แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาส : มีความต้องการเฉพาะพูดเรื่องอะไรไหม จะให้พูดเรื่องอะไร คุณจะให้พูดเรื่องอะไรก็บอกเลยก็ได้
หัวหน้าคณะครูบาอาจารย์ : ท่านอาจารย์ครับ กระผมอยากให้ท่านอาจารย์พูดธรรมะนะครับ ตามหลักศาสนาพุทธฮะ ช่วยเหลือให้นักศึกษาประสบความสำเร็จได้อย่างไร ใน ทั้งในชีวิตการเรียนและชีวิตการทำงานในอนาคตครับ
ท่านพุทธทาส : อืม
หัวหน้าคณะครูบาอาจารย์ : คือพูดง่ายๆว่า หลักธรรมะของพระพุทธศาสนานี่ ช่วยเหลือให้นักเรียนนักศึกษานี่ ประสบความสำเร็จในชีวิตการเรียนและในชีวิตการงานได้อย่างไร ขอบพระคุณมากครับ
นักศึกษาและครูบาอาจารย์ที่สนใจในธรรมทั้งหลาย วันนี้เราจะพูดกันด้วยเรื่องของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ในฐานะที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของมนุษย์ ที่แท้มันก็ ก็คือพูดเรื่องธรรมะนั่นเอง ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ มันก็ มันก็จะพอ เรียกว่าเข้าใจทุกแง่ ทุกมุม ทุกความหมายของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ฉะนั้นขอให้สนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้เพียงพอ คือให้ครบถ้วน ให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน เดี๋ยวนี้เรายังรู้จักสิ่งนั้นน้อยเกินไป ไม่พอ ไม่พอที่จะให้สำเร็จประโยชน์
ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนี่มันประหลาดที่สุด คือมันหมายถึงทุกสิ่ง หรือ อ่า, ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือสิ่งที่มันมีอยู่ในตัวเรา ในภาษาบาลีนั้น ไอ้คำว่าธรรมะนี่แปลว่าธรรมดาก็ได้ แปลว่าธรรมชาติก็ได้ แปลว่าธรรมธาตุ คือธรรมธา-ตุก็ได้ แปลอย่างอื่นได้อีก ธรรมะหมายถึงธรรมชาติ ธรรมะหมายถึงธรรมดา ธรรมะหมายถึงธรรมธา-ตุ และยังมีอื่นๆอีก ในที่นี้เราจะเอาไอ้ความหมายของคำว่าธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อจะให้รู้ว่าไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ
นัก เอ่อ, นักศึกษาอาจจะเข้าใจว่าธรรมชาติก็คือสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้แตะต้อง คือเป็นอยู่ตามธรรมชาติ อย่างนี้ก็ถูกเหมือนกัน แต่ขอให้ดูเถิดว่า แม้ที่สิ่งมนุษย์เข้าไปแตะต้อง ไปเกี่ยวข้อง ไปจับเอามา มาๆๆๆใช้ มาทำ มาผลิต มาเปลี่ยน มาแปลง นี้มันก็ยังคงเป็นธรรมชาติอยู่นั่นเอง แต่ว่าในภาษาบางภาษา หรือแม้แต่ภาษาไทย มันก็มักจะถือหลักอย่างอื่น เช่นว่าถ้ามันมาเกี่ยวกับมนุษย์เสียแล้ว ก็ไม่เรียกว่าธรรมชาติ นี้มันไม่ถูก เพราะมันไปเอาธรรมชาติมาในฐานะที่เป็นธรรมชาติ แล้วตัวมนุษย์นั่นแหละมันก็คือตัวธรรมชาติอย่างยิ่ง ไอ้ตัวธรรมมนุษย์ ไอ้ตัวมนุษย์ของแต่ละคนๆน่ะมันคือธรรมชาติอย่างยิ่ง นี่เราควรจะรู้จักตัวเราอย่างนี้เสียก่อน แล้วคุณจะรู้จักธรรมะจริง พอ แล้วก็จะใช้ธรรมะให้สำเร็จประโยชน์ในการทำความเป็นมนุษย์ของเราให้มันสมบูรณ์
ถ้าจะรู้ว่ามนุษย์คนหนึ่งเป็นธรรมชาติอย่างไร ก็ต้องไประลึกนึกถึงไอ้ธรรม ธรรมชาติ หรือธรรมะ ๔ ความหมายที่เคยพูดกันแล้วซ้ำๆซากๆ ธรรมะคือธรรมชาติ คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติอยู่ตามธรรมชาติ นี่เขาเรียกว่าธรรมชาติ ตัวธรรมชาติ เรียกเป็นบาลีว่า “ธรรมะ” ได้เหมือนกัน ทีนี้ในตัวธรรมชาตินั้นมันมีกฎของธรรมชาติ ไอ้กฎของธรรมชาติก็เป็นตัวธรรมะด้วย ทีนี้สิ่งที่มีชีวิตก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติมันก็คือธรรมะนี่เหมือนกันในความหมายที่เป็นหน้าที่ ทีนี้ผลอะไรเกิดขึ้นมาจากการทำหน้าที่นั้นก็เรียกว่าธรรมะอีกเหมือนกัน ธรรมะในฐานะที่เป็นผลที่เกิดมาจากการทำหน้าที่
อาตมาขอร้องให้ทุกคนจำไอ้ ๔ ความหมายนี้ไว้ให้ดี จะมีประโยชน์มากในการที่จะศึกษาให้ลึกซึ้งต่อไปข้างหน้า ให้จำไอ้ ๔ คำนี้ไว้เป็นรากฐานสำหรับการศึกษาต่อไปข้างหน้า ธรรมะคือตัวธรรมชาติ หนึ่ง ธรรมะคือตัวธรรมชาติ สอง ธรรมะคือตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้นๆ ขอให้ทบทวนจนเข้าใจ
ตัวธรรมชาติก็หมายถึงไอ้ธรรมชาติทั้งหลาย ตั้งแต่ขี้ฝุ่นขึ้นไปจนถึงอะไรต่างๆ จนกระทั่งพระนิพพานก็เป็นธรรมชาติ จะมีอยู่เองเป็นอยู่เองตามธรรมชาติ เรียกว่าธรรมชาติทั้งนั้น นี่รู้เสียให้ชัดเจนประเภทหนึ่งเลย ทีนี้ประเภทที่สองคือกฎของธรรมชาติ หมายความว่าในตัวของธรรมชาติเหล่านั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่ากฎรวมอยู่ด้วย กฎเกณฑ์หรือสัจจะของมันน่ะอยู่ในนั้นด้วย นี่ดูให้เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวธรรมชาติ มันเป็นกฎของธรรมชาติ แต่มันควบคุมหรือสิงอยู่ในตัวธรรมชาตินั่นเอง ทีนี้ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันมีภาระที่จะต้องถนอมชีวิตให้ยังคงอยู่ มันก็เกิดหน้าที่ขึ้นแก่สิ่งที่มีชีวิตนั้น ว่ามันจะต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเพื่อมันจะรอดชีวิตอยู่ได้ นี้เป็นอย่างน้อยนะ และเพื่อว่ามันจะได้วิวัฒนาการดีที่สุด ถึงชั้นดีที่สุดนี่เป็นอย่างมาก ฉะนั้นเราต้องรู้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หน้าที่นี้ก็เรียกว่าธรรมะ ทีนี้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผลของหน้าที่ก็ต้องมี ไอ้ผลของหน้าที่นั้นมันจะดี จะชั่ว จะสุข จะทุกข์ จะบุญ จะบาป มันก็แล้วแต่ว่ามันทำหน้าที่ลงไปอย่างไร เกิดผลขึ้นมาก็เป็นผลตามกฎของธรรมชาติ ตามหน้าที่ของ ตามกฎของธรรมชาติ นี้ก็เรียกว่าผล ขอให้จำไว้ว่าเรามีตัวธรรมชาติ มีตัวกฎของธรรมชาติ มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีผลตามหน้าที่
ทีนี้จะขอพูดเสียเลย แทรกสักหน่อยว่า ในนี้มันรวมไอ้คำว่าพระเจ้าไว้ด้วย ในเรื่องของธรรมชาตินี่มันมีรวมคำว่าพระเจ้าไว้ด้วย คือกฎของธรรมชาตินั่นเองเป็นพระเจ้า พระเจ้านั้นมีได้สองความหมาย ความหมายภาษาคนก็เป็นพระเจ้าอย่างที่ได้รับบอกเล่ากันมาสำหรับลูกเด็กๆ เขียนเป็นรูปภาพหนวดยาว ถือไม้เท้า นั่นน่ะพระเจ้าในภาษาคน แต่พระเจ้าในภาษาธรรมะของผู้มีปัญญา พระเจ้านั้นคือกฎของธรรมชาติ นี่เป็นพระเจ้าที่จริงกว่า จริงที่สุด ถ้าพระเจ้าทางภาษาธรรมมาสร้างโลก มีรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ นักวิทยาศาสตร์เขากลืนไม่ลง ถ้าพูดพระเจ้าแบบมีคนอย่างนั้นแล้วก็ นักวิทยาศาสตร์เขากลืนไม่ลง รับไม่ได้ แต่ถ้าพูดว่าพระเจ้าคือกฎของธรรมชาติ คือตัวกฎของธรรมชาติ อย่างนี้นักวิทยาศาสตร์กลืนลง รับได้ และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็ได้ใช้กฎของธรรมชาตินั่นแหละบันดาลความสำเร็จต่างๆได้ตามที่ต้องการ นี้ที่ต้องพูดก็คือว่า บางคนจะเข้าใจผิดว่าในพุทธศาสนานี้ไม่มีพระเจ้า เพราะมันสอนกันเกร่อไปทั่วทั้งโลกแล้วก็ได้ว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า นี่เราบอกว่าพุทธศาสนาก็มีพระเจ้า แต่พระเจ้าในภาษาธรรม คือตัวกฎของธรรมชาติ เป็นพระเจ้าที่แท้จริง
เอ้า, ทีนี้ถ้าจะรู้จักพระเจ้า ก็รู้จักให้ถูกตัวพระเจ้าจริงๆ คือตัวกฎของธรรมชาติ ถ้าไม่ยอม ยังไม่ยอมรับก็พูดกันเสียก่อนว่า ไอ้พระเจ้าของแกที่แกว่า อย่างในศาสนามีพระเจ้านั้น มันคืออะไร มันมีหน้าที่อย่างไร เขาก็ต้องตอบว่า พระเจ้าน่ะข้อแรกมีความหมายก็คือ เป็นมูลเหตุของสิ่งทั้งปวง เราเรียกว่า The First Cause ต้นเหตุแห่งสิ่งทั้งปวง เรียกว่าปฐมเหตุ เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งอื่น และสิ่งทั้งปวงออกมาจากสิ่งนั้น ปฐมเหตุนี่คือพระเจ้า พระเจ้าใน หนึ่งในความหมายก็คือเป็นปฐมเหตุ
ทีนี้พระเจ้าผู้สร้าง มีความหมายว่าเป็นผู้สร้าง The Creater ผู้สร้าง นี่พระเจ้าผู้สร้างนะ ฟังให้ดีว่า สร้างเหมือนกับ เหมือนกับปั้นหม้อปั้นไหขึ้นมาน่ะ สร้างโลกสร้างอะไรต่างๆ
ทีนี้พระเจ้าผู้ควบคุมรักษา นี่พระเจ้า The Preserver Preserve น่ะ The Preserver นี่พระเจ้ามันควบคุมรักษาโลกอยู่ พระเจ้าทำหน้าที่
ทีนี้ถึงวาระสุดท้าย พระเจ้าก็คือผู้ทำลาย เลิก ยุบ ไอ้สิ่งนั้นๆตามโอกาส เขาเรียกว่า Destroy The Destroyer เรามีผู้สร้างโลก ผู้คุมโลก ผู้ทำลายโลก ความหมายอย่างนี้
เอ้า, ทีนี้ลักษณะที่เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจมากขึ้นอีก ก็ว่าพระเจ้านี้ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งทั้งหลาย ก็ใช้คำว่า Omnipotent Potent แปลว่าใหญ่ยิ่งเหนือ เหนือสิ่งทุกสิ่ง เหนือทั้งหมด นี่คือคุณสมบัติของพระเจ้า
แล้วพระเจ้าก็อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เขาเรียกว่า Omnipresent Present Omnipresent มันอยู่ไปในที่ทุกแห่ง แม้แต่ในกองขี้หมา ต้องว่าอย่างนี้น่ะมันจำ จำง่าย คือมันทุกแห่งจริงๆ ฉะนั้นเราจึงไม่รอดสายตาพระเจ้าไปได้
ทีนี้พระเจ้าก็เป็นผู้ที่รวมแห่งความรู้ทุกสิ่ง หรือรู้ทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่พระเจ้าไม่รู้ นี่เขาเรียกว่า Omniscience พระเจ้านี้มันรู้ไปทุกสิ่ง
ทีนี้คุณลองคิดดูสิว่าพระเจ้าอย่างคนน่ะมันทำอย่างนี้ได้หรือ ถ้าพระเจ้ามันเป็นคน มันก็เหมือนคน มันก็เท่าๆกับคน มันจะเป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวงได้อย่างไร จะสร้างโลกได้อย่างไร จะคุมโลกได้อย่างไร จะทำลายโลกได้อย่างไร จะมีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง อยู่ในที่ทั้งปวง รู้สิ่งทั้งปวงได้อย่างไร มันก็ไม่ไหว มันก็ตัน นี่นักวิทยาศาสตร์จึงไม่ยอมเชื่อว่ามีบุคคลที่เป็นอย่างนั้น จะเป็นเทวดาก็ได้ เป็นมนุษย์ก็ได้ จะเป็นอย่างนั้นมันมีไม่ได้ ฉะนั้นเขาก็ไม่ยอมรับสิ เขาไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้า
ทีนี้เรามาพูดกันใหม่ตามวิธีของพุทธบริษัท เรามีกฎของธรรมชาติเป็นพระเจ้า ทีนี้กฎของธรรมชาตินั่นแหละมันเป็นปฐมเหตุ เป็นปฐมเหตุที่ออกมาของสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงออกมาจากกฎของธรรมชาติ โดยกฎของธรรมชาติ เพราะมันมีอำนาจสูงสุด นี่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ค้านนะ ก็กฎแห่งวิวัฒนาการเป็นต้นนี่มันเป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง ทีนี้ก็กฎอันนี้มันสร้างโลกขึ้นมา โลกนี้ก่อนนี้ไม่เคยมี มันก็มีขึ้นมาโดยอำนาจของกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นกฎธรรมชาติก็เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก ทีนี้พอควบคุมโลกอยู่ตลอดเวลา ควบคุมรักษาโลกอยู่ตลอดเวลา คือกฎของธรรมชาตินี้มันยังควบคุมโลกปัจจุบันนี้อีก ทุก ทุกสิ่งทุกที่ตลอดเวลา และเมื่อถึงคราวที่โลกนี้จะต้องทำลายลง ยุบหายไป มันก็โดยกฎของธรรมชาติอีกนั่นเอง ฉะนั้นกฎของธรรมชาติจึงเป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก พระเจ้าผู้ควบ คุ้มครองโลก ควบคุมโลก พระเจ้าผู้ทำลายโลก ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ไหนคัดค้านได้
ทีนี้พอพูดถึงว่า สูงสุดกว่าสิ่งทั้งปวง เป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งปวง ก็กฎของธรรมชาติน่ะมันใหญ่กว่าอะไรหมดน่ะ แล้วมีอยู่ในที่ทั้งปวง ก็คือกฎของธรรมชาติน่ะมันมีอยู่ในที่ทั้งปวง ไม่ยกเว้นแม้ในกองขี้หมาอย่างที่ว่ามาแล้ว ทีนี้กฎของธรรมชาตินี้มันเป็นที่รวมของทั้งหมด ไอ้รวมความรู้ของทั้งหมด ก็เลยเป็นพระเจ้าได้เต็มทุกความหมาย
นี่เราก็มีพระเจ้า คือกฎของธรรมชาติ ขอให้รู้ไว้ เผื่อจะพูดผิดๆ เป็นนักศึกษาที่เป็นพุทธบริษัท และก็จะพูดว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า พุทธศาสนานี่กลับมีพระเจ้าที่แท้จริงยิ่งกว่าพระเจ้าชนิดไหนในศาสนาไหน พระเจ้าในศาสนาฮินดู ศาสนาคริสต์ อิสลาม อะไรก็ตามที่มีพระเจ้า เขามีอย่างบุคคล มีอารมณ์เหมือนบุคคล บางทีโกรธ บางทีชอบ บางทีอะไร เมื่อมีพระเจ้าอย่างบุคคลอย่างนั้นน่ะ มันขัดหลัก ฝืน ฝืนหลัก แม้แต่หลักของ Logic มันก็รับกันไม่ได้
ทีนี้เรามีพระเจ้าอย่างที่เป็นกฎ ไม่ใช่คน ไม่มีเนื้อหนังอย่างคน ไม่มีความรู้สึกอย่างคน แต่มันมีกฎ เป็นกฎที่ตายตัว คือเป็นอำนาจ ต้องเรียกว่าอำนาจ อำนาจสูงสุดนี้เป็นพระเจ้า ฉะนั้นก็เลยมีพระเจ้าจริงๆ ทีนี้ก็มีธรรมะนั่นแหละเป็นพระเจ้า ธรรมะในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาตินั่นแหละเป็นพระเจ้าที่แท้จริง ถ้าใครไม่รู้จักพระเจ้าชนิดนี้ ก็เรียกว่าไม่มีพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า เป็นคนโง่งมงายยิ่งกว่าโง่ ยิ่งกว่างมงาย ยิ่งกว่าหลับตา เพราะว่ามีพระเจ้าอยู่จริงๆ พระเจ้าที่สร้างตัวเองมานั่นแหละ มันมีอยู่จริง คือกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินี้ก็เรียกว่าธรรมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นธรรม พระธรรมนั่นแหละเป็นพระเจ้า พระเจ้าผู้เป็นปฐมเหตุ พระเจ้าผู้สร้างโลก ครองโลก ทำลายโลก เป็นใหญ่กว่าทั้งหมด มีอยู่ในที่ทุกแห่ง แล้วก็รู้ทั้งหมด
ฉะนั้นขอให้มองเห็นธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติที่เป็นพระเจ้าอย่างที่ว่า และธรรมะเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นพระเจ้าคือกฎธรรมชาติมันเรียกร้องให้มนุษย์ต้องทำหน้าที่ ฉะนั้นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินี่ก็เรียกว่าธรรมะด้วยเหมือนกัน คือธรรมะที่เราต้องประพฤตินั่นแหละ เลยเรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ลองไม่ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติสิ มันก็ต้องตายแหละ
ทีนี้ทำหน้าที่แล้วก็มีผล ผลนี้ก็เหมือนกับว่าพระเจ้าเขาประทานให้ คือกฎของธรรมชาติมันประทานให้ ทีนี้ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงทั้งสากลจักรวาลนี้ก็เหมือนกับเนื้อหนังร่างกายของพระเจ้า ทั้งสากลจักรวาล ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มันเป็นเนื้อตัวของพระเจ้า ทีนี้กฎของธรรมชาตินั่นแหละคือจิต จิตของพระเจ้า วิญญาณของพระเจ้า ทีนี้หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละคือสิ่งเรียกร้องของพระเจ้า พระเจ้าเรียกร้องให้ทำ พระเจ้าต้องการให้ทำ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นคือสิ่งที่พระเจ้าเรียกร้องว่าเราต้องทำ พอเราทำแล้วก็ได้ผล ผลนั้นก็คือสิ่งที่พระเจ้าโปรดประทานให้ เราจึงได้รับผลดีถ้าเราทำถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
ทีนี้มันก็มีคำว่าอ้อนวอนพระเจ้า เราก็อ้อนวอนพระเจ้าด้วยการทำให้ถูกกฎของธรรมชาติ เราพยายามทำให้ถูกกฎของธรรมชาติให้มากที่สุด นั่นแหละคือการอ้อนวอนของพระเจ้าที่จริงที่มีความหมาย ที่มาจุดธูปจุดเทียนบูชาหน้าแท่นบูชาอ้อนวอนพระเจ้านั้นมันเป็นเรื่องลมๆแล้งๆ อ้อนวอนไปตามแบบ แต่ถ้าอ้อนวอนกันจริงก็คือสนใจที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของพระธรรม ตามกฎของพระเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคนจงมีพระเจ้า ทุกคนจงอ้อนวอนพระเจ้าด้วยการพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ถูกความประสงค์ของพระเจ้า คือกฎของธรรมชาติ
นี่อาตมาได้พูดกับท่านทั้งหลายถึงเรื่องธรรมชาติ ๔ ความหมาย หรือธรรมะ ๔ ความหมายนี้ ธรรม ธรรมะคำเดียวแยกออกเป็นตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็มีผลตามหน้าที่
ที่ใน ๔ อย่างนั้น ไอ้อย่างที่สอง คือกฎของธรรมชาตินั่นแหละคือพระเจ้า ซึ่งเราสู้ไม่ไหว เราบิดพลิ้วไม่ไหว ต่อต้านทานก็ไม่ไหว เราจึงต้องทำตาม เหมือนกับว่าทำให้ถูกใจคนที่มันใหญ่กว่าเรานั่น เราก็ถูก ทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาตินี่ เราก็จะได้รับผลที่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นเราจึงมีพระเจ้าคือพระธรรมหรือกฎของธรรมชาติ เราก็บูชาอ้อนวอน บูชาอ้อนวอนเป็นอย่างยิ่งเลย ให้ถูกใจพระเจ้า ด้วยการปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาตินั่นเอง แล้วเราก็ได้รับผลเต็มที่ นี่เรามีพระเจ้ากันอย่างนี้ มันไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยง ถ้าไม่มีพระเจ้า ไม่ถือพระเจ้า ก็จะเปะปะ แล้วก็จะไม่มีความสงบสุขได้ เพราะมันไม่ถูกตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
ธรรมะคือธรรมชาติใน ๔ ความหมาย มันก็กินความหมด สิ่งที่มนุษย์ไม่เกี่ยวข้องก็เป็นธรรมชาติ สิ่งมนุษย์ที่เกี่ยวข้องแล้วก็เป็นธรรมชาติ เพราะว่าตัวมนุษย์นั่นเอง แต่ละคนๆมันก็คือตัวธรรมชาติ ถ้าเป็นนักศึกษาอยู่บ้างก็คงจะเข้าใจแล้ว ถ้าเป็นคนโง่ก็ไม่อาจจะเข้าใจว่าแต่ละคนๆนี่มันเป็นธรรมชาติอย่างไร เราก็มาดูที่ร่างกายล้วนๆของเรานี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันเป็นร่างกายนี้ นี่คือธรรมชาติฝ่ายรูปธรรม ทีนี้ก็มีอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ นี่ก็เป็นฝ่ายนามธรรม ร่างกายเนื้อตัวจิตใจของเราเป็นตัวธรรมชาติ ทุกส่วนรวมกันหมดนี้เป็นตัวธรรมชาติ
ทีนี้กฎของธรรมชาติน่ะ ที่พระเจ้าจริงๆน่ะ มันก็ควบคุมไอ้ร่างกายชีวิตของเราอยู่ทุกๆปรมาณู ทุกๆ ปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายคนเรานี้มันควบคุมอยู่ด้วยกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นพระเจ้ามันควบคุมมนุษย์อยู่ทุกๆปรมาณู พระเจ้าคือกฎของธรรมชาติ มันมาควบคุมอยู่ในทุกปรมาณูของร่างกาย เพราะฉะนั้นในร่างกายนี้มันก็มีกฎของธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่มันมีตัวธรรมชาติ แล้วมันก็มีกฎของธรรมชาติอยู่ในตัวธรรมชาตินั้น ทีนี้ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ก็คือเราปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นแม้แต่วินาทีเดียว มันต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติทุกๆเซลล์ของร่างกาย ในร่างกายนี้มันจะปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มิฉะนั้นมันจะตาย มันมีการไหลเวียนของโลหิต มีการไหลเวียนของลมหายใจ มีการปรุงแต่งด้วยโลหิตด้วยลมหายใจอะไรอยู่ทุกๆ ทุกๆอณู ทุกๆปรมาณู หรือทุกๆวินาที นี่เป็นส่วนแหลก ละเอียด มันก็มีการปฏิบัติให้ถูกหน้าที่ของโลหิต ของเลือด ของน้ำเหลือง ของไอ้กระดูก ของไอ้เซลล์ ของหนัง ของขน อะไรก็ตาม มันต้องมีการเป็นไปที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงงอกงามอยู่ได้
เอ้า, ทีนี้พอเป็นคน รวมกันทั้งหมดทั้งคน ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ คุณจะต้องกินอาหาร คุณจะต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ จะต้องอาบน้ำ จะต้องทำทุกอย่าง จะต้องบริหารกาย จะต้องพักผ่อนให้มันถูกตามกฎของธรรมชาติ ชีวิตมันจึงจะรอดอยู่ได้นั้นน่ะ หน้าที่ที่เราต้องทำเพื่อให้ชีวิตรอดอยู่ได้นี้ก็คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
ทีนี้เพียงรอดชีวิตอยู่ได้นั้น มันไม่มีค่าอะไรนัก เรายังมีหน้าที่ที่จะทำให้สูงขึ้นไปๆ ให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ฉะนั้นเราจึงมีการศึกษาด้านจิต ด้านวิญญาณ ด้านธรรมะนั่นเอง ให้บรรลุมรรคผลนิพพานอีกส่วนหนึ่ง ถ้ามัวเรียนแต่หนังสือกับอาชีพ มันก็เป็นการศึกษาระบบหมาหางด้วน อาตมายอมพูดคำนี้ให้เขาด่า ด่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว อาตมาไปด่าเขาก่อนว่าระบบการศึกษาหมาหางด้วนของครูบาอาจารย์ทั้งหลายในโลกนี้ มันสอนแต่หนังสือกับอาชีพ มันไม่ได้สอนธรรมะให้รู้ว่าเป็นคนกันอย่างไร นี่การศึกษาระบบหมาหางด้วน พวกฝรั่งเขานำก่อน ไอ้ไทยก็ตามก้น จัดการศึกษาตามแบบหมาหางด้วนเหมือนอย่างฝรั่ง แล้วก็ชวนกันโกรธอาตมาว่าพูดคำหยาบคายด่าเขา ก็ต้องทนหน่อย เพราะมันเป็นความจริง
ก็จะขอร้องว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจัดการศึกษาให้มันสมบูรณ์เสียเถิด อย่าให้เป็นหมาหางด้วน ให้มี มีการศึกษาส่วนที่สาม คือ ธรรมะ สำหรับเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องในทางจิตใจ ไอ้วุฒิศึกษารู้แต่หนังสือไม่พอ หัตถศึกษา พลศึกษา รู้อาชีพก็ไม่พอ ต้องมีจริยศึกษาที่แท้จริง ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มี เรียกกันแต่ปาก จดไว้ในสมุด ไม่มีที่ตัวคน ต้องมีธรรมะที่ตัวคน ประพฤติปฏิบัติให้ได้ ให้มีการศึกษาธรรมะให้เป็นมนุษย์กันให้ถูกต้อง การศึกษานี้จึงจะไม่เป็นหมาหางด้วน นี้พวกคุณทุกคนที่นั่งอยู่นี่ รู้แต่หนังสือกับรู้แต่อาชีพ ก็ออกไปเถอะ ไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ กล้าท้าอย่างนี้เลย คุณรู้แต่หนังสือกับอาชีพนี่ คุณไปปฏิบัติอาชีพ ประกอบอาชีพ ไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ไม่มีมนุษยธรรมที่ถูกต้อง ไม่มีธรรมะแห่งความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง
ฉะนั้นขอให้ศึกษาให้รู้ธรรมะในส่วนนี้ว่า เรารอดชีวิตอยู่ได้แล้ว เราจะต้องทำอย่างไรต่อไป จึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั่นแหละคือการศึกษาส่วนสุดท้าย ส่วนที่สามที่ต้องมี ถ้าเปรียบกับหมาหางด้วน มันหยาบคายเกินไป ก็เปรียบกับพระเจดีย์ยอดด้วน ต่อรองกันหน่อย เอาใจกันหน่อย เพราะหมาหางด้วนนี่มันเจ็บมากเกินไป ว่าถ้าเจดีย์ยอดด้วนมันก็ไม่น่าดู เพราะเจดีย์ที่มีแต่ฐานกับองค์แล้วข้างบนไม่มี เป็นเจดีย์ด้วนข้างบน มันก็ไม่น่าดู ฉะนั้นเจดีย์ต้องมียอดให้สมบูรณ์ ระบบการศึกษาของเราต้องอย่าเป็นระบบพระเจดีย์ยอดด้วน ให้เป็นพระเจดีย์ที่สมบูรณ์คือมียอดด้วย คือมีความรู้หนังสือ มีความรู้อาชีพ และมีความรู้ธรรมะว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ดีที่สุด นี่ก็เป็นพระเจดีย์สมบูรณ์ หมาหางไม่ด้วน
ทีนี้ธรรมะจะช่วยได้โดยการศึกษาแล้วปฏิบัติให้มีธรรมะ มนุษย์ก็มีความเป็นมนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์หมาหางด้วน ไม่เป็นมนุษย์เจดีย์ยอดด้วน ด่าหรือไม่ด่าก็ฟังเอาเองก็แล้วกัน อาตมาพูดความจริง และขอร้องว่าขอให้เราทุกคนนี่จงมีการศึกษาที่สมบูรณ์ ไม่เป็นหมาหางด้วน แล้วความเป็นมนุษย์ของเราก็จะสมบูรณ์ ไม่เป็นมนุษย์หมาหางด้วน หรือว่าไม่เป็นพระเจดีย์ยอดด้วน แต่เป็นพระเจดีย์ที่สมบูรณ์ นี่ขอให้สนใจธรรมะและก็มีธรรมะ ขอให้ทุกคนมีธรรมะ แล้วเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่หางด้วน ไม่ยอดด้วน จึงต้องสนใจธรรมะ
ท่านทั้งหลายมาที่นี่ด้วยความปรารถนาอะไร อาตมาก็ไม่ๆๆๆกล้า พูดออกไปแล้วมันอาจจะผิดก็ได้ เพราะบางคนอาจจะมาเที่ยวสนุกๆ ไม่ได้ต้องการธรรมะอะไรเลย ในหมู่ที่มาทั้งหมดนี่บางคนอาจจะมาโดยไม่ต้องการธรรมะ ธรรมแมะอะไรเลย มาเที่ยวสนุกๆเท่านั้น อย่างนี้มันจะไม่คุ้มค่า แต่ถ้าว่ามาเพื่อต้องการธรรมะ รู้ธรรมะ แล้วมีธรรมะ นี่จะคุ้มค่า ฉะนั้นจึงพูดกันเสียเดี๋ยวนี้เลยว่าจงสนใจธรรมะ จงรู้ธรรมะ และจงมีธรรมะที่เนื้อที่ตัว แล้วก็เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เพราะธรรมะนั่นเอง
เอ้า, ทีนี้มาดูกันใหม่ ที่พูดๆๆๆค้างอยู่น่ะว่า คน มนุษย์คนหนึ่งน่ะเป็นธรรมชาติใน ๔ ความหมายนั้น ในตัวคนๆหนึ่งนี่มีตัวธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ มีการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีการได้รับผลจากการหน้า อ่า, ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นจึงพูดว่ามนุษย์คนหนึ่งนั่นน่ะคือธรรมชาติโดยแท้จริง ขอให้รู้จักตัวเอง รู้จักเข้าไปข้างในว่าเป็นตัวธรรมชาติ ๔ ความหมาย ลูกเด็กๆได้รับการศึกษาไอ้ทางนี้มาตามแบบของลูกเด็กๆในโรงเรียน ลูกเด็กๆ ไอ้ธรรมชาติมันคือสิ่งที่มนุษย์มันไม่ ยังไม่เข้าไปแตะต้อง ป่าเขาลำเนาไพร อะไรที่มนุษย์ยังไม่แตะต้องนั้นตัวธรรมชาติ พอมนุษย์ไปเข้าไปเกี่ยวข้องเอามาจับมาทำอย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าธรรมชาติ แล้วก็ไม่เรียกตัวเองว่าธรรมชาติ จะว่ากันอย่างไร ถ้าในโรงเรียนของคุณสอนมาอย่างนั้น คุณก็ไม่ถือว่าตัวเรานี้เป็นธรรมชาติ หรือว่าสิ่งต่างๆที่เราไปเอามาจากป่าจาก มาๆดัดแปลงนี้ เป็น รึ เรือน บ้าน รถยนต์ อะไรนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ อย่างนี้ก็พูดกันคนละทิศคนละทางไม่รู้เรื่อง
แต่ถ้าพูดโดยหลักของธรรมะแล้ว มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะว่าตัวมนุษย์มันก็เป็นตัวธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้ง ๔ ความหมาย ธรรมชาติทั้งหลายก็เป็นธรรมชาติ มนุษย์ก็ไปเอาธรรมชาติเหล่านั้นมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นตึก เป็นรถยนต์ เป็นอะไรมันก็ยังคงเป็นธรรมชาติอยู่นั่นเอง นี่เรารู้จักธรรมชาติตามความหมายทางพระศาสนาแล้วก็จะเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นทุกสิ่งมันจึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไปตามกฎของธรรมชาติ ตึกเรามนุษย์สร้าง มันก็เป็นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไปตามกฎของธรรมชาติ รถยนต์ มนุษย์สร้าง มันก็เป็นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไปตามกฎของธรรมชาติ ชั้นเลิศ เครื่องบินชั้นเลิศ ไปรอกนอกโลกได้อะไร มันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไปตามกฎของธรรมชาติ เพราะว่ามันยังเป็นธรรมชาติอยู่นั่นเอง นี่เรารู้จักธรรมชาติใน ๔ ความหมาย ก็จะรู้จักธรรมะ ก็มีเท่านี้เอง
รู้จักธรรมะ คือรู้จักธรรมชาติใน ๔ ความหมาย ไอ้ตัวธรรมชาตินี้อย่างหนึ่ง ตัวกฎของธรรมชาตินี้อย่างหนึ่ง ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นอย่างหนึ่ง ตัวผลเกิดจากหน้าที่นั้นอย่างหนึ่ง ทีนี้รู้แล้วก็ไปทำให้ถูกต้อง ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันมีกฎอยู่ว่าถ้าทำอย่างนี้ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนั้นผลจะเกิดขึ้นอย่างนั้น มันเป็นไอ้กฎของธรรมชาติอย่างนี้ เราต้องการผลดีอย่างไร เราก็ทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติในส่วนนั้น เช่นว่าเราอยากจะรอดชีวิตอยู่ ไม่ตาย ไม่เจ็บ ไม่ไข้ เราก็บริหารร่างกายชีวิตให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติในส่วนนี้ ทีนี้ถ้าเราต้องการไอ้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ให้สูงให้ยิ่งขึ้นไป คือมรรคผลนิพพาน นี่เราก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติส่วนนั้น คือส่วนที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน เราก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั่นคือตัวธรรมะที่เราต้องรู้ต้องทำตามหน้าที่แล้วให้ได้รับ ฉะนั้นศึกษาธรรมะก็คืออย่างนี้ ถ้าท่านต้องการจะศึกษาธรรมะมันก็มีอย่างนี้ มันไม่มีอย่างอื่นไปได้ อย่างอื่นเป็นเรื่องลมๆแล้งๆเล่นๆ ไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่ของจริง
ไอ้ธรรมะนี้ก็คือตัวธรรมชาติ ตัวกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราต้องรู้แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าให้มีความทุกข์เลย รู้ธรรมะ รู้เรื่องธรรมชาติ ก็เพื่อ เพื่อปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าได้มีความทุกข์เลย นั่นพระธรรมมันดับทุกข์ได้ เพราะว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั่นเอง
อาตมาขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าไอ้หัวข้อ ๔ หัวข้อนี้มีประโยชน์มากที่สุด จำไว้เป็นรากฐานสำหรับศึกษาธรรมะที่ละเอียดปลีกย่อยสูงขึ้นไปๆ โดยอาศัยไอ้คำว่าธรรมะใน ๔ ความหมายนี่แหละไว้เป็นหลัก ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผลเกิดมาจากหน้าที่ ธรรมะใน ๔ ความหมายนี้ ท่านทั้งหลายพากันมาที่นี่ต้องการอะไร ต้องการธรรมะส่วนไหน
โดยปกติเราจะพูดกันในธรรมะความหมายที่ ๓ ทั้งนั้นแหละ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ว่าปฏิบัติอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้ นั่นคือหน้าที่ มาเรียนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้ ได้รับผลที่ดีที่สุดของมนุษย์ เราก็มาพูดกันแต่เรื่องนี้โดยมาก เช่น มาหาความรู้เรื่องวิปัสสนา ก็คือความรู้ที่มันละเอียดชั้น ชั้นลึกชั้นละเอียดของธรรมชาติ ที่รู้แล้วสามารถจะทำจิตใจให้อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ควรจะถือว่าเป็นหน้าที่อย่างยิ่งที่จะทำตัวให้อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าเกิดมาสำหรับทนทุกข์เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นอยู่จนกว่าจะเน่าเข้าโลงไป ไม่มีสาระอะไร การที่เกิดมาทนทุกข์เรื่อยไปจนกว่าจะเน่าเข้าโลงไป มันจะมีประโยชน์อะไร เราต้องมีความรู้ที่ไม่ต้องทนทุกข์ สนุกอยู่ด้วยการมีชีวิต เป็นสุขอยู่ด้วยการมีชีวิตจนกว่าจะเน่าเข้าโลงไป อย่างนี้จะดีกว่า
ฉะนั้นขอให้ยึดถือหลักของธรรมะให้ถูกต้อง จะได้จัดให้ทุกอย่างนี่มันทำให้เกิดผลดีที่สุด จะใช้ชีวิตนี้ให้มันมีค่ามากที่สุด มันก็คือหน้าที่การงานนั่นเอง หน้าที่การงานของมนุษย์นั่นแหละ เป็นธรรมะสูงสุด จำเป็นที่สุด รีบด่วนที่สุด ขอให้พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นครูก็ได้ เป็นนักเรียนก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ ทุกคนจะต้องมีหน้าที่ พอปฏิบัติหน้าที่ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ แล้วก็ได้รับผลตามสมควร ถ้าไม่โง่เกินไปก็จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่นั้นสนุกสนานไปในตัว ถ้าเป็นนักเรียน มีหน้าที่เรียน ก็เรียนอย่างสนุกสนาน นักเรียนแท้จริงจะมีการเรียนที่สนุกสนาน นักเรียนเหลวไหลมันจะอิดเอื้อน มันไม่อยากเรียน มันขี้เกียจเรียน มันเหมือนกับตกนรกเมื่อเรียนกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียน มันจะไปเล่นไปสนุกสนานอย่างนี้ อย่างนี้มันไม่ถูกตามเรื่องของธรรมชาติ เมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ก็ให้ถือว่าได้ทำสิ่งสูงสุดคือปฏิบัติธรรมะ มันต้องสนุก นักเรียนจะต้องเรียนอย่างสนุก ไม่ต้องเสียเงินอะไรก็ได้รับความสุขความสนุกใน ในตัวการเรียน จากการเรียน ไม่ต้องเอาเงินของพ่อแม่ไปทำอบายมุข ไปเรื่องกามารมณ์ เรื่องสวยงาม เรื่องเล่นหัวอะไรต่างๆนั้นน่ะ มันเป็นความสุขหลอกลวง แล้วต้องใช้เงินด้วย นี่เรามาสนุกในการเรียน ไม่ต้องเสียเงินอะไรเพิ่ม ก็สนุกอยู่ตลอดเวลาที่เรียน เลิกเรียนแล้วก็พักผ่อน ไม่ต้องไปเที่ยวอบายมุขเหมือนนักเรียนส่วนมาก
ทีนี้ครูทั้งหลายก็เหมือนกัน ถือชอล์กอยู่หน้ากระดานดำน่ะ เป็นเวลาที่จะเป็นสุขที่สุด สนุกที่สุด มีความสุขที่สุดเมื่ออยู่กับชอล์กกับกระดานดำ ไม่ต้องเร่งเวลา ไม่ต้องเร่งให้เวลาบ่ายเย็นเร็วๆ เลิกเรียนปิดเรียนไปกินเหล้ากินปลา กามารมณ์อาบอบนวดอะไรนั่นมันเรื่องบ้า ไม่ใช่เรื่องความสุขที่ถูกต้องที่แท้จริง ขอให้มีความสุขจากหน้าที่การงานที่กำลังกระทำอยู่ อาตมายกตัวอย่างเป็นครูสอนหนังสืออยู่กับชอล์ก อยู่กับกระดานดำ อยู่กับห้องเรียนนั้นน่ะ ไอ้อันนั้นมีสุขที่สุด พอเย็นลงปิดโรงเรียนแล้วก็ไปพักผ่อน มีความสุข ไม่ต้องไปหาเหยื่อของกิเลสอย่างที่คุณครูทั้งหลายชอบไปกินเหล้า ชอบไปอาบอบนวด ชอบไปทำอะไรต่างๆ ซึ่งก็มีอยู่เหมือนกัน มันทำผิดกฎของธรรมชาติ มันก็ต้องได้รับผลเป็นความทุกข์โดยแน่นอน
นี่จะพูดเลยไปถึงว่าทุกคนในโลกจงมีความสุขความสนุกเมื่อได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ ชาวนาทำหน้าที่ของชาวนา พอใจที่สุด ยกมือไหว้ตัวเองได้ว่าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องที่ดีที่สุดตามหน้าที่ของเรา เราก็ได้บุญ ชาวสวนก็เหมือนกัน พ่อค้าก็เหมือนกัน ไอ้ทนายความก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เมื่อได้ทำหน้าที่ของตัวแล้วได้ ให้รู้สึกว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราตามส่วนที่มนุษย์คนหนึ่งๆจะช่วยกันทำลงไปในโลกนี้ ให้โลกนี้มันสมบูรณ์ เอาโลกเป็นส่วนกลาง เป็นสม สมบัติกลาง แล้วประพฤติธรรมะร่วมกัน เป็นธรรมสหกรณ์ เป็นบุญสหกรณ์ ทำให้โลกนี้สมบูรณ์มีความสุข เราก็ได้บุญ คนแจวเรือจ้างก็ได้บุญ คนถีบสามล้อก็ได้บุญ คนกวาดถนนก็ได้บุญ คนล้างท่อก็ได้บุญ บุรุษไปรษณีย์ก็ได้บุญ นี่เพราะว่าเขาได้ทำหน้าที่ส่วนหนึ่งๆที่ให้โลกนี้มันสมบูรณ์ เพื่อจะอยู่กันเป็นผาสุก
ฉะนั้นการทำหน้าที่ของตนนั่นแหละคือการทำบุญ ทำที่ไหนได้บุญที่นั่น แล้วควรจะพอใจ เดี๋ยวนี้มันไม่พอใจในการทำหน้าที่ มันจะไปพอใจในการทำกิเลสทำอบายมุข จึงอยากเลิกเรียนเลิกหน้าที่ แล้วก็ไปหาสิ่งบำรุงบำเรอ นี่คือความโง่ของมนุษย์ที่ทำปัญหาให้แก่ตัวเองและก็ทำลายตัวเอง แจวเรือจ้าง ร้องเพลงไปพลาง แกว่งขาข้างหนึ่งไปพลาง แจวเรือไปพลาง มีความสุขความพอใจ เป็นสุขอยู่เมื่อแจวเรือจ้าง ก็ได้เงิน ไอ้เงินนี่เป็นของเล็กน้อย ไม่ใช่ได้บุญ แต่เขาทำหน้าที่ของมนุษย์ให้โลกนี้มันสมบูรณ์ นั่นแหละคือเขาได้บุญ เขาแจวเรือจ้างเสร็จแล้ว พอเย็นลงเขาเหนื่อยเขาก็นอนพักเสีย ไม่ต้องไปหากามารมณ์ที่ไหน นี่เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ที่ถูกต้อง จะต้องเป็นอย่างนี้ มีความสุขเมื่อทำหน้าที่ เหนื่อยแล้วก็ไปนอน ก็ไปพักผ่อน หายเหนื่อยแล้วก็ทำหน้าที่อีก
ถ้าทำกันอย่างนี้แล้วทุกคนจะได้บุญ ทุกคนจะก้าวหน้าในความเป็นมนุษย์ของตน ที่เป็นนักเรียนก็จะก้าวหน้าในการเรียน ที่จะเป็นครูก็ก้าวหน้าในความเป็นครู ที่เป็นมนุษย์ประเภทไหนก็จะต้องเรียกว่าได้บุญ เป็นมหาจักรพรรดิมันก็ได้บุญเพราะเป็นจักร มหาจักรพรรดิ เป็นมหาราชาก็ต้องได้บุญเพราะทำหน้าที่มหาราชา เป็นประธานาธิบดีมันก็ได้บุญเพราะทำหน้าที่ประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรีมันก็ได้บุญเพราะทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีเป็นอธิบดีมันก็ได้บุญเพราะทำหน้าที่นั้นๆ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมันก็ได้บุญเพราะทำหน้าที่ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นนายอำเภอ เป็นกำนัน เป็นผู้ใหญ่บ้าน มันก็ได้บุญเพราะทำหน้าที่ของตนๆ กระทั่งเป็นราษฎรมันก็ได้บุญเพราะทำหน้าที่ราษฎรที่ถูกต้อง ทำหน้าที่ส่วนหนึ่งๆที่ต้องทำรวมกันทั้งโลกเป็นสหกรณ์ใหญ่ ทุกคนทำหน้าที่ของตนก็เรียกว่าเขามีความดีความชอบ มีบุญมีกุศลในหน้าที่ที่เป็นส่วนของตนๆ
ครูมันเป็นผู้มีหน้าที่สร้างโลก ก็สร้างไปดีๆ ครูบางคนไม่เคารพตัวเอง ทำลายตัวเอง ไม่เคยคิดว่าเราเป็นผู้สร้างโลก นี้ครูลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆหนึ่ง ไม่ใช่ครูที่แท้จริง ครูที่แท้จริงเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาจะคิดว่าเราสร้างโลกนะ เพราะว่าโลกนี้มันประกอบอยู่ด้วยมนุษย์ แล้วมนุษย์ทุกคนเป็นอย่างไรโลกนี้จะเป็นอย่างนั้น ทีนี้มนุษย์แต่ละคนๆจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ครูเขาสอนอบรมขึ้นมา ทว่าครูได้สอนอบรมให้แต่ละคนเป็นคนดี ไอ้โลกทั้งโลกก็เป็นโลกที่ดี มีสันติสุข มีสันติภาพ นี่ครูคือผู้สร้างโลก ไม่ใช่พูดเล่น ไม่ใช่พูดหลอกลวง ไม่ใช่ ไม่ใช่พูดประจบครู ป่วยการที่จะมามัวประจบกันอยู่ แต่จะบอกความจริงว่าครูนั้นมันเป็นผู้สร้างโลกในความหมายหนึ่งเหมือนกับพระเจ้าผู้สร้างโลก ครูสร้างเด็กแต่ละคนให้เป็นเด็กดี โตขึ้นเป็นพลเมืองดีบนโลกที่ดี โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี ทีนี้ลองครูสร้างผิดๆ สร้างเด็กให้เลวสิ ไอ้โลกนี้มันก็เลวแหละ ทั้งโลกมันเลว เพราะทุกคนในโลกมันเลว ทีนี้ขอให้นึกถึงความจริงอันนี้ ซึ่งมันเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่สิ่งคำนวณ ไม่ต้องคำนวณ ไม่ต้องคำนวณด้วยปรัชญา ปรัชเยออะไรให้มันเสียเวลา มันเป็นข้อเท็จจริงอย่างวิทยาศาสตร์ที่มองเห็น โลกนี้ประกอบด้วยคนทุกคน ถ้าคนทุกคนดีโลกนี้ก็ดี คนแต่ละคนจะดีก็เพราะครูสร้างเขาให้ดี ฉะนั้นครูแต่ละคนจงสร้างเด็กเล็กๆ ๓ ขวบ ๔ ขวบ ตั้งแต่อนุบาลขึ้นมาให้มันดี เป็นเด็กนักเรียนประถมมัธยมที่ดี เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยที่ดี เป็นคนดีแล้วก็รวมกันเป็นโลกที่ดี นี้ครูเป็นผู้สร้างโลก
เดี๋ยวนี้อยากจะบอกอะไรสักอย่างเอาไหม คือเขามาพูดให้อาตมาฟังว่า วันครูน่ะคือวัน วันสำหรับครูเมาเหล้า เลี้ยงกันใหญ่ ธรรมดาไม่เลี้ยงกันใหญ่ ครูบางคนก็ไม่กินเหล้า แต่พอ พอถึงวันครูมันเลี้ยงกันใหญ่ ครูก็คนที่ไม่เคยกินเหล้าก็มากินเหล้าแล้วก็พลอยเมา อย่างน้อยมันก็มึน วันครูนี่คือเป็นวันที่ครูเมาเหล้า ทีนี้พอถึงวันเด็ก ก็เป็นวันที่เด็กเป็นลิงทโมน เพราะว่าปล่อยกันเต็มที่ วันเด็กนี่เขาปล่อยเด็กกันเต็มที่ เด็กก็ไปเป็นลิงทโมน จริงหรือไม่จริงก็ลองคิดดู เขาปล่อยกันเต็มที่ เขายุกันเต็มที่ให้เด็กมันโลดโผนร่าเริงเต็มที่ ฉะนั้นวันเด็กคือวันสำหรับเด็กเป็นลิงทโมน เพราะปล่อยกันเต็มที่ ทีนี้พอถึงวันแม่ ก็คือเป็นวันโม้ ที่แม่เขาจะโม้เรื่องเพชรนิลจินดา เรื่องบ้าน เรื่องรถยนต์ เรื่องผัว เรื่องหลาน เรื่องลูกอะไรก็ตาม วันโม้ของแม่ ที่ถูกวันแม่นั้นมันจะต้องเอาแม่มานั่งให้ ให้ๆลูกมันมากราบมาไหว้ให้รู้บุญคุณของแม่ พอถึงวันลูกวันเด็ก มันก็ควรจะให้เด็กเข้ามาพรรณนาคุณของแม่ให้ประทับจิตใจ พอถึงวันครู ครูไม่ต้องเมาเหล้า แต่มานั่งเป็นประธานให้ลูกศิษย์เข้ามาประชุมกัน รู้จักครู รู้จักคุณค่าของครู เคารพครู ให้ครูแสดงความเป็นครูออกมาให้ชัดให้เด่นในวันครู เดี๋ยวนี้มันเป็นไปในทางที่ฟังแล้วมันเศร้า วันครูคือวันที่ครูเมาเหล้า วันเด็กคือวันที่เด็กเป็นลิงทโมนกันเต็มที่ วันแม่คือวันโม้ อวดนั่นอวดนี่กันตามแบบของแม่ที่เขาอยากจะอวด นี่ไม่ ไม่มีธรรมะ ไม่มีความสุขที่เกิดจากธรรมะ ไประวังกันเสียใหม่ จัดกันเสียใหม่ อย่าให้มันมีข้อครหาอย่างนี้ พอถึงวันครูก็ให้น่าชื่นอกชื่นใจ บูชาครูกันเป็นการใหญ่ พอถึงวันเด็กก็เป็นเด็กที่ดี รู้บุญคุณของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พอถึงวันแม่ก็ให้รู้คุณของแม่ผู้เกิด ผู้สร้างโลกสร้างสัตว์เป็นโลกขึ้นมา ก็ดีทั้งนั้นแหละ แต่มันจะดีได้ก็เพราะทำถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพราะว่าเขารู้ธรรมะคือตัวธรรมชาติ คือตัวกฎของธรรมชาติ คือตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และผลจากหน้าที่นั้นๆ
ฉะนั้นขอให้ท่านครูทั้งหลายรู้ไอ้คำว่าธรรมะ รู้สิ่ง รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะใน ๔ ความหมายนี้ แล้วก็จะทำหน้าที่ของครูได้ดี เพราะว่าครูนี่คือผู้นำในทางวิญญาณ นักศัพท์ภาษาศาสตร์รุ่นนี้ เขาไปพบมาว่า ไอ้คำว่า “ครู” หรือ “ครุ” นี่ Root รากของศัพท์นั้นแปลว่าผู้เปิดประตู ประตูคอก ประตูเล้า สัตว์มันถูกขังอยู่ในคอกในเล้า เหม็นมืดสกปรก ทนทุกข์อยู่ในคอกในเล้า ไอ้คำว่า “ครุ” นี่มันแปลว่าผู้เปิดประตู เปิดประตูเล้า เปิดประตูคอก ไอ้สัตว์ก็ออกมาจากคอกมาสู่แสงสว่าง มาสู่อิสรภาพ ฉะนั้นครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ มันก็อันเดียวกันแหละ จะเรียกได้ว่าอันเดียวกันก็ได้ ผู้นำในทางวิญญาณ ปทานุกรมธรรมดาเขาแปลคำว่าครูว่า Spiritual Guide เป็นมัคคุเทศก์ในทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้นักศึกษาบางคนในประเทศอินเดียเขากลับพบว่าไอ้รากของคำๆนี้มันแปลว่าผู้เปิดประตู เปิดประตูอะไร เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์ทั้งหลายออกมาเสียจากความโง่ ความหลง อวิชชา ความทุกข์ทรมาน นี่ “ครู”
แล้วครูจะเปิดประตูได้ไหม ถ้าครูไม่รู้ว่าไอ้โลกนี้มันคืออะไร ประตูมันอยู่ที่ไหน ความทุกข์มันอยู่ที่ไหน ครูต้องรู้ว่าไอ้ความทุกข์นี้มันเกิดมาจากการทำ ไม่ การไม่ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรารู้ เราสอนเรื่องธรรมชาติ สอนเรื่องกฎของธรรมชาติ สอนเรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ก็เท่ากับเปิดประตูวิญญาณให้แก่คนทุกคนในโลก ฉะนั้นขอให้ครูเป็นครู แล้วก็จะเป็นปูชนียบุคคลแท้จริง ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ ฉะนั้นอย่าเอาความหมายนั้นมาเป็นมาเป็นครู
ครูต้องเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ มีบุญคุณอยู่เหนือคนทั้งหลายจนค่าจ้างหรือเงินเดือนนั้นเป็นเครื่องบูชาสักการะไป ไม่ใช่ค่าจ้าง เราไม่เป็นลูกจ้าง เราไม่ยอมเป็นลูกจ้าง เราทำหน้าที่ของครูจนมีบุญคุณอยู่เหนือศีรษะของคนทุกคน แล้วเงินเดือนจะมาจากทางไหนก็ตาม เป็นเครื่องบูชาคุณ ถ้าครูมันมีความเป็นครูสมบูรณ์ มันหยิ่งในความเป็นครูแล้วมันจะถือว่าเงินเดือนนั้นคือขยะมูลฝอยที่มาอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา ไม่ใช่มาอยู่บนหัวเรา คือเราไม่ได้บูชาเงินเหมือนกับครูโดยมากที่ทะเลาะกันเรื่องเงินเดือนไม่ขึ้น จะต่อสู้กับรัฐบาลให้ขึ้นเงินเดือนมากๆ เพราะมันบูชาเงินเดือน นี่มันไม่ใช่ครูที่แท้จริง
ครูที่แท้จริงเงินเดือนต้องมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า เมื่อเราไม่ได้บูชา เพราะเราเอาความเป็นครู เป็นปูชนียบุคคลที่สูงสุดอยู่ตลอดเวลา เงินเดือนเป็นขี้ฝุ่นมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า พูดอย่างนี้น่าฟังไหม ก็ลองคิดดูเถอะ ถ้าเป็นครูแท้จริงมันเป็นอย่างนี้จริงเหมือนกัน เพราะว่าสิ่งที่เราทำให้แก่มนุษย์นั้นมันมีค่ามากมายมหาศาล เทียบกันไม่ได้กับเงินเดือนๆละสองพันบาท สามพันบาท นี้มันเทียบกันไม่ได้ ให้เงินเดือนมันเป็นขี้ฝุ่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าดีกว่า และคุณ คุณธรรมของความเป็นครูน่ะเราเทิดทูน เราบูชา เราก็ได้เป็นครูที่แท้จริง เป็นปูชนียบุคคล บทสวดของนักเรียน สำหรับนักเรียนสวด เขาก็มีความหมายอย่างนั้น ครูเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ ครูชนิดนี้จะมัวแต่นั่งเปิดแคตตาล็อกกระโปรง แคตตาล็อกกางเกงยีนส์อยู่ทุกวันๆน่ะ เพราะว่าสนใจแต่เรื่องอย่างนั้น ถ้าครูที่แท้จริง มันก็เปิดหนังสือธรรมะส่วนที่มันยังขาดอยู่ ที่ยังไม่รู้ จะไปสอนเด็กให้รู้ ก็เปิดหนังสือธรรมะมาเรียนมาศึกษา เพื่อสอนเด็กให้สมบูรณ์ ไม่มาเปิดแคตตาล็อกกระโปรง แคตตาล็อกกางเกงยีนส์ แคตตาล็อกเสื้อ นี่ขออภัย พูดตรงๆเพื่อประหยัดเวลาอย่างนี้
เอาล่ะ เป็นอันว่าอาตมาได้พูดกับท่านทั้งหลายตาม ตามเวลาที่มันพอสมควรแล้ว เรื่องธรรมะ ๔ ความหมาย รู้ไว้เถิด จะเป็นรากฐานสำหรับศึกษาธรรมะต่อไป เราเป็นครูก็สอนธรรมะให้โลกนี้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ก็หมดปัญหาของมนุษย์ ส่วนบุคคลก็ก้าวหน้าในหน้าที่ของตนและมีความสุข ส่วนบุคคลแต่ละคนๆมีความสุขเป็นที่พอใจ แล้วไอ้ความมีความสุขของเขา เป็นมนุษย์ของเขาเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทุกคนในโลก ประโยชน์ผู้อื่นก็สมบูรณ์ ประโยชน์ตัวเองก็สมบูรณ์ ประโยชน์ผู้อื่นก็สมบูรณ์ เพราะเรารู้ธรรมะ เพราะเราปฏิบัติธรรมะตามหน้าที่ที่เป็นกฎของธรรมชาติ เรื่องมันก็จบแหละ
มันก็จบที่ทุกคนมันมี ไม่มีความทุกข์ มีความสุขที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วในขณะที่เขามีความสุขส่วนเขานั้นน่ะ มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย เพื่อนทุกคนในโลกพลอยได้รับประโยชน์นี้ด้วย เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันด้วย มันก็สมบูรณ์เท่านั้น มันหมดเท่านั้น นี่เราได้ทำประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือตัวเองและผู้อื่นโดยสมบูรณ์ นี่อาตมาก็พูดได้อย่างนี้ พูดเป็นแต่อย่างนี้ บางคนก็ง่วงแล้ว ไม่อยากฟัง บางคนก็ยังฟังดีอยู่ คงจะได้รับประโยชน์ คงจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เวลาพอสมควรแล้ว อาตมาก็ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ด้วยความหวังว่าท่านทั้งหลายจะเอาไปพินิจพิจารณา เห็นด้วยแล้วก็จะทำตาม ก็ขอให้พรส่งท้ายว่า จะเจริญงอกงามในทางของพระธรรม เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.