แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้คือมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปใช้ประกอบในหน้าที่การงานของตนให้มีคนดียิ่งๆ ขึ้นไป นี่มีเหตุผลจึงขออนุโมทนา
สำหรับเวลาครึ่งชั่วโมงที่ท่านกำหนดไว้นี้ ก็เห็นว่าพูดกันเรื่องคำว่า ครูเพียงคำเดียวก็พอ มีใจความมากพอที่จะทำความเข้าใจกันหลายแง่หลายมุม นี่อาชีพครูเป็นอาชีพพิเศษคือว่าได้บุญด้วย อาชีพอื่นที่จะได้บุญด้วยนั้นดูจะหายาก มีเหมือนกันแหละแต่ว่าอาชีพครูนี้แน่นอน เมื่อทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว ได้รับประโยชน์ตามที่ควรจะได้รับแล้วก็ยังได้บุญด้วย นี่เพราะว่าเป็นอาชีพที่ทำให้โลกมีสันติภาพ ที่จริงครูนั่นแหละเป็นผู้สร้างโลก ไม่ใช่พระเจ้าพระเจิ้วที่ไหน ครูสร้างเด็กขึ้นมาอย่างไรเด็กเป็นคนอย่างไร เป็นพลเมืองอย่างไร โลกก็เป็นอย่างนั้น สร้างเด็กมาดีโลกมันก็ดี สร้างเด็กมาไม่ถูกต้องโลกมันก็หาความสงบสุขไม่ได้ นี่ครูจึงเป็นผู้สร้างโลกอย่างที่ใครๆ ก็เห็นอยู่ อย่างคัดค้านไม่ได้ นี่คือความหมายพิเศษที่ว่าทำให้ได้บุญด้วย เป็นอาชีพของปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆๆๆ ถ้าอย่างนั้นมันเป็นอาชีพลูกจ้างชนิดหนึ่ง แต่ถ้าทำหน้าที่ของครูอย่างถูกต้อง มันกลายเป็นอย่างอื่นคือเป็นปูชนียบุคคลของโลกไปทีเดียว คำว่าครูนี่ตัวหนังสือแปลว่า หนัก แล้วก็เคยใช้ในความหมายที่ว่าคนที่ประชาชนควรจะเคารพ จากการค้นคว้าที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปทางศัพทศาสตร์นี่มีการพบว่า คุรุ นี่ Root ของคำนี้แปลว่าเปิดประตู คุรุๆ นี่เป็นกิริยา เปิดประตู แล้วก็อธิบายให้กันว่า เปิดประตูทางวิญญาณให้สัตว์ออกมาเสียจากคอกแห่งอวิชชา คอกที่มืด คอกที่เหม็น คอกที่สกปรก คอกที่เป็นทุกข์ทรมาน ให้ออกมาเสียจากคอกนั้นได้ นี่สัตว์ทั้งหลายออกมาจากคอกแห่งอวิชชาได้ แล้วครูก็เป็นผู้นำต่อไปให้ออกมาจากคอกแล้วก็นำต่อไปให้เดินไปถูกทางๆ จนเกิดความรอดโดยสมบูรณ์ ดังนั้นครูจึงเป็นผู้ที่มีหน้าที่สูงสุด ลึกซึ้งที่สุด คือเป็นเรื่องทางวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องทางวัตถุภายนอก เพียงแต่รู้หนังสือหนังหา ทำมาหากินได้แล้วก็พอ ถ้าอย่างนั้นมันไม่ถึงขนาดที่จะเป็นปูชนียบุคคล ถ้าจะเป็นปูชนียบุคคลต้องมีความหมายอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้าๆ ท่านเป็นบรมครู ถ้าท่านทั้งหลายโดยทางภายนอกสังกัดอยู่กระทรวงศึกษาธิการ โดยภายในๆ จิตใจก็ขอให้สังกัดกับพระบรมครู คือพระพุทธเจ้า แล้วก็มีอุดมคติอย่างเดียวกัน คือเผยแผ่ธรรมะที่ทำให้มนุษย์ออกไปเสียจากปัญหาจากความทุกข์ จากสิ่งทรมานเหล่านั้น นี่เรียกว่าเปิดประตู แล้วก็พาไปถูกต้องไปสู่จุดหมายปลายทางคือดับทุกข์โดยประการทั้งปวงด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ
พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนคนให้รู้ธรรมะจนพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงจนตลอดพระชนม์ชีพของท่านอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ทำงานครบวงจร ก่อนสว่างใคร่ครวญว่าวันนี้จะไปโปรดใครที่ไหน พอสว่างก็ไป ทรมานไอ้คนนั้นจนได้สำเร็จ เที่ยงพักผ่อนหน่อย บ่ายกลับมาที่วัดก็มีคนมารอศึกษามาถามปัญหา พอค่ำลงก็สอนภิกษุสามเณรประจำวัด เที่ยงคืนก็แก้ปัญหาเทวดา อัฑฒรัตเต เทวปัญหะนัง เที่ยงคืนเลยเที่ยงคืนดึกดื่นไปพักผ่อนนิดหน่อย เดี๋ยวก็จะสว่างอีกแล้ว ก็ส่องโลกดูอีกแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปที่ไหน มันทำงานครบวงจรอย่างนั้น แล้วก็เดินเท้าเปล่า ไม่มีร่ม ไม่มีรองเท้า ทำงานด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ จึงเรียกว่าพระบรมครู ได้รับผลตอบแทนวันละบาตรๆ คือบาตรที่ใส่อาหารบิณฑบาต คล้ายๆ กับมีเงินเดือนวันละบาตร แต่อย่างนี้มันไม่อาจจะเรียกว่าเงินเดือน นี่เรียกเป็นค่าบูชาคุณ เพราะพระคุณนั้นมีมหาศาลๆ มากมายเหลือที่จะกล่าวได้ มันก็เลยกลายเป็นปูชนียบุคคล ถ้าสิ่งที่ให้ออกไปมันมีค่ามากมายกว่าสิ่งที่รับมาแล้วมันก็กลายเป็นปูชนียบุคคล ได้ทั้งนั้นแหละไม่เฉพาะอาชีพครู แม้แต่ตำรวจเฝ้าถนนถ้าเขาเสียสละมากเสียสละชีวิตด้วยซ้ำไป เพื่อประโยชน์แก่ความปลอดภัยของประชาชนก็อยู่ในพวกปูชนียบุคคลด้วยเป็นอย่างน้อย นี่เราจึงมีอาชีพปูชนียบุคคล อาชีพที่บริสุทธิ์แท้จริง เช่น อาชีพเป็นครู อาชีพเป็นหมอ อาชีพเป็นผู้ช่วยเหลือความปลอดพิทักษ์ความปลอดภัยต่างๆ นานา ล้วนแต่จัดว่าเป็นอาชีพปูชนียบุคคล เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายควรจะภาคภูมิใจว่าเราไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ แต่ว่าเราเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วเป็นผู้นำ เป็นมัคคุเทศก์ในทางวิญญาณให้สัตว์เหล่านั้นเดินไปอย่างถูกต้อง นี่กิจกรรมของครู ซึ่งเป็นคำสูงสุดในภาษาธรรมะหรือภาษาบาลีโดยเฉพาะในอินเดีย ในภาษาอินเดียคำว่า ครู สูงสุดๆ กว่าคำว่า อุปจายะ หรืออาจารย์อะไรทั้งหมด คำว่าครูนี่สูงสุด เป็นครูในฝ่ายทางวิญญาณ
พระราชามหากษัตริย์มีบรมครูประจำพระองค์นี่ เคารพครูอย่างยิ่ง จึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติอย่างยิ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครชอบ ไม่ชอบให้ใครเรียกว่าครู ชอบให้เรียกว่าอาจารย์หรืออะไรทำนองนั้น ในทางภาษาบาลี คำว่า อาจารย์ มีความหมายต่ำมากกว่าคำว่า ครู คือเป็นผู้สอนผู้ฝึกในเบื้องต้นในทางฝ่ายวัตถุด้วยซ้ำไป แต่คำว่าครูเป็นเรื่องทางจิตใจล้วน นำจิตใจๆ ล้วนไปในทางสูงโดยส่วนเดียว เรียกว่าครูๆ เราให้เกียรติไอ้ความเป็นครูกันสูงสุดเพราะข้อนี้ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายพอใจในเกียรติยศอันนี้ ที่ทำตนให้เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ และเป็นผู้นำในทางวิญญาณต่อไป คือมีการอบรมให้จิตใจมันสูง เด็กๆ จิตใจมันจะต่ำมันจะเห็นแก่กิน แก่นอน แก่เล่น เห็นแก่ตัว ทำต่ำๆในที่นี้หมายถึงเห็นแก่ตัวและก็เห็นแก่เล่นหัวสนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่รู้จักสิ่งที่สูง ทำให้เขารู้จักสิ่งที่สูงกว่าพร้อมกันไปกับสอนหนังสือๆ ก็นับว่ามีค่าในทางจิตวิญญาณอยู่บ้างคือหายโง่ หรือฉลาดขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่สมบูรณ์จะต้องสอนเขาให้มีธรรมะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความไม่เห็นแก่ตัวๆ
ธรรมะที่มันกว้างขวางสูงสุดคือไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็ไม่ทำอะไรให้เป็นปัญหา ไม่ทำคดีแพ่งไม่ทำคดีอาญา คนไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฆ่าไม่ขโมยไม่กาเมไม่มุสา ไม่อะไรหมด ทางแพ่งก็เหมือนกันจะไม่ฉ้อโกงใครจะไม่บิดพลิ้วใคร ถ้ามีใครมาฉ้อโกงบ้างก็จะให้อภัยซะเลย มันไม่เกิดเรื่อง มันไม่เกิดคดี นี้เรียกว่าผู้ไม่เห็นแก่ตัวไม่สร้างคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา มันน่าพอใจอย่างนั้น คอยสังเกตดูให้ดีๆ ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวกันจริงๆในบ้านในเมืองในโลกนี้ ถ้าคนทุกคนไม่เห็นแก่ตัวกันจริงๆ มันไม่มีคดี มันเอากฎหมายไปทิ้งทะเลเสีย เลิกเรือนจำเลิกคุกเลิกตารางเลิกตำรวจ เลิกไอ้พวกนี้ให้หมดถ้าเลิกได้ ถ้าคนมันไม่เห็นแก่ตัว จริงหรือไม่จริงก็ลองคิดดู ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องมีศาสนาก็ได้เพราะมันถึงที่สุดของศาสนาเสียแล้ว ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวมันมีศาสนาสมบูรณ์เสียแล้ว ไม่ต้องมีวัดวาอารามอะไรกันอีกล่ะ ไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่ฆ่า ไม่ขโมยไม่กาเม ไม่ทุกอย่าง แล้วก็ปฏิบัติถูกต้อง ใกล้พระนิพพานๆๆๆ มันรู้มรรคผลนิพพานไปเลย นั่นผลของความไม่เห็นแก่ตัว จึงเป็นธรรมะประเสริฐแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ทั้งในแง่โลกๆ แล้วก็ในแง่ของโลกุตตระแก้ได้ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
ทีนี้ท่านได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าครูที่เห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร หมอที่เห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร ผู้พิพากษาตุลาการเห็นแก่ตัวนั้นเป็นอย่างไร พระเจ้าพระสงฆ์ที่เห็นแก่ตัวนั้นมันเป็นอย่างไร หมอเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังคนเจ็บไข้ที่จะตาย ครูเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังนักเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ตุลาการเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังจำเลย พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังทายก ทายิกา แล้วอะไรจะเหลือ ถ้าประชาชนก็เห็นแก่ตัว รัฐบาลก็เห็นแก่ตัว ผู้แทนก็เห็นแก่ตัว จะมีอะไรเหลือๆ จะมีความรอดเหลืออยู่ที่ตรงไหน ถ้าไม่เห็นแก่ตัวๆ วิเศษๆ ทำงานกันอย่างถึงโลกพระศรีอารยะเมตตรัย ไม่เห็นแก่ตัวก็เป็นมิตรๆ ก็มีแต่ช่วยๆๆๆ มีแต่คนช่วย ยกมือขึ้นถามจะให้ช่วยอะไรๆ ไปทุกหนทุกแห่ง เดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัวๆ โลกมันกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว คนร่ำรวยมหาเศรษฐีก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว ผู้ขายก็เห็นแก่ตัว ผู้ซื้อก็เห็นแก่ตัว ผู้ผลิตก็เห็นแก่ตัว ผู้รับไปก็เห็นแก่ตัว ล้วนแต่เห็นแก่ตัวๆ รุนแรงขึ้นๆ ตามความเจริญทางวัตถุที่มันเจริญ แล้วโลกมันจะอยู่ได้อย่างไร ดูคนเห็นแก่ตัวกันสักหน่อยก็ได้ พอเห็นแก่ตัวมันก็ขี้เกียจๆ ไม่อยากทำงาน อยากจะนอนแต่อยากจะเอาเงิน นั่นคนเห็นแก่ตัวขี้เกียจ คนเห็นแก่ตัวก็อิจฉาริษยา คนเห็นแก่ตัวก็จองหองพองขน คนเห็นแก่ตัวก็ไม่สามัคคี ไม่รักหมู่ไม่รักคณะ นี่คนเห็นแก่ตัว แล้วมันคิดจะรวยลัด เอาเปรียบคนอื่นไม่ทำนาทำไร่ให้เหงื่อไหล ปล้นจี้ขโมยดีกว่า ปล้นธนาคารพักเดียวก็ได้เป็นล้านๆ แล้ว นี่คนเห็นแก่ตัวมันคิดรวยลัดแบบนี้ เรียกว่ามันหลงทางๆ เหลือประมาณ เห็นแก่ตัวแล้วมันทำอะไรๆ เป็นปัญหาไปเสียหมด เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำมลภาวะ สร้างมลภาวะไม่ว่าชนิดไหน มลภาวะชนิดไหนก็ตามคนเห็นแก่ตัวมันสร้างขึ้นมาโดยเจตนาก็มีไม่เจตนาก็มี อย่างที่เรากำลังเป็นปัญหากันมากขึ้นๆ ทั่วทั้งโลกนี่ คนเห็นแก่ตัวมันก็ทำอุบัติเหตุ มันเห็นแก่ประโยชน์ตัวมันสะเพร่า เห็นแก่ประโยชน์ตัวไม่คำนึงถึงผู้อื่นสร้างอุบัติเหตุบนท้องถนนในแม่น้ำลำธาร แม้แต่บนอากาศมันก็ยังชนกัน เรือบินยังชนกันได้ ความเห็นแก่ตัวด้วยความประมาท สะเพร่าเลินเล่อ นี่มันสร้างอุบัติเหตุเสียทุกอย่างทุกประการคนที่เห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวมันก็ต้องการงอกงามงอกเงยไปจากที่มันสมควร มันก็ได้ไปเป็นทาสยาเสพติด ๆ ที่กำลังเป็นปัญหาหนักขึ้นๆ แล้วก็ได้เป็นทาสของอบายมุขนานาชนิด เราจึงได้เห็นคุณครูบางคนอุ้มไก่ อุ้มขวดเหล้า ครูบางคนอุ้มไก่ อุ้มขวดเหล้า ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แกล้งพูด นี่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวมันงอกงามออก แล้วมันก็เลยไปถึงแสวงหาความสุขทางเพศเกินขอบเขต มันก็เลยเป็นโรคที่สุนัขหมาก็ไม่เป็น สุนัขหมานะต้องหมานะ สุนัขหมาก็ไม่เป็น มันเป็นโรคซิฟิลิสบ้าง โกโนเรียบ้าง เป็นโรคเอดส์ในที่สุดที่กำลังเป็นปัญหาทั่วโลก คนเห็นแก่ตัวมันได้เป็น สมน้ำหน้ามัน ทีนี้คนเห็นแก่ตัวมันก็ทำลายๆ ธรรมชาติ ทำลายป่าไม้ ทำลายอะไรทำลายธรรมชาติ นี่มันก็ทำลายแม้มิใช่ธรรมชาติ ที่ๆ เขาสร้างไว้ดีเป็นสาธารณประโยชน์ มันก็ทำลายมันก็เอาประโยชน์ ไอ้ที่มีข่าวอยู่ตลอดเวลา ทำลายถนนหนทาง ห้วยหนองคลองบึงบังเอาเป็นประโยชน์ของตัว นี่เรียกว่ามันทำลายประโยชน์ มันก็เลยเอา ไม่มีอะไรให้มันหลงทางๆ ไม่ได้อย่างใจหนักเข้าๆ มันก็หลงทางจนว่าเป็นบ้า วิกลจริต ทำอะไรที่มนุษย์ธรรมดาเขาไม่ทำ แล้วก็ได้ไปจบชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลบ้า อย่างที่เห็นๆ กันอยู่
อาตมากล้าท้าว่าคนบ้าทุกคนในโรงพยาบาลบ้า มูลเหตุมาจากความเห็นแก่ตัว มันหลงทาง ความเห็นแก่ตัวมันหลงทางทั้งนั้นแหละ มันจึงไปหลงๆ จนไปจบในโรงพยาบาลบ้า นี่ผลที่ได้ อีกทางหนึ่งหลงทาง ๆๆ จนบ้าเลือดหรือยิ่งกว่าบ้าเลือดอีก มันฆ่าพ่อฆ่าแม่ฆ่าลูกฆ่าเมียฆ่าตัวเองตายตามไปเลยประชดไปเลยนี่ คนเห็นแก่ตัวมันทำได้ถึงอย่างนี้ จะเลวร้ายกันถึงไหน เพระฉะนั้นไอ้ความเห็นแก่ตัวนี่มีเท่าไหร่โลกมันจะวินาศ ๆ คนเห็นแก่ตัวนั่นเขาลงทุนล้วงกระเป๋าคนโง่ด้วยอุตสาหกรรม มีเครื่องจักร จิตของที่ยั่วให้ซื้อเกินๆๆๆ พอดีการกินการอยู่การนุ่งการห่มการใช้ไม้สอยมันเกินๆๆ มีอยู่พอใช้ได้ก็ต้องขายทิ้งไปซื้ออันใหม่ซึ่งเป็นของเกินๆๆๆ มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ที่มันเกิดส่วนเกินชนิดที่เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ คือถ้าไม่หลงในเรื่องนี้มันก็ไม่มีปัญหา ฉะนั้นเราจงเตรียมตัวให้ดี อย่าไปเข้าใจผิดอย่าไปหลงผิดอย่าไปชอบส่วนเกิน อย่าไปเห็นแก่ตัว จงเห็นแก่ธรรมะๆ ถ้าเห็นแก่ตัวมันไม่เห็นแก่ธรรมะ แล้วมันไม่เห็นแก่ผู้อื่น ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ผู้อื่นนี่คุณช่วยสังเกตดูให้ดี มันอยู่กันไม่ได้ถ้าเห็นแก่ตัวก็ต้องไม่เห็นแก่ผู้อื่น ถ้าเห็นแก่ผู้อื่นก็ไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ธรรมะก็ไม่เห็นแก่ตัว ก็ไม่เห็นแก่ความผิดพลาดไม่เห็นแก่ความถูกต้องๆ
ทั้งหมดนิยามของคำว่าธรรมะนั้นคือ ความถูกต้องๆ ธรรมะแปลว่าความถูกต้อง ถ้าเป็นเรื่องปริยัติก็คือคำสั่งสอนที่ถูกต้อง เรื่องที่สอนมันถูกต้องเรื่องดับทุกข์ได้ ถ้าเป็นการปฏิบัติก็ปฏิบัติถูกต้องๆ ถ้าได้รับผลมาก็เป็นผลที่ถูกต้องไม่มาเป็นอันตราย เพราะงานบางอย่างมันทำอันตรายให้เจ้าของก็มี รวมความแล้วธรรมะในการทฤษฏีบทเรียนก็ดี ในการปฏิบัติก็ดี ในผลของการปฏิบัติก็ดี มันคือความถูกต้อง ก็ครูบาอาจารย์โดยมากมักจะสอนว่า ธรรมะ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บอกลูกเด็กๆ ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นั่นมันหลับตาพูดไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ในอินเดียคำว่า ธรรมะ นั้นคล้ายกับทุกศาสนาไม่ว่าศาสนาไหน คำสอนของศาสนาไหนก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้นแหละ เขาจึงต้องระบุลงไป ธรรมะของพระสมณโคดมคือพระพุทธเจ้า ธรรมะของนิคัณฐนาฏบุตร ธรรมะของสญชัยเวลัฏฐบุตร ธรรมะของมักขลิโคศาละ มันระบุเป็นชื่อๆๆ ไป คำว่าธรรมะๆ มันไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอน ธรรมะๆ คำนี้แปลว่าหน้าที่แห่งความรอดๆ ธรรมะคือหน้าที่แห่งความรอด มันเอามาสอนๆ มันเลยกลายเป็นคำสอน แต่ตัวธรรมะแท้ไม่ใช่ตัวคำสอน ตัวหน้าที่ที่ทำแล้วรอดจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง ศาสนาไหนมีศาสดาของเขาเอง เขาก็สอนไปตามความรู้ความคิดความตรัสรู้ของศาสนานั้นๆ ดังนั้นมันจึงมีวิธีการดับทุกข์ต่างกันมากมายหลายศาสนา แต่ก็เรียกว่าธรรมะๆ ทั้งนั้น ก็ต้องรู้ด้วยว่าธรรมะๆ นี่มนุษย์ใช้กันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนู่น ตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่ทันเกิดขึ้นในโลก คำว่าธรรมะๆ มีใช้ในหมู่มนุษย์แล้ว หมายถึงหน้าที่ๆๆ พอมนุษย์เริ่มรู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ มีสติปัญญาสูงขึ้นมา เจริญขึ้นมาพอรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นี่ โอ้,สำคัญๆๆ ทีแรกไม่มีคำเรียกก็เรียก ธรรมะๆ แปลว่าหน้าที่ในภาษาไทย ภาษาบาลีว่าธรรมะ
ธรรมะคือสิ่งที่ทรงผู้มีอยู่ไม่ให้พลัดตกไปสู่ความทุกข์ ธรรมะนี่มันของทรง ของทรงๆ ยกชูผู้มีผู้ใดมีธรรมะๆ ก็ยกชูผู้นั้นแหละธรรมะ แปลว่าสิ่งที่จะยกชูผู้มีธรรมะ หน้าที่ๆ คือสิ่งที่จะยกชูผู้มีหน้าที่ ไม่ให้ตาย ให้เจริญๆ ยิ่งขึ้นไป ถ้าไม่ทำหน้าที่มันคือตาย ถ้าไม่ทำหน้าที่มันหาความเจริญไม่ได้ ธรรมะในภาษาไทยจึงเรียกว่าหน้าที่ ในภาษาบาลีเรียกว่า ธรรมะ มนุษย์ใช้คำพูดนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ก่อนศาสดาหลายๆ อย่าง หลายๆ คณะเกิด ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ธรรมะ ที่ปทานุกรมลูกเด็กๆ เรียนในภาษาอินเดียธรรมะแปลว่า Duty Duty ธรรมะ ออกคำแปลว่า Duty Duty คือ หน้าที่ที่จะช่วยให้รอดๆ นั้นนะคือธรรมะ สัตว์เดรัจฉานก็ต้องมีธรรมะ มันมีหน้าที่ที่มันทำอยู่มันจึงรอด ต้นไม้ต้นลายนี่ก็มีธรรมะ มันทำหน้าที่เหล่านั้นอยู่มันจึงรอด ลองไม่ทำหน้าที่มันก็ตายเหมือนกันละ คนก็ตาย สัตว์ก็ตาย ต้นไม้ก็ตาย ถ้าไม่ทำหน้าที่ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นความถูกต้องเพื่อความรอดนั่นแหละคือธรรมะ แล้วสิ่งที่มีชีวิตๆ ทั้งหลายต้องมีธรรมะ ไม่มีธรรมะมันตายหรือมันจะอยู่อย่างกะตายแล้ว หรือเลวกว่าตายแล้วก็ได้ ถ้าอยู่อย่างมีความทุกข์ทรมานก็เท่ากับว่าตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร ฉะนั้นธรรมะจะหาคำบัญญัติที่ดีที่สุดก็คือว่าธรรมะ โปรดจำสักหน่อยเถอะว่า ธรรมะคือระบบปฏิบัติ ๆ หมายความว่าต้องปฏิบัติเป็นระบบคือครบถ้วนหลายอย่างไม่ใช่ปฏิบัติข้อเดียว ธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องๆ แก่ความรอด รอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ระบบปฏิบัติคือปฏิบัติครบระบบและถูกต้องๆ ในความหมายของธรรมะของภาษานี้ก็ถูกต้องคือเพื่อความรอด อย่าเอาถูกต้องอย่างเดียว ถูกต้องทาง Philosophy ก็ใช้ไม่ได้ ถูกต้องทาง Logic ก็ใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องถูกต้องตามแบบของพระศาสนาคือว่ามีประโยชน์ ถูกต้องคือให้เกิดความรอด รอดนี้ต้องรอดทั้งทางกายและรอดทั้งทางจิต ในแง่โลกๆ ก็ได้ในแง่ธรรมะสูงๆ ก็ได้ ก็เกิดความรอดๆ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา รอดทั้งทางกายและทางจิตนั้นก็รอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิตตั้งแต่ออกจากท้องแม่จนเข้าโลงนั่นแหละ ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตเป็นอย่างนั้น หรือแม้กระทั่งเพื่อตนเองและผู้อื่น ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น คนเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ สมมุติว่าเขาให้เราอยู่คนเดียวในโลกไม่มีใครเลย มันก็ตาย ไม่กี่นาทีมันก็ตาย อยู่ไม่ได้ มันต้องอยู่กันเป็นระบบๆ Teamwork ในจักรวาลนี้ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์ ก็อยู่กันอย่างลักษณะ Teamwork สัมพันธ์กัน แล้วในหมู่มนุษย์ มันก็ต้องอยู่กันอย่างพร้อมกันพร้อมหน้ากันทุกๆชนิดของมนุษย์ แล้วก็สัมพันธ์กัน ต้นไม้ต้นลาย ไอ้สัตว์เดรัจฉานก็ Teamwork มันอยู่ต้องอยู่กันมากๆ เป็นฝูงๆ ต้นไม้ต้นลายนี้ก็ต้องอยู่กันเป็นหมู่เป็นป่าเป็นอะไรเป็นลักษณะอยู่กันมากๆ แม้แต่ร่างกายของคนเราแต่ละคนก็ยังมีลักษณะ Teamwork ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เอ็น เนื้อก็ตาม มันต้องอยู่ครบถ้วน แล้วก็ทำงานสัมพันธ์กัน มันไม่ใช่สิ่งเดียว มันเป็นระบบ Teamwork ทั้งนั้น มีแต่ละคนๆ สูงขึ้นมาถึงครอบครัวก็ต้องระบบถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็ต้องหย่ากัน ผัวเมียต้องหย่ากันถ้ามันไม่ถูกต้อง เมื่อ Teamwork ขึ้นไปเป็นถึงตำบลถึงหมู่บ้านถึงประเทศถึงโลกถึงจักรวาลทั้งหมดต้องเป็นลักษณะ Teamwork นี่จึงต้องนึกถึงผู้อื่นๆ เพราะว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ ๆ หรือว่าเราจะอยู่คนเดียวโดยผู้อื่นเป็นอย่างอื่นนั้นไม่ได้ เราอยู่ท่ามกลางคนบ้าไม่ได้ หมายถึงคนบ้าจริงๆ เราจะอยู่ในท่ามกลางอันธพาลทุกคนนั้นไม่ได้ ต้องมีความถูกต้องอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะๆ แห่งมนุษย์ ฉะนั้นต้องไม่นึกต้องไม่ลืมนึกถึงผู้อื่นคือประโยชน์ผู้อื่น
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสประโยชน์ไว้เป็นสามชนิด ๑. ประโยชน์ตน ๒. ประโยชน์ผู้อื่น ๓. ประโยชน์ที่มันเกี่ยวพันกันทั้งตนและผู้อื่นจนไม่อาจจะแยกจากกันได้ ประโยชน์ตนเรียกว่า อัตตประโยชน์ ประโยชน์ผู้อื่นเรียกว่า ปรัตถประโยชน์ ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันแยกกันไม่ได้เรียกว่า อุภยัตถประโยชน์ ต้องครบทั้งสามประโยชน์จึงจะอยู่ด้วยกันได้เพราะมันต้องสัมพันธ์กันมันไม่อาจจะอยู่โดยแยกกัน มีระบบสังคมนิยมของธรรมชาติบังคับอยู่ว่าเราต้องสัมพันธ์กันจึงจะอยู่ด้วยกันได้ นี่ต้องมีประโยชน์ทั้งสามอย่างครบถ้วน ประโยชน์ตัวเอง ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกัน ฉะนั้นอย่านึกถึงแต่ตนเองแม้ว่าจะวิเศษวิโสอย่างไรมันก็อยู่ไม่ได้ มันต้องมีผู้อื่นอยู่ด้วยมันจึงต้องนึกถึงผู้อื่นด้วยเสมอไปว่าธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งประโยชน์ตนเองและประโยชน์ผู้อื่นๆ นี่ทิ้งไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีใครเหลือแต่เราคนเดียวก็ตายเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะๆ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะสอนธรรมะโดยอัตโนมัติในแง่ใดแง่หนึ่ง ปริยายใดปริยายหนึ่งในคำสอน ไม่ว่าจะสอนหนังสือสอนเลขก็ตามเถอะ ถ้ามีคำสอนที่มีความหมายแห่งธรรมะโดยเฉพาะคือความไม่เห็นแก่ตัวๆ รวมกันไปติดกันไปในคำสอนเรื่องอื่นๆ ก็จะเรียกว่าเป็นครูที่เป็นอุดมคติ สูงสุดตามความหมายของคำว่าครู คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณและเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ นั่นไม่ใช่ครู นั่นมันเป็นลูกจ้าง หวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะเข้าใจความหมายของคำว่าครู และพยายามปรับปรุงหน้าที่การงานของตนให้มีความหมายแห่งความเป็นครู คือประสิทธิประสาทธรรมะอันสูงสุดความไม่เห็นแก่ตัวๆ ลงไปในจิตในวิญญาณของลูกทารกลูกเด็กๆ เหล่านั้น เรื่อยไปๆ จนกว่ามันจะเติบโตจนช่วยตัวเองได้ ครูก็จะเป็นปูชนียบุคคล เป็นครูปูชนียบุคคลเป็นที่เคารพนับถือเหนือเกล้าเหนือหัวของคนทั้งหลายของคนในโลกนี้ในจักรวาลนี้ ตั้งแต่จอมจักรพรรดิราชามหากษัตริย์จนถึงยาจกเข็ญใจคนขอทานล้วนแต่เคารพปูชนียบุคคล ๆ ขอให้ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายรำลึกถึงข้อนี้แล้วพยายามที่จะเป็นปูชนียบุคคลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วก็ขอให้ความหวังอันนี้ประสบความสำเร็จก้าวหน้างอกงามตามทางแห่งพระศาสนา เจริญสุขอยู่ในหน้าที่การงานทุกทิพาราตรีกาลเทอญ เวลาที่ท่านกำหนดไว้หมดแล้ว