช่วยกันจำลองมาไว้ที่นี่ ที่พิพิธภัณฑ์นี้ ที่วัดนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกว่ามันเป็นของที่เอาไปจากนี่ ทีนี้องค์ใหญ่ที่อยู่ที่สนามหญ้านั้นน่ะไว้เป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ ใครไปใครมาก็ได้ถ่ายรูปกับพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่นั้นในฐานะว่าเป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ แล้วก็เอาไปเป็นที่ระลึก จารึกคำว่าสุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี ๔ คำนี้ไว้เป็นธรรมะสำหรับเราจะได้ประพฤติตามพระโพธิสัตว์ ว่าจงมีสุทธิ คือความบริสุทธิ์หมดจด ไม่ชั่วไม่เลวไม่มีความลับ และก็มีปัญญาเพียงพอที่จะแก้ปัญหาดับทุกข์ได้ มีเมตตารักใคร่เพื่อนมนุษย์ในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แล้วก็มีขันตี คือความอดกลั้นอดทนซึ่งเป็นธรรมะสำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้ จะมีธรรมะอย่างอื่นๆ ถ้าขาดขันตีอย่างเดียวแล้วมันเป็นไปไม่ได้ มันเหลวหมด จะสุทธิอยู่ไม่ได้ จะเมตตาอยู่ไม่ได้ จะปัญญาอยู่ไม่ได้ฉะนั้นเอาขันตีเป็นฐานรองรับไว้ ช่วยสังเกตดูด้วยตนเองทุกคนว่า เราอยู่ได้หรือเรารอดไปได้ด้วยกำลังของความอดทนเป็นส่วนใหญ่ แม้มีปัญญาถ้าไม่มีความอดทนมันก็ยังล้มเหลวอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นขอให้นึกถึงเรื่องขันตี ความอดทนนี้ให้มาก ยิ่งเป็นใหญ่เป็นโตยิ่งต้องอดทนมาก ยิ่งหน้าที่การงานกว้างขวางยิ่งต้องอดทนมาก ยิ่งเป็นนายยิ่งต้องอดทนมากกว่าเป็นบ่าว
ธรรมะถอดออกมาจากความหมายของพระโพธิสัตว์ ๔ คำ ว่าสุทธิ-บริสุทธิ์ ปัญญา-รอบรู้ เมตตา-รักใคร่ ขันตี-อดทน ขอให้ไปดูพระโพธิสัตว์ที่ว่านี้ด้วยกันทุกคน แล้วก็ไปถ่ายรูปกับท่านไว้เป็นที่ระลึกด้วยเมื่อกลับไป เอ้า, มีอะไรอีก
คุณเปงฮั้ว : ขอเรียนถามอาจารย์อีกเล็กน้อยฮะว่า พระโพธิสัตว์นะฮะในฝ่ายมหายาน ซึ่ง อ่า, ท่านอาจารย์น่ะยอมรับเอามาไว้ข้างๆกุฏินั้นน่ะ ก็หมายความว่าเป็นพระพุทธศาสนาหรือเปล่า
ท่านพุทธทาส : อ้าว, ก็เป็นพุทธศาสนาสิ อาตมาชอบ อาตมานี้ไม่ใช่มหายาน ไม่ใช่เถรวาท ชอบพุทธศาสนาที่มีความหมายที่มีเหตุผล พระโพธิสัตว์นี้ เขามีความหมายดีคือว่าจะต้องคิดช่วยซึ่งกันและกัน แล้วก็รับใช้พระพุทธเจ้าในการที่จะรักษาศาสนาไว้ให้คงอยู่ อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์องค์นี้เขาเรียกว่า อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ มีความหมายพิเศษมาก อมิตาภะ แปลว่าแสงสว่างที่คำนวณไม่ได้ อมิตายุ มีแสง อายุที่คำนวณไม่ได้ ก็หมายถึงธรรมะชั้นสูงสุดที่จะทำให้คนลุถึงไอ้อมิตาภะ อมิตายุ พระโพธิสัตว์นี้เป็นพระโพธิสัตว์สนองบัญชาของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ แล้วยังมีตาราอีก คือมีฝ่ายผู้หญิงเรียกว่า ศักติ ก็ช่วยทำงานตามแบบผู้หญิง เราไม่มี เรามีแต่รูปโพธิสัตว์ที่เป็น เรียกว่าผู้ชาย ในภาษาอินเดียเดิมๆนั้น เขาเรียกว่าอวโลกิเตศวระ อวโลกิเตศวร เป็น เป็นคู่ปรับกันกับพระอิศวรฝ่ายฮินดู ฮินดูก็มีพระอิศวร ให้คนอ้อนวอนขอร้องอะไรต่างๆตามความพอใจ ทีนี้ในพุทธศาสนาเราก็มีอวโลกิเตศวรนี้เหมือนกับพระอิศวร ใครชอบพระเจ้า ชอบมีพระเจ้า ชอบมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับขอร้องอ้อนวอน ก็มีให้ เพื่อว่าเดี๋ยวไม่มีให้แล้วก็จะไปถือฮินดูกันเสียหมด
ให้รู้ว่าในพุทธศาสนาก็มีอวโลกิเตศวรนี้ให้ในฐานะเป็นพระเจ้า พระเจ้าแห่งสุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตีเหล่านี้ พอไปถึงบ้านของคุณเปงฮั้ว เขาไปเรียกเสียว่ากวนอิมเนี้ย ไปถึงเมืองจีนนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นกวนอิม เป็น ไปเมืองญี่ปุ่นเรียกว่าแกวนนอน ไปเมืองจีนเรียกว่ากวนอิม ที่จริงก็คืออวโลกิเตศวรนี้ เอ้า, มีอะไรอีกล่ะ
คุณเปงฮั้ว : คือคำว่ากวนอิมนี่ พระโพธิสัตว์กวนอิมนี่ก็แปลมาจากคำว่า อวโลกิเตะ โลกิเตศวระ
ท่านพุทธทาส : จะแปลกันที่ ทำไมมีสองคำสองพยางค์สั้นๆ อวโลกิเตศวระน่ะหลายพยางค์นี่ ของคุณมีสองพยางค์น่ะ
คุณเปงฮั้ว : ศวระนั้นแปลว่าเสียง แต่นี้ผู้ที่สำเร็จ พิจารณาในเสียงนั้นได้รับการสำเร็จ คือหมายความว่าผู้หลุดพ้นจากการที่เข้าไปพิจารณาเสียง เรียกว่ากวน กวนแปลว่าเข้าไปพิจารณาครับ เอาละครับขอขอบพระคุณท่านอาจารย์
ท่านพุทธทาส : ก็จำไว้คุณเปงฮั้วเขาอธิบายให้ฟัง อวโลกิตะแปลว่ามองดู อิศวระแปล คืออิศวรหรืออิศวระ นี่แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้คอยมองดูโลกสอดส่องโลกอยู่เพื่อจะช่วยโลก นี่คือความหมายของคำว่าอวโลกิเตศวระ เรียกสั้นๆว่า อวโลกิเตศวร คนมันขี้เกียจออกเสียงยาวๆ มันเรียกสั้นๆว่าโลเกศวร อย่างนี้ก็มี โลเกศวร
คุณเปงฮั้ว : ก็ อ่า, ภาษาจีนเขาเรียกว่า มีสอง เรียกได้สองอย่าง อีกอย่างหนึ่งก็กวนอิม อีกอย่างหนึ่งก็กวนจื่อไจ๋ กวนจื่อไจ๋หมายความว่า
ท่านพุทธทาส : แปลว่าอะไร
คุณเปงฮั้ว : อ่า, เป็นผู้ที่สามารถเข้าไปมองดูโดยการอิสระ เป็นการอิสระ คือว่าเข้าไปเป็นผู้อิสระ ฉะนั้น อ่า, โพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรนี้ จึงเป็นผู้อิสระ สามารถที่จะมี อ่า, มีอิทธิฤทธิในการที่จะแปลงกายนี้ได้ ๓๒ กาย มี ๗ กายที่เป็นผู้หญิงนะฮะ เป็นเพศหญิง ฉะนั้นเราก็ เอ่อ, ชื่นชมใน ในกายของเพศหญิงนี้จึงเรียกว่ากวนอิมเนี้ย เป็นอย่างนี้ครับ เอาล่ะครับ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ขอบคุณครับ
ท่านพุทธทาส : ง่วงนอนแล้วหรือ ธรรมะนี้เป็นของแปลกนะ จะให้เป็นผู้หญิงไปช่วยในกรณีผู้หญิงก็ได้ จะให้เป็นผู้ชายไปช่วยในกรณีผู้ชายก็ได้ แล้วแต่ว่าเราจะต้องการอย่างไร นั่นคือประโยชน์หรืออานิสงส์ของพระธรรม กระทั่งช่วยให้พ้นความเป็นผู้หญิง พ้นความเป็นผู้ชาย หมดปัญหาไปเลยก็ได้
ใครมีกล้องถ่ายรูปก็ไปถ่ายเวลาราว ๙ โมงเช้าหรือ ๑๐ โมงเช้านะ เวลาอื่นถ่ายไม่ได้สวยนะไอ้รูปๆนั้นน่ะ รูปอวโลกิเตศวรต้องถ่าย ถ่ายตอนสายๆ ตอนเช้า และตรงนี้ยังมีต้นสาละ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าประสูติและปรินิพพานอีกต้นหนึ่ง ถ้าจะถ่ายรูปต้องถ่ายเวลาบ่าย บ่ายโมง บ่ายสองโมง จึงจะถ่ายได้สวย บอกให้นักเลงถ่ายรูปรู้ไว้ ว่าของที่จะถ่ายรูปในวัดนี้ น่าจะชั้นสูงสุดศักดิ์สิทธิ์น่ะมีรูปต้นสาละนี่ ไปยืนไปนั่งไปนอนไปไหว้ใต้ต้นสาละว่าเป็นที่พระพุทธเจ้าประสูติและปรินิพพาน เป็นสัญลักษณ์ และก็ไปถ่ายรูปอวโลกิเตศวร และก็ไปถ่ายรูปพระนิพพานที่สระนาฬิเกร์ ไปทำความเข้าใจสระนาฬิเกร์แล้วจะรู้ว่านี่คือรูปภาพของพระนิพพาน และไปถ่ายต้นมะพร้าวนาฬิเกร์อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง บทกล่อมลูกที่มีมาไม่รู้แต่เมื่อไร เดี๋ยวนี้ก็ร้องได้กันแต่คนแก่ๆหง่อมๆทั้งนั้นแหละ ว่า
มะพร้าวนาฬิเกร์
ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง
ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง
กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ
ผู้พ้นบุญหมายความว่าไม่ ไม่มีบาปและมีบุญ แล้วเลยบุญไปอีกทีหนึ่ง นี่เรียกว่าผู้พ้นบุญ ผู้พ้นบุญนั้นจะไปถึงมะพร้าวนาฬิเกร์ได้ คือหมายถึงพระนิพพาน ทะเลขี้ผึ้งหมายถึงวัฏฏสงสารคือบุญและบาป บุญและบาป สลับกันอยู่เรื่อย จึงเรียกว่าวัฏฏสงสาร เดี๋ยวเกิดดีเดี๋ยวเกิดชั่ว เดี๋ยวเกิดดีเดี๋ยวเกิดชั่ว นี่เป็นวัฏฏสงสารเปรียบเหมือนทะเลขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งนั้นน่ะพอร้อนเข้ามันละลายเป็นของเหลว พอเย็นเข้ามันก็เป็นของแข็ง ถ้าเย็นมากเหลือประมาณ มันอาจจะแข็งเท่าก้อนหินก็ได้ นี่เรียกว่าทะเลขี้ผึ้ง มันหลอกลวงอย่างนี้
ส่วนมะพร้าวนาฬิเกร์นั้นแทนพระนิพพาน จะไม่เป็นอย่างนั้น จะหยุดจะเย็นจะอยู่เหนือความเป็นอย่างนั้น แต่มันก็หาพบที่วัฏฏสงสารหรือหาพบที่ความทุกข์นั่นเอง ความดับทุกข์ต้องหาที่ความทุกข์ คือต้องดับกันที่ความทุกข์ ฉะนั้นถ้ามีความทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ขอให้ยินดีว่าเป็นโอกาสที่จะได้ดับทุกข์ ไม่เสียเปล่า ถ้าไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่มีโอกาสที่จะดับทุกข์ ไม่รู้จะดับกันที่ไหน ถ้าความทุกข์เกิดขึ้นแล้วอย่ามัวนั่งร้องไห้อยู่ อย่าไปกินยาตายเลย ถือเอาเป็นโอกาสสำหรับดับทุกข์แล้วก็จะได้พระนิพพาน ดับทุกข์ให้หมดลงไปมันก็จะเป็นนิพพาน นี่มะพร้าวนาฬิเกร์นั่นน่ะฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง เพราะมันอยู่นอกเหนืออำนาจปรุงแต่งของสิ่งทุกสิ่ง คือพระนิพพาน ฝนตกถึง ฟ้าร้องถึงก็อยู่แค่ทะเลขี้ผึ้งแค่นั้นแหละเมื่อเข้าใจความหมายของพระนิพพานดีแล้ว ก็ไปถ่ายรูปพระนิพพานกับสระนาฬิเกร์ก็แล้วกัน เอาไปดูเล่นกันลืม
นี่พอสมควรแก่เวลาหรือยัง กี่ทุ่มแล้วนะ สามทุ่มครึ่ง นี่ก็หวังว่าท่านทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยเดินทางไกล ฉะนั้นขอปิดประชุมเพื่อไปพักผ่อน ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้มาคุยกันอีก เอาล่ะ ปิดประชุม ไปพักผ่อนตามอัธยาศัย