แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
๐ บุตรที่ดีของบิดามารดาเรื่อยไป พูดคำนี้ตั้งพันครั้งแล้ว บุตรที่ดีของบิดามารดา พูดคำนี้ว่าเราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ให้เป็นบุตรที่ดี ดีอย่างไร ไม่ทำให้บิดามารดาลงไปในความร้อนใจนั้น อย่าทำบิดามารดาร้อนใจพอ เด็กๆ ทั้งหมดนี้อย่าทำบิดามารดาร้อนใจก็พอ แล้วมันจะดีทันที เด็กที่ไม่ทำให้บิดามารดาร้อนใจนั้น ไม่มีทางชั่วได้เลย นี่แหละพื้นฐานทั่วไปก็ยังย่อหย่อนยังบกพร่อง นี่เขยิบพูดมาถึงเรื่องแบบนี้ นี่ยังอีกไกลนะ ยังอีกไกล
๑ นี่เขาให้หัวข้อตั้งสามสิบหัวข้อ แต่ว่าทำตามบทเรียนซะหลายหัวข้อ ใครตั้งหัวข้อก็ไม่รู้ ให้หัวข้อนี้สามสิบหัวข้อ ความเอื้อเฟื้อ ความเมตตากรุณา ความอะไรแบบนี้ มันควรจะรวมกันได้ ทำหัวข้อมาก ทำไม่ค่อยไหว ทั้งหมดนี้มันรวมอยู่ในคำว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา อย่าว่านินทานะ เดี๋ยวจะว่านินทากระทรวงของคุณ เจ้าหน้าที่มันร่างแบบนี้ชอบกล ก็เราทำกับเขาไม่ได้ บางอย่างเราไม่เห็นด้วย ให้ไปพูดก็ไม่ได้ เดี๋ยวทะเลาะกันตาย
๒ อย่าไป เราพูดในสิ่งที่เราพอใจ พูดไปแนะนำเขา เขาจะเอาเท่าไรก็ตามใจแหล่ะ แต่ถ้าให้เรายอมรับทั้งหมดนี่ ไม่ได้ คือให้เราไม่ยอมรับว่ายากล่อมอารมณ์นี่ ยาเสพติด ผิดศีลข้อห้า นี่แหละมันทำไม่ได้ ศีลข้อห้านี่ ไม่ใช่น้ำเมานะ มันอธิบายเป็นยาเสพติด และยากล่อมอารมณ์ที่ให้คนสบายใจ ตามที่หมอใช้ มันก็เป็นยาเสพติด ระบุชื่อ นี่มันใหม่เกิน คำอธิบายใหม่เกิน แล้วเรารับรองไม่ได้แบบนี้ เราจะรับรองเพียงแต่สิ่งที่กินเข้าไปแล้วเสียสติสัมปชัญญะ เขาเรียกว่า สุราเมรยมัชชะปะมาฐะฐานะ ผิดศีลข้อห้า นี่มันขยายคำว่าเสพติดไกลเกินขอบเขต
๓ ไปถึงยาระงับประสาท หรือยากล่อมอารมณ์ ในบางคราว ก็ผิดศีลข้อห้า แล้วมันจะตีกันยุ่งกับหลักสูตรนี่ มันเสพติด มันก็เสพติด ทำให้เสียอารมณ์ (คำถาม.....) ได้ทะเลาะกัน มาหัวข้อแบบนี้แหละหลายข้อ อันนี้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ศีลข้อห้า ห้ามให้กินยากล่อมอารมณ์ (คำถาม.......)
๔ ............. ไอหลักสูตรนี่ ขอให้ถือว่าช่วยกันออกความคิดความเห็น ช่วยได้ เราก็ออกความคิดความเห็น แต่จะให้เป็นตัวตั้งตัวตีไม่ได้ ไม่ได้ มันไม่ได้ทีเดียว มันไม่สามารถแบบนั้น แต่ว่าข้อเท็จจริงคือมันไม่เห็นด้วยในหลักการบางอย่าง ไม่เห็นด้วย ก็ทำไม่ได้ แต่สิ่งไหนเราเห็นด้วยเราร่วมมือเต็มที่ อย่างสอนศีลธรรมให้เด็กๆ นี่ ศีลธรรมนี้ขยายเพิ่มขึ้น เราเห็นด้วย เราร่วมมือเต็มที่ นี่ก็จะแจ้งว่า ไอสามข้อนี่มันพอหรือไม่พอ ถ้าเรามีเวลาอีก วันหลังเราไล่ไปอีกทีละข้อๆ ก็ยังได้
๕ ให้ว่าสอนศีลห้า ในเอกสารนี้ มีหลักการว่าอย่างไร เรื่องล้างอบายมุขในหลักการมันว่าอย่างไร ในที่สุดก็จะส่งไปให้ ส่งไปให้เจ้าหน้าที่ คณะอนุกรรมการจะได้ทำ เขาเรียกว่าคู่มือครู คู่มือการสอนของครูงั้นขอฝากไว้นะ สามข้อนี่นะ ว่าต้องมีความรู้ที่สมบูรณ์ ในเรื่องไหนต้องปฏิบัติให้ได้ในเรื่องนั้น แล้วมีผู้นำ ผู้สอน ผู้ชักจูง ผู้ให้โอกาส ผู้สนับสนุนกำลังใจที่ดี คือครู
๖ สามข้อ มีทฤษฎีที่ถูกต้อง มีการปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติได้ แล้วก็มีผู้คอยชักจูง คอยพา คอยอะไรด้วย คือครู ให้ครูไปศึกษาเรื่องนั้นๆ ให้ได้ แล้วถึงไอวิชาทั้งหลายนั้น เก็บไว้ เป็นวิชา ว่าจะปฏิบัติอย่างไร แล้วก็ครูก็ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนเต็มที่ ให้นักเรียนได้ปฏิบัติและปฏิบัติต่อๆๆๆ กันจนได้ ขอพูดอีกสักนิดหนึ่ง ที่ว่าจะมีประโยชน์ ว่าถ้าเราจะมีความรู้ในเรื่องใดโดยสมบูรณ์ มันจะมีหลักเกณฑ์อย่างไร จึงจะเรียกว่ารู้เรื่องนั้นโดยสมบูรณ์
๗ เราจะรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยสมบูรณ์นะ เรามีหลักเกณฑ์ว่าเราจะต้องรู้เรื่องใดบ้าง คงต้องขอพูดเรื่องนี้ ครูพุดว่าอย่างไร ถ้าเราจะรู้เรื่องใดโดยสมบูรณ์เราจะต้องรู้เรื่องอะไรบ้าง นี่ก็มากันแล้ว อย่าให้เสียเปล่า ให้คุ้มค่าที่มา แล้วเด็กๆ มาก็จะได้จำไปด้วย ถ้ารู้เรื่องใดโดยสมบูรณ์ต้องรู้เรื่องอะไรบ้างที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น (รู้เหตุ) รู้เหตุ แล้วอะไรอีก (รู้เหตุแล้วรู้ผล) รู้ผล (มันจะรู้เหตุรู้ผล มันก็ต้องใช้หลักการที่) เอาหล่ะ เอาแต่หัวข้อไม่ต้องลึก ถ้าอย่างงั้น มันไม่จบ
๘ เข้าใจว่าคงไม่รู้ พูดเสียเลยดีกว่า ไม่ได้พูดเพราะว่าคิดเองนะ เอาของพระพุทธเจ้ามาพูด มันเป็นหลักทั่วไปในพระไตรปิฎก มีอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก ถ้าจะรู้อะไรนะ ก็ต้องรู้เหตุลักษณะภาวะ อาการ ปรากฏการณ์นะ ปรากฏการณ์เป็นกรณีอย่างไร ใช้คำนี้รวมนะ ไอรูปร่างหน้าตาลักษณะอาการปรากฏการณ์ท่านว่ามันมีกี่อย่างกี่ประเภท แต่ท่านว่ามันควรจะอุปมาด้วยอะไรนี่ เขารวมเรียกหมดเลยว่ารู้ลักษณะการ
๙ หรือปรากฏการณ์นั้น ข้อแรก เช่นมีปรากฏการณ์ ............ นี่ค่อยว่ากัน ข้อที่สองนี่ก็เหมือนกับที่พุดว่า เค้าเรียกว่าสมุทัย ต้นเหตุที่ทำให้เกิดแบบนี้ นี่คืออะไร ข้อที่สอง เหตุให้เกิดขึ้นมา ข้อที่สาม คือเหตุทั้งหลายดับไปได้ด้วยอะไร เหตุที่เกิดขึ้นมา แล้วมันจะดับ อัศดง คำว่าอัศดง มันจะอัศดงได้ด้วยอะไร ด้วยเหตุอะไร ด้วยอาการอย่างไร อะไรเป็นฝ่ายให้มันเกิดขึ้น อะไรเป็นฝ่ายให้มันลับหายไป
๑๐ อะไรเป็นอัสสาสะ คือความยั่วยวนของมัน เสน่ห์ๆ อัสสาสะนี้ เราเปรียบได้กับเสน่ห์ ไปทำให้คนไปหลงติด ไปยินดี นั่นคือเสน่ห์ อัสสาสะ เป็นแบบนี้เรียกอัสสาสะ ถ้าไม่มีอะไร เป็น อาทินวะ คือโทษ เป็นอันตราย อันตรายจะขบกัดเรา จะทำอันตรายเราให้เป็นทุกข์ เขาเรียก อาทินวะ แปลว่าโทษ และข้อสุดท้าย วิจารณะ หนทางที่เราจะเอาชนะมันได้คืออะไร วิจารณะ แปลว่าออกไปซะได้จากอันตรายนี้
๑๑ มันมีสองคู่หัวท้าย มีลักษณะการณ์ ปรากฏการณ์อย่างไร มันจะเกิดขึ้นอย่างไร และมันจะดับลงไปอย่างไร แล้วมันมีเสน่ห์สวยงามทำให้คนหลงได้อย่างไร มันมีโทษอันตรายต่อเนื่องอยู่แล้วมันจะทำอันตรายต่อคนอย่างไร แล้วมีวิธีการอย่างไรที่เราจะชนะมันด้วยประการทั้งปวง และสติปัญญาของพระพุทธเจ้า ทุกคนได้ฟังแล้ว นี่แหละสติปัญญาของพระพุทธเจ้า เราจะรู้อะไร อย่างน้อยเราต้องรู้หกอย่างนี้แหล่ะเป็นหลักใหญ่ๆ เช่นเงิน ยกตัวอย่างว่า เงิน ถ้ารู้จักเงินต้องรู้จักหกอย่างนี้ เคยคิดเคยนึกไหม (ไม่ครบครับ) ไม่ครบนะ เงินมันเกิดปรากฏการณ์อย่างไร
๑๒ เงินมันเกิดอย่างไร เงินมันจะสิ้นสุดอย่างไร เงินมันมีเสน่ห์หลอกลวงเราอย่างไร ถ้าเราโลภมากเงินมันจะขบกัดเราด้วยวิธีไหน แล้วเราจะมีอุบายอยู่กับเงินได้อย่างไร ยกตัวอย่างเรื่องเงิน ถ้ามีลูกมีเมียมีภรรยาสามี รู้หกอย่างนี้ให้ดี เกียรติยศชื่อเสียงก็เหมือนกัน มีเกียรติยศ ก็รู้ไว้หกประการนี้ แล้วจะอยู่เหนืออำนาจสิ่งๆ นั้นที่มันจะขบกัดเรา แล้วเอาไปสอนเด็ก เด็กๆ จะรู้จักอะไร ก็ขอให้รู้จักให้ครบหกอย่างนี้ ถ้าอธิบาย แล้วอธิบายให้หมด สิ่งที่เป็นทางดีก็ได้ สิ่งที่เป็นทางร้ายก็ได้ สิ่งที่เรารักก็ได้ สิ่งที่เราเกลียดก็ได้
๑๓ ให้รู้ที่หกอย่างนี้ นี้เป็นหลักที่จะทำให้มนุษย์ไม่มีความทุกข์ เป็นเรื่องศีลธรรมด้วย เป็นเรื่องศีลธรรมสูงสุด นิพพานด้วย สิ่งที่ควรดูอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ก็คือความเจริญ ความเจริญในโลก โลกปัจจุบันที่เขาเรียกว่าความเจริญที่สุด ขอให้ไปดูที่หกนั้นด้วย แล้วก็ จะฉลาด จะรู้จักโลก เหมือนกับไฟฟ้านี้ ของใหม่หรือของเพิ่งเกิด ที่เรานิยม แต่ควรดูในหกอย่างนี้ด้วย หกอย่างนี้ แล้วเราก็จะไม่ได้รับอันตราย ความเสียหาย ความทุกข์ร้อน จากการที่เรามีไฟฟ้า ถ้าไม่เช่นนั้นเราก็ทุกข์ใจจากการมีไฟฟ้าใช้
๑๔ ความเจริญสมัยใหม่ ก็มีไฟฟ้านี่แหละ เราหาของที่ไม่จำเป็นมาใส่ไว้เต็มบ้านเต็มเรือน บ้านครูพุดมีโทรทัศน์ดูไหม ไม่มี ถ้ามีก็พิจารณาดูว่าไอโทรทัศน์นี้ เมื่อดูในหกอย่างนี้แล้ว มันจะเป็นอย่างไร
ชอบไม่ชอบไอหลักการหกอย่างนี้ หนึ่ง ปรากฏการณ์ สอง สมุทัยคือเหตุที่เกิดขึ้นมา สาม อัสดงคะคือการลับลงไป มันจะสูญสิ้นไป สี่ อัสสาสะคือเสน่ห์ ห้า อาทินวะคืออันตราย หก วิจารณะ คือ อุบายที่เราจะอยู่กับมัน
๑๕ ถ้ารู้แบบนี้เรียกว่ารู้ครบ นี่เรามีสามข้อไม่ใช่หรือ มีความรู้พอ มีปฏิบัติได้ และรู้เรื่อง ข้อนี้แหล่ะที่ให้รู้เรื่อง จะสอนเรื่องอะไรก็สอนให้พอรู้แบบนี้ รู้ตามหลักนี้ ในที่สุดสิ่งที่เราเรียกกันว่าดี ในการศึกษา ในหกแง่นี้ให้ครบ มันไม่มีอะไรที่จะดีในด้านเดียวโดยไม่มีโทษ มีคุณด้านเดียวโดยไม่มีโทษ มันไม่มี ในบรรดาสิ่งที่มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง เข้าไปพอใจหลักการอะไร ก็ต้องมีข้อสุดท้าย คือเราจะอยู่เหนือมันอย่างไร
๑๖ คนโบราณเขาก็รู้เรื่องนี้โดยอัตโนมัติ เขาเรียกไม่ถูกเขาพูดไม่ถูก แต่เขามีอุบายในเรื่องนี้ เขาไม่ไปหลงเงิน หลงสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เค้าไม่หลงในเรื่องแบบนี้ เขาไม่เป็นทาสเงิน หรืออะไร อย่าไปหลงในสิ่งอะไรที่จะมีความทุกข์เกิดขึ้นกับสิ่งนั้น เอาหล่ะในที่สุดก็ต้องปิดประชุมทีหล่ะ สำหรับอาตมาก็พอใจแล้วหล่ะที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์บ้าง ข้อคิดเห็นนี้ก็จะถือเป็นหลัก แล้วก็ไปเขียน เอาไปเขียนทุกข้อทุกเรื่องเลยในสามความหมายนี้ สามความหมายว่าเรื่องนี้ หลักวิชาว่าอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ผู้อบรมสอนอย่างไร
๑๗ ครบทุกเรื่องเลย จะเขียนให้เขา สำหรับอาตมาก็รู้สึกว่า ได้ผลแล้วหล่ะ ส่วนกลุ่มที่มานี้ ได้ไม่ได้ก็ตามใจหล่ะ ก็ขออภัยถ้าไม่ได้ ถ้าว่าไม่ได้ก็ไม่คุ้มที่มาทางไกล แต่ก็อาจจะได้บ้าง ที่พูดกันนี้ เพื่อเปรียบเทียบหาความรู้ความเข้าใจต่อไปกันได้ ส่วนเด็กๆ นี้ เสียใจที่ไม่ตอบ ถามไม่ตอบ จะไปทำอะไรมันได้ เด็กๆ นี้ ถามอะไรก็ไม่พูด จะทำอะไรตามที่ตั้งใจไม่ได้ จะขอฝากครูทุกคนด้วยว่า แก้ไขเด็กเสียใหม่ ขอต่อไปขอให้พูด ถ้าถามให้พูด เด็กโรงเรียนของเราก็เหมือนกัน
๑๘ เด็กจังหวัดอื่นก็เหมือนกัน ไม่ค่อยพูด ถามไม่ค่อยพูด แก้ไขใหม่เลย ให้กล้าพูด ให้กล้าแสดงความคิดความเห็น แล้วก็มาให้อภิปรายเรื่องนิพพาน เรื่องโลกุตระ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ให้ได้ ถ้าเห็นว่าเรามีประโยชน์ไม่เบื่อ วันอื่นค่อยพบกันอีกนะ ถ้านัดกันอภิปรายแบบนี้ วันหลังค่อยพบกันอีก เอาจะปิดประชุมแล้ว มีปัญหาอะไรถาม ใครมีปัญหาอะไรอีกถาม เด็กก็ได้ ครูก็ได้ เหลือไม่กี่นาทีก็ปิดประชุม (๑๘.๕๕ คำถาม ... ๑๙.๒๘)
๑๙ ........ นี่ถามในฐานะเป็นครู หรือว่าชาวบ้านทั่วไป จริงแล้วข้อนี้น่าสนใจ มีอยู่ในคำสวดมนต์ ถ้ายังไม่ได้ยกเลิกนะ ....... โลกุตระธรรม ๙ (๑๙.๔๐ .... ๒๐.๐๐)
๒๐ ไม่รู้ ครูก็ไม่รู้ นักเรียนก็ไม่รู้ จนบัดนี้ จักษุห้า เบญจจักษุ มีอยู่บทหนึ่ง .... สมุทัย จักษุห้า มันอธิบาย จักษุห้าอย่าง ในคำสวดมนต์ เคยได้ยินไม๊ จักษุห้า มังสะจักษุ ธรรมะจักษุ ในหลักสูตรนักธรรมโท มี หลักสูตรนักธรรมโท มี พุทธจักษุ ธรรมะจักษุ มังสะจักษุ
๒๑ พระพุทธเจ้าสอน จักษุห้า มีทางปัญญา ปัญญาจักษุ มีทางธรรมมะ (๒๑.๑๕ ตาเฉพาะที่ทำให้พระพุทธเจ้า.....มีอยู่ห้าตา ... ๒๑.๒๕) พระอริยบุคคลแปด นิพพานหนึ่ง ส่วนใหญ่อ่านในเฉพาะหลักสูตรนักธรรมโทมี เขาใช้คำว่า โลกุตระธรรมเก้า เป็นโสดานั้นมันแรกเริ่ม ละจากปุถุชนจากคนธรรมดามาเป็นโสดานี้เป็นอันดับแรก (๒๑.๕๐ คำถาม ... อธิบาย ว่าถ้าไม่ทำชั่วแล้วมันกลับไปกลับมา ....๒๑.๕๙) ไอนั้นมันรายละเอียดว่า โสดา มันเป็นแบบนั้น กลับทำชั่วอีกไม่ได้
๒๒ แล้วกิเลสมันจะหมดไปสิ้นเชิง แรกเข้ามาที่จุดที่เรียกว่าเป็นพระอริยะ แล้วถอยหลังกลับไปที่ปุถุชนอีกไม่ได้ อันดับแรกเรียก โสดาบัน บางทีพระพุทธเจ้าใช้คำว่า (๒๒.๒๔ ... ๒๒.๒๙) จะก้าวข้ามธรณีประตู ถึงธรณีประตูนิพพาน แล้วถึงประตูของนิพพาน นั่นแหละโสดาบัน ยังไม่ได้เข้าไปที ถ้าเข้าไปอีกก็เรียก สกินาคา ถ้าเข้าไปอีกเรียก อนาคา ถึงแล้วก็จะเรียกพระอรหันต์ บางทีเปรียบเหมือนว่า ตกทะเล แล้วว่ายน้ำมา เรียกว่าเห็นฝั่ง
๒๓ เห็นฝั่งแน่นอนไม่หลงทิศ เรียกโสดาบัน ว่ายมาอีกๆ ถึงน้ำตื่นยืนขึ้น แล้วถึง สกินาคา จนถึงขึ้นเดินนิดเดียวถึง อนาคา พอขึ้นบกได้ก็พระอรหันต์ เปรียบกับคนตกทะเล ไปหารายละเอียดอ่านเอาเอง แล้วเข้ามาถึงขีดแน่นอนว่าเข้านิพพาน ขั้นโสดา มาอีกๆๆๆ ค่อยว่ากันอีก ถ้าอยากคุยแบบนี้ก็มาอีก มาเมื่อไรก็ได้ ยินดีที่จะคุย อย่างน้อยก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย
๒๔ ตอนนี้ต้องการจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ จะค้นคว้าสิ่งที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จะโฆษณา จะพิมพ์โฆษณา ( คำถาม ผมได้สอนพุทธประวัติ นักเรียนมีความความเห็นแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่มีในโลก อีกฝ่ายหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ามีในโลก ผมอยากให้อาจารย์ช่วยอธิบาย) อันนี้เป็นปัญหานานมาแล้ว เป็นปัญหาเกิดขึ้นจากพวกฝรั่งก่อน ปัญหาเกิดขึ้นจากพวกฝรั่งก่อน เพราะฝรั่งเขามีอิสระทางความคิด พระพุทธเจ้านี้ เขาเชื่อว่าไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก
๒๕ เช่นเดียวกับพระเจ้านั้น พระเจ้านี้ ตามศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ มีพระอิศวร พระนารายณ์ อะไรอย่างนี้ และส่วนอื่น ที่ไม่ได้มีจริงในโลก เราสมมติกันขึ้น คือฝรั่งบางคนก็ยังมีความเชื่อว่าพระเยซูไม่มีในโลกก็มี ต่อมาๆ สำหรับพระพุทธศาสนานี้ยังโชคดี ที่ยังมีโบราณวัตถุ โบราณสถานอะไร อยู่ในดินมันมาก มันมีคนพบมากขึ้น พบมากขึ้นๆ จนทางโบราณคดี ทางโลกมันยอมเชื่อ แล้วฝรั่งทั้งหลายเลยยอมเชื่อ ทางโบราณคดีส่วนใหญ่ อย่างเสาอโศกแบบนี้ เขายอมเชื่อว่าเป็นของจริง ว่าพูดถึงพระพุทธเจ้านี้ พระพุทธเจ้าจริง ส่วนอื่นมันยืนยันไม่ได้ เขาถือว่าใครเขียนก็ได้
๒๖ แล้วก็มีนักศึกษาบางคนเท่านั้นแหล่ะ ที่เขาเห็นว่าข้อความในพระไตรปิฎกเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง นี้เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ แล้วนักเรียนของเราพวกหนึ่งที่ถือว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้มีอยู่ในโลกนี้ เอามาแต่ไหน มันเอาความคิดนี้มาแต่ไหน (คิดเอง) คิดเอาเอง มันมีเหตุผลว่าอย่างไร ลองถามดู ถ้าว่าสมมติว่ามันพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ต้องถือว่ามันไม่มีน้ำหนักจะมาหักล้างกันทั้งสองฝ่าย
๒๗ ถ้าพูดว่ามีจริงก็ไม่มีหลักฐาน ถ้าพูดว่าไม่มีจริงก็ไม่มีหลักฐาน มันควรจะหย่าศึกกันซะที ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง ถ้าทำอย่างพระพุทธเจ้าว่า ถ้าปัญหามันเกิดขึ้นแบบนี้เราต้องยกเลิกกันทั้งสองฝ่าย อย่ามาเถียงกันว่ามีจริงหรือไม่มีจริง อย่ามามั่วเถียงกันอยู่ ก็ทำอย่างพระพุทธเจ้าว่า ทำว่า พระพุทธเจ้าได้สอนมาอย่างไร ก็หยิบเอาคำที่พระพุทธเจ้าสอนขึ้นมา แล้วเอามาพิจารณาขึ้นดู ว่าถ้าทำตามคำสอนนี้แล้ว จะได้คุณอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าได้ผลดีสิ่งที่ทำตาม ก็เอาเถิด พระพุทธเจ้าจะมีจริงหรือไม่มีจริงนี้ไม่ต้อง
๒๘ นี้แหล่ะคือตามหลักกาลามสูตร เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ถึงเราพูดก็อย่าเชื่อ อย่าเชื่อว่าฉันพูด ก็ต้องดูว่าฉันพูดว่าอย่างไร ลองทำดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น มองดูด้วยตนเอง สิ่งใดมันดีก็เอาเถิด นี่หลักของพระพุทธเจ้า อิสรภาพมาก เสรีภาพมาก งั้นเด็กสองพวกนั้นยกเลิก เอาที่ว่าฉันสอนอย่างไรก็อย่าไปเชื่อ อย่าไปเชื่อ ทำตามแล้ว ถ้าดี มีความสุขไหม เอาแต่ว่าทำแล้วดีมีความสุข นั้นแหละ พระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้น (๒๘.๕๔ คำถาม ... ขอเสนอวิธีแก้ครับ เพราะปัญหานี้ผมเคยถูกถามแล้วเหมือนกัน ผมแก้แบบนี้ ผมว่า ถามผมว่าผมรู้ไหมว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม ผมว่ามี แล้วมีเหตุผลอะไร ผมว่ามีเหตุผลว่าคนเล่าบอกต่อๆ กันมา แล้วถามว่าเป็นสมัยพระพุทธเจ้าทำไมถึงรู้ ผมก็บอกว่า ...... แล้วถามว่าผมเห็นหรือ บอกไม่เห็นพ่อบอก ....... และเสียงสนทนากัน ..........)
๓๐ ....... ก็ต้องมีความหมายใด ความหมายหนึ่ง ถึงจะไม่มีความหมาย..... ก็ต้องมีความหมายใด ความหมายหนึ่ง ใครไปบอกให้คุณกวีและเณรฉันเพลที เราไม่ฉัน บอกให้เณรและคุณกวีฉันเพล เราไม่ฉัน ........... คนมานับนับถือพระพุทธศาสนาได้ วิชานี้เป็นวิชาที่ถูกแล้ว ไม่ยอมรับด้วยประการทั้งปวง มาถูกต้อง ....... มากเข้าๆ
๓๑ ในที่สุดก็นับถือพุทธศาสนา วันนี้ประโยชน์ของพระพุทธศาสนามาก ยังใช้ได้ เรียกว่านี้ยังใช้ได้ แต่ถ้าให้ดีกว่านั้น ทำเหมือนกับพระพุทธเจ้า....... (๓๑.๒๕ เทปกระโดด ....)
๓๑.๒๗ ถ้ามีประจักษ์พยาน ....... ให้เห็นว่าประเด็นปัญหาว่าอย่างไร แล้วทำตามนั้น แล้วเกิดประโยชน์ ก็เอาเถิด อย่างเรื่องตายแล้วเกิด ตายแล้วไม่เกิด นี้ก็เหมือนกัน อย่าเถียงกันในข้อนั้น ตายแล้วเกิดนี้ดี ก็ปฏิบัติให้ดีจริง แล้วตายแล้วเกิด ถ้าตายแล้วไม่เกิด ก็ปฏิบัติให้ดี ตามข้อนี้ก็เอาเถิด อย่าไปทำชั่ว ถ้าเห็นว่าตายแล้วไม่เกิด
๓๒ แต่ความจริงมีมากกว่านั้น มันไม่ใช่มีคนที่ตายกับเกิด ...... ตายแล้วเกิด กับตายแล้วไม่เกิด .... ทำแบบนั้นก็เอา ถ้าตายแล้วเกิด ทำความดีนี่ใช้ได้ ตายแล้วไม่เกิด ก็ทำความดีได้เหมือนกัน ทำให้ถูกต้อง ทำซะก่อนตาย ก็ดีเหมือนกัน เลือกแก้ปัญหาขอไปทีนี่ไม่ได้ ......... ต่อไปเราต้องทำศีลธรรมให้ดีกว่าเดิม ให้มีประโยชน์ อย่าจับใส่สมุดไว้เฉยๆ ต้องรู้ว่าใช้ประโยชน์ได้
๓๓ ต้องปฏิบัติให้ได้ แล้วต้องชี้แจงแนะนำให้มันเข้าใจให้จงได้ ให้ศีลธรรมอยู่ในตัวของคน ไม่ให้ศีลธรรมอยู่ในสมุดปกแข็ง แล้วเก็บไว้ (๓๓.๒๒ ....... สนทนา และคำถาม .... ) พุทธประวัติ.... ถ้าเด็กนักเรียนไม่เชื่อ จะต้องตอบว่าอย่างไร
๓๔ แล้วถ้าฝรั่งไม่เชื่อจะตอบว่าอย่างไร อันนี้ได้ยินมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลแล้ว เขาตัดบท แล้วบังคับ หรือขอร้องให้เชื่อ มีสลักหิน สลักไว้ให้รู้ ว่าพระพุทธเจ้าขึ้นดาวดึงส์ ลงจากดาวดึงส์ แล้วพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้ ที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ ถ้าเรียกตามบาลี ก็เรียกว่า .... ๓๔.๔๑ สิ่งที่มหัศจรรย์ ยิ่งถ้าพูดมากมันจะไม่ดี ก็จะมากเรื่องกันไป คนก็จะไม่เชื่อ แต่ถ้าพูดก็จะบอกว่ามีพระบาลีเขาว่ากันไว้อย่างนั้นๆ
๓๕ ถ้าถือกันทางบาลี พุทธภาษิตก็มีอยู่ ในพระไตรปิฎกที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสเอง เล่าเอง ก็มีอยู่บ้าง แต่มีอยู่มากในลักษณะ ว่า พระไตรปิฎกเขียนว่า พระอานนท์ ผู้ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า เขียนว่า ข้าพเจ้าได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง ว่าอย่างนั้นๆ ถ้าปาฏิหาริย์ ก็จะเขียนแบบนี้ ได้ยินกันในชาวพุทธทุกคน ว่า ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นๆ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่าเลย แล้วมาอยู่ในบาลีนั้น ในคัมภีร์นั้น ว่าสอนกันในเรื่องปาฏิหาริย์มาก ที่ว่าเดินได้นั้น ส่วนใหญ่ที่มีมากเป็นคำพูดพระอานนท์
๓๖ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องปฏิหาริย์นั้น น้อยนิดๆ ที่เราได้ยินมานั้น พระบาลีว่ามีแบบนี้ ประสูติแล้วเดินได้เจ็ดก้าว แต่ถ้าไม่ยอมรับอันนี้ ถ้าไม่ยอมรับอันนี้ ตามตัวหนังสือ อธิบายให้ฟัง .......ปาฏิหาริย์ ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ก็เกิดจากท้องแม่นี่แหละ พระพุทธเจ้าเกิดก็เป็นพระพุทธเจ้านี่แหละ บวชในพุทธศาสนาแล้วก็ตรัสรู้ เกิดมาถึงก็เดินได้แล้ว
๓๗ พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วก็เดินได้ ....... เจ็ดก้าว เขาก็หมายถึงประเทศใหญ่ๆ เจ็ดประเทศที่พระพุทธเจ้า ได้ไปโปรด มีเจ็ดประเทศ ยุคนั้นตั้งแต่พระพุทธเจ้าประสูติจนถึงตรัสรู้ มันต้องเขียนเป็นรูปภาพ หนังสือไม่มี ตรัสรู้ผ่านมาสองสามร้อยปี มันไม่มีการใช้ตัวหนังสือ มันบันทึกเป็นรูปภาพ คนที่สลักได้ ก็สลักรูปภาพ ว่าพระพุทธเจ้าเกิดมา ....... มันก็สลักมาเป็นเด็กเกิดมาเดินเจ็ดก้าวนี่ อธิบายแบบนี้
๓๘ เราก็จะบอกว่าในพระคัมภีร์เขาไม่ได้ว่าแบบนี้ ถ้าเกิดจะเชื่อหรืออย่างไรจะได้รู้ ศรัทธาพระพุทธเจ้าเป็นผู้วิเศษ เป็นคนวิเศษ คนที่เชื่อแบบนั้นเขาอธิบายไว้แบบนี้ คนรุ่นหลังปรับปรุงให้เป็นประโยชน์ ว่าเป็นเด็กรกเกิดเดินได้ คือพระพุทธเจ้าสอนคนทั้งเจ็ดประเทศได้ พระพุทธเจ้าในความหมาย........ เมื่อตรัสรู้แล้วขึ้นไปชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดเทวดา แล้วลงมาบนโลก จึงสลักเป็นเดินลงบันไดมา
๓๙ ในวันออกพรรษา ที่เราตักบาตร ....... เขียนแบบนี้ แต่อันนี้ไม่เป็นไปตามเอกสาร เขียนก็ว่ากันอีกแหละว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ ....... เป็นเทวดา เป็นเจ้าแผ่นดิน ทั้งเจ้านาย ทั้งครูบาอาจารย์ คนนับถือ ........ ทั้งศาสดา ........ กราบลง กราบลง เป็นศาสดา เป็นเจ้าลัทธิ เป็นเจ้าแผ่นดิน ...... ทำเพื่อตัวเรา ชาวบ้านทั้งหลาย เทวดา....... หลังจากนั้น ฝ่ายประชาชน .......
๔๐ พระพุทธเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์ไปทำหน้าที่โปรด คนโปรดยากเสียก่อน ...... รวมความว่าเราตอบเขา ตอบเด็กที่ถามที่มันเป็นประโยชน์ ไอที่ถามเรื่องปาฏิหาริย์ทั้งหลายนี้ อธิบายได้....... แต่ถ้าจะไปดูหนังสือ เขาก็มีความพยายามแต่งแก้แบบนี้กันหมด หนังสือแต่งก่อนเขาไม่แก้ เขาไม่กล้าต้อง เขาไม่มี .... ให้เชื่อตามนั้นดอก ...... อยู่ที่เขาตีความ
๔๑ ในประเทศไทย ตีความกันมากที่สุดก็ในหนังสือของพระวชิรญาณวโรรส ทำเป็นองค์แรก ....... แต่เขาไม่ได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรครบถ้วน เขียนเป็นแบบเรียนอย่างครบถ้วนอย่างถูกต้อง ถ้าพูดถึงเรื่องปาฏิหาริย์ไม่ต้องเชื่อก็ได้ แต่ขอให้ทำดีที่สุด ถ้าเขาไม่เชื่อปาฏิหาริย์รูปนั้น เขาก็มาเชื่อปาฏิหาริย์รูปนี้ เพราะการเกิดมาถึง ...... มันเรียกว่าปาฏิหาริย์ทั้งนั้น
๔๒ ..... เจ้าลัทธิ ก็เป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ....... อีกอย่างหนึ่งคือ การสลักภาพ มันสลักไม่ได้ มันเป็นความหมายเป็นรูปธรรม แล้วจะให้สลักอย่างไร ให้มีความเป็นธรรมดา คนที่สนใจก็ต้องค้นคว้าแบบเรียนตำรับตำรา จึงจะตอบปัญหาเด็กได้ ทุกปาฏิหาริย์เลย ทุกปาฏิหาริย์เลย ทำอย่างไรมันจะได้ประโยชน์แก่เรา ถ้าตายแล้วดี เวลานี้ดี นี้มันมาร้อนในใจอยู่ นั้นน่ากลัว ถ้าร้อนข้างนอกแล้ว ........ ให้รู้จักนรกเดี๋ยวนี้เสียก่อน อย่าไปตกนรกเมื่อตายแล้ว
๔๓ สวรรค์ก็อยู่ในใจ นรกก็อยู่ในใจ ปู่ย่าตายายเราพูดไว้ถูกแล้ว สวรรค์ในอกนรกในใจ ถูกแล้ว ถ้าสอนให้ดี เด็กๆ ก็เข้าใจในธรรมะ จะได้ปฏิบัติศีลธรรม (คำถาม...) ในพุทธกาลนั้น ........ พระพุทธเจ้าแสดงให้ฟัง .....
๔๔ ........ คนบางคน ก็พอจะเข้าใจได้ ตั้งใจใหม่ ก็จะสอน ........ ก็ความเมตตา กรุณาของพระองค์นั้นแหละ ที่ได้สอน ที่พูดแบบนี้ ก็สลักเป็นรูปภาพไม่ได้อีกแหล่ะ
๔๕ ความเมตตา กรุณา นี้ บันทึกเป็นรูปภาพไม่ได้ ก็สลักเป็นรูปคนเอามือยก ........ ก็ด้วยความเมตตา กรุณา ...... ก็อ้อนวอนให้พระพุทธเจ้าสอน ....... เป็นขนบธรรมเนียม เป็นประเพณี ยึดหลักกันมาว่า ก็แสดงธรรมซะ เหมือนว่าคนมาอาราธนาพระพุทธเจ้าให้แสดงธรรม ........ เป็นคำขอร้องให้พระบนธรรมมาส แสดงธรรม เล่าเรื่อง คนมาขอร้องพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ........
๔๖ คำว่า....... ขอร้องให้พระแสดงธรรมนั้นไม่ได้มีคำพูดอย่างนี้ ........ ขอพระองค์จงแสดงธรรมโปรดสัตว์อย่างนี้ เรื่องน่าหัวเราะ ........ ทำเป็นธรรมเนียมอยู่แล้ว ........ มีอยู่แต่ในประเทศไทย ไม่ได้มีในประเทศอื่น เด็กๆ มีคำถามไม๊ ........
๔๗.... สวรรค์ในอก นรกในใจ เชื่อไม่เชื่อในข้อนี้ ไม่เชื่อก็ได้ แต่ขอให้ขึ้นใจว่าคำสอนนั้นสอนว่าอย่างไร ถ้าเราทำไปแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ ได้ประโยชน์ก็เอา แล้วเราก็ได้รับประโยชน์จากพระพุทธเจ้าไปด้วย เราก็ได้พูดไปตามเหตุผล ตามเรื่องราวที่ได้ศึกษามาหลายสิบปีแล้ว เราก็สนใจเรื่องนี้มาหลายสิบปี แล้วก็พบเรื่องราวต่างๆ ....... เชื่อได้เลย เชื่อได้แน่นอนเลย ว่าบุคคลคนนี้ ได้เกิดขึ้นในโลกจริง แล้วก็ได้สอนไปตามเหตุการณ์ ตามสถานการณ์ที่ได้เกิดขึ้น
๔๘ ใครมีคำถามอย่างไร ก็ได้ตอบ ใครให้สอนใคร ก็ได้ไปสอน แต่ถ้าให้ได้มากมาย ก็ไม่ได้มากมาย มันขยายไปอีกทีหลังบ้าง ที่พระพุทธเจ้าได้สอน ตามโอกาสที่เวียนมาจนถึงนิพพาน พอนิพพานถึงได้ประชุมกัน ให้คนได้จำไว้มากที่สุด จึงประกาศว่าพระพุทธเจ้าได้สอนมาแบบนี้ๆ ตามที่ได้ยินมา ที่ประชุมก็รับรอง รับรองคำพูดของบุคคลนั้น โดยมีพระอานนท์เป็นผู้ทำนายทะเบียน
๔๙ ที่จริงก็มีผู้แย้งบ้างแหล่ะ แต่ให้พระอานนท์เป็นเจ้าหน้าที่บันทึกว่าพระพุทธเจ้าได้สอนมาอย่างไรๆ ก็มีการรับรอง ให้ว่าพร้อมๆ กัน ว่าหลักเกณฑ์ว่าแบบนี้ ว่าแบบนี้ จนหมดทุกเรื่อง แล้วช่วยจำกัน ด้วยปากแบบนี้ เรื่อยๆ เป็นระยะ สามสี่ร้อยปีจึงได้เขียนเป็นตัวหนังสือ เห็นไหมทุกเรื่องมีเหตุผลอยู่ในตัว พระพุทธเจ้าสอนหรือไม่สอน เราไม่สนใจ แต่ว่าให้เราปฏิบัติตามแล้วได้ประโยชน์ก็พอ นั้นก็ถือว่าพระพุทธเจ้าสอน ถ้าเรื่องไหนไม่สมเหตุสมผลในการปฏิบัติเราก็เฉยเสีย ไม่ต้องไปคัดค้าน เฉยเสีย ....
๕๐ ....... ถ้าเราจะปฏิบัติดับทุกข์ ไม่ต้องมาก ........ ยังปฏิบัติดับทุกข์ได้ ก็อย่าไปนึกถึง พระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นจริงไหม ถ้าเราไม่รู้สึกเชื่อไม่อยากจะเชื่อ แต่ขอให้สนใจว่าได้สอนมาอย่างไร ที่มีประโยชน์แน่ถ้าทำตาม ถ้าทำตามมีประโยชน์จริง ได้ประโยชน์จริง แล้วค่อยเชื่อ ถ้าทำจริง ถ้ามีความรู้ขนาดนั้น คนนั้นแหละเป็นพระพุทธเจ้า ... (คำถาม) ....
๕๑ .... เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไปถือเอาภาพสลัก ภาพหินสลักเป็นเกณฑ์นี้ มีทั้งสองแบบ ... ออกไปต่อหน้าคน ... และภาพสลัก ..... มีสองอย่าง ภาพหินสลักมีสองอย่าง พระคัมภีร์ก็เหมือนกันอีก มีสองอย่าง พระคัมภีร์บาลี พระคัมภีร์เป็นบาลี ก็ไม่ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้
๕๒ ก็จะพูดเรื่องอื่น แต่มันก็คาบเกี่ยวกัน .... พระคัมภีร์อย่างหลัง เขียนไปตามหินสลัก เป็นภาพหิน .... ในพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าเสด็จไป เทวดาโปรยดอกไม้ทั่วไปหมด เสียงดัง นี่มาจากหินสลัก ในหนังสือพุทธจริต ชื่อพุทธจริต ...ให้พระอานนท์เขียนตาม ส่วนในพระบาลีที่เป็นตัวคัมภีร์ก็มีทั้งสองชนิด
๕๓ ภาพหินสลักก็มีทั้งสองชนิด ที่เราอธิบาย ไปแล้ว ... มันก็เป็นเวลานิดเดียว ... ตลอดเวลา ... ออกจากประตูเมืองออกไป ไม่ได้อยู่ค้างคืน เราจะสรุปความให้เด็กๆ ว่า มันเป็นวิธีพูดให้คนเลื่อมใส เลยแสดงความหมายพิเศษ .... บางคนก็ไม่พอใจ บางคนไม่อยากให้ออก ที่ท่านออกบวชบางคนก็ไม่อยากให้ออก
๕๔ ต่อหน้าเขาก็ไม่อยากให้ออก บางคนร้องไห้ ที่พระพุทธเจ้าได้ออกไปบวช......... ถ้าให้สรุปความตัดบทก็ต้องพูดว่าไอเรื่องต่างๆ ก็ขอให้จดให้จำในฐานะเป็นเรื่องที่เขาพูด แต่หัวใจของมันก็คือ เขาพูดว่าอย่างไร ถ้าเป็นประโยชน์กับเราก็ดี
๕๕ ที่เขาพูดมีความหมายอย่างไร แล้วความหมายนั้นเป็นประโยชน์กับเราจริงไหม เรื่องรูปภาพเรื่องเรื่องนั้นไม่จำเป็น ยิ่งเป็นยุค เป็นสมัย เป็นเรื่องสมัยโน้น ที่ว่าสลักหิน สลักอะไร ... คำสอนก็สอนกันมาเป็นยุคเป็นยุค ขยายความบ้าง ตัดทิ้งบ้าง เปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เนื้อแท้ของธรรมะไม่มีเปลี่ยนแปลง เรื่องอริยสัจนี้ก็....ไม่เปลี่ยนแปลง คงเดิม ถ้าอธิบายแล้วผิดไป ก็ตามใจที่ผิด.... เอาคำถามสุดท้ายก่อนปิดประชุม เลยมาหลายนาทีแล้ว
๕๖ ในฐานะที่เป็นผู้มีปัญญา มีสติปัญญา ถ้าเรามีเล่าเรียนศึกษาพระพุทธศาสนา จะเริ่มต้นศึกษา เรื่องอะไร ที่ไหน จะศึกษาเรื่องอะไรที่ไหน (....สนทนา....) ศึกษาเรื่องอะไร คัมภีร์เล่มไหน คัมภีร์เล่มไหน อะไร เรื่องอะไร จะศึกษาเรื่องอะไร เด็กๆ พอตอบได้
๕๗ ศึกษา ... ช่วยนึกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร เริ่มต้นที่ไหน ว่าอย่างไร ตอบได้ไหม ครูนึก ช่วยตอบ ...... เริ่มต้นที่คำกลอน ใครหล่ะ เด็กๆ สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เรากำลังทำ ... ทำผิดวิธี ...
๕๘ .... ในประเทศอินเดียก่อน มีบันทึกในพุทธประวัติ ประเทศอินเดียเป็นอย่างไร ภูมิประประเทศเป็นอย่างไร ลมฟ้าอากาศเป็นอย่างไร คนมีความคิดนึกรู้สึกอย่างไร ใครสอนเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร ..... พระพุทธเจ้าสอนไปตามนั้น ไปอินเดียก่อน พุทธประวัติก่อน อะไรก่อน ... เรื่องพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องพุทธประวัติ .... เด็กๆ ถามว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดมาจริงหรือเปล่า นี้ปัญหามาก ....
๕๙ ... ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็ต้อง...อารมณ์ตัวเราก่อน ... ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่ามันสัมผัสไอของข้างนอกแล้วเกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไรขึ้น มันมีความคิดอย่างไร มันต้องเริ่มแบบนี้ ถูกต้องตามพุทธศาสนา .. พุทธศาสนา ...จุดเริ่มต้นของการศึกษาพุทธศาสนาต้องเริ่มต้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ... โดยเฉพาะความรู้สึกที่เป็นตัวกูและเป็นตัวกู ... หัวใจของพุทธศาสนา...
๖๐ ... ถึงในเวลานี้ถ้าทุกคนตั้งสติที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ... ก็จะรู้ จะได้เห็น และได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนา ด้วยความคิดที่ว่า ตัณหา อุปาทาน เกิดขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์ ... พระพุทธเจ้าเกิดเมื่อไร พ่อชื่ออะไร แม่ชื่ออะไร ทำไมถึงออกบวช ไม่ต้องรู้ ... มีพระพุทธเจ้าข้างนอก และพระพุทธเจ้าข้างใน พระพุทธเจ้าท่านชี้ปัญญาให้ดับทุกข์ได้
๖๑ พุทธศาสนาที่แท้จริงคือความรู้ที่ทำให้ดับทุกข์ได้ จะมาจากพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็เหมือนกันแหล่ะ นี่จำไว้ ถ้าเริ่มต้นพุทธศาสนา ก็เริ่มต้นด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ... ถ้าสัมผัส อารมณ์มันก็เกิด ถ้าตอนนั้นโลภ มีตัวตัณหา อุปาทาน แล้วก็มีความทุกข์ ถ้าสัมผัสอารมณ์แล้วมันโลภ มันก็เกิดตัณหา อุปาทาน มันก็มีความทุกข์ ขอปิดการประชุม ขอบใจที่อุตส่าห์มากัน ถ้าได้ส่วนหนึ่งก็พอใจแล้ว ให้แน่ใจในความคิด แล้วจะเขียนบันทึกให้อนุกรรมการ เขาตรวจ
๖๒ วันนี้ได้บุญมาก ได้นั่งเหมือนพระพุทธเจ้า กลางดิน พระพุทธเจ้าเกิดกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนกลางดิน รู้กลางดิน เจ็บป่วยกลางดิน ตายกลางดิน สวัสดีทุกคน สวัสดีทุกคน ครั้งหน้ามาเจอกันอีก