แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หัวหน้าทีม: นมัสการท่านอาจารย์พุทธทาสครับ คืออยากจะนิมนต์ให้ท่านอาจารย์พูดหัวข้ออะไรก็ได้ครับที่เป็นประโยชน์แก่ระดับนักศึกษาและก็ท่านอาจารย์บางท่าน และคิดว่าอยากจะให้พวกกระผมมีช่วงเวลาในการซักถามข้อข้องใจด้วยครับ
ท่านนักเรียนนักศึกษา ครูบาอาจารย์และท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายครั้งนี้คิดว่าจะพูดเรื่องที่เนื่องกันกับปีใหม่ เพราะว่าอีกสองสามวันก็จะถึงปีใหม่เราควรจะได้พูดกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับปีใหม่ ดังนั้นก็จะให้หัวข้อในการพูดวันนี้ว่า “ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา”
ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ถ้ารู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตคืออะไร เราก็จะเข้าใจได้ยิ่งขึ้นว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอย่างไร คำว่าชีวิตนี้เป็นของแปลกที่สุดอยู่อย่างหนึ่งคือว่า ไอ้ตัวเจ้าของมันเองแหละไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นไอ้คำตอบคำแรกก็จะตอบว่า ชีวิตคือสิ่งที่เจ้าของไม่รู้จัก เพราะเห็นได้ว่ามันยังงง ยังจับต้นชนปลายก็ไม่ค่อยจะถูก ได้แต่เล่าเรียนมาเล็กๆน้อยๆในโรงเรียนว่าชีวิตคือสิ่งที่เป็นอยู่ ก็ยังไม่ตายเท่านั้นเอง แต่ตัวชีวิตจริงๆจะได้แก่อะไรนี่มันยังเป็นปัญหาอยู่ ถึงแม้ข้อความที่จะพูดต่อไปนี้มันก็ยากที่จะทำ เหมือนกับว่าหยิบเอาตัวชีวิตมาดูได้ในฝ่ามือ เหมือนกับก้อนดินก้อนกรวดหยิบมาดูได้ในฝ่ามือว่ามันคืออะไร โดยเหตุที่ว่าชีวิตมันไม่ได้เป็นวัตถุอย่างนั้น ถ้าจะหมายถึงตัวร่างกายจิตใจ เอ้ย, ตัวร่างกายเนื้อตัวที่ยังเป็นอยู่ว่าชีวิตนี้มันก็ยังไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นชีวิต มันก็ยังเป็นร่างกาย เอาความหมายตรงที่ว่ามันยังเป็นอยู่ คือมันยังไม่ตายและเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา สิ่งที่ยังไม่ตายมันต้องพัฒนา แปลว่าเรามีชีวิต คือเรามีสิ่งที่ต้องพัฒนา
ทีนี้คำว่า “ต้องพัฒนา” นี้ มันยังแยกเป็น 2 ความหมาย ด้วยตัวมันเองก็ต้องพัฒนา มันคงที่อยู่ไม่ได้ โดยธรรมชาติแล้วชีวิตมันจะไม่คงที่หรือตายตัว มันจะมีวิวัฒนาการคือเปลี่ยนไปสู่จุดที่สูงสุดยิ่งๆ ขึ้นไป นี่หมายความว่าถ้าปล่อยไปตามลำพังตัวมันเอง มันก็พัฒนาเราจะไปดึงมันไว้ก็ไม่ได้เพราะมันต้องพัฒนาโดยธรรมชาติ นี่ข้อหนึ่งว่ามันต้องพัฒนา ทีนี้ที่มันมาเกี่ยวกับเรากลายเป็นว่าเราต้องร่วมมือกับมันในการพัฒนา คือเราต้องพัฒนาชีวิตนั่นเอง เรียกว่ามัน “ต้อง” ไปเสียทั้งนั้น มันหยุดอยู่ไม่ได้ มันทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ ตัวชีวิตแท้ๆมันพัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจหรือแม้แต่ทางสติปัญญา เมื่อเราเรียน “ชีวิตทยา” มาพอสมควรแล้วเราก็พบว่ามันมีการพัฒนาทางกายทางจิตและทางวิญญาณแม้โดยธรรมชาติ เราไม่อาจจะถือได้ว่ามันเป็นเรื่องตายตัว ถ้าถือตามชีวิตทยาทีแรกมันก็ยังไม่มีอะไร กว่ามันจะมี ความชื้นที่หมักหมม เกิดเซลล์ที่มีชีวิต เป็นเซลล์เดียวแท้ๆทำอะไรไม่ได้ มันก็พัฒนาตัวมันเองขึ้นมาเป็นหลายๆ เซลล์ กระทั่งเป็นกลุ่มแห่งเซลล์ กระทั่งเป็นสิ่งที่มีชีวิตเป็นพืชเป็นสัตว์และเป็นคนในที่สุด นี่เรียกว่ามันหยุดอยู่ไม่ได้ใครจะบังคับมันก็ไม่ได้มันก็พัฒนาในส่วนที่เป็นวัตถุหรือเป็นร่างกาย
ทีนี้ส่วนที่เป็นวัตถุหรือเป็นร่างกายพัฒนาขึ้นมาเท่าไร ส่วนที่เป็นจิตที่อยู่ในส่วนที่เป็นร่างกายนั้นมันก็พัฒนามากขึ้นมาเท่านั้น ฉะนั้นกำลังจิตของสิ่งที่มีชีวิตที่มันสูงขึ้นมาตามลำดับมันก็มากกว่า เป็นต้นไม้มันก็มีความรู้สึกอย่างต้นไม้ เป็นสัตว์มันก็รู้สึกอย่างสัตว์ซึ่งมันสูงกว่า เป็นคนมันก็รู้สึกยิ่งกว่าสัตว์เพราะว่ามันสูงกว่า
ทีนี้ดูทางสติปัญญา ก็จะเห็นได้ว่ามันต่างต่างกันแทบจะเปรียบกันไม่ได้ สติปัญญาของคน สติปัญญาของสัตว์ สติปัญญาของต้นไม้ซึ่งมันมีน้อยเหลือเกิน แต่การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เป็นที่เชื่อถือได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความรู้สึก เมื่อมันมีความรู้สึกมันก็พัฒนาในความรู้สึกนั้นได้ ต้นไม้จึงรู้จักต่อสู้ รู้จักหลีกเลี่ยง รู้จักทำความเจริญหรือรอดรอดตายให้แก่ตัวเอง ทีนี้กำลังความรู้สึกที่เรียกว่ากำลังจิตมันก็มากขึ้นๆตามระดับของการพัฒนาจนกว่ามันจะมาเป็นสัตว์ สัตว์ที่ต่ำมากและสัตว์ที่สูงขึ้น สัตว์ในน้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์บกแท้ๆ กระทั่งสัตว์ที่บินไปได้ในอากาศ มีร่างกายที่พัฒนา มีจิตที่พัฒนา มีสติปัญญาที่พัฒนา แต่โดยเหตุที่เป็นไปตามธรรมชาติมันก็มีขอบเขตจำกัด
มนุษย์เราเมื่อแรกเป็นมนุษย์ขึ้นมาครึ่งคนครึ่งสัตว์ กระทั่งเป็นคนแท้ ยังเป็นคนป่าอยู่ แล้วก็เป็นคนที่เจริญก้าวหน้าจนมาเป็นคนสมัยปัจจุบัน มันก็พัฒนาทั้งทางกายทั้งทางจิตและทางสติปัญญา เห็นได้ว่าร่างกายมันดีกว่ากันมากเพราะได้รับการบริหารที่ละเอียดที่ประณีตที่สุขุมก็พัฒนาทางกาย พัฒนาทางจิตให้มีกำลังจิตเข้มแข็งมีกำลังสมาธิ เพราะว่าร่างกายพัฒนาก็เป็นที่ตั้งแห่งจิตที่มันพัฒนา เราจึงมีกำลังจิตที่ดีกว่าสูงกว่า ส่วนกำลังสติปัญญานั้น แน่นอนเพราะมนุษย์มันมีการพูดจา ไม่เหมือนสัตว์ไม่เหมือนต้นไม้ที่มันพูดจาอะไรไม่ได้ การพูดจาเป็นสื่อที่สำคัญที่สุดแห่งการถ่ายทอด เราจึงมีการถ่ายทอดวิชาให้แก่กันและกันด้วยการพูดจาหรืออะไรก็ได้ที่สงเคราะห์รวมอยู่ในการพูดจา เพราะมีการพูดจาจึงได้ถ่ายทอดอะไรกันได้ เพียงแต่ดูอย่างกันด้วยตาก็ยังเรียกว่าถ่ายทอดน้อยเกินไป มันก็เป็นภาษาพูดจาด้วยทางตาสู้ทางปากไม่ได้ เพราะว่าอธิบายกันได้ละเอียดลออ ฉะนั้นมนุษย์จึงพัฒนาเร็วมากในด้านสติปัญญาเพราะว่ามันถ่ายทอดให้แก่กันและกันได้ คนทีแรกมีความรู้สติปัญญาเท่าไรก็ถ่ายทอดให้คนทีหลัง คนทีหลังก็ไม่เสียเวลามาก มันก็รู้หมดจากที่คนก่อนเขาสอนให้เท่าไร แล้วก็ก้าวหน้าต่อไป แล้วก็สอนกันต่อไป ก้าวหน้าต่อไป
สอนกันต่อไป ก้าวหน้าต่อไป นี่มนุษย์จึงมาเป็นมนุษย์อย่างที่เราเห็นๆอยู่ทุกวันนี้ว่ามันต่างกันเหลือเกินกับมนุษย์คนแรก หรือว่าถ้าถือว่ามาจากสัตว์มาจากลิง ก็ดูเถอะมันต่างกันเหลือเกิน ถ้าถือว่ามาจากเซลล์ๆเดียวทีแรกในโลกก็ยิ่งต่างกันลิบลับจนไม่มีทางจะพูดจะเปรียบเทียบกันได้ นี่เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่ในตัวมันเอง มีคำว่า “ต้อง” นะ ถ้า “ไม่ต้อง” แล้วก็มันก็มันก็จบ คือมันไม่คงอยู่หรือไม่เจริญมาได้ ฉะนั้นชีวิตแท้ๆจะเป็นชีวิตในลักษณะไหน คือชีวิตส่วนที่เป็นเซลล์ๆหนึ่งๆมันก็ยังพัฒนา ที่ประกอบขึ้นกันเป็นร่างเป็นโครงเป็นอะไรมันก็พัฒนา เราต้องให้โอกาสให้มันพัฒนาที่พัฒนาอยู่เองโดยธรรมชาติ ต้องช่วยผสมผสานสนับสนุนกันให้ดีให้ส่วนที่มันต้องพัฒนาไปโดยธรรมชาตินั้นก็เป็นไปได้ไม่หยุด ไม่หยุดในการพัฒนา
ทีนี้ก็มาถึงการพัฒนาชั้นที่สองคือที่เราจะต้องพัฒนา ในทางร่างกายเราก็บริหารให้มันดีที่สุดและเป็นการบริหารที่ถูกต้องไม่ใช่บริหารอย่างผิดๆเหมือนที่บริหารกันอยู่ก็มีเหมือนกัน บริหารผิดร่างกายนี้มันก็เลวลงเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายแล้วก็ไม่มีความทนทานเข้มแข็งเหมือนกับยุคแรกๆก็ได้ นี่เพราะว่าพัฒนาลงมันไม่ได้พัฒนาขึ้น มันเป็นความโง่ของคนพัฒนานั่นเอง
เดี๋ยวนี้เราชอบการกินดีอยู่ดีฟุ่มเฟือย นี้มันเป็นเรื่องพัฒนาขึ้นหรือพัฒนาลง วิชาความรู้ของพวกหมอเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องพัฒนาลงเสียมากกว่า ถ้าเราเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือยเรื่องกินเกินอยู่เกิน บำรุงบำเรอเกิน อะไรก็ล้วนแต่เกินนี่มันกลับพัฒนาลง ขอให้ทุกคนช่วยเอาไปสังเกตดูให้ดีอย่าให้มันมีอาการอย่างนี้ ที่อุตส่าห์กินเกิน อยู่เกิน ใช้เกิน ประคบประงมเกิน บำรุงบำเรอเกิน แล้วผลที่ได้ก็คือพัฒนาลง คือมันเลวลงในทางร่างกาย อ่อนแอ มีโรคภัยไข้เจ็บง่าย อย่างนี้ก็เรียกว่ามันผิดซะแล้ว มันทำผิดซะแล้วในเรื่องพัฒนา
ทีนี้เราจะต้องพัฒนาจิตใจให้มีกำลังจิตยิ่งขึ้นไป คือมีจิตที่เข้มแข็ง มีจิตที่บริสุทธิ์ มีจิตที่ว่องไว มีจิตที่มีคุณสมบัติสูงในหน้าที่การงานของจิตเอง เช่นว่า คิดเก่ง จำเก่ง นึกออกเร็วเก่ง ใช้ความจำได้ดี อย่างนี้เป็นต้นเป็นลักษณะของจิตที่พัฒนาได้ดี เราสมัยนี้เป็นอย่างนี้กันหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าถอยหลังด้วยเหมือนกัน มันจะสู้การพัฒนาจิตอย่างสมัยโบราณอย่างในครั้งพุทธกาลเป็นต้นก็ไม่ได้ เราจะต้องทำให้เป็นแน่นอนได้ว่าจิตของเราก็พัฒนา มีความเข้มแข็ง มีความอดทน เป็นโรคประสาทยาก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคประสาทง่าย ก็หมายความว่าการพัฒนามันถอยหลัง เดี๋ยวนี้คนไม่สามารถจะบังคับจิต จิตมันก็ผิดปกติ เมื่อรักมันก็ผิดปกติ เมื่อโกรธมันก็ผิดปกติ เมื่อกลัวมันก็ผิดปกติ เมื่อโง่มันก็ผิดปกติ เมื่อวิตกกังวลมันก็ผิดปกติ เมื่อเครียดมันก็ผิดปกติ เมื่ออ่อนแอโลเลปวกเปียกมันก็เรียกว่าผิดปกติด้วยเหมือนกัน
ทำอย่างไรจิตของเราจึงจะอยู่ในลักษณะเข้มแข็ง มั่นคง บริสุทธิ์อยู่ตามธรรมชาติของจิต ว่องไวในหน้าที่การงานของจิต ขอให้ลองคิดดู นี่เราจะต้องรู้เรื่องการพัฒนาของจิต เดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทกันมาก ก็เพราะว่าจิตมันถอยหลัง มันไม่พัฒนามันสู้อารมณ์ไม่ได้ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความอะไรต่างๆที่รู้จักกันอยู่ดีทำให้จิตมันไม่พัฒนา ไม่ยืน เอ่อ, ไม่ยืนไม่ทนได้ไม่ทานได้ ไม่ยืนอยู่ได้อย่างปกติ มันก็เปลี่ยนไปเป็นโรคประสาทและยังจะเป็นโรคได้ทุกโรคออกมาถึงทางร่างกาย เช่น โรคกระเพราะนี่มันมาจากวิตกกังวลที่มันทนทรมานมากเกินไป หรือว่าโรคที่เขาเกลียดกลัวกันนัก ไอ้โรคมะเร็งเป็นต้น ก็เพราะว่าโลหิตมันถูกทำลายให้อ่อนให้หย่อนอำนาจที่จะต้านทานเชื้อโรค ไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มันจึงมีโรคขึ้นมาได้ เช่น โรคมะเร็ง ถ้าว่าเรามีโลหิตดี สมบูรณ์ดี ในร่างกายนี้ มันก็มีการต่อต้านเชื้อโรคสูง มีการต่อต้านเชื้อโรคสูงมันก็ไม่ต้องเป็นโรคเท่านั้นเอง
ถ้าเรารักษาร่างกายดีและจิตใจดี จิตใจดีมันทนทานอยู่ได้ มันไม่ถูกย่ำยีให้เป็นเรื่องถอยกำลัง เมื่อจิตไม่ถอยกำลังมันก็ชวนให้ร่างกายดี ระบบประสาทดี ไม่ไม่เกิดความผิดปกติขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่เกี่ยวกับโลหิต ถ้าระบบนี้ไม่ดีแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกๆระบบ เช่น ระบบการย่อยอาหาร กระเพาะมันก็เสียไปมันก็เป็นโรคกระเราะเรื้อรัง หรือระบบการใช้น้ำตาล มันก็เสียไป มันใช้น้ำตาลไม่ได้ไม่หมด มันก็เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นกันมากขึ้น คือมันควบคุมอะไรไม่ได้ มันก็เป็นโรคที่ว่ามีไขมันในเลือดหรือมีกระทั่งมีความดันสูงหลายอย่างหลายประการ ซึ่งทับทวีขึ้นในโลกนี้เพราะมันมีความผิดพลาดเกี่ยวกับระบบจิตซึ่งทำให้ระบบกายวิปริตไปโดยเท่าเทียมกัน
ฉะนั้นเรามีกายที่ปกติ มีจิตที่ปกติแล้ว โรคเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เหมือนอย่างที่คนครั้งพุทธกาล ครั้งสมัยโบราณเขาอยู่กัน พวกฤาษีมุนีอยู่ในป่าคนเดียวก็ได้ไม่ต้องไปหาหมอที่ไหนเลย มันก็อยู่กระทั่งชีวิตร้อยปี ร้อยยี่สิบปี มันอยู่ด้วยชีวิตที่แก้ไขชีวิต ปรับปรุง รักษา พัฒนาชีวิตอย่างถูกต้อง ไม่เหมือนเราที่มีความยุ่งยากลำบากเพราะว่าทำผิดพลาดจนต้องกินยาทั้งเช้า ทั้งเที่ยง ทั้งเย็น ทั้งกลางคืน เบื่อจะตายแล้ว เพราะมันต้องกินยามากขนาดนี้ซึ่งเมื่อก่อนเขาก็ไม่ต้องกินกันเลยเขาก็อยู่ได้เพราะว่าเขามีความถูกต้องในทางจิตใจ ถ้ามันมีความปกติในทางระบบประสาท ร่างกายมันก็ดีมันก็ถูกต้อง
นี่แหละการพัฒนามันมีอยู่อย่างนี้นะ คุณจะพัฒนาให้มันพัฒนาลงหรือจะให้มันพัฒนาขึ้น ถ้ามันเป็นเรื่องของการเกิน อร่อยเกิน ดีเกิน มากเกิน มันก็ทำให้เกิดการพัฒนาลงได้ เหมือนกับการครองชีวิตของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบันที่ทำให้เกิดโรคขึ้นมากมายหลายอย่างหลายประการจนเป็นปัญหาทั่วกันไปหมด ควรจะคิดดู
ทีนี้เราก็มาถึงสิ่งที่สาม คือระบบสติปัญญามันต้องพัฒนา นี่คือปัญหาสำคัญที่สุดเพราะว่าสติปัญญานี้มันนำชีวิตคือมันนำทุกสิ่ง ถ้ามันผิดมันไม่พัฒนาแล้วมันก็จะพัฒนาลงเท่านั้นแหละและลงอย่างเลวร้ายด้วย มีอันตรายมาก มีปัญหามาก มันมีปัญหามาตั้งแต่ว่าเดี๋ยวนี้โดยพื้นฐานเรามีสติปัญญาที่ถูกต้องหรือไม่ นี้แม้พอยังไม่พัฒนาสักที เท่าที่เรามีอยู่เป็นทุน เป็นต้นทุน เป็นเดิมพันอยู่แล้วนี่มันถูกต้องหรือไม่ ทำไมไม่ลองใคร่ครวญดู ถ้ามันถูกต้องก็จะทำให้ยิ่งขึ้นไปๆมันก็จะเป็นการพัฒนา แต่ถ้าเดี๋ยวนี้มันไม่ถูกต้องอยู่แล้ว จะพัฒนากันไปทางไหน ตัวเองทำผิดจนมันไม่ถูกต้องอยู่เดี๋ยวนี้แล้วจะพัฒนาได้อย่างไร ยิ่งไปทำให้มากเข้ามันก็ผิดมากเข้าเท่านั้นเอง จะเปลี่ยนให้มันถูกต้องมันจะเปลี่ยนด้วยวิชาความรู้อย่างไร ของอะไร นี่ขอให้สนใจ ข้อนี้มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด สำคัญที่สุด เช่น วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น
คนเดี๋ยวนี้ละเลยขนบธรรมเนียมประเพณี มันก็มีโอกาสที่จะตั้งต้นผิดพลาดมากทีเดียว เช่นว่า เด็กคลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้วจะต้องได้รับการแวดล้อมอบรมอย่างไรโดยวัฒนธรรมนั้น ถ้าทำมาถูกมันก็ถูก คือเด็กได้รับการแวดล้อมที่ดีถูกต้องทางวัฒนธรรม มันก็มีจุดตั้งต้นของร่างกายจิตใจความคิดความเห็นที่ดี มันก็โตขึ้นมามีความเจริญก้าวหน้าที่ถูกต้อง แต่ถ้าเด็กคลอดออกมาเติบโตขึ้นมาด้วยการอบรมแวดล้อมที่ผิดหรือผิดวัฒนธรรม ผิดทุกอย่างทุกประการ เด็กคนที่ก็ไม่มีความถูกต้องสำหรับจะถูกต้องต่อไป มีแต่จะไปผิดพลาดมากขึ้น ยิ่งส่งเสริมเข้ามันก็ผิดไปไกล นี่สติปัญญามันก็ผิด ความคิดนึกผิด ความเชื่อผิด การศึกษาผิด หลักเกณฑ์ที่เขาจะยึดถือไว้สำหรับชีวิตจิตใจมันก็ผิด มันก็ผิดกันเรื่อยไป เพราะมีความผิดพลาดทางสติปัญญาไม่เป็นการพัฒนา
ขอให้ทุกคนมองเห็นข้อนี้เถอะว่า ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ว่าตั้งต้นผิด หรือลูกเด็กๆของเราคลอดออกมาได้รับการแวดล้อมซึ่งเป็นการตั้งต้นที่ผิด แล้วก็มีผลร้ายเกิดขึ้นทีหลัง เช่นว่าเด็กๆ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยกลัวบาป ไม่มีบุญ ไม่มีบาป เอาแต่อารมณ์ของตัวเอง กระด้างหยาบคาย นี่ก็เพราะว่ามันตั้งต้นมาผิด ไม่เหมือนกับเด็กในยุคสมัยที่เขาตั้งต้นมาด้วยการทำให้มันกลัวบาป ให้มันยึดถือเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป นับตั้งแต่ว่าเขารู้จักคุณ พระคุณ พระเดชพระคุณของบิดามารดา
อาตมาคิดว่าลูกเด็กๆชั้นอนุบาลสามขวบสี่ขวบนี่ อย่ามาโง่ให้เขาเรียนหนังสือเลย พ่อแม่ ครูบาอาจารย์นี่ อย่าไปโง่เคี่ยวเข็ญให้เขาเรียนหนังสือเลย เคี่ยวเข็ญให้เขาเรียนรู้ความถูกต้องทางกายทางจิตทางวิญญาณจะดีกว่า เด็กมาโรงเรียนอนุบาลวันแรก เราให้เขาเรียนเรื่องความถูกต้องทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณนี่ อย่าเพิ่งให้เรียน ก ข ก กา เลขผานาที อะไรให้มันโง่ มันลงรากฐานที่มันไม่เป็นไปในทางถูกต้องของวัฒนธรรมของขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีที่จะไปเป็นพื้นฐานของชีวิต
ฉะนั้นลูกเด็กๆเล็กๆมาโรงเรียนวันแรกในระบบอนุบาล มาสอนให้เขารู้ว่าแม่นี้คืออะไร พ่อนั้นคืออะไร เขาเกิดมาได้อย่างไร สำหรับทำอะไร เพื่อประโยชน์อะไร อย่างนี้เรื่อยไปจนเขารู้สึกรักพ่อรักแม่เหลือประมาณ และก็รักครูบาอาจารย์เหลือประมาณ มีรากฐานที่ถูกต้องลงไปในจิตใจว่าเราเกิดมาทำไม เราจะต้องทำอะไร อย่างนี้เรื่อยไปเรียนอย่างนี้เรื่อยไป ก ข ก กา ค่อยเรียนทีหลัง เรียนเพิ่มขึ้นทีละตัวสองตัวก็ได้ แต่ที่จะเรียนอยู่เป็นพื้นฐานนั้นเรียนว่าแม่นี้คืออะไรอยู่เรื่อยไป เพิ่มให้มันมากขึ้นทุกที น้ำนมของแม่มันคืออะไร หยาดเหงื่อของแม่นั้นมันคืออะไร มากขึ้นๆทุกเดือนทุกปีจนกระทั่งรู้ว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม และหนังสือหนังหาวิชาชนิดที่เป็นวิชาความรู้กระทั่งวิชาชีพนั้นค่อยๆ เรียนเพิ่มทีหลัง
ทั้งนี้ก็เพื่อว่าเราจะได้รากฐานที่ดี เป็นรากฐานที่ดีลงไปในจิตใจของทารก ของเด็ก ของคนวัยรุ่น คนหนุ่ม คนสาว มีพื้นฐานที่ดี รู้จักความเป็นมนุษย์ว่าคืออะไร มีความเชื่อในใจอย่างแน่นแฟ้นมั่นคงว่าเราต้องเป็นมนุษย์ให้ได้ และเขาก็จะต้องพยายามบังคับตนเองให้เป็นมนุษย์ให้ได้ จนเป็นที่พอใจว่าเราได้เป็นมนุษย์โดยแท้จริง นี่แหละปัญหาก็จะหมด คือทุกคนมีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง ตัวผู้นั้นก็มีความสงบสุข และคนทั้งหลายที่อยู่ร่วมบ้าน ร่วมเมือง ร่วมโลกกันก็พลอยได้รับประโยชน์ เอาเพียงว่าผู้นั้นมีความสงบสุข ผู้อื่นพลอยได้รับประโยชน์ เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องหวังอะไรให้มากไปกว่านี้ในทางสังคมหมู่มนุษย์ ผู้นั้นไม่มีความทุกข์มีความถูกต้อง ให้มีความสุขเป็นที่พอใจ และเขามีชีวิตอยู่ชนิดที่ผู้อื่นพลอยได้ได้รับประโยชน์ด้วยทุกเวลานาที นี่เรียกว่ามีความถูกต้องของความเป็นมนุษย์มาโดยลำดับทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ เห็นได้ว่าชีวิตของเขามีวิวัฒนาการทั้งโดยธรรมชาติและทั้งโดยที่เราปรับปรุงเพิ่มเติมให้ นั่นแหละคือการพัฒนาชนิดที่ต้องรู้ต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและกระทำให้ถูกต้องและสมบูรณ์
ทีนี้เมื่อพูดถึงทางธรรมะ เราก็ใช้คำว่าพัฒนาด้วยการทำให้เกิดความถูกต้องทั้งทางกาย ทั้งทางจิต และทั้งทางสติปัญญา ซึ่งเป็นหลักสำคัญชั้นหัวใจของพระพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาแล้ว อาตมาไม่ต้องบอกก็ได้ว่าพระพุทธศาสนาเรามีหลักคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เข้าใจว่าทุกคนได้ฟังมาแล้วและจำได้แม่นยำว่าเรามีหลักเรื่องศีล เรื่องสมาธิ และเรื่องปัญญา แต่แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรทั้งๆที่ได้ยินได้ฟังมาชินหูเกินไป ไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ อาตมาจะบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละคือหลักสำหรับการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่าชีวิต
ศีล สมาธิ ปัญญานี้ในพุทธศาสนาเรียกว่า สิกขา หรือการศึกษา 3 อย่าง 3 ประการ ใช้ในวงพุทธศาสนา ใช้ภาษาบาลีเรียกว่า “สิกขา” ถ้าเป็นภาษาสันสกฤตก็เรียกว่า “สิกฉา” (นาทีที่ 31.20) มาเป็นภาษาไทยออกมาจากภาษาสันสกฤตก็คือคำว่า “ศึกษา” ที่เป็นชื่อกระทรวงศึกษาธิการ คำนี้ในบาลีเป็นภาษาบาลีก็ว่าสิกขา ขอให้รู้ว่ามันคำเดียวกันกับว่าศึกษา ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำว่า ไตรสิกขา สิกขาสาม ก็ให้รู้ว่าการศึกษาสาม การศึกษาสามคือ ศีลสิกขาศึกษาในส่วนศีล สมาธิสิกขาหรือจิตสิกขานี่ศึกษาในส่วนจิต ปัญญาสิกขานี้ศึกษาในส่วนสติปัญญา
คำว่าสิกขาหรือศึกษานี่ ไม่ใช่เป็นเรื่องศึกษาอย่างที่เรากระทำกันอยู่คือศึกษาในโรงเรียน ศึกษาเป็นวิชา ศึกษาเป็นทฤษฏี ศึกษาในกระดาษ ดินสอ สมุด ตำรับตำรา หนังสือหนังหา ศึกษาอย่างนั้นหรือสิกขาอย่างนั้นไม่ใช่สิกขาในพุทธศาสนา
สิกขาในพุทธศาสนานั่นหมายถึงตัวการประพฤติกระทำหรือการฝึกฝนลงไปโดยตรง ทำการเรียนรู้แล้วฝึกฝนลงไปโดยตรงที่ลงไปที่กายวาจาก็เรียกว่าศีลสิกขา ศึกษาฝึกฝนลงไปโดยตรงที่จิตเขาเรียกว่าจิตสิกขา ศึกษาฝึกฝนลงไปโดยตรงเกี่ยวกับระบบของปัญญาวิชาความรู้ก็เรียกว่าปัญญาสิกขา เมื่อเรายืมเอาคำว่าสิกขาในภาษาบาลีมาใช้เรียกว่าศึกษาๆ อย่างนี้แล้ว ก็อย่าเอามาแต่ชื่อ ขอให้เอาความหมายที่ถูกต้องมาด้วย ความหมายที่ถูกต้องนั้นคือการกระทำ มิใช่เป็นเพียงการเรียนอย่างวิชาล้วนๆต้องให้กลายให้เป็นรูปของการกระทำ ถ้าเอาศีลสิกขามาก็ต้องเอาระบบการประพฤติกระทำให้เกิดความถูกต้องทางกายทางวาจามา ฉะนั้นในโรงเรียนของเราจะต้องมีการฝึกฝนอบรมให้เกิดการให้เกิดความถูกต้องทางกายและทางวาจาเดี๋ยวนี้เราไม่ทำอย่างนั้นนี่ ศึกษาให้เรียนแต่วิชาความรู้กับวิชาชีพ มันก็ไม่มีความถูกต้องทางกายทางวาจา คือนักศึกษาเหล่านั้นไม่มีศีลซะเลย จบการศึกษาแล้วยังไปเป็นฮิปปี้ จบการศึกษาแล้วยังไปบูชายาเสพติด จบการศึกษาสูงๆได้รับหน้าที่การงานสูงๆก็ยังทำคอร์รัปชั่น แปลว่าศึกษามาให้สูงๆนี่เพื่อทำคอร์รัปชั่นให้มันเก่งให้มันสูงตามไปด้วย นี่คือไม่รับเอาคำว่าศีลสิกขามาโดยความหมายยืมมาแต่ชื่อก็ศึกษากันแต่เรื่องปาก เรื่องเสียง เรื่องกระดาษ เรื่องดินสอ ถ้าหากว่ารับเอาความหมายของคำว่าศีลสิกขามามันก็ต้องมามีระบบการประพฤติ กระทำ บังคับ ควบคุม ฝึกฝน จนเกิดความถูกต้องในทางกายวาจาของเด็ก ของเยาวชนทุกคน นี่เรียกว่ามีการศึกษาจริง
ทีนี้ไอ้จิตสิกขาศึกษาทางจิต ก็แปลว่าเด็กๆเยาวชนของเราต้องได้รับการศึกษาให้รู้จักบังคับจิต บังคับจิตให้อยู่ในภาวะที่ถูกต้องนับตั้งแต่ว่าไม่ฟุ้งซ่านในอำนาจของนิวรณ์และกิเลส เขามีจิตที่แจ่มใส สดใส มั่นคง เข้มแข็ง ปราศจากนิวรณ์ คือว่าเป็นจิตที่ดีที่มีสมรรถนะพร้อมที่จะทำการงานในทางจิต ไม่ใช่อ่อนแอ ขี้ขลาด ร้องไห้ง่าย กลัว หัวเราะง่าย อยู่อย่างนี้ นี่มันเป็นจิตที่ยังไม่ได้รับการอบรมตามหลักเกณฑ์ของพระศาสนา ฉะนั้นเด็กๆของเราได้รับการอบรมให้มีจิตใจที่มีความถูกต้องกันเสียจะดีกว่า
ในเรื่องเล่นกีฬานั้นไม่พอหรอกยิ่งกีฬาสมัยนี้ยิ่งบ้าบอ ขอกล่าวตรงๆอย่างนี้ว่าการเล่นกีฬาสมัยนี้ยิ่งฝึกความเห็นแก่ตัว ในสนามกีฬามีการทำอันตรายกัน ในสนามกีฬามีความหมายของคำว่าแก้แค้น เมื่อมีคำว่าแก้แค้นอย่างนี้แล้วมันจะเป็นกีฬาไปไม่ได้ เพราะว่ากีฬาเขามุ่งหมายให้ไม่รู้จักการแก้แค้น เดี๋ยวนี้ในสนามกีฬาเต็มไปด้วยความแก้แค้น มันก็เป็นกีฬาบ้าๆบอๆของภูตผีปีศาจมากกว่า ฉะนั้นกีฬาหรือการกีฬาสมัยนี้ไม่ช่วยให้เยาวชนของเรามีความถูกต้องในทางจิตใจได้ จะเป็นนักกีฬาก็ไม่ได้เพราะมันเห็นแก่ตัวมากเกินไปกระทั่งมันแก้แค้น คิดดูเถอะ
ฉะนั้นระบบการศึกษาต้องปรับปรุงเสียใหม่ เปลี่ยนกันเสียใหม่ ให้นักเรียนทุกคนได้รับการฝึกฝนให้มีความถูกต้องในทางจิตใจ มีจิตบริสุทธิ์จากความรู้สึกรบกวนของกิเลสในชีวิตประจำวันที่เรียกกันว่านิวรณ์ 5 ไปศึกษาดูเถอะไม่ใช่เป็นเรื่องลึกลับอยู่ป่าหิมพานต์เหมาะสำหรับพวกฤาษีมุนี ไม่ใช่ ที่บ้านที่เรือน ในบ้านในเมืองนี่ คนเรายังมีจิตประกอบไปด้วยนิวรณ์ 5 คือพอตั้งใจจะทำอะไรให้ดีที่สุด ความรู้สึกทางเพศก็มารบกวน นี่เขาเรียกว่ากามฉันทะ เป็นนิวรณ์ตัวที่หนึ่ง ตั้งใจจะทำอะไรก็มีความลังเลโลเล นี่เรียกว่า วิจิกิจฉา ตั้งใจจะทำอะไรก็มีความขัดแค้นโกรธเคืองขุ่นเคืองต่อผู้ใดมารบกวน นี่เรียกว่าพยาบาท ก็เป็นนิวรณ์ตัวที่สอง เขาตั้งใจจะทำอะไรจิตมันงัวเงียอ่อนเพลีย มันอยากนอนซะมากกว่า นี่นิวรณ์ที่สาม ตั้งใจจะทำอะไรดีจิตมันฟุ้งซ่านกระด้างไปเสีย ก็เป็นนิวรณ์ตัวที่สี่ ทีนี้ตั้งใจจะทำอะไรมันมีความลังเลมีความโลเล เป็นนิวรณ์ตัวที่ห้า นี่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันแท้ๆของบุคคลที่มีจิตไม่ถูกต้อง เมื่อเขามีจิตไม่ถูกต้องแล้วก็จะทำงานอะไรดีโดยทางจิตมันไม่ได้ นี่เราฝึกฝนให้เด็กๆให้เยาวชนของเรามีจิตถูกต้องปราศจากนิวรณ์รบกวน เป็นจิตเป็นจิตใจที่สดใส แช่มชื่น เข้มแข็ง จะทำอะไรจะเรียนหรือจะศึกษาหรือจะทำการงาน ก็ทำด้วยจิตที่สดใจเข้มแข็ง ก็ทำได้ดี เป็นนักเรียนก็เป็นนักเรียนได้ดี เป็นศิลปินก็เป็นศิลปินได้ดี แม้จะประกอบอาชีพอะไรก็ตามเถอะมันก็ทำได้ดีเพราะว่าจิตใจมันพร้อมที่จะทำอย่างนั้น แต่เราก็ไม่เห็นว่านี่มันเป็นหลักสูตรสำหรับอบรมในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย นี่การศึกษาหมาหางด้วนมันเป็นอย่างนี้ ให้เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพส่วนที่จะทำให้เกิดความถูกต้องสมบูรณ์นั้นทางจิตใจเป็นมนุษย์กันอย่างไรนั้นไม่มี ระบบการศึกษาชนิดนี้มันจึงเหมือนกับระบบหมาหางด้วน ถ้าคุณไม่ชอบคำว่าหมาหางด้วน อาตมาพูดใหม่ก็ได้พูดว่าพระเจดีย์ยอดด้วน ไม่สู้จะหยาบคาย แล้วคุณชอบพระเจดีย์ยอดด้วนหรือเปล่าเล่า มันก็อย่างเดียวกันแหละ ขออย่าให้มันมีอะไรขาดอยู่ให้มันสมบูรณ์เถอะ โดยเฉพาะการศึกษา
ทีนี้ก็มาถึงปัญญาสิกขามีความถูกต้องทางสติปัญญา คนเราอยู่ด้วยสติปัญญาตามที่เราจะมี ไม่มากก็ต้องมีน้อย แล้วสติปัญญานี้มันก็ขึ้นกันอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อถือ ความยึดถือ แม้ในส่วนที่เป็นทฤษฏียังไม่ใช่ความจริงมันก็เรียกว่าปัญญาอยู่นั่นเอง คือว่าต้องมีปัญญาทุกระดับและก็ถูกต้อง ปัญญาที่เกิดมาจากการศึกษาในโรงเรียนก็ถูกต้อง ปัญญาที่เราใช้เหตุผลของเราเองไปพลางก่อนก็ถูกต้อง ปัญญาที่มาจากการกระทำสมาธิภาวนาวิปัสสนาเกิดขึ้นมามันก็ยิ่งจะถูกต้อง แล้วก็มีปัญญาถูกต้องหมด ก็กลายเป็นถูกต้องชั้นยอดสุด เมื่อทางสติปัญญาถูกต้องแล้วทางจิตก็จะถูกต้อง เมื่อทางจิตถูกต้องแล้ว ทางกายทางวาจามันก็ถูกต้อง
ฉะนั้นขอให้จำไว้ว่าถูกต้องทางกายทางวาจาเลื่อนขึ้นไปถูกต้องทางจิต เลื่อนขึ้นไปถูกต้องทางสติปัญญาความคิดความเห็นเป็นการถูกต้องหมด ความถูกต้องของสิ่งทั้งสามนี้ ทั้ง 3 กลุ่มนี้เราเรียกว่า ไตรสิกขา หรือการศึกษา 3 อย่าง ถ้าเรายืมเอาคำนี้มาใช้ จากระบบพระศาสนาแล้วก็ขอให้ยืมเอาความหมายมาด้วย อย่ายืมมาแต่คำ ยืมมาแต่คำว่าศึกษาๆได้มาแต่เปลือกไม่มีเนื้อในติดมาเลย มันก็เป็นการศึกษาที่ไม่จริงไม่ใช่การศึกษา รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องหรือสมบูรณ์ได้ แล้วมันจะเอาแต่เรียนอย่างเดียวให้นักเรียนจดไว้ในสมุดปิดเก็บไว้อย่างนี้ไม่เป็นการศึกษาไปได้ เพราะว่าการศึกษาของพระพุทธเจ้านั้นหมายถึงการประพฤติกระทำลงไปจริงๆ กระทำทางกาย ทางวาจา ทางจิต ทางสติปัญญา ทำลงไปจริงๆ การกระทำนั้นชื่อว่าการศึกษา ไม่ใช่ขีดเขียนเล่าเรียนท่องบ่นจำๆไว้และจดใส่สมุดไว้ อย่างนั้นไม่ใช่การศึกษาจะเป็นเพียงอุปกรณ์การศึกษาสักนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ คือช่วยกันลืมสำหรับจะมาประพฤติปฏิบัติ พอมีการประพฤติปฏิบัตินี่แหละจึงจะเป็นการศึกษาโดยแท้จริง
ฉะนั้นขอฝากไว้ว่าถ้ายืมคำว่าศึกษาจากพระศาสนามาใช้แล้ว ขอให้ยืมเอามาทั้งระบบ คือทั้งเนื้อทั้งตัวอย่ายืมมาแต่ชื่อ เดี๋ยวนี้มันยืมมาแต่ชื่อก็ได้มาแต่เปลือกมันก็เลยเป็นศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ นั่นแหล เป็นโอกาสของการศึกษาระบบหมาหางด้วน ชื่อว่าหมาหางด้วนนี่หมายความว่าเรียนกันแต่หนังสือกับอาชีพ ส่วนจริยธรรมที่ว่าเราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ถูกต้องนั้นไม่ได้เรียน นี่เรียนกันมากมายก็รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพ ปริญญาสูงสุดมันก็เป็นส่วนหนึ่งของอาชีพวิชานั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพ ไม่เรียนธรรมะ ไม่เรียนศาสนา ไม่เรียนเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง นี่เพราะว่าการศึกษามันเปลี่ยนซะแล้ว การศึกษาสมัยโบราณในทวีปเอเชียก็ดี ในทวีปยุโรปก็ดี เขามีการศึกษามีศาสนาแทรกอยู่ด้วยมีธรรมะแทรกอยู่ด้วย เช่นมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แคมบริดจ์ แรกๆ ตั้งนั่นน่ะเขามีการศึกษาทางธรรมะทางศาสนาแทรกอยู่ด้วยเพราะว่าพระเป็นผู้จัด อาตมาได้รับฟังมาว่า มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แคมบริดจ์นั้นที่แรกเป็นโรงเรียนราษฎร์ของพระในศาสนาคริสเตรียนคริสตัง พระในศาสนาก็ตั้งโรงเรียนราษฎร์ขึ้นมาแล้วมันวิวัฒนาการมาเป็นมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์และออกซ์ฟอร์ดอย่างนี้ เมื่อพระจัดแล้วทำไม่มันจะไม่มีธรรมะหละ ทำไมจะไม่มีศาสนา ระเบียบพิธีรีตรองตลอดในโรงเรียนนั้นเนื่องกับศาสนาทั้งนั้นแหละ แม้แต่จะกินอาหารมันก็ต้องขอบคุณพระเจ้าก่อน แม้แต่จะนอนมันก็ขอบคุณพระเจ้าก่อน จะลงมือเล่าเรียนมันก็ขอบคุณพระเจ้าก่อน ทุกอย่างมันย้อมให้เป็นเรื่องของธรรมะของศาสนา เดี๋ยวนี้ไม่มีเหลือลักษณะอาการอย่างนี้เขามาบอกเล่าให้ฟังไม่มีเหลือแล้วเพราะการจัดการศึกษานั้นมันเปลี่ยนจากพระมาเป็นชาวบ้านแล้ว ทีนี้ชาวบ้านเห็นว่ามามัวศึกษาเรื่องศาสนาอยู่มันเสียเวลา มันไม่ส่งเสริมเศรษฐกิจ มันไม่ส่งเสริมการเมือง มันไม่เป็นไปเพื่อโลกปัจจุบัน จึงตัดออกๆตัดการศึกษาทางศาสนาทางธรรมะนี้ออกให้เหลือแต่วิชาความรู้ประเภทเทคโนโลยีทุกแขนง นี่มันเปลี่ยนอย่างนี้ คือเหลือแต่หนังสือกับอาชีพซึ่งสรุปเรียกสั้นๆว่าวิชาเทคโนโลยีทุกสาขาแม้เกี่ยวกับทหาร หรือว่าเกี่ยวกับการเมือง หรือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เกี่ยวกับอะไรก็ตาม เราเลยมีการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ ให้ทราบว่าในบางรัฐของบางประเทศนั้นถือว่าผิดกฎหมายเลยถ้าเอาเรื่องธรรมะเรื่องศาสนามาสอนในห้องเรียนในโรงเรียน ถือว่าครูคนนั้นทำผิดกฎหมายจะลงโทษ มันเป็นมากถึงอย่างนั้น แล้วมันจะอยู่ได้อย่างไร ก็เป็นอันว่าเรามันตกอยู่ในฐานะที่จะต้องนึก จะต้องคิด จะต้องต่อสู้กันแล้วถ้าเรายังหวังที่จะเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องให้ได้รับประโยชน์และก็ต้องมีการศึกษาที่สมบูรณ์ คือ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เพราะสิ่งทั้ง 3 นี้เป็นเครื่องพัฒนาชีวิต
เมื่อตะกี้ตอนต้นก็บอกแล้วว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ใครจะรู้จักชีวิตไปในแง่ไหนก็ตามใจได้ทั้งนั้นไม่ว่า แต่ขอให้รู้จักชีวิตในแง่ที่สำคัญที่สุดแง่หนึ่งคือว่าชีวิตนั้นคือสิ่งที่ต้องพัฒนา เราไม่พัฒนาไม่ได้ จะปล่อยไปตามเรื่องมันก็ไม่พอ ให้ชีวิตมันพัฒนาตัวเองล้วนๆ มันไม่พอ เราต้องเข้าไปควบคุมชีวิตให้มีการพัฒนาไปอย่างถูกต้อง ฉะนั้นชีวิตมันคือสิ่งที่ต้องพัฒนา
ทีนี้ถามว่าเกิดมาทำไม มันก็ตอบกำปั้นทุบดินว่าเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิต เพราะชีวิตมันเกิดมาแล้ว มันจะฆ่าให้ตายเสียก็ไม่ได้มันต้องคงเอาไว้ ถ้าอย่างนี้มันก็ต้องพัฒนา เราเกิดมาแล้วโดยไม่ใช่เจตนาของเราก็จริงแต่เราเกิดมาแล้วเราก็สละไปไม่ได้ เราจะทิ้งไปไม่ได้ เราต้องรับรอง เป็นผู้รับรองในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตของเราที่ได้เกิดมา ทีนี้ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาดังนั้นมันก็ต้องพัฒนา ก็เป็นอันว่าเราเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิต ฉะนั้นใครเกิดมาไม่พัฒนาชีวิตมันก็เป็นหมันเปล่ามันเท่ากับคนตายแล้วหรือยิ่งกว่าตายแล้วก็มี มันจะเลวร้ายยิ่งกว่าตายแล้วก็มีถ้าไม่พัฒนาชีวิตให้ถูกต้อง ฉะนั้นเกิดมาเพื่อพัฒนาชีวิตให้ถึงที่สุดจุดหมายปลายทางของความมีชีวิตก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่เสียชาติเกิดว่าอย่างนั้น ถ้าเป็นพุทธบริษัทก็ต้องว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา นี่แหละไม่เสียชาติเกิดอย่างยิ่งทำให้มันถูกต้องอย่างนี้ ทีนี้จะพัฒนาด้วยอะไร ก็ด้วยศีล ด้วยศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ภาษาอะไรบ้าๆบอๆฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็บอกเป็นภาษาไทยว่าความถูกต้องทางกายทางวาจาเรียกว่าศีลสิกขา ความถูกต้องทางจิตใจเรียกว่าจิตสิกขา และความถูกต้องทางสติปัญญาเรียกว่าปัญญาสิกขา ใช้ความถูกต้อง 3 หลัก 3 หมู่ 3 ประการ พวกนี้เป็นเครื่องพัฒนาชีวิต
จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้สนใจในสิ่งที่เรียกว่า ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ซึ่งรวมกันเข้าแล้วก็คือตัวพระพุทธศาสนาหรือตัวธรรมะที่เป็นหลักในพระพุทธศาสนา ถ้าท่านทั้งหลายมาที่นี่อาตมาก็เชื่อว่ามาเพื่อศึกษาหาความรู้เรื่องธรรมะเพื่อไปปฏิบัติให้มันเกิดความถูกต้องทั้ง 3 ประการนี้ อาตมาก็มีหน้าที่ที่จะช่วยสนองความต้องการที่อยากจะรู้ธรรมะจึงได้พูดธรรมะตามที่จะเห็นว่ามันสมควรอย่างไร เท่าไร เพียงไร โอกาสไหน เดี๋ยวนี้เรามันก็จะขึ้นปีใหม่ ก็ขอให้มีอะไรใหม่ คือให้มันพัฒนามากออกไปอย่าอยู่เท่าเดิม อย่าย่ำเท้าซอยเท้าอยู่ที่เดิม ข อให้มันก้าวออกไปด้วยการพัฒนา เรามาดูชีวิตกันเสียใหม่ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาแล้วก็พัฒนาออกไปด้วยวิธีทางพุทธศาสนา 3 อย่าง คือ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขานั่นเอง ไปหารายละเอียดเพิ่มเติมมันมีผู้อธิบายบรรยายไว้มากแล้ว เป็นหนังสือหนังหาราคาก็ไม่กี่สตางค์คำบรรยายเหล่านี้หามาอ่านได้ แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่าจะปฏิบัติกันหรือไม่ จะสนใจจะชอบพอที่จะปฏิบัติหรือไม่ ก็ลองคิดดู ถ้าเราไม่ได้พัฒนาในชีวิตให้ก้าวหน้าออกไปสักก้าวหนึ่งในวันปีใหม่นี้ก็เรียกว่าไม่น่าดู เอาปีใหม่เป็นเครื่องกระตุ้นให้เราเร่งรัดไอ้ความก้าวหน้าให้มันมีความก้าวหน้าไปทุกๆ ปี อย่าเหยียบรอยซ้ำเท้าย่ำเท้าอยู่ที่นี่ ก็เรียกว่าถูกแล้วสำหรับมนุษย์ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
นี่สรุปการบรรยายนี้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา เครื่องมือพัฒนานั้นคือ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ตามหลักของพระพุทธศาสนา แล้วก็สิกขานี้ไม่ใช่เรียนรู้สิกขานี้คือการกระทำฉะนั้นต้องกระทำ แล้วก็เกิดผลของการกระทำมันก็เกิดความก้าวหน้าแก่ชีวิตนั้นออกไปก้าวหนึ่งอย่างน้อย ถ้าทำถูกวิธีมันจะไปหลายๆ ก้าวแล้วก็ไปได้ไกลได้กระโดดไกลก็ได้ เป็นอันว่าเราก็ทำถูกแล้วในโอกาสที่ว่าขึ้นปีใหม่จะขึ้นปีใหม่อยู่รอมร่อแล้วขอให้สนใจในลักษณะอย่างนี้ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนานั่นเอง และการบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อน